PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๙


เถรี
05-03-2016, 19:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรือระเบิดที่คลองแสนแสบเมื่อเช้านี้ เจ็บกันไปเสียเยอะเลย ปกติเรื่องแก๊สมีแต่รถที่ระเบิดไฟไหม้ แต่นี่เรือแก๊สระเบิด ไม่ใช่แอลพีจีและไม่ใช่เอ็นจีวีด้วย สรุปว่าโลกเราอยู่ยากขึ้นทุกวัน

ฉะนั้น...วิธีที่ดีที่สุดคือตื่นเช้าขึ้นมา ภาวนาจับภาพพระครอบตัวเองไว้ทุกวัน หรือไม่ก็หาวัตถุมงคลครูบาอาจารย์ที่เรามั่นใจ อาราธนาเช้าเย็นไปเลย มีลูกมีหลานก็สอนให้ภาวนาไว้ ไปไหนจะได้ปลอดภัย

ถ้าขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้บ่อย ๆ พยายามสวดบทกรณียเมตตสูตรให้ได้ ไม่ต้องถึงขนาดขึ้น กะระณียะมัตถะกุสะเลนะฯ หรอก เอาแค่ เมตตัญจะ สัพพะโลกัส์มิงฯ ไปจนจบก็พอ"

เถรี
05-03-2016, 20:02
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งตอนนั้นสถานการณ์ย่ำแย่กว่าสถานการณ์ตอนนี้เยอะ ข้าวของก็ต้องปันส่วนกัน ขนาดไม้ขีดไฟท่านยังบอกว่าหายากสุด ๆ ต้องทำตะบันไฟหรือชุดไฟมาใช้กัน ตะบันไฟเป็นการใช้หลักแรงอัดอากาศ ตบอัดเข้าไปทำให้เกิดความร้อนสูงจนเกิดเปลวไฟบนสำลีที่ใส่ไว้

ท่านบอกว่า สมัยนั้นการบิณฑบาตค่อนข้างจะฝืดเคือง เพราะญาติโยมอยู่ลำบาก กินลำบาก โอกาสที่จะใส่บาตรพระให้อุดมสมบูรณ์ก็ยาก แต่ถ้าวันไหนหวอดังแล้วระเบิดลง รุ่งขึ้นโยมใส่บาตรกันเพียบเลย หลวงพ่อท่านพูดขำ ๆ ว่า สงสัยเขาฉลองที่รอดตายมาได้

ช่วงสมัยของเราไม่ลำบากขนาดนั้น แต่สภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง ดินฟ้าอากาศแห้งแล้ง จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องช่วยชีวิต ในเรื่องของเศรษฐกิจฝืดเคือง หลวงพ่อท่านก็เมตตาให้พระคาถาเงินล้านไว้แล้ว ไปทำให้จริง ๆ จัง ๆ หน่อย ส่วนในเรื่องของดินฟ้าอากาศ ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะให้กำลังใจเราทรงตัว จะได้ไม่ต้องไปหงุดหงิดกับดินฟ้าอากาศที่พิลึกพิลั่น ไม่อยู่กับร่องกับรอย"

เถรี
05-03-2016, 20:15
"ท่านเล่าว่าสมัยนั้นผ้าหายาก แต่คราวนี้ท่านเป็นนักเทศน์ เป็นธรรมเนียมว่าใครเป็นเจ้าภาพนิมนต์เทศน์ จะต้องถวายไตรใหม่หนึ่งไตร นักเทศน์ก็เลยค่อนข้างจะสบาย มีผ้าใหม่นุ่ง

มีอยู่วันหนึ่งท่านไปเทศน์แถวสมุทรสาคร แจวเรือไป ก่อนขึ้นธรรมาสน์เจ้าภาพก็ถวายผ้าไตร ท่านก็ไปเปลี่ยนผ้าไตรฉลองให้เขา พอขึ้นธรรมาสน์แล้วนั่งลง เสียงดังคว่าก..! สบงขาดยาวสองคืบกว่า ท่านบอกว่าดีที่ขาดแต่สบง ถ้าจีวรขาดด้วยคงได้อับอายขายหน้าชาวบ้านเขาแน่

เนื่องจากว่าผ้าหายาก โยมก็เลยหาผ้าเก่ามา แล้วก็เอามาย้อมใหม่ ท่านก็คิดว่าผ้าใหม่จึงครองขึ้นไปอย่างเท่เลย ผ้าเก่าเปื่อยแล้วพอนั่งลงก็ขาด

หลวงพ่อท่านเจอผ้าขาดบนธรรมาสน์ แต่อาตมาเจอธรรมาสน์พัง..! ตอนนั้นไปเทศน์งานศพที่วัดหนองอุโลก อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยความเคยชินพอขึ้นธรรมาสน์ก็ต้องคุกเข่าลงก่อน คุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งยันอยู่กับโต๊ะเตี้ยที่เขาวางให้ขึ้นธรรมาสน์ พอทิ้งน้ำหนักลงเข่าขวา ธรรมาสน์หักดังกร๊อบ..! ยังโชคดีว่าอีกเท้าหนึ่งยังยืนอยู่ ก็เลยยั้งตัวอยู่ได้

โยมเขาบอกว่า ไม่มีพระเทศน์มาสามสิบกว่าปีแล้ว เก็บธรรมาสน์ไว้เฉย ๆ ไม่นึกว่าจะผุ ท้ายสุดเขาก็เลยเปลี่ยนเป็นเตียงไม้หลังเบ้อเริ่มเลย ยกมาวางกลางศาลาให้อาตมานั่งเทศน์แทนธรรมาสน์ ฉะนั้น...พระอาจารย์ขึ้นไปสบงขาดบนธรรมาสน์ ส่วนลูกศิษย์ทำธรรมาสน์เขาพังทั้ง ๆ ที่ผอมกะหร่อง"

เถรี
05-03-2016, 20:19
"เรื่องของการขึ้นธรรมาสน์เทศน์ต้องฝึกแล้วฝึกอีก ถ้าขึ้นธรรมาสน์ผิดวิธี คนที่เป็นท่านมองดูจะรู้เลย ส่วนใหญ่ญาติโยมจะไม่รู้ แต่นักเทศน์ด้วยกันจะมองรู้ เขาจะรู้ว่าคนนี้ศิษย์มีครูหรือเป็นได้แค่ครูพักลักจำ แค่ถือย่ามเดินไปเขาก็รู้แล้วว่าใช่หรือไม่ใช่ แค่ตั้งนะโมฯ เทศน์อย่างเดียวยังมีลูกเล่นสารพัด"

เถรี
05-03-2016, 20:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "อริสโตเติลกล่าวไว้สองพันกว่าปีแล้วว่า ความดีของคนจะสูญสิ้นไปทันทีที่เล่นการเมือง ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณจะมองทะลุมาถึงปัจจุบันได้

สมัยยุคกรีกโบราณการเมืองเขาก้าวหน้ามาก มีการลงคะแนนเสียง ก็คือใช้แผ่นดินเหนียวขีดว่าจะลงคะแนนเสียงให้ใคร แต่สันดานคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่แก้ไม่ได้ ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน ก็เลยมีการซื้อเสียงกัน นั่นขนาดยุคโบราณนะ ยุคของเราขนาดใช้บัตรเสียบก็ยังมีการเสียบบัตรแทนกันอีก

โลกเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง แต่สันดานคนไม่ได้เปลี่ยนเลย ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอกาลิโก ไม่จำกัดด้วยกาลสมัย เพราะไม่ว่าอีกกี่ชาติ คนก็ยัง รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนเดิม"

เถรี
05-03-2016, 20:55
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งสมัยก่อนชอบไปตามวัดต่าง ๆ ของหลวงปู่หลวงพ่อที่มีชื่อเสียง แล้วก็จะบูชาพระใหม่ ๆ ของหลวงพ่อแต่ละรูปมา ครั้งละสองสามร้อยองค์ ลูกหลานก็ถามว่าบูชาไปทำไมเยอะแยะ ? เขาบอกว่าเอาไว้แจกงานศพตัวเอง แต่พอตายเข้าจริง ๆ ลูกหลานไม่ยอมแจก เพราะของใหม่สมัยนั้นองค์ละ ๒๐ บาท ๕๐ บาท มาสมัยนี้ราคาเป็นหมื่นเป็นแสน เท่าที่รู้ก็มีเหรียญหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เหรียญหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่

สมัยก่อนอาตมาก็มีเหรียญของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ กับหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ ตอนหลังโดนเขาขอไปหมด และตอนก่อนบวชก็เอาไปไล่แจกเขาด้วย แต่แจกแล้วเขาก็ไม่ค่อยอยากได้กัน เพราะคนรับไม่รู้จัก"

เถรี
05-03-2016, 21:01
"เคยได้ยินชื่อพระผงญาณวิลาศไหม ? หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เป็นคนแรกที่ประกาศว่า หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด แต่ข้าเหยียบน้ำจืดเป็นน้ำทะเล..! ลูกศิษย์แตกตื่นกันใหญ่เลย...อยากดู ท่านบอกว่า "จะไปยากอะไร แค่หย่อนตีนลงท่าน้ำ พอไหลไปถึงปากอ่าวก็เค็มเอง" แสดงว่าท่านเก่งจริง ...(หัวเราะ)...

หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ สร้างพระไว้ชุดหนึ่ง มีพิมพ์สมเด็จอยู่มาก หลายสี แต่ท่านไม่ให้เรียกพระสมเด็จ ท่านบอกว่าท่านเป็นแค่พระครู อย่างหลวงปู่โต วัดระฆัง ท่านเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ สร้างพระแล้วเรียกพระสมเด็จได้ ท่านก็เลยเรียกว่าพระผงญาณวิลาศ เรียกตามสมณศักดิ์ท่าน

สัญลักษณ์ที่ชัดของพระชุดนี้คือแตกร้าวทุกองค์ น้อยองค์ที่จะสมบูรณ์ไม่แตกไม่ร้าว เพราะเนื้อผงค่อนข้างจะหยาบ แต่เรื่องพุทธคุณสุดยอดเลย อาตมายังมีตุนอยู่สิบกว่ายี่สิบองค์ ถ้ามีโอกาสเดี๋ยวเอามาออกในเว็บให้ ไปแย่งเอาเองแล้วกัน ราคาในท้องตลาดแพงมากแล้ว"

เถรี
05-03-2016, 21:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้ภาษาไทยอ่อนแอน่าสงสารมาก จะโดยเจตนา ผลั้งเผลอหรืออะไรก็ตาม

สมัยอาตมาเรียนหนังสืออยู่ คำว่า วงศ์ หรือ พงศ์ ที่หมายถึงตระกูล ใช้ ศ์ พอเรียนถึงชั้นมัธยมกลายเป็น วงษ์ หรือ พงษ์ ที่ใช้ ษ์ เพราะเขียนผิดแล้วก็เลยตามเลยไปเรื่อย ปัจจุบันนี้มีที่เขียนหางสั้นไปหน่อย ก็เลยกลายเป็น วงค์ ที่ใช้ ค์ ที่อนาถกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันนี้เริ่มมี วงส์ ที่ใช้ ส์ โผล่มา รุ่นต่อไปคงจะไม่รู้กันแล้วว่าคำที่ถูกจริง ๆ คืออะไร"

เถรี
05-03-2016, 21:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24177&stc=1&d=1457365392


พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอานนท์ อานนฺโท เป็นลูกศิษย์ที่เรียน มจร. วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาฯ ท่านอยู่วัดบึงลาดสวาย วันนี้ท่านเอาวัตถุมงคลมาให้เสก เป็นพระอุปคุตชัยวัฒน์ คือพระอุปคุตองค์เล็ก ๆ มีส่วนผสมของ "แร่ขี้นกเขาเปล้า"

หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจว่าแร่ขี้นกเขาเปล้าคืออะไร นกเขาเปล้าเป็นนกป่าชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลนกพิราบหรือนกเขานั่นแหละ นกเขาเปล้ากับนกเขาเขียว แม้จะเขียว ๆ เหมือนกันแต่คนละเรื่องกันเลย เพราะนกเขาเขียวจะเขียวเข้มมาก ส่วนนกเขาเปล้าจะเป็นสีเขียวอ่อนและมีสีเทา สีม่วง และสีชมพูแทรก

นกเขาเปล้าชอบลงกินดินโป่ง ไม่ทราบว่าลงไปกินเอาแร่โลหะบางอย่างเข้าไปหรืออย่างไร ? ทำให้ขี้นกเขาเปล้าจะมีธาตุโลหะผสมอยู่ พวกเล่นแร่แปรธาตุในอดีตมีความรู้ในเรื่องนี้ก็ จึงไปเก็บรวบรวมเอามาหลอม เอาโลหะที่ตกค้างมาสร้างวัตถุมงคลบ้าง หรือมาเล่นแร่แปรธาตุบ้าง แร่ขี้นกเขาเปล้าที่หลอมมาได้มีลักษณะคล้าย ๆ ตะกั่ว แต่จะมีเหลือบสีน้ำเงิน คล้ายกับเหลือบรุ้ง

โยมที่อยู่ร่วมพิธีจะเห็นว่าท่านขนมาเป็นคันรถเลย ขอยืนยันว่า แค่ผสมแร่ขี้นกเขาเปล้าลงไป เพราะถ้าขนมาเป็นรถขนาดนั้นแล้วทำจากแร่ขี้นกเขาเปล้าทั้งหมด คงต้องเคี่ยวขี้นกหลายสิบตันกว่าจะได้โลหะพอ ซึ่งโอกาสจะรวบรวมได้สักกิโลกรัมหนึ่งก็ยากแล้ว

ตอนเสกอาตมาก็ถามพระท่านด้วยว่า พิธีกรรมพรุ่งนี้จะให้จัดอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมา เฟิร์สบอกว่าวัตถุมงคลเต้นได้ครับ แต่อาตมาไม่ทันรู้ตัว ถ้าขืนปล่อยให้เต้นบ่อย ๆ เดี๋ยวอาตมาตายเร็ว ถ้าใครต้องการวัตถุมงคลรุ่นนี้ไปหาที่วัดบึงลาดสวายนะ บอกว่าเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เล็ก ขอราคาพิเศษหน่อย อาจจะได้ราคาแพงเป็นพิเศษ..!

๑๐๐ องค์นี้จะให้ "ตัวเล็ก" เอาไปลงในกระทู้ทำบุญงานอุปสมบทหมู่ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปแย่งกันในนั้นก็แล้วกัน เป็นกระทู้ที่ร้อนแรงมาก ลงอะไรไปหมดเกลี้ยงทุกที"

เถรี
06-03-2016, 08:00
ถาม : ถ้าเราอยากได้งานที่ใช่สำหรับเรา ควรปฏิบัติอย่างไร หรือว่าต้องอธิษฐานอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...งานอะไรที่ไม่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมให้ทำไปทุกอย่างเลย อาตมาเป็นคนไม่เกี่ยงงาน ทำตั้งแต่ผู้จัดการยันภารโรง มัวแต่ไปรองานที่ใช่ อีกกี่ชาติกว่าจะมาก็ไม่รู้ งานอะไรก็ทำไปเถอะ ตั้งใจทำจริงเดี๋ยวก็ดีเอง

เถรี
06-03-2016, 08:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาลืมเอาวัตถุมงคลให้ "เอ้" ไปลอง เห็นเอ้ไปเปิดร้านแล้วคู่แข่งเยอะ มีปลัดขิกที่ขลังมาก ๆ เลย อาตมาจะเอาไปลองเอง แต่ไม่มีที่ให้ลอง ฝากโยมไปลองดีกว่า

พวกเราเข้าใจคำว่าปลัดขิกไหม ? ปลัดขิก ก็คือ วัตถุที่ทำเป็นรูปอวัยวะเพศผู้ชาย สมัยโบราณเขาเรียกเลี่ยง ๆ ไป เรียกว่าขุนเพชรบ้าง ปลัดบ้าง บุคคลแรก ๆ เลยที่สร้างเป็นพระ พระรูปนั้นชื่อว่าหลวงพ่อขิก ท่านทำขลังจริง ๆ ปลัดที่หลวงพ่อขิกสร้าง เจอผู้หญิงนี่เต้นเองเลย วัดที่ท่านอยู่ก็เลยเรียกว่าวัดสาวชะโงก ก็คือ ผู้หญิงต้องคอยไปชม้อยชม้ายอยู่ตลอด เพราะเมตตามหานิยมเหลือขนาด

รุ่นศิษย์รุ่นต่อมา คือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ก็ดังระเบิดเถิดเทิงในช่วงสงครามโลก หลวงพ่อขิกท่านเป็นอาจารย์ปู่ เขาก็เลยเรียกปลัดหลวงพ่อขิก เรียกไปเรียกมาก็เลยกร่อนเหลือแต่ปลัดขิก ลืมไปว่าต้นตำรับคือหลวงพ่อขิกเอง

ปลัดขิกมาจากความเชื่อในอาถรรพเวทของทางด้านฮินดู เขาเชื่อว่าพลังอำนาจในการให้กำเนิดชีวิตคือพลังอำนาจที่สูงสุด คนฮินดูก็เลยบูชาศิวลึงค์กับอุมาโยนี เป็นอวัยวะเพศหญิงและอวัยวะเพศชายที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดชีวิต ก่อนหน้านี้ทางฮินดูมีแค่คัมภีร์สามเล่ม ที่เรียกว่าไตรเวทหรือไตรเพท ต่อมาพัฒนามาเป็นคัมภีร์เล่มที่ ๔ คืออาถรรพเวท เป็นต้นตำรับบรรดาคาถาอาคมต่าง ๆ พอมาเมืองไทยก็โดนปรับ โดนแปลงไปเรื่อยโดยบุคคลที่ศึกษา ก็เลยเอามาสร้างเป็นปลัดขิก

บ้านเราปลัดขิกสำนักที่ดัง ๆ เลย ก็มี หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก เขาไม่เอ่ยถึงหลวงพ่อขิกหรอก เพราะเขาไม่ค่อยรู้จักกัน ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นต้นตำรับเลย"

เถรี
06-03-2016, 08:06
"หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋พอสร้างเสร็จ ท่านให้เขาเอาไปเททิ้งกลางทะเล แล้วเรียกกลับมา พูดง่าย ๆ ว่าให้ว่ายน้ำมาลงภาชนะ แบบเดียวกับหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก สร้างตะเพียนเงินตะเพียนทอง สร้างเสร็จก็ให้ลูกศิษย์เอาไปเททิ้งกลางแม่น้ำ แล้วก็เรียกกลับมาลงกะละมัง

อีกสำนักหนึ่งที่ดัง คือ หลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ และหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก หลวงพ่อยิดท่านบวชตอนอายุมากแล้ว บวชตอนอายุ ๔๐ ปี แต่ท่านขลังตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส ปลัดขิกของหลวงพ่อยิดดังขนาดไหน ? ขนาดบินแข่งกับเครื่องบิน ตชด. เล่นเอา ตชด. ปากอ้าตาค้างมาแล้ว

ส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นด้านเมตตามหานิยมและการค้าขาย ก็เลยอยากให้เอ้เอาไปลอง เพราะคู่แข่งเขาเยอะ แต่อาตมาลืมเอามา"

เถรี
06-03-2016, 12:19
"มีครูบาอาจารย์อีกหลายท่านที่สร้างปลัดขิกเอาไว้ แต่ท่านไปเด่นทางด้านอื่นแทน ปลัดขิกของท่านที่ขลังสุด ๆ ก็กลายเป็นดังสู้อย่างอื่นไม่ได้ อย่างหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ท่านไปดังเรื่องตะกรุด แต่ปลัดขิกของท่านนี่เจอผู้หญิงเมื่อไรก็วิ่งเองเลย อะไรจะขลังได้ปานนั้นก็ไม่รู้ !?!

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามหรือวัดบ้านแค ท่านสร้างปลัดขิกลูกสะกด เป็นปรอทด้วย รับประกันคุณภาพ...เอาไปใช้นี่ห้ามด่าแม่เด็ดขาด ด่าไปบางทีวัตถุมงคลแตกต่อหน้าต่อตาเลย อีกท่านหนึ่งก็คือ หลวงพ่อเมฆ วัดลำกระดาน ท่านดังปลัดขิกไม้เขยตาย

เคยได้ยินชื่อไม้เขยตายไหม ? ชื่อเต็ม ๆ คือ ไม้เขยตายแม่ยายชักปรก ก็คือลูกเขยออกไปทำนาแล้วโดนงูเห่ากัดตาย แม่ยายก็เลยตัดเอาต้นไม้มาคลุมศพไว้ ไม่ให้สัตว์มาแทะกิน ตัวเองก็กลับบ้านไปตามคนในหมู่บ้านมาช่วยหามศพ พอมาถึงปรากฏว่าลูกเขยนั่งตาแป๋วเลย เพราะว่ายางของไม้เขยตายนั้นแก้พิษงูได้ชะงัดที่สุด ดวงของเขาคงไม่ถึงที่ตาย แม่ยายตัดกิ่งไม้มาโปะอีท่าไหนไม่รู้ ยางไปโดนแผลเข้าพอดี เขาก็เลยเรียกไม้เขยตายมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ดันเอาไปทำปลัดขิก คนก็เลยคิดว่าเขยตายเพราะสาเหตุอื่น..!

หลวงปู่สี วัดสะแก ทำปลัดขิกไว้เหมือนกัน แต่เป็นปลัดงา หลวงปู่สีคือใคร ? คืออาจารย์ของหลวงปู่ดู่ หลวงปู่สีเป็นลูกศิษย์หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ หลวงปู่ดู่ก็บวชกับหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ แต่ว่ารุ่นห่างกันมาก ในเมื่อพรรษาห่างกันเยอะก็เลยกลายเป็นอาจารย์ไปเลย อย่างอาตมาบวชอยู่วัดท่าซุงก็ทันหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเจ้าคุณอนันต์ก็อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ท่านเจ้าคุณอนันต์เป็นพระอาจารย์คู่สวด ถึงแม้จะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเดียวกัน แต่ท่านเป็นระดับอาจารย์ หลวงปู่สีก็เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่กลั่น แต่ก็เป็นระดับอาจารย์ของหลวงปู่ดู่อีกที

ปลัดขิกของหลวงปู่สีน่ารักมาก ท่านแกะด้วยงาตัวนิดเดียว ยาวประมาณนิ้วหนึ่ง ส่วนใหญ่จารด้วยคาถาหัวใจโจร กัณหะ เนหะ เวลาใช้ปลัดขิกจะสำนักไหนก็ตาม ใช้คาถานี้ กัณหะเนหะ นะโมพุทธายะ ปลุกได้ทุกสำนัก"

เถรี
06-03-2016, 12:22
"อีกท่านหนึ่งที่ดังด้านนี้คือหลวงพ่อซ่วน วัดท่าลาดใต้ แต่ปลัดขิกของหลวงพ่อซ่วนพกไม่ไหวหรอก หนักเป็นตันเลย แต่ละตัวที่ท่านทำใหญ่เป็นโอบ สมัยนั้นท่านสร้างจนกระทั่งเขาฮือฮากัน เพราะหนังสือพิมพ์ไปทำข่าวแล้วเอามาลง คณะสงฆ์จึงสั่งห้ามหลวงพ่อซ่วนสร้างอีก เพราะเห็นว่าอุจาดตา

คนก็ไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า หลวงพ่อซ่วนทำแบบนั้นอาบัติไหม ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านศึกษามาอย่างไร ท่านก็แสดงออกมาอย่างนั้น ท่านทำแล้วมีผล คนเขาถึงไปหากัน ปลัดขิกของหลวงพ่อซ่วนทำในลักษณะสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เสริมบารมี ใครอยากเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ไปหาหลวงพ่อซ่วนท่านนำสร้างให้ แล้วก็ได้สมใจทุกที นี่ถ้าท่านยังไม่มรณภาพคนก็คงจะหางานให้ท่านอีกเยอะเลย

ฉะนั้น...ถ้าเจอปลัดขิกเก่า ๆ อย่าลืมตะครุบเอาไว้ก่อนนะ ถ้าไม่มั่นใจก็ให้ผู้หญิงเดินข้าม ถ้าปลัดขิกกระโดดตามก็มั่นใจได้เลยว่ารุ่นเก่าแน่นอน"

เถรี
06-03-2016, 12:24
"เรื่องของคาถาอาคมหรือเครื่องรางของขลังต่าง ๆ เป็นเรื่อง "ของจริง" และ "คนจริง" ถ้าทำไม่จริงก็ไม่เกิดผล หลวงปู่หลวงพ่อซึ่งเป็นบูรพาจารย์ ถึงเวลาท่านก็ปรับเรื่องของไสยศาสตร์กลับมาเป็นพุทธศาสตร์ เอาพื้นฐานของสมาธิในการใช้คาถาอาคมต่าง ๆ มาใช้ในการเจริญกรรมฐานแทน"

เถรี
06-03-2016, 12:33
"สมัยก่อนเวลาครูบาอาจารย์ทำของขลังก็มักจะเป็นตะกรุด จะเอาตะกรุดหนังเสือก็หายาก ก็เลยต้องใช้โลหะ เวลาลูกศิษย์มาขอ ไม่มีให้ก็เอาฝาบาตรมาทำ เขาถึงได้เรียกว่าตะกรุดฝาบาตร

หลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย คนแห่กันไปขอจนท่านไม่มีวัสดุจะสร้าง ท่านก็เลยต้องทำตะกรุดสังกะสี เอาสังกะสีมุงหลังคามาตัดแล้วก็เขียนอักขระม้วนแจกไป หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หนักกว่านี้อีก เป็นตะกรุดถุงปูน ถุงปูนก่อสร้างนั่นแหละ เอามาตัดเป็นแผ่น ๆ เขียนยันต์เสร็จแล้วก็ม้วนพันเชือกส่งให้ ก็ขลังเหมือนกัน แสดงว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัสดุ ขึ้นอยู่กับคนทำ

โดยเฉพาะหลวงพ่อทบ วัดชนแดน ระยะหลังท่านย้ายไปอยู่วัดช้างเผือกที่เพชรบูรณ์ หลวงพ่อทบเวลาจารตะกรุดเสร็จ จะให้ลูกศิษย์เอาไปลองยิงก่อน ถ้ายิงไม่ออกถึงจะใช้ได้ แล้วเอามานั่งเสกซ้ำอีกที ถ้ายิงออกก็เลิก จารอันใหม่ แต่ปรากฏว่าตะกรุดของท่านไม่เคยยิงออกเสียที นั่นแค่จารนะ อาตมาถึงได้บอกว่าตะกรุดมหาสะท้อนจารเสร็จก็ใช้ได้เลย แต่โยมบางคนก็ไม่เชื่อ"

เถรี
06-03-2016, 19:40
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานตอนฉันเช้า หลวงพ่อสิงห์ท่านถามว่า สัตตบริภัณฑ์คืออะไร ? ก็เรียนท่านว่าสัตตบริภัณฑ์เป็นภูเขาที่ล้อมโลกอยู่ โลกเราคือชมพูทวีป มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง มีเขาสัตตบริภัณฑ์อย่างยุคันธร อิสินธร เนมินธร ฯลฯ พวกนี้ล้อมรอบอยู่"

เถรี
06-03-2016, 19:51
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ตอนพุทธาภิเษกก็อัญเชิญครูบาอาจารย์ที่เป็นเจ้าของมีดหมอมาทั้งหมด ปรากฏว่ามีเกินมาหนึ่งท่าน คือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว สงสัยท่านมาทำไม ? วันนี้เลิกสงสัยแล้ว ท่านอาจารย์วิสุทธิ์โทรมาแจ้งว่า "พระอาจารย์...ผมมีมีดหมอหลวงปู่บุญอยู่เล่มหนึ่ง" เสร็จอาตมา ...(หัวเราะ)... องค์หลวงปู่ท่านมาล่วงหน้า มีดหมอตามมาทีหลัง

เมื่อวานนี้ตอนพุทธาภิเษก พระท่านส่งพลังลงมาทุกส่วนของแผ่นดินไทย โดยเฉพาะเขตที่มีพระเจดีย์สำคัญอยู่ อย่างภาคเหนือคือพระบรมธาตุดอยสุเทพ ภาคกลางคือพระปฐมเจดีย์ ภาคอีสานคือพระธาตุพนม ภาคใต้คือพระบรมธาตุไชยา เป็นต้น อย่างกรุงเทพฯ นี่ลงที่พระแก้วมรกตเลย

ท่านบอกว่า บุคคลที่ไปกราบอธิษฐาน ถ้าเกี่ยวกับเรื่องของวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ก็จะได้รับการประทานพรที่ตรงจุดนั้นเลย ทางกาญจนบุรี อาตมาตั้งใจจะเอาลงหลวงพ่อองค์ใหญ่วัดท่าขนุน แต่ท่านไม่ให้ ...(หัวเราะ).... ท่านโยกไปที่พุทธคยาเจดีย์ วัดวังก์วิเวการาม แหม...จะมักง่ายเสียหน่อย ให้โยมมาอธิษฐานที่วัดท่าขนุน แต่ท่านไม่ให้เสียนี่...

เมื่อครู่นี้ท่านมหาเอมา ท่านว่า "อาจารย์...ผมต้องบูชาวัตถุมงคลรุ่นนี้ไว้ เพราะสะเทือนไปยันพระเจดีย์วัดปากน้ำเลย" อาตมาบอกว่า "อ๋อ...ถ้ามีพระเจดีย์อยู่ได้หมดแหละ" ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะ อย่าถือเป็นสาระอะไรมาก เดี๋ยวจะกลายเป็นมงคลตื่นข่าวไป"

เถรี
06-03-2016, 20:08
ถาม : วรรณกรรมเรื่องสิทธารถะ ที่ประพันธ์โดย แฮร์มันน์ เฮสเสะ ชาวเยอรมัน มีเนื้อหาที่มีความเป็นจริง ที่ได้เกิดขึ้นจริงมากน้อยแค่ไหนครับ ? หรือว่าเกิดจากจินตนาการของผู้แต่งชาวเยอรมันทั้งหมด หรือว่าผู้แต่งท่านนี้เกิดทิพจักขุญาณ ระลึกชาติในอดีตของตนในอินเดียได้ครับ ?
ตอบ : เป็นจินตนาการส่วนหนึ่งจากการที่เขาศึกษาพระพุทธศาสนา

ถาม : ผมมีความสงสัยว่า การที่สิทธารถะเลือกที่จะไม่ปวารณาตนเป็นพุทธบริษัทเช่นโควินทะ แต่กลับสามารถบรรลุธรรมได้ด้วยตนเองในบั้นปลาย ในขณะที่พระโควินทะกลับไม่อาจเข้าถึงสัจธรรมในระดับถ่องแท้ ถึงแม้จะมีองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบรมครูผู้ชี้หนทางสว่าง มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนครับ ?
ตอบ : โอกาสที่กล่าวถึงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะสิทธารถะบรรลุธรรมโดยไม่มีใครสอนในขณะที่ยังมีพระพุทธเจ้าอยู่ การที่จะบรรลุธรรมโดยไม่มีใครสอน มีอย่างเดียวคือช่วงว่างจากพระพุทธเจ้า จะบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือไม่ก็รอพุทธันดรใหม่แล้วไปตรัสรู้เสียเอง สรุปก็คือเป็นความเข้าใจผิดของฝรั่ง

เถรี
06-03-2016, 20:15
ถาม : พอดีเพื่อนผมจะเปิดกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวที่พิษณุโลกช่วงประมาณเดือนมีนาคม เขาอยากได้ฤกษ์มหาสิทธิโชค (๒ ดาว) แต่เดือนมีนาคมมีแต่มหาสิทธิโชควันศุกร์ที่ห้ามเปิดกิจการ ที่เหลือก็มีแต่ฤกษ์สิทธิโชค ผมเลยบอกว่าให้เขารอเดือนเมษายนไปเลย เพราะวันที่ ๔ กับ ๕ เมษายนเป็นมหาสิทธิโชคและไม่ตรงกับวันศุกร์ครับ

แต่ทีนี้เขากับแฟนบอกว่า รอเปิดเมษายนนานเกินไป ถ้าเขาจะทำ pre sale ช่วงเดือนมีนาคมไปก่อน แล้วค่อยไปเปิดแบบ grand opening เอาวันที่ ๔-๕ เมษายนจะได้หรือไม่ ? จะเสียฤกษ์ไปหรือเปล่าครับ ? ผมเองก็เป็นห่วงเพื่อนว่าถ้าไปเปิดแบบ pre sale เสียแล้วก็เท่ากับไปเปิดกิจการเอาวันที่ไม่ตรงกับฤกษ์มหาสิทธิโชค จะเสียโอกาสไปเปล่า ๆ ขอคำแนะนำด้วยครับ

ตอบ : เปิดก็คือเปิด เปิดก็จบกัน แปลว่าไม่ต้องเอาฤกษ์ มี pre sale อีกต่างหาก pre sale เป็นการเปิดร้านขายไหมเล่า ? ขอแนะนำ เปิดร้านให้กินฟรีไปถึงเดือนเมษายนแล้วค่อยขาย ไหน ๆ ก็อยากจะเปิดดีนัก...!

เถรี
06-03-2016, 20:20
ถาม : หากฆราวาสมีอาชีพที่รายได้ปัจจุบันเกี่ยวเนื่องโดยตรงและแปรผันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับประสิทธิผลในการที่ต้องทำหน้าที่ "จงใจ" หาช่องว่างของกฎหมายเพื่อเลี่ยงลดภาษีให้บริษัทของลูกค้า โดยต้องชำระภาษีแก่รัฐให้น้อยที่สุด แต่ทุกอย่างยังคงอยู่ในกรอบของประมวลรัษฎากรและระเบียบกรมสรรพากร คำถามคืออาชีพที่ทำอยู่นี้ ถือเป็นการเจตนาทุจริตต่อประเทศชาติ ก่ออกุศลกรรม และเสี่ยงต่อการผิดศีลธรรมหรือไม่อย่างไรครับ ?

ตอบ : ถ้ายังอยู่ในกรอบของประมวลรัษฎากรก็ทำได้ แต่เสี่ยงต่อการผิดศีลธรรม เพราะ 'เลี้ยว' จนเคยชิน ต่อไปจะเผลอไปทำในเรื่องที่ผิดศีลเข้าจริง ๆ

เถรี
06-03-2016, 20:25
ถาม : บทเรียกบารมีของวัดท่าซุง ที่ขึ้นต้นด้วย "พุทฺธํ นเม รตนภูตสรีรจิตฺตํ" คือ บทสวดมนต์บทเดียวกันกับที่ใช้อธิษฐานจิตเรียกบารมีทั้ง ๑๐ ที่ได้บำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตชาติแรกให้มารวมตัวกันในชาติปัจจุบันใช่หรือไม่ ? หากไม่ใช่บทเดียวกัน กราบอาราธนาพระอาจารย์เมตตาชี้แนะบทสวดมนต์ที่ถูกต้องด้วยครับ
ตอบ : เอามาจากไหน ? อาตมาอยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่ฆราวาสจนบวชพระ รวมแล้ว ๑๘ ปี ไม่เคยได้ยินบทดังกล่าวเลย

บทเรียกบารมีของหลวงพ่อก็คือ อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ ปัญญาสะหะวิริยะ ขันตีสัจจะธิฏฐานะ สะเมตตุเปกขา ยุทธายะ โว คัณหะถะ ที่อยู่รอบเหรียญพุทธบารมี ไปค่อย ๆ อ่านรอบเหรียญเอาเอง ของจริงอยู่ที่นั่น

เถรี
06-03-2016, 20:30
ถาม : การขอใบอนุโมทนาบัตรจากทางวัด หากแต่เจ้าอาวาสจงใจไม่ออกใบอนุโมทนาบัตรให้ ฆราวาสควรดำเนินการอย่างไรครับ ?
ตอบ : กราบอ้อนวอนทั้งน้ำตา เดี๋ยวท่านก็ออกให้เอง ถ้าโยมทำบุญแล้วขออนุโมทนาบัตร โดยมารยาทและหน้าที่แล้วเจ้าอาวาสต้องออกให้ ถ้าไม่ออกให้ ก็กราบเท้าอ้อนวอนท่านทั้งน้ำตา เดี๋ยวท่านก็ใจอ่อนออกให้เอง บางทีท่านไม่ออกให้อาจเป็นเพราะว่าโมทนาบัตรหมด ก็ซื้อไปถวายท่านสัก ๗-๘ เล่ม...!

เถรี
06-03-2016, 20:35
ถาม : ผมเข้าใจว่า งานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร ตามปกติจะเป็นงานพุทธาภิเษกด้วย ซึ่งทางวัดจะอนุญาตให้ญาติโยมนำเอาวัตถุมงคลมาเข้าร่วมพิธีได้ ผมขอกราบเรียนถามเป็นความรู้ว่า วัตถุมงคลที่เหมาะสมในการนำเข้าร่วมพิธี ควรจะเป็นเฉพาะพระพุทธรูป หรือพระเครื่องเท่านั้น ? หรือสามารถนำองค์เทพหรือวัตถุมงคลอื่น ๆ เช่น พระพิฆเนศ องค์พญานาค องค์พญาครุฑ สาลิกา มาเข้าร่วมในพิธีเพื่อให้เกิดพลังศักดิ์สิทธิ์กับองค์เทพเหล่านั้นได้ด้วยครับ ?

ตอบ : คนถามด้อยประสบการณ์มาก แสดงว่าไม่เคยเห็นคนเอาลิปสติก แป้งพัฟ พวกโลชั่นไปเข้าพิธีกัน อยากจะเอาอะไรไปเข้าพิธีก็ได้ แต่ขออยู่อย่างว่า อย่าเอาของที่เสกด้วยพิธีไสยศาสตร์มาก่อนไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก เพราะจะโดนทำลายเกลี้ยงเลย ถ้าเสียดายกำลังไสยศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ผลปัจจุบัน แต่สร้างความเดือดร้อนให้ทีหลัง ก็กรุณาอย่าเอาของพวกนี้ไปเข้าพิธี

เถรี
06-03-2016, 20:40
ถาม : ผมอยากเรียนสอบถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องการบนขายที่ดิน ต้องทำการบนอย่างไรบ้างและบนกับท่านใดครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วถ้าศรัทธาหลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหนก็เชิญบนได้ตามสะดวก เพราะไม่มีตายตัว ปัจจุบันนี้เห็นนิยมหลวงพ่อปากแดง ถ้าเป็นอาตมาสมัยก่อนก็รบกวนเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เป็นที่พึ่ง

ถาม : บนกับครูบาอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าบุญพอก็ได้ ถ้าบุญไม่พอ เติมเท่าไรไม่เต็มก็อด

ถาม : อาจจะต้องลองบนกับหลวงพ่อวัดท่าขนุนดูบ้างค่ะ
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าขนุนท่านอยากได้ที่ดิน กำลังหาทางซื้อที่เพิ่มอยู่ ถ้าบนกับท่านก็ขายไม่ออกหรอก เพราะที่ไม่ได้อยู่ติดวัด

เถรี
06-03-2016, 20:44
ถาม : มีวัตถุมงคลขององค์หลวงพ่อวัดท่าซุงประเภทใดบ้าง ที่สามารถกันขโมยขึ้นบ้านหรือร้านค้าครับ ?
ตอบ : ถ้าวัตถุมงคลกันขโมยโดยตรงก็ไม่มี แต่ท่านเคยให้คาถากันขโมยไว้ ก็คือ ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระนัง ฆะเตสิ อะหังปิตตัง ชานามิ ชานามิ มีอีกอย่างคือทรายเสกของท่าน แต่ทรายเสกส่วนใหญ่เอาไว้กันพวกที่มองไม่เห็นมากกว่า ลองอธิษฐานกันของที่มองเห็นดูบ้าง ได้ผลอย่างไรแล้วมารายงานด้วย

เถรี
06-03-2016, 20:47
ถาม : ด้วยปรากฏว่ามีบุคคลที่เช่าวัตถุมงคลจากวัดท่าขนุน แล้วนำไปออกให้บูชาต่อในราคาแพง โดยมีการเขียนคำบรรยายหรือคำอธิบายที่น่าจะคิดขึ้นเอง (เพราะไม่มีหลักฐานอ้างอิง) หรืออาจไม่ตรงกับความจริง การเขียนมีทั้งเขียนแบบตรง ๆ และเขียนแบบอ้อม ๆ ผู้กระทำเช่นนี้จะได้รับผลกรรมเช่นไรครับ ?
ตอบ : ถ้าคนเต็มใจไปบูชาของเขา ก็อยู่ในลักษณะเหมือนกับหลอกลวง แต่อาตมาเองก็ชินแล้ว บางทีโยมเขาเปิดเว็บให้ดู ว่าคนนี้เอาของหลวงพ่อไปขายแล้วว่าอย่างนี้ อาตมาไปอ่านเนื้อหาดู เขาเอามาจากไหนวะ ? ตูไม่เคยพูดสักหน่อย เขียนใส่ไปเรื่อย

ถ้าทางโลกก็ถือว่าเขารู้จักทำมาหากิน แต่ในทางธรรมก็มีโทษฉ้อโกงเหมือนกัน

เถรี
06-03-2016, 20:57
ถาม : ตามที่กระผมเข้าใจ หากสร้างวัตถุมงคลแล้วจะนำเข้าพิธีบวงสรวงและเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน ก็สามารถนำเข้าพิธีดังกล่าวได้ โดยการนำติดตัวไปหรือนำไปฝากไว้ที่จุดรับฝากวัตถุมงคลของทางวัดในช่วงพิธี โดยไม่จำเป็นต้องกราบเรียนขออนุญาตหลวงพ่อก่อน แต่หากมีการแจ้งขออนุญาตหลวงพ่อ เข้าใจว่า "มีผล" เป็นแค่การกราบเรียนให้หลวงพ่อ "รับทราบ" เท่านั้น ไม่ใช่ว่า หลวงพ่อ "รับรอง" ใด ๆ ทั้งสิ้น ความเข้าใจดังกล่าวถูกต้องไหมครับ และหากเข้าใจผิด ที่ถูกต้องควรทำเช่นไรครับ ?

ตอบ : ปกติงานเป่ายันต์เกราะเพชรตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปานหรือหลวงพ่อฤๅษีมา ใครมีวัตถุมงคลอะไรสามารถนำไปเข้าพิธีได้เลย สิ่งที่หลวงพ่อฤๅษีท่านแนะนำก็คือ หาผ้าขาวมาวางวัตถุมงคลไว้บนตักตัวเอง ขณะที่ทำพิธีเป่ายันต์ก็ให้อาราธนาบารมีพระมาลงที่วัตถุมงคลของเราด้วย

ส่วนการที่ทางวัดเปิดให้นำวัตถุมงคลเข้าพิธีนั้น ก็คืออนุญาตให้คนที่ทำเป็นจำนวนมากได้นำไปเข้าพิธี และถ้าแจ้งทางวัดก่อนก็จะได้อำนวยความสะดวกให้ แต่ถ้าไม่ได้แจ้งก็หอบหิ้วกันเอาเอง

ส่วนเรื่องการรับรองนั้นขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของคนที่เอาวัตถุมงคลไปเข้าพิธีมากกว่า เพราะต่อให้อาตมารับรอง แต่ตัวบุคคลไม่น่าเชื่อถือ คนเขาก็ไม่สนใจที่จะบูชา

การเอาวัตถุมงคลไปเข้าพิธี อาตมาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้น...ถ้าเขาเอาไปเข้าพิธีก็เหมา ๆ ไปเถอะว่าใช่ เพราะส่วนใหญ่ก็ขนกันไปเป็นคันรถ

เถรี
06-03-2016, 21:06
ถาม : ผมเริ่มต้นจากการเพ่งมองภาพถ่ายพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ทั้งองค์ที่วัดท่าซุง และองค์ที่บ้านวิริยบารมี หรือบางครั้งก็เป็นองค์พระพุทธชินราช เพื่อให้จำไว้ในจิต แต่เมื่อนำมาใช้งานจริง ๆ โดยไม่มีภาพจริงให้ดู การเห็นภาพพระในจิตยังมีการคลาดเคลื่อนอยู่มาก โดยบางครั้งจิตจะนึกภาพสมเด็จองค์ปฐมหรือพระพุทธชินราชที่จำไว้ไม่ได้ แล้วส่งเป็นภาพพระพุทธรูปอื่น ๆ ที่ผมเคยเห็นมาแทน เช่น พระแก้วมรกต หรือองค์อื่น ๆ บางครั้งมาครบองค์บ้าง บางครั้งมาแค่บางส่วน เช่นเฉพาะพระเกศาที่เป็นรูปก้นหอย เฉพาะพระพักตร์ด้านข้าง เฉพาะนิ้วมือ หรือเฉพาะส่วนเท้า แต่บางครั้งจิตจำไม่ได้เลย แล้วส่งรูปพระพุทธรูปที่เกิดจากจินตนาการเอาเองล้วน ๆ ขึ้นมาแทน เหมือนเป็นการปะติดปะต่อ จากองค์โน้นองค์นี้ขึ้นมา ซึ่งอาจจะไม่ได้มีอยู่จริงในโลกนี้

ผมไม่แน่ใจว่าผมจะคงใช้ภาพพระที่เกิดจากจินตนาการนี้ต่อไป เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของสมาธิได้หรือไม่ หรือว่าควรละเว้นเสีย ? เพราะอาจจะเป็นความฟุ้งซ่านของจิต เพราะท่านไม่ได้มีอยู่จริง และจะเกิดโทษอย่างไรหรือไม่ประการใด และควรจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อแก้ไขครับ ?

ตอบ : ถ้าตั้งใจกำหนดในพุทธานุสติ จะเป็นรูปพระพุทธรูปขึ้นมาอย่างไรก็ได้ สามารถจับเป็นอนุสติต่อไปได้เลย จะเป็นของจริงหรือของในจินตนาการก็ได้ เรากำหนดองค์นี้ อีกองค์หนึ่งมาแทนก็ได้ ขอให้เป็นพระพุทธรูปเท่านั้น

การกำหนดภาพพระพุทธรูปในระยะแรก ถ้าไม่มีความคล่องตัวก็อย่าเพิ่งไปเอารายละเอียด ขอให้รู้สึกและมั่นใจว่ามีพระพุทธรูปอยู่กับเราก็ได้ แค่นั้นก็พอแล้ว ถ้าเอามากกว่านั้น จิตเฝือขึ้นมาก็จะกลายเป็นสับสนอลเวงอย่างที่กล่าวมา

แม้กระทั่งอาตมาเอง บางเวลาป่วยหนัก สมาธิไม่ค่อยอยากจะทำงาน กำหนดภาพพระไม่เห็นอะไรเลย นอกจากปลายเกศแหลม ๆ นิดเดียว ก็เอาแล้ว มั่นใจว่าท่านอยู่ตรงนั้นก็กราบเลย

เถรี
06-03-2016, 21:08
ถาม : พระเเก้วขาวเสตังคมณี พระคู่บารมีของท่านแม่จามเทวี ท่านใดเป็นคนสร้างครับ ?
ตอบ : ถามแบบไม่เกรงใจเลย ตามตำนานเขาบอกว่าพระวิษณุกรรมสร้าง ดันตอบได้อีก...

เถรี
06-03-2016, 21:11
ถาม : มีคนทักเรื่องหมายเลขโทรศัพท์ของผมว่าไม่ดีมา ๓ คนแล้วครับ แต่ผมเฉย ๆ ไม่อยากเปลี่ยน เพราะเปลี่ยนครั้งหนึ่งตั้ง ๒,๐๐๐ บาท เสียดายเงินครับ ผมอยากทราบว่าการเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์นั้นจะทำให้ชะตาชีวิตดีขึ้นจริงหรือไม่ครับ ? ถ้าเปลี่ยนแล้วดีขึ้นจริงผมก็จะได้เปลี่ยนครับ
ตอบ : ถ้าเปลี่ยนแล้วดีขึ้นจริง บริษัทเขาก็คงขายแต่เบอร์ที่ดี ๆ เบอร์ของอาตมาเขาบอกว่าเฮงซวยมาก ได้คะแนนแค่ ๓๕ ใน ๑๐๐ เท่านั้นเอง ก็ยังใช้มาจนทุกวันนี้ มีแต่เจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี
06-03-2016, 21:16
ถาม : ศีลแปดข้ออะพรัหมะจะริยานั้น สามารถถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามได้หรือไม่ครับ ? แล้วสัตว์เพศตรงข้ามได้หรือไม่ อย่างกรณีผมเป็นผู้ชาย สามารถลูบหัวหรือเล่นกับหมาตัวเมียได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจถืออะพรัหมะจะริยา ถ้าเป็นพระแม้แต่ผู้ชายก็ห้ามแตะต้องตัว อย่างของพระเขาใช้คำว่า กายะสังสัคคัง คือมีกายอันสัมผัสกัน เขาก็ถือว่าโดนอาบัติแล้ว เพราะไม่ใช่แต่ผู้หญิงจะเป็นโทษ ผู้ชายก็ทำให้นึกถึงกามารมณ์ได้เช่นกัน ฉะนั้น...ถ้าถืออะพรัหมะจะริยา การไม่รู้ไม่เห็นได้จะปลอดภัยที่สุด อย่าว่าแต่ไปจับต้องสัมผัสเพศตรงข้ามเลย

เถรี
06-03-2016, 21:21
ถาม : ถ้าจัดอันดับเนื้อโลหะที่สามารถรับพลังตอนพุทธาภิเษกจากมากไปน้อย คือ เนื้อทองคำ เนื้อนาก เนื้อเงิน เนื้อทองแดง แต่ถ้าเป็นเนื้อเรซิ่นจะได้รับพลังบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ดูท่าจะเรียงอันดับผิด ถ้าทองคำก็ต้องมาเป็นตะกั่ว วัตถุทุกชนิดสามารถรับพลังงานจากการพุทธาภิเษกได้ทั้งนั้น แต่ที่บอกว่าได้มากน้อยต่างกันนั้น เปรียบเหมือนภาชนะที่บรรจุน้ำ วัตถุบางอย่างเหมือนกับภาชนะใหญ่บรรจุน้ำได้มาก บางอย่างภาชนะเล็กบรรจุน้ำได้น้อย แต่ปริมาณต่ำสุดนั้นมีอยู่ เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องกังวล ถึงจะแย่ขนาดไหนก็ตาม ก็จะมีระดับเต็มที่ของเขาอยู่

เถรี
06-03-2016, 21:26
ถาม : โบราณท่านว่า หากนำพระเครื่องหรือพระพุทธรูป ไว้ในโบสถ์ระหว่างที่มีการบวชพระ จะเป็นการเสกพระ ความเชื่อนี้ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : เขาก็เชื่ออย่างนั้นกันทั้งนั้น ส่วนเชื่อแล้วถูกต้องหรือไม่ต้องไปถามคนเชื่อ

การเสกพระในระหว่างบวช เพราะเขาถือว่าคนธรรมดายังเสกจนกลายเป็นพระสงฆ์ เพราะฉะนั้น...วัตถุมงคลก็เท่ากับได้รับการเสกไปในตัวด้วย ความเชื่อนี้มีมาแต่โบราณแล้ว ถามว่าถูกไหม ? ไม่มีอะไรถูกร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่ทำไปเถอะ...ดีทั้งนั้นแหละ

เถรี
07-03-2016, 07:57
ถาม : จุดประสงค์ในการขอขมากรรมก่อนบวชพระเพื่ออะไรครับ ? หากเราโกรธกับเพื่อน หรือทำความผิดกับผู้อื่นไว้ แล้วไม่ได้ขอขมากรรมก่อนบวช การบวชครั้งนั้นจะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าถึงพร้อมด้วยสมบัติ ก็คือ วัตถุสมบัติ บุคคลที่บวชมีคุณสมบัติครบถ้วน สีมาสมบัติ สถานที่บวชถูกต้องตามพระธรรมวินัย ปริสสมบัติ พระที่อยู่ในเขตนั้นมีจำนวนตามที่พระวินัยกำหนดเอาไว้ กรรมวาจาสมบัติ การสวดญัตติและอนุสาวนาถูกต้อง ก็ถือว่าบวชแล้วเป็นพระเต็มองค์เหมือนกัน

ส่วนการขอขมาลาโทษนั้น จริง ๆ แล้วมีผลอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ ถ้าเคยสร้างกรรมต่อกันมาจะได้เป็นอโหสิกรรมต่อกัน ไม่ถือโทษโกรธเคืองกันต่อไป ประการที่สอง ก็คือ ไปแจ้งข่าวให้เขารู้ว่าบวช เขาจะได้โมทนาด้วย

ถาม : คนโบราณกล่าวว่า ถ้าเบียดก่อนบวช พ่อแม่จะได้รับผลบุญห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ความเชื่อนี้ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องของคนขี้เหนียวหวงบุญ กลัวคนอื่นจะได้บุญด้วย จะมีเมียก่อนบวชสัก ๗-๘ คน พ่อแม่ก็ได้บุญอยู่ดีนั่นแหละ...!

เถรี
07-03-2016, 07:58
ถาม : พระแทงหวยใต้ดิน โดนอาบัติข้อไหนไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเอาอาบัติโดยตรงก็ไม่มี แต่การเล่นหวยเป็นอเนสนา คือหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่ชอบ ถ้าจะปรับอาบัติต้องปรับปาจิตตีย์ ข้อไม่เอื้อเฟื้อในพระวินัย

เถรี
07-03-2016, 08:17
ถาม : ขอพระอาจารย์เมตตามอบคาถาอาราธนาก่อนขับรถให้ด้วยครับ ?
ตอบ : เอาอย่างหลวงพ่อคูณไหม ? มึงขับเกินร้อยกูก็กระโดดลงแล้ว

หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่า บุคคลที่จะขับรถให้ภาวนาบทกรณียเมตตสูตรให้เป็นปกติ เอาแค่ เมตตัญจะ สัพพะโลกัส์มิงฯ ไปจนจบ เทวดาตามรายทางก็จะช่วยรักษาให้

แต่ถ้าเป็นอย่างอาตมา ก่อนจะออกรถก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าที่เจ้าทางตลอดเส้นทางทั้งหมด แล้วขอให้เขาช่วยรักษาเรา แล้วค่อยภาวนากรณียเมตตาสูตร ถ้าทำอย่างนั้นแล้วมีอุบัติเหตุไหม ? ก็มี บางทีหนักด้วย แต่อุบัติเหตุทุกครั้งไม่เคยมีคนเจ็บ แม้แต่รอยแมวข่วนก็ไม่มี ชนชนิดที่ต้องซ่อมเป็นเดือน แต่รู้สึกแค่ตัวโยกนิดเดียว แสดงว่าที่ท่านช่วยก็มีผลเหมือนกัน มีบางทีโดนขนาดเขาต้องแงะออกมา เพราะออกจากรถไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยเจ็บเลย

ถาม : ถ้าขับไปแล้วเห็นเพื่อนอยู่ตามข้างทาง หรือบนต้นไม้ ตามเสาอย่างนี้ ควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ชวนไปอยู่ด้วยกัน จะได้เต็มบ้านเลย...! ก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปสิ

เถรี
07-03-2016, 12:34
ถาม : ในระหว่างพิธีพุทธาภิเษกวันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙ หลังจากสวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง จะให้ผู้เข้าร่วมพิธีนั่งสมาธิ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเด็กเล็กร้องและมีเด็กพูดในระหว่างพิธีตลอด ทำให้รบกวนสมาธิผู้ที่เข้าร่วมพิธี ลักษณะแบบนี้จะเป็นโทษกับเด็กไหมครับ เพราะทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ?
ตอบ : การสร้างกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจเป็น กตัตตากรรม กรรมเล็กน้อย แต่กรรมจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม เมื่อถึงวาระขึ้นมาก็จะส่งผล

เหมือนกับพระพุทธเจ้าชาติหนึ่งที่เป็นลูกชาวนา ผู้เป็นพ่อไถนาด้วยควายมาทั้งวัน ตกเย็นปลดควายแล้ว บอกให้ลูกจูงควายไปกินน้ำ พอไปถึงแหล่งน้ำ ควายก็รี่เข้าไปจะกิน พระพุทธเจ้าที่เป็นเด็กเห็นว่าน้ำขุ่น ก็เลยดึงควายให้ไปกินน้ำใสแทน ทำด้วยเจตนาดีแท้ ๆ แต่ทำให้ควายที่เหนื่อยมาทั้งวันได้กินน้ำช้าไปนิดเดียว

ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน เดินทางระหว่างปาวาลเจดีย์ไปยังกุสินารา พอข้ามแม่น้ำก็ไปพักใต้โคนไม้ บอกพระอานนท์ให้ไปหาน้ำมา เพราะพระองค์ท่านกระหาย พระอานนท์ย้อนกลับไปที่แม่น้ำ ปรากฏว่าเกวียนห้าร้อยเล่มเพิ่งจะลุยผ่านไป น้ำขุ่นคลั่กเลย พระอานนท์กลับมาถวายรายงานว่าไม่มีน้ำ เพราะเกวียนเพิ่งจะลุยลงไป น้ำขุ่นจนกรองไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้กลับไปใหม่ น้ำใสนั้นมีอยู่ พระอานนท์ย้อนกลับไปใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ระยะเวลาพักเดียวเท่านั้น น้ำที่ขุ่นเป็นโคลนกลับใสและจืดสนิท

นั่นก็คือกตัตตากรรม กรรมที่ทำโดยไม่ได้เจตนา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็โดนสนองมาแล้ว ดังนั้น...ในงานพิธีที่ต้องการความสงบ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าพาเด็กเล็กที่ควบคุมไม่ได้เข้ามา เพราะจะเกิดโทษแก่เด็กเอง

ถาม : แล้วที่พระอาจารย์เล่าว่ามีอีกาไปร้องตอนพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้านิโรธสมาบัติ ตอนนี้อีกายังอยู่ในอเวจี ?
ตอบ : คนละที่กัน นกแสกไปร้องตอนพระสารีบุตรเข้าสมาบัติ เพราะท่านไปอยู่ในเขตเขา เขาก็คงคิดว่าจะมาแย่งหนูกิน เพราะนกแสกชอบกินหนู เป็นพระอรหันต์เข้าสมาบัติอยู่ นึกว่าจะมาแย่งหนูกิน ก็เลยไปร้องขับไล่ กลายเป็นรบกวนสมาธิ ทั้ง ๆ ที่กวนอย่างไรท่านก็ไม่รู้สึกหรอก แต่ก็มีโทษ จนกระทั่งทุกวันนี้ยังอยู่ในอเวจีอยู่เลย

เถรี
07-03-2016, 12:49
ถาม : การที่ผมเปิดไฟล์เสียงหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตั้งแต่บทบวงสรวงและชุมนุมเทวดา - บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย - เสียงพิธีสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ระยะเวลาตลอดทั้งวันภายในบ้าน และปิดท้ายด้วยบทนำอุทิศส่วนกุศลตามแบบฉบับวัดท่าซุง โดยผมพยายามน้อมจิตภาวนาตามเสียงไประหว่างทำงานอยู่ หรือพักผ่อนตามอัธยาศัยให้ได้ตลอดเวลาในทุกวัน ตัวผมเองได้อานิสงส์เท่าเทียมกันในด้านการภาวนาและทรงสมาธิ รวมถึงอานิสงส์จากการภาวนาพระคาถาเงินล้านหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าฟังอย่างเดียวได้น้อยมาก ถ้าภาวนาตามไปด้วยก็พึงได้อานิสงส์ตามกำลังสมาธิของตน

ถาม : อมนุษย์ที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน, ญาติที่ล่วงลับ, รวมถึงพรหม เทพยดา บริเวณรอบในและนอกเคหสถานจะมีโอกาสได้อนุโมทนาบุญหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาจจะกำลังแช่งชักหักกระดูกอยู่ก็ได้ เพราะบรรดาสัมภเวสีผีบ้านผีเรือน หรือท่านที่อยู่บริเวณนั้นไม่ใช่จะเป็นสัมมาทิฐิไปทุกท่าน ที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่ชอบใจก็มีอยู่ ถ้าไปเปิดเผื่อเขา บางทีอาจจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับเขา กลายเป็นโกรธแค้นขึ้นมา ถ้าวาระกรรมของเราเปิด เขาอาจจะช่วยกันยำเราก็ได้...!

ถาม : ผลบุญกุศลที่ได้จากการเปิดไฟล์เสียงเฉกเช่นด้านบน สามารถอุทิศได้เสมือนการทำบุญปกติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเราตั้งใจภาวนาไปด้วย ผลบุญเป็นของเรา ก็อุทิศได้ตามปกติ แต่ให้ระมัดระวังว่าการเปิดไฟล์เสียงธรรมะก็ดี เสียงสวดมนต์ก็ดี ถ้าเปิดแล้วไม่ได้ตั้งใจฟัง บางทีก็เกิดโทษปรามาสพระรัตนตรัยแก่ตัวเอง

เถรี
07-03-2016, 12:51
ถาม : การที่ภาวนาพระคาถาเงินล้านแบบไม่ได้นับจำนวนจบ แบบเปิดไฟล์เสียงเล่นอัตโนมัติทั้งวัน (ไม่ได้นับจำนวนชัดเจน แต่จำนวนจบเกิน ๑๐๘ จบ) กับการที่ผมตั้งจิตมั่นว่าจะภาวนาเพียง ๑๐๘ จบ (โดยเป็นแบบแผนชัดเจน) กราบเรียนถามว่าการภาวนาในรูปแบบใดที่ส่งผลานิสงส์ในด้านการภาวนา สมาธิและปัญญา และเหมาะสมกว่ากันครับ ?
ตอบ : ความตั้งใจสำคัญที่สุด ถ้าไม่ได้ตั้งใจผลงานย่อมดีได้ยาก

ถาม : หากนำดวงแก้วที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกมาแล้ว เช่น ดวงแก้วมณีรัตนะ, ดวงแก้วจุยเจีย หรือเพชรจักรพรรดิ ฯลฯ มาวางบริเวณหน้าลำโพงในลักษณะวางบูชา ผมอยากทราบว่าโดยทั่วไปแล้ว กระแสคลื่นเสียงจากไฟล์ขณะสวดมนต์ จะมีลักษณะคล้ายประจุพลังงานพุทธานุภาพของบทสวดมนต์นั้น ๆ เข้าสู่ดวงแก้วเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลาที่เปิดเสียงไว้ด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : น่าจะได้สักนิดหนึ่ง พลังงานที่บรรจุอยู่นั้นสูงมาก สิ่งที่เราไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนาทำ ก็คงจะเหมือนกับอัดแก๊สใส่ถังที่เต็ม ถึงยัดเข้าก็คงจะได้หน่อยเดียว

เถรี
07-03-2016, 12:55
ถาม : ในเรื่องของการพุทธาภิเษก เราสามารถกำหนดจิตเลือกเทวดาองค์ใด หรือท่านใดให้ท่านมาดูแลหรือรักษาวัตถุมงคลที่สร้างได้ด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ยังไม่เคยมี พอถึงเวลาพุทธาภิเษกแล้ว ส่วนใหญ่ท้าวสหัมบดีพรหมหรือพระอินทร์ จะเป็นผู้กำหนดว่าเทวดาองค์ไหนดูแลวัตถุมงคลชิ้นไหน ไม่ใช่หน้าที่เราเป็นผู้กำหนด เพราะเราไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งเทวดา จะลองสั่งท่านดูก็ได้ ตีนท่านใหญ่กว่าตัวเราหลายเท่า...!

เถรี
07-03-2016, 13:02
ถาม : การบวชภิกษุณีหรือการบวชสามเณรี ถือว่าเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าบวชถูกต้องตามพระธรรมวินัย จะเป็นการปรามาสไปได้อย่างไรเล่าพ่อคุณเอ๊ย..?!? ยกเว้นว่าไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยก็กลายเป็นโทษแก่ตัวเราเอง

การที่เขาบวชแสดงว่าเขามีศรัทธาปสาทะ คือความเชื่อ ความเลื่อมใส แล้วเป็นความเชื่อความเลื่อมใสที่ตรงต่อคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่แล้ว ฉะนั้น...ในเรื่องของโทษปรามาสพระรัตนตรัยสำหรับเขาก็คงจะไม่มี แต่ถ้าบวชไม่ถูกต้อง โทษเฉพาะตนนั้นหนักแน่

ถาม : ถ้าทำผิดไปแล้วจะแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : สึก...แต่จะสึกทำไม ในเมื่อไม่ถูกต้องแต่แรก ? เปลี่ยนสภาพเป็นแม่ชีดีกว่า ปลอดภัยกว่าเยอะ

ถาม : คนที่ตาบอดข้างหนึ่งสามารถบวชได้ไหมคะ ?
ตอบ : ตามพระธรรมวินัยแล้ว บุคคลที่อวัยวะ ๓๒ บกพร่อง เขาไม่ให้บวช

เถรี
07-03-2016, 13:05
ถาม : ได้ทำบุญปฏิบัติตามหลวงพ่อ ก็ปรารถนาจะขอพระนิพพานชาตินี้ พอเวลาผ่านไปเราเจออุปสรรคสิ่งแวดล้อมดึง ก็รู้สึกว่าไม่ไหว ท้อ ไม่ขอพระนิพพานชาตินี้แล้ว ไม่ทราบว่าคิดแบบนี้จะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ประหลาดดี เวลาปกติขอพระนิพพาน แต่ลำบากขึ้นมาดันไม่อยากไปพระนิพพาน ก็ทนลำบากต่อไปก็แล้วกัน

ถาม : มีวิธีแก้พลิกกำลังใจไหมคะ ?
ตอบ : พิจารณาให้เห็นว่า ชีวิตที่มีแต่ทุกข์ ยังอยากได้อีกไหม ? ถ้าอยากได้ก็เกิดต่อให้พอ ถ้าไม่อยากได้ก็ขอไปพระนิพพานแทน

เถรี
07-03-2016, 13:07
ถาม : การที่เอาจิตเกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ควรใช้ระยะเวลาฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เคยชินต่อวันอย่างไรถึงขั้นเจโตวิมุตติ ?
ตอบ : เอานิดหน่อย แค่วันละ ๒๔ ชั่วโมงก็พอ..!

เถรี
07-03-2016, 13:10
ถาม : การซื้อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องดูเลขที่บ้าน ?
ตอบ : ดูเสียหน่อยก็ดี เพราะถ้าได้เลขที่ไม่ชอบ เดี๋ยวเดินเข้าก็ไม่พอใจ เดินออกก็ไม่พอใจ กำลังใจเสียเปล่า ๆ ไปหาหมอดูให้ทั่วประเทศไทยว่าเลขไหนเหมาะกับตัวเอง แล้วไปเลือกเอา แต่ต้องไปตั้งแต่เปิดโครงการนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนอื่นเลือกไปหมด

ถาม : การซื้อรถจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเลือกเลขทะเบียนรถที่เป็นมงคล ?
ตอบ : ลักษณะเดียวกัน

เถรี
07-03-2016, 13:12
ถาม : กรณีบ้านพักอาศัยที่มีการตั้งศาลอยู่แล้ว แต่ไร่สวนอยู่ห่างไปอีกตำบล จำเป็นหรือไม่ที่ต้องตั้งศาลเพิ่ม ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่ที่อยู่อาศัยก็ไม่จำเป็น แต่ในแต่ละปีควรจะมีการเซ่นไหว้เขาบ้าง พูดง่าย ๆ ก็คือ เอาใจเจ้าของที่ไว้บ้าง มีอะไรที่ไม่เกินวิสัยท่านจะได้ช่วยเรา

เถรี
07-03-2016, 13:18
ถาม : กรณีบางวัดมีการทำนายโดยให้ยกวัตถุมงคล ขึ้นหรือไม่ขึ้นตามคำอธิษฐานของตัวเรา ขอทราบว่ากรณีนี้มีความจริงเป็นเช่นไรคะ ?
ตอบ : ตามที่อาตมาพบมาเอง ตอนนั้นที่ศาลหลักเมือง น่าจะหลายสิบปีได้แล้ว มีพระพุทธรูปให้ยกเสี่ยงทาย หน้าตักพระพุทธรูปประมาณ ๑๒ นิ้ว ทำด้วยโลหะสีเงิน ๆ ไม่ทราบว่าโลหะอะไร ด้วยความรั้นอาตมาก็ตั้งใจอธิษฐานแล้วคิดว่า ต่อให้ไม่สำเร็จ พระองค์แค่นี้กูก็ยกขึ้น ว่าแล้วก็งัดเต็มที่เลย เกือบจะหงายท้อง...! เพราะว่าพระลอยติดมือขึ้นมา ไม่มีน้ำหนักเลย เหมือนยกกระดาษแผ่นเดียว

ดังนั้น...ในบางสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ลองอธิษฐานดูก็มีผล แต่ถ้าในบางสถานที่ สักแต่ว่าเป็น ทำไปแล้วเสียกำลังใจด้วย เพราะดันยกไม่ขึ้น มีอยู่ที่หนึ่งที่ขลังแน่ ๆ คือวัดท่าขนุน ถ้าใครอธิษฐานยกหลวงพ่อ ๒๑ ศอกขึ้น รับรองว่าสำเร็จทุกเรื่อง...!

เถรี
07-03-2016, 13:26
ถาม : การที่ตัวเรามีพระธาตุไว้บูชา พระธาตุได้เพิ่มจำนวนและขนาดใหญ่ขึ้น ขอทราบว่ากรณีเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่ตัวเราคิดว่าเรายังไม่ดีพอ ?
ตอบ : อาตมาเป็นบุคคลที่บูชาพระธาตุแล้วเพิ่มเมื่อไรจะต้องระวังตัวสุดขีด เพราะมักจะไม่เหมือนชาวบ้านเขา ที่ระวังตัวสุดขีดเพราะรู้ตัวว่ายังทำไม่ดีพอ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะอย่างนี้ แสดงว่าพระท่านเตือนเราแล้วว่าต้องมี กาย วาจา ใจ บางอย่างบกพร่อง แต่ถ้าขณะไหนปฏิบัติได้ดีมาก ๆ เลย พระธาตุมักจะหดหายไป บางทีมีอยู่เป็นโถเลย หายไปจนเหลือแค่สองสามองค์ ท่านก็คงรู้ว่าอาตมาไม่หวง ใครขอก็เสด็จไปเรื่อยเหมือนกัน

ฉะนั้น...ปัญหานี้ให้ถือลักษณะเดียวกัน ว่าถ้าพระธาตุมีการเปลี่ยนแปลง แสดงว่าท่านเตือนเราแล้วว่า เรามีข้อบกพร่องอยู่ ให้เร่งระวังให้มากขึ้น

ถาม : บางทีเราได้กลิ่นหมาก หรือได้กลิ่นยานัตถุ์ ควรจะวางกำลังใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : อาจจะจมูกเพี้ยน ไปให้หมอตรวจเสียหน่อยก็ดี

คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับพระวัดท่าซุงถ้าได้กลิ่นยานัตถุ์ขึ้นมา ก็ขนหัวลุกตั้ง ไม่รู้จะโดนหลวงพ่อฟาดกบาลเมื่อไร ฉะนั้น...อยู่ ๆ ได้กลิ่นหมาก กลิ่นยานัตถุ์ รู้ว่าเป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์เคยใช้ เคยฉัน จนเคยชิน กลิ่นนั้นมาโปรดระวังให้ตัวลีบเลย เพราะว่าท่านมาอยู่ใกล้ ๆ แล้ว ทำดีทำชั่วอยู่ในสายตาท่านหมดแล้ว..!

เถรี
07-03-2016, 13:30
ถาม : ถ้าฟังไฟล์เสียงธรรมะ แล้วอยู่ ๆ เผลอหลับไปพร้อมกับเสียงธรรม จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไหม ?
ตอบ : ถ้าหลับไปพร้อมกับเสียงธรรมไม่เป็นไร เพราะช่วงแรกเราตั้งใจฟังอยู่

เถรี
07-03-2016, 13:41
ก่อนกรรมฐาน ญาติโยมมากันเยอะจนด้านหลังห้องเนืองแน่น พระอาจารย์จึงให้ขยับมานั่งข้างหน้า "ด้านหน้ายังว่างอีกเยอะจ้ะ ถ้าด้านหลังแน่นก็ขยับมา เวลาไปไหนให้อยู่หน้า จะได้อะไรก็จะได้ก่อนคนอื่นเขา เวลาโดนอะไรก็จะได้โดนก่อนเขา..! ...(หัวเราะ)... ไม่ใช่มาถึงก็นั่งข้างหลัง หาภาวะผู้นำไม่ได้เลย"

เถรี
07-03-2016, 13:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำบุญในปัจจุบันนี้ อาตมาสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ตกลงว่าบุญจะได้มากขึ้นหรือน้อยลง ? เพราะมัวแต่คิดจะถ่ายรูปอยู่ กำลังใจจะไปกังวลกับเรื่องรูป ไม่ได้มุ่งมั่นกับบุญตรงหน้า แล้วก็ต้องรักษาอารมณ์ตนเอง ถ้ารักษาอารมณ์ได้ก็บุญเท่าเดิม รักษาอารมณ์ไม่ได้ มัวแต่ไปถ่ายรูปอยู่ ก็บุญน้อยลง คาดว่าจะไม่พูดอีกแล้วนะ เพราะฉะนั้น...ให้จำไว้แล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติเอง"

เถรี
07-03-2016, 13:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมหลายรายส่งวัตถุมงคลไปให้ที่วัดท่าขนุน ก็เลยไปนึกถึงการให้ทาน

ทาสทาน คือ การให้ของที่ต่ำกว่าที่ตนเองมี ตนเองใช้ สหายทาน ก็คือ ให้เท่ากับที่ตนเองมี ตนเองใช้ สามีทาน ก็คือให้ดีที่สุด เท่าที่ตนเองมีและใช้

หลายรายที่ส่งวัตถุมงคลไป อย่างกับส่งเศษขยะไปให้ ก็คือเป็นของที่ตัวเองเหลือเลือกแล้ว ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร ท้ายสุดก็ถวายพระดีกว่า น้อยคนที่จะเอาของดีที่สุดที่ตัวเองมีไปถวาย ถามว่ามีอานิสงส์ไหม ? มี...มีมากด้วย แต่อานิสงส์ก็เป็นไปตามที่ว่ามา ว่าอยู่ในทานระดับไหน

อาตมาคงทำทาสทานมาเยอะเพราะชอบใช้ของเก่า ๆ เอาของใหม่มาให้นี่ไม่ค่อยใช้หรอก"

ถาม : แล้วถ้าคนชอบใส่กางเกงยีนส์ขาด ๆ ?
ตอบ : เขาตั้งใจ ก็น่าจะเกิดจากอานิสงส์ทาสทานเหมือนกัน

เถรี
08-03-2016, 11:26
งานพุทธาภิเษกรอบพิเศษ (ฝ่าวิกฤติ) ณ บ้านวิริยบารมี

"วันนี้ถือว่าเป็นงานพิเศษ ถ้าหากเป็นสำนวนของทิดกวางก็คืองานสัมภเวสี ก็คือร่อนเร่มาเองโดยไม่เจตนา ตุ๊พ่อสิงห์ท่านเตรียมวัตถุมงคลไว้เข้าพิธีงานเป่ายันต์เกราะเพชร แล้วโดนอาตมายกเลิก ...(หัวเราะ)... อาตมาไม่ได้ยกเลิกนะ เพียงแต่คำสั่งเจ้านายบอกว่า ให้พระอุปัชฌาย์ใหม่ไปเข้ากรรมฐานหน่อย ความจริงต้องบอกว่าคำสั่งเจ้านายให้ไปพักผ่อน

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งานเป่ายันต์ฯ มีไม่ได้ วัตถุมงคลที่ท่านให้ลูกศิษย์จองอยู่ไม่สามารถเข้าพิธีได้ จำหน่ายไม่ได้ เงินก็ไม่เข้าวัด ถ้าเงินไม่เข้าวัดนี่ปัญหาใหญ่เลย เพราะว่าตุ๊พ่อท่านกำลังสร้างพระจุฬามณีอยู่ และในขณะเดียวกัน การสู้คดีเกี่ยวกับที่ดินวัด ก็จ่ายค่าทนายไปเยอะ แล้วส่วนที่จ่ายไปก็คือเงินสงฆ์ ทุกวันนี้ตุ๊พ่อพยายามหายใจเข้าไว้...ยังตายไม่ได้...เพราะเป็นหนี้สงฆ์อยู่ จึงโทรมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ? อาตมาก็ต้องช่วยแก้ปัญหาตามประสาน้องที่ดี

เมื่อกราบเรียนถามครูบาอาจารย์ ถามพระท่านแล้ว ท่านก็บอกว่าทำได้ จัดงานพุทธาภิเษกขึ้นมาสิ ปรากฏว่าจัดไปจัดมาหน้าตาออกมาอย่างที่เห็น อาตมาเองก็งง ๆ อยู่เหมือนกัน คือคำสั่งมาทีละอย่างสองอย่าง ไปเรื่อย ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมท่านให้เอามีดหมอที่มีอยู่มาทั้งหมดเลย"

เถรี
08-03-2016, 11:30
"อาตมาอมมีดหมอครูบาอาจารย์ไว้หลายสำนัก เอาที่อยู่รอบข้างกองวัตถุมงคลก่อนก็แล้วกัน

ด้านซ้ายล่างหรือทิศใต้ก็คือมีดหมอหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ต้องบอกว่าเป็นมีดหมออันดับหนึ่งของประเทศไทย เล่มนั้นเป็นรุ่นเก่าจริง ๆ มีลายมือจารของหลวงพ่อเดิมด้วย

ถัดไปทางด้านซ้ายบน เป็นมีดหมอหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ใครไม่รู้จักไม่เป็นไรหรอก เพราะว่านานเหลือเกิน แล้ววนมาขวาบน เป็นมีดหมอที่ร้อยวันพันปีจะโผล่มาให้เห็นสักเล่ม คือ มีดหมอหลวงปู่ทบ วัดชนแดน แล้วก็ลงมาขวาล่างคือ มีดหมอหลวงปู่รุ่ง วัดหนองสีนวล ซึ่งท่านเป็นพี่ด้วยและเป็นอาจารย์ของหลวงปู่เดิมด้วย

ส่วนตรงกลางที่เห็นในพานอยู่ใกล้กับแก้วอินทนิล พระขรรค์เล่มที่อยู่ตรงกลางนั่น เป็นของอาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์อีกทีหนึ่ง ก็คือหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ถ้าพวกเราไม่เคยได้ยินชื่อหลวงปู่ยิ้ม ก็ต้องเคยได้ยินชื่อหลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว, หลวงปู่ดี วัดเหนือ, หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้, หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า, หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ เหล่านี้เป็นต้น นั่นระดับปรมาจารย์เลย แต่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้มทั้งหมด เรียกว่า พระขรรค์ปราบไตรโลก เล่นทีหนึ่ง ๓ โลกเลย เป็นพระขรรค์ที่หลวงปู่ศุข แนะนำเสด็จในกรมหลวงชุมพร ให้หามาเป็นของคู่พระหัตถ์ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลวงปู่ยิ้มท่านสร้างไว้สัก ๕ เล่ม ๑๐ เล่มหรือเปล่า ? แต่ว่าอยู่ที่นี่เล่มหนึ่ง

แล้วที่เห็นอยู่จากด้านบนลงมาก็เป็นมีดหมอหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์เล่มที่ ๒ นี้ถือว่าตลาดรู้จัก เพราะว่าเป็นฝีมือของช่างฉิม ซึ่งเป็นมาตรฐาน ๑ ในช่าง ๔ คนที่สร้างมีดหมอให้หลวงพ่อเดิม"

เถรี
08-03-2016, 11:34
"เล่มถัดลงมาติดกับพระขรรค์ คือมีดหมอหลวงปู่บุญมี วัดเขาสมอคอน จังหวัดลพบุรี เรียกว่ามีดหมอปราบไพรี สมัยหลวงปู่บุญสร้างใหม่ ๆ คนไม่ได้อยากได้กันหรอก หลวงปู่แจกให้ เขาก็เอาไปทิ้งกอง ๆ ไว้แถวหน้าโบสถ์ คนสมัยก่อนนี่ดีจริง ๆ เลย...! ปรากฏว่ามีคนเมาเห็นกองมีดหมออยู่ ก็พูดว่า "หลวงพ่อมีแน่แค่ไหนวะ ? ถึงบังอาจทำมีดหมอออกมา" ว่าแล้วก็ชักปืนยิงเสียงเปรี้ยง...! สนั่น ยิงออก..แต่มือเละ ปืนแตกคามือเลย แล้วมีดหมอกองนั้นก็แสดงปาฏิหาริย์หายวับไปกับตา ไปขอใหม่หลวงปู่ท่านก็ไม่ให้แล้ว

เล่มถัดมาที่อยู่ใต้พระขรรค์ คือ มีดหมอหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามหรือที่ชาวบ้านเรียกวัดบ้านแค ชื่อมีดหมอมนต์พระกาฬ เล่มนี้วันเอามา หนีไปนอนที่ไหนก็ไม่รู้ ? จนอาตมาคิดว่าคนเอามาลืมหรือเปล่า ? ปรากฏว่าพอถึงที่แล้วก็นั่งยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้น ไม่ได้ไปไหนหรอก ท่านล้อเล่นแค่นั้น วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยท่านห้ามด่าแม่เด็ดขาด ใช้วัตถุมงคลหลวงพ่อกวย ถ้าด่าแม่เมื่อไรบางทีวัตถุมงคลท่านแตกคามือเลย ก็คือไม่ให้ใช้ต่อ เพราะบังอาจด่าแม่ที่เคารพ ถามว่าหลวงพ่อกวยเป็นใคร ? ท่านเป็นเจ้าของคาถา "นะโมตาบอด" ที่อาตมาเรียนมา

เล่มล่างสุดนี่ของพระอาจารย์โดยตรง มีดหมอดาบฟ้าฟื้น หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ห้ามจิ๊กนะ..!"

เถรี
08-03-2016, 11:37
"ส่วนพานล่างที่วางอยู่บนผ้าขาว ๓ เล่มนั่นของหลวงปู่รุ่ง วัดหนองสีนวล ทั้งหมดเลย แปลว่าอาตมามีมีดหมอของหลวงปู่รุ่งอยู่ ๔ เล่ม

ถัดมาด้านล่างก็คือมีดหมอเพชราวุธ แต่เล่มนี้พิเศษตรงที่ด้ามเป็นงากวัก ฝักเป็นงางอก เคยได้ยินไหม ? งากวักก็คืองาช้าง ซึ่งปกติแล้วงาช้างจะแหลมยาวออกไปเฉย ๆ แต่งากวักคือปลายจะงอกลับเหมือนตะขอ พอดีทำด้ามมีดเลย ส่วนงางอกคืองาช้างที่มี "คด" งอกอยู่ข้างในโพรงงา

ส่วนด้ามตรงกลางเล่มใหญ่ ตุ๊พ่อสิงห์ท่านกำลังหมายตาอยู่ คือ พระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ที่อาตมาสร้างถวายในหลวงเพื่อประคองให้พระองค์ท่านอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ส่วนแก้วสีเขียว ๆ นั่น ท่านปู่พระอินทร์ประทานมาให้เรียกว่า "แก้วอินทนิล" ถามว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย ? ท่านบอกว่าที่ต้องจัดพิธีขนาดนี้ เพราะอีก ๔ วัน ตามตำราโหราศาสตร์ ดาวมฤตยูจะทับดวงเมือง สยดสยองไหม ? ถ้าไม่ทำพิธีแบบนี้อาจจะมีเลือดนองท้องช้าง..! แล้วถามว่าประโยชน์ทางด้านอื่น ท่านบอกว่าปีนี้เศรษฐกิจแย่มาก ๆ

ฉะนั้น...รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นวัตถุมงคลรุ่นฝ่าวิกฤติก็แล้วกัน คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เพราะว่าพวกเราพกอาวุธมาเต็มตัวขนาดนี้ต้องไปได้ ไปได้ยังไม่พอนะ แก้วอินทนิลของท่านเองนี่เด่นเรื่องมหาลาภ มหาปราบ เรื่องนี้ท่านจะถนัดมาก ก็แปลว่าไปรอดแล้วยังต้องรวยอีกด้วย"

เถรี
08-03-2016, 11:43
"ถ้าถามว่าวัตถุมงคลที่เข้าพิธีวันนี้มีอะไร ? ก็มีขอสับช้างของวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ที่เป็นต้นเรื่องเลย มีขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก ตุ๊พ่อท่านบอกว่าเหลือไว้ให้อย่างละ ๑๐๐ นอกนั้นเขาจองไว้แล้ว ขนาดเล็ก ๙๐๐ บาท ขนาดใหญ่ ๑,๒๐๐ บาท ขึ้นราคาหน่อยได้ไหม ? ...(หัวเราะ)... หลังจากพุทธาภิเษกเสร็จ กราบเรียนตุ๊พ่อท่านว่าเอาจำหน่ายตรงนี้เลย โยมที่ต้องการจะได้ไม่ต้องไปจองในเว็บ ไม่ต้องไปถึงวัด มีอย่างละร้อยด้ามเท่านั้น ห้ามจองคนเดียว ๙๙ ด้าม..!

ส่วนของวัดท่าขนุนมีพระขุนแผนเกราะเพชร ที่จะออกในงาน ๑๐๐ ปีหลวงพ่อฤๅษี ขุนแผนรุ่นนี้ทำด้วยผงยานัตถ์ุของหลวงพ่อฤๅษีที่อาตมาเก็บสะสมไว้ ก็จะมี พิมพ์ใหญ่ ฝังตะกรุดหัวใจขุนแผน เนื้อทองคำ ๓,๐๐๐ องค์ เนื้อนาก ๓,๐๐๐ องค์ เนื้อเงิน ๓,๐๐๐ องค์ กำลังคิดว่าจะขูดรีดโยมเท่าไรดี ? ...(หัวเราะ)... ส่วนพิมพ์เล็กไม่มีตะกรุด เพราะว่าขนาดตะกรุดถ้าฝังลงไปแปลว่าล้นองค์พระ พิมพ์เล็กมี ๑๐,๐๐๐ องค์ เป็นเนื้อผงยานัตถุ์อย่างเดียว

แล้วก็มีวัตถุมงคลเก่าของวัด ก็มีเหรียญของขวัญปีใหม่ เนื้อตะกั่ว ๔,๐๐๐ เหรียญ ๔,๐๐๐ เหรียญนี่ตัวเล็กเอาไปออกในกระทู้งานอุปสมบทหมู่ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อฤๅษีไปแล้ว ๑,๐๐๐ เหรียญ ใครจองไว้ถือว่าเฮงมากเลยเพราะตอนนั้นลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง พอเอาเข้าพิธีแล้วคงต้องเพิ่มราคาขึ้นครึ่งหนึ่ง..!

แล้วก็มีเหรียญฉลองพระอุปัชฌาย์ เนื้อเงิน ๓,๐๐๐ เหรียญ ที่จองกันไป ๑,๐๐๐ เหรียญแล้ว เนื้อทองคำ ๓๐๐ เหรียญ จองกันไป ๑๐๐ กว่าเหรียญแล้ว ใครไม่ได้จองไม่ต้องเสียใจเพราะอาตมาตั้งใจขึ้นราคาอยู่แล้ว..!

แล้วก็มีผงงาช้าง ๖๐ กิโลกรัม จะเอาไว้สร้างพระ ผงงาช้างได้มาจากงาน OTOP ที่จังหวัดสุรินทร์ ปกติเขาขายกันแพงมาก แต่คณะของคุณหญิง (ณญาดา) ไม่รู้ไปตีซี้อีท่าไหน ? ไปโกยมาหมดเลย บอกว่าเอามาให้หลวงพ่อไว้สร้างพระ ซึ่งอาตมายังไม่มีอารมณ์จะสร้าง ยังนึกลูกเล่นไม่ออกว่าจะสร้างเป็นอะไรดี"

เถรี
08-03-2016, 11:47
"เมื่อวานนี้ท่านอานนท์ วัดบึงลาดสวาย เอาพระอุปคุตชัยวัฒน์มาเข้าพิธี พระอุปคุตชัยวัฒน์รุ่นนี้สร้างด้วยเนื้อแร่ขี้นกเขาเปล้า ซึ่งถือว่าเป็นโลหะอาถรรพ์อย่างหนึ่ง ท่านถวายไว้ ๑๐๐ องค์ แล้วอาตมานำเอามาเข้าพิธีใหม่ เดี๋ยวไปแอบ ๆ ดูกันในกระทู้งานอุปสมบทหมู่ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อฤๅษีก็แล้วกัน จะให้ "ตัวเล็ก" เอาไปออกให้บูชาในนั้น ถ้าใครไม่รู้จักแร่ขี้นกเขาเปล้าก็ไปค้นหาดู ในกูเกิ้ลน่าจะมีรายละเอียดอยู่

ส่วนของอื่น ๆ ก็น่าจะไม่มีอะไรแล้ว เพราะว่าท่านไม่ให้รับวัตถุมงคลอื่นเข้าพิธี ตั้งใจจะสงเคราะห์ตุ๊พ่ออย่างเดียว เดี๋ยวตอนทำพิธีก็อธิษฐานกันเอาเองตามอัธยาศัย ใครจะฝ่าวิกฤติมาก ฝ่าวิกฤติน้อย ก็อธิษฐานกันเอา"

เถรี
08-03-2016, 11:50
"เวลาพระหรือครูบาอาจารย์ท่านสั่งให้ทำงาน งานบางอย่างก็แปลก ๆ ในความรู้สึกของพวกเรา แต่ว่าต้องทำ เพราะคำสั่งนี้ห้ามสงสัยเด็ดขาด ทำไปเถอะ...แล้วจะมีคำเฉลยทีหลังทุกที พอเฉลยมา บางทีก็นั่งงง ๆ ว่า อ๋อ...ที่แท้อย่างนี้นี่เอง งานนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นคุณความดีที่ตุ๊พ่อสิงห์ท่านกระเป๋าฉีก จ่ายเกินตัว ทำให้มีงานนี้ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นจะมีงานอีกทีก็โน่น ๙ กรกฎาคมเลย ก็คืองานเป่ายันต์เกราะเพชร

ในเมื่อเรามีงานนี้ขึ้นมาก่อน ตามที่ท่านบอกเอาไว้ก็คือ อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยผ่อนสถานการณ์ของประเทศชาติ จากหนักให้เป็นเบา เมื่อวานก็ยังสงสัยว่า ตอนปลุกเสกพระอุปคุตชัยวัฒน์แร่ขี้นกเขาเปล้าให้ท่านอานนท์ ทำไมพระท่านเต้นระบำได้ ? ที่แท้ท่านเตรียมเอาไว้สำหรับงานนี้ นาน ๆ อาตมาจะปลุกของให้เต้นได้สักที เพราะปกติแล้วตัวเองมักจะหลับ ต้องรอพระท่านมาปลุก...!

งานที่ปลุกของแล้วเต้นได้เห็น ๆ ก็คือ มีดหมอเพชราวุธ แล้วก็มางานนี้ เพราะว่าเรื่องพวกนี้ถ้าทำให้คนเห็นเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะคนจะเห็นเป็นอัศจรรย์ แล้วต่อไปก็จะมากวนกันหัวไม่วางหางไม่เว้น"

เถรี
08-03-2016, 12:01
"เมื่ออาทิตย์ก่อน อาตมาสอนหนังสืออยู่ที่วัดไร่ขิง มีโยมคนหนึ่งเดินตัวเอียงมาเลย ถามว่า "เป็นอะไร ? " "รถชน...กระดูกไหปลาร้าหัก" "แล้วมาทำอะไร ?" "มาให้พระอาจารย์เล็กช่วย" "กระดูกหักแล้วทำไมไม่ไปหาหมอวะ ? " เขาบอก "พระอาจารย์เล็กเก่ง" นี่สมควรตายจริง ๆ...! ฉะนั้น เรื่องพวกนี้บางทีเราก็นึกไม่ถึงว่าศรัทธาโยมจะไปบังปัญญาเสียหมด เขาเรียกว่าอธิโมกขศรัทธา น้อมใจเชื่ออย่างเดียวโดยไม่มีปัญญาประกอบ เขาคงคิดว่าอาตมารักษาได้ทุกโรคจริง ๆ

แต่ถ้าโยมสังเกตเห็น แม้กระทั่งเรื่องของไสยศาสตร์ เรื่องของอะไรที่มา อาตมาจะให้รอไปเข้าพิธีงานเป่ายันต์ฯ เสมอ เพราะว่าอาตมาไม่ได้มีหน้าที่รักษาโรคทางไสยศาสตร์ ต่อให้ทำได้ก็ไม่รักษา ไม่เคยเรียนวิธีรักษามา วิธีรักษาโรคของอาตมาไม่มีอะไรมากหรอก ตบร่วงทุกราย...! เดี๋ยวก็หายเอง ทีนี้คนดันเห็นว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่รักษาได้ ในเมื่อไม่ได้มีหน้าที่รักษา ก็ให้โยมไปรอเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรดีกว่า

ฉะนั้น...งานนี้พอพุทธาภิเษกเสร็จพวกเราก็ช่วยกันบูชาขอสับช้างปลดหนี้ให้ตุ๊พ่อสิงห์ท่านหน่อย ราคา ๙๐๐ บาท ใครมีจะถวาย ๑,๐๐๐ บาทก็ไม่ว่า วิธีการใช้ขอสับช้างไปค้นหาหาในกูเกิ้ลเอานะ ท่านบอกไว้หมดแล้ว ถ้าหาไม่เจอก็ไปดูในเฟซบุ๊กวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่"

เถรี
08-03-2016, 12:09
"เนื่องจากพิธีครั้งนี้เป็นของพิเศษ ก็คือมาเองโดยมิได้นัดหมาย การพุทธาภิเษกวัตถุมงคลชุดนี้ก็คงจะไม่เหมือนใคร ในเมื่อไม่เหมือนใคร ก็คงไม่ต้องไปรอหาของใหม่ เพราะว่าเสกใหม่ก็ไม่เหมือน มีทางเดียวถ้าต้องการคือ บูชาวัตถุมงคลรุ่นนี้ไปเลย เสร็จแล้วก็ทำเครื่องหมายไว้ว่าเข้าพิธีชุดนี้

เมื่อเช้าอาตมาเขียนตะกรุดมหาสะท้อนเนื้อทองคำ ๒ ดอก รหัสไม่เหมือนใคร โค้ดงวดนี้ก็คือ ๕ - ๓ - ๕๙ คือวันนี้ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙ มีแค่ ๒ ดอกในโลกเท่านั้นที่เป็นโค้ดนี้ โค้ดอื่นก็ไม่มี และตะกรุดมหาสะท้อนที่อาตมาเอาเข้าพิธีด้วยก็มีรุ่น ๕ เนื้อทองคำ ๔๖ ดอก และเนื้อเงิน ๔๔ ดอก แล้วที่เขียนใหม่ ๒ ดอก นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มี ว่าจะไปเขียนติดซองเอาไว้ว่า ฝ่าวิกฤตกู้โลก ...(หัวเราะ)... เอาแค่ฝ่าวิกฤติก็พอนะ อย่าถึงกับกู้โลกเลย กู้โลกเดี๋ยวดอกเบี้ยจะเยอะ...!"

เถรี
09-03-2016, 10:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราเมืองเราระยะนี้ก็ลำบาก เมื่อคืนเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว จากสภาผู้แทนราษฎรมา บอกว่ามีเรื่องอะไรที่จะฝากให้รัฐบาลบ้าง อาตมาบอกว่าไม่ฝาก เพราะรัฐบาลไม่เคยจริงใจกับพระ ต่อไปนี้พระจะเลิกสันติวิธี จะใช้กำลังอย่างเดียว ไปบอกรัฐบาลด้วย ไม่เห็นหรือว่าตุนอาวุธไว้เพียบเลย พาลูกศิษย์ถือขอสับช้างไปคนละอัน เจ้าหน้าที่รัฐบาลคนไหนดื้อก็สับหัวเลย...!"

เถรี
09-03-2016, 10:44
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงอายุ ๖๐ ปี อาตมาจะเอาชนวนหล่อสมเด็จองค์ปฐมกับชนวนรูปหล่อหลวงปู่หลวงพ่อมาสร้างวัตถุมงคลสักชุด เอาเนื้อชนวนล้วนกับเนื้อผสม เนื้อชนวนล้วนก็อัดไปเต็ม ๆ เลย ส่วนเนื้อผสมก็ใส่ลงไปสักนิดหนึ่ง ...(หัวเราะ)...

ใครต้องการรูปหรือเหรียญพระอาจารย์เล็กก็รอไปโน่น อายุ ๘๐ ถ้าอยู่ถึงจะสร้างให้ ”

ถาม : พระอาจารย์ไม่สร้างเหรียญเลื่อนสมณศักดิ์ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็เหรียญฉลองพระอุปัชฌาย์นั่นแหละ เขาเขียนข้างในว่าฉลองเลื่อนสมณศักดิ์

เถรี
09-03-2016, 10:46
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องการจองวัตถุมงคล มีหลายท่านที่ตัดสินใจแบบโลเลมาก สมาชิกเว็บบางคนอย่าง "คุณวีรไชย" โพสต์จองวัตถุมงคลในเว็บวัดท่าขนุน จองแล้วลบอยู่เรื่อย ถ้าลักษณะอย่างนี้เห็นชัดเลยว่าการตัดสินใจโลเลมาก ถ้าการตัดสินใจโลเลมาก งานอื่นก็ยากที่จะสำเร็จ เพราะว่าการทำงานไม่เหมือนกับการโพสต์ในเว็บ ที่สามารถลบทิ้งได้

ตัดสินใจให้เด็ดขาด ต้องการคือต้องการ ไม่ต้องการคือไม่ต้องการ อย่ามานึกเสียดายเอาตอนคนอื่นมีแล้วเราไม่มี อาตมาบางทีเข้าไปในเว็บเจอของดีที่คนอื่นจองไปแล้วก็นั่งยิ้ม เฮ้ย...เดี๋ยวเราต้องมีของดีกว่านั้น ...(หัวเราะ)...”

เถรี
09-03-2016, 10:52
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลักการถวายทาน คือ เมื่อจะถวายก็มีปีติเกิดขึ้น กำลังจะถวายก็มีปีติเกิดขึ้น ถวายอยู่ก็มีปีติเกิดขึ้น ถวายแล้วนึกถึงเมื่อไรก็มีปีติ คือความปลาบปลื้มใจเกิดขึ้น แต่คราวนี้พวกเราส่วนใหญ่พอถึงเวลาถวายทานแล้วมักจะห่วงถ่ายรูป ...(หัวเราะ)... กำลังใจก็เลยไม่ได้อย่างที่ตำราว่าไว้

คิดว่าเราจะได้ถวายทานก็ปลื้มใจ กำลังถวายทานก็ปลื้มใจว่าเราได้ถวายทาน ถวายทานอยู่ก็ปลื้มใจว่าเรากำลังถวายทานอยู่ หลังจากนั้นแล้วคิดถึงเมื่อไรก็ปลื้มใจว่าเราได้ถวายทานแล้ว ฉะนั้น...อย่าห่วงถ่ายรูปมาก ความจริงถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กก็ได้ในส่วนของปัตตานุโมทนามัย คนเห็นก็ได้ยินดีด้วย แต่อย่าถ่ายรูปจากหนังสือไปลงหลอกเขาก็แล้วกัน”

เถรี
09-03-2016, 10:59
พระอาจารย์กล่าวว่า “ไม่รู้ว่าตัวเล็กเป็นนางกวักหรือตำบลกระสุนตก เพราะเห็นแขวนชาวบ้านเขาเยอะเหลือเกิน ...(หัวเราะ)... ไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อนับถือพงศ์พันธุ์อะไรกับใครเลย ใส่อย่างเดียว ...(หัวเราะ)... แต่การทำงานก็ต้องอย่างนั้น เพราะถ้ามีนอกมีในเมื่อไรจะทำงานยาก

สมัยก่อนที่อาตมาทำงานอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ทำลักษณะอย่างนี้แหละ ไม่เห็นแก่หน้าใคร จะใหญ่จะเล็กเหมือนกันหมด จนกระทั่งติดนิสัยมาจนทุกวันนี้ บรรดาเจ้าใหญ่นายโตไปวัดท่าขนุน ต้องนั่งแบกับดินเหมือนกันหมด คุณหญิงไปก็นั่งแบกับดินเหมือนกัน”

เถรี
09-03-2016, 11:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "ร่างกายของเรานี้ต้องบอกว่าชั่วร้ายมาก เวลากินของชอบแล้วจะหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมา ทำให้รู้สึกมีความสุข อยากจะกินอีก พอไม่ให้อีกคราวนี้ก็อาละวาด คนที่ส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถจะหักห้ามใจตัวเองได้ เพราะว่าสภาพร่างกายถึงเวลาขาด ต้องการอะไรจะบังคับให้เกิดอาการหิวบ้าง เครียดบ้าง ปวดหัวบ้าง ท้ายสุดก็ต้องหาให้กิน พอกินแล้วรู้สึกสบายก็กินไปเรื่อย ๆ

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาไปเห่อลูกสำรอง (พุงทะลาย) คือเขาบอกว่ากินลดความอ้วนได้ เพราะเวลากินลงไปแล้วก็พองขยายเต็มกระเพาะ แต่ที่เขาทำออกมานั้นยิ่งกินก็ยิ่งอ้วน เพราะเล่นใส่ขวดใส่น้ำตาลผสมมา ที่เขาให้กินก็คือแทะกินลงไปเฉย ๆ นี่เล่นไปต้มใส่ขวดใส่น้ำตาลมา เรียบร้อยเสร็จสรรพ แบบนั้นกินให้ตายก็ไม่หายอ้วนหรอก มีแต่เพิ่มความอ้วน"

เถรี
09-03-2016, 15:22
ถาม : สวดพระคาถาเงินล้าน กับสวดพระคาถา.... ดีทั้งสองคาถา ควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : แบ่งเวลา เอาพระคาถานี้สักชั่วโมงหนึ่ง พระคาถาโน้นสักชั่วโมงหนึ่ง สลับกันไป

เถรี
09-03-2016, 15:23
ถาม : เวลาอาราธนาพระเครื่องวัตถุมงคล ใช้อิทธิฤทธิฯ ได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเป็นของสำนักไหน ถ้าคาถาบูชาเขามีเฉพาะก็เอาเฉพาะของเขาไป ถ้าหากว่าไม่มีเฉพาะเอาอิทธิฤทธิฯ ก็ได้

เถรี
09-03-2016, 15:25
ถาม : ถ้าผมจะเอากระโถนข้างธรรมาสน์ไปถ่ายเอกสารวางไว้ให้คนอื่นอ่าน ?
ตอบ : ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง คือโอกาสที่เอกสารจะโดนทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ให้เขาเหยียบ ให้เขาข้ามมีเยอะมาก ต้องเข้าใจว่าคนอื่นเขาไม่ได้เคารพเหมือนกับเรา ในเมื่อเขาไม่ได้เคารพเหมือนกับเรา โอกาสที่เขาจะทำผิดทำพลาดมีเยอะ จะกลายเป็นว่าเราไปสร้างโทษให้คนอื่นเขา

เถรี
10-03-2016, 12:26
ถาม : เมณฑกเศรษฐีมีทองคำขึ้นล้อมรอบบ้าน ?
ตอบ : ของจริงเลย แล้วแปลกตรงที่ว่าคนอื่นเอาไม่ได้ด้วย หน่อไม้งอกขึ้นมาเป็นทองคำ คนอื่นไปขุดไปตัดออกมาไม่ได้ยกเว้นท่านเท่านั้น พวกแพะที่มาล้อมบ้านอยู่ ถ้าหากว่าต้องการผ้ามีผ้า ต้องการเงินมีเงิน ต้องการข้าวของอะไรให้ไปดึงสลักเอา คนอื่นดึงก็ไม่ได้ เป็นเรื่องของบุญเฉพาะตัว

ถาม : คนอื่นเอาไปไม่ได้ ?
ตอบ : ยกเว้นว่าท่านสั่งให้ทำถึงจะทำได้ ถ้าหากว่าท่านไม่สั่งก็ไม่มีประโยชน์

ถาม : เกี่ยวกับบารมี ?
ตอบ : เป็นผลบุญโดยตรง เฉพาะตัวของท่าน

ถาม : อย่างปิดทองพระพุทธรูป ปิดทองลูกนิมิต ?
ตอบ : ก็น่าจะได้มากกว่านั้น แต่อย่าลืมว่า ท่านถวายด้วยความศรัทธาในพระรัตนตรัยจริง ๆ แต่พวกเราในปัจจุบันนี้อ่านแล้วเห็นว่าท่านมีอานิสงส์อย่างนั้นก็เลยอยากได้ ต่างกันตรงที่ว่าเราทำเพราะอยากได้ แต่ท่านทำเพราะเคารพในพระรัตนตรัย

เถรี
11-03-2016, 15:59
ถาม : ปกติถ้าเป็นต้นไม้ก็เรียกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีแต่ตัวรู้ แต่ไม่มีจิต แล้วปรอททองเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนคะ ?
ตอบ : ก็วิญญาณเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีจิต วิญญาณก็คือประสาทการรับรู้ ลักษณะเดียวกับต้นไม้กินคนที่เคลื่อนไหวได้

ถาม : แล้วทำไมเขาถึงส่งกระแสทักทาย คล้ายมองเราอยู่ได้คะ ?
ตอบ : อันดับแรก ก็คือ ตัวโลหะธาตุเองมีวิญญาณของตนอยู่ ประการที่สอง ก็คือ โดนบรรจุพลังเข้าไปโดยคนสร้าง ตอนนี้มีการถ่ายภาพที่เขาตรวจสอบพลังจากวัตถุ เขาเอาวัตถุมงคลไปถ่ายรูป ขอบอกว่าระบบนั้นดีแต่ทำผิด เพราะวัตถุทุกชนิดมีพลังงานในตัวอยู่แล้ว ต่อให้เป็นวัตถุมงคลที่พุทธาภิเษก หรือหยิบก้อนหินก้อนดินอะไรมา ถ้าหากว่าเครื่องถ่ายรูปดีจริง จะต้องถ่ายภาพพลังงานได้ อันนี้เขาไปถ่ายวัตถุมงคลแล้วไปเที่ยวโฆษณาว่า มีรัศมีคุ้มกันได้กี่เมตร ๆ อาตมาขอยืนยันว่าไปหยิบก้อนดินก้อนหินอะไรมาถ่ายก็มีพลังเหมือนกัน

ถาม : แบบเดียวกับแรงดึงดูดไม่ได้มีแต่ที่โลก แต่วัตถุธาตุทุกอย่างมีแรงดึงดูดกัน อย่างเราก็ดูดกันกับโลก ไม่ใช่ถูกโลกดูด ?
ตอบ : โดยปกติแกนกลางของสสารก็คือพลังงาน เพราะฉะนั้น...คุณถ่ายรูปอะไรก็มีพลังงานทั้งนั้นแหละ

เถรี
11-03-2016, 16:02
พระอาจารย์กล่าวว่า “เห็นเด็ก ๆ ดัดฟันแล้วนึกถึงสาว ๆ สมัยนี้ที่อยากหน้าเรียว จะเรียวไปทำอะไร เด็ก ๆ พอโตขึ้น ฟันงอกเพิ่ม จากที่หน้ากลมก็จะกลายเป็นหน้าเรียวไปเอง ส่วนผู้ใหญ่ที่หน้ากลมก็ให้คิดว่าชาตินี้คุณนั่งกินนอนกินแน่นอน ดันไปทำหน้าให้เรียวเสียโหงวเฮ้งหมด

หน้าเรียวที่เขาเรียกว่า วีเชฟ ทุกวันนี้เป็นลักษณะหน้าที่เฮงซวยที่สุดเลย ไม่รู้ว่านิยมไปได้อย่างไร ใครไปทำหน้าลักษณะอย่างนั้นหลังอายุ ๔๐ ปีแล้วจะรู้ว่าชีวิตลำเค็ญขนาดไหน..!

คนเราไม่จำเป็นต้องหน้าตาดี ขอให้ความประพฤติดีเท่านั้น แล้วหน้าตาดีสมัยนี้รสนิยมออกมาเหมือนกันทั้งประเทศ ถึงเวลาก็ไปทำหน้าออกมาเป็นแบบเดียวกันหมด อาตมายังเห็นจนเบื่อเลย แล้วคนทำกลับไม่เบื่อสักที"

เถรี
11-03-2016, 16:03
ถาม : มีคนเขาเอาสายสิญจน์ในงานหล่อพระเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์มาให้ แต่ผมเองเก็บไว้ กลัวเป็นหนี้สงฆ์เลยขอถวายคืนครับ ?
ตอบ : ปลอดภัยไว้ได้ก็ดี แต่ถ้าเป็นอาตมาชำระหนี้สงฆ์ไปสัก ๒๐ บาทก็จบแล้ว

เถรี
11-03-2016, 16:06
พระอาจารย์กล่าวเตือนว่า "ระวังหน่อย...เสียงพวกเราดังขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ส่วนใหญ่พอเผลอแล้วเสียงจะดังขึ้นเรื่อย ให้ตั้งสติไว้นิดหนึ่ง ไปนึกถึงสุปิยปริพาชกด่าพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปพร้อมกับหมู่สาวกอีก ๕๐๐ รูป ไม่มีเสียงดังเลย ส่วนปริพาชกไปกับบริวารไม่กี่คน เสียงเอะอะโวยวายไปตลอดทาง แทนที่จะยินดีและโมทนากับความดีของพระพุทธเจ้ากลับด่า ...(หัวเราะ)...

แบบเดียวกับสกุลุทายี เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวถึงบริวารของคณาจารย์ทั้ง ๖ ท่านว่า หาความเคารพในอาจารย์ไม่ได้ เวลาอาจารย์แสดงธรรมก็คุยแข่ง บางคนก็คัดค้านธรรมที่อาจารย์กำลังกล่าว บางรายก็ลุกหนีออกจากที่ฟังธรรมไป แต่ในหมู่พุทธบริษัทถึงเวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรมมีแต่ความเงียบ แม้กระทั่งมีคนทนไม่ไหว ไอหรือจามออกมา ก็มีคนสะกิดเตือนให้เงียบไว้ สกุลุทายีกล่าวว่า “เห็นชัดเจนว่าในหมู่พระสาวกของพระพุทธเจ้านั้นเคารพในพระศาสดาจริง ๆ แต่ของอาจารย์ใหญ่ทั้ง ๖ ท่าน สาวกไม่ได้เคารพอย่างแท้จริง”

เถรี
11-03-2016, 16:09
"พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า “หมู่สาวกของพระองค์นั้นส่งจิตไปในธรรม น้อมนำเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตน ขณะที่บริวารของคณาจารย์ทั้ง ๖ ไม่ได้ส่งจิตไปในธรรม ไม่ได้น้อมนำเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้เกิดกับตน ก็เลยคุยแข่งกับอาจารย์”

แบบเดียวกับหลายที่หลายแห่ง พอถึงเวลาอาจารย์เริ่มบรรยาย ลูกศิษย์ก็คุยแข่ง แล้วทุกครั้งที่อาตมาไปบรรยายเขากลับตั้งใจฟัง ท่านอื่นก็เลยมานั่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็แค่พูดในเรื่องที่เขาสนใจก็หมดเรื่อง

ตอนไปเป็นประธานวิปัสสนาจารย์นำปฏิบัติที่วัดป่าเลไลยก์เป็นครั้งแรก พอผ่านไป ๓ วันบรรดาเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ๔๐ พรรษาบ้าง ๓๐ พรรษาบ้าง มากราบกันเป็นแถว ห้ามไม่ให้ท่านกราบ บอกว่าท่านอายุพรรษามากกว่า ท่านก็บอกว่า “ขอกราบในฐานะพระอาจารย์หน่อยเถอะ” ถามว่าแล้วนึกอย่างไรถึงมากราบ เขาบอกว่าพระอาจารย์ต้องมีอะไรดีแน่เลย เพราะปกติพวกผมไม่ฟังใคร แต่พระอาจารย์พูดทำไมถึงฟังก็ไม่รู้

แต่เสียตรงที่ว่า พอถึงเวลาอาตมาไม่อยู่แล้วเขาไม่ฟังใคร ก็คือคนที่เป็นอาจารย์ควรจะมีความรู้ความสามารถเหนือกว่า เพื่อที่จะได้สามารถควบคุมอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ได้ แต่ถึงเวลาลูกศิษย์บางคนกลับมีดีกว่า"

เถรี
11-03-2016, 16:11
"มีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยเป็นฆราวาส ขับรถไปวัดวิเวกอาศรมที่ชลบุรี ก็ขับรถเข้าไปในวัดแล้วไปจอดที่ใต้ถุนศาลา พอเดินขึ้นศาลาไปแล้วตกใจ พระอาจารย์ท่านกำลังเทศน์อยู่ โยมนั่งฟังเป็นร้อย ๆ เงียบกริบเลย ท่านไม่ได้ใช้เครื่องกระจายเสียง ท่านพูดเสียงเบา ๆ อาตมารู้สึกว่าตัวเองสร้างเวรสร้างกรรมไว้อย่างสาหัส เพราะขับรถเข้าไป แล้วไปจอดอยู่ใต้ถุน พอขึ้นชั้นบนไปเพิ่งจะเห็น

ตอนช่วงนั้นหลวงปู่พม่าท่านยังอยู่ที่วัดวิเวกอาศรม ท่านก็คงจะอบรมสั่งสอนเขาเอาไว้อย่างดีเยี่ยมเลยถึงได้เงียบขนาดนั้น เพราะอาจารย์พูดเสียงค่อยมาก ถ้าไม่เงียบแล้วตั้งใจเงี่ยหูฟังนี่จะไม่ได้ยิน ก็เลยทำให้คนฟังธรรมต้องเงียบโดยอัตโนมัติ แล้วอยู่ ๆ ก็ดันมีไอ้บ้าคนหนึ่งขับรถเข้าไปใต้ถุนศาลา ...(หัวเราะ)... แล้วรถยนต์สมัยก่อนเสียงดังจะตายไป

งานนั้นต้องกราบขอขมาพระรัตนตรัยเป็นการใหญ่ ไม่ได้เจตนาที่จะไปรบกวนการปฏิบัติธรรมของเขาเลย ตั้งใจจะไปกราบโหรอรุณ เพราะท่านบวชอยู่วัดนั้น จะไปถามปัญหาบางอย่าง แต่ว่าโหรอรุณท่านก็คงจะทราบวาระ ท่านดูดวงให้ยาวยืดไปยันสิ้นชีวิตเลย แล้วให้จดรายละเอียดสำคัญ ๆ ไว้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ท่านบอกทั้งหมด เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำ ท่านบอกว่าสุดยอดโหรของเมืองไทยต้องโหรอรุณ ท่านสามารถบอกได้ว่าเคยตายมาแล้ว รายละเอียดดีขนาดนั้น

ท่านบอกว่าอายุ ๕๑ ปี ๔ เดือน กับ ๓๘ วัน ชื่อเสียงจะเริ่มพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วเป็นคนที่แปลกมาก คือพอชื่อเสียงขึ้นแล้วไม่ตก จะขึ้นไปเรื่อย ๆ ท่านบอกว่าดาวอายุดีมาก เกินเลข ๘ สาธุ...ตรงนี้อย่าให้ทายถูกเลย...! แต่ท่านบอกว่ามีแนวโน้มจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต อาจจะต้องนั่งรถเข็น ถ้าหากว่าแก้ไขไม่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้หนักใจ เพราะว่าถ้าแก้ไขเต็มที่แล้วแก้ไม่ได้ ก็ปล่อยให้เป็นไป เพราะทำคนอื่นเอาไว้เยอะ

เสียดายลูกชายท่านที่ศึกษาวิชาโหรไว้ คือ ท่านอาจารย์เกรียงศักดิ์ หลังจากที่พ่อมรณภาพไม่นาน ท่านอาจารย์เกรียงศักดิ์ก็สึก ทั้ง ๆ ที่บวชมา ๒๐ กว่าพรรษา"

เถรี
11-03-2016, 16:15
พระอาจารย์กล่าวว่า “พิธีพุทธาภิเษกเมื่อวานที่มาเกิน คือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว อาตมาอาราธนาแค่เจ้าของมีดหมอ เพื่อนเจ้าของมีดหมอก็มาด้วย

หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์องค์จริง บางทีความสงบสำรวมทำให้รู้สึกว่าเคร่งขรึมน่ากลัว แต่พออยู่ในความเป็นทิพย์แล้ว บางทีท่านก็เล่นกันสนุกเฮฮาเลย สมัยก่อนมีหลวงปู่ทอง วัดเขากบ คนเขาชอบลองวิชากับท่าน เข้ากุฏิไปเสียงตึงตังโครมครามอย่างกับวางมวยกัน สักพักอีกฝ่ายก็กระเด็นปลิวออกนอกหน้าต่าง ไปยืนหัวเราะอยู่ที่ลานวัด ไม่มีใครรู้ว่าท่านทำอะไรกัน แต่เสียงดังอย่างกับคนวางมวยกันเลย”

เถรี
11-03-2016, 16:57
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางงานพออาตมาไม่ได้รับไว้แล้วเหมือนอย่างกับเล่นตัว ความจริงไม่ได้เล่นตัว แต่ไม่ว่างจริง ๆ เพื่อนบางคนเขาก็พูดเจ็บ ๆ ว่า “วัดท่าขนุนรวยแล้ว งานอย่างนี้เขาไม่รับหรอก” ไม่ได้เกี่ยวกับรวยหรือไม่รวย ถ้าว่างก็จะไปให้ โดยเฉพาะชอบไปเรือนจำ ไปสอนให้นักโทษแหกคุก...!

ไปหลอกให้นักโทษฝึกกรรมฐาน บอกคาถาสะเดาะกลอนบ้าง บอกวิธีเหาะได้บ้าง พวกเขาชอบ ฟังกันหูผึ่ง เพียงแต่จะมีความพยายามทำสักกี่วันเท่านั้นแหละ คราวหน้าคงต้องไปสะเดาะกลอนให้ดูต่อหน้าต่อตา เพิ่มฉันทะให้เขาหน่อย ...(หัวเราะ)... ขืนไปทำรับประกันได้ว่า พัสดีจะไม่ให้เข้าเรือนจำอีกเลย โห...กว่าจะเข้าได้ ประตู ๓-๔ ชั้น เป็นประตูเหล็กใส่กุญแจตัวโต ๆ ๓ ดอก แล้วเรือนจำทองผาภูมิอัตรารองรับผู้ต้องขังคือ ๙๐๐ คน แต่ตะบี้ตะบันอยู่เข้าไปเกือบ ๑,๕๐๐ คน..!”

เถรี
11-03-2016, 16:58
ถาม : การพกพระบรมสารีริกธาตุติดตัวสมควรไหมครับ ?
ตอบ : ได้...แต่ต้องระวังนิดหนึ่ง ถ้าเป็นวัตถุมงคลก็ถือว่าเป็นวัตถุมงคลสูงสุดเลย เพราะมาจากพระวรกายของพระพุทธเจ้าโดยตรง อย่าเผลอให้อยู่ที่ต่ำ ประเภทห้อยคอหรือว่าติดกระเป๋าเสื้อก็พอได้ แต่อย่าเผลอติดกระเป๋าเสื้อลงเครื่องซักผ้าไปก็แล้วกัน

เถรี
11-03-2016, 18:33
ถาม : ทางบ้าน ช่างเขาไม่ได้ทำครัวให้ ในสัญญามีเขียนว่าตารางวาเท่านี้ แต่ไม่ได้เขียนว่าในครัว ส่วนในแบบมีเขียนว่าในครัว ช่างเขาไม่ได้ทำ หนูก็เลยฟ้องร้องค่ะ
ตอบ : ในสัญญาไม่ได้ระบุแต่ในแบบมี ถ้าในแบบมีแล้วเขาตีราคาเหมานี่ ถือว่าเขาต้องทำให้ด้วย

ถาม : ญาติ ๆ เขาบอกว่า ถ้าบ้านมีคดีความแล้วจะอยู่ไม่เป็นสุข เกี่ยวกันไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จริง เป็นอาตมายิ่งมีคดียิ่งมีความสุขเพราะชอบมีเรื่อง เพราะฉะนั้น...อยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่อะไร

ถาม : หนูก็กลัวค่ะ ?
ตอบ : ถ้าในแบบมี แล้วสัญญาของเราก็คือจ้างเหมาตามแบบ เขาต้องทำให้เรา ถ้าไม่ทำก็ฟ้องได้เลย

ถาม : ตอนนี้กำลังฟ้องร้องอยู่ค่ะ ยื่นไปเขาก็ยังไม่มา ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ฟ้องไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ

ถาม : จะสำเร็จไหมคะ ?
ตอบ : เรื่องแบบนี้อย่าเที่ยวไปถาม เพราะหลักฐานข้อเท็จจริงอยู่ที่ศาลตัดสิน เขาใช้คำว่าเท็จและจริง ถ้าเขาสร้างหลักฐานเท็จได้ เขาก็สามารถเอามาใช้งานได้เหมือนกัน

ถาม : เรามีพยานในสัญญาด้วยค่ะ ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คราวหน้าทำสัญญาอย่างที่วัดท่าขนุน ของวัดทำสัญญาจ่ายเงินตามงวด ก็คือถ้าคุณทำถึงตรงนี้จะได้รับแค่นี้ ทำถึงตรงนี้ได้รับแค่นี้ แต่ทุกงวดทางวัดจะหักไว้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์นี้คุณจะได้รับก็ต่อเมื่อส่งงาน และทางวัดตรวจรับเรียบร้อยแล้ว ส่วนคุณเองขาดความรอบคอบ ไม่ได้หักตรงนี้เอาไว้ เขาก็เลยบิด ๆ เบี้ยว ๆ ได้ อย่างของวัดท่าขนุน มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ ๑๒ ล้าน ๕ แสนบาท ถ้าหักไว้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เขาไม่อยากได้ก็เป็นเรื่องของเขา

ถาม : หนูก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน ส่วนใหญ่พวกนี้เขี้ยวยาว ร้อยวันพันปีจะเจอช่างดี ๆ ตรงไปตรงมาสักที เอาเถอะ...ถือว่าเป็นบทเรียนไป รอศาลเขาตัดสิน ถ้าเขาไม่มาก็ค่อยแจ้งความ ความจริงถ้าเป็นอาตมาจะไปแจ้งความที่เชียงรายที่หนึ่ง ที่สุไหงโกลกที่หนึ่ง ให้เขาวิ่งให้ตายห่...ไปเลย

ถาม : มีคำแนะนำอะไรอีกไหมคะ ?
ตอบ : ก็แนะนำไปแล้วว่า ถ้าเป็นอาตมาจะแจ้งความสุดเหนือสุดใต้ พอถึงเวลามีหมายเรียกให้เขาวิ่งให้ตายห่...ไปเลย การแจ้งความเป็นสิทธิของเราว่าจะไปแจ้งที่ไหนก็ได้

เถรี
11-03-2016, 19:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดลานหอยสมัยก่อนมีหลวงพ่อปี้ดังมาก ๆ เราเคยได้ยินชื่อกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ คำว่าปี้สมัยก่อนเขาหมายถึงเหรียญเงิน สมัยนี้ก็ได้ยินคนแก่ ๆ บางคนเรียก แต่คนรุ่นหลังฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่าคืออะไร เหมือนคุณยายมณีบอกว่าตะกรุดยาวเกียกหนึ่ง แกก็ทำมืออย่างนี้ คนรุ่นใหม่จะไปรู้หรือเกียกหนึ่งยาวเท่าไร ถ้าคืบหนึ่งก็ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วกลาง ถ้าเกียกหนึ่งก็ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้"

เถรี
11-03-2016, 19:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนรุ่นใหม่เขาพยายามพิสูจน์ว่าหลักศิลาจารึกสุโขทัยเป็นของปลอมที่รัชกาลที่ ๔ ทำขึ้นมา ถ้ารัชกาลที่ ๔ ทำได้ ก็สุดยอดอัจฉริยะเลย เพราะต้องคิดภาษาขึ้นมาใหม่หมดเลย ต้องเป็นภาษาที่เขาอ่านรู้เรื่องด้วย คงเป็นประเภทอัจฉริยะในอัจฉริยะเลย คือเรื่องของนักวิชาการเป็นสิทธิของเขาที่จะตั้งข้อสันนิษฐาน เขาบอกว่าสำนวนบางอย่างไม่น่าจะเป็นสำนวนในสมัยสุโขทัย นึกแล้วก็ขำ ทำอย่างกับเอ็งเกิดทันยุคนั้น...!"

เถรี
11-03-2016, 19:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องวุ่น ๆ ในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของคนไม่กี่คน คือจริง ๆ แล้ว คสช. มี ม. ๔๔ อยู่ในมือ ถ้าจะเล่นงานวัดธรรมกายก็สามารถตีตรงได้เลย แต่ว่ากลับมาทำให้เรื่องเล็ก ๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ ต้องบอกว่าบรรดากุนซือของ คสช.นี่ สมควรโดนประหาร ๗ ชั่วโคตร..! ไม่ว่าจะหลักการบริหารอะไรก็ตาม เขามีแต่ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้ไม่มีเรื่อง แต่นี่เขาสามารถทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ แล้วก็ใหญ่กันไปเรื่อย ๆ"

ถาม : จะว่าได้ผลประโยชน์ก็ไม่มีใครได้นี่คะ ?
ตอบ : มีสิ...ที่ได้ผลประโยชน์จริง ๆ ก็คือศาสนาอื่น

เถรี
11-03-2016, 19:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านอานนท์เป็นลูกศิษย์เรียน มจร. ท่านไปได้มีดหมอมาเล่มหนึ่ง ก็มางมหาประวัติ ในที่สุดก็เจอว่าเป็นของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ จังหวัดอยุธยา เรียกว่ามีดหมอสะกดวิญญาณ เอาไว้สำหรับเฉ่งผีโดยเฉพาะ งานอื่นถือเป็นของแถม ก็คือบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อแจ่มที่เป็นสัปเหร่อ พอไปเผาศพแล้วโดนพวกผีตามเล่นงานอยู่เรื่อย ๆ มาขอให้ท่านช่วยสร้างวัตถุมงคลที่กันพวกนี้หน่อย แทนที่จะกัน ท่านก็ทำแบบเล่นงานผีโดยตรงเสียเลย

ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ เวลาท่านจารอักขระแล้วแช่น้ำมนต์ ตัวอักขระจะนูนขึ้นมา เป็นมีดหมอสำนักเดียวที่ไม่เหมือนคนอื่น สมัยก่อนหลวงตาวัชรชัยชวนไปเรียนวิชานี้กับหลวงพ่อวงศ์ด้วยกัน ท่านบอกให้รีบไปเพราะว่าท่านอายุมากท่านบอกว่าพวกสมาธิดี ๆ ให้รีบมา ปรากฏว่าไปไม่ทัน มรณภาพก่อน"

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : นั่นก็คือหลวงพ่อวงศ์ ลูกศิษย์หลวงพ่อแจ่มอีกทีหนึ่ง ขนาดหลวงพ่อวงศ์ตอนนั้นยัง ๗๐ กว่าปีแล้ว น่าเสียดายเหมือนกัน ถ้าได้เรียนเอาไว้คงเล่นกันสนุกสนานไปเลย สมัยนี้ถ้าจะเอาตัวหนังสือลักษณะนั้นต้องใช้กรดกัดเอา ซึ่งทำยากมาก เพราะจะต้องปิดตรงบริเวณที่เราต้องการเอาไว้ แล้วตัวหนังสือจะไปปิดอย่างไร ? เพราะตัวนิดเดียว

เถรี
13-03-2016, 16:09
ถาม : ตอนเสก ฐานกล่องวัตถุมงคลสั่นกรุบ ๆ ตั้งแต่อยู่มาเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ?
ตอบ : อาตมาไม่ได้ทำอะไร นั่งเฉย ๆ จะเอากระโดดออกจากกล่องไหมเล่า ? ถ้าทำอะไรชัดเจนเกินไปสมัยนี้ตายเร็ว อย่างรุ่นครูบาอาจารย์เสกต้องให้โดดได้ก่อน รุ่นของเราถ้าเกิดว่าโดดได้เมื่อไร เดี๋ยวอีกไม่ถึง ๒ ชั่วโมงทั่วโลกได้ดูกันอุตลุด เอาไปแค่นั้นแหละพอแล้ว

ต้องบอกว่าท่านอานนท์ค่อนข้างจะมีสัญชาตญาณในเรื่องของวัตถุมงคล เมื่อปีที่แล้วท่านถวายมีดหมอของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามมาเล่มหนึ่ง วัดโฆสิตารามนี่ไปบอกชาวบ้านชาวบ้านไม่รู้จักหรอก เขาเรียกวัดบ้านแค ท่านเองก็ไปได้มีดหมอของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือมา

เมื่อวานตอนเดินทางมา พระท่านให้เอามีดหมอทั้งหมดที่มีมาด้วย ปรากฏว่าอาตมาไปนั่งทางด้านท้ายรถแล้วออกไม่ได้ ให้ "หมวยนี้" ไปยกพานใส่มีดหมอมา ปรากฏว่ามีดหมอหลวงพ่อกวยไม่ว่ารู้อันตรธานไปไหน รถก็วิ่งออกไปแล้ว ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร ท่านไม่มาก็แล้วแต่ท่านเถอะ พอมาถึงวัดกาญจนบุรีเก่า ไปกราบถวายฎีกาหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัด มีดหมอก็ยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้น แต่ตอนแรกไม่มีแน่นอน แหม...น่าเหวี่ยงจริง ๆ

เถรี
13-03-2016, 17:04
ถาม : เวลาได้ยินเสียงเทวดา แสดงว่าท่านมาเตือนเราหรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : ให้พิจารณาดูว่าอะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แก้ไขแล้วดีกับตัวเราก็แก้ไปทำไป ถ้าอันไหนไม่ดีแก่เราก็อาจจะเมิน ๆ หน่อยก็ได้ แต่คราวหลังท่านก็จะไม่เตือนอีก

ใครจะเตือนเราก็ต้องพิจารณาแก้ไขทั้งนั้นแหละ อย่างอาตมานี่ประเภทเทพอสูร ดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะฉะนั้น...จะเทวดาเตือนหรือมารเตือนนี่อาตมารับฟังทั้งนั้น

เถรี
13-03-2016, 18:30
ถาม : ผีกองกอยเป็นแบบไหนครับ ?
ตอบ : ผีกองกอย จะเอาแบบไหน ?

ถาม : แบบขาเดียวกระโดดครับ ?
ตอบ : แบบขาเดียวเป็นอสุรกายประเภทหนึ่ง ทางด้านเหนือเขาเรียกว่า “ผีเสื้อห้วย” เคลื่อนไหวเร็วมาก สาเหตุที่คนไม่เห็นตัวเพราะว่าไวมาก ความจริงแล้วเป็นลักษณะอสุรกายประเภทหนึ่ง คุณโจ๋ย บางจาก ที่ทำสารคดีส่องโลก เคยไปวางกล้องดักถ่ายพวกสัตว์ป่า ถ่ายเจ้าตัวนี้ทีไรจะได้แต่ปลายตีนนิดเดียว ขนาดกล้องลั่นแล้วยังโดดหนีได้ทัน เขาเร็วขนาดนั้น แล้วก็ติดแต่ตีนมาหน่อยหนึ่ง ตามที่คุณโจ๋ยเขาบอกคิดว่าเป็นสัตว์ทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ว่าเป็นสัตว์ที่คนทั่วไปยังไม่รู้จัก

ในยุคที่ทางภาคเหนือเรายังมีเจ้าผู้ครองนครอยู่ ยุคที่บริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าเขาได้สัมปทานไม้สักภาคเหนือ ก็มีอยู่พวกหนึ่งที่เขาเชื่อกันว่าเป็นผีกองกอย แต่ว่าคนละอย่างกัน อันนั้นเป็นอสุรกายอีกประเภทหนึ่ง ถ้าเราเคยอ่านเรื่องเวตาลก็จะเห็นว่า พออสุรกายเข้าไปสิงศพ ก็จะมีหางเป็นแพะมีปีกเป็นค้างคาว กลายเป็นตัวเวตาลอะไรอย่างนั้น แต่เจ้านี่พออสุรกายเข้าไปสิง ศพนั้นจะไม่เน่า แล้วขนจะงอกยาวขึ้นเรื่อย ๆ

คราวนี้จะไปพ้องกับเรื่องความลับในดงดิบของ ท. เลียงพิบูลย์ ที่เขียนเอาไว้จากคำสัมภาษณ์ของโยมท่านหนึ่ง ที่ว่าไปเจอเจ้าผีกองกอยที่ว่านี้ ถึงเวลาแล้วมาร้อง แค่เสียงร้องของเขาก็สามารถสูบเลือดคนไปกินได้ ขนาดแค่ผ่านเสียงร้องเท่านั้น ตัวนี้แสดงว่าบำเพ็ญตบะมานานมาก แล้วก็ไปสอดคล้องกับสิ่งที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม กับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านไปเจอเจ้าผีกองกอยนี้ หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนก็แผ่เมตตาปรากฏว่าไม่ยอมไป หลวงปู่แหวนก็เลยเทศน์โปรด ท้ายสุดเขาก็เลยเปลี่ยนใจ ไม่กินหลวงปู่ ๒ ท่าน แล้วก็หนีหายไป หลวงปู่ตื้อท่านชมหลวงปู่แหวนว่าเทศน์ได้ดีมาก ขนาดผีกองกอยที่ไม่น่าจะรับฟังใครยังอุตส่าห์ยอมลงให้

ถ้าหากว่าเป็นประเภทนี้จะเป็นศพที่ตายแล้ว แต่พอพวกอสุรกายเข้าสิง ก็ยังคงออกหากินเพื่อหล่อเลี้ยงศพนั้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งกินมากก็ยิ่งมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี
13-03-2016, 18:34
ถาม : อสุรกายมีกี่ประเภท ?
ตอบ : อสุรกายมีอยู่ตั้ง ๔ ประเภท ตกลงว่าไปว่ามาสำนวนออกไปทางวิทยานิพนธ์ มีอ้างอิงด้วย ...(หัวเราะ)... เล่าเรื่องอสุรกายแท้ ๆ ก็ยังไปตรงกับของประเทศจีนด้วย ที่เขาบอกว่ามีบางศพที่ฝังในฮวงจุ้ยที่ผิด แล้วก็ทำให้กลายเป็นผีดิบ ไม่เน่าไม่เปื่อย มีขนงอกยาวขึ้นมา ก็แสดงว่าเรื่องพวกนี้มีอยู่ทั่วโลก เพียงแต่ว่าใครจะเจอหรือไม่เท่านั้น

เถรี
13-03-2016, 18:45
ถาม : พวกอบายภูมิ เรามีโอกาสจะได้เจอไหมครับ อย่างพวกเปรต อสุรกาย สัตว์นรก ?
ตอบ : ถ้าวาระกรรมของเราเปิดบางทีก็ได้เจอ แล้วอีกอย่างก็คือเขาตั้งใจแสดงให้เห็น ถ้าเขาตั้งใจแสดงให้เห็นก็มีโอกาสได้เจอ มีบันทึกอยู่ในเปตวัตถุหลายเรื่อง ที่พระท่านเดินทางแล้วไปเจอโยมคนหนึ่งตัวดำเมี่ยมเลย เดินเข้ามาขอร้องพระท่านว่า ช่วยหาน้ำให้กินหน่อยเถอะ หิวน้ำเหลือเกิน พระก็บอกว่า “โยมเดินลุยอยู่ในสระน้ำนั่นเลย” เขาบอกว่าเขามองไม่เห็น พระท่านก็เลยตักน้ำใส่บาตรให้ เขาก็ไม่เห็น ท้ายสุดพระท่านก็เลยจับนอนหงาย ปรากฏว่าปากเขาเท่ารูเข็ม ต้องค่อย ๆ เอาน้ำในบาตรกรอกใส่ลงไป ๆ ได้ ๗-๘ บาตร ถามว่าพอหรือยังโยม ? โยมบอกว่าไม่รู้สึกว่ามีน้ำสัมผัสลิ้นเลย ก็เลยถามว่าโยมทำกรรมอะไรมาถึงเป็นอย่างนี้ เขาก็เลยเล่าว่า “ข้าพเจ้าเป็นเปรต ในอดีตเป็นคนหวงบ่อน้ำ ไม่ยอมให้คนอื่นมาร่วมใช้บ่อน้ำด้วย”

แล้วอีกเรื่องก็พระท่านหลงป่า เดินอยู่หลายวันหมดเรี่ยวหมดแรง แล้วไปเจอโยมท่านหนึ่งไถนาอยู่ ก็ถามทาง โยมก็บอกทางให้ ถามว่าโยมมาทำอะไรกลางป่า มาทำไร่ไถนาอยู่ ผู้คนก็ไม่มี เขาก็บอกว่าโยมเป็นเปรต เคยโกงที่สงฆ์ไว้ หลังจากตกนรกแล้วมาเกิดเป็นเปรตก็ชดใช้กรรมอยู่ที่นี่

เถรี
13-03-2016, 19:21
ถาม : พวกที่อยู่ต่างภูมิจะเห็นกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ต่างภูมิกันบางทีก็ไม่เห็นกัน ถ้าฝ่ายที่มีฤทธิ์มากกว่าหรือว่าภูมิละเอียดกว่า อย่างเปรตจะอยู่ภูมิที่หยาบกว่า อสุรกายละเอียดกว่า คาดว่าเขาไม่น่าจะเห็นกัน เพราะว่าถ้าเห็นกันเมื่อไรนี่ยุ่งตายชักเลย

ฝ่ายที่อยู่ภูมิละเอียดกว่าเขาสามารถเห็นฝ่ายที่หยาบกว่าได้ แต่ฝ่ายที่หยาบกว่าอยากเห็นฝ่ายละเอียดกว่านั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้

ถาม : แล้วที่หมาเห็นผี ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบาก เป็นฤทธิ์อย่างหนึ่งเหมือนอย่างกับเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเห็น แต่เราก็มีฤทธิ์คือสามารถเห็นโดยใช้ทิพจักขุญาณ

เถรี
13-03-2016, 19:43
ถาม : ทำไมพระดีเข้าถึงที่สุดเหมือนกัน แต่ความคล่องตัวไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นพระดี ?
ตอบ : บุญเก่าที่ทำมา เกี่ยวกับทานบารมี ทานบารมีมีส่วนเกินครึ่ง

ถาม : อย่างนี้ความบริสุทธิ์ของใจช่วยไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ช่วยได้ แต่ก็เหมือนกับต้นทุนเราน้อย ต่อให้คุณโกยมาให้หมดแต่ก็ได้แค่นั้น แต่ถ้าต้นทุนเราเยอะ อย่างที่อาตมาเคยบอกท่านย่าว่า ให้ผมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังน้อยไปเลย

ถาม : อย่างหลวงพ่อฤๅษีที่ไปอยู่วัดท่าซุงแรก ๆ ก็ยังผูกปิ่นโตเลยครับ ?
ตอบ : วาระบุญยังมาไม่ถึง

เถรี
14-03-2016, 13:31
ถาม : ทำไมพระรุ่นก่อนถึงใช้กำลังส่วนตัวในการปลุกเสกกันครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ท่านมาทางสายอภิญญา และไม่มีความรู้ว่าจะต้องขอบารมีพระอย่างไร

ถาม : แต่ท่านก็เจอพระนะครับ ?
ตอบ : ที่เจออย่าง หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ให้สังเกตว่าจะกลายเป็นอมตะเถราจารย์ไปเลย

เถรี
14-03-2016, 13:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอสร้างพิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุงเสร็จ อาตมาต้องหาเจ้าหน้าที่มาประจำไว้ ต้อง สามารถที่จะอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เดี๋ยววันมะรืนนี้เขาจะเอาเรือไปส่งที่วัด อาตมาสั่งสร้างเรือพระราชพิธีจำลองไป ๓ ลำ ลำหนึ่งยาว ๒ เมตรครึ่ง มีเรืออนันตนาคราช เรือสุพรรณหงส์ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณ"

ถาม : ลำเท่าไรครับ ?
ตอบ : น่าจะประมาณสองแสนห้า ...(หัวเราะ)... ยาวเป็นวาเลย สัดส่วนเหมือนของจริงหมด แล้วตรงที่ทึ่งก็คือเขาทำเหมือนมาก

วัดท่าหลวงที่จังหวัดพิจิตรสั่งทั้งขบวนเลย ทั้งเรือดั้งเรือแซงอะไรเอาหมดเลย เอาเถอะ...คุณมีเงินนี่นา วัดท่าหลวงมีหลวงพ่อเพชร วัน ๆ คนเข้าตั้งเท่าไร ของเราไม่ได้อย่างนั้น ลำไหนหน้าตาดีหน่อยก็ค่อย ๆ เอามา เก็บไปเรื่อย ๆ

เถรี
14-03-2016, 14:09
ถาม : หลวงพ่อไม่ทันหลวงปู่บุญมีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เกิดทัน แต่ไม่ทันได้ไปหา ท่านมรณภาพปีที่อาตมาลาออกจากทหารพอดี วัดเขาสมอคอนสมัยก่อนเป็นสำนักใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นคู่แข่งกับวัดมณีชลขันธ์ วัดมณีชลขันธ์ได้หลวงปู่แสง วัดเขาสมอคอนได้หลวงปู่ก๋ง แล้วหลวงปู่ก๋งนี่แหละที่ถ่ายทอดวิชาให้หลวงพ่อบุญมี ส่วนหลวงพ่อแสงออกมาทางด้านหลวงพ่อโต วัดระฆัง หลวงพ่อเนียมวัดน้อย

ถาม : พระอุปัชฌาย์ก๋ง ?
ตอบ : สมัยก่อนกว่าจะเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ต้องประเภทเลิศวิทยายุทธ์จริง ๆ ดูอย่างพระอุปัชฌาย์ยิ้ม พระอุปัชฌาย์กลั่น แต่ละท่านสุดยอดทั้งนั้น

ถาม : ได้เป็นพระอุปัชฌาย์นี่เป็นที่ภูมิใจของจังหวัด ?
ตอบ : ถ้ายุคนั้นก็เป็นหน้าตาของประเทศเลย

เถรี
14-03-2016, 14:14
ต้องบอกว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพรท่านเก่งจริง พอหลวงปู่ศุขแนะนำให้ไปกราบขอเรียนวิชาจากหลวงปู่ยิ้ม ไปขอมีดหมอปราบไตรภพ หลวงปู่ยิ้มให้เพ่งเทียน ท่านก็เพ่งเทียนระเบิดดับได้ เพราะว่าวิชาสายหนองบัวนี่ ถ้าเพ่งเทียนดับไม่ได้ท่านไม่ให้วิชา

ถาม : ทำไมต้องเพ่งเทียนให้ดับ ?
ตอบ : เพราะว่าสมาธิจะได้พอที่จะใช้งาน

ถาม : ต่างจากทำให้เทียนติดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกัน ที่เทียนติดใช้อำนาจของกสิณ ที่เทียนดับใช้กำลังใจล้วน ๆ

ถาม : ถ้าใช้นีลกสิณ ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่ดับ แค่โดนบัง

ถาม : แสดงว่าใช้นีลกสิณง่ายกว่า ?
ตอบ : ง่ายกว่า สมัยก่อนจะเคยชินกับความแข็งแรงเฉพาะตัว ในเมื่อมีความแข็งแรงเฉพาะตัว คุณถึงสามารถเป็นแม่ทัพขุนศึก เป็นผู้นำเขาได้ คราวนี้พอมาฝึกปฏิบัติทางใจ ก็เลยดูว่าพลังจิตของใครแข็งกว่า

ถาม : อ๋อ...ที่หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ท่านบอกว่า ใครจะมาเอาวิชาของท่านไป ให้เพ่งเทียนให้ระเบิดไปเลย ก็คืออันนี้ ?
ตอบ : หลวงปู่ใจ วัดเสด็จท่านใช้เวลา ๗ วัน เพ่งไปเถอะ จนท้อใจ วันนี้ถ้าไม่สำเร็จจะกลับแม่กลองแล้ว ปรากฏว่าคืนนั้นแหละ เทียนระเบิดดับต่อหน้าต่อตา หลวงปู่ยิ้มท่านหัวเราะ บอกว่า "เก่งกว่าข้าอีก ข้าโดนไปเกือบ ๑๕ วัน" ...(หัวเราะ)... ต้นตำรับบอกตัวเองโดนไปเกือบ ๑๕ วัน

เถรี
14-03-2016, 14:22
ถ้าสายเมืองกาญจน์ฯ หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงปู่ดี วัดเหนือ ส่วนหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ นี่ต้องบอกว่าเป็นสหธรรมิกรุ่นน้อง คราวนี้หลวงปู่เปลี่ยนท่านดังมาก่อนแล้ว คงไม่ขอแลกเปลี่ยนวิชากัน แล้วก็มาหลวงพ่อดอกไม้ และอีกหลายท่าน แต่ว่าดังสู้ ๓ เสือกาญจนบุรีไม่ได้ เพราะว่าหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ กับหลวงพ่อเหรียญ วัดหนองบัว ดังกว่า ท่านอื่น ๆ ก็เลยโดนบังรัศมีไป ทั้ง ๆ ที่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน

คราวนี้ทางหลวงปู่ดี วิชาของท่านก็ลงมาทางที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช หลวงปู่สอนก็มาที่หลวงพ่อลำใย ของอาตมาก็เลยกลายเป็นลูกศิษย์สองสาย

สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรฯ ช่วงที่พระองค์ท่านป่วยแล้วทำอะไรไม่ได้ โดนขโมยรัดประคดไป ส่วนใหญ่แล้วในประคดเอวเป็นพระปิดตากับแหวนพิรอดหลวงปู่ยิ้ม พระองค์ท่านเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกถึงครูบาอาจารย์ โดนขโมยไปเข้าตลาด ของแพงเลย

เถรี
14-03-2016, 14:30
แหวนพิรอดหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ต่างกับของหลวงพ่อม่วง วัดบ้านทวน ของวัดบ้านทวน หลวงพ่อม่วงท่านถักเป็นลายขัด แต่ของหลวงปู่ยิ้มท่านถักเป็นหัวขึ้นมา บางคนเรียกว่า "ถันพระอุมา" ส่วนของหลวงพ่อหรุ่น วัดอัมพวัน ท่านก็ถักเป็นหัวขึ้นมาเหมือนกัน ฉะนั้น...ต้องดูความต่างของเนื้อรัก ของหลวงปู่ยิ้มส่วนใหญ่เป็นรักจีนออกสีแดง ส่วนของหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ นี่ถึงเรียนแหวนพิรอดจากหลวงปู่ยิ้มไปก็จริง แต่ว่าท่านถักแบบเรียบ ๆ ไม่มีลายขัดอะไร เหมือนกับเอาด้ายพันขึ้นมาเฉย ๆ แต่ว่าเป็นตำราเดียวกันหมด

ถาม : คาถาพระพิรอดขอดพระพินัยสายเรามาจากไหนครับ ?
ตอบ : อันเดียวกัน ตำราเดียวกันหมด เวลาอาราธนาติดตัวก็ “โอม พระพิรอด ขอดพระพินัย” ถึงเวลาเก็บก็ “โอม พระพินัย คลายพระพิรอด” ยกเว้นว่าตำราผูกเชือก ๓ ปมก็ยังมีปมกลางอีก มี “สะ สิ มิ สิ”

ถาม : ตำราผูกเชือกปมกลางนี่ ?
ตอบ : คาถาเดียวกัน แต่ว่าเพิ่มขึ้นมาบทหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า เป็นของหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง

ถาม : เสกใช้สามตัวนี้เหมือนกัน ?
ตอบ : สามตัวนี้ แต่ท่านบังคับให้กลั้นหายใจ เหนื่อยตายชักเลย

สายครูบาอาจารย์ของอาตมามีตั้ง ๑๐ กว่าสาย...ยุ่งไปหมด เดี๋ยวพอฉลองอายุ ๖๐ ปี จะทำสายครูบาอาจารย์ออกมา ตอนนี้ร่าง ๆ เอาไว้แล้ว ออกมานี่ได้งงกันไปหมด อะไรจะเรียนมาเยอะขนาดนี้วะ ? เพราะอาศัยว่าจำง่าย จำแม่น แล้วท่านเมตตา ไปหาทีไรท่านก็ให้อยู่เรื่อย

เถรี
15-03-2016, 11:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่ตั้งคำถามเอาไว้ในเว็บวัดท่าขนุนแล้วไม่ไปแก้ไขข้อผิดพลาดตัวเอง โดนแบนตลอดชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ก็คือคุณจะดื้อกับใครก็ได้ แต่ดื้อในเว็บวัดท่าขนุนไม่ได้ เพราะเจ้าพ่อดุ...!

รู้สึกว่าจะโดนแบนไป ๒ ราย รายหนึ่งแก้หลายครั้งแล้ว แต่แก้เท่าไรก็ไม่สำเร็จ แก้จนท้อเลยทิ้งไปเลย ส่วนอีกราย ตั้งกระทู้เสร็จก็หายไปเลย ใครจะแจกใบแดง ใบเหลืองอย่างไรตูไม่รับรู้ทั้งสิ้น ท้ายสุดสิ่งที่ตนเองทำก็เลยส่งผล โดนแบนไปเรียบร้อยแล้ว"

เถรี
15-03-2016, 12:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำฟักทองไม่ใช่ปานะ พระไม่สามารถจะฉันหลังเพลได้ น้ำฟักทอง น้ำลูกเดือย บรรดาสารพัดถั่ว แม้กระทั่งน้ำข้าว ก็เป็นอาหาร สมัยนี้เขาแกล้งโง่ ๆ มาถวายเป็นน้ำปานะกันหมด โดยเฉพาะระยะหลังที่เจอมากคือน้ำข้าวโพด น้ำเผือกปั่น น้ำฟักทองปั่น บางรายปั่นมาข้นคลั่กเป็นครีมเลย

น้ำเต้าหู้ก็เป็นอาหาร เพราะว่ามาจากถั่วเหลือง บรรดาตระกูลถั่วตระกูลข้าว พวกพืชกินหัวทั้งหมดเป็นอาหาร ต้องบอกว่าค่อย ๆ เพี้ยนไปเรื่อย จนกระทั่งผิดกลายเป็นถูก พอเราไปทำให้ถูกก็กลายเป็นผิดในสายตาคนอื่น ระยะหลังมีในงานภาคค่ำ อย่างเช่นพวกงานสวดอภิธรรม มีถวายเม็ดก๋วยจี๊ เมล็ดทานตะวัน ก็เห็นท่านนั่งแทะเป็นนกเป็นกระรอกอยู่เหมือนกัน โยมไม่รู้ ถวายของที่ไม่สมควรมา พระต้องบอกต้องเตือนโยมให้รู้ ไม่ใช่ถวายมากูก็ฉวยโอกาสกินเลย"

เถรี
15-03-2016, 20:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจ่ายค่าหล่อสมเด็จองค์ปฐม ๔๙ นิ้ว รูปหล่อหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปแล้ว จำนวน ๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท ราคานี้รวมค่าปิดทองและขนส่งไปให้ด้วย"

เถรี
16-03-2016, 14:38
ถาม : เวลาผมนอนสภาพจิตจะมีความสว่างมาก ทำอย่างไรจะทำให้เวลาผมนั่งภาวนาแล้วจะให้สภาพจิตสว่างได้อย่างตอนนอนครับ ?
ตอบ : สมาธิเข้าระดับลึกมากเท่าไรสภาพจิตก็จะสว่างผ่องใสมากขึ้นเท่านั้น คราวนี้ถ้าคุณต้องการที่สมาธิระดับธรรมดา แต่จะให้สว่างเหมือนตอนที่เรานั่งในสมาธิระดับลึกกว่า ก็ต้องซักซ้อมให้มีความคล่องตัวชนิดที่ต้องการเข้าถึงระดับไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น...ต้องซ้อมบ่อย ๆ จนกระทั่งสภาพจิตเคยชินกับระดับนั้น ถึงเวลาแม้แต่นั่งลืมตาอยู่ก็ทำได้ ต้องขยันกว่านี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเงียบเหมือนกับตอนหลับ

ถาม : การที่เราฝันว่าเป็นพระสงฆ์ถือศีล ๒๒๗ ได้ เราจะได้อานิสงส์ของศีลนั้นไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอานิสงส์ ฝันก็คือฝัน เป็นนิมิตแสดงเหตุจะเก่าหรือใหม่ก็ได้

เถรี
16-03-2016, 14:52
ถาม : เขาบอกว่าพระผงวัดโพธิ์สุทธาวาสเข้าพิธีเดียวกับสมเด็จสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ จริงไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน ระยะหลังนี้นิทานมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนเขาไม่ทันหลวงพ่อกัน สมัยก่อนพุทธาภิเษกในโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็อนุญาตให้วัดอื่นนำวัตถุมงคลไว้หลังโบสถ์แล้วก็โยงสายสิญจน์มา ความจริงโยงสายสิญจน์ก็แค่ให้กำลังใจเจ้าของ ความจริงไม่ต้องใช้ก็ได้ พอมาระยะหลังคนต้องการพึ่งหลวงพ่อท่านมากขึ้น ก็เลยให้จัดสถานที่ในวิหาร ๑๐๐ เมตรสำหรับคนนอก เขาก็ทำแบบเดียวกับวัดท่าขนุน ก็คือขนกันไปเข้าพิธีแบบไม่ต้องเกรงใจ คนหนึ่งเป็นคันรถ เพราะฉะนั้น...ใครเขาบอกว่าเอาไปเข้าพิธีมาแล้ว ก็แล้วแต่เขาจะว่าก็แล้วกัน

ของวัดท่าขนุนยุคจตุคามรามเทพนี่ อาตมามองออกไปแล้วทึ่งมาก รถแทบจะจอดล้อมศาลาเลย บางคันนี่เป็นรถหกล้อเลย แล้วเขาก็ขายได้หมดเสียด้วย เขาจะมีป้ายติดอยู่ว่ารุ่นไหน แล้วก็โยงสายสิญจน์ขึ้นศาลาวัดท่าขนุน ที่เหลือก็เป็นภาระของอาจารย์เล็กไป สรุปแล้ววัดท่าขนุนไม่ได้สร้างจตุคามรามเทพกับใครเลย แต่เสกไป ๓๐ กว่ารุ่น..!

ที่ขำที่สุดคือมีโยมอยู่รายหนึ่งบอกว่า “ต้องหาวัตถุมงคลวัดท่าขนุนมาให้ได้” ถามว่ามีเหตุผลอะไร เขาบอกว่า “ใคร ๆ ก็สร้างจตุคามรามเทพกัน วัดที่ไม่ยอมสร้างแล้วฝ่ามรสุมเขามาได้ต้องแน่จริง”

แต่ว่าที่น่าสงสารเลยคือเพื่อนของอาตมาเอง พระครูภัทรกิจพิศาล วัดไผ่หูช้าง สร้างจตุคามรามเทพรุ่นแรกได้กำไร ๑๒ ล้านบาท ก็เลยย่ามใจ รุ่นสองใส่ไปเต็มที่เลย ปรากฏว่ากระแสตกพอดี ขายไม่ออก ๑๒ ล้านบาทที่ได้มาก็ยังกองอยู่นั่นแหละ ช่วงนั้นเขามีคำขวัญว่า ถ้าวัดไหนอยากได้สตางค์ให้สร้างจตุคามรามเทพ ทั่วประเทศก็เลยสร้างกันเกือบทุกวัด

ความจริงท่านก็ยังสงเคราะห์คนอยู่เป็นปกติ แต่ว่าความนิยมเสื่อมลงเพราะว่าคนเอามาทำเป็นการค้ามากเกินไป เขาคำนวณว่าจำนวนที่สร้าง ๆ ขึ้นมา น่าจะมากกว่าจำนวนประชากรในประเทศไทยเสียอีก แต่ถ้าอย่างของหลวงปู่อุบาลีฯ วัดไร่ขิงท่านสร้าง ด้านหนึ่งเป็นหลวงพ่อวัดไร่ขิง ชื่อว่ารุ่น “มงคลจตุคาม” เปิดจองวันเดียวได้ไป ๕๐ ล้านบาท ถ้าอย่างนั้นความนิยมไม่เสื่อมแน่ เพราะด้านหนึ่งยังมีหลวงพ่อวัดไร่ขิงอยู่

เถรี
16-03-2016, 15:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "การบวชเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ในเมื่อเกิดขึ้นได้ยากก็มีอานิสงส์มาก แต่จะไปลำบากคนบวช ทันทีที่พระคู่สวดประกาศวาระที่ ๓ ว่าการบวชนั้นสำเร็จลงแล้ว ก็เป็นอันว่าได้อานิสงส์ในการบวชไปเต็ม ๆ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้บวช ถ้าอยู่ต่อแล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อานิสงส์ก็ทวีคูณขึ้นไป ถ้าอยู่ต่อแล้วทำผิดทำพลาดก็โดนลดไปเรื่อย ถ้าหากว่าพลาดมาก ๆ ก็ขาดทุนยับเยิน

ฉะนั้น...วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือเป็นเจ้าภาพบวชชาวบ้าน อาตมาหากินทางนี้มานานแล้ว ถึงเวลาก็บวชเขาไปเรื่อย บางคนถามว่าทำไมอาจารย์บวชฟรีปีหนึ่งหลายครั้ง ตอบว่าบวชเองแล้วเอาดีไม่ได้ ก็เลยบวชชาวบ้านเขาดีกว่า"

ถาม : แล้วเป็นพระอุปัชฌาย์ได้บุญไหมคะ ?
ตอบ : ดูท่าจะมีแต่เวรกรรมมากกว่า...!

เถรี
16-03-2016, 15:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า “สีมา” ความหมายจริง ๆ แปลว่าเขตแดน คราวนี้สีมาโดยหลัก ๆ มีอยู่ ๒ อย่างคือ พัทธสีมา เขตแดนที่ประกาศผูกไว้แล้ว ก็คือคณะสงฆ์รับรอง กับ อพัทธสีมา คือเขตแดนที่ไม่ได้ผูก คือไม่ได้รับรอง

สมัยก่อนการกำหนดสีมาเขาใช้ธรรมชาติ ส่งสงฆ์ออกไปทั้ง ๘ ทิศแล้วก็สอบถาม อย่างเช่นว่า “ปุรัตถิมายะ ทิสายะ กิง นิมิตตัง ทางทิศตะวันออกมีอะไรเป็นเครื่องหมาย ?” ท่านที่อยู่ในด้านนั้นก็จะตอบ อย่างเช่นว่า “รุกโข ภันเต มีต้นไม้เป็นเครื่องหมายครับ” “ปัพพะโต ภันเต มีภูเขาเป็นเครื่องหมายครับ” “วัมมิโก ภันเต มีจอมปลวกเป็นเครื่องหมายครับ” หรือว่า “ปาสาโณ ภันเต มีก้อนหินเป็นเครื่องหมายครับ” พอถามครบทั้ง ๘ ทิศแล้ว ในเขตทั้งหมดที่นั้นสมมติเป็นสีมาเพื่อทำสังฆกรรมได้

ตอนหลังพอบ้านเมืองเจริญขึ้น การสร้างวัดวาอารามเป็นหลักแหล่งมั่นคง ก็เลยมีการผูกพัทธสีมาขึ้น แต่เนื่องจากว่าโบราณเขาถือว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน ก็เลยต้องมีการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา คือขอพระราชทานจากในหลวงก่อน ขอที่ตรงนั้นให้เป็นที่ของสงฆ์ สรุปว่าที่ทั้งวัดยังเป็นของพระเจ้าแผ่นดินอยู่ แต่ที่ซึ่งพระราชทานให้นั้นเป็นของสงฆ์

ทางฝั่งพม่าไม่นิยมการสร้างโบสถ์แล้วผูกพัทธสีมา เพราะว่าลำบาก ถ้าไม่ใช่วัดที่มีญาติโยมสนับสนุนมาก หรือที่เรียกว่าวัดรวย ก็ไม่ค่อยจะสร้างโบสถ์กัน เขาใช้อุทกุกเขปสีมา คือใช้วิธีผูกแพลอยห่างจากฝั่งประมาณ ๑๒ ศอก คือ ๖ เมตรขึ้นไป แล้วก็ทำสังฆกรรมกันในน้ำ อุทกุกเขปสีมาคือเสมาที่มีน้ำเป็นเขต"

ถาม : ต้องผูกทุกครั้งไหมคะ ?
ตอบ : ทำกันทีก็ลอยแพกันทีหนึ่ง หรือถ้ามีแพอยู่ประจำที่ ถึงเวลาก็ไปทำกันในแพเลย ถ้ากลัวว่าจะมีบุคคลภายนอกเข้าไปก็ชักสะพานทางเดินออกเสียก่อน

เถรี
16-03-2016, 15:41
ในบ้านเราการผูกพัทธสีมาส่วนใหญ่เป็นขัณฑสีมา คือถือขอบเขตเฉพาะโบสถ์ คราวนี้สีมาที่เรียกว่า พัทธสีมา ส่วนใหญ่ก็คือผูกรอบโบสถ์ แล้วก็มี มหาสีมา คือผูกทั้งวัดเลย คือเขตวัดทั้งหมดคือสีมา เวลาพระทำสังฆกรรม ภายในวัดถ้าใครเป็นอนุปสัมบัน คือมีศีลน้อยกว่า จะเป็นเณร เป็นแม่ชี เป็นฆราวาส จะต้องออกไปจากวัดหมดเลย คือปิดประตูวัดทำสังฆกรรม อย่างวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นต้น

แล้วก็ยังมีวัดที่เป็นสีมา ๒ ชั้น คือเป็นมหาสีมาแล้วก็มีขัณฑสีมาอีก คือผูกรอบโบสถ์อีกหนึ่งชั้น เวลาทำสังฆกรรมก็เอาแค่เอารอบในเฉพาะโบสถ์ คนอื่นจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนออกจากวัด

เถรี
16-03-2016, 15:59
ถาม : สีมาสังกระคืออะไรครับ ?
ตอบ : สีมาสังกระ คือ สีมาที่คาบเกี่ยวกับสีมาอันเดิม

เถรี
16-03-2016, 16:02
ถาม : พระสายวัดป่าสมัยก่อน เขาบวชกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สวดถอนก่อนแล้วค่อยสวดสมมติใหม่

ถาม : สมมติในป่า ?
ตอบ : ในป่า

ถาม : แล้วถ้าย้ายที่ไปล่ะครับ ?
ตอบ : ถ้าย้ายที่ไปใหม่ก็ถอนของเก่าก่อน จะไปยากอะไร ก็แค่สวดประกาศเท่านั้นเอง

เถรี
16-03-2016, 17:10
บางที่จะมีการสร้างเป็นโบสถ์ ๒ ชั้น โบสถ์ ๒ ชั้นจะมีปัญหาคือเวลาทำสังฆกรรม ถ้าชั้นบนบวชพระแล้วชั้นล่างมีพระอยู่ต้องนิมนต์ออกไปไกล ๆ เลย แต่ถ้ามีเณรหรือฆราวาสอยู่ก็อยู่ไปเถอะ แปลกไหม ? เพราะว่าพระต้องอยู่ในเขตหัตถบาส ถ้าอยู่นอกเขตหัตถบาสแปลว่าสังฆกรรมเสีย ฉะนั้น...ถ้าหากคุณรักที่จะอยู่ก็ต้องรีบไปอยู่รวมกัน หรือไม่ก็ออกไปให้พ้นเขตไปเลย แต่ถ้าจะเอาปลอดภัยที่สุดก็คือจะโยม จะพระ ก็ให้ออกไปเถอะ เพราะเขากำลังทำสังฆกรรมกันอยู่

บางคนก็พูดง่าย ๆ เขาบอกว่าหัตถบาสเป็นเขตของพระ สีมาเป็นเขตของโยม แต่ความจริงถ้าออกนอกเขตสีมาได้จะดีมาก

เถรี
16-03-2016, 19:22
ถ้าถามว่าการผูกพัทธสีมากำหนดลึกแค่ไหน ? โบราณาจารย์ท่านบอกว่าลึกถึงน้ำรองแผ่นดิน ก็แปลว่าถ้าพระไปนั่งอยู่ในโบสถ์ชั้นล่างแล้วอยู่นอกหัตถบาสนี่สังฆกรรมเสีย

สมัยที่เรียนนักธรรมเอกมีคำถามว่า “ขณะที่พระทำสังฆกรรมกันอยู่ มีเครื่องบินบินผ่านพอดี ถามว่าสังฆกรรมเสียไหม ?” เขาตอบว่าสีมาผูกที่พื้นดิน ไม่ได้ผูกไปในอากาศ ฉะนั้น...สังฆกรรมไม่เสีย

เถรี
16-03-2016, 19:24
ตอนผูกพัทธสีมาวัดทองผาภูมิ พระสงฆ์กำลังสวดถอนกันอยู่ ก็มีรถคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอด เปิดประตูแล้วก็มีพระลงมา อดีตเจ้าคณะอำเภอวัดหินแหลมก็ด่าลั่นเลย “ไอ้ห่…จะมาก็รีบเข้ามา ไม่รู้ภาษาเลยหรือวะ ?” ปรากฏว่าเป็นเจ้าคุณปัญญา ...(หัวเราะ)... ลูกน้องด่าเจ้านายตัวเอง คือท่านเดินทางมาไกล จากวัดใต้ขึ้นมาก็ช้ากว่าเวลานิดหนึ่ง ส่วนทางด้านนี้ตรงเวลา อาตมาก็สั่งสวดไปเลย ท่านกลัวว่าถ้าพระเข้ามาแล้วแต่อยู่นอกเขตหัตถบาส จะทำให้สังฆกรรมเสีย ก็ด่าก่อนเลย

เรื่องตลก ๆ ในวงการพระมีเยอะ แบบเดียวกับตอนหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านยังอยู่ ท่านไปงานที่วัดไร่ขิง คนที่รู้เส้นท่านอย่างพวกอาตมานี่มักจะหาพระเครื่องไปถวายเพราะท่านชอบ คราวนี้พอปิดงานให้โอวาทอะไรเสร็จ งานเขาเลิกแล้วพระก็แยกย้ายกันกลับ เจ้าหน้าที่ก็รีบเก็บที่เพื่อให้เขาตั้งร้านค้า หลวงพ่อท่านก็นั่งส่องพระอยู่ พระที่เป็นเจ้าหน้าที่เข้าไปข้างหลังก็บอก “หลวงตา...เขากลับกันหมดแล้ว มัวแต่ส่องพระอยู่นั่นแหละ” ท่านหันกลับมานี่เข่าอ่อนเลย โห...ท่านแน่เว้ย ดุกระทั่งสมเด็จฯ..!

เถรี
16-03-2016, 19:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเขาลงวัตถุมงคลจตุคามรามเทพในกระทู้ร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ เห็นช่อชะเอมจอง อาตมาก็ว่าเก่งว่ะ...รู้จักของ เพราะรุ่นโคตรเศรษฐีสมัยก่อนนี่ราคาหลายหมื่นเลย นี่เอามาออกแค่ร้อยเดียว"

เถรี
17-03-2016, 16:00
ถาม : กราบขออนุญาตถามคำถามครับ ?
ตอบ : นั่งพับเพียบได้ไหม ? นั่งขัดสมาธิคุยกับพระเป็นการไม่เคารพ เดี๋ยวก็โดนเหวี่ยง...!

ถาม : ระยะนี้ผมจะนั่งสมาธิหรือไม่นั่งก็มีความรู้สึกเหมือนกัน เลยไม่ค่อยได้นั่ง ไม่ทราบว่าจะเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ให้สังเกตดูว่าเวลาที่นั่งสมาธิหรือไม่ได้นั่ง ที่คุณบอกว่าเหมือนกันนั้น เหมือนกันจริงหรือเปล่า ? ก็คือให้ดูว่าในระหว่างนั้น รัก โลภ โกรธ หลง อะไรกินใจเราได้บ้าง ? นิวรณ์ ๕ กินใจเราได้หรือไม่ ? ใจเราไหลไปในเรื่องระหว่างเพศ เรื่องโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ในเรื่องของการฟุ้งซ่าน ไม่ได้ตั้งมั่นอยู่เฉพาะหน้าเหล่านี้ เป็นต้น

ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น ต่อให้นั่งหรือไม่นั่งก็ราคาเดียวกัน ก็คือจิตใจไม่มีคุณภาพ ถ้าถามว่าเอาอะไรเป็นหลัก ก็ต้องยึดลมหายใจเป็นหลัก คุณจะลืมตาหลับตา เดิน ยืน นั่ง เดิน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ อิริยาบถใดก็แล้วแต่ ให้ใจอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าตรงนี้ อิริยาบถหลัก ๆ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน จะใช้อย่างไรก็ได้ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งหมด

เถรี
17-03-2016, 16:03
ถาม : ถ้าเกิดว่าตอนที่นั่ง ลมหายใจก็ไม่มี ผมไม่รู้จะยึดอะไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจะปล่อย ให้ดูว่าตอนนั้นเราฟุ้งซ่านไหม ? ถ้าหากว่าฟุ้งซ่าน อย่างไรก็รีบวิ่งกลับไปหาลมจะดีกว่า แต่ถ้าไม่ฟุ้งซ่าน สมาธิเราอาจจะทรงตัวระดับใดระดับหนึ่งแล้วไปต่อไม่เป็น ก็ให้นำเอาวิปัสสนาญาณมาคิด ก็คือให้เห็นสภาพร่างกายของเราก็ดี หรือว่าของคนอื่นก็ดี หรือว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลก มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร ดูให้เห็นให้ชัดให้ได้

ถาม : ยกตัวอย่างวิปัสสนาญาณ .... ?
ตอบ : การพิจารณาเพื่อให้เห็นความเป็นจริง ว่าที่พระพุทธเจ้าสอนเรามาว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายนั้น เป็นความจริงหรือเปล่า ? พอเห็นจริงแล้วจะเกิดการเบื่อหน่ายขึ้นมาเอง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่หลอกลวงเราอยู่ตลอด สรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าตราบใดที่เรายังไม่เบื่อร่างกายนี้ แสดงว่าการปฏิบัติยังไปไม่ถูกทาง

เถรี
17-03-2016, 16:10
ถาม : การช่วยเหลือผู้อื่นดีไหมครับ ?
ตอบ : การช่วยเหลือคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าการช่วยเหลือก็ควรที่จะมีขอบเขต คือ อย่าให้เสียการปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าเราเอาการช่วยเหลือนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม ก็คือยึดหลักเมตตา แต่ต้องมีอุเบกขาด้วย ถ้าไม่มีอุเบกขาเราก็จะไปเครียด ไปกลุ้ม หรือไม่ก็สงสาร จนกระทั่งต้องช่วยเขาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็คือทำผิด ถ้าทำถูกก็คือต้องพอเหมาะพอดีแก่ตัวเรา

ถาม : ถ้ามีเมตตาประกอบด้วยปัญญา แต่ไม่มีอุเบกขา ถือว่ามีโอกาสโดนหลอกไหมครับ ?
ตอบ : ทุกอย่าง ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกนี้ คุณโดนหลอกตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าเรายึดในหลักของ ศีล สมาธิ ปัญญา โอกาสที่จะโดนหลอกก็น้อยลง จนกว่าเราจะหลุดพ้นจริง ๆ นั่นแหละ ถึงจะไม่โดนหลอก

ถาม : เคยนั่งสมาธิตอนหนึ่ง แล้วตรองดูว่าจริง ๆ แล้วทำไมเราถึงไม่อยากไปพระนิพพาน อยู่ดี ๆ ก็มีพระพุทธรูปสีขาวพูดขึ้นมาว่า ต้องช่วยคนอื่น ตรงนี้เป็นอุปาทานหลอกตัวเองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่อุปาทาน แสดงว่าวิสัยเดิมมาทางพุทธภูมิ ตั้งใจจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ ซึ่งก็อยู่ที่เราว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ? ถ้าตั้งใจจะเปลี่ยน ก็ตัดใจลาจากพุทธภูมิ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็จงช่วยเขาต่อไป

ถาม : ถ้าอยู่ตรงนี้สามารถที่จะฝึกเมตตาได้ด้วย ?
ตอบ : การที่คุณจะช่วยเขา สำคัญที่สุดก็คือการช่วยให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง คนที่จะช่วยเขาให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง ตนเองก็ต้องพ้นทุกข์อย่างแท้จริงถึงจะบอกทางเขาถูก การที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริงแล้วสามารถบอกทางเขาถูก ก็แปลว่าต้องเรียนรู้ทุกอย่างละเอียดกว่าคนอื่นเขา ก็แปลว่าสิ่งที่บอกไปนั้น คุณต้องทำมากกว่าคนอื่นหลายเท่า

เถรี
17-03-2016, 16:13
ถาม : ทุก ๆ คนมีที่บนพระนิพพานจริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจได้มั่นคงก็มี ถ้าไม่ตั้งใจจริงก็ยังไม่มี ทันทีที่จิตของเราเกาะพระนิพพาน จะมีวิมานปรากฏอยู่บนนั้น เพียงแต่ว่าจะอยู่ได้หรือไม่ได้นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถาม : แล้วจะมีที่นั่งไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ามีวิมานก็ต้องมีอยู่แล้ว

เถรี
17-03-2016, 16:17
ถาม : ผมนั่งสมาธิมาก ๆ แล้วจะได้คำสอนว่า คนเราก่อนตายขันธ์ ๕ จะทรมานมาก บางทีจะทำให้จิตใจเรามัวหมองได้ แต่การนั่งสมาธินาน ๆ จะทำให้เราอดทน เคยชินกับความเจ็บปวด ตรงนี้จริงประการใดครับ ?
ตอบ : เกือบจะถูก การนั่งสมาธิถ้าทำถูกจริง ๆ อาการเกี่ยวกับทุกขเวทนาของร่างกายจะไม่เกิดขึ้นเลย

ถาม : ไม่เกิดขึ้นเพราะว่า ?
ตอบ : เพราะว่าสมาธิพอทรงตัว จิตกับประสาทแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการทางร่างกาย ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้น พอถึงเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น ถ้าจิตอยู่กับสมาธิก็แปลว่าจิตกับประสาทแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการเจ็บป่วยทางร่างกาย ฉะนั้น...อาการกระวนกระวายก็ไม่มี ไม่ใช่ว่าไปทนจนกระทั่งเคยชินกับความเจ็บปวดแล้วถึงเวลาก่อนตายเราเลยทนได้ นั่นคนละเรื่องกัน เป็นความเข้าใจผิด เพราะถ้ายังทนได้คุณก็ยังไม่ตาย..!

เถรี
17-03-2016, 16:24
ถาม : ตอนนี้ในระหว่างวันพยายามเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพราะเห็นผลมาก ๆ ในการดูจิตตนเอง ดูลู่ทางที่เราจะไม่ไปข้องแวะ แล้วที่พระอาจารย์บอกว่า ถ้านั่งสมาธิแล้วมีอาการเจ็บปวดต่าง ๆ แสดงว่าสมาธิยังไม่รวมตัว ก็ควรจะไปฝึกนั่งสมาธิใหม่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : การที่คุณปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ที่ว่ามาเป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าไม่ได้เข้าถึงอย่างแท้จริงเลย สติปัฏฐาน ๔ ที่เข้าถึงอย่างแท้จริง คือ ทุกขณะจิตจะรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ จะปล่อยวางทุกอย่างหมด ทำหน้าที่ของตนเองเฉพาะหน้าให้ดีที่สุด ทำแบบคนมีวันนี้วันเดียว ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีก็ไม่ได้ไปห่วงใยกังวล เพราะพร้อมที่จะไป ฉะนั้น...สิ่งที่คุณว่ามา ถ้าเรียกว่าสติปัฏฐาน ๔ ก็คงแค่ระดับ ก.ไก่ เท่านั้น

ฉะนั้น...ทำอย่างไรที่สติปัฏฐานของเราจะเป็นไปโดยที่ไม่เห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา ไม่เห็นว่าร่างกายคนอื่นเป็นของเรา ไม่เห็นว่าทุกอย่างในโลกนี้เป็นของเรา

ถาม : จริง ๆ ผมก็ไม่ได้แค่มองที่ภายนอก เห็นธาตุก็ไม่มีตัวตน ก็เป็นแค่ธาตุ กับตัวเราเองผมก็มีอัตตาว่า ผมจะทำอะไรเพื่ออะไร ?
ตอบ : ก็ลักษณะเดียวกันนั่นแหละ คือคุณเห็น แต่การที่เห็นนั้น คุณสามารถที่จะละวางได้ไหม ? เป้าหมายจริง ๆ คือการละวาง ไม่ใช่การเห็น

ถาม : พอวางก็ไม่อยากจะช่วยใคร ?
ตอบ : คุณทำให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต มีแต่จะทุ่มช่วยเขาสุดตัวมากกว่า ค่อย ๆ ทำไป ผิดบ้างถูกบ้าง เดี๋ยวถูกมากกว่าผิดก็ดีขึ้นไปเอง

เถรี
17-03-2016, 19:01
ถาม : เพื่อนผมเขาเคยไปเดินจงกรมในสถานที่สองแห่ง เขารู้สึกว่าการเดินจงกรมต่างกัน มีที่หนึ่งที่เดินจงกรมแล้วเห็นพื้นเป็นแก้ว เห็นอะไรเป็นแก้วไปหมด ไม่ทราบว่าสถานที่มีผลต่อการเดินจงกรมไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่เฉพาะเดิน การปฏิบัติธรรมจะในอิริยาบถไหนก็ตาม สถานที่มีส่วนสำคัญมาก พระพุทธเจ้าตรัสถึงสถานที่อันเป็นสัปปายะ ก็คือต้องเหมาะสมกับการปฏิบัติของแต่ละคน

ถาม : ก็คือ ถ้าสถานที่ดีก็มีผลต่อการปฏิบัติ ?
ตอบ : จะช่วยสนับสนุนให้เรากำลังใจทรงตัวได้ง่ายขึ้น หลังจากกำลังใจทรงตัวแล้ว เราจะเอาไปทำอะไรค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง

เถรี
17-03-2016, 19:43
ถาม : คนเราเวลาอ่านข่าวแล้ว รับสิ่งนั้นเข้ามาในใจ มีบาปกรรมไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าสภาพจิตของเขาปรุงแต่งไปในทางไหน ถ้าไป โกรธ เกลียด อาฆาตแค้น คนอื่นก็มีโทษกับตัวเอง แต่ถ้าเกิดสลดสังเวช เห็นว่าธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าสภาพของโลกอย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ก็กลายเป็นดีไป ต้องดูว่าเขาปรุงแต่งไปในทางไหน

ถาม : ถ้ารักชอบเกลียดชัง ?
ตอบ : ถ้าหากว่ารักชอบเกลียดชัง เท่ากับว่าเราสร้างสิ่งไม่ดีให้เกิดขึ้นในใจของเราเอง เขาเรียกว่ามโนกรรม เป็นส่วนของบาปกรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ถาม : ส่งผลอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีแต่เราไปหลีกหนีเสียเพราะว่าเราเกลียด เราไม่ชอบใจ เราก็เสียประโยชน์ของเราเอง ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เราไปรับเข้ามา ก็ฟุ้งซ่าน ยึดติดเอง

เถรี
18-03-2016, 14:21
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ให้พิจารณาต่อไปว่าร่างกายนี้ใช่ของเราไหม ? เพราะว่าลักษณะอย่างนั้นก็คือไปกระทบกับสิ่งที่เราเคยประพฤติปฏิบัติในอดีตมา ปีติถึงได้เกิด เราก็ดูต่อไปเลยว่า เรื่อง “ตน” นี้จริง ๆ ยึดถือมั่นหมายได้หรือเปล่า ? เรายังมีความต้องการอยู่หรือไม่ ? จนกระทั่งเห็นชัดว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราแล้ว ก็กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ ทำหน้าที่ไปวัน ๆ จนกว่าจะหมดอายุ

ถาม : แล้วเวลาสวดมนต์จะมีเสียงคนแก่แทรกขึ้นมา ?
ตอบ : ตั้งใจแผ่เมตตาแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาทุกครั้ง ขอให้เขาอโหสิกรรมให้ด้วย ส่วนเขาจะอโหสิกรรมหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา

ถาม : ให้แผ่เมตตาให้เขาไป ?
ตอบ : แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาไปด้วย

เถรี
18-03-2016, 14:24
ถาม : เจ้าภาพบวชพระรูปละเท่าไรคะ ?
ตอบ : ๓,๐๐๐ บาท ถูกไปไหม ?

ถาม : ไม่ถูกค่ะ แพงไป เดี๋ยวต้องไปเพิ่มเงิน
ตอบ : อย่าทำบุญแบบคนโง่ ทำบาทเดียวตั้งใจเป็นเจ้าภาพบวชพระทุกรูปก็ได้ ไม่ใช่เขาบวชรูปหนึ่ง ๓,๐๐๐ บาทเราต้องทำ ๓,๐๐๐ บาท แล้วก็ได้แค่รูปเดียว

เถรี
18-03-2016, 14:58
พระอาจารย์สนทนากับหลวงพี่เอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) "เวลาป่วยหนัก ๆ นี่ผมเห็นประโยชน์ตรงที่ว่า เรารู้ว่าต้นทุนเรามีเท่าไร พร้อมที่จะไปหรือยัง ? ป่วยขึ้นมาแต่ละทีนี่ไม่อยากกลับเลย โดนถีบกลับมาทุกที"

ถาม : ใช่ครับ ทำใจยากจริง ๆ ไปเลยเสียยังดีกว่า ?
ตอบ : พอรู้ต้นทุนของเราแล้วก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าพอหรือยัง ? ถ้ายังไม่พอก็ต้องรีบตะกายทำให้มากไว้

ไปนึกถึงหลวงปู่ธรรมชัย พอท่านรู้ว่าเป็นวันที่ ๕ ธันวาคม ท่านก็ตั้งใจเข้าสมาธิถวายกุศลในหลวง คราวนี้หลวงปู่ท่านเข้าสมาธิชีพจรก็หยุดเต้น โหย...พยาบาลเขาช่วยกันปั๊มหัวใจ แล้วคราวนี้เขากระแทกกันแรง ๆ หลวงปู่ท่านก็คงรำคาญเลยไปดีกว่า คนที่ไม่เข้าใจนี่ลำบาก

หลวงปู่มหาอำพันท่านเข้าสมาธิอยู่ หมอมาตรวจร่างกายพอดี พอจับชีพจรหมอตกใจวิ่งไปตามคน ผมรู้ก็เลยสะกิด “หลวงปู่ครับ ๆ ถ้าหลวงปู่ไม่กลับนี่หมอเขาเอาไปเผาแน่”

ถาม : เดี๋ยวต้องไปบูชาวัตถุมงคลที่เข้าพิธีเมื่อวานครับ ตอนทำพิธีนี่สะเทือนไปถึงพระเจดีย์วัดปากน้ำ นั่งไม่ติดเลยครับ ?
ตอบ : ท่านฝากไว้ทุกที่ ที่ไหนที่มีพระเจดีย์เป็นหลักก็เอาหมดเลย ครูบาอาจารย์ท่านตั้งใจสงเคราะห์จริง ๆ สำคัญที่ว่าเราจะรับกันหรือเปล่า แต่ว่าเป็นห่วงเหมือนกันเพราะสถานการณ์ประเทศชาติแย่มาก โดยเฉพาะองค์ในหลวง ไม่รู้ว่าจะประคองพระองค์ท่านไปได้อีกนานเท่าไร

ถาม : ตอนนี้ข่าวเขาปิดกันครับ ?
ตอบ : เพราะข่าวไม่ออกนี่แหละถึงลำบาก คือถ้าออกข่าวคนทั้งประเทศพร้อมใจกันทำความดีถวายพระองค์ท่านก็จะมีผล ไม่อย่างนั้นแค่จุดเล็ก ๆ อย่างพวกเราเหมือนกับเอาน้ำถังเดียวไปดับไฟทั้งกองก็ยาก

ถาม : (พูดถึงพระอุปคุตชัยวัฒน์)
ตอบ : ไม่ทันรู้ตัวว่าพระเต้นได้ พวกนี้เขาดูอยู่ พิธีอย่างนี้ก็คงไม่มีอีกแล้ว เพราะฉะนั้น...เก็บได้ก็เก็บเถอะ เผื่อลูกศิษย์เขาต้องการจะได้มีให้

เถรี
18-03-2016, 15:08
ถาม : มีเพื่อนบอกว่ากสิณเป็นการส่งจิตออกนอก ผมจะบอกเขาว่าอย่างไร ?
ตอบ : จิตส่งออกที่แท้จริงคือตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส แล้วก็ไปฟุ้งซ่าน การฝึกกสิณใช้สมาธิควบคุมอยู่เฉพาะหน้า แล้วก็ไม่ได้ไปไกล ไปแค่รูปกสิณนั้น แล้วก็กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของตัวเอง บอกเขาว่าการฝึกทุกอย่าง ถ้าหากว่าผิดก็มีโทษ ถ้าหากว่าถูกก็มีประโยชน์ ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำถูกไหม ?

ถาม : การที่จิตออกไปนอกกาย แล้วสามารถควบคุมจิตให้ทรงตัวได้ก็ไม่ใช่จิตส่งออก ?
ตอบ : ลักษณะของมโนมยิทธิก็คือการส่งจิตออกไปข้างนอก แต่มีการควบคุมด้วยอำนาจสมาธิของตัวเอง ก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านไปใน รัก โลภ โกรธ หลง จิตส่งออกที่เป็นโทษคือฟุ้งซ่านไปใน รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ แล้วก็ทำให้เราปรุงแต่งมากขึ้น ๆ กลายเป็นยึดเกาะว่าสิ่งนี้เราชอบ สิ่งนี้เราไม่ชอบ

เถรี
18-03-2016, 15:17
ถาม : อรูปฌานกับวิปัสสนาญาณใกล้เคียงกันมาก การที่เราได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าใจในความไม่มีตัวตน เช่น ผู้ชาย พ่อ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าคนที่จะได้อรูปฌานต้องได้รูปฌานสี่ก่อน คนที่ได้วิปัสสนาญาณต้องได้อรูปฌานก่อนหรือเปล่าจึงจะสามารถเป็นวิปัสสนาญาณได้ ?
ตอบ : เอาทีละอย่าง ของคุณไปไกลเกินไปแล้ว เรื่องของรูปฌานไม่จำเป็นต้องได้กสิณก็ได้ ใช้อานาปานสติอย่างเดียวก็สามารถเข้าถึงรูปฌานได้ แต่ถ้าต้องการจะทำอรูปฌานต้องได้กสิณกองใดกองหนึ่งในกสิณ ๑๐ ที่ไม่ใช่อากาสกสิณ เสร็จแล้วเพิกภาพกสิณนั้นเสียถึงจะกลายเป็นอรูปฌาน คราวนี้คำถามต่อไป

ถาม : ทีนี้วิปัสสนาญาณที่เห็นภาวะของอนัตตา จำเป็นต้องได้รูปฌานก่อนหรือเปล่า ?
ตอบ : การปฏิบัติ ถ้าหากว่าเป็นฌานสมาบัติแล้วนำมาพินิจพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนกระทั่งสามารถปลดใจตัวเองออกได้ ไม่ยึดเกาะอะไร ๆ ทั้งปวง เขาเรียกว่าบรรลุโดยเจโตวิมุติ ใช้สมถะนำหน้า

แต่ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณมาก่อน จนกระทั่งกำลังใจค่อย ๆ ทรงตัวกลายเป็นสมาธิขึ้นมา แล้วสามารถละวางทุกอย่างลงได้ เขาเรียกว่าปัญญาวิมุติ คือหลุดพ้นด้วยปัญญา

แต่ทั้งสองแบบจะต้องมีอำนาจของสมาธิเป็นพื้นฐาน ก็คืออย่างหนึ่งเริ่มจากสมาธิแล้วไปใช้ปัญญา อีกอย่างหนึ่งเริ่มจากปัญญาพิจารณาไปจนกระทั่งกลายเป็นสมาธิ คนส่วนใหญ่จะไปเข้าใจว่าฝ่ายปัญญาวิมุตินั้น บรรลุโดยไม่มีสมาธินั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีกำลังของสมาธิจะไม่สามารถตัดกิเลสได้ เพียงแต่ท่านพิจารณาจนจิตดิ่งลึกไปเรื่อย ๆ แล้วทรงตัวเป็นสมาธิไปเอง

ถาม : ปัญญาวิมุตติไม่จำเป็นต้องได้อรูปฌานก่อน ?
ตอบ : ไม่จำเป็น จะเป็นปัญญาวิมุติหรือเจโตวิมุติก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกกสิณ แต่ว่าเรื่องของสมาธิต้องได้ ต่ำสุดต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป ไม่อย่างนั้นเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ เพราะกำลังไม่พอตัดกิเลส

เถรี
18-03-2016, 15:20
ถาม : การช่วยเหลือคนอื่นจำเป็นต้องได้กสิณไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าช่วยด้านไหน ถ้าช่วยในเรื่องของ ทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องได้กสิณ ๑๐ แต่ถ้าคุณจะไปแบกกรรมแทนคนอื่นเขา ก็จำเป็นที่จะต้องได้กสิณหน่อย แต่ว่าก็เดือดร้อนทีหลังจนได้ เพราะว่าไปรับกรรมแทนเขา

เถรี
19-03-2016, 14:33
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนตอนเด็ก ๆ เวลาหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หรือหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ท่านพุทธาภิเษกวัตถุมงคล สามารถเอาเสื่อไปนอนรอได้เลย ท่านนั่งลงไปทีหนึ่ง ๓-๔ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ไม่กระดิกเลย

สมัยนั้นอาตมารู้จักหลวงปู่ทิม หลวงปู่โต๊ะ เพราะพระครูแสงทั้งนั้นแหละ แล้วใครจะไปคิดว่าเหรียญเจริญพรสมัยโน้นราคาไม่กี่บาท สมัยนี้ราคาเป็นแสนเป็นล้าน

สมัยแรกที่ไปหาหลวงปู่โต๊ะไม่ได้เจตนาจะไปหาท่าน ตั้งใจจะไปกินอาหารโรงทาน เพราะโรงทานเยอะมาก แล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จทุกปี พูดง่าย ๆ ว่าเป็นพระอาจารย์ในดวงใจของพระองค์ท่าน สมัยเด็ก ๆ ไม่ได้รู้จักคุณงามความดีของครูบาอาจารย์ท่านหรอก เพราะว่าบ้านยายอยู่สามแยกไฟฉายนี่เอง วัดหลวงปู่โต๊ะใกล้นิดเดียว

พอเขาบอกว่ามีงานวันเกิดหลวงปู่ก็ไป ตั้งใจจะไปกินโดยเฉพาะ แย่จริง ๆ เลยนะ แต่ก็ดีอยู่อย่างว่า ใจคิดแต่จะไปวัด ไม่รู้หรอกว่าท่านมีความดีอย่างไร คนโน้นบอกหลวงปู่เก่งอย่างโน้น คนนี้บอกหลวงปู่เก่งอย่างนี้ อาตมาก็ เออ...ท่านเก่ง แต่ตูจะไปกิน..!

หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ รักตรงท่านั่งของท่าน เพราะท่านจะนั่งเหมือนหลวงปู่แหวน คือจะนั่งเอียง ๆ ข้างหนึ่ง ไม่ทราบว่าเส้นท่านเสียหรือเปล่า ? แต่หลวงปู่แหวน ทราบว่าท่านไปธุดงค์แล้วตกเขา เส้นเสีย ทำให้นั่งเอียงไปข้าง เวลาหลวงปู่ทิมท่านนั่ง บางทีก็ ๗-๘ ชั่วโมง นั่งลงไปก็เงียบหายไปเลย"

เถรี
19-03-2016, 14:55
ถาม : เวลาภาวนา รู้ได้อย่างไรว่าใจสงบ ?

ตอบ : "รู้จักนิวรณ์ ๕ ไหม ? ถ้านิวรณ์ ๕ ไม่มีแปลว่าใจสงบ ถ้าหากว่าใจไปประหวัดคิดถึงเพศตรงข้ามก็ดี ความโกรธเกลียดอาฆาตคนอื่นก็ดี ฟุ้งซ่านไม่อยู่กับการภาวนาก็ดี หรือในส่วนของการลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยก็ดี ไปคิด ๆ อยู่กับเรื่องพวกนี้ก็ไม่สงบ ถ้าไม่คิด อยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ อยู่กับคำภาวนาได้ ก็คือสงบ"

เถรี
19-03-2016, 16:11
ถาม : มีดหมอสำหรับไล่ผี เขาไล่กันอย่างไรครับ เป็นผีอยู่ในหมู่บ้านครับ ?
ตอบ : ไปหามีดหมอหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือให้ได้ ท่านทำเอาไว้สำหรับลุยกับผีโดยเฉพาะ มีดหมอสำนักอื่นมักจะใช้รักษาโรค แต่ของหลวงพ่อแจ่มเอาไว้เล่นกับผีโดยเฉพาะ พอ ๆ กับมีดหมอของวัดเขาอ้อ มีดหมอของวัดเขาอ้อชื่อมีดหมอมหาปราบ เอาไว้ลุยสิบทิศเลย

เถรี
20-03-2016, 14:06
พระอาจารย์ให้พรญาติโยมว่า "ใครเขาจะวางระเบิดสร้างสถานการณ์ ใครเขาจะวางระเบิดหวังผลทางการเมือง ก็ขอให้พวกเราทุกคนปลอดภัย"

เถรี
20-03-2016, 14:13
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันงานหล่อพระ มีคนทำไอโฟนหาย ประกาศอยู่ครึ่งค่อนวันไม่มีใครมารับ ตอนประมาณบ่าย ๓ โมงอาตมาไปโกนหัวนาค ปรากฏว่ามีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งมาบอกว่าโทรศัพท์ของเขาหาย อาตมากำลังยุ่ง ๆ กับเรื่องโกนหัวนาค ก็เลยส่งให้ไปโดยไม่ได้ตรวจสอบ

ปรากฏว่าพอตอนประมาณ ๕ โมงเย็น ทิดโจ้โทรมาบอกว่าไอโฟนหาย น่าตายไหม ? อาตมาประกาศอยู่ครึ่งค่อนวัน ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่ามั่นใจว่าของตัวเองอยู่ ให้ล้วงดูก่อน คือทุกคนมักจะมั่นใจว่าของเราไม่หาย ปรากฏว่าโดนเจ้านั่นคาบไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยสั่งเปิดกล้องวงจรปิดดูว่าเป็นใคร

โยมไปวัดท่าขนุนไม่รู้ว่ามีวงจรปิดอยู่ ๑๐ กว่าตัว ปรากฏว่าเป็นเด็ก กศน. ที่ไปปฏิบัติธรรม ก็เลยให้โยมโทรไปหาครู บอกว่าให้เด็กเอามาคืน ไม่อย่างนั้นจะเดือดร้อนแน่ ปรากฏว่าที่วิ่งขี้แตกมาก่อนเลยคือพ่อ และตามด้วยครู โดยเฉพาะครูไม่ยอมเด็ดขาด ลูกศิษย์ฉันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ที่ไม่ยอมเพราะคิดว่าพระไปใส่ร้ายเด็กของเขา

ปรากฏว่าหลักฐานระบบวงจรปิด ระบบ HD ชัดกว่าตาเห็นอีก วงจรปิดวัดท่าขนุน ๑๐ กว่าตัว พร้อมกับฮาร์ดดิสก์ ๒ เทราไบต์ ๓ ตัว รวมราคาทั้งหมด ๘๑,๐๐๐ บาท เป็นระบบ HD ชัดกว่าตาเห็น อาตมายังสงสัยว่าของรัฐบาลทำไมฮาร์ดิสก์ตัวหนึ่ง ๔๐๐,๐๐๐ บาท ทั้ง ๆ ที่ห่วยกว่าของอาตมาตั้งเยอะ..!"

เถรี
20-03-2016, 14:17
"อาตมาบอกพ่อเขาว่า "เอาอย่างนี้...ถ้าลูกคุณเอาไอโฟนมาคืนก็จบแค่นี้ ไม่มีปัญหาอะไรกันต่อ แต่ถ้าหากว่าไม่ยอมสารภาพ ไม่ยอมเอามาคืน แต่จนด้วยหลักฐานเพราะกล้องวงจรปิด ถึงอาตมาได้ของคืน ก็จะแจ้งความ" สรุปว่าไอ้เจ้านั่นคลานมาสารภาพแต่โดยดี ถามว่า "มึงนึกอย่างไรถึงมาเอา ?" เขาบอกว่า "เพื่อนอยากได้" "แล้วมึงไม่รู้หรือว่าวัดนี้วงจรปิดเพียบเลย ?"

ถามว่า "ของอยู่ไหน ?" "เข้าร้านไปแล้ว" "ไหนบอกว่าเพื่อนอยากได้ เสือกเอาไปขายแล้ว...! ไปเอาคืนมา" เขาก็ติดต่ออยู่พักใหญ่ บอกว่าทางร้านส่งเข้ากรุงเทพฯ ไปแล้ว เร็วขนาดนั้นเลยหรือ ? เลยบอกว่า "มีสองวิธี วิธีแรกคือให้ร้านเอามาคืน วิธีที่สองคือมึงซื้อเครื่องใหม่มา แต่กูให้เวลาแค่ ๕ โมงเย็นนี้เท่านั้น" ก็เลยไปซวยที่พี่สาว

พี่สาวบอกว่าน้องคนนี้ ทำเรื่องให้เดือดร้อนมาหลายครั้งแล้ว จึงบอกเขาว่า "อาตมาไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น ว่าจะทำด้วยเหตุผลอะไร แต่ตอนนี้ที่ต้องการคืออยากได้ของคืน เพราะของมาหายในวัด ซึ่งปกติแล้วไม่เคยหาย ฉะนั้น...อาตมาให้เวลาแค่ ๕ โมงเย็น ถ้าเอามาคืนไม่ได้จะแจ้งความ...! โดยเฉพาะคุณเป็นต่างด้าว กำลังรอบัตรประชาชนไทย ถ้าแจ้งความเมื่อไรโดนถอนสิทธิ์การรับบัตรประชาชนแน่นอน" พี่สาวก็เลยซวย น้ำตาไหลน้ำตาร่วง โทรไปสั่งร้านในเมืองกาญจนบุรีให้ส่งของมากับรถตู้ มาอีก ๑๐ นาทีจะหมดเวลา ทันเส้นตายพอดี

ส่วนไอ้ตัวแสบไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าทำแล้วมีคนจ่ายแทน ตกลงทิดโจ้ได้ไอโฟน ๔s ใหม่เอี่ยมเลย ของเก่าเข้ากรุงเทพฯ ไปเอาคืนไม่ทัน เลยบอกว่า ความจริงอาตมาจะแจ้งความว่าร้านรับของโจรก็ได้นะ แต่ไม่อยากทำ ความจริงอยากได้ ๖s มากกว่า แต่จะขูดรีดโยมมากไป"

เถรี
20-03-2016, 14:19
"อาตมาเป็นคนไม่โหดร้าย ที่เขาลือว่าอาตมาดุมาก นั่นเขาใส่ร้ายอาตมา...! เพราะอาตมาจะเปิดทางให้คนเสมอ ว่าถ้าคุณเอามาเป็นอันว่าจบกัน ไม่แจ้งความ แต่ถ้าคุณไม่เอามา ก็คือแจ้งความ พอเป็นคดีขึ้นมา อาตมาไม่รอมชอมกับใคร ในเมื่อเราเปิดทางให้เขา เขาก็ต้องเลือกตามทางที่ดีกับเขา

เหมือนสมัยที่อยู่วัดท่าซุง อาตมาจับพระปลอมได้ พกอาวุธ พกโพยหวย แล้วไปยืนจีบเด็กนักเรียน อาตมาบอกว่าให้เลือกเอาสองทาง ทางแรกคือแจ้งข้อหาพกอาวุธ และเล่นหวยเถื่อน แล้วคุณก็ติดคุกไป ทางที่สองคือยอมสึกเสียดี ๆ แล้วหมดเรื่องกันแค่นี้ เขาก็ยอมสึกเสียโดยดี แต่อาตมาเสียเสื้อผ้าให้ไปชุดหนึ่ง ต้องไปซื้อให้เขาใส่ คืออาตมาต้องการให้เขาสึกอยู่แล้ว อย่างไรเขาก็ต้องเลือกทางที่อาตมาต้องการ แต่อาตมาเปิดทางให้เขาเลือก ว่าจะติดคุกดีหรือสึกดี ? ฉะนั้น...ที่เขาว่าอาจารย์เล็กโหด ไม่จริงหรอก เขาใส่ร้ายอาตมา...!"

เถรี
20-03-2016, 14:42
ถาม : นั่งสมาธิ หายใจเข้าหายใจออก แล้วร่างกายลั่นกริ๊ก...! หายไปเลยค่ะ วูบออกไปคุยทักทายกับใครไม่รู้ ? เยอะแยะเลย จิตไม่รวมสักที ออกไปเรื่อยค่ะ ?
ตอบ : อันนั้นแหละเรียกว่ารวม ถ้ารวมไม่พอก็ออกไม่ได้ ต้องรวมพอถึงจะออกได้ ถ้าตามที่ว่ามาช้าไปนิดหนึ่ง เพราะว่าต้องภาวนาจนถึงลั่นกริ๊ก แล้วไปได้...ใช่ไหม ? ปกติเขาแค่คิดก็ไปแล้ว ไม่ทันภาวนาหรอก ไปซ้อมให้เร็วกว่านี้นิดหนึ่ง

ถาม : ไปดูกายแล้วก็งง ๆ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปดูแล้ว ถึงเวลานั้นถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่า รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ ต้องตั้งเป้าให้ชัด ๆ ไว้อย่างหนึ่งว่า หลังจากทักทายเขาเสร็จก็จะไปกราบพระที่จุฬามณี หรือที่พระนิพพานไปเลย อันนั้นยิ่งกว่ารวมอีกนะ

ถาม : ก็ต้องนั่งก่อน ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ หกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ไปได้

ถาม : เหมือนมีผีอยู่เยอะแยะเลยค่ะ แต่หนูก็กลัวว่าคนนี้หน้าตาเหมือนเราเลย บางคนก็แยกออกไปค่ะ ไม่รู้ว่าหนูจะทำอย่างไรดีค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำ ถ้าต้องการจะอยู่คนเดียวก็รวมทั้งหมดมาอยู่ที่เรา ถ้าไม่ต้องการก็แยกออกไปเยอะ ๆ

ถาม : แล้วเราไม่ใช่ผีหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าคิดว่าผี เราเป็นผีนานแล้ว ก็ตัวเรานั่นแหละ เพียงแต่แยกจิตทำงานหลายอย่างพร้อมกัน หลงกลัวแทบตาย กลัวตัวเอง ให้สังเกตไว้อย่างหนึ่งว่า ขนาดเราทรงสมาธิขนาดนั้น เรายังกลัวอยู่ เจ้าตัวนั้นเรียกว่ากลัวตาย

ผีหลอก เดี๋ยวผีบีบคอเรา แล้วเราจะตาย ถ้ากำลังใจยังยึดร่างกายอยู่ก็จะกลัวเป็นปกติ ต่อให้อยู่ในสมาธิระดับไหนก็กลัว

เถรี
20-03-2016, 14:46
ถาม : พยายามทำความเพียร แต่ง่วงมากค่ะ ข้างในจะออกตลอด ขยับได้แล้ว มักจะพุ่งออกไปก่อน ?
ตอบ : อาการที่ว่ามาไม่ใช่อาการง่วง แต่เป็นอาการที่จิตกับกายจะแยกออกจากกัน ทำให้ประสาทรับรู้ทางร่างกายไม่ค่อยจะรับรู้แล้ว เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกคนละส่วน จะบังคับร่างกายได้ยาก

ใจจะไป เราก็ดื้อไปรั้งเอาไว้ คราวหน้าถ้าไปก็ปล่อยให้ไปเลย จะไปไหนก็ไป ท้ายสุดนึกถึงพระไว้ก็พอ

เมื่อจิตกับประสาทแยกออกจากกัน เราจะบังคับร่างกายไม่ได้ ก็เหมือนกับคนง่วง ร่างกายไม่ค่อยอยากจะทำงาน บางทีก็เหมือนเคลิ้ม ครึ่งหลับครึ่งตื่น

ถาม : ควรทำอะไรเพิ่มเติม ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เอาใจเกาะพระนิพพานไว้ตอนท้าย ตั้งใจเสมอว่าถ้าตายลงไปเมื่อไร เราขอไปอยู่กับพระท่านที่พระนิพพานเท่านั้น คนทำไม่ได้ก็อยากได้ ส่วนคนทำได้ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เถรี
20-03-2016, 14:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีพระไปต่างประเทศแล้วทำตัวตามสบาย ละเมิดศีลบ้างอะไรบ้าง เพราะคิดว่าฝรั่งไม่รู้ ปรากฏว่าคนรู้ดันถ่ายคลิปมาออกยูทูบ ซวยไปตาม ๆ กัน

พระผู้ใหญ่ท่านไปชมสนามฟุตบอลในอังกฤษ ไปนั่งฉันไอศกรีมแล้วเขาถ่ายรูปมา ไอศกรีมฉันได้ไหม ? ถ้าเป็นนมเป็นเนยอย่างเดียวได้ แต่อาตมาถือตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก เคยถามท่านว่าตกลงว่าไอศกรีมฉันได้ไหม ? ท่านบอกว่า "ถ้ามีแต่นมแต่เนย ไม่ได้ใส่อย่างอื่นก็ได้ แต่พ่อขอร้องเถอะ...ถ้าไม่ถึงกับจะตายห่า มึงอย่าไปแดกเลย มันน่าเกลียด..!"

ปรากฏว่าพระที่ท่านไปสนามฟุตบอล ท่านไปฉันไอศกรีมโคน แล้วดันแทะถ้วยเข้าไปด้วย ถ้วยเป็นแป้ง จัดเป็นอาหาร ก็เลยแก้ตัวไม่หลุด เพราะเขาถ่ายรูปมาชัด ๆ

แม้จะเป็นอาบัติเล็กน้อยสามารถแสดงคืนได้ แต่ถ้าเราใจด้านทำโดยไม่ละอาย พอไปทำบ่อย ๆ เข้า ความเคยชินจะทำให้ละเมิดอาบัติที่หนักกว่านั้นได้ คือเราทำชั่วเล็ก ๆ ไปเรื่อย เดี๋ยวก็ทำชั่วที่มากขึ้นได้ เหมือนกับเขื่อนที่เริ่มมีรูรั่ว ถึงเวลาน้ำไหลออกมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ดันเขื่อนแตกจนได้ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระมัดระวังตัวเอง โยมไม่รู้...พระก็ต้องเตือนโยมให้รู้ แล้วก็อย่าไปทำในลักษณะที่ว่าบัญญัติเอง บอกว่าฉันได้ หรือทำได้ ทั้ง ๆ ที่ทำไม่ได้"

เถรี
20-03-2016, 14:58
"อาตมาไปพม่า ทางด้านโน้นเขาฉันอาหารเย็นกันเป็นปกติ เพราะพม่าเขาถือพระวินัยไม่ลักลั่นกัน บ้านเราถือพระวินัยลักลั่นกันอยู่ คือพระวินัยมีอยู่ ๒ ข้อ ข้อหนึ่งว่า ภิกษุฉันอาหารในเวลาวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์ อีกข้อหนึ่งคือภิกษุเข้าบ้านยามวิกาลโดยไม่ได้บอกลา ต้องอาบัติปาจิตตีย์

ของเราการฉันอาหารในเวลาวิกาล บอกว่าหลังเที่ยงไปแล้ว แต่เข้าบ้านยามวิกาล เราไปตีความว่าตะวันตกดินไปแล้ว ส่วนพม่าเขาตีความราคาเดียวกันว่า วิกาลคือตะวันตกดินแล้ว ฉะนั้น... ๕ โมงเย็น ๖ โมง เขานั่งฉันอาหารกันเป็นปกติ เพราะถือว่ายังไม่วิกาล แต่บ้านเราในเมื่อตีราคาคนละอย่างกัน จนเป็นจารีตประเพณีแล้ว บ้านเราจึงทำไม่ได้ ในเมื่อทำไม่ได้ บ้านเราคตินิยมเป็นแบบนี้ก็ต้องถือแบบนี้

พอไปอยู่รวมกับพวกเขา ตอนเย็นอาตมาก็แวบออกไปตั้งแต่ ๔ โมงเย็น ไปนั่งสวดมนต์ภาวนาที่พระเจดีย์หรือพระพุทธรูปสำคัญ อย่างเช่น พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระบรมธาตุอินทร์แขวน หรือหลวงพ่อพระมหามุนี หรือไม่ก็ถึงเวลาก็หาเรื่องไปเดินดูของ ทำเป็นนักท่องเที่ยวไปหาดูของที่ระลึก รอจนหนึ่งทุ่มหรือทุ่มครึ่งแล้วค่อยกลับมา ให้เขาทำอะไรให้สบายใจเขาก่อน ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปปฏิเสธเขา กลายเป็นว่าเราไปถือเคร่งกว่าเขา ทำให้เจ้าถิ่นเขาหนักใจ

ทางเหนือของเรายังมีฉันข้าวเย็นกันเป็นปกติ เพราะว่าทางเหนือของเราโดนพม่ายึดครองอยู่ ๖๐ กว่าปี เลยถือธรรมเนียมพม่ามาจนชิน ปัจจุบันนี้ถ้าจะบวชวัดทางเหนือ พ่อแม่ต้องถามลูกให้ดีว่าจะกินข้าวกี่มื้อ ถ้ากินมื้อเดียว ก็บวชวัดป่าสายธรรมยุต กินสองมื้อก็บวชวัดทั่วไป สายมหานิกาย กินสามมื้อก็บวชวัดที่ถือธรรมเนียมพม่า"

เถรี
20-03-2016, 15:01
"การฉันอาหารในเวลาวิกาลเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แสดงคืนได้ ก็กลายเป็นว่า ถึงเวลาก็ไปกินแล้วก็มาปลงอาบัติกัน คุณเสฐียรพงษ์ วรรณปก ตอนเป็นเณรอยู่อีสาน เพื่อนเณรสะกิดให้ไปแอบดูหลวงพี่กินข้าวเย็นกัน ก็เลยไปกัน ปรากฏว่าเขาอุตส่าห์หนีไปอยู่ในป่าช้า นี่ก็ไปย่องหมอบ ๆ คลาน ๆ มุดพุ่มไม้ไปแอบดู ด้วยความที่เป็นเด็ก ไม่รอบคอบ ไปทำกิ่งไม้หักกร๊อบ...! โดนหลวงพี่หิ้วคอมา จับบีบปาก เอาข้าวเหนียวจิ้มปลาแดกยัด บังคับว่ากลืนลงไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นโดน กินไปเรียบร้อยแล้วบอกว่า "มึงไปฟ้องหลวงพ่อเลย มึงก็กินเหมือนกัน"

ส่วนหลวงพ่อฤๅษีเจอทีเด็ดกว่านั้นอีก ท่านบอกว่าพอขึ้นวัดเท่านั้น เจ้าถิ่นต้อนรับแข็งขัน "นิมนต์ครับ ๆ" พอขึ้นมาจัดน้ำใช้น้ำฉันเสร็จสรรพ ลงไปตะโกนสั่งเด็กวัดให้ฆ่าไก่ แกงเลี้ยงพระเย็นนี้ เล่นเอาหลวงพ่อห้ามเจ้าอาวาสแทบแย่ ความจริงท่านต้อนรับดีนะ น่ารักมากเลย "ตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ อย่างดีเลิศตามมีและตามเกิด ให้เพลินเพลิดกายากว่าจะกลับ"

เถรี
20-03-2016, 15:06
ถาม : พระผิดศีล พระอุปัชฌาย์มีส่วนรับผิดชอบไหม ?
ตอบ : พอบวชเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่ต้องสั่งสอน ถามว่ามีส่วนรับผิดชอบไหม ? ถ้าสอนแล้วพระไม่ฟัง ก็เป็นโทษของพระท่าน แต่ถ้าไม่สอนแล้วพระท่านไปทำ ต้องถือว่าพระอุปัชฌาย์มีส่วนด้วย

เถรี
20-03-2016, 15:20
ถาม : อ่านเรื่องไสยศาสตร์มา ทำไมเขาถึงต้องมีวันปล่อยของ เขาไม่กลัวพลังของมันหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พวกที่ตั้งใจทำร้ายใครโดยเฉพาะ ตามสายการปฏิบัติของไสยศาสตร์ วันเสาร์กับวันอังคารจะต้องปล่อยของครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นตัวเองจะร้อนรุ่มกระวนกระวาย พูดง่าย ๆ คือกินไม่ได้นอนไม่หลับ เดือดร้อนเอง ในเมื่อเขาปล่อยไป ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม โบราณเรียกว่าลมเพลมพัด

เรื่องของลมเพลมพัด ถ้าเราไม่ทักก็ไม่เกิดโทษ แต่ถ้าทักเมื่อไรก็เข้าตัวเมื่อนั้น แสดงว่าคนนั้นมีวาระกรรมเปิดอยู่ แต่ถ้าพวกที่เขารับเงินรับทองมาเพื่อไปเล่นงานคนอื่น เขาไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใคร กำลังใจของคุณจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์แค่ไหน รู้อยู่อย่างเดียวว่ารับเงินมาก็เล่นคนนั้นแหละ ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ ค่อยมาคิดกันทีหลัง

ถาม : ถ้าปล่อยของมาจะมีผลกับใครบ้างครับ เกี่ยวกับคนที่มีกำลังสูงกว่าหรือต่ำกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่อให้กำลังสูงกว่า แต่ถ้าวิบากกรรมเปิดให้พอดี ก็มีช่วงเผลอให้โดนได้ อย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านโดนบังฟัน วิชาบังฟันต้องบอกว่าเป็นการฆ่าที่โหดมาก เพราะว่าคนที่โดนตายโดยที่ร่องรอยบาดแผลภายนอกไม่มี แต่ข้างในขาดหมด

ถาม : ทำไมห้อยพระเครื่องแล้วยังโดน ?
ตอบ : เข้าใจคำว่าวาระกรรมไหม ? กรรมมาถึงอย่างไรก็เผลอจนได้ ถ้าปกติเราเผลอสติ วัตถุมงคลก็ป้องกันได้ แต่ท่านถอดวัตถุมงคลออกจากตัวเพราะกำลังจะสรงน้ำพอดี ฉะนั้น...วิธีที่ปลอดภัยที่สุด หลัง ๆ ที่หลวงปู่ท่านทำคือเป่ายันต์เกราะเพชร เพราะยันต์เกราะเพชรถอดไม่ได้ ยกเว้นคุณไปกินเหล้า หรือขโมย ถึงจะสูญไป

ถาม : แล้วการรักษาศีล ถ้าผิดแล้วรักษาใหม่ ยันต์จะอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : หมดแล้วหมดเลย เริ่มรักษาใหม่ก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากได้อานิสงส์ในการรักษาศีล ของสูญไปแล้วจะเอาคืนมาอย่างไร ?

ถาม : มองในแง่ของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีวาระกรรม เราจะสร้างเหตุอย่างไรในแง่ของการป้องกันไม่ให้โดนของ ?
ตอบ : ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวเป็นปกติ เริ่มตั้งแต่เช้ามืดเลย พอกำลังใจทรงตัวแล้วอาราธนาบารมีพระครอบตัวไว้ ถ้าคุณไม่เผลอ วันนั้นก็รอด รอวันต่อไปก็อาราธนาใหม่

ถาม : คนที่ครูบาอาจารย์ เทวดาคุ้มครอง รอดไหมครับ ?
ตอบ : คำว่าเทวดาหรือครูบาอาจารย์คุ้มครอง ก็คือวาระบุญยังมีอยู่ ถ้าวาระกรรมมาถึง พระหรือเทวดารักษาเราไม่ได้ ก็โดนได้ ฉะนั้น...อย่าพึ่งครูบาอาจารย์ หรือพรหมเทวดาอย่างเดียว ตัวเราควรจะมีศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ด้วย จะได้รักษาตัวเองได้

ถาม : การที่เราตั้งใจสะสมผลบุญ บุญเราทั้งหมดจะได้ชาติไหน หรือว่าทำได้เรื่อย ๆ ?
ตอบ : บุญทำแล้วไม่ได้ไปไหน เพียงแต่ว่าอยู่ในลักษณะที่อย่าเผลอ พูดง่าย ๆ ว่าเรามีปืนอยู่ ป้องกันไม่ให้โจรมาปล้นเรา แต่อย่าเผลอลืมพกปืนนะ

เถรี
21-03-2016, 14:06
ถาม : ฤทธิ์กับอภิญญา คือสิ่งเดียวกัน หรือต่างกัน ?
ตอบ : อภิญญาเป็นความสามารถพิเศษที่เกิดจากการที่เราฝึกกรรมฐานในหมวดของกสิณ ๑๐ ถ้าเราฝึกกรรมฐานหมวดอื่นก็จะไม่ได้อภิญญา

แต่ถามว่าฝึกกรรมฐานกองอื่นแล้วมีฤทธิ์ไหม ? มีเหมือนกันแต่เป็นฤทธิ์ด้านอื่น เรื่องของอภิญญาสามารถสำแดงฤทธิ์ที่เกินมนุษย์ได้อย่างชัดเจน แต่ฤทธิ์ในหมวดอื่น เช่น ฤทธิ์เกิดจากฌานสมาบัติ หรือฤทธิ์เกิดจากแรงอธิษฐานหรือฤทธิ์เกิดจากบุญที่สั่งสมมา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเราไม่สามารถแสดงให้ผู้อื่นเห็นชัดได้เหมือนกับอภิญญา

เถรี
21-03-2016, 14:08
ถาม : เข้าใจมาตลอดว่า คนเราถ้าตายไปก็ถูกตัดสิน กรรมไม่ดีก็ลงนรก กรรมดีก็ขึ้นสวรรค์ แต่คนที่ตายก่อนหมดอายุขัย ทำไมจึงไม่ไปตามภพภูมิ ผมไม่เข้าใจครับ ?
ตอบ : ถ้าคุณเรียนไม่จบ คุณมีสิทธิ์จบจากโรงเรียนนั้นไหม ? ในเมื่อไม่หมดอายุขัย ไปภพภูมิอื่นไม่ได้ ก็ต้องเร่ร่อนไปก่อน

ความจริงเรื่องของภพภูมิ ไม่ต้องรอคนอื่นตัดสิน เราทำดีก็เสวยผลความดีของเรา เราทำชั่วก็ไปเสวยผลความชั่วของเรา พวกที่ต้องไปรอตัดสิน ต้องบอกว่าดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ สะเทินน้ำสะเทินบกเหมือนกบเหมือนเขียด ก็เลยต้องไปให้พระยายมราชตัดสินว่าจะอยู่บนบกหรืออยู่ในน้ำ ถ้านึกถึงความดีได้ก็ไปอยู่บนบก นึกถึงความดีไม่ได้ก็ลงไปอยู่ในน้ำ

เรื่องของความดี ถ้าขึ้นตรงหรือลงตรงก็จบเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วที่ต้องรอตัดสินก็เพราะว่ามีดีมีชั่วปะปนกันมั่วไปหมด บางคนก็อุตส่าห์ชั่วมาตลอดชีวิต แต่ตอนท้ายดันไปเกาะความดีได้ บางคนดีมาตลอดชีวิต ตอนท้ายดันไปคิดถึงความชั่วหน่อยหนึ่ง ประเภทนี้ต้องบอกว่าอุปฆาตกรรมมาตัดรอน

เรื่องของกรรมมีอยู่ทั้งหมด ๓ หมวด ๑๒ ประเภท ค่อย ๆ ไปศึกษาดู จะเห็นถึงความพิลึกพิลั่นพิสดารของกรรมว่าเป็นอย่างไร

เถรี
21-03-2016, 14:26
ถาม : คนที่นับถือผีมีไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป สารพัดศาสนา นับถือผีบ้าง นับถือธรรมชาติบ้าง ถือผีพวกเรารู้ใช่ไหมว่าคืออะไร นับถือธรรมชาติอย่างเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะมีแม่ธรณี แม่คงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย เขาจะถือพวกนี้มาก่อน จนกระทั่งมาระยะหลัง ๆ สร้างเป็นเทพเจ้าขึ้นมา มีเทวดาอย่างโน้นอย่างนี้ ไป ๆ มา ๆ พอศาสนาพุทธเกิด ก็นับถือพระ อย่างของบ้านเรานับถือผีมานาน เล่นไสยศาสตร์กันมานาน พอถึงเวลาแล้วก็เลยปน ๆ กันอยู่ระหว่างพุทธ พราหมณ์ ผี

เถรี
21-03-2016, 14:31
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนไปสอบพระอุปัชฌาย์ เขามีคำถามเกี่ยวกับการคิดอายุ ถ้าหากคิดอายุออกมา ๑๙ ปี ๖ เดือนบวชได้ไหม ? บวชได้...เพราะว่าเขาให้บวกอายุในท้องได้ ๖ เดือน ถามว่าทำไมไม่ให้บวก ๙ เดือน ? เขาให้เหตุผลว่ามีคนที่คลอด ๗ เดือน ถ้าบวก ๙ เดือนเดี๋ยวอายุขาด บวชไปแล้วไม่เป็นพระ"

ถาม : ถ้าเกิดมา ๗ ปี ?
ตอบ : คณะสงฆ์ไทยบวกให้ ๖ เดือน ถ้า ๗ ปี อย่างพระสีวลี ก็บวชเณรเลย

ถ้าเอาอายุบวชแน่นอน ต้องบรรดาลูกท่านหลานเธอของฮ่องเต้สมัยก่อน เพราะคืนไหนนอนกับนางสนมคนไหน ขันทีต้องจดไว้หมด รู้ชัด ๆ เลยว่าเกิดวันไหน คนจีนนับจะมากกว่าไทยหนึ่งปีเสมอ อย่างอาตมาปีนี้ ๕๘ ปี แต่ถ้านับไทยก็เพิ่งจะ ๕๗ ปี

เถรี
21-03-2016, 14:35
ถาม : รู้สึกว่าเฉย ว่าง ?
ตอบ : แล้วสามารถเฉยได้ทุกครั้งไหม ? เอาเป็นว่าถ้ากำลังเราสูงกว่าก็จะเฉยได้ กิเลสทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ากำลังตกเมื่อไร ก็โดนกิเลสตีหงายท้องเหมือนเดิม ต้องระมัดระวังให้ดี

ถ้าช่างสังเกต ตอนที่เราปฏิบัติธรรมเสร็จใหม่ ๆ กำลังใจจะทรงตัวมาก แต่พอกระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไปเรื่อยกำลังเราจะตก จะรู้สึกว่าค่อย ๆ ขุ่นขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วก็ไปหงุดหงิดโกรธง่ายตอนกำลังหมด ถ้ารู้จักสังเกต ต่อไปจะพัฒนาตัวเองได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่รู้จักสังเกตก็พัฒนายาก เพราะไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร

เถรี
21-03-2016, 14:41
พระอาจารย์เล่าว่า "หลายวันก่อนไฟป่าลามเข้าวัด จะบอกว่าไฟป่าก็ไม่ใช่...เพราะมีคนเผา พระเลยไปช่วยกันดับ คราวนี้ไฟลามขึ้นกอไผ่ด้านบน พระอื่นเข้าไม่ถึงเพราะเปลวไฟแรง อาตมาเลยต้องเข้าไปเอง เอาไม้ยาว ๆ ตีให้ร่วงลงมาจะได้ดับ ก็เลยพลอยร่วงใส่ตัว ได้มาหลายแผล

โทรศัพท์ไปบอกทางเทศบาลให้เอารถดับเพลิงมาช่วยดับหน่อย เขามาฉีดให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วถามว่า "ทำไมหลวงพ่อไม่ปล่อยให้ไหม้ ๆ ไปให้หมด ? จะได้ไม่ไหม้อีก" เข้าท่าเหมือนกันนะ ไหม้หมดเกลี้ยงไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้ไหม้...ใช่ไหม ? เลยบอกเขาว่าการที่ไฟไหม้ ไม่ใช่แค่ต้นไม้ตาย สัตว์ตายก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่จริง ๆ คือไหม้จนหน้าดินกลายเป็นอิฐ ถ้าไหม้จนหน้าดินกลายเป็นอิฐ ฝนตกลงมาเท่าไร ดินจะรับน้ำไม่ได้ จะเกิดอุทกภัยได้ง่ายที่สุด

คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าแค่ไหม้ ๆ เดี๋ยวต้นไม้ก็ขึ้นใหม่ สัตว์ก็หนีเองได้ แสดงว่าไม่เคยเห็นเต่าโดนไฟไหม้ ต่างจังหวัดเวลาชาวบ้านจะกินเต่า เขาจะเข้าไปเผาป่า แล้วถือกระสอบไปเดินรอที่ริมห้วย เพราะอย่างไรเต่าก็ต้องหนีลงไปทางห้วย ก็เป็นอันว่าโทษ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เผาป่าด้วย ฆ่าสัตว์ด้วย แต่ส่วนใหญ่พอตัวเองลงไปโดนเผาข้างล่างก็แก้ตัวไม่ทันแล้ว..!"

เถรี
21-03-2016, 14:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า นะ ภาษาบาลีแปลว่า ไม่ คำว่า โน ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น...ภาษาอังกฤษที่บอกว่า No ก็เอาจากภาษาบาลีไป

เช่น อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา เมถุโน ธัมโม นะ ปะฏิเสวิตัพโพ อุปสัมบันก็คือพระภิกษุ ห้ามเสพเมถุนก็คือห้ามมีเมีย นะ ปฏิเสวิตัพโพ ห้ามส้องเสพเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเกิดคำว่า นะ หายไป ก็แปลว่าสั่งให้ลูกศิษย์ไปมีเมียได้..!"

เถรี
21-03-2016, 14:48
"เมื่ออาทิตย์ก่อนอาตมาทำการซักซ้อมคู่สวดที่วัดท่าขนุน ให้สวดใหม่แบบ "อุกาสะฯ" ปรากฏว่าแต่ละคนติดของเก่าก็มี ติดความเคยชินตัวเองที่แก้ไม่ตกก็มี ก็เลยบอกให้ไปซ้อมใหม่ ถ้ากลับจากที่นี่ไปแล้วจะกลับไปซ้อมอีก เอาจนกว่าที่จะแก้ได้

เรื่องของการสวดมนต์นั้น ญาติโยมอย่าพยายามให้เกิดความเคยชินในทางที่ผิด อย่างเช่น นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ‘อะระหะโต’ ไม่ใช่ ‘อาระหะโต’ พวกเราจะเคยชินเป็น ‘อาระหะโต’ กันหมด

ผู้เข้าสอบพระอุปัชฌาย์รูปหนึ่ง ขึ้นนะโมฯ อยู่ ๑๖ รอบ โดนปรับตกไปเลย เพราะว่าท่านขึ้นนะโมฯ แล้วลงว่า ‘สัมมาสัมพุทตัสสะ’ ทุกครั้ง แก้ไม่หาย ให้แก้ตัวแล้วแก้ตัวอีกก็เหมือนเดิม

ส่วนท่านชาย เจ้าพ่อเกาะพระฤๅษีก็ตกเหมือนกัน เดี๋ยวกลับไปแล้วจะให้ไปซ่อมใหม่ เพราะออกเสียงว่า ‘สัม-มา-สัม-พุด-ถัด-สะ’ ตัว ‘ธ’ ต้องออกเสียงว่า ‘สัม-มา-สัม-พุด-ทัด-สะ’

เถรี
21-03-2016, 14:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าบอกว่าเอาเหรียญของขวัญปีใหม่เข้าพิธี ๔,๐๐๐ องค์ ความจริงเป็น ๔,๐๐๒ องค์ มีเหรียญของคุณลูกเจนนี่อยู่ในย่ามอีก ๒ เหรียญ คุณลูกเขาฝากเงินมาทำบุญตั้งแต่งานสวดพระคาถาเงินล้าน ไม่ได้มารับสักที จึงติดย่ามหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ"

เถรี
22-03-2016, 14:36
ถาม : การที่คนเขียนเรื่องราวให้เขาแช่งชัก จะเป็นกรรมไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเขียนให้เขาแช่งชักหักกระดูกก็เป็นกรรม ถ้าหากว่าเขียนให้เขาสรรเสริญก็เป็นบุญ

เถรี
22-03-2016, 14:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราที่บอกว่าจะเปิดเทอมตามอาเซียน น่าจะได้เฉพาะระดับอุดมศึกษา แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับบ้านเรา เพราะบ้านเราร้อนมาก ถ้าอากาศร้อนแล้วไปเรียนหนังสือโดยที่ห้องเรียนไม่มีเครื่องปรับอากาศก็จบกัน

อาตมาจำได้ว่าเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้น ป.๑ จนถึง มศ. ๓ ไม่มีแม้แต่พัดลม เพราะสมัยโน้นเด็ก ๆ อึดมาก นั่งเรียนกันเหงื่อไหลไคลย้อยก็เอา ถึงเวลากลับบ้านคอเสื้อเป็นคราบเลย สมัยนี้โรงเรียนหลัก ๆ ส่วนใหญ่ติดเครื่องปรับอากาศให้ ปรากฏว่าเด็กกลับไม่สนใจการเรียน น่าเสียดายมาก

ที่อาตมาสอนเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ปรากฏว่าในมหาวิทยาลัยสงฆ์ พระ เณร ตลอดจนฆราวาส ทุ่มเทให้กับการเรียนมากเป็นพิเศษ ถ้ามหาวิทยาลัยข้างนอกเราอาจเห็นเด็กเรียนบ้าง โดดเรียนบ้าง ถึงอยู่ในห้องเรียนก็อาจจะนั่งคุยบ้าง กินขนมหลังห้องบ้าง นั่งแต่งหน้าบ้าง แต่ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่มี เหตุที่ไม่มีเพราะว่าพระเณรส่วนใหญ่ที่มาเรียนมีโอกาสเรียนน้อยมาก จึงอยากเรียน พยายามไขว่คว้าหาโอกาสที่จะได้เรียน

เมื่อมาบวชแล้วหลวงพ่อครูบาอาจารย์ส่งเรียน ก็ทุ่มกันเต็มที่เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยทำให้ต่างจากเด็กข้างนอกทั่วไป เด็กข้างนอกทั่วไปส่วนใหญ่พ่อแม่ตั้งใจส่งเรียน อดตาหลับขับตานอน ยิ่งเวลาสอบบางทีพ่อแม่เหนื่อยหนักกว่าลูกอีก เพราะต้องคอยลุ้น ส่งข้าว ส่งน้ำให้ลูก อ่านหนังสือ ซ้อมทำแบบฝึกหัด แต่ก็น้อยมากที่เป็นอย่างนั้น

ส่วนใหญ่แล้วก็นั่งเล่นเกม แชทไลน์ ออกไปแว้นกับเพื่อน คนที่มีโอกาสและพ่อแม่ทุ่มเทให้กลับไม่สนใจเรียน ส่วนคนไม่มีโอกาสก็ไขว่คว้าหาทางเรียนให้ได้ เมื่อได้โอกาสเข้ามาเรียนจึงทุ่มเทอย่างชนิดที่เรียกว่าเหลือเชื่อ...!"

เถรี
22-03-2016, 15:00
"วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ที่อาตมาสอนอยู่ที่วัดไร่ขิง ปีนี้มีลูกศิษย์จากจังหวัดตากมา ๔ รูป จากจังหวัดอุตรดิตถ์ ๕ รูป มาเรียนปริญญาโท ก่อนหน้านี้อาตมาเป็นนักศึกษา มจร. ที่มาเรียนไกลที่สุด คือเดินทางประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร ตอนนี้แพ้เขาราบเลย

ถามว่านักศึกษาจากตาก ทำไมไม่ลงวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ? จากอุตรดิตถ์คุณเข้าวิทยาลัยสงฆ์พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกก็จบแล้ว เขาบอกว่าปริญญาโทของที่นั่นไม่มีสาขาการจัดการเชิงพุทธ ที่ใกล้ที่สุดเป็นวัดไร่ขิง ปีนี้อาตมาก็เลยมีลูกศิษย์เป็นเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ กับเจ้าคณะตำบล จากจังหวัดตากและอุตรดิตถ์มารวม ๙ รูปด้วยกัน นั่งคุยกันแล้วก็เห็นใจในความเพียรของท่าน ท่านตั้งใจว่าจะเปิดห้องเรียนทางด้านจังหวัดของตัวเอง แต่คราวนี้ว่าท่านจบปริญญาโทมาจากมหาวิทยาลัยข้างนอก ซึ่งไม่ใช่สาขาที่จะมาเป็นอาจารย์เองได้ ก็เลยต้องมาเรียนสาขาการจัดการเชิงพุทธเพื่อให้ตรงกับหลักสูตร เพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรได้เอง

ลองคิดดูว่าท่านต้องวิ่งจากจังหวัดตากมาวัดไร่ขิง มานอนค้างที่วัด ๓ คืน เรียนเสร็จแล้วก็วิ่งกลับไป ตอนที่อาตมาบอกว่าเดินทางมา ๓๐๐ กิโลเมตรเพื่อเรียน ครูบาอาจารย์เขาตกใจกันทุกคน แล้วเรียนแบบไม่เคยขาด ปรากฏว่าตอนนี้โดนทำลายสถิติไปเรียบร้อยแล้ว เด็ก ๆ ข้างนอกมีความพยายามแบบนี้บ้างไหม ?"

เถรี
22-03-2016, 15:04
"วิธีที่โยมจะทำให้ลูกรักเรียนได้ อาตมาอยากยกตัวอย่างคุณติ๊ก (ถาวภักดิ์ ตียาภรณ์) ลูกสาวคุณติ๊กเรียนมหาวิทยาลัยอยู่สองคน ลูกชายเรียนมัธยมปลาย

เด็กสามคนนี้ วัน ๆ ก็หน้าทิ่มอยู่กับหนังสือ ไม่ไปไหนเลย พ่อเขาสอนให้รักการอ่าน รักการเรียนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กชอบอ่านหนังสือมาก ถ้าโยมสังเกตที่นี่จะมีนาทามลูกของคุณวรวรรณา หนังสือเล่มหนาอย่างนี้ หนูนาทามนั่งอ่านทั้งวัน ถ้าสามารถสอนลูกอย่างนี้ได้ เด็กจะเรียนดีทุกคน เพราะจิตใจเขาจดจ่อมุ่งมั่นอยู่ในลักษณะกระหายความรู้

อาจารย์ฐะปะนีย์ นาครทรรพ ท่านว่า เรียนเก่งเรียนอย่างไร เรียนด้วยใจหิววิชา อยากรู้ดูตำรา ยิ่งค้นคว้ายิ่งพาเพลิน ยิ่งเรียนยิ่งสนุก ผลักความทุกข์พ้นทางเดิน ไม่หิวไม่อิ่มเกิน ไม่ห่างเหินไม่โหมเอย" ใครทำแบบนี้ได้จะเรียนเก่งทุกคน

เถรี
22-03-2016, 21:57
"อีกคนที่อยากยกตัวอย่างคือลูกสาวของอาตมาเอง ลูกอ้อย ตอนเด็ก ๆ เรียนไม่เก่ง แต่พอมาระดับประถมปลาย มัธยมต้น มัธยมปลาย ลูกอ้อยแซงเพื่อนรูดเลย พอเข้ามหาวิทยาลัย จบมาเรียนปริญญาโทคนแรก เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะช่วงวัยรุ่นโดยปกติแล้วเด็กจะไปสนใจเพศตรงข้าม แต่อ้อยหน้าทิ่มอยู่กับหนังสือ เป็นคนที่รับมรดกหนังสือของอาตมาไปเยอะที่สุด ขนไปทีเป็นคันรถ อาตมาอ่านอะไรเขาก็อ่านด้วย

อาตมาเป็นคนอ่านหนังสือทุกแนว ลูกอ้อยก็อ่านอย่างนั้นด้วย เขาบอกว่าอ่านหนังสือตามหลังหลวงพ่อสบายดี เพราะตรงไหนผิดหลวงพ่อแก้ให้หมดแล้ว อาตมาทนเห็นของผิดไม่ได้ ฉะนั้น...หนังสือตรงไหนผิด จึงแก้ไปเรื่อย มีตัวหนังสือน้ำเงินบ้างแดงบ้าง เต็มไปทั้งเล่ม

ทำอย่างไรถึงจะให้เด็กของเรา โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น ทุ่มเทกับการเรียน แรงขับทางเพศเป็นพลังธรรมชาติที่เราต่อต้านและฝืนได้ยาก ก็ไม่ต้องไปฝืน แต่เปลี่ยนความสนใจเขาไป ให้เขาไปเล่นกีฬาก็ได้ ไปสนใจการเรียนก็ได้ ในเมื่อมีที่ให้ไปได้ ก็จะไม่ไปสนใจใส่ใจกับเพศตรงข้าม แต่จะไปใส่ใจกับการเรียนแทน"

เถรี
22-03-2016, 21:59
"อาตมาสังเกตว่า ตัวเองจบชั้น ป.๔ อายุ ๑๒ ปี ไปเรียน ป.๕ ป.๖ ป.๗ ยังตัวแคระแกร็นแค่นี้ แต่เพื่อน ๆ ที่จบ ป.๔ แล้วออกไปไม่เรียนต่อ โตพรึ่บขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวหมดเลย คล้าย ๆ กับว่าพอเราทุ่มเทใช้สมองไปกับการเรียน พัฒนาการทางเพศก็น้อยลง แต่บรรดาเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เรียน โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมด พออาตมาขึ้นมัธยม พวกที่ไม่ได้เรียนหนังสือเขาก็แต่งงานกันหมดแล้ว แต่ของอาตมาอยู่ชั้นมัธยมยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะมัวแต่สนใจการเรียนอยู่

ก็แปลว่าร่างกายของเราปรับตัวเองได้ ถ้าคุณสนใจการเรียน ทุ่มเทพลังงานไปด้านนั้น ก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า แต่ถ้าไม่สนใจการเรียน ไม่ได้ใช้สมองทุ่มเทกับการเรียน ก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว คราวนี้พอเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว แรงขับทางเพศก็แรง เพราะเป็นพลังในการสร้างโลก ถ้ากำลังใจไม่ดีพอ ไม่มุ่งมั่น สมาธิไม่ดีพอ เอาไม่อยู่สักราย ทำให้แทนที่จะสนใจการเรียน ก็ไปสนใจเพศตรงข้ามแทน แล้วก็จะก่อให้เกิดปัญหาท้องในวัยเรียน เสียอนาคต ไม่ได้เรียนต่อ

จึงสำคัญตรงพ่อแม่ ว่าทำอย่างไรให้ลูกรักการอ่าน รักการเรียน ยิ่งสมัยนี้มีสถานที่อย่าง ทีเค ปาร์ค สมัยอาตมามีที่ไหน มีแต่ท้องนาป่าเขา ต้องไปศึกษาเรียนรู้เอาเอง สมัยนี้มี ทีเค ปาร์ค มีพี่เลี้ยง มีอาจารย์คอยแนะนำคอยสั่งสอนให้ วันเสาร์วันอาทิตย์พาลูกพาหลานไปทิ้งไว้ได้เลย แทนที่จะปล่อยให้หัวทิ่มหัวตำอยู่กับไลน์อยู่กับเกม ไปที่โน่นยังได้เพื่อน ได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เขาสอนให้ทำโน่นทำนี่ บางคนสามารถพัฒนากลายเป็นวิชาชีพด้วยซ้ำไป"

เถรี
22-03-2016, 22:00
"ปัจจุบันนี้สถานศึกษาแต่ละแห่ง จะมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ตลอดจนกระทั่งปณิธานของแต่ละที่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นคำพูดหรู ๆ เท่านั้น แต่ทำยาก เหตุที่ทำยากเพราะเด็กไม่สนใจเรียน ไปสนใจเพศตรงข้ามแทน

เนื่องจากว่าสมัยนี้การเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ง่ายขึ้น ทำให้เด็กเรียนรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ง่าย ไม่เหมือนรุ่นสมัยอาตมา ๑๒-๑๓ ปี ยังแก้ผ้าโดดน้ำอยู่เลย ไม่รู้ว่าผู้หญิงผู้ชายต่างกันตรงไหน โมโหขึ้นมาก็วางมวยกันปากแตกตาเขียวทั้งผู้หญิงผู้ชาย"

เถรี
22-03-2016, 22:01
ถาม : ถวายทองคำ สร้างพระทองคำครับ พระทองคำที่จะสร้างนี้มีอานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : ตามที่ท่านบอกไว้ว่า ถ้าสร้างเสร็จประเทศชาติจะดีขึ้น ก็แปลว่าพวกเราต้องรอถึงปี ๖๒ เราจึงจะดีขึ้น ท่านบอกให้อาตมาเตรียมตัวมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว

เถรี
23-03-2016, 11:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทางวัดเริ่มบวชสามเณรภาคฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าความโหดของวัดท่าขนุนเป็นที่เลื่องลือ ปีนี้จึงมีเด็กสมัครมาแค่ ๘ คน จากที่เดิมอาจารย์เขาบังคับมาเป็นร้อย ๆ คน ปีนี้ให้สมัครเอง เนื่องจากอาตมาตั้งใจว่าพอบวชครบ ๑๐ วัน วันสึกจะให้ทุนการศึกษาทุกคน ต่อให้สมัครมาเป็นร้อย ก็จะให้ทั้งร้อย ปรากฏว่าแต่ละคนแหยงสายไฟฟ้า โดนตีจนกระทั่งเป็นที่เลื่องลือ

น่าเสียดายที่พ่อแม่ของเขาต่อยอดไม่ได้ เพราะเวลาออกจากวัดไปนี่เรียบกริบเลย เป็นระเบียบเรียบร้อยทุกอย่าง พูดอะไรรู้ฟังหมด ทำงานทำการได้ทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน กลับบ้านไปไม่กี่วันเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะว่าพ่อแม่มักจะไปบริการลูก ไปทำงานแทน ไม่ใช้ลูก ในเมื่อไม่ใช้ลูก ลูกก็สบาย ท้ายสุดก็เป็นเหมือนเดิม วัดฝึกออกไปดีขนาดไหน กลับไปไม่นานก็เป็นเหมือนเดิม แต่คาดว่าปีนี้ถ้าพวกที่บวชได้รับทุนการศึกษาไป ปีหน้าคงมีคนยอมเสี่ยง ถึงเจ็บตัวหน่อยแลกกับ ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ บาทก็ยอม"

เถรี
23-03-2016, 11:10
"ส่วนใหญ่พ่อแม่ทำใจไม่ได้ที่จะตีลูก อาตมาตีเด็ก พ่อแม่บางคนนั่งร้องไห้เลย แต่ก็ยังอุตส่าห์บอกว่าดีที่หลวงพ่อตี เพราะผมเองไม่กล้าตี วันก่อนบวชเณร ๑๗๐ กว่ารูป เณรต่อยกัน อาตมาเลยตีต่อหน้าพ่อแม่เลย ถามว่ารับได้ไหม? เขาบอกว่าถ้าตัดสินยุติธรรมแบบนี้รับได้ครับ เด็กหาเรื่องทะเลาะ...ต่อยกัน อาตมาฟาดทั้งสองฝ่าย

มีคนเขาสงสัยว่าเวลาอาตมาพูด ทำไมพระ เณร หรือแม่ชี ฟัง ในขณะที่คนอื่นว่าแล้วเขาไม่ฟัง ญาติโยมสงสัยบ้างไหม ? ที่เขาฟังเป็นเพราะว่ากำลังของอาตมาสูงกว่า คำว่า "กำลังสูงกว่า" ตรงนี้คือกำลังสมาธิสูงกว่า ในเมื่อกำลังสมาธิสูงกว่า การแสดงออกทาง กาย วาจา ใจ จะเหนือกว่า เหมือนแม่เหล็กดูดเศษเหล็ก เศษเหล็กไม่ได้อยากวิ่งเข้าหาแม่เหล็กหรอก แต่ทานแรงแม่เหล็กไม่ได้ ก็โดนดึงเข้ามาเอง

ฉะนั้น...ถ้าญาติโยมอยากจะพูดแล้วให้ลูก ๆ ฟัง หรือเป็นครูบาอาจารย์อยากพูดให้เด็กยอมฟัง ต้องทำสมาธิให้มากเข้าไว้ ถ้าสมาธิดีกว่า อาตมายืนยันว่าพูดอะไรลูกก็ฟัง เพราะข่มกันอยู่"

เถรี
23-03-2016, 11:12
"ลูกศิษย์เก่าแก่ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหนึ่ง คือ พี่ขวัญ (เยาวลักษณ์ มิตรศรัทธา) สนิทสนมคุ้นเคยกัน เขาก็นิมนต์ไปเจริญพระพุทธมนต์ไปฉันเพลที่บ้าน ก็มีหลวงตาวัชรชัยไป มีพระรูปอื่นไป รวม ๙ รูปด้วยกัน ปรากฏว่าการ์ตูน ลูกสาวพี่ขวัญ ตอนนั้นยังเด็กอยู่ ด้วยความที่ใกล้ชิดสนิทสนมเห็นพระเป็นปกติ การ์ตูนเห็นก็ลืมตัว วิ่งมายื้อจีวรอาตมา จะตะกายขึ้นตัก พี่ขวัญเห็นก็ดุลูกเสียงดังเลยว่า "ต่อไปอย่าทำอย่างนั้นอีก หลวงน้าเป็นพระ เราเป็นผู้หญิง จะทำอย่างนั้นไม่ได้"

ปรากฏว่านอกจากลูกเงียบฉี่แล้ว พระเกือบทั้งหมดยังเงียบฉี่ไปด้วย จนอาตมาเห็นว่าบรรยากาศจะเคร่งเครียดเกินไป เลยต้องเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องอื่นแทน นั่นแสดงว่ากำลังใจของพี่ขวัญสูงกว่าพระอีก ขนาดพระยังเงียบไปด้วยเลย ทั้ง ๆ ที่ดุลูกนะ พระอ้าปากไม่ขึ้นไปด้วย ในเรื่องอย่างนี้เห็นผลมาแล้ว

ฉะนั้น...ญาติโยมที่เป็นเจ้านายก็ดี เป็นครูบาอาจารย์หรือเป็นพ่อแม่เลี้ยงเด็กเลี้ยงลูก ต้องทำสมาธิเข้าไว้ ถ้าสมาธิของเราสูงกว่า กำลังจะสูงกว่า กาย วาจา ใจ เหมือนมีอำนาจมากกว่า ถึงเวลาก็ดึงดูดคนรอบข้างให้คล้อยตามมาเอง จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของหญ้าปากคอก แต่พวกเรามักจะไม่ได้นึกถึงกัน"

เถรี
23-03-2016, 11:14
"สำนวน "หญ้าปากคอก" เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้ เพราะไม่เคยเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย หญ้าขึ้นอยู่ตรงปากคอกควาย แต่ควายไม่เคยได้กินหรอก ถึงเวลาเขาเปิดคอก ตัวหลังดันพรวด ตัวหน้าก็ต้องวิ่งเลยไป พอตัวหน้าวิ่งเลยไป ตัวหลังดันบ้าจี้เดินตามตัวหน้าไปด้วย ก็เลยไม่ได้กินหญ้าปากคอกสักที

อาตมาเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม คำตอบเกือบทั้งหมดอยู่ที่สมาธิ ยกเว้นการเข้าถึงมรรคผลในตอนปลายเท่านั้น ที่ต้องอาศัยปัญญามาช่วยมาก แต่ปัญญานั้นก็มีพื้นฐานจากสมาธิ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่อย่างน้อยเราต้องสร้างกำลังสมาธิให้ได้ระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป"

เถรี
23-03-2016, 11:17
"อาตมาเคยตั้งเป้าไว้ว่าจะเอาปฐมฌานให้ได้ แต่ตั้งกำลังใจเกิน เสียเวลาไป ๓ ปีเต็ม ๆ ปฏิบัติแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ปรากฏว่าแม้แต่เงาของปฐมฌานยังไม่ได้เจอเลย เพราะกำลังใจเกิน หลวงพ่อท่านบอกว่ายืดคอเลยหน้าต่าง อยากจะมองภาพนอกบ้าน ดันยืดคอเลยหน้าต่าง แล้วจะเห็นอะไรนอกจากกำแพง จนกระทั่งวันหนึ่ง เหนื่อยใจเต็มที ทำเท่าไรก็ไม่ได้ "ช่างหัวมันเถอะวะ เรามีหน้าที่ทำ ได้ไม่ได้ช่างมัน" โป๊ะเดียวได้เลย เพราะกำลังใจลดลงมาแล้ว ตรงช่องพอดี หลังจากคนปฏิบัติแล้วรู้ว่าตรงไหนพอเหมาะพอดี ต่อไปก็จะทำอย่างนั้นได้อีก

เพียงแต่ไม่ทราบว่าญาติโยมจะมีแรงตื๊อได้มากพอไหม ? อย่างอาตมา ๓ ปีเต็ม ๆ อย่างของพวกเราเอา ๓ วันก็แล้วกันนะ ดูว่ามีกำลังยื้อได้สัก ๓ วันไหม ? ๓ วันไม่ได้ก็เบื่อแล้ว ยังขำ ๆ พอเด็กวัดท่าขนุนเริ่มเป็นสาวแล้ว ถึงเวลาเริ่มคบแฟนก็ลงเฟซบุ๊ก หลวงตาก็แอบไปส่อง แล้วก็ถามเด็กว่า "คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?" "คบได้ ๗ วันแล้ว" นานมากเลย ตั้ง ๗ วัน..!

เด็กรุ่นใหม่มักจะกำลังใจไม่ค่อยมั่นคง เพราะสมาธิน้อย ก็เลยมีการเปลี่ยนแปลงง่าย จึงต้องพากเพียรพยายามเรื่องของการรบกับกิเลส ถ้าไม่มีสมาธินี่หมดสิทธิ์ชนะเลย เพราะปัญญาเป็นอาวุธ สมาธิเป็นกำลัง ถ้าไม่มีกำลังจะยกอาวุธก็ไม่ไหว แล้วจะไปสู้กับข้าศึกได้อย่างไร ?"

เถรี
23-03-2016, 19:21
ถาม : ช่วงหลังไม่มีเวลานั่งสมาธิ มีคนแนะนำว่าให้คิดพิจารณาวิปัสสนาญาณเอาแล้วจะดี ?
ตอบ : สรุปว่าตั้งแต่เราหยุดทำสมาธิแล้วฟุ้งซ่านดีไหม ? ต้องดูด้วยว่าเรายืนอยู่ที่ไหน เราเรียนชั้น ป.๑ แล้วเขาบอกให้เราเรียนปริญญาเอก เราก็บ้าพอที่จะไปเรียนตามเขา ต้องดูด้วยว่าเราอยู่ระดับไหน ไม่ใช่ว่าเขาเองเรียนปริญญาเอกอยู่ แล้วบอกว่าตรงนี้ดีแน่นอน เชื่อได้ด้วยนะ แล้วกำลังเราแค่ ป.๑ จะสู้เขาได้หรือ ? กิเลสก็ตีตาย

ถาม : บางทีเปิดไฟล์เสียงที่หลวงพี่สอนกรรมฐาน พอท่านบอกให้หายใจเราหายออก จังหวะไม่พอดีกัน ?
ตอบ : จะเร็วจะช้าก็ช่างแต่ให้เราทำ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปว่าตามจังหวะนั้น เอาที่เราถนัด ต่อให้อาตมาขึ้นแล้วเราลงก็ช่างมัน แต่ให้ทำได้...โง่จริง ๆ

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เถรตรง ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ใช่ครูบาอาจารย์บอกอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อาตมาเคยทำตามมาเยอะแล้ว ท่านบอกว่าสู้แค่ตาย ลองสู้ดูแล้วตายจริง ๆ ครับพ่อ...! ตายฟรีทุกครั้งเลย เพราะเรากำลังไม่พอ แล้วดันไปสู้ตามที่ท่านบอก ก็ต้องหลบ ต้องหลีก ต้องหนีก่อน ประคับประคองรักษาอารมณ์ของเราให้อยู่ในด้านดีให้ได้ ไม่ใช่ไปสู้กับกิเลส โน่น...แชมป์โลก เราแค่มวยวัด มวยวัดถึงเวลาถอดรองเท้าได้ก็วิ่ง เรื่องอะไรจะไปปะทะด้วย เด็กบ้านนอกสมัยก่อนไม่ชินกับรองเท้า รุ่นอาตมาจะวิ่งหนีใคร ต้องถอดรองเท้าก่อน

เถรี
23-03-2016, 19:22
:4672615:เก็บตกเดือนมีนาคม ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ