PDA

View Full Version : เล่าสู่กันฟัง ภาค ๒


เถรี
21-05-2009, 20:05
วันก่อนนางมารร้ายถามปัญหาพระอาจารย์ว่า "ระหว่างความมั่นใจในอานุภาพพระรัตนตรัย กับความประมาท อารมณ์พอดีอยู่ที่ตรงไหน ?"

พระอาจารย์เมตตาตอบว่า "เราต้องมั่นใจในพระรัตนตรัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องไม่ประมาท คืออย่าไปลองเล่น อันนี้ไม่ค่อยดี แล้วถ้ารู้สึกว่ากำลังใจตกวูบ (เหมือนใจหาย..เหมือนตกจากที่สูง) นั่นไม่ต้องลองเลย แย่แน่ ๆ ให้หาทางหลบมาดีกว่า กำลังใจวูบนี่อาจจะเป็นเพราะกฎของกรรมก็ได้"

อย่างของท่านตอนที่โดนงูกัดเข้าชีพจรนี่ กำลังใจท่านก็เป็นปกติ พอเกิดเรื่องก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตัวเองแน่ ๆ ไม่ใช่ที่ยันต์เกราะเพชร ก็ไปค้นดูถึงรู้ว่าเป็นวันมรณะท่านพอดี ( แต่จะอย่างไรก็แค่เอาทิงเจอร์ราด เอาพลาสเตอร์แปะเท่านั้นเอง..!)

เถรี
21-05-2009, 20:11
มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางมารร้ายสงสัยเรื่องปัญญาว่า "สมาธิทำให้เกิดปัญญา ถ้าเช่นนั้นคนที่ได้ฌานสูงกว่า ก็ต้องมีปัญญามากกว่าคนที่ได้ฌานระดับต่ำกว่าเสมอไปหรือไม่ ?"

ท่านอาจารย์เมตตาอธิบายว่า "ปัญญามีอยู่ ๓ ชนิด หนึ่งคือสหชาติกปัญญา เป็นปัญญาที่สั่งสมมาแต่ปางก่อน (พวกที่มีพรสวรรค์ในเรื่องต่าง ๆ) สองคือปาริหาริกปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้เพิ่มเติมภายหลัง ถ้าไม่มีของเก่ามา คนเรียนก็ย่อมรู้มากกว่าคนไม่เรียน สามคือเนปักกปัญญา ปัญญาในการตัดกิเลส ถ้าอย่างนี้ละก็ ปัญญาของพระโสดาบันที่ได้ฌานหนึ่ง ย่อมเหนือกว่าปัญญาของฌานสี่ที่เป็นฌานโลกีย์อย่างไม่เห็นฝุ่นอยู่แล้ว"

เถรี
21-05-2009, 20:14
อีกคำถามหนึ่งที่ถามไปคือ เห็นคนนิยมนั่งสมาธิกันมากขึ้น แม้แต่คนศาสนาอื่นก็เจริญภาวนาสวดมนต์กันมาก เลยถามท่านว่า "ถ้าทำสมาธิ แต่ปราศจากศีลจะมีผลอย่างไร ?"

ท่านบอกว่า "สมาธิจะไม่ทรงตัว เพราะไม่มีศีลเป็นพื้นฐานมารองรับ แต่อย่าลืมว่าพวกทำไสยศาสตร์นี่ ขณะที่กำลังทำ เขาก็ไม่ได้ทำผิดศีลนะ"

นางมารร้ายเลยถึงบางอ้อ มิน่า..พวกได้ฌานโลกีย์ถึงเสื่อมกันได้ เพราะไม่มีพื้นฐานศีลที่มั่นคงมารองรับนี่เอง เมื่อสมาธิไม่คงตัว ปัญญาก็มีบ้างไม่มีบ้างเป็นธรรมดา

เถรี
21-05-2009, 20:17
พระอาจารย์มีความเชื่อว่า สถิติมีไว้ทำลาย ดังนั้น..หลักการหรือทฤษฎีไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์หรือพุทธศาสตร์ ก็ต้องมีไว้ทำลาย
ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านคงไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปได้้
พระอรหันต์มากต่อมากคงไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปได้เช่นกัน

ถึงโลกจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปขนาดไหนก็ตาม
กิเลสของคน คือ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ยังเหมือนเดิม ในเมื่อเหมือนเดิม เราก็สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยวิธีเดิม ๆ ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้งหลายต่างก้าวพ้นไปแล้วก็ด้วยวิธีนี้...

ตัวแสบจำเป็น
22-05-2009, 09:26
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เล่าบ้างก็ได้
เมื่อเช้าได้ยินมาแว่ว ๆ ว่า หลวงพี่เอกบอกว่า
เมตตาคือบ้ากาม** บ้ากามมาก ๆ เขาเรียกว่าหื่น

ตอนนั้นท่านกำลังสอนลูกน้อง (ก็ท่านไม่มีลูกศิษย์) ทโมน ๆ
ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่าน เห็นคุย ๆ กันว่า ที่ไปจีบสาว เพราะว่ามีเมตตา

เฮ้อ.. คนเรา อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องให้ท่านด่า :onion_eiei:

หมายเหตุ ตรงข้อความที่ว่า "เมตตาคือบ้ากาม" นั้น เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
โปรดอย่าจำไปใช้ ถ้าท่านไม่ได้เป็น!! เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

เถรี
22-05-2009, 12:07
พระอาจารย์ปรารภว่า พระรัตนตรัยมีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะสัมผัสถูกต้องไปในทางไหน อย่าใช้ความเป็นกันเองกับพระรัตนตรัย เช่น นางขุตชุตรา ใช้เพื่อนที่เป็นพระอรหันต์หยิบของให้ เลยต้องเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ

มีคนมาปรึกษาเรื่องสร้างพระ ท่านบอกว่าคนเราชอบคิดเอาแต่ได้ หารู้ไม่การสร้างพระ ถ้าไม่ขออนุญาต ก็มีโทษเหมือนกัน
ตัวอย่างสมัยท่านสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านบวงสรวงขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ว่าจะสร้างแบบไหน ขนาดหน้าตักเท่าไร แต่มีคนหนึ่งอยากได้หน้าตักใหญ่กว่านั้น ก็ไปบอกช่างให้สร้างองค์ใหญ่ให้ด้วย...ปรากฏว่าเททองเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ร้อนถึงพระอาจารย์ต้องทำการขอขมาและขออนุญาตให้ จึงเททองครั้งเดียวสำเร็จ

พระอาจารย์ว่า ตัวท่านเองยังไม่เคยคิดจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมเลย ทำไมบางคนชอบสร้างกันนัก เช่น อัดรูปสมเด็จองค์ปฐมมาเข้าพิธีให้แจก ท่านเคยถามพวกนั้นว่า "สมเด็จองค์ปฐมเป็นเพื่อนคุณหรือ ? ถึงนึกอยากจะทำก็ทำ เคยขออนุญาตท่านไหม ?"

แล้วเรื่องเกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์อื่น ท่านยังไม่บังอาจเลย ต้องเป็นท่านเองมาปลุกเสกเองเท่านั้น พวกนั้นก็เท่ากับว่ามีโทษใช้สมเด็จองค์ปฐม เคยคิดถึงโทษตรงนี้ไหมว่ามหาศาลขนาดไหน..?

เถรี
22-05-2009, 12:07
เคยได้ยินพระอาจารย์บอกว่า พระอรหันต์เหมือนกับไฟฟ้าแรงสูง แตะต้องไม่เป็นก็อันตรายเมื่อนั้น

เถรี
22-05-2009, 12:08
พระอาจารย์ท่านว่า "..คำว่าบังเอิญ ไม่มีในพระพุทธศาสนานี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม.."

เถรี
22-05-2009, 12:13
พระอาจารย์เคยอธิบายความหมายของคำว่า "พรหมจรรย์" ดังนี้

พรหม = ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ในที่นี้หมายถึง พรหมที่เป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง(อุปัตติเทพ)

จรรย์ = ความประพฤติ , แบบอย่าง

พรหมจรรย์ ในความหมายตามศัพท์ คือ ประพฤติอย่างพรหม พรหมอยู่เป็นสุขด้วยอำนาจของฌานสมาบัติ

การประพฤติอย่างพรหม คือ การอยู่กับตนเองในสมาธิ

การอยู่กับสมาธิคือ การอยู่คนเดียว

พรหมจรรย์จึงมีความหมายว่า อยู่คนเดียว อยู่เป็นโสด ไร้คู่ครอง ฯลฯ

เถรี
22-05-2009, 12:26
ในเรื่องของรูปครูบาอาจารย์ต่าง ๆ บางทีมีการตกแต่งเพิ่มเติม เพราะเขาคิดว่าจะทำให้ท่านแลดูน่าเชื่อถือ อย่างของหลวงปู่ปานก็มีการเติมหนวดให้

พระอาจารย์ท่านบอกว่า รูปหลวงปู่ปานบางรูปผ่านการตกแต่งฟิล์มโดยช่างในยุคนั้น ซึ่งเขาแต่งตามที่เขาชอบใจ บางรูปนอกจากมีหนวดมีเคราแล้ว ยังมีป้ายชื่อแขวนคอด้วย..!

พระอาจารย์ท่านบอกว่า หลวงปู่ฤๅษีเคยปรารภว่า รูปครูบาอาจารย์นั้น ควรจะเป็นรูปที่ดูดีที่สุด เพื่อที่ศิษย์จะได้จับเป็นอนุสติ ไม่ใช่รูปอีเหละเขละขละอะไรก็ได้

พระอาจารย์ท่านว่า " แม้แต่รูปหลวงพ่อ(หลวงปู่ฤๅษี)นั่งเก้าอี้ ที่เขานิยมกันนัก เพราะเป็นรูปสุดท้ายที่ถ่ายตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ อาตมาเห็นแล้วยังไม่สบายใจเลย เพราะท่านกำลังป่วยหนักมาก ขนาดบวมไปทั้งองค์ "

ไม่ใช่แต่หลวงปู่ปาน ยังมีหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่จาด วัดบางกระเบา หลวงปู่ดิ่ง วัดบางวัว หลวงปู่โด่ วัดนามะตูม ฯลฯ ก็ถูกช่างคนนี้ตกแต่งตามใจชอบ ใส่หนวดใส่เคราให้ทุกองค์ไป

" เขาคงเห็นขลังว่าพระปฏิบัติต้องไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หลวงพ่อบอกว่า ตั้งแต่อยู่กับหลวงปู่ปานมา ยังไม่เคยเห็นหลวงปู่ไว้หนวดเลยสักครั้ง "

เถรี
22-05-2009, 12:42
เรื่องแก้วจักรพรรดินั้น พระอาจารย์เคยพูดย้ำเสมอ ๆ ว่า พระเณรควรจะมีติดตัวไว้ เมื่อถึงเวลาจะได้เป็นที่พึ่งแก่คนเขาได้

แก้วจักรพรรดิองค์ต้นที่รับมาจากหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุยนั้น เป็นของพระเจ้าจักรพรรดิ เลี้ยงคนได้ ๔ โลก คือ อุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ชมพูทวีป ปุพพวิเทหทวีป แล้วแก้วจักรพรรดิของหลวงพ่อมีอานุภาพ ๙๐ % ขององค์เดิม ถึงแม้ว่าจะเลี้ยงคนไม่ถึง ๔ โลกก็ตามแต่ก็ใกล้เคียง

เรียนถามพระอาจารย์ว่าเวลาท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลท่านทำอย่างไร พระอาจารย์ท่านบอกว่า "ขอพระท่านว่า ขอให้มีอานุภาพเหมือนของหลวงพ่อวัดท่าซุงทุกประการ"

เถรี
22-05-2009, 12:48
พระอาจารย์เคยบอกว่า ท่านอาราธนายันต์ทำน้ำมนต์เผื่อพวกเราทุกวัน ใครที่ป่วยก็ตั้งใจระลึกถึงท่านให้ดี มีเครื่องส่งดีแล้วแต่ก็ต้องเปิดเครื่องรับด้วยค่ะ ถึงจะได้รับผล

เถรี
22-05-2009, 12:51
พี่นางมารร้ายเคยถามพระอาจารย์ว่า "พระอาจารย์สมปองเป็นเป้าของใครต่อใครหลายคน ทำไมพระอาจารย์ต้องเอาตัวเข้าไปเป็นเป้าร่วมด้วย "

พระอาจารย์ตอบว่า "..คนอย่างข้า ใจคิดอะไรก็ทำอย่างนั้น ใครสนใจจริยาคนอื่น ไม่ปรับปรุงใจตัวเองก็ช่างศีรษะมารดามันซิ..! ดูเพื่อนต้องดูยามมีภัย ร่วมสุขไม่ร่วมทุกข์ถือเป็นว่าคนที่ใช้ไม่ได้..!"

เถรี
22-05-2009, 12:54
การเป็นร่างทรงนั้นพระอาจารย์ท่านว่าต้องเคยมีกรรมเก่าเนื่องกันมา ไม่อย่างนั้นเขาจะทรงไม่ได้เลย แต่ถึงมีกรรมเก่าเนื่องกันมา
ถ้าเราไม่ยอมจริง ๆ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ นอกจากกลั่นแกล้งให้ลำบากเดือดร้อนเท่านั้น ให้ต่อรองกับเขาด้วยหัวข้อดังนี้

๑. ถ้าต้องการใช้เราจนไม่มีเวลาทำมาหากิน ต้องทำให้เรารวยก่อน
๒. อย่าให้ต้องแสดงอาการอะไรแปลก ๆ จนเราหรือญาติพี่น้องต้องอายคนอื่นเขา
๓. ถ้ารับปากช่วยเหลือใครไป ต้องมีผลตามที่รับปากทุกอย่าง

ถ้านอกเหนือจากนี้อย่ายอม ยิ่งมากันมาก ๆ มั่วไปหมด เดี๋ยวจะเพี้ยนเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่

การเป่ายันต์เกราะเพชรช่วยไล่ได้เฉพาะพวกผีที่เกาะมาเท่านั้น บรรดาร่างทรงถ้าตอนนั้นไม่ได้ทรงอยู่ก็ไล่เขาไม่ได้ ขอให้ทำใจให้เข้มแข็ง พยายามทรงสมาธิให้ได้ ถ้าสมาธิทรงตัว เราจะมีกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ เป็นอย่างน้อย ถ้าอย่างนั้นพวกที่มาต่ำกว่านั้นเขาจะกวนเราไม่ได้อีกเลยค่ะ

เถรี
22-05-2009, 13:13
ในงานสมโภชพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่วัดเขาวง
หลวงตาพอเจอหน้าพระอาจารย์ท่านดีใจยิ่งกว่าได้แก้ว โดดกอดพระอาจารย์เลย ประโยคแรกที่หลวงตาทักก็คือ "เฮ้ย..เล็ก..ค่าตัวแพงมากหรือวะ ? ถึงไม่มีใครเอาตัวไปงานเขาได้ ขอบใจจริง ๆ ว่ะที่มา..คิดถึงฉิ..หา..เลย..!"

ส่วนใครที่ไปงานวันนั้นจะเห็นได้ว่า พระอาจารย์มีเครดิตในสายตาของหลวงตาขนาดไหน พี่ ๆ มากันเป็นกระตั้ก หลวงตากราบเท้าขอหลวงพ่อสมเด็จจุดเทียนชัย และกำหนดให้พระอาจารย์จุดเทียนสัตตบริภัณฑ์ในพิธีพุทธาภิเษก เขาเรียกว่าพี่น้องย่อมรู้มือกันดีว่าใครมีความสามารถแค่ไหน..!

เถรี
22-05-2009, 14:44
ในเรื่องการรับยันต์เกราะเพชร มีคนถามพระอาจารย์หลายรายว่า "รับยันต์เกราะเพชรแล้ว ทำอย่างไรจะมั่นใจว่าได้แน่ ๆ"

พระอาจารย์บอกว่า "ทดสอบได้ ๒ วิธี วิธีแรกเอางูจงอางมา ๑ ตัว ให้งูกัดแล้วนั่งรอสักชั่วโมง ถ้าไม่ตายแปลว่าได้รับยันต์แล้วแน่ ๆ วิธีที่ ๒ โดดให้สิบแปดล้อทับ ถ้ารอดก็แปลว่าได้รับยันต์แล้ว"

เถรี
22-05-2009, 15:00
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เวลาแกะซองแล้วนับเงินกัน เงินนั้นก็เก็บใส่กองไป ส่วนซองก็ฉีกใส่ถังขยะไป มีบางทีที่คนนับเผลอคุยกัน คุยไปคุยมาดันเอาเงินใส่ในถังขยะแทน

แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยที่ยังอยู่รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลม พอกลับมาถึงวัด หลวงพ่อก็จะหอบซองทำบุญที่เขาแกะแล้วมาเป็นกองใหญ่ ๆ แล้วบอกให้เอาซองไปตรวจสอบใหม่ หลวงพ่อเล็กเราก็ตรวจซองนั้น ปรากฏว่าแต่ละงวดได้เงิน ๗,๐๐๐-๘,๐๐๐ บาท ท่านก็เลยรู้ว่าทำไมหลวงพ่อท่านถึงได้ให้ตรวจซองอีกครั้งหนึ่ง

ตัวแสบจำเป็น
22-05-2009, 15:52
มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒)
เมื่อพวกเรานั่งเฝ้าหลวงพี่เอกกันที่บ้านมิ่ง (อันที่จริง น่าจะบอกว่า
เรานั่งฟังเทศน์ แต่บังเอิญว่า ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เทศน์ :154218d4:)

จู่ ๆ หลวงพี่เอกก็บอกว่า "มีคนว่าเราปล้นว่ะ"

ญาติโยมก็หูผึ่ง ถามหลวงพี่ว่า "จริงหรือเจ้าคะ? "

หลวงพี่ก็อธิบายว่า "ก็ในกระเป๋ามีเงินอยู่ ๓,๐๐๐ บาท
ถวายเงินทำบุญแค่ ๒๐๐ บาท หนี้ก็ไม่มี อะไรก็ไม่ต้องใช้
จะเก็บเงินไปซื้อเครื่องสำอาง เราก็ปล้นมันนะสิ"

นั่น.. เท่ได้อีก หลวงพี่ขา... :baa60776:

หมายเหตุ วิธีปล้นของหลวงพี่เอกมีอย่างไรบ้าง กรุณาไปถามมิ่งได้ อิอิ
(ล่อให้มิ่งโพสต์ เผื่อจะได้ใบเหลือง ๆ แดง ๆ เพิ่มยอดอีกสักใบ ๒ ใบ)

เถรี
22-05-2009, 15:55
หลวงพ่อเล็กบอกว่า อ่านข่าวเจอที่เขาบอกว่า มส. (มหาเถรสมาคม) พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ดึงคนตกงานมาบวช สงสัยคราวนี้พระเต็มวัดแน่เลย

หลวงพ่อบอกว่า "อันที่จริงแล้ว ไม่ต้องดึง ถ้าเขามีศรัทธาเขามาเอง อย่างที่หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศบอกว่า ที่ไหนที่ชาวบ้านเขาพึ่งรัฐบาลไม่ได้ เขาก็จะมาพึ่งพระ"

เถรี
22-05-2009, 16:00
ปัจจุบันนี้มีคำพูดที่ว่า "อยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ไปถามพระ อยากรู้เรื่องธรรมะให้ไปถามโยม" ก็คือให้ไปถามฆราวาสแทนที่จะไปถามพระ แสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งศาสนาก็เปลี่ยนไปเยอะ

ทีนี้พี่ท้ายแถวเลยถามเกี่ยวกับเรื่องดังตฤณ หลวงพ่อก็บอกว่า "ของเขามีข้อดีตรงที่ว่า เขาทำของยากให้ง่ายลงได้ในระดับหนึ่ง ทำให้คนสนใจได้ในระดับหนึ่ง หนุ่ม ๆ แทนที่จะไปหัวหกก้นขวิดกับทางโลก แต่กลับมายืนต้านกระแสโลก ก็เรียกศรัทธาได้ในระดับหนึ่งแล้ว"

เถรีจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนเอาหนังสือของดังตฤณมาถวายหลวงพ่อเล็ก แล้วเขาก็ชมว่าดังตฤณเก่ง หลวงพ่อเล็กหันมาบอกกับเถรีว่า "กุ๋ย..จำเอาไว้นะ ฆราวาสที่เก่งจริงอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วันก็ตายแล้ว..!"

เถรี
22-05-2009, 16:59
หลวงพ่อเทศน์สอนพระที่วัดท่าขนุนว่า "การที่ทุกท่านพยายามตั้งมั่นอยู่ในความดี ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เป็นการทำเพื่อรักษาเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ อันมีหลวงปู่สายเป็นต้น และเป็นการทำเพื่อวัด เพราะเมื่อคนเห็นว่าพระเราดี วัดเราดี เขาก็แห่กันมาทำบุญอย่างที่เห็น

วัดอื่นมีเยอะแยะทำไมเขาไม่ไป ถามตัวคุณเองสิว่า วัดอื่นมีเยอะแยะทำไมไม่ไปบวช ทำไมมาเลือกวัดท่าขนุนนี้ และท้ายสุดการรักษาความดีเป็นการช่วยพระพุทธศาสนาด้วย เมื่อคนหันมาพึ่งพระพึ่งวัดแล้วดีมีความสุข เขาก็จะพากันมามากขึ้น ๆ เข้าถึงความดีกันมากขึ้น ๆ ทั้งพระพุทธศาสนาและประเทศชาติก็จะเจริญขึ้น"

เถรี
22-05-2009, 22:57
http://www.khonkaenlink.info/share/thumb.php?id=3C1C_4A16C8F5 (http://www.khonkaenlink.info/share/share.php?id=3C1C_4A16C8F5)

เถรีชอบภาพนี้เป็นพิเศษค่ะ ในรูปพระที่นั่งคือครูบาเหนือชัย โฆษิโต สำนักถ้ำป่าอาชาทอง จ.เชียงราย (พระที่บิณฑบาตด้วยการขี่ม้าข้ามเขา)
ถ้าจำไม่ผิดในรูปคือ พระอาจารย์ท่านได้ถวายมีดหมอให้แก่ครูบา

พระอาจารย์เคยพูดถึงครูบาเหนือชัยว่า ครูบาเหนือชัยท่านบวชมาเพื่อปฏิบัติ แต่ทำไปทำมาไม่ก้าวหน้า ท่านเลยตัดสินใจว่า นั่งสมาธิให้มันตายไปเลยดีกว่า..! คนตัดอาลัยในร่างกายได้ มักจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น พอถึงวันที่ ๗ หลวงพ่อฤๅษีก็มาชี้แนะหนทางการปฏิบัติให้ ต่อมาหลวงพ่อสดวัดปากน้ำก็มาสอนในสมาธิอีก"

เพราะฉะนั้นพระระดับนี้เรื่องการทรงความดีไม่ต้องพูดถึง

ครูบาเหนือชัยเคยขอให้พระอาจารย์ " จับ " ประคำประจำตัวให้ เนื่องจากประคำเส้นนี้ทำจากแก่นมะขาม เคยมีผู้ไม่เกรงใจขอไปหลายครั้ง แต่ต้องเอามาคืนทุกครั้ง..! ส่วนจะด้วยเหตุผลใดที่เขาต้องเอามาคืนก็ต้องไปถามพระอาจารย์เอาเองค่ะ อิอิอิ

เถรี
23-05-2009, 00:19
หลวงพ่อบอกว่า "..ถ้าเราพึ่งตัวเองได้เมื่อไร จึงจะมีที่พึ่งที่แท้จริง.."

เถรี
23-05-2009, 00:20
หลวงพ่อบอกว่า การอ่านธรรมะมันแค่ศึกษาทฤษฎีเท่านั้น เป็นแค่การ "จำได้" เรียกอีกอย่างว่า"สัญญา"
ต้องเอามาปรับใช้งานได้กับทุกสถานการณ์ ถึงจะเรียกว่า "ทำได้" ถ้าอย่างนั้นถึงจะเป็น "ปัญญา"

เถรี
23-05-2009, 00:24
ครั้งก่อนท่านอาจารย์เมตตาแย้มให้ฟังถึงอานิสงส์จากการบำเพ็ญเพื่อพุทธภูมิ ช่วงหนึ่งครั้งท่านยังอยู่วัดท่าซุง
คนมาหาจนล้นหลาม ท่านอาจารย์เห็นท่าไม่ดี ขอฝากไปกับพระโพธิสัตว์ใหญ่ท่านหนึ่ง ปรากฏหายเรียบเลย

ส่วนที่ยังเกาะอยู่แถวนี้ กราบเรียนถามว่าหวงเอาไว้หรือเปล่า ท่านตอบว่า "มันหน้าด้าน ไล่เท่าไรไม่ยอมไป !!"

เถรี
23-05-2009, 00:27
แต่บางรายก็แห่กันมาแต่เช้า ทั้ง ๆ ที่บ้านอนุสาวรีย์เปิดตอนแปดโมงเช้า ด้วยคิดว่าการได้กวนพระก่อนเวลานี่เป็นความสุขของเขา พอเขากลับกันไปท่านก็หันมาเปรย ๆ ว่า "ข้าจะตายเร็วก็เพราะอย่างนี้แหละ..!"

เถรี
23-05-2009, 00:31
เดี๋ยว...ยังมีอีก พวกที่ชอบมาตอนจวนจะสามทุ่มเรียกว่าไม่มืด..ออกจากบ้านไม่เป็น (พระอาจารย์ท่านว่า..พวกชอบออกพร้อมผี.. !) แล้วพยายามลากจะให้ท่านอยู่เลยสามทุ่มให้ได้ บางทีท่านไล่แล้วไล่อีกก็ทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่ยอมกลับ พวกนี้ยังไม่รู้หรือรู้แต่แกล้งโง่ว่า ..

คนที่นั่งมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้านั้น ตอนใกล้สามทุ่มพร้อมจะพับลงไปได้ตลอดเวลา ท่านว่าบางทีแรงจะนั่งยังไม่มี มันยังเซ้าซี้ถามนั่นถามนี่อยู่ได้ พออ้าปากตอบมัน ตัวก็จะพับลงไป..! หากตัวเองเจอแบบนี้วันไหนจะรู้สึก..!

สังเกตว่า เวลาพระอาจารย์ไปกราบพระผู้ใหญ่ ท่านจะรีบเข้ารีบออก จนบางทีเหมือนกับเสียมารยาทท่านบอกว่า กลัวกรรมตามสนอง..!

เถรี
23-05-2009, 23:04
พระอาจารย์ท่านเตือนพระว่า "อย่าคิดว่าเป็นพระแล้วมารจะแทรกไม่ได้ ขนาดพรหมยังโดนมารแทรกได้เลย

..ดูอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ท้าวผกาพรหมฟังนั่นปะไร ท้าวผกาพรหมท่านมีบุญมาก ตายจากพรหมก็เกิดเป็นพรหมต่อหลายครั้งเข้าจนท่านคิดว่าท่านเป็นอมตะ พอพระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟังว่าการเป็นพรหมนั้นไม่เที่ยง ยังมีการแตกดับ ก็ยังอุตส่าห์มีพรหมองค์หนึ่งลุกขึ้นมาเถียงพระพุทธเจ้าว่าไม่จริง ผกาพรหมนั่นแหละเลิศสุดแล้ว

ท่านยังยกตัวอย่างพระองค์หนึ่งในวัดท่าขนุน ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นที่รักของคนทั่วไป ถึงคราวกรรมเข้า วันนั้นอาจจะเพราะศีลพร่องไปหน่อยด้วย มารเข้าสิงใจ ท่านน้อยใจที่โดนเพื่อนในวัดต่อว่า เลยไปผูกคอตาย

ฉะนั้น ขอให้ทุกท่านพยายามระมัดระวังสติให้ดี รักษาศีลให้ครบถ้วน เพื่อจะช่วยป้องกันไม่ให้พวกมารเข้าแทรกใจ"

เถรี
23-05-2009, 23:06
พระอาจารย์ท่านสารพัดจะสรรหากีฬาสมาธิมาให้ลูกศิษย์เปลี่ยนบรรยากาศอยู่เสมอ ถ้าใครมาฝึกกรรมฐานที่บ้านอนุสาวรีย์คงจะทราบดี ที่เด็ดกว่านั้น..ขนาดเครื่องปั่นจักรยานท่านยังใช้ฝึกสมาธิได้เลยค่ะ

เรื่องมีอยู่ว่า มีลูกศิษย์ถวายเครื่องปั่นจักรยานมาให้ท่านออกกำลัง เนื่องจากหมู่นี้ท่านเรียนหนักจนไม่มีเวลาเดินธุดงค์ ท่านเมตตาเล่าให้นางมารร้ายกับพริกขี้หนูฟังว่า ท่านปั่นยังไงหัวใจก็เต้นช้า เพราะสภาวะที่ทรงฌานอยู่เป็นปกติ อ้าว! แล้วร่างกายจะแข็งแรงหรือคะ? นางมารร้ายสงสัย ก็ต้องแข็งแรงสิ คนแข็งแรงหัวใจจะเต้นช้า

ถ้าเราถอยเข้าออกฌานได้คล่อง ผลของชีพจรจะเป็นตัวยืนยันค่ะ เช่นจาก ๑๐๐ ลดลงเหลือ ๕๐ ทั้งที่ยังถีบอยู่ และจาก ๕๐ เพิ่มเป็น ๘๐ ทั้งที่หยุดถีบไปแล้ว เป็นต้น

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ท่านอาจารย์ก็ทำเอาเครื่องปั่นร้องปี๊ดไปเลยค่ะ พอเราไปมุงดูกันก็ตกใจ ทั้ง ๆ ที่เท้ายังปั่นอยู่แต่ชีพจรวัดได้ศูนย์ค่ะท่านผู้ชม น่าสงสารเครื่องปั่นจริง ๆ เลยนะคะ

นางมารร้ายเลยรู้แล้วว่า คราวหน้าคราวหลัง ใครมาโม้ว่าได้ฌานสี่ จะขอวัดชีพจรก่อนเลยค่ะว่าหยุดเหลือศูนย์ได้หรือเปล่า..อิอิ หวังว่าข้อมูลนี้คงช่วยขจัดปัญหาที่ถกเถียงกันได้หลายกรณีนะคะ

เถรี
23-05-2009, 23:09
พระอาจารย์ท่านว่า "ยกช้างเสี่ยงทายที่พระพุทธบาท จ.สระบุรี ยังไม่มีเรื่องอะไรที่ถามแล้วไม่สำเร็จ "

เถรี
23-05-2009, 23:11
ในงานพิธีพุทธาภิเษกเหรียญทำน้ำมนต์ ก่อนการบวงสรวง พระอาจารย์มีการปรารภถึงพระคาถา บทหนึ่งซึ่งเป็นของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ใช้สำหรับทำน้ำมนต์เพื่อประพรมหรือภาวนา ให้เป็นมงคล แก่การเดินทางปลอดภัย

พระคาถาว่าดังนี้
อิติ สุกขติ สุกขโต อิติ สุคติ สุคโต

เถรี
23-05-2009, 23:14
บางคราวเราจะเห็นโศกนาฏกรรมที่มีคนตายพร้อมกันหลาย ๆ คน เช่น เครื่องบินตก พระอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นเพราะเขาทำกรรมร่วมกันมา

แต่หลาย ๆ ครั้งเราจะพบว่ามีคนที่รอดตายราวปาฏิหาริย์ ซึ่งพระอาจารย์บอกว่าไอ้เจ้านี่มันไม่ได้ทำกรรมร่วมกับพวกเขาไว้ เลยรอดมาได้

ฉะนั้น ท่านที่กังวลว่ากรรมตัวเองจะพลอยเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างด้วยนี่...เลิกคิดได้เลยค่ะ กรรมใครกรรมมัน ส่วนที่เขาได้รับก็เป็นของเขาเองซึ่งอาจจะเคยร่วมทำบาปพร้อมกันกับเรามา ส่วนใหญ่คนเกิดมาครอบครัวเดียวกันนี่ก็มักจะทำกรรมมา คล้าย ๆ กันแหละค่ะ ไม่เช่นนั้นจะมาเจอกันได้อย่างไร

เถรี
26-05-2009, 10:15
หลวงพ่อเคยบอกว่าพอเลยเวลาบ่ายสองไปแล้ว นักปฏิบัติควรงดพวกอาหารที่หวาน ๆ เพราะว่าอาหารหวานนั้นจะมีผลไปทำให้ร่างกายเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน และจิตเกิดความฟุ้งซ่านได้ง่าย

ตัวแสบจำเป็น
26-05-2009, 10:37
หลวงตาวัชรชัยบอกว่า ให้เราหัดคิดเข้าสูตรไว้
เพราะถ้าไม่เข้าสูตรไว้ จะไม่ทันกิเลส เวลากิเลสมา
เราจะคิดไม่ทันมัน

สไบเงิน
26-05-2009, 10:54
หลวงตาวัชรชัยบอกว่า ให้เราหัดคิดเข้าสูตรไว้
เพราะถ้าไม่เข้าสูตรไว้ จะไม่ทันกิเลส เวลากิเลสมา
เราจะคิดไม่ทันมัน

สูตรอะไรจ๊ะ?

ว่ามาให้ครบ มาให้อยากแล้วจากไป เดี๋ยว... ไม่สวย

สายท่าขนุน
26-05-2009, 23:14
สูตร "ของใครของมัน" จ้ะ หลวงตากล่าวขึ้นเรื่องคิดเข้าสูตรนี้ตอนตอบคำถามที่มีน้องถามเรื่องความโกรธ
หลวงตาท่านจึงยกมรณานุสติมาเทศน์ รายละเอียดต้องรอแบบแสบ ๆ จาก"ตัวแสบ"
ที่ตอนนี้ "จำเป็น" ต้องมาเล่าเพราะมีเสียงหลวงตา ไม่อย่างนั้นอาจโดนรุม... อ้อนวอน:af48944b:

ช่วยน้องหยกหน่อย เพราะน้องขออนุญาตนำเสียงหลวงตาไปเผยแพร่ หลวงตาท่านเมตตาให้ถอดใจความ
เพราะหากฟังแต่เสียง ไม่เห็นท่าทางที่หลวงตาทำประกอบแล้ว อาจตำหนิหลวงตาได้:cebollita_onion-08:... "บรื๋อ"

โมทนาน้องเขาก่อนเข้าเรื่อง "คิดเข้าสูตร" อยากจะชวนท่านทั้งหลาย มาแบ่งปัน
การคิดเข้าสูตร คือ
คล้ายว่าเราโดนอะไรกระทบ ต้องคิดอย่างไรจึงไม่รับกระทบนั้นให้เป็นกิเลส
เข้าเป็นสูตรของเราไว้จนคล่อง (คิดทันกิเลส)
น่าจะคล้ายการท่องสูตรคูณแล้วคิดเลขเร็ว
(ขอออกตัวก่อนว่า คนชวนนี้ไม่เคยท่องสูตรคูณ... จึงชวน จะได้ฝึกคิดเข้าสูตร)

มาลองผูกสูตรสักเรื่อง ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันก่อน เช่น

คนขับรถปาดหน้า... โกรธ ?...คิด...
คนเจอกันทุกวันยังไม่สนใจทักทาย "ไอ้นี่มาจากไหน:332f960b: ไม่รู้จักกัน เจอกันเดี๋ยวเดียว จะมาทำให้เราโกรธได้"
ยังจะ...โกรธ...ก็มัน...ปาด...:215ad82f:
"เขาจะรีบไปตาย ก็ปล่อยเขา" หรือ "เขาคงนัดยมบาลไว้ เดี๋ยวไม่ทัน"...
อาจจะฟังดูแรงไปสักนิด แต่ตอนผูกสูตรก็คิดเป็นพื้นฐานเสียก่อนว่า
ปล่อยเขาไปเขาก็ตายอยู่ดี โกรธเขาก็ชั่วที่เรา (รอท่านตัวแสบนะเรื่องนี้)
เอาเป็นว่าผูกประโยคหรือสูตรของเราไปพลาง พอให้เรานึกได้แต่ไม่ใช่ว่าด้วยความโกรธ

นั่งฟังธรรมกับพระ...ฟุ้ง ?...คิด...
"เป็นบุญจริงหนอ":d16c4689: ได้เกิดมาเป็นคน เป็นพุทธศาสนิกชน ยังได้นั่งฟังพระเทศน์อยู่อย่างนี้
(ติดใจวิธีนี้ ที่ได้มาจากหลวงพ่อสมเด็จ เพราะเวลาฟุ้งมาก ๆ กดด้วย พุทโธกับลมหายใจ ไม่อยู่)
หากยังฟุ้งต่อ...ต้องนี่เลย..."ไอ้ควาย":onion_sadd: มีบุญส่งมาจนได้มานั่งฟังธรรมอยู่อย่างนี้ ยังจะโง่ต่ออีก
(ศัพท์นี้ไม่ใช่คำหยาบสำหรับตัวเอง เพราะจำติดมาจากเรื่องเล่าของหลวงตา จึงถือเป็นศัพท์สูงใช้เตือนตัวเอง)

โลภมากอยากได้เงินทองแบบ "รวยเละ"...คิด...
"จะเก็บไปใช้ถึงชาติหน้าหรืออย่างไร":onion_no:

ที่จริงจะบอกว่า ไปท่องคำเด็ดครูบาอาจารย์ที่ "โดนใจ" ตรงกับกิเลสเราเอาไปคิดเป็นสูตรของเราดีที่สุด เช่น
"มารดลใจ...ก็เพราะเราโง่มาก ถ้าเราชั่วน้อย เขาก็ดลใจได้น้อย":6f428754:

ตัวแสบจำเป็น
27-05-2009, 12:28
เจี๊ยก!!! อ่านแล้วร้องจ๊ากเลย.. ไม่รับปากค่ะพี่
ต้องรีบมาบอก เดี๋ยวนิ่งเงียบแล้ว ท่านจะถือว่า
รับปากโดยดุษณี

ส่วนเรื่องเข้าสูตร.. เข้าใจว่าแต่ละคน ก็มีสูตรของ
ตัวเองอยู่แล้ว จากประสบการณ์ของหยกโดยส่วนตัวนั้น
พบว่า การแก้อารมณ์ใจไม่ใช่เรื่องยาก(แต่ไม่ได้หมายความว่าง่ายนะ)
เท่ากับการที่เรา มักจะไม่มีสติคอยรับรู้ว่า นี่นะ.. กิเลส
มันเกิดขึ้นแก่ใจเราแล้วนะ กว่าจะรู้ตัวอีกที มันก็เจริญ
งอกงามในใจเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อทิสสมานกายเรา
กลายเป็นสัตว์นรกเรียบร้อยแล้ว :onion_no:

เถรี
28-05-2009, 11:29
หลวงพ่อสมปองท่านบอกว่า พวกที่มีอาชีพแต่งตัวโป๊ ๆ สวย ๆ อวดชาวบ้าน อย่างเช่นพวกดารา พวกนี้ตายไปแล้วจะตกนรก เพราะว่าทำให้คนเห็นเกิดกามราคะ เกิดกำหนัด ไปตัดความดีของเขา

เถรี
28-05-2009, 21:15
หลวงพ่อสมปองได้เทศน์สอนในเรื่องอารมณ์การปฏิบัติเอาไว้ว่า

" อารมณ์ต้น อารมณ์กลาง อารมณ์ปลาย อารมณ์ต้นมันต้องเกาะเพื่อการระวัง พออารมณ์กลางเราจะรู้สึกเริ่มชินเป็นฌาน พอเข้าสู่อารมณ์ฌานก็จะเป็นอารมณ์ปล่อย

เราก็ต้องทำตั้งแต่ต้นไปก่อน ไม่ใช่ไปจับอารมณ์ปลายเลย 'ฉันไม่เกาะ ฉันปล่อยเลย' มันไม่ได้ เดี๋ยวมันเผลอ เพราะพื้นฐานมันไม่แน่น ไม่เหมือนคนที่เริ่มตั้งแต่ต้นมา เขามีการสั่งสมความเข้าใจทีละน้อย ๆ จนแน่น เมื่อมันแน่นแล้วมันล้มยาก แต่ถ้าเราไปจับอารมณ์ปลายเลยมันไม่รอด อย่างเก่งก็หลงไป คนจึงหลงความดีง่ายก็เพราะอย่างนี้ การปฏิบัติต้องไล่จากเบื้องต้น ไปเบื้องกลาง ไปเบื้องปลาย เป็นลำดับของมันแบบนี้

เราไม่ใช่คนที่ไปเกิดในสมัยที่คนมีกำลังบุญสูง สมัยนี้คนมีกำลังบุญต่ำ ทำได้ช้า บาปมันมีกำลังใหญ่ ความจำเราก็เสื่อม ปัญญาก็พลอยเสื่อม ฉะนั้น จะให้เราทำปุ๊บเป็นอรหันต์ปั๊บมันไม่ง่ายเหมือนสมัยพุทธกาล สมัยนี้ต้องถือข้อวัตรปฏิบัติเป็นลำดับ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดไปก่อน อย่าไปข้ามตอนมัน

ถึงเราจะรู้สึกเข้าใจในคำสอนได้มั่นคงดี แต่อาจจะฉาบฉวยไป
การที่เราเอาข้อวัตรปฏิบัติมาพูดว่า 'สบาย ช่างมัน ปล่อยวางไปเลย' แบบนั้นไม่ได้ นั่นเป็นอารมณ์ปลายของเขา มันทรงได้ไม่นานเดี๋ยวก็เสื่อมเพราะไม่มีพื้นฐานความเข้าใจมาก่อน เพราะฉะนั้นความเข้าใจต้องเริ่มต้นจากนี้ แนบแน่น ๆ ไป"

เถรี
29-05-2009, 00:37
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "บุคคลที่ยิ่งปฏิบัติได้สูงเท่าไร กำลังใจยิ่งละเอียดเท่านั้น ในเมื่อกำลังใจท่านละเอียดขนาดนั้น ท่านก็เลยทำอะไรเรียบร้อยไปด้วย"

เถรี
29-05-2009, 00:42
หลวงพ่อบอกว่า "งูมันไม่ชอบมะนาว เขาบอกเวลาเข้าป่าให้พกมะนาวไว้ ก่อนนอนให้บีบมันช้ำ ๆ หน่อย ให้กลิ่นมันออก งูจะได้ไม่เข้าใกล้ "

เถรี
29-05-2009, 00:45
หลวงพ่อบอกว่า "พวกเราเป็นนักปฏิบัติ ให้ระวังเอาไว้ตรงจุดนี้ เพราะว่าเวลาหิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย ง่วงนอน ไม่ได้พักผ่อน กำลังใจของเราถ้าไม่ทรงตัวจริง ๆ จะหลุดได้ง่าย แล้วพอหลุดได้ง่าย อารมณ์ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ จะแทรกได้ง่าย"

เถรี
29-05-2009, 00:48
หลวงพ่อบอกว่า "คาถาเงินล้านมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่าอย่าทำเพราะอยากได้ ให้ทำเพราะว่าเป็นของดีที่สุดครูบาอาจารย์ให้ไว้ หน้าที่ของเราก็คือรักษาสมบัติครูบาอาจารย์ด้วยการท่องบ่นภาวนาเป็นปกติ "

เถรี
29-05-2009, 01:13
หลวงพ่อบอกว่า "เรื่องกรรมฐาน การบรรลุมรรคผล ไม่ต้องไปเที่ยวถามคนอื่น ถ้าเราทำจริงมีสิทธิ์ทุกคน เราจะต้องมั่นใจว่าเราคือหนึ่งในผู้ที่จะบรรลุมรรคผล ไม่ใช่ไปเที่ยวถามคนนั้นคนนี้ ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะขึ้นอยู่กับการทำของเรา"

เถรี
29-05-2009, 01:18
หลวงพ่อเล็กบอกว่า ลูกแก้วจักรพรรดินั้นให้ผลในเรื่องลาภโดยตรง ใช้คู่กับคาถาเงินล้าน ถ้าจะเอาให้ได้ผลจริง ๆ เลย ให้ควบกรรมฐาน โดยจับภาพลูกแก้วแล้วสวดคาถาเงินล้านไปพร้อม ๆ ด้วย จะยิ่งดีไปใหญ่

เถรี
29-05-2009, 20:51
หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชธรรมโสภณ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี สอนหลวงพ่อเล็กว่า "จำไว้นะคุณ ผู้ใหญ่ให้อะไรรีบรับไปเถอะ เราจะเป็นคนน่ารักในสายตาของท่าน"

หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพอท่านให้อะไร ขนกลับหมด ผู้ใหญ่ให้ของเพราะท่านมีเหลือเฟือแล้ว เราไปปฏิเสธประเภทผมพอแล้ว ผมไม่อยากได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนข้อหาหมั่นไส้ เพราะกำลังใจของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่ถ้าเรารีบกระตือรือร้นรับ จะเห็นเป็นบุญคุณเลยที่ท่านให้มา เห็นความดีของท่าน มันก็กลายเป็นว่าทำตัวน่ารักไป ท่านสอนเคล็ดลับของการอยู่ร่วมกับคนอื่น จำไว้ ผู้ใหญ่ให้อะไรรีบรับ"

เถรี
29-05-2009, 21:06
หลวงตาวัชรชัยเคยถามหลวงพ่อเล็กว่า "เล็ก เอ็งทำกำลังใจอย่างไรวะ งานคล่องดีเหลือเกิน"

หลวงพ่อเล็กก็บอกว่า "ผมตั้งใจจะนอน"

เถรี
29-05-2009, 21:12
หลวงพ่อบอกว่า "มืดมันคู่กับความสว่าง ตอนที่มืดที่สุดก็คือตอนที่ความสว่างใกล้จะมาถึง อันนี้เป็นสัจธรรมเลย ไม่ใช่เรื่องที่พูดให้เท่ ๆ ตอนที่ทุกข์ยากลำบากก็จะมีความสุขรออยู่ข้างหน้า ตอนล้มเหลวก็ขอให้รู้ว่าความสำเร็จมันอยู่ไม่ห่าง"

เถรี
19-06-2009, 08:24
หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ได้กล่าวกับหลวงพี่เอ๊ด วัดเขาวง ว่า "องค์ที่ทำงานหนักที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า ท่านนอนน้อย ทำงานมาก ทรงโปรดคนด้วยเมตตา ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หลวงพ่อฤๅษีท่านก็ทำงานหนัก รู้ใจกัน...จนโดนด่าว่ามาด้วยกันก็มาก หลวงตานี่..ก็รู้จักท่านมานาน ท่านก็ทำงานมาก เป็นพระทำงาน ตัวท่าน(หมายถึงหลวงพี่เอ๊ด) อายุยังน้อย ยังมีแรงอยู่ ต้องทำงานมาก ๆ

งานของพระก็คือ เจริญศรัทธา ต้องทนทุกอย่างให้ได้.. คนรักคนเกลียดนี่..ต้องทนได้ ทำทุกอย่างเพื่องานพระพุทธศาสนาเขตที่เราอยู่ดูแล "ให้เป็นสถานที่ที่คนทั้งหลายเขาเอาทุกข์มากองทิ้งได้"

เถรี
19-06-2009, 08:27
นอกจากนี้หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านยังได้สอนอีกว่า "อย่าเดินนอกรอยครูบาอาจารย์....ไม่ควรมีมานะถือว่าเราเก่งหรือดีกว่าใคร...ให้มีปกติทนได้ทุกอย่าง! เพราะเราเป็นนักบวช ต้องขอบคุณตัวเองที่พามาถึงจุดนี้ได้ จุดที่มนุษย์พึงปรารถนา ได้บวชได้เรียนภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์"

เถรี
19-06-2009, 08:30
หลวงตาวัชรชัยสอนว่า "คนที่ไม่มีความอดทนต่อเรื่องต่าง ๆ จะไปต้านทานแรงของกิเลสได้อย่างไร อย่าไปคุยเรื่องฌาน สมาบัติ หรือคุณวิเศษอะไรเลย แค่ยกตัวเองขึ้นจากที่นอนมาทำกิจวัตร ทำความเพียร ยังทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงความเข้มแข็งของกำลังใจอื่นหรอก"

เถรี
19-06-2009, 13:00
หลวงตาวัชรชัยบอกว่า "พระโสดาบันจะเกิดเฉพาะในยุคที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เพราะใจของพระโสดาบันผูกพันกับพระพุทธเจ้า พระโสดาบันจะไม่เกิดในยุคที่ไม่มีพระศาสนา ท่านเกิดมาต้องได้ฟังธรรมเสมอ"

เถรี
19-06-2009, 13:01
หลวงตาสอนว่า เวลามองอะไรควร 'มองโดยปรมัตถ์' คือ ไม่มีอะไรเป็นของเรา ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่เหลืออะไรที่เป็นตัวเราของเรา

เถรี
19-06-2009, 22:26
ตอนต้นเดือนที่ผ่านมา ช่วงวันเสาร์เถรีใส่เสื้อตัวสีเขียวไปบ้านอนุสาวรีย์ ไปถึงก็ก้มกราบท่าน ปรากฏว่ากราบไม่ทันครบ ๓ ครั้ง หลวงพ่อพูดว่า "กุ๋ย เสื้อตัวนี้สวยนะ" ทักแบบนี้ เป็นเรื่องแล้ว....

ท่านก็พูดต่อว่า "วันหลังใส่เสื้อที่มันสวยน้อยกว่านี้หน่อยนะ หนุ่ม ๆ ที่ตบะยังอ่อนอยู่ เห็นเข้าเดี๋ยวกระเจิง"

แล้วหลังจากนั้นท่านก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องสมัยที่ท่านยังเด็ก ท่านได้เรียนวิชาลีลาศ แล้วต้องเต้นรำจับคู่กับเพื่อนผู้หญิง ท่านบอกว่าตอนที่จับโดนเนื้อผู้หญิงครั้งนั้น อารมณ์สัมผัสมันติดอยู่ในความรู้สึกไปเป็นเวลา ๒-๓ วันเลย นานขนาดนั้นกว่ามันจะหาย

แล้วท่านก็ย้อนมาบอกเถรีว่า "เรื่องอย่างนี้บางทีเราไม่ได้เจตนา แต่กรรมมันเกิด"

สรุปก็คือ เสื้อสีเขียวของเถรีตัวนั้น เวลาปกติก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่ตอนก้มนี่สิคะ มันมีที่ให้น่าตำหนิ - -" วันหลังจะพยายามระมัดระวังให้มากกว่านี้ค่ะ ขอให้ทุกท่านดูเถรีเป็นตัวอย่าง แต่อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ

เถรี
19-06-2009, 23:31
หลวงตาวัชรชัยเล่าว่า "เคยเห็นพ่อ (หลวงพ่อฤๅษี) ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าที่บ้านสายลม พ่อลุกขึ้นครองจีวรลงไปสงเคราะห์เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มานั่งอธิษฐานขอพบ พ่อลงไปทำงานให้ลูกสาวตัวน้อยอิ่มใจ สบายใจ แล้วพ่อก็ขึ้นมานอนต่อ จำน้ำคำพ่อได้ติดใจนัก"

"แกจำไว้ หากมีดวงจิตแม้ดวงเดียวที่ปรารถนาธรรมะเพื่อพระนิพพาน เราจะต้องให้ชีวิตสงเคราะห์เขาไป แต่ถ้าใจคนที่ไม่ต้องการพระธรรมความหลุดพ้น แม้จะมากตั้งพันคนหมื่นคน อย่าไปตามใจเป็นขี้ข้าเขา.."

เถรี
21-06-2009, 15:14
หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนว่า "ดูตัวอย่างพระพุทธรูป ทำใจของเราให้เหมือนใจพระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านยิ้มตลอดเวลา หนาวก็ยิ้ม ร้อนก็ยิ้ม ใครเขาเอาอะไรไปถวายก็ยิ้ม เขาไม่ถวายก็ยิ้ม เขาด่าก็ยิ้ม เขาชมก็ยิ้ม พระพุทธรูปไม่มีจิตวิญญาณ แต่ทว่าเราที่มีจิตวิญญาณควรทำอาการของใจคือวางเฉยเช่นเดียวกับพระพุทธรูป"

เถรี
21-06-2009, 15:17
ต้นเดือนที่ผ่านมาหลวงพ่อเล็กบอกว่า "เว็บวัดท่าขนุนเป็นเว็บเขี้ยวลากดิน ผิดแม้แต่ตัวเดียวก็โดน ถ้าไม่ยอมใช้เลขไทยก็โดน เพราะฉะนั้นไปฝึกภาษาไทยได้ในเว็บวัดท่าขนุน"

เถรี
21-06-2009, 15:25
หลวงพ่อเคยบอกว่า "ถ้าความดีมีไม่พอ พระช่วยไม่ได้ "
เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องสะสมทุนความดีไว้เยอะ ๆ ค่ะ

เถรี
22-06-2009, 11:12
หลวงพ่อเล็กเคยกล่าวเอาไว้ว่า " แม้แต่พระอรหันต์ก็มีความสามารถไม่เท่ากัน ที่เท่ากันคือความสามารถในการละกิเลส ดังนั้น การรู้เห็นอาจจะต่างกันได้ ส่วนการพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้อื่นถือว่าเสียมารยาท ยิ่งเป็นฆราวาสยิ่งไม่ควรแก่การเชื่อถือ.."

เถรี
22-06-2009, 12:29
หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า "จะบูชาพระองค์ไหนปางไหน ก็พระพุทธเจ้าเหมือนกัน อานิสงส์เหมือนกัน"

"ถ้ากำลังใจเรายึดในพระรัตนตรัยมั่นคงพอ ที่อยู่ในตู้นี่(ท่านชี้ที่ตู้วัตถุมงคลบ้านอนุสาวรีย์) องค์เดียวก็เหลือแหล่....ถ้าไม่มั่นคง....จะพกไปเป็นกล่องให้อุ่นใจก็ยังไหว..."

เถรี
22-06-2009, 12:42
หลายท่านคงเคยได้ยินหลวงพ่อพูดประโยคหนึ่งอยู่บ่อย ๆ นั่นก็คือ "จงวางตัวให้เป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ"

"จงวางตัวให้เป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ...ให้มีความเกรงใจเหมือนรู้จักกันใหม่ ๆ ..พวกที่ถือว่าเป็นญาติเป็นคนสนิทแล้วทำอะไรไม่เกรงใจ....ระวังจะโดนเข้าสักวัน

การจะขออนุญาตก็ต้องขอก่อนทำ..ไอ้ที่ทำแล้วมาขอ....นั่นมันไม่มีมารยาท ทำแล้วค่อยมาบอก....มันคือผู้ใหญ่มาบอกกล่าวเด็กให้รู้ แก่แล้วก็ให้มันรู้จักคิดกันบ้าง....ไม่ใช่แก่แล้วแก่เลย ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลยสักอย่าง

พวกเรานี่พอไม่โดนด่าแล้วมันไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักมีมารยาทกันเลย อย่างพวกเอาซองที่อื่นมาเรี่ยไรนี่ก็เหมือนกัน มันไม่เคยรู้ตัวเลยว่าทำอย่างนี้มันไม่มีมารยาท มันเห็นเราไม่ว่าอะไรก็ยิ่งเอาใหญ่ จำเอาไว้เลยนะว่างานของที่หนึ่งอย่าเอามาปะปนกับงานอีกที่หนึ่ง ถ้าไปทำอย่างนี้ที่อื่นเขาจะเคืองเอาว่าทำให้เขาเสียรายได้.....ถึงพระจะไม่เคืองแต่ลูกศิษย์ลูกหาเขามีเขาจะเคือง..บาดหมางใจกันเปล่า ๆ

จริง ๆ แล้วหลวงพ่อ(ฤๅษี)ท่านอายุขัยยังอีกตั้งนาน แต่ก็เพราะไอ้ลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักคิดไม่รู้จักพัฒนา ตัวเองนี่แหละ ท่านเลยไม่รู้จะแบกสังขารแบกโรคไปทำไม..อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์..ไปดีกว่า"

บางรายตั้งใจสร้างวัตถุมงคลมาถวายพระอาจารย์ แต่ไม่ได้บอกกล่าวท่านก่อน มาบอกเอาตอนเสร็จแล้ว ท่านก็พูดว่า "ส่วนใหญ่เป็นเหมือนกันหมด สร้างเสร็จแล้วค่อยมาบอก จะด่าแม่มัน แม่ของมันก็ยังไม่รู้เรื่องเลย..! "

ดังนั้น ก็คือ จะทำอะไรควรพินิจพิจารณาให้รอบคอบและกราบเรียนขออนุญาตจากท่านก่อนจะดีกว่าค่ะ

เถรี
24-06-2009, 14:21
ตอนเรียนที่เชียงใหม่ เถรีได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อบุญรัตน์ที่วัดโขงขาว ท่านได้กล่าวว่า "อย่ามองว่าสิ่งที่อยู่บนโลกนี้เป็นของแปลก ให้มองว่าธรรมดา จริงอยู่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเป็นสิ่งประเสริฐ ล้ำค่า แต่ท่านได้นำสิ่งธรรมดามาสอนเรา สิ่งธรรมดาที่เป็นความจริง มีอยู่ตามธรรมชาติ"

ท่านยังกล่าวต่ออีกว่า " ฟันในปากเดี๋ยวมันก็หัก สายตาเดี๋ยวมันก็มัว มันเป็นอนิจจัง
ร่างกายที่เรามองเห็นอยู่ ถ้าเราลองมองข้างในดู จะรู้ว่ามีแต่ตับไตไส้พุง แต่ถูกเนื้อหนังอันหนาปกปิดไว้ ลองเอาพลาสติกใสมาหุ้มไว้สิ เอาพลาสติกใสหุ้มแทนเนื้อ ถ้าเห็นแบบนั้น แล้วยังจะรู้สึกชอบกันอีกไหม"

เถรี
24-06-2009, 14:22
มีคนเคยสงสัยว่าหลวงพ่อเล็กท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ท่านก็บอกไปว่า "ตาดีก็ดูเอาเอง" :154218d4:

หมูติดยันต์
24-06-2009, 15:21
มีคนเคยสงสัยว่าหลวงพ่อเล็กท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ท่านก็บอกไปว่า "ตาดีก็ดูเอาเอง" :154218d4:

ผมไม่สงสัยครับ :cebollita_onion-17:

เถรี
24-06-2009, 21:06
หลวงพ่อเคยเปรยให้เถรีฟังว่า บางคนพูดคุยถึงเรื่องการปฏิบัติ ตัวเองยังไม่ทันจะทำเลย มาชวนคนอื่นเขาคุยแลกเปลี่ยนการปฏิบัติเสียแล้ว

ท่านก็เปรียบว่า "เหมือนคนที่จะกินข้าว ยังไม่ทันได้กินเลยก็กลัวว่าตนเองจะอิ่ม ให้มันกินเสียก่อนเถอะ"

"ไม่ทันจะกินแล้วไปห่วงว่าอิ่มหรือเปล่านี่ เลิกไปเลย"

เถรี
24-06-2009, 21:46
หลวงพ่อได้เมตตาเล่าในเรื่องของศีลข้อกาเมว่า "ในเรื่องศีลข้อที่สาม บางทีเราคิดว่าเด็ก ๆ ไม่ผิดศีลข้อกาเม แต่บางทีเด็ก ๆ ผิดศีลข้อกาเมได้เยอะมาก ๆ เพราะคำว่า กามะ แปลว่า ความใคร่ แปลว่า ของอันเป็นที่รักก็ได้ เพราะฉะนั้นเด็กไปแย่งของเล่นที่เขารักเขาหวงมันผิดศีลข้อที่สามเลย "

มีคนถามหลวงพ่อเล็กว่า "แล้วอย่างนี้ถ้าพ่อแม่ทิ้งลูก ไม่รักลูก เราไปยุ่งกับลูกเขา ก็ถือว่าไม่ผิดศีลข้อที่สามอย่างนั้นสิครับ เพราะพ่อแม่ไม่ได้รักไม่ได้หวงลูกแล้ว"

หลวงพ่อเล็กท่านก็ตอบว่า "อย่าลืมว่ามีพ่อปกครอง มีแม่ปกครอง มีพี่ปกครอง มีน้องปกครอง มีพระราชาปกครอง มีผู้จองไว้แล้ว และท้ายที่สุดกระทั่งมีธรรมปกครอง คุณจะลอดไปรูไหน....ถามหน่อย? พระราชาปกครองในปัจจุบันนี้ก็คือกฎหมายคุ้มครอง ต่อให้เจ้าตัวเต็มใจคุณก็โดนข้อหาพรากผู้เยาว์อยู่ดี"

เถรี
24-06-2009, 21:57
เมื่อคราวงานเป่ายันต์ปี ๒๕๕๑ หลวงพ่อท่านกล่าวว่า

" การที่เราจะทำความดีอะไร ที่จะให้ในหลวงทรงมีกำลังใจที่จะอยู่นาน ๆ ก็คือ การที่เราสร้างความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ในหลวงทรงโปรดที่สุด เพราะพระองค์ท่านทรงปฎิบัติมาทั้งชีวิต"

เถรี
26-06-2009, 08:18
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว วันนั้นเป็นวันหวยออกพอดี หลวงพ่อเล็กถามว่า "งวดนี้หวยออกอะไร บังเอิญอาตมารู้ หลวงปู่สรวงมาบอก"

แล้วท่านก็เริ่มบรรเลงเล่าเรื่องราวของหลวงปู่สรวงให้ฟัง ว่าปกติคนที่มาหาหลวงปู่สรวงมักมาหาท่านอยู่ ๒ เรื่อง คือ เรื่องขอหวยกับเรื่องรักษาโรค

สำหรับในเรื่องหวยนี่ คนขอหวยถูกเป็นสิบล้านไปแล้วก็มี ส่วนเรื่องรักษาโรคคนเป็นเอดส์มาหาแล้วหายดีก็มี เพียงแต่ว่าวิธีการรักษาของท่านจะแปลก ๆ

เช่น มีผู้ชายคนหนึ่งพาเมียที่เป็นเอดส์มาให้หลวงปู่สรวงรักษา จู่ ๆ หลวงปู่หยิบขันน้ำขึ้นมา ผู้ชายก็คิดว่าหลวงปู่จะทำน้ำมนต์ให้ แต่ที่ไหนได้ หลวงปู่กลับเอาไปล้างเท้า ผู้ชายเลยรีบพาเมียของตนที่เป็นเอดส์ไปตรงใต้ถุน รองรับน้ำล้างเท้านั้น ทีนี้คนเป็นเอดส์มันจะพรุนตามร่างกาย พอโดนน้ำเข้าก็ปวดแสบปวดร้อน ร้องทรมาน เขาก็คิดว่าอาการคงจะหนักกว่าเดิม ปรากฏว่ากลับดีวันดีคืน จนกระทั่งเอดส์หายไปเลย.....

บางคนมาขอเรียนวิชากับท่านก็มี ท่านก็พาเข้าป่าหายไปเป็นปี ๆ คนที่ตามหลวงปู่ไปเล่าว่า บางทีตนเกิดอาการหิวขึ้นมา ในป่ามันจะมีอะไรให้กิน หลวงปู่สรวงหยิบใบไม้ยื่นมาให้กิน คนนั้นบอกว่ากินใบไม้ที่หลวงปู่ให้มาไม่กี่ใบเท่านั้น แต่ดันอิ่ม !!!

อีกอย่างก็คือ เป็นที่รู้ ๆ กันว่าในย่ามของหลวงปู่ไม่มีอะไร ทีนี้มีคนดันเกิดอาการหิวขึ้นมาอีก หลวงปู่สรวงก็บอกให้ยื่นมือเข้าไปในย่าม คนนั้นก็ล้วงไปไม่เจออะไร แต่พอชักมือออกมาจากย่ามเท่านั้น อิ่มเลย !!!

อีกอย่างหนึ่งของหลวงปู่สรวงก็คือ ชอบเอาเงินมาแจกลูกศิษย์ แจกชนิดที่ว่าโปรยให้เลย

เถรีเคยได้ยินมาว่า หลวงปู่สรวงท่านอายุยืนมาก บางคนบอกว่า ๕๐๐ ปีก็มี แต่ที่แน่ ๆ หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า หลวงปู่สรวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ค่ะ ที่หลวงพ่อเล็กท่านกล้าเล่าเรื่องของหลวงปู่สรวง ก็เพราะว่าหลวงปู่ท่านมรณภาพไปแล้ว

เถรี
30-06-2009, 04:46
หลวงพ่อเคยสอนว่า "จำไว้นะ การที่เราบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีก็ดี ลูกศิษย์อาจารย์เล็กก็ดี มันต้องพิสูจน์ได้ คือใครท้าอะไรมาต้องทำได้ ให้รู้ว่าเราเป็นศิษย์ยังได้ขนาดนี้ แสดงว่าอาจารย์เราย่อมเก่งจริง
ไม่ใช่อะไรก็ทำไม่ได้ คนอื่นเขาจะด่าครูบาอาจารย์เราได้"

เถรี
30-06-2009, 04:50
หลวงพ่อเล็กท่านสอนว่า "จำไว้ว่าอย่ากลัวผิด โบราณเขาว่าไว้ผิดเป็นครู เพราะถ้าผิดท่านจะบอกว่าเราผิดตรงไหน แล้วเราจะได้แก้ไขให้มันถูก

เคยอ่านประวัติของโทมัส แอลวา เอดิสัน คนคิดหลอดไฟ เขาทดลองแล้วทดลองอีก ทดลองผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี ลูกศิษย์เขาก็บอกว่า อาจารย์ล้มเหลวมาสองร้อยกว่าครั้งแล้ว เอดิสันพูดว่า อะไรล้มเหลว นี่ผมประสบความสำเร็จมาสองร้อยกว่าครั้งแล้ว รู้ว่าอันนี้ฉันใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไอ้สองร้อยกว่าอย่าง เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน หาใหม่อย่างเดียว "

เถรี
30-06-2009, 04:53
หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า "จริง ๆ แล้วกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง สามารถประยุกต์เข้าหาได้กันหมด เพียงแต่ว่าพวกเราจะมีความคล่องตัวเท่าไหน หลวงพ่อเองท่านก็อยากจะสอนหมด
เพียงแต่ท่านเห็นว่าการแยกสอนทีละกองมันจะง่ายกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่งจะดูว่าลูกศิษย์มีปัญญาแค่ไหน "

เถรี
30-06-2009, 04:56
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้โอวาทว่า
"การบวชน้อย....ถ้าตั้งใจทำดี ก็เปรียบเหมือนเพชร ถึงเม็ดเล็กแต่มีค่ามาก
การบวชมาก...ถ้าทำแต่ความเลว ก็เปรียบเหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่เท่าไรก็เหม็นมากเท่านั้น"

เถรี
15-07-2009, 12:01
หลวงพ่อกล่าวว่า "ถ้าผู้ใดสามารถทรงฌานสมาบัติได้ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แล้วรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ได้ จะสามารถทรงตัวเนกขัมมะบารมีนั้นได้ง่าย เนื่องจากว่ากำลังของฌานสมาบัติสามารถกดกามราคะให้ดับลงได้ชั่วคราว ดังนั้นผู้ที่จะทรงเนกขัมมะบารมีอย่างต่ำสุดต้องได้ปฐมฌานขึ้นไป ถ้าจะเอาให้ปลอดภัยทีเดียวต้องทรงฌานสี่ให้คล่องตัว ชนิดที่นึกเมื่อไหร่ก็ทรงฌานได้เมื่อนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วไม่สามารถจะต่อสู้กับมันได้"

เถรี
15-07-2009, 12:04
หลวงพี่เอกบอกว่า "เจริญในธรรม ก็วัดความก้าวหน้ากันตรงละกิเลสได้นี่แหละ"

เถรี
15-07-2009, 12:05
หลวงพ่อบอกว่า "ความจริงจังมันวัดได้ว่าบารมีของเรามันพร้อมหรือเปล่า มาถึงระดับนี้รักที่จะไปนิพพาน บารมีมันต้องพร้อม เพียงแต่เพิ่มความขยันเข้าไปหน่อยเท่านั้นเอง"

เถรี
15-07-2009, 12:07
หลวงพ่อบอกว่า "ความศรัทธาที่มั่นคงเชื่อมั่นจริง ๆ ถ้าเป็นแบบนั้น วัตถุมงคลก็จะมีอานุภาพมาก"

เถรี
15-07-2009, 12:16
ในเรื่องการปฏิบัติหลวงพ่อสอนว่า "ถ้าจิตยอมรับจริง ๆ มันจะไม่ดิ้นรน มันจะเห็นสภาพธรรมดา มันจะไม่เบื่อ ไม่หน่าย ไม่ได้อยากตาย แต่มันอยู่ในสภาพที่พร้อมที่จะตาย"

ท่านเคยบอกว่า พวกที่บ่นว่าอยากตายนั่น แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ว่านั่นเป็นอารมณ์โทสะ เพราะเกิดอารมณ์ไม่พอใจนั่นเอง

เถรี
18-07-2009, 11:28
หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า "จริง ๆ แล้วกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง สามารถประยุกต์เข้าหาได้กันหมด เพียงแต่ว่าพวกเราจะมีความคล่องตัวเท่าไหน หลวงพ่อเองท่านก็อยากจะสอนหมด เพียงแต่ท่านเห็นว่าการแยกสอนทีละกองมันจะง่ายกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่งจะดูว่าลูกศิษย์มีปัญญาแค่ไหน"

เถรี
18-07-2009, 11:31
หลวงพ่อสอนว่า "ไปตายข้างหน้าอย่างคนกล้า ดีกว่าถอยมาตายอย่างคนขลาด"

เถรี
18-07-2009, 11:33
หลวงพ่อเคยสอนว่า " ไม่หิวแล้วยังจะกิน ไม่ง่วงแล้วยังจะนอน ทำแบบนี้เมื่อไหร่จะได้(มรรคผล)ล่ะ "

เถรี
19-07-2009, 17:12
พระอาจารย์ท่านเคยปรารถถึง อารมณ์พระอรหันต์ว่า
ไม่ติดในสุข
ไม่กังวลในทุกข์
วางเฉยในร่างกาย
ยอมรับกฎของกรรม

เถรี
19-07-2009, 17:14
เถรีเคยได้ยินหลวงพ่อท่านเปรยให้ฟังว่า "การพอใจในการนวดก็จัดว่าเป็นกามอีกอย่างหนึ่ง"

เถรี
19-07-2009, 17:32
พระท่านหนึ่งที่เป็นสายหลวงปู่มั่น (จำไม่ได้แล้วว่าเป็นท่านใด) เคยกล่าวว่า "อะไรทั้งหมดที่ท่านศึกษาในหนังสือ มันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น ถ้าท่านยังไม่อบรมจิตของท่านให้มีความรู้มีความสะอาดแล้ว ท่านจะมีความสงสัยอยู่เรื่อยไป..."

เถรี
20-07-2009, 09:10
วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ กุฏิหลวงปู่สาย มีครอบครัวหนึ่งนำซองกฐินมาถวายหลวงพ่อเล็ก หน้าซองกฐินเขาเขียนข้อความอะไรบางอย่างไว้ หลวงพ่อเล็กท่านหยิบมาอ่าน แล้วก็ถามว่า "นี่ลายมือใคร?" ท่านก็ยิ้ม แล้วก็พูดบอกลักษณะนิสัยเจ้าของลายมือนี้ว่าเป็นคนอย่างไร

หลังจากนั้น ท่านจึงกล่าวว่า "ลายมือสามารถบอกถึงใจได้ จริง ๆ แล้วก็คือ การที่ใจส่งไปยังสมอง แล้วสมองก็ส่งออกมาเป็นลายมือที่บอกถึงใจ ไม่ใช่เรื่องของทิพจักขุญาณแต่อย่างใด นักวิทยาศาสตร์ชาวต่างชาติเขาก็ทำการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้กัน"

เถรี
20-07-2009, 09:12
หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า "บุคคลที่เป็นนักปฏิบัติ ถ้าจะเอาดีได้แล้วศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาต้องเสมอกัน"

เถรี
20-07-2009, 09:13
ถามหลวงพ่อเล็กว่า "ทำอย่างไรจึงจะประคองสติในเวลานอนได้"
หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "ให้ดูลมหายใจเข้าออก หรือไม่ก็ให้ฟังเสียงธรรมะโดยฟังให้เข้าใจทุกประโยคทุกคำ
สติมันจะถอยลงมาอยู่ที่ระดับหนึ่ง (ท่านทำมือลดลงให้ดู) แล้วมันจะหยุดอยู่แค่นั้นของมันไปเรื่อย ๆ จะไม่ตัดหลับ"

เถรี
20-07-2009, 09:17
พระอาจารย์ท่านเมตตาสอนว่า หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านสอน"ดีนอกเอาไปเดี๋ยวก็หล่นหาย เอาดีในซิ.."
ดีในของท่านคือ "พุทโธ" ท่านว่า คำเดียวคุ้มได้ทั้งสามโลก..

เถรี
29-07-2009, 17:50
ก่อนวันงานวันพิธีโสฬส มีท่านหนึ่งขอธรรมะจากหลวงพ่อ
"หลวงพ่อคะ ขอธรรมะง่าย ๆ สำหรับลูกเจ้าค่ะ"
หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "อ๋อ รักษาศีล เจริญสมาธิ ใช้ปัญญาให้เห็นไตรลักษณ์เท่านั้นแหละ"

หลวงพ่อก็กล่าวว่า "ทำทั้งชาติเลย" (หัวเราะ)
"จะเอาง่าย ๆ ก็เลยให้ ง่ายแต่ทำยาก"

เถรี
29-07-2009, 21:07
หลวงพ่อบอกว่า "ถ้าถามว่าสิ่งใดที่อาตมามีอยู่แล้วถือว่าสำคัญที่สุด อาตมาถือว่าพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วที่มีอยู่นั้นสำคัญที่สุด"

เถรี
22-08-2009, 14:43
หลวงพ่อกล่าวถึงในเรื่องจาคะว่า "สมาธิทรงตัวสูงมากเท่าไร กำลังการสละออกของเราก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น สามารถที่จะให้ได้ตลอดเวลา แม้แต่ชีวิต เลือดเนื้อ ร่างกาย ถ้ามีคนต้องการมันก็สละให้ได้"

เถรี
22-08-2009, 14:45
ท่านยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "แม้ร่างกายถ้าเราสละถึงที่สุด ชีวิตนี้ก็สละได้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าอย่างนั้นตัวจาคานุสติคือการสละออกของเรา จะมีผลเต็มที่คือท้ายสุดเข้าสู่พระนิพพาน"

เถรี
22-08-2009, 14:48
หลวงพ่อท่านบอกว่า "รักกับโลภ เป็นตัวเดียวกัน เพราะรักจึงอยากมีอยากได้ มันทำให้จิตใจของเราถูกหน่วงเหนี่ยว ยึดแน่นอยู่กับทรัพย์สินและร่างกายของตนเองและผู้อื่น ดังนั้น มันยิ่งหน่วงเหนี่ยวเรามากเท่าไหร่ เราก็สละออกยากเท่านั้น แต่ถ้าเราสละได้มันจะเกิดปีติ คือ ปลื้มใจ อิ่มใจ"

เถรี
22-08-2009, 15:00
หลวงพ่อสอนว่า " ในเมื่อเราสละวัตถุสิ่งของได้ เราก็สละอารมณ์ไม่ดีในใจของเราได้ ค่อย ๆ ละมันออกไปด้วยกำลังของสมาธิ"

เถรี
23-08-2009, 08:25
หลวงพ่อบอกว่า "การปฏิบัตินั้นเราจะทิ้งของเก่าไม่ได้ อันไหนเคยทำได้แล้ว ต้องทบทวนเอาไว้เสมอ ๆ เพื่อความคล่องตัว"

เด็กช่างสงสัย
23-08-2009, 21:54
หลวงพ่อสมปองเคยปรารภว่า อยากจะบันทึกคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยานไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษากัน คิดถึงแม้กระทั่ง จะบันทึกไว้บนแผ่นศิลาแล้วเก็บรักษาไว้ให้ชนรุ่นหลัง เพื่อชนรุ่นหลังจะได้รู้ว่า หลวงพ่อสอนอย่างไร คณะของหลวงพ่อจึงไปนิพพานกันหมด

นิยายธรรม
24-08-2009, 03:11
โดยส่วนตัวผมมั่นคงในพระรัตนตรัยเต็มหัวใจ รอดพ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็หลายครั้ง แต่ในทุกครั้งผมจะนึกถึงกฏแห่งกรรมไว้ก่อน เพราะองค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสสอนว่า สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครหลีกพ้นกฏแห่งกรรมได้ แม้แต่ตถาคตเอง" (อ้างอิงมาจากหนังสือคุณลุงหมอสมศักดิ์) คิดเสมอว่าถ้าถึงที่ตายก็พร้อมตาย เพราะมั่นใจใน ทาน ศีล ภาวนา(แม้จะเล็กน้อย) ว่าได้ทำมาเต็มหัวใจแล้วเท่าที่จะทำได้ แม้จะไม่เต็มกำลังบารมี ๑๐ ที่สมควรจะมี

คนเก่า
25-08-2009, 12:54
แต่ละเนื้อความที่พระอาจารย์บอกสอนไว้นั้น ท่านเมตตากล่าวซ้ำให้ฟังกันนับครั้งไม่ถ้วนครับ

เถรี
22-09-2009, 09:36
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "จิตของคนเราถ้าไม่ควบคุมเอาไว้ภายในให้ดี มันจะส่งส่ายออกนอกตามความเคยชิน แล้วเที่ยวไปเสวยอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งมักจะคิดกันว่าดี ความจริงมันแส่ไปหาทุกข์ให้ตัวเองทั้งนั้น"

เถรี
22-09-2009, 09:37
โอวาทหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ "ศรัทธานะดี แต่ต้องมีปัญญาประกอบด้วย"

เถรี
22-09-2009, 09:39
หลวงพ่อบอกว่า "บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า ความเป็นอยู่ของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราต้องทำตนเป็นผู้เลี้ยงง่าย

ภิกษุสงฆ์ต้องทำตัวเหมือนผึ้ง ดื่มน้ำหวานแล้วบินไปโดยดอกไม้ไม่ชอกช้ำ"

เถรี
22-09-2009, 09:40
ถ้านิมิตเห็นงู หลวงพ่อเล็กบอกว่า "งู ถ้าไม่ใช่หญิง ก็หมายถึงกิเลสตัวร้ายในใจของเราเอง"

เถรี
22-09-2009, 09:42
หลวงพ่อบอกว่า "โภชเนมัตตัญญุตา (การรู้จักประมาณในการกิน) ถ้าคำแรกอร่อยเมื่อไร คำที่สองต้องระวังให้มากไว้ มันจะกลายเป็นกินตามใจกิเลส!"

เถรี
22-09-2009, 09:44
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "การรักษาระเบียบวินัยที่เป็นของหยาบยังทำไม่ได้ แล้วการเข้าถึงธรรมที่เป็นของละเอียดจะเข้าถึงได้อย่างไร?"

เถรี
22-09-2009, 09:45
หลวงปู่จันทร์ วัดเจดีย์หลวง ท่านบอกเอาไว้ว่า "ถ้าอยากดัง ก็อย่าหวังความสงบ!"

เถรี
02-10-2009, 10:33
ในงานวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา มีคนถวายทองคำบูชาพระเขี้ยวแก้วเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ถ้าเผลอเกิดใหม่เป็นผู้หญิงก็จะมีเครื่องมหาลดาปสาธน์เหมือนนางวิสาขา ถ้าเกิดเป็นผู้ชายได้พบพระพุทธเจ้า แล้วอุปสมบทเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา จะมีจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมาสวมตัวให้"

เถรี
22-12-2009, 12:10
หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "ตัวมโนมยิทธินั้นมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยอยู่ในที่เดียวกัน ก็คือเห็น พอเห็นก็มั่นใจว่าต้องเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ค่อยใช้ปัญญาตรองดู จำไว้ว่า..ถ้าหากรับฟังสิ่งใดมาก็ตาม แล้วรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล ก็ให้ไปเทียบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็เทียบกับคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าออกนอกทางเมื่อไร ชักเท้ากลับได้เลย"

เถรี
24-12-2009, 10:24
หลังงานทำบุญอายุวัฒนมงคล ๘๐ ปี พระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี วัดท่ามะขาม

หลวงพ่อเล็กได้กล่าวกับพระวัดท่าขนุนด้วยกันว่า
:onion_wink: "เรื่องพวกนี้เราดูแล้ว ถ้ารู้จักสลดใจ ก็ให้นำมาปรับปรุงกาย วาจา ใจของเรา แต่ถ้าไม่รู้จักสลดใจ แถมยังรักษาอารมณ์ใจไม่เป็น เราก็จะเตลิด วันนี้อุตส่าห์ยอมยื่นอาหารให้กิเลสมันกินหน่อยหนึ่ง(ให้ไปออกงานด้วย) ไม่อย่างนั้นมันจะอกแตกตาย พอกิเลสมันได้กินแล้ว ก็ภาวนาต่อได้ จริง ๆ แล้วมันหลอกเรา คือ เราสั่งสมกำลังของเราเพื่อที่จะเอาไว้ฆ่ากิเลส หรือไม่ก็เพื่อที่จะเอาไว้ส่งตัวเราเองให้พ้นจากวัฏสงสาร แต่มันหลอกให้เราเสียพลังงานไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันรั่วหมด กำลังก็เลยไม่พอใช้งานสักที แล้วเราก็เต็มใจจะรั่วด้วย มันจึง โอ๊ย..! เครียดจะตายอยู่แล้ว พอเราเชื่อว่ามันจะตาย เราก็เลยปล่อย พอปล่อยแล้วสบาย ก็เลยปล่อยมันอยู่เรื่อย

ความจริงความรู้สึกที่ว่าจะตายแล้วนี่ กิเลสมันจะตายนะ ไม่ใช่เราจะตาย พอกิเลสมันกำลังจะตายแล้ว เราก็ดันไปเชื่อ แล้วก็คิดว่าเราจะตาย ก็เลยไปหยุด มันก็เลยไม่ตายสักที เรื่องพวกนี้ค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ทำไปเถอะ ได้นิดได้หน่อยเก็บสะสมเรื่อย ๆ เดี๋ยวได้มากเอง"


:onion_wink:"เรื่องของการปฏิบัติ จริง ๆ แล้วเราต้องทุ่มเทกับมัน โดยเฉพาะการปฏิบัติที่ต่อเนื่อง เป็นเคล็ดลับที่สำคัญที่สุด ถ้าทิ้งช่วงเมื่อไรกิเลสมันเข้าได้ มันกลืนได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้สำคัญที่เราต้องสู้จริง ๆ ไม่ใช่ถึงเวลาที่ว่าจะตาย เราก็คิดว่าจะตาย"


:onion_wink: "เรื่องของธรรมเนียมเป็นเรื่องเราต้องรู้ไว้ ถึงเวลาจะใช้ได้ อย่างเช่นว่า การตั้งตาลปัตรเทศน์ ตาลปัตรต้องอยู่ซ้ายมือเสมอ คัมภีร์เทศน์จะต้องอยู่ขวามือ กระโถนก็อยู่ขวามือ แต่อยู่เยื้องไปข้างหลัง เรื่องพวกนี้ถ้าเรารู้ก็จะทำได้ถูก ถ้าไม่รู้ก็จะทำผิด"

เถรี
08-02-2010, 16:14
เถรีได้ยินหลวงพ่อพูดถึงเรื่องการสร้างวัตถุมงคลว่า "เดี๋ยวนี้เขาเห็นการสร้างพระเป็นของเล่น จึงได้สร้างเอา ๆ เพราะคิดว่าจะได้บุญ บุญนั้นก็ได้ แต่กรรมที่จะต้องไปใช้นี่สิ..!"




กุมภา ๕๓

เถรี
08-02-2010, 16:15
หลวงพ่อบอกว่า "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นบ่อเกิดของกิเลสทั้งนั้น"


มกรา ๕๓

คนเก่า
08-02-2010, 18:07
ในเนื้อเพลงมะเมียะ มีการสยายผมลงเช็ดพระบาท
เจ้าชายผู้เป็นดวงใจ สะท้อนถึงวัฒนธรรมประเพณี
ชาวเหนือแต่โบราณ ที่ดูเหมือนผ่านตาพระอาจารย์
เคยเมตตาเล่าไว้ว่า...อันกุลสตรีชาวเหนือนั้น แสดง
ความภักดีต่อสามีอย่างสูงสุดด้วยการปล่อยผมของ
ตนลงเช็ดเท้าให้

เถรี
27-02-2010, 00:31
หลวงพ่อ : พรหมวิหารสี่แก้ราคะได้อย่างไร?
เถรี : ..............

หลวงพ่อ : ในเมื่อเราเห็นว่าทุกข์ เรารักเขาก็อย่าไปสร้างทุกข์ให้เขา สงสารเขาก็อย่าไปไปสร้างทุกข์ให้เขา ไม่ไปผูกเวรผูกกรรมกับใครเขา
เถรี : :154218d4:


กุมภา ๕๓

เถรี
27-02-2010, 13:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกครั้งที่อารมณ์ทรงตัวได้ดี ให้คิดว่าเป็นโอกาสของเราแล้ว รีบพยายามกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อที่ถึงเวลาแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งทำกันใหม่อีก"


กันยา ๕๑

เถรี
27-02-2010, 15:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย ท่านสงเคราะห์หลวงพ่อหลายวาระ โดยผ่านร่างทรงชื่อว่า ปรีชา ทรงธรรม พวกเราต้องเคยได้ยินชื่อ

ท่านบอกว่าท่านจะสงเคราะห์อย่างไร ช่วยอย่างไร ถึงเวลานั้นจะเอาของมาถวาย และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ท่านนั่งคุยกันอยู่ข้างบน แต่คนข้างล่างเอามาถวายแทน

ท่านเป็นร่างทรงที่พระศรีอาริย์ให้การสงเคราะห์โดยเฉพาะ ไม่ได้ทรงเปะปะอะไรทั่วไป เป็นการสงเคราะห์เฉพาะคนเลย และท่านก็พยากรณ์เกี่ยวกับวัดท่าซุงไว้หลายอย่าง...ซึ่งตรง"

ถาม : อยากรู้ครับ
ตอบ : ถ้าบอกได้บอกไปแล้ว


ตุลา ๕๑

เถรี
02-03-2010, 20:41
งานพิธีเป่ายันต์ ปี ๒๕๕๑ พระอาจารย์กล่าวว่า " การที่เราจะทำ ความดีอะไร ที่จะให้ในหลวงทรงมีกำลังใจ ที่จะอยู่นาน ๆ ก็คือ การที่เราสร้างความดี ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ในหลวงทรงโปรดที่สุด เพราะพระองค์ท่านทรงปฎิบัติมาทั้งชีวิต"

เถรี
02-03-2010, 20:44
พระอาจารย์กล่าวว่า " ผู้ที่แสวงหาทางหลุดพ้น คือ ผู้ที่เห็นภัยของสังสารวัฏ"

กรกฎา ๕๑

เถรี
02-03-2010, 21:03
พระอาจารย์ท่านสอนว่า "สำหรับนักปฏิบัติแล้ว จะงานเล็กงานใหญ่ทุ่มเทกำลังเท่ากัน เพื่อความไม่ประมาท งานเล็กถ้าทุ่มเต็มที่ก็เสร็จเร็ว งานใหญ่ทุ่มเต็มที่เดี๋ยวก็เสร็จเอง และถ้าไม่เสร็จ....การทุ่มเทเต็มที่ก็เป็นคำตอบแก่ตัวเองอยู่แล้ว"

เถรี
03-03-2010, 12:04
พระอาจารย์เคยบอกว่า "ในการพูดธรรมะให้ผู้อื่นฟัง การที่จะทำให้คนอื่นฟังเข้าใจได้ง่าย อยู่ตรงที่ว่า สามารถเรียงลำดับเรื่องราวได้หรือไม่ ?

อย่างแรก ต้องมี อุเทศ คือ รู้ว่าธรรมะที่เราจะกล่าวนั้น มาจากที่ใด ? เกิดขึ้นด้วยเหตุใด ? เหมาะแก่จริตผู้ฟังนั้นหรือไม่ ?

อย่างที่สอง ต้องมี นิเทศ คือ ต้องขยายเนื้อความธรรมะนั้นให้แตกออกอย่างกว้างขวางได้

อย่างที่สาม ต้องมี ปฏินิเทศ ต้องย่อสรุปในธรรมะนั้นในตอนท้ายให้ได้

ท่านบอกว่า บางทีพูดยาวไปเรื่อย คนฟังจะจับใจความไม่ได้ เราก็ต้องมาสรุปให้เขาฟังอีกที

พระทั่วไปไม่พ้นจากการใช้วิธีการนี้หรอก"


มกรา ๕๒

เถรี
03-03-2010, 12:10
พระอาจารย์เคยบอกว่า "ในบรรดาสังขารทั้งหลาย จิตสังขาร น่ากลัวที่สุด เรามักไปปรุงแต่ง คิดเอาไว้ก่อน"

จิตสังขาร = การปรุงแต่งของจิต

ตุลาคม ๕๑

เถรี
03-03-2010, 14:56
หลวงพ่อหยิบ หนังสือมนต์พิธี (เล่มสีเหลือง)ให้ แล้วสั่งให้เปิดไปที่หน้า ๗๓ บรรทัดที่ ๑

ท่านบอกว่าเป็นคาถาแก้เขินอาย ท่องคาถานี้แล้วจะแกล้วกล้า อาจารย์ให้คาถานี้หลวงพ่อมาอีกที หลวงพ่อจะใช้สวดก่อนที่จะขึ้นปาฐกถาธรรม คาถานี้คือ สีหะนาทัง นะทันเต เต ปะริสาสุ วิสาระทา


มิถุนา ๕๑

เถรี
03-03-2010, 15:12
หลวงพ่อบอกให้มารับหนังสือมนต์พิธี ท่านบอกให้เปิดไปที่หน้า ๓๑ คาถาเมตตานิสังสะสุตตะปาโฐ

ท่านบอกว่า ถ้าสวดคาถานี้แล้ว ใจจะสงบ ไม่ครั่นคร้าม ไปที่ใดจะมีแต่ภูตผีเทวดาเมตตา หน้า ๖๓ ก็เช่นกัน คาถากะระณียะเมตตะสุตตัง

ท่านยังบอกให้เปิดไปที่หน้า ๗๒ ตั้งแต่ "นะโม เม สัพพะพุทธานัง" ไปจนถึง "โคตะโม สักยะปุุงคะโว" เป็นคาถาที่เอ่ยถึงพระนามของพระพุทธเจ้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท่านบอกให้สวดคาถานี้ด้วย



สิงหา ๕๑

เถรี
03-03-2010, 16:39
พระอาจารย์เคยเล่าเรื่องให้ฟังว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลเคยตรัสถามพระนางมัลลิกาว่า พระนางรักใครมากที่สุด?
พระนางตอบว่า "หม่อมฉันรักตัวเองมากที่สุด"

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงน้อยพระทัย จึงนำเรื่องนี้ไปทูลต่อพระพุทธเจ้า และตรัสถามว่าทำไมพระมเหสีจึงกล่าวอย่างนั้น? พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า เพราะพระนางมัลลิกาเป็นคนตรง จึงกล้าพูดความจริงที่ว่า คนทุกคนรักตัวเองมากที่สุด

พระอาจารย์ย้อนถามกลับมาว่า "ถ้ามีก้อนถ่านร้อน ๆ ตกลงมาบนหัวของทั้งสองคน เราจะปัดของตัวเองก่อนหรือของเขาก่อน?"

เถรี : ปัดของตัวเองก่อนค่ะ

หลวงพ่อ : นั่นแหละ..จริง ๆ แล้วเราไม่ได้รักใครหรอก..เรารักตัวเองมากที่สุด


สิงหา ๕๑

เถรี
15-04-2010, 10:33
วันที่ไปงานหล่อพระ วัดวีระโชติธรรมาราม พระอาจารย์ได้เมตตากล่าวสอนลูกศิษย์คนหนึ่งว่า

"มาจนถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เวลาที่ไปเที่ยวหาอะไรข้างนอก ทุกอย่างที่เราศึกษาเรียนรู้มา มากจนเกินไปแล้ว เหลือแต่ว่าทำให้ได้ผลเท่านั้น"

๒๘ มีนา ๕๓

เถรี
26-04-2010, 22:03
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า สมัยท่านเป็นฆราวาส ท่านจะมีคู่แข่งคนหนึ่งที่เป็นผู้หญิง เป็นลูกสาวคนจีน สามารถนั่งคุยไล่ต้อนเรื่องอารมณ์การปฏิบัติได้ทั้งวันเลย ถ้าใครมีอารมณ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น ก็มานั่งไล่ซักไปซักมา จนกว่าอีกฝ่ายจะจนมุม ต้อนไปจนไม่มีอะไรจะให้ต้อนแล้ว ก็กลับไปทำใหม่ แล้วมาไล่ต้อนกันอีก

หลวงพ่อบอกว่าถ้าคนที่ทำได้จริง จะรู้และมองออก ว่าเขาทำได้จริง ตอนแรกเตี่ยของผู้หญิงคนนี้นึกว่าหลวงพ่อมาชอบลูกสาวเขา ถึงได้มานั่งคุยทุกวัน วันหนึ่งเตี่ยเขาก็เลยมานั่งฟังบ้าง ว่าคุยอะไรกัน ฟังไปฟังมา เตี่ยฟังไม่รู้เรื่อง เลยไม่ฟังแล้ว

หลวงพ่อสอนมาว่า "ถ้าเรามีคู่แข่งในการปฏิบัติ จะทำให้ก้าวหน้าได้เร็ว" บอกท่านไปว่า "หนูก็พยายามควานหาเหมือนกันค่ะ"

ท่านเตือนว่า "ให้ระวัง...ถ้าเป็นเพศตรงข้าม เราต้องมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างกัน"

๗ กรกฎา ๕๑

เถรี
26-04-2010, 22:23
วันอาสาฬหบูชา ปี ๒๕๕๑ หลวงพ่อสมเด็จ ฯ วัดสระเกศ ท่านเทศน์เรื่อง มรรค ๘

ในเรื่องของสัมมาทิฐิ ท่านบอกว่า "สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ ถ้าเห็นชอบในระดับสูง คือ เห็นชอบในการหลุดพ้น"

เรื่องสัมมาสติ ท่านบอกว่า "ถ้ายังใจลอยอยู่ ยังใช้ไม่ได้"

เรื่องสัมมาสมาธิ ท่านบอกว่า "ก่อนนอนให้ภาวนาพุทโธ สัก ๑๐ จบก่อนนอน แต่ถ้าเรามีสมาธิ จะภาวนาสัก ๑๐๐ จบ หรือ ๑,๐๐๐ จบก็ยังได้"

๑๗ กรกฎา ๕๑

เถรี
26-04-2010, 22:34
ก่อนทำวัตรเย็น หลวงพ่อเล็กท่านเทศน์สอนในเรื่องการปฏิบัติว่า "อาตมาเคยบอกเอาไว้ในเรื่องการปฏิบัติ ว่าเหมือนกับการลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ถ้าลวกแต่เส้นเฉย ๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าเติมเครื่องปรุงไป ใส่น้ำปลาบ้าง ใส่น้ำตาลบ้าง ใส่น้ำส้มบ้าง ก็รู้สึกน่ากิน อร่อย ทีนี้ล่ะกินไม่หยุด แต่ถ้าเราหยุดเสียตั้งแต่ต้นที่เป็นเส้นลวก ไม่ไปปรุงแต่ง มันก็ทำอะไรเราไม่ได้"

๓ ตุลา ๕๑

เถรี
26-04-2010, 22:55
หลวงพ่อเล็กเมตตาเล่าเรื่องการรับงานของท่านให้ฟังว่า

เรื่องของงานต้องเป็นอย่างนี้ ต้องพิจารณาดูความหนักเบาของงาน ถ้ารู้สึกว่าที่นี่สำคัญกว่าก็ต้องเอาที่นี่เป็นหลัก งานนั้นก็ต้องตัด บางทีพรรคพวกเขารู้สึกว่าเราไม่ให้เกียรติเขา งานเขาแท้ ๆ แต่เราไม่ไป เขาก็ต้องรู้ว่าเราติดงานที่นี่

ส่วนใหญ่หลวงพ่อก่อนที่จะรับงานก็จะบอกไว้ชัดเจน ว่างานไหนรับได้..งานไหนรับไม่ได้ ช่วยได้แค่ไหนก็จะบอก ประเภทรับปากว่าจะไป...แต่ไปไม่ได้ จะทำให้เขาเสียเวลารอ

๒ มกราคม ๕๓

เถรี
27-04-2010, 22:20
ถาม : เวลาปฏิบัติเกิดอารมณ์อย่างหนึ่ง เป็นอารมณ์ที่รู้สึกอึดอัดใจ อยากจะสะบัดร่างกายนี้ทิ้งออกไป แต่ก็ไม่ออกสักที รู้สึกอึดอัด ตัน ๆ อย่างบอกไม่ถูก
ตอบ : เพราะไม่ต้องการร่างกายนี้แล้ว ในเมื่อเราทนมาได้จนถึงทุกวันนี้ จะทนอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ใกล้จะดีแล้ว

ถาม : แต่อารมณ์นี้มาบ่อยเหลือเกินค่ะ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มา
ตอบ : สมัยก่อนหลวงพ่อก็เป็น บางทีนั่งคุยกับเพื่อนอารมณ์นี้ก็เกิดขึ้น จนเพื่อนมองว่าเราบ้าก็มี เพราะเป็นแล้วไม่อยากคุยกับใคร ถ้ามีสมาธิเมื่อไร ก็จะเข้ามาทันที อารมณ์นี้เกิดขึ้นอยู่สักพักแล้วคลาย แล้วทำกลับไปสู่อารมณ์เดิมอีก

ถาม : กว่าจะคลายอารมณ์นี้ได้นานเหลือเกินค่ะ
ตอบ : ซ้อมบ่อย ๆ ตอนนี้เริ่มจะทรงตัวแล้ว

ถาม : พอคลายจากอารมณ์นี้แล้ว จะเป็นอารมณ์นิ่งมาก นิ่งเหมือนคนไม่มีความรู้สึก เย็นชา เหมือนคนตายด้าน
ตอบ : (หัวเราะ) ถ้าเป็นแบบนี้ มีแฟน..แฟนคงโกรธ เพราะไม่ยอมคุยด้วย นั่นเป็นอารมณ์ฌาน

ถาม : ตอนแรกหนูก็ไม่แน่ใจค่ะ ว่าทำมาถูกทางหรือเปล่า ?
ตอบ : ถูกทางแล้ว เพราะใกล้บ้าแล้ว..!


๑ กันยา ๕๐

เถรี
27-04-2010, 23:11
มีผู้หญิงคนหนึ่งมากราบหลวงพ่อ ลักษณะแปลก ๆ เขาพูดจาอยู่คนเดียว เหมือนคนขาดสติ หลังจากเขากลับไป หลวงพ่อหันมาสอนว่า

"เราต้องเห็นเป็นปกติ ก็คือ เห็นเป็นธรรมดาให้ได้

ภิกษุพึงทำใจเหมือนแผ่นดิน เพราะแผ่นดินรองรับทั้งสิ่งที่สะอาดและไม่สะอาด โดยไม่มีความหวั่นไหวใด ๆ
ภิกษุพึงทำใจเหมือนดั่งเปลวไฟ เพราะเปลวไฟไหม้ของที่สะอาดและไม่สะอาด โดยเสมอหน้ากันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ภิกษุพึงทำใจเหมือนสายน้ำ สายน้ำขึ้นเสมอทั้งสองฟากฝั่งโดยไม่เลือกว่าเป็นบ้านเศรษฐีหรือบ้านยาจก
ภิกษุพึงทำตนเหมือนสายลม สายลมย่อมพัดไปโดยมิได้ติดอยู่ ณ ที่ใด ๆ เลย

เราก็เปลี่ยนจากภิกษุเป็นพระโยคาวจร"