เถรี
24-12-2015, 11:53
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชอบมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ วันนี้มีผู้ถามว่า รู้ตัวอยู่ว่ามีหน้าที่ต้องทำอะไร แต่ไม่มีกำลังใจที่จะไปขวนขวายทำ อยากทราบว่าขาดตกบกพร่องอะไรตรงไหน ? ซึ่งคาดว่าพวกเราหลายคนก็เป็นเช่นนี้ การที่เรารู้ว่าตนเองต้องทำอะไร แต่ไม่มีอารมณ์ที่จะไปทำ มีความขวนขวายน้อย เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่หนึ่ง ก็คือ เข้าถึงมรรคถึงผลแล้ว ไม่เห็นสาระแก่นสารในสิ่งที่ตนเองต้องไปทำ จึงหมดความอยากที่จะทำในสิ่งนั้น ๆ
ส่วนสาเหตุที่สอง ก็คือ กำลังใจของเรายังไม่เพียงพอ ยังตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา กิเลสรู้ว่าถ้าเราปฏิบัติสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง เราก็จะหลุดพ้นไปจากเงื้อมมือของเขาไปได้ ดังนั้น...เขาก็จะดลใจให้เราขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ที่จะปฏิบัติ ก็แปลว่าในส่วนที่บกพร่องมากที่สุดของเราก็คือสมาธิ จึงไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านอำนาจของกิเลสได้
ดังนั้น ถ้าผู้ใดเกิดอารมณ์ในลักษณะอย่างนี้ ให้หันมาเร่งในเรื่องของสมาธิภาวนาเข้าไว้ ถ้าหากว่าเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัว คราวนี้ก็จะมีความพากเพียรบากบั่นไม่ย่อท้อ ตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายที่เป็นหน้าที่การงานของเราให้สำเร็จลง ด้วยเห็นว่าเรามีชีวิตอยู่ในวันนี้เพียงวันเดียวเท่านั้น ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวเท่านั้น เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพื่อถึงเวลาจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง
เมื่อเป็นดังนั้นก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มสติเต็มกำลัง ซึ่งบุคคลที่เข้ามาถึงตรงจุดนี้ก็จะโดนนินทาในลักษณะที่ว่า จะบ้างานไปถึงไหน ? แต่ความจริงแล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ ทำในลักษณะทิ้งทวน ทำในลักษณะงานชิ้นสุดท้าย เป็นงานครั้งสุดท้าย จึงต้องทำให้ดีที่สุด ให้เต็มกำลังที่สุด ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้ากำลังใจของท่านยังไม่พอ พูดไปบางทีก็ฟังไม่เข้าหู
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ วันนี้มีผู้ถามว่า รู้ตัวอยู่ว่ามีหน้าที่ต้องทำอะไร แต่ไม่มีกำลังใจที่จะไปขวนขวายทำ อยากทราบว่าขาดตกบกพร่องอะไรตรงไหน ? ซึ่งคาดว่าพวกเราหลายคนก็เป็นเช่นนี้ การที่เรารู้ว่าตนเองต้องทำอะไร แต่ไม่มีอารมณ์ที่จะไปทำ มีความขวนขวายน้อย เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่หนึ่ง ก็คือ เข้าถึงมรรคถึงผลแล้ว ไม่เห็นสาระแก่นสารในสิ่งที่ตนเองต้องไปทำ จึงหมดความอยากที่จะทำในสิ่งนั้น ๆ
ส่วนสาเหตุที่สอง ก็คือ กำลังใจของเรายังไม่เพียงพอ ยังตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา กิเลสรู้ว่าถ้าเราปฏิบัติสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง เราก็จะหลุดพ้นไปจากเงื้อมมือของเขาไปได้ ดังนั้น...เขาก็จะดลใจให้เราขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ที่จะปฏิบัติ ก็แปลว่าในส่วนที่บกพร่องมากที่สุดของเราก็คือสมาธิ จึงไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านอำนาจของกิเลสได้
ดังนั้น ถ้าผู้ใดเกิดอารมณ์ในลักษณะอย่างนี้ ให้หันมาเร่งในเรื่องของสมาธิภาวนาเข้าไว้ ถ้าหากว่าเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัว คราวนี้ก็จะมีความพากเพียรบากบั่นไม่ย่อท้อ ตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายที่เป็นหน้าที่การงานของเราให้สำเร็จลง ด้วยเห็นว่าเรามีชีวิตอยู่ในวันนี้เพียงวันเดียวเท่านั้น ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวเท่านั้น เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพื่อถึงเวลาจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง
เมื่อเป็นดังนั้นก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มสติเต็มกำลัง ซึ่งบุคคลที่เข้ามาถึงตรงจุดนี้ก็จะโดนนินทาในลักษณะที่ว่า จะบ้างานไปถึงไหน ? แต่ความจริงแล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ ทำในลักษณะทิ้งทวน ทำในลักษณะงานชิ้นสุดท้าย เป็นงานครั้งสุดท้าย จึงต้องทำให้ดีที่สุด ให้เต็มกำลังที่สุด ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้ากำลังใจของท่านยังไม่พอ พูดไปบางทีก็ฟังไม่เข้าหู