View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
ถาม : ตอนภาวนาคาถาเงินล้านเมื่อถึงฌาน ๔ เป็นอย่างไร ? เพราะว่าช่วงฌาน ๒ คำภาวนาหายไปแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าภาวนาครบ ๙ จบ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ก็แปลว่าสติขาด การภาวนาถ้าถึงฌาน ๔ แล้วไม่รู้ตัวแปลว่าเป็นเด็กหัดใหม่ เราต้องทำจนคล่องตัวจนถึงระดับที่เรียกว่า ฌานใช้งาน ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าอยู่ในฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็จะรู้ตัวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น...ไปฝึกต่อ...!
ถาม : กระผมอยากทราบว่า ถ้าก่อนที่ผมจะบวช ผมมีวัตถุมงคลจำนวนหนึ่ง โดยมีเจตนาที่จะให้บิดานำมาถวายตัวผมเองเมื่อบวชเป็นพระแล้ว และตอนจะถวายนั้นตัวผมตอนยังเป็นฆราวาสตั้งเจตนาไว้ว่า เมื่อตัวผมที่เป็นพระภิกษุได้รับวัตถุมงคลนี้แล้ว สามารถที่จะนำวัตถุมงคลนี้ไปใช้ได้ แม้จะสึกออกมาแล้ว ในกรณีแบบนี้เมื่อผมสึกออกมาแล้วพร้อมกับนำวัตถุมงคลจำนวนนั้นมาด้วย กระผมจะผิดศีลผิดธรรม หรือติดโทษหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : มีโอกาสติดหนี้สงฆ์เพราะทำเกิน เคยได้ยินภาษิตจีนที่ว่า "ถอดกางเกงผายลม" ไหม ? คนจะตดมีความจำเป็นต้องถอดกางเกงไหม ? พูดง่าย ๆ ว่า ของนั้นเป็นของเรา พอบวชก็เอาไปใช้ สึกแล้วก็เอากลับไปเป็นของเราตามเดิม แต่นี่ของเป็นของเราดันให้คนอื่นเอามาถวาย เขาเรียกว่าหาเรื่องเดือดร้อน
เพราะฉะนั้น...ไม่จำเป็นต้องถวาย บวชก็เอามาใช้ สึกไปก็ติดตัวเรากลับไป เขาเรียกว่าคนเก่ง ชอบทำของง่ายให้ยาก...!
ถาม : แล้วถ้าอยากได้บุญ โดยให้พ่อถวายวัตถุมงคลกับพระใหม่ละคะ ?
ตอบ : ถวายไปก็เป็นของสงฆ์ ถ้าสึกแล้วอยากได้ก็ชำระหนี้สงฆ์ตามราคาปัจจุบัน ถ้าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังก็อ่วมอรทัย..!
ถาม : พิงคเทพบุตร ที่ดูแลจังหวัดเชียงใหม่คืออดีตเจ้าเมืององค์ใดครับ ? คือ พ่อขุนมังราย หรือพระเจ้าพังคราช หรือว่าเป็นคนอื่นครับ
ตอบ : ไปถามท่านเอง แค่นี้อาตมาก็ทำให้ท่านเดือดร้อนมากแล้ว
ถาม : ทำไมในแต่ละวรรคต้นของบทสวดสัมพุทเธ มีจำนวนพระพุทธเจ้าไม่เท่ากันครับ ? และคำว่าสัมพุทเธ แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : สัมพุทเธ แปลว่า พระพุทธเจ้าทั้งหมด บทที่หนึ่งหมายเอาพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะที่ตรัสรู้ไปแล้วทั้งหมด บทที่สองหมายเอาพระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะที่ตรัสรู้ไปแล้วทั้งหมด บทที่สามหมายเอาพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะที่ตรัสรู้ไปแล้วทั้งหมด แล้วจะให้เท่ากันได้อย่างไร ?
ถาม : การที่เราเปิดคลิปเสียงสวดมนต์ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเสียงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำสวดคาถาเงินล้าน เสียงหมู่พระสงฆ์สวดบทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หรือแม้แต่เสียงเพลงบทสวดเจ้าแม่กวนอิมแบบทิเบต ที่มีเสียงดนตรีประกอบกับบทสวด จะทำให้เหล่าเทวดา ท่านพระภูมิเจ้าที่ และดวงวิญญาณทั้งหลายที่อยู่แถวบ้าน มาร่วมสวดและร่วมโมทนาบุญกับเรา เหมือนกับตอนที่เราสวดมนต์ก่อนนอนด้วยตนเองไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าร่วมโมทนาท่านคงโมทนาแน่ แต่ถ้าร่วมสวดคงต้องดูว่าท่านว่างไหม ? ถ้าไปเปิดเวลาที่ท่านทำงาน แล้วท่านจะมาได้อย่างไร ?
ถาม : มีกรณีศึกษาที่เพิ่งเกิดขึ้น ผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญคณะหนึ่งได้ประกาศบอกบุญกฐิน โดยได้ชี้แจงรายละเอียดปลีกย่อย เช่น เงินจะนำไปจัดพุ่มกฐิน ซื้อผ้าไตร พระพุทธรูป และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับของคณะนำไปถวาย และมีผู้ประสงค์ดีส่งข้อความมาเตือนว่า นำเงินกฐินไปเป็นค่ารถระวังบาป ทางคณะผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญชี้แจงว่าผู้ร่วมบุญอ่านไม่ละเอียดเอง ได้มีชี้แจงไว้แล้ว ทางผู้เตือนก็มุ่งประเด็นว่าหัวข้อประกาศคือบุญกฐิน ดังกรณีข้างต้นหากผู้ร่วมบุญคนอื่น ๆ ที่ได้ร่วมบุญมาแล้ว ทั้งที่รู้ว่าต้องนำไปเป็นค่ารถด้วยก็ดี และผู้ที่เข้าใจว่าเป็นบุญกฐินล้วน ๆ ก็ดี ถือว่าผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญไม่ผิดหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าระบุรายละเอียดไว้ชัดเจนแต่แรกแล้ว คนร่วมบุญตาถั่วเองก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ฟังดูคล้าย ๆ กับในเว็บวัดท่าขนุนเลย กติกาเขาบอกชัด ๆ อยู่แล้ว แต่ไม่ยอมอ่านสักข้อหนึ่ง..!
ถาม : พระสงฆ์ที่ท่านรับบาตรจนล้นสองมือแล้ว (ต้องหิ้วถุงพลาสติกที่ญาติโยมใส่มาเต็มมือด้วย) เราควรขอให้ท่านผ่านไปก่อนโดยไม่ใส่บาตรท่านจะสมควรหรือไม่ครับ ? เนื่องด้วยเกรงว่าท่านจะแบกของหนักไปตลอดทาง เคยมีบางรูปท่านบอกเราล่วงหน้าเลยว่าท่านขอไม่รับแล้ว แต่บางรูปที่ท่านไม่ได้บอกเช่นนั้น ถ้าเรานิมนต์ท่านก็ยังยอมรับ ทั้งที่ดูท่านหนักมาก ถ้าเราตัดสินใจบอกท่านเองว่า ขอให้ท่านผ่านไปโดยไม่ขอใส่บาตรท่าน จะเป็นการสมควรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสงสารที่ท่านแบกของหนักก็เอารถไปส่งท่านที่วัดเลยก็หมดเรื่องไป
ถาม : แล้วควรใส่บาตรกับท่านไหมคะ ?
ตอบ : มีโอกาสก็ใส่ไป ถ้าหากท่านยังเดินรับอยู่ก็แปลว่าท่านเต็มใจที่จะหนัก เพราะถ้าท่านไม่เต็มใจ ท่านก็ไม่รับเองแหละ
ถาม : เพื่อนได้นำซองกฐินที่กระผมได้แจกร่วมทำบุญมาให้ หลังจากที่ทางวัดที่ระบุไว้มีการทอดกฐินไปแล้ว ๑ วัน ถ้าเป็นแบบนี้กระผมสามารถนำซองกฐินไปให้ทางวัดได้ไหมครับ ? และผู้ร่วมทำบุญยังคงได้อานิสงส์ของการทำบุญกฐินเต็มร้อยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปีหนึ่งพระสามารถรับกฐินได้ครั้งเดียว รับซ้อนไม่ได้ ก็แปลว่าถ้าปิดยอดไปแล้วไปรับเพิ่ม กฐินก็เดาะ (ขาดอานิสงส์) เพราะฉะนั้น...ถือว่าเป็นความผิดของคนทำบุญเองที่ไม่รู้จักนำไปให้ก่อนเวลาหรือให้ทันเวลา
ที่วัดท่าขนุนประกาศบอกไว้ชัดเจนว่าทอดกฐินบ่ายโมงตรง ประมาณบ่ายโมงครึ่งก็ปิดยอดเงินทุกอย่างเรียบร้อย บ่ายสามโมงเขาก็โผล่มาจะทำบุญกฐิน พอไม่รับมีการอาละวาดอีกว่าทำบุญแล้วทำไมไม่รับ ? โดยไม่พยายามเข้าใจกฎกติกาอะไรเลย คนประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก..!
ถาม : แล้วคนที่เป็นตัวกลาง เพื่อนเอาเงินยัดใส่มือมาแล้ว ควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ควรที่จะยัดคืนไป
ถาม : เมื่อผมอธิษฐานขอสัมผัสกระแสในวัตถุมงคลต่าง ๆ จะมีอาการขนลุกมากบ้างน้อยบ้าง ขอเรียนถามว่าอาการขนลุกนี้ เป็นอาการปีติของอุปจารสมาธิใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ปีติของอุปจารสมาธิจะสั่งแบบนี้ไม่ได้ ถ้าสัมผัสวัตถุมงคลแล้วขึ้น แสดงว่าสามารถที่จะกระทบหรือรับพลังได้จริง ๆ
ถาม : ทรัพย์สินของนอกกาย เมื่อเราตายไปคงนำติดตัวไปไม่ได้แน่นอน แต่วิชาความรู้ที่เราเรียนทั้งทางโลก และทางธรรม มาตลอดชีวิตนี้ เมื่อตายไปเราจะสามารถนำติดตัวไปกับดวงจิตได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจเข้าถึงธรรมระดับพระอริยเจ้าขึ้นไปสามารถติดตัวไปได้ กำลังใจและความรู้ที่ต่ำกว่านั้น ถ้าไปค้างคาอยู่ภพภูมิอื่นนานเกินไปก็จะลืมหมด เพราะฉะนั้น...บุคคลที่สามารถฟื้นความรู้เก่าได้ ต้องตายจากมนุษย์แล้วเกิดเป็นมนุษย์ทันที ห้ามไปค้างอยู่ที่อื่น ยกเว้นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เกิดกี่ครั้งก็ตาม สภาพจิตที่บริสุทธิ์ขนาดนั้นแล้วไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มีแต่จะเจริญขึ้น ดังนั้น...เมื่อรู้ความก็ปฏิบัติตามกฎกติกาของตนทันที โดยที่บางทีท่านไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่านั่นเป็นกติกาของพระอริยเจ้า
ถาม : การภาวนาเกิดบุญได้อย่างไร ?
ตอบ : การภาวนาตีเสียว่าเป็นการปฏิบัติธรรม อย่างน้อยเราก็ระงับกายกรรม วจีกรรม ได้ ๒ อย่าง ถึงมโนกรรมจะฟุ้งซ่านบ้างก็แปลว่าเราได้กำไรไปสองส่วนแล้ว ในเมื่อไม่ทำชั่วด้วยกาย ไม่ทำชั่วด้วยวาจา ถึงใจจะคิดชั่วบ้าง ส่วนบุญก็ยังมากกว่าบาป
ถาม : ถ้าไม่ทำบุญในการให้ทาน แต่ภาวนาอย่างเดียวจะได้ไหม ?
ตอบ : ได้...เกิดใหม่ฉลาดมาก แต่จนบรรลัยเลย..! คนฉลาดแล้วจนนี่หายาก ถ้าฉลาดต้องหาเงินเป็นสิ
ถาม : ในเมื่อการภาวนาเป็นเรื่องดี แต่ทุกวันนี้ทำไมเน้นให้คนบริจาคทานทำบุญมากกว่าการภาวนาและถือศีลครับ ?
ตอบ : เพราะการภาวนาถึงจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าบารมีไม่ถึงก็ทำไม่ได้ เรื่องของทานเป็นเรื่องของบารมีต้น ถ้าทำทานได้แล้วรักษาศีลต้องบารมีกลางขึ้นไป ส่วนการภาวนาต้องระดับปรมัตถบารมี ในเมื่อกำลังใจของคุณอยู่แค่ ป.๑ จะให้ไปเรียนปริญญาตรีย่อมไม่ไหว
ถาม : กระผมอยากทราบเกี่ยวกับคาถาหัวใจ ๑๐๘ ในแต่ละบทนั้น จะมีอานุภาพในด้านใดครับ ?
ตอบ : ไปหาซื้อหนังสือคาถาหัวใจ ๑๐๘ ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตรไปอ่านดีกว่า มีตั้งเกือบ ๔๐๐ หน้า แหม..ถามแบบไม่คิดเลยนะ
ถาม : ถ้าเราถือศีลปิดวาจา แล้วมีธุระจำเป็นต้องพูด เราสามารถพูดได้หรือไม่ครับ ? ถ้าพูดถือว่าศีลส่วนนี้ขาดหรือไม่ครับผม ?
ตอบ : ศีลของใคร ? ศีลปิดวาจา ไม่เคยได้ยิน
หลวงปู่บุดดาเคยบอกว่า "ไอ้พวกไม่พูดมันคิดไหมเล่า ? มันคิดมากกว่าที่พูดอีก" สรุปก็คือหุบปากแต่ก็ยังฟุ้งซ่านอยู่เหมือนเดิม คนที่ถือศีลปิดวาจา ส่วนใหญ่แล้วตั้งใจจะไม่พลาดในเรื่องของการพูดเท็จ หรืออาจจะรวมถึงการพูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เป็นต้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่ศีล แต่เป็นความประพฤติเฉพาะตนหรือเฉพาะสำนักเท่านั้น
ถาม : ในเรื่องศีลปิดวาจานี้ เราสามารถใช้การเขียนหรือพิมพ์ข้อความแทนการพูดได้หรือไม่ครับผม ?
ตอบ : ก็อย่างหลวงปู่บุดดาว่าไว้ ฟุ้งพอกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น..พูดไปเถอะ ง่ายกว่ากันเยอะเลย ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าทรงห้ามพระถือ "มูควัตร" หรือ "มูคปฏิปทา" ซึ่งก็คือการไม่พูดกัน เพราะถ้าตั้งสติไม่พูดได้ ก็ต้องตั้งสติพูดโดยธรรมได้ การถือศีลปิดวาจาจึงเป็นการสูญเปล่า ทำไปก็ฟุ้งซ่านมากขึ้น
ถาม : ถวายทองคำหนัก ๑ บาท ซื้อมาตอนราคาทองคำบาทละ ๒๐,๐๐๐ บาท กับถวายทองคำ ๑ บาทซื้อมาตอนราคาทองคำบาทละ ๑๘,๐๐๐ บาท อานิสงส์การถวายทองคำต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกันมาก ต่างกันสองพันบาท...! ถ้าน้ำหนักทองคำเท่ากัน อานิสงส์ก็เท่ากัน แต่อาจจะตัดใจยากหน่อยถ้าซื้อมาแพง
ถาม : มีอาการตอนฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุง อาการนี้จะเกิดขึ้นตอนบวงสรวง และตอนสมาทานพระกรรมฐาน จะมีน้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้โดยมีความรู้สึกตัวตลอด แต่ควบคุมไม่ได้ อาการแบบนี้คืออาการอย่างไร ? และถ้าเกิดอาการแบบนี้ต้องวางอารมณ์ใจอย่างไรถึงจะทำให้การปฎิบัติมีผลสูงสุดครับ ?
ตอบ : สังเกตให้ดี ๆ มีสองอย่างด้วยกัน ถ้าเกิดเพราะขุททกาปีติ น้ำตาไหล ถ้านึกว่าเราจะหยุดเมื่อไรก็หยุดได้ ถ้าลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย จะร้องไห้โฮ ๆ ลั่นไปสามบ้านแปดบ้านก็ต้องยอม ถ้าขึ้นเต็มที่แล้วก็จะก้าวผ่านไปได้ และจะไม่เป็นอีก
ส่วนอีกอย่างหนึ่งจะมีผู้ที่เข้ามาแทรกเข้ามาสิง ถึงเวลาก็มักจะแสดงอาการออก ลักษณะอย่างนั้นเราจะบังคับตัวเองไม่ได้ ก็โปรดระวังว่า...ถ้าเผลอเมื่อไรจะกลายเป็นร่างทรง..!
ถาม : ถ้าเป็นอย่างหลังห้อยพระเครื่องป้องกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีกรรมเนื่องกันมาก็ไม่สามารถที่จะป้องกันได้ ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมา แค่เราบอกว่าไม่เอา เขาก็หมดสิทธิ์แล้ว
ถาม : พระอาจารย์เคยสัมผัสกับญาณของพระฤๅษีที่เขาโป๊ปป้าบ้างไหมครับ (โดยเฉพาะฤๅษีโบโบอ่อง ฤๅษีโบมินข่อ) และในเมืองไทยมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้หรือไม่ ที่ไหนบ้างครับ ?
ตอบ : ที่เมืองไทยเห็นเขานิยมไปพระพุทธบาทเขาพลวงหรือพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏที่จันทบุรีกัน หรือไม่ก็พระพุทธบาทสี่รอย หรือพระพุทธบาทสระบุรี เป็นต้น ส่วนเรื่องของคนที่ตายไปแล้วอย่าไปพูดถึงท่านมากเลย เดี๋ยวท่านจะมาเหยียบเอา...!
ถาม : ในกรณีที่มีคนยังนับถือว่าเจ้าแม่กวนอิมท่านเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ หากจิตที่ใกล้ดับของท่านผู้นั้นตั้งความปรารถนาว่า เจ้าแม่ท่านอยู่ที่ใดก็จะขอตามท่านไปที่นั้น เมื่อท่านผู้นั้นตายลง จิตจะไปอยู่ที่แดนสุขาวดีตามความเชื่อ หรือว่าไปที่พระนิพพานครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วยว่ากำลังใจยังยึดมั่นอยู่ในองค์ท่านหรือเปล่า ? ถ้ายังยึดมั่นในองค์ท่าน อย่างเก่งก็ไปแค่พรหม บุคคลที่จะไปพระนิพพานได้ สภาพจิตต้องปล่อยวางทั้งหมด พูดง่าย ๆ ว่า แม้แต่พระนิพพานก็ไม่ยึด แต่อารมณ์ของพระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของตนเอง ดังนั้น..บาลีท่านถึงได้กล่าวว่า บุคคลที่เข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นสุกขวิปัสสโก ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย ก็จะรู้ว่าตนเองสามารถไปพระนิพพานได้ ท่านใช้คำว่า ญาณคือเครื่องรู้ปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้น...ถ้ายึดก็ไปไม่ได้ แต่ถ้าปล่อยโดยที่ตั้งความปรารถนาไว้ตอนต้นว่าจะไปพระนิพพาน โอกาสที่ไปได้จะมีมาก
ถาม : บ้านเป็นห้องแถวไม่มีดาดฟ้า ดิฉันควรจะตั้งศาลตี่จู้เอี้ยที่บริเวณไหนในบ้านคะ ?
ตอบ : หัวเตียง...! เพียงแต่ถ้าจะทำอะไรก็เกรงใจท่านบ้างก็แล้วกัน
ถาม : การที่เราเข้ามาในวัด แล้วมีเศษดินทรายติดตามรองเท้าหรือร่างกายก็ดี หรือการจอดรถภายในวัดแล้วอาจจะมีเศษดินทรายหรือใบไม้ติดตามรถกลับออกไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่เศษแผ่นทองที่ใช้ติดตามพระพุทธรูป บางครั้งอาจจะติดตามร่างกายเรากลับออกไปด้วยโดยไม่ได้เจตนา แบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นหนี้สงฆ์ทุกครั้งเวลาเราเข้าวัดหรือไม่ครับ ? หรือว่าเป็นเพราะผมฟุ้งซ่านเกินไป ขอหลวงพ่อเมตตาชี้แนะด้วยครับ
ตอบ : รู้ตัวเหมือนกันว่าฟุ้งซ่าน คนโบราณจิตละเอียดมาก แม้แต่การเดินเข้าวัดแล้วฝุ่นติดเท้าไปเขาก็ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้ใหญ่บางคนจะไปทำบุญที่วัด ให้เด็กหยิบดินก้อนหนึ่งที่บ้านใส่หาบไปด้วย ไปถึงวัดก็โยนไว้ในวัดเป็นการชำระหนี้สงฆ์ แต่โบราณาจารย์ก็กำหนดให้มีการขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์เช่นกัน
ปัจจุบันกิจกรรมพวกนี้ไม่มีแล้วหรือหาได้ยาก ก็แปลว่าเรามีโอกาสติดหนี้สงฆ์เช่นกัน ดังนั้น..ปีหนึ่งควรทำการชำระหนี้สงฆ์สักหน่อย เพื่อที่จะได้พ้นโทษจากตรงจุดนี้
ถาม : กรณีที่เราไปวัด เราก็เอาเงินไปหยอดตู้ชำระหนี้สงฆ์ แล้วอธิษฐานว่า เราขอชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะค่าน้ำ ไฟ หรือดิน ทรายที่ติดไปกับเราได้ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องคุ้มกับสิ่งนั้นด้วย ไม่ใช่ใช้ไฟวัดสามวันสามคืนแล้วหยอดตู้ไป ๕ บาท..!
ถาม : การที่คนได้นำเอาผลไม้หรืออาหารมาถวายที่วัดจีนหรือตามศาลเจ้า หลังจากนั้นถ้ามีการลาอาหารหรือผลไม้กลับบ้านไปด้วย จะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าเป็นศาลเจ้าจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นในวัดจะมีปัญหา เพราะในวัดถือว่าเป็นของสงฆ์ ต้องให้พระทั้งหมดอนุญาตเสียก่อน
ถาม : การที่คนได้นำเอาไข่ต้มไปถวายพระพุทธรูปที่วัดเพื่อเป็นการแก้บน แล้วได้ลานำไข่ไก่กลับไปบ้านด้วย เท่ากับเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นแน่ ๆ เพราะการถวายคือเอาไปให้ท่าน ท่านไม่ได้บอกคืนเสียหน่อย ดันยกกลับเอง ถวายแล้วก็มอบให้กับทางวัดไป แล้วแต่ท่านจะจัดการ แต่ถ้าอย่างวัดท่าขนุนนี่นั่งกลุ้มเลย มาแก้บนสามราย ไข่ร้อยฟองทั้งสามราย ที่วัดต้องต้มพะโล้กินไปเป็นอาทิตย์...! คราวหน้าบนเป็นไข่สดบ้างสิ บนเป็นไข่ต้มถึงเวลาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากไข่พะโล้
ถาม : การที่บ้านคนจีนมักมีการตั้งตี่จู้เอี๊ยหันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน ทั้งที่บางครั้งไม่ใช่ทิศตะวันออก จะเป็นอะไรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ศาลเขาไม่ได้บังคับว่าต้องหันหน้าไปตะวันออก เขาเอาแค่ว่าอยู่ให้ถูกทิศ ส่วนหน้าศาลหันไปทางไหน อยู่ที่ว่าเราไหว้ได้สะดวก ส่วนใหญ่พวกเรามักจะเอาหลายเรื่องไปยำรวมกันแล้วก็มั่วไปหมด
ถาม : ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อ ช่วยกรุณาให้ความรู้แก่ศิษย์ เกี่ยวกับคัมภีร์สุวรรณโคมคำ หรือคัมภีร์มหาจักรพรรดิราชด้วยครับ ?
ตอบ : คัมภีร์มหาจักรพรรดิราชหรือคัมภีร์สุวรรณโคมคำมักจะเกี่ยวข้องกับพญานาค โดยเฉพาะพญาศรีสุทโธนาคราชที่เขาเชื่อถือกันอยู่
เขาเชื่อว่าคัมภีร์นี้เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิที่อุบัติขึ้นหลังจากสมเด็จองค์ปฐมปรินิพพานไปแล้ว ในคัมภีร์นี้กล่าวถึงความรู้อยู่ ๓ ส่วนด้วยกัน ส่วนที่ ๑ เป็นการทำนายทายทักแบบโหราศาสตร์ ส่วนที่ ๒ เป็นการทำนายทายทักโดยการอาศัยทิพจักขุญาณ ส่วนที่ ๓ เป็นส่วนของการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม ท่านบอกว่า เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิสวรรคตแล้วก็ได้ฝากให้หมู่พญานาครักษา และส่งต่อคัมภีร์ให้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ต่อ ๆ ไป ก็รอดู...ถ้าคัมภีร์โผล่ขึ้นมาก็แปลว่ามีพระเจ้าจักรพรรดิมาเกิดแน่
ถาม : ปัจจุบันแม้ศิษย์จะมีความอุ่นใจที่มีวัตถุมงคลของท่านอาจารย์ทั้งหลายอยู่ใกล้ตัว เพื่อคุ้มครองป้องกันภัยทั้งจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย แต่ก็มีความรู้สึกว่าเรายังเหมือนเป็นเนื้อหอยในฝาหอย หากไม่มีฝาหอยอันแข็งแกร่งคอยป้องกันแล้ว เนื้อหอยนี้ก็ดูอ่อนนุ่ม และยังน่าจะเป็นอันตรายอยู่มาก จึงอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ในขณะที่เรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ถ้าบังเอิญต้องไปอยู่ในที่อันตราย ทั้งจากมนุษย์และอมนุษย์แล้ว โดยที่ไม่มีวัตถุมงคลใด ๆ ติดตัวไปเลย และไม่ได้รับยันต์ใด ๆ ไว้กับตัว เราควรใช้วิธีไหน เพื่อปกป้องคุ้มครองตัวเอง ได้อย่างดีและปลอดภัยที่สุดครับ ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระหรือคุณพระไว้ตลอดเวลา เชื่อเถอะ...พอถึงเวลาลำบากจริง ๆ ก็จะทำได้เอง ตอนสบายไม่ค่อยจะนึกหรอก ตอนรู้ว่าจะตายนี่ใจทรงเป๊ะเลย โดยเฉพาะตอนเสือจะขบหัวหรือช้างจะกระทืบ..!
ถาม : วัดท่าขนุน กำหนดการวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๙ คือ งานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งตรงวันเสาร์ ๕ ตามปฏิทินปัจจุบัน กราบเรียนสอบถามท่านพระอาจารย์ว่า ถ้าตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ตามที่เว็บสะพานบุญจำหน่าย ปี พ.ศ.๒๕๕๙ วันดังกล่าวจะไม่ได้เป็นวันเสาร์ ๕ แต่จะตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ แทน ใช้ได้ทั้งสองวันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะใช้ได้หรือไม่ได้อยู่ที่พระท่านสั่ง ถ้าท่านสั่งวันไหนก็ใช้ได้วันนั้นแหละ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงกำหนดการเป่ายันต์เกราะเพชรไปแล้ว พระท่านเสด็จมาว่า "แกแหกตาดูหรือเปล่าว่าเป็นวันเสาร์แรมห้าค่ำ" หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ตกใจ ถามว่า "ผมจะทำอย่างไรครับ ?" พระท่านบอกว่า "ไม่เป็นไร ถ้าฉันจะช่วย ก็ใช้ได้" สรุปว่าท่านสั่งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อย่าเสือกสงสัยมาก...!
ถาม : ผมมีความสนใจที่อยากจะฝึกกสิณ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของจิตให้เป็นสมาธิโดยเร็ว และเพื่อทิพจักขุญาณ โดยมีความชอบในอาโลกกสิณเป็นพิเศษครับ ผมยังอยากจะหาโอกาสได้ฝึกภาคปฏิบัติจริง ภายใต้การดูแลแนะนำของครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ในแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างใกล้ชิด จึงอยากจะกราบรบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำพระอาจารย์ หรือสถานที่ที่เปิดสอนกสิณในกรุงเทพฯ ในเชิงปฏิบัติจริงอย่างถูกต้องให้ด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่มี
ถาม : กระผมกราบขออนุญาตเรียนถามว่า ในปัจจุบันมีการตั้งครรภ์ในกรณีพิเศษ ๒ แบบ คือ ๑. ภรรยาไม่สามารถตั้งครรภ์เองได้ จึงหาผู้หญิงมาอุ้มบุญ (นำตัวอ่อนไปฝากไว้ในครรภ์คนอื่น) และ ๒. สามีเป็นหมัน จึงขอรับบริจาคน้ำเชื้อและตั้งครรภ์เอง ทำให้บุตรที่เกิดจากสองกรณีนี้ไม่ทราบว่าใครคือบิดาและมารดาที่แท้จริง คำถาม คือ ในกรณีที่ ๑ อุ้มบุญ จะถือว่าเด็กที่เกิดมามีแม่ ๒ คน คือ แม่ที่เป็นเจ้าของไข่ที่ผสม กับแม่ที่อุ้มท้องใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : แม่ที่อุ้มท้องถือว่าเป็นแม่ที่แท้จริง
ถาม : ในกรณีที่ ๒ คือ รับบริจาคน้ำเชื้อ จะถือว่าเด็กที่เกิดมามีพ่อเพียงคนเดียว คือ เจ้าของน้ำเชื้อใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูกต้อง
ถาม : หากเด็กที่เกิดจากทั้ง ๒ กรณีทำให้บิดา (เจ้าของน้ำเชื้อ) หรือมารดา (ที่อุ้มบุญ) เสียชีวิต โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบิดามารดา ในกรณีนี้เข้าข่ายอนันตริยกรรมใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าฆ่าถูกตัวก็อนันตริยกรรม
ถาม : ในกรณีที่ครรภ์เป็นพิษและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งแม่และเด็ก โดยหมอให้สามีเลือกรักษาชีวิตภรรยาหรือบุตรในท้องเพียง ๑ คน หากสามีต้องเลือกให้คนหนึ่งรอดชีวิต เท่ากับตัดสินให้อีกคนหนึ่งตาย ในกรณีนี้ทำให้ศีลข้อ ๑ ปาณาติบาตขาดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาดแน่นอน
ถาม : กรณีที่มีการโคลนนิ่งเด็กขึ้นมาใหม่ และเด็กที่โคลนนิ่งไปฆ่าบิดาหรือมารดาของเด็กคนเดิม ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็น..ได้เลือดเนื้อเขามาจึงก่อเกิดเป็นชีวิต ถือว่าเขาให้ชีวิตมา คนที่ให้ชีวิตมาคือพ่อหรือแม่นั่นเอง
ถาม : หลังจากที่รับยันต์มา เข้าใจว่ายันต์เกราะเพชรเป็นยันต์ที่พระท่านเมตตาให้ไว้เป็นพุทธานุสติ โดยมีพื้นฐานคือศีล ๕ ข้อ แต่อย่างน้อยผู้รับยันต์ต้องรักษาศีลอย่างน้อยสองข้อดังที่หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ สังเกตว่าช่วงนี้ เวลาที่คิดไม่ดี พูดจาไม่ดีไป จะรู้สึกร้อนที่ใจกว่าปกติ ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมครึ่ง ๆ กลาง ๆ ค่ะ จึงคิดว่า เวลาที่เราทำอะไรผิด คิดร้ายพูดร้ายต่อใครแม้เพียงเล็กน้อย เหมือนผลจะกลับมาทันที เลยอยากทราบว่าที่เป็นเพราะคิดไปเอง หรือเพราะสิ่งที่เกิดเตือนเพื่อพุทธานุสติ ?
ตอบ : ตกลงว่าเริ่มรู้สึกสำนึกเสียใจที่ไปรับยันต์มา...ใช่ไหม ? ยันต์เกราะเพชรเป็นพุทธานุสติอยู่แล้ว ท่านให้ไว้เพื่อป้องกันตนเอง การป้องกันจะมีผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับศรัทธาและสมาธิของคนนั้น ๆ ยังดีที่เป็นคนละอายชั่วกลัวบาป ทำผิดแล้วยังรู้สึกวูบขึ้นมาบ้าง
ถาม : ไปวัดท่าขนุนมาเมื่อ ๑๗ ต.ค. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา บูชาลูกประคำมา ๑ เส้น เมื่อกลับมาที่บ้าน นับลูกประคำได้ ๑๑๓ ลูก ซึ่งปกติ ๑๐๘ ลูก จะเป็นอะไรไหมครับ ?
ตอบ : เสียดาย..หวยน่าจะออกไปแล้ว...! ถือว่าเกินดีกว่าขาด
ถาม : วันเสาร์นั่งสมาธิที่บ้านวิริยบารมี จนเกิดหลุดเข้าสู่แสงสว่างจ้า จากที่อาการง่วง ๆ จิตก็จะสดชื่น รู้ตัวทั่วพร้อมดี มาถึงตอนนี้ก็มักจะถึงเวลาเลิกนั่ง ควรพิจารณาต่ออย่างไรคะ ?
ตอบ :ให้ทำใจไว้ว่าอย่าอยาก และอย่าเชื่อว่าตนเองดี ตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างเดิมต่อไปบ่อย ๆ จนเข้าถึงอารมณ์ใจนั้นบ่อย ๆ ได้ทุกเวลาที่ต้องการ
ถาม : ที่ด้านหลังซุ้มเรือนแก้วของพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุงโดนทาสีแดง เป็นสัญลักษณ์พิเศษอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องไปถามที่วัดท่าซุง
ถาม : หากพระภิกษุรูปหนึ่งได้รับว่าตนครอบครองทรัพย์สินของโยมที่มีมูลค่าเกิน ๑ บาท โดยรับปากว่าจะคืนทรัพย์สินนั้น พร้อมกับโยมได้มีการทวงถามทั้งด้วยตนเองและฝากผู้อื่นไปทวงนับสิบครั้ง แต่พระภิกษุเล่นแง่ไม่ยอมคืนทรัพย์สินโดยอ้างหลากหลายเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ซึ่งปรากฏชัดถึงไถยจิตที่ต้องการกลั่นแกล้งหรืออะไรก็ตามที่มิใช่กิจของสงฆ์ โดยระยะเวลาผ่านมาร่วมหนึ่งเดือนกว่า โยมก็ยังไม่ได้รับความคืบหน้าใด ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง โยมปลงตกกับพฤติกรรมของพระภิกษุรูปนั้น จึงเลิกติดตามและตัดสินใจทอดธุระทรัพย์สินทั้งหมดนั้นโดยเด็ดขาด ในกรณีนี้ถือว่าพระภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้วใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของการตัดสินตามพระธรรมวินัยเขาเรียกว่า สัมมุขาวินัย ต้องพร้อมหน้ากันทั้งโจทก์ จำเลย ผู้ตัดสินที่รู้ในพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง และคณะสงฆ์ ฉะนั้น...คำถามนี้ถ้าตอบไปถือว่าผิดมารยาท เพราะว่ามีแต่โจทก์ฝ่ายเดียว ถ้าเขาหาโจทก์ จำเลย และคณะสงฆ์มาพร้อมกันได้แล้วค่อยถามใหม่
การระงับอธิกรณ์หรือตัดสินพระธรรมวินัยข้อที่นิยมใช้มากที่สุด เรียกว่า สัมมุขาวินัย ท่านใช้คำว่า ถึงพร้อมด้วยโจทก์ ด้วยจำเลย ด้วยผู้ตัดสินและคณะสงฆ์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คำถามบางอย่างที่เกี่ยวกับการตัดสินอธิกรณ์ ไม่สามารถที่จะว่ากล่าวโดยบุคคลฝ่ายเดียวได้ และที่สำคัญที่สุด ถ้าเป็นอาบัติหนักตั้งแต่สังฆาทิเสสขึ้นไป ห้ามอนุปสัมบันอยู่ในสถานที่นั้นด้วย แปลว่าสามเณร หรือฆราวาส ก็ไม่สามารถที่จะอยู่ฟังได้ ดังนั้น...ปัญหาที่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องปาราชิกจึงไม่สามารถตอบในที่นี้ได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงวันพ่อที่ผ่านมา บวชสามเณรถวายกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถามเณรทั้งหมดว่า สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือใคร ? ไม่มีใครตอบได้ ถามพระพี่เลี้ยง พระพี่เลี้ยงก็ไม่แน่ใจ พอเฉลยว่าเป็นสามเณรราหุล ยังมีการทักท้วงว่า "เห็นเขาเรียกว่าพระ" ก็จริงของเขา
สามเณรราหุลเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา แต่พอสำเร็จอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าเรียกว่าพระเถระ ก็เลยกลายเป็น "พระราหุล" มาตลอด"
"ความจริงสามเณรราหุลไม่ได้ตั้งใจบวช แต่เกิดจากพระนางพิมพาราชเทวี พอได้ยินว่าพระสมณโคดมหรืออดีตเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จมาเยี่ยมพระประยูรญาติ ก็แอบดูอยู่ข้างหน้าต่าง พอเห็นพระพุทธเจ้าก็จำได้ ชี้ให้สามเณรราหุลซึ่งตอนนั้นเป็นราหุลราชกุมารดู "ดูก่อน...ราหุล พระสมณะที่เดินมา มีเหล่าภิกษุแวดล้อม ประดุจหมู่ดาวล้อมไว้ซึ่งดวงเดือนนั้น ก็คือ พระบิดาของเจ้า ขอให้เจ้าไปทูลขอสมบัติจากพระบิดา" เพราะว่าตอนที่พระพุทธเจ้าประสูติ มีขุมทองปรากฏขึ้นทั้งสี่ทิศ ถ้าไม่ใช่พระองค์ท่านแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอามาใช้จ่ายได้ พระนางพิมพาท่านหมายถึงอย่างนั้น
เมื่อพระพุทธเจ้าโปรดพระประยูรญาติแล้ว เสด็จไปยังนิโครธาราม พักอยู่ที่นั่น ราหุลราชกุมารก็ตามไป พระพุทธเจ้าเห็นก็ถามว่ามาทำอะไร พระราหุลก็บอกว่าพระมารดาให้มาทูลขอสมบัติ พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า ขึ้นชื่อว่าโลกียสมบัตินั้นไม่ยั่งยืน เอาโลกุตรสมบัติที่เป็นอริยทรัพย์เถอะ แล้วก็ตรัสให้พระสารีบุตรนำพระราหุลไปบรรพชา ก็คือบวชเณร พระสารีบุตรจึงกลายเป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรกในพระพุทธศาสนา
พระสารีบุตรถามพระพุทธเจ้าว่าจะให้บรรพชาอย่างไร ? ทรงตรัสว่าให้กุลบุตรโกนผม โกนหนวด ตัดเล็บ นุ่งห่มผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด นั่งกระโหย่ง ไหว้เท้าพระอุปัชฌาย์ แล้วกล่าวว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ , ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ , สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แค่นี้บวชเสร็จแล้ว"
"มีคนถามว่าพระราหุลนิพพานเมื่ออายุเท่าไร ? ส่วนใหญ่หากันไม่เจอ พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชวันที่ราหุลราชกุมารเกิด ออกบวชอยู่ ๖ ปีจึงตรัสรู้ ผ่านไป ๑ พรรษาจึงเสด็จไปโปรดพระยูรญาติ ก็แปลว่า ๗ ปี พระราหุลอายุได้ ๗ ขวบ บรรพชาสำเร็จมรรคผลแล้ว ก็ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างแก่ภิกษุอื่นเรื่อยมา เมื่อพิจารณาว่าตนเองสมควรจะนิพพานหรือยัง ? เห็นว่าพระอัครสาวกทั้งสองก็นิพพานไปแล้ว วาระที่สมควรมาถึงเราแล้ว ดังนั้น...พระราหุลจึงตั้งใจนิพพาน ณ ดาวดึงสเทวโลก ท่านไปนอนที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นปกติ
พระอัครสาวกทั้งสองนิพพานก่อนพระพุทธเจ้าหนึ่งปีโดยประมาณ ก็แปลว่าพระพุทธเจ้าต้องอายุ ๗๙ ปี ทรงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุ ๓๕ ถึง ๗๙ ก็คือ ๔๔ ปี บวก ๗ ปีอายุโดยประมาณของราหุลตอนบวชสามเณร ก็เป็น ๕๑ ปี เพราะฉะนั้น...ถ้าคิดโดยเฉลี่ย พระราหุลนิพพานตอนอายุ ๕๑ ปี ถ้าใครคิดว่าน้อย โปรดคิดเสียใหม่ อาตมาบวชตอนอายุ ๒๗ ปี ตอนนี้ผ่านไป ๓๐ พรรษา ปัจจุบัน ๕๗ ปี บวชจนเหนียงยานเลย แต่พระราหุล ๔๔ พรรษา ใครว่าบวชน้อย ถ้าคิดว่าท่านบวชน้อยก็คิดเสียใหม่"
"แต่มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า พระนางพิมพาราชเทวีก็นิพพาน พระอัครสาวกซ้ายขวาที่รับปกครองคณะสงฆ์แบ่งเบาภาระของพระองค์ท่านนิพพานไปแล้ว พระนางปชาบดีโคตมีที่เป็นหัวหน้าภิกษุณีทั้งปวงก็นิพพานไปแล้ว พระราหุลที่ชื่อว่าเป็นหัวหน้าสามเณรก็นิพพานไปแล้ว สรุปว่าช่วงวาระปีสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ถ้านับอย่างคนทั่วไปแทบจะอยู่คนเดียว ก็แปลว่าคนแก่อายุ ๘๐ มือเท้าที่จะทำงานแทนไปกันหมดแล้ว ถ้ามาคิดอย่างพวกเราคงจะเฉาเลย
แต่พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นปกติธรรมดาของโลก เมื่อเห็นว่าปกติธรรมดาของโลกเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่ได้มีอะไรที่ต้องหวั่นไหว แต่ในสายตาปุถุชนอย่างพวกเราคงจะเฉาไปเลย และที่เฉานี่แหละ อาตมาเห็นมาหลายคน ก็คือ พอคู่ของตนเองตาย ไม่นานตัวเองก็ตายตามไปด้วย อย่างข่าวของต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ ที่ตายายคู่หนึ่งตายไล่ ๆ กัน ห่างกันไม่กี่ชั่วโมง คงลักษณะเดียวกัน กำลังใจไปยึดถือคนอื่นมากเกินไป ในเมื่อยึดคนอื่นมากเกินไป รู้สึกว่าไม่มีเขาแล้วเราจะอยู่ไม่ได้ พอเขาตาย เราก็เลยพลอยตายตามไปด้วย แบบนี้น่าจะไปเกิดเป็นฝาแฝด รักกันมากก็เลยต้องไปเกิดด้วยกัน"
"ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องให้รู้เดียงสา สามารถที่จะไล่กาได้ ก็คืออีกามักจะมาขโมยกิน แล้วอีกาเป็นนกที่ฉลาดมาก ฉะนั้น...เด็กต้องฉลาดพอที่จะไล่อีกาได้ ถึงจะได้บวช
เนื่องจากการเข้าถึงมรรคผลต้องมีการตัดสินใจด้วยปัญญา ถ้าปัญญาไม่พอเพียง บวชไปแล้วโอกาสจะได้มรรคผลก็น้อย ยิ่งเป็นเด็ก ถ้าเข้าไม่ถึงมรรคผล โอกาสที่จะทำผิดพลาดจนเกิดโทษใหญ่ก็มีมาก แต่ในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงสามเณรหลายรูปที่บรรลุอรหันต์ตอน ๔ ขวบบ้าง ๕ ขวบบ้าง นั่นถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะพัฒนาการของท่านเร็วกว่าคนอื่น ตีเสียว่ามาตรฐานคือ ๗ ขวบก็แล้วกัน"
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงวันพ่อที่วัดจัดงานบวชเณร ตอนแรกทางโรงเรียนบอกว่ามีร้อยกว่ารูป เพราะเอานักเรียนที่ติด ร. มาบวชแก้ ร. ปรากฏว่ามีหมูไม่กลัวน้ำร้อน แต่กลัวบวช หนียกห้องไปห้องหนึ่ง ก็เลยเหลือแค่ ๘๓ รูป ๘๓ รูปมีพวกติด ร.อยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าเณรก็ล้นตามประสาวัยรุ่น อาตมาเลยแจกสายไฟไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไปทำร้ายร่างกายผู้ทรงศีลหรือเปล่า อาตมานั่งไม่ติดมาหลายวันแล้ว ปวดหลังเหมือนหลังจะขาด ให้หมอนวดให้ใครก็แก้ไม่หายทั้งนั้น จึงมาดูชะตากรรมตัวเองว่าจะนั่งตรงนี้ได้อีกสักเท่าไร ถ้าปวดขนาดนั้นนี่นั่งไม่ไหวจริง ๆ
ของบางอย่างก็ไปตามวาระ โดยเฉพาะสภาพร่างกาย ยิ่งอายุมากก็ยิ่งชำรุดง่าย หมอนวดบอกว่าเส้นหลังของอาตมาตึง สองข้างสูงต่ำต่างกันเห็นชัด ๆ เลย แล้วด้านที่สูงนั้นปวดอย่าบอกใคร เหมือนกับเส้นหดไปข้างหนึ่ง นี่ถ้าอากาศหนาวกว่านี้ไม่รู้ว่าจะแย่แค่ไหน พอเย็นแล้วส่วนใหญ่เอ็นจะหดตัว คราวนี้พอยืดไม่ออกก็ปวดอยู่นั่นแหละ ก็แค่บอกให้รู้ว่าแก่แน่ ๆ ไม่เป็นไร...ถ้านั่งไม่ไหว พวกเราก็ไปวัดกันแทนนะ เพียงแต่ว่าถ้าไปวัดก็ไปไม่ได้กันทุกเดือน ไปกันทุกเดือนก็เปลืองค่ารถตายชัก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เขาปิดถนน อาตมาอยากจะแสดงความเห็นสักนิดหนึ่ง งานปั่นเพื่อพ่อนี้ไม่ได้ทำเพื่อพ่อจริง ๆ แต่ทำเพื่อตัวเอง ที่ตั้งข้อสังเกตอย่างนี้เพราะว่ามาจัดงานวันศุกร์ ในหลวงของเราทำงานชนิดแทบจะเรียกว่าวันหนึ่งมี ๒๕ ชั่วโมง แต่งานนี้เรามาจัดงานเบียดบังเวลาราชการไปวันหนึ่งเต็ม ๆ ถ้าจะเสียสละเพื่อพ่อจริง ๆ ต้องจัดงานวันเสาร์หรืออาทิตย์ เพราะเป็นเวลาพัก เป็นเวลาหยุดของเรา ถ้าเราไปปั่นจักรยานเพื่อพ่อลักษณะอย่างนั้นก็ใช่เลย เพราะเราสละเวลาของเราเองออกไป ไม่ใช่วันนี้เราไปปั่นจักรยาน แล้วก็กลับบ้านมานอนสบายใจเฉิบ ไม่ต้องทำงาน พฤติกรรมนี้ในหลวงท่านไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต
แล้วส่วนหนึ่งที่ออกไปเพราะเกรงใจเจ้านาย บรรดาหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะหน่วยราชการ ถ้าหัวหน้าหน่วยงานไม่ไปก็อาจจะโดนเพ่งเล็ง แล้วถ้าหัวหน้าหน่วยงานไป ลูกน้องไม่ไปก็อาจจะโดนเพ่งเล็ง ไล่กันไปตามลำดับ สรุปว่าเป็นภยาคติ ไปเพราะกลัวมากกว่า แต่ว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดี เนื่องจากว่าได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เห็นความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ แต่ที่ติงอยู่หน่อยเดียวก็คือน่าจะจัดงานวันหยุด เพราะไม่อย่างนั้นวันนี้ปิดถนนไปครึ่งวัน แล้วคนที่ทำงานจะทำอย่างไร ? เดินทางก็ลำบาก ไม่ไปก็อาจจะโดนเจ้านายเฉ่งเอา อยากจะไปขี่จักรยานเพื่อพ่อก็ไม่ได้ ยุ่งยากหลายอย่างเหมือนกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกบัญชีทองคำเดือนที่แล้วติดลบแค่ ๓ ล้านกว่าบาท อาตมาก็ดีใจว่าจะหมดหนี้แล้ว ปรากฏว่าทองคำมาลดราคาอีก จึงซื้อไปอีก ๑๔ ล้านกว่าบาท สรุปว่าเดือนนี้เป็นหนี้ค่าทองคำเกือบ ๒๐ ล้านบาท ฉะนั้น...ญาติโยมอย่าว่ากันเลยนะว่า ทำไมอาตมาถึงได้สร้างหนี้ได้เก่งแท้ เพราะถ้าตอนนี้ไม่ฉวยโอกาสซื้อไว้ พอขึ้นราคาไปมากนี่ก็ซื้อไม่ได้แล้ว"
"จะสร้างวัตถุมงคลแต่ละทีต้องเช็คราคาให้ดี มีอยู่เที่ยวหนึ่งเจอทองบาทละ ๒๗,๕๐๐ บาท แล้วลดลงตอนซื้อเหลือ ๒๗,๒๕๐ บาท ก็ต้องซื้อ...เพราะช่วงนั้นทำวัตถุมงคลพอดี น่าจะเป็นพระไพรีพินาศ มานึกถึงตอนที่ซื้อวันก่อน ๑๘,๒๐๐ บาท โอ้โฮ...ต่างกันราวฟ้ากับเหว บาทละ ๙,๐๐๐ กว่า พอเห็นเขาลงมาก็เลยซื้อ ถ้าไม่ซื้อเก็บเอาตอนนี้ พอขึ้นไปมาก ๆ แล้วหาเงินไม่หวาดไม่ไหว ยอมจ่ายเกินบัญชีไว้ก่อนดีกว่า
งานนี้ก็ไปตกหนักที่ตัวเล็กของเราแล้ว เขาอุตส่าห์ตะเกียกตะกายช่วยหลวงพ่อจนหนี้จะหมดอยู่แล้ว เพราะว่ากระทู้ของเขาได้มา ๑๐ กว่าล้านบาท งวดก่อนซื้อไปประมาณ ๑๕ ล้านบาท เหลืออยู่ประมาณ ๓ ล้านนิด ๆ นึกว่าจะหมดแล้ว หลงดีใจ หลวงพ่อเพิ่มมาให้อีก ๑๔ ล้านกว่าบาท พอซื้องวดนี้แล้วเท่ากับยังขาดทองคำอีกประมาณ ๒๐ กิโลกรัมเท่านั้น ไม่ต้องหนักใจ ถ้าแค่ ๒๐ กิโลกรัมถึงขึ้นไป ๓๐,๐๐๐ บาทก็ซื้อไหว จะหาที่ต่ำกว่า ๑๘,๐๐๐ บาทก็ยาก เพราะว่าระยะนี้ราคาทองคำขึ้นลงเร็ว
ช่างเขาพยายามเร่งมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำเพื่อที่จะให้เสร็จ แต่ปรากฏว่าทางด้านผู้ออกแบบมีญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต มัวแต่จัดงานศพอยู่ ไม่มีเวลามาถอดแบบให้ พอถอดแบบเป็นมาตราส่วน ๑ ต่อ ๑ ไม่ได้ ช่างเขาก็แกะสลักไม้ไม่ได้ ก็เลยช้าไปนิดหนึ่ง ตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่แล้ว เพราะเขามาดูงานแล้วสั่งแก้ไข สองวันนี้ช่างคงเบิกค่าแรงประมาณ ๓ ล้านบาท เพราะว่าจากสัญญาที่ทำเอาไว้ ๑๓ งวด ถ้าหากว่าเบิกครั้งนี้เขาเบิกได้ ๓ งวดรวดเลย ก็เท่ากับว่าเบิกไป ๑๐ งวดแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวกับคณะญาติโยมที่นำดวงแก้วมาถวายว่า "อยากจะบอกโยมว่า อย่าไปหา “ของนอก” มาก เดี๋ยว “ของใน” จะไม่ได้อะไร ตะเกียกตะกายไปเรื่อย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะดีเท่าไรก็ตาม สู้มรรคผลในใจของเราไม่ได้ ฉะนั้น...มรรคผลในใจของเราจึงสำคัญที่สุด
บางอย่างก็เหมือนกับท่านตั้งใจทดลองเรา ว่ายังจะเดินทางไกลอีกสักเท่าไร ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะอยู่ในลักษณะที่มัวแต่ไปแสวงหาสิ่งอื่นอยู่ ปุบปับเราเป็นอะไรไปก็จะไม่ได้ในจุดที่ต้องการ ทำเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว เริ่มทำอะไรเพื่อตัวเองได้แล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าตั้งใจมากจะโดนลองของแรงมากเป็นปกติ เมื่อเดือนที่แล้วมีแม่ชีอยู่ ๒ รูป รูปหนึ่งเพิ่งเรียนจบ ปวช. เป็นตายก็ต้องบวชให้ได้ จะบวชไม่สึก ปรากฏว่าอยู่วัดได้ไม่ถึงเดือนก็สึกกลับบ้าน ส่วนอีกคนหนึ่งอธิษฐานว่าถ้ามีกุฏิเป็นของตัวเองจะบวชไม่สึก อาตมาก็เลยจัดกุฏิให้ อยู่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็สึก..!
เราตั้งใจแรงมาก เขาก็ลองแรงมาก รายที่บอกว่าได้กุฏิจะไม่สึก อยู่ ๆ พ่อก็ป่วยจนทำงานไม่ไหว โทรมาเช้ากลางวันเย็น เมื่อไรจะกลับไปช่วยงานพ่อสักที ต้องสึกไปจนได้ อย่างอาตมาเปิดกว้างมาตั้งแต่พรรษาที่ ๓ พูดง่าย ๆ ว่า ใครมาขอแต่งงานด้วยกูจะสึกทันที แหม..หนีหายหมดเลย..!"
ถาม : วิสุงคามสีมาต้องเป็นวัดเท่านั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่เป็นวัดก็ได้ อย่างวิสุงคามสีมาของสำนักสงฆ์ แต่ต้องเป็นสำนักสงฆ์ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ถาม : วิสุงคามสีมาได้แค่สองอย่างคือวัด กับสำนักสงฆ์ขึ้นทะเบียน ?
ตอบ : ถ้าสำนักพุทธฯ ขึ้นทะเบียนแล้วขอวิสุงคามสีมาได้เลย แต่สำคัญที่สุดก็คือหลักฐานที่ดินต้องชัดเจน
ถาม : แล้วที่เป็นที่พักสงฆ์ละครับ ?
ตอบ : ยังขอไม่ได้ ที่พักสงฆ์ส่วนใหญ่แล้วแค่แจ้งผู้ปกครองตามลำดับชั้นทราบว่าไปอยู่ตรงนั้น แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต หรือว่าไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักพุทธฯ
ถาม : อย่างเกาะพระฤๅษีตอนนี้เป็นแบบไหนครับ ?
ตอบ : ตอนนี้เกาะพระฤๅษีเป็นที่พักสงฆ์ เป็นสำนักสงฆ์ก็เป็นไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเอกสารสิทธิ์
ถาม : เพราะอยู่ที่ป่าไม้ ?
ตอบ : ไม่ใช่...พื้นที่เป็นช่องว่าง ทางด้านโน้นของฝั่งน้ำก็คือ เขตป่าสงวนเขาพระฤๅษีเขาบ่อแร่ ทางด้านหน้าก็คือเขตของอุทยานแห่งชาติศรีนครินทร์ เป็นช่องโหว่อยู่พอดี ไม่มีเจ้าของ แล้วไปขอให้ใครช่วยเซ็นรับรองให้ เขาก็ไม่อยากยุ่งด้วย ในเมื่อไม่มีใครรับรองเรื่องที่ดิน ก็เลยขอไม่ได้สักที คาอยู่อย่างนั้น
ถาม : ถ้าครอบครองปรปักษ์เกิน ๑๐ ปี แล้ว เราไปขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ ?
ตอบ : ลำบากตรงที่ว่า ถ้าเราไปแจ้งก็จะกลายเป็นพื้นที่ในเขตอุทยาน แต่ตอนนี้เจ้าของเขายืนยันว่าไม่ใช่พื้นที่ของเขา ยุ่งตายชักเลย
ตอนไปอยู่ใหม่ ๆ พอดีผู้ช่วยอุทยานเขาอยู่ ก็ถามเขา เขาบอกว่าของเขาแต่ดั้งเดิมเลยก็คือลำห้วยด้านหน้า พอมีถนนก็เลยเอาถนนเป็นเขตเพราะสะดวกกว่า เพราะถ้าเป็นลำห้วยเมื่อน้ำหลากก็เปลี่ยนแปลงได้ พอไปถามป่าสงวน ป่าสงวนเขาก็ยืนยันว่าของเขาลำห้วยด้านนี้ ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า "นี่ถ้าผมรู้ว่าไม่มีเจ้าของ ผมอมไปนานแล้ว" นี่ถ้าหากนับก็เกิน ๒๐ ปีแล้ว เพราะว่าเข้าไปทำไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๖
ถาม : ระหว่างสมาธิใช้งานกับสมาธิเข้าเงียบเลย ตัดเลย สมาธิอันไหนที่ใช้ต่อการตัดกิเลส ?
ตอบ : ทั้งสองอย่างนั่นแหละ เพียงแต่อย่างแรกต้องมีความคล่องตัวกว่า
ถาม : กำลังเท่ากันทั้งสองอย่าง ?
ตอบ : เท่ากัน แต่สมาธิใช้งานช่วยได้เยอะกว่า เพราะว่าใช้ในชีวิตประจำวันได้ กิเลสไม่ได้มาเฉพาะตอนที่เรานั่งปฏิบัติธรรม
ถาม : ทำไมสมาธิแบบเข้าเงียบไม่กินระยะนานเหมือนสมาธิใช้งานครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา บางคนเข้าไปนานสามปีห้าปีเลยก็มี
ถาม : ดับสัญญาต้องใช้สมาธิอย่างเดียวหรือใช้วิปัสสนาด้วยครับ ?
ตอบ : แค่อยู่กับลมหายใจสัญญาก็ดับแล้ว สัญญาดับง่ายจะตาย ถ้าอยู่กับปัจจุบันก็ไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคต จะเอาสัญญาที่ไหนมา ?
ถาม : ตรงดับปัจจุบันละครับ ?
ตอบ : ตัวปัจจุบันไม่ต้องไปดับ อยู่กับปัจจุบันอย่างนั้นแหละ จะดับกิเลสอื่น ๆ แทน
มีผู้มากราบขอพร เตรียมทำโครงการชุมชนหมู่บ้านธรรมที่จังหวัดแพร่ โอกาสเข้ามาบ้านวิริยบารมีคงจะน้อยลง พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะนั่งที่นี่ได้อีกกี่เดือน เพราะปวดหลังใจจะขาด เพิ่งจะเป็นไม่กี่วันนี้เอง เหมือนกับว่ายิ่งนั่งก็ยิ่งช้ำ มีแต่เป็นหนักขึ้นเรื่อย หมอนวดก็ช่วยไม่ได้
เอาเถอะ...อย่างไรก็วางโครงการให้ดี เพราะคนอยู่ที่ไหนก็เป็นคน โดยเฉพาะกิเลสของนักปฏิบัติธรรมนี่ทุเรศสุด ๆ คนทั่ว ๆ ไปก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ประกาศตัวว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วยังแบก รัก โลภ โกรธ หลง เสียเต็มหัว ร้อยคนก็ร้อยนิสัย ร้อยสันดาน ดูแลยากอย่าบอกใครเลย"
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องธาตุของตนเองว่า "ธาตุดินจากเต็ม ๒๐ เหลือศูนย์ นี่แสดงว่าอยู่ด้วยกำลังใจจริง ๆ ธาตุดินนี่อาตมาไม่ค่อยรู้ตัว เพราะว่าเป็นคนผอม แต่ธาตุลมนี่รู้ตัว เพราะการเคลื่อนไหวรู้สึกว่าช้าลงไปเยอะ ธาตุลมเหลือส่วนเดียว ธาตุดินเหลือศูนย์ แล้วคิดดูว่าจากยี่สิบเหลือศูนย์ นี่ไม่ตายหรือ ? อยู่มาได้อย่างไรก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน พอถึงเวลาไม่ไหวก็ “เอ้า...ไปทำงานก่อน พอสั่งร่างกายยอมไปก็ไป”
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนให้สามเณรเขาไปช่วยกันทำความสะอาด เด็ก ๘๐ กว่าคนแบ่งกันทำ ทั่ววัดดีแท้เลย แบ่งออกเป็น ๖ ชุด ชุดหนึ่ง ๑๓ รูปบ้าง ๑๔ รูปบ้าง ช่วยกันทำความสะอาด ทำเสร็จเร็วก็ได้พักเร็ว ตั้งใจเดินจงกรม ตั้งใจภาวนาก็จะให้พักเร็ว ประเภทเรียกว่าซื้ออนาคต แรก ๆ เดินจงกรมไม่พร้อม...ฟาด คือเขาไม่ได้สนใจที่อาตมาพูด บอกวิธีเดินก็ไม่ฟัง เดินให้ดูก็ไม่ดูกัน คราวนี้เมื่อเดินไม่พร้อม โดนฟาดเข้าไป เขาก็เดินพร้อมกันได้
พอดีทางโรงเรียนเขาเปลี่ยนผู้อำนวยการคนใหม่ ผอ.ท่านมารับตำแหน่งวันที่ ๑๔ แต่ท่านเดินทางมาดูสถานที่ก่อน แล้วตอนนั้นช่วงวันที่ ๖ ท่านมาก็ได้เห็นคาตาว่า ไอ้ว่าที่ลูกศิษย์ของเขาโดนแบบไหน ผู้อำนวยการคนใหม่เป็นผู้หญิง บอกว่านโยบายเดียวกันเลยเจ้าค่ะ เวลาดิฉันบริหารโรงเรียนก็แจ้งผู้ปกครองตอนประชุมทุกครั้งว่า ส่งลูกมาจะตี ถ้าไม่มั่นใจว่าลูกรับไม้ได้ ให้ไปเรียนโรงเรียนอื่น แต่นี่พระตีให้ดูก่อน
แล้วก็มีการทะเลาะกันในวัด เรื่องเด็กทะเลาะกันนี่จะฟังความข้างเดียวไม่ได้เลย เณรที่มาฟ้องก่อนโดนต่อยเลือดกำเดาไหล เขาบอกว่า "มันมาถึงก็ใส่ผมเลยครับ" อาตมาก็ให้ไปตามคู่กรณีมา ที่พระเขามาแจ้งเพราะว่าพอมีเรื่องแล้ว เณรโทรไปบอกทางบ้าน ทางบ้านให้พี่ชายเณรมาดู เคลียร์ไม่จบ พ่อแม่ก็เลยมาด้วย ก็เลยเรียกคู่กรณีมาถาม ถามว่าต่อยเขาทำไม ?"
"เขาบอกว่า คนที่โดนต่อยจะไปรังแกน้องตัวเล็ก ก็คือด่าแล้วก็ข่มขู่ตั้งแต่ตอนเดินจงกรมแล้ว พอขึ้นที่พัก ยังตามไปจะเล่นเขาอีก ทางนี้ก็เลยต้องใส่ไว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่า จึงหันไปถามว่าตกลงใครทำก่อน ? คนที่โดนต่อยก็บอกว่า “ก็กวนตีนกันไปกวนตีนกันมาครับ” เขาว่าอย่างนั้น แต่ตอนแรกเขาบอกว่าโดนชกก่อน แล้วก็พูดแต่เรื่องที่ตัวเองโดน เพราะฉะนั้น..เราจะฟังความข้างเดียวไม่ได้
อาตมาบอกว่า "พวกเอ็งชกกันไม่เป็นไร ลูกผู้ชายวัยรุ่นก็ต้องมีบ้าง ข้าเองสมัยก่อนก็หัว ๗ แผล ตัวไม่นับเหมือนกัน แล้วเอ็งช่วยเพื่อนไปรุมอัดเขาข้าก็ไม่ว่าอะไร ลูกผู้ชายรักเพื่อนก็ถือว่าเป็นของดี แต่ที่จะตีก็คือเอ็งเป็นเณรแล้วเสือกลืมสภาพของตัวเอง" เขาค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าเป็นเณร ไม่อย่างนั้นแต่ละคนอยู่ต่อหน้าอาตมา เอาแต่จะแยกเขี้ยวใส่กัน ต้องตัดสินโทษไปเลย
จะเอาคนละกี่ที ? ฝ่ายโจทก์ก็บอกขอ ๒ ที ฝ่ายจำเลยบอก ๓ ที ก็เลยบอก "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้า ๓ ทีพวกเอ็งตายแน่ ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อเอาแค่ ๒ ที จะให้ตีรวดเดียวหรือว่าจะให้พักก่อน ?" ตอนแรกเขาก็ใจถึง บอกว่าตีรวดเดียว พอโดนฟาดไปทีเดียวบอก “ขอพักก่อนครับ” บอกว่า "เอ็งดูข้าเงื้อแค่นี้ แล้วถ้าเงื้อเต็มไม้จะตายไหม ? ปกติข้าตีเด็กวัด ตีทีหนึ่งได้ ๒ แผล โดนกันไปหูตาสว่างเลย"
"มีเรื่องกันอีกก็ได้...ไม่เป็นไร แต่ว่าคราวหน้าเพิ่มอีกเท่าตัว...!" เสร็จแล้วก็หันไปบอกพ่อแม่เขาว่า "รับไม่ได้ก็ต้องรับนะ เพราะว่าเห็นอยู่แล้วว่าลูกเป็นอย่างไร" พ่อแม่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เพราะถ้าตัดสินยุติธรรมแบบนี้เขารับได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มุทิตานี่ทำยากที่สุด คนเรามักจะยินดีกับความดีคนอื่นไม่ค่อยได้หรอก มักจะอิจฉากันมากกว่า ไม่รู้เป็นอะไร จนกระทั่งมีผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่า ถ้ามีผู้อิจฉาแปลว่าเราดีกว่า จบเรื่องเลย ก็น่าจะจริงนะ เพราะมีให้เขาอิจฉาก็แปลว่าต้องมีมากกว่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผังเมืองบ้านเราไม่เหมาะที่จะปั่นจักรยาน โดยเฉพาะบ้านเราอากาศร้อนชื้น ปั่นแล้วเหงื่อท่วมตัว อย่างตอนที่พวกเราไปเนปาล แดดแรงมาก แต่ไม่มีเหงื่อ เดินไปเถอะ...ทั้งวันเหงื่อไม่ออก เพราะอากาศของเขาร้อนแห้ง ส่วนบ้านเราร้อนชื้น
ตอนนี้คนอ่านบันทึกการเดินทางเริ่มเครียด เพราะลงทีหนึ่ง ๓ เรื่องรวด ต้องแยกสมองให้ดีว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องไหน ตอนที่ไปเมืองจีนไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กไป เขียนเป็นบันทึกย่อไว้เฉย ๆ ก็เลยไม่เสร็จ พอไม่เสร็จกะจะให้ไปตามลำดับก็จะมาติดอยู่ตรงไปเมืองจีน ท้ายสุดก็ตัดสินใจโดดข้ามไปเลย ไปเอาที่เสร็จแล้วมาลงดีกว่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นครั้งแรกที่เขาถามว่าในกล่องเป็นอะไรแล้วตอบไม่ได้ เพราะว่าไม่มีอะไร ปกติแล้วเวลาจะแกะกล่อง พระหรือไม่โยมที่อยู่ใกล้ ๆ จะถามว่าข้างในเป็นอะไร อาตมาก็จะบอกเขาได้ แต่คราวนี้บอกไม่ได้ พอแกะออกมาดูก็เลยยกให้เขาดู มีแต่ลังเปล่า ๆ เลยไม่รู้จะตอบอย่างไร ที่ไหนได้...เขาส่งกล่องใส่หนังสือ Box Set ไปให้ แล้วก็เป็นกล่องโบ๋ ๆ เฉย ๆ หนังสือก็ไม่มี เลยตอบอะไรไม่ได้ กลายเป็นเรื่องตลก ถึงเวลาอาตมาก็เดี้ยงได้เหมือนกัน ของน่าจะตอบได้กลับตอบไม่ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนอาตมาเจอเว็บไซต์แห่งหนึ่ง อย่าให้ออกชื่อเลยนะ ค่อนข้างจะปากร้ายอยู่หน่อย เขาบอกว่าทำเพื่อช่วยชาวไร่ชาวนาถือว่าโกงชาติ แต่สร้างอุทยานราชภักดิ์โกงก็ไม่เป็นไร ถือว่าจงรักภักดี แหม...เล่นซะ..! อาตมากลัวว่าถ้าเปิดเผยชื่อเว็บไซต์เดี๋ยวก็โดนปิดเท่านั้น ไปอ่านเขาให้ความเห็นแล้วก็ขำอยู่เหมือนกัน แต่เป็นอะไรที่หัวเราะไม่ออก โดยเฉพาะที่เขาอ้างอิงคำพูดของคุณสุเทพมาว่า “โกงแค่ ๖๐ ล้านถือว่าจิ๊บ ๆ ไม่ได้เสียหายเป็นแสนล้านเหมือนกับจำนำข้าว” ๖๐ ล้านอาตมาใช้ทั้งชีวิตจะหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
ถ้ามีโอกาสลองไปหาดู เขาอ้างอิงคำพูดเจ็บ ๆ แสบ ๆ ไว้เยอะ อย่าง “ยางกิโลละ ๘๐ บาทต้องปิดถนน ต้องเผารถยนต์ ต้องล้มรัฐบาลให้ได้ ตอนนี้กิโลละ ๑๒ บาทไม่เป็นไร เพราะเป็นไปตามกลไกตลาด” ปากตะไกรชัด ๆ เลย..! แต่ว่าทั้งหมดนี้ทำให้เห็นชัดว่า บ้านเราเมืองเรายังหาคนที่ตั้งใจทำเพื่อส่วนรวมจริง ๆ ไม่ได้ มีอำนาจขึ้นไปเมื่อไร ก็จะมีพวกพ้องและตัวกูขึ้นมาทันที
รัฐบาลที่แล้วทำโครงการจำนำข้าวมีการทุจริตในระดับล่าง นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ โดนฟ้องให้ชดใช้เป็นแสน ๆ ล้าน รัฐบาลนี้เห็นชัด ๆ อยู่ว่ามีการโกงกินกัน แต่ว่านายกรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะว่าเป็นคนดี เขาเขียนได้แสบมากเลย บางทีไปอ่านข่าวแล้ว ถ้าหากเราเองไม่พยายามวางอารมณ์ให้เป็นกลาง คงได้ รัก โลภ โกรธ หลง ตามเขาไปเยอะเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สังเกตไหมเดี๋ยวนี้สาว ๆ ไปทำหน้าเป็นแบบ V-Shape กันหมด เขาไม่รู้หรอกว่าเสียหายขนาดไหน ปกติหน้า V-Shape ตามตำราจะอยู่ในลักษณะสั่งการก็ได้ ทำงานเองก็ได้ แต่คราวนี้ตัวเองความสามารถอาจจะไม่มีหรืออาจจะไม่ถึง แล้วก็ไปปรับโหงวเฮ้งตัวเองจนเละเทะหมด"
ถาม : คนเรามีหน้าที่ซึ่งต้องทำในแต่ละชาติ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...คือหน้าที่มีทั้งที่มาในชาตินี้แล้วค่อยรู้ว่าตัวเองจะเลือกทำอะไร ขณะเดียวกันก็มีจำนวนหนึ่งที่ตั้งแต่ชาติแล้ว ๆ ทำมา จนมาถึงชาตินี้ก็รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ก็คือมีทั้งเริ่มต้นใหม่ แล้วก็มีทั้งเริ่มมานานแล้ว พวกเริ่มต้นใหม่ก็จะช้าหน่อย
ตำราโหงวเฮ้งฉบับแรกจริง ๆ ก็คือ ตำราที่ทายมหาปุริสลักษณะของพระพุทธเจ้า โบราณเขาสุดยอดจริง ๆ เพียงแต่ว่าเขาเรียกมหาปุริสลักษณะ เขาไม่ได้เรียกตำราโหงวเฮ้ง ของพวกนี้มาตามบุญตามกรรมที่เราทำมา บุญกรรมในอดีตจะส่งผลให้เป็นในปัจจุบัน เรียกว่าเป็นส่วนของกรรมนิยามด้วย แล้วก็พีชนิยามด้วย คืออยู่ใน DNA มาเลย
พระพุทธเจ้าท่านพูดถึงนิยาม ๕ ว่าคนเราเกิดมามีอะไรบ้าง ส่วนของกรรมนิยามก็คือการกระทำส่งผล ส่วนของพีชนิยามก็คือที่เรียกว่าต้นธาตุของเรา อย่างเช่น ปู่ย่าตาทวดของเราเป็นอย่างไร นั่นก็คือ DNA อีกส่วนก็อุตุนิยาม ดินฟ้าอากาศ คือคนเหนือจะขาว คนใต้จะดำ เพราะฉะนั้น...ของพระพุทธเจ้าจะบอกไว้ละเอียดที่สุด
แต่ว่าตำราโหวงเฮ้งของจีน เท่าที่พบเห็นและใช้งานดู ตอนเด็ก ๆ มีโอกาสศึกษาจากอาเจ็กท่านหนึ่ง ท่านเป็นบัณฑิตจบมาจากเมืองจีน แล้วก็อพยพเข้ามารุ่นเดียวกับลุงกับโยมพ่อ เป็นต่างด้าว ตำราแกแม่นมาก แต่ว่าพอไปดูพวกตะวันตกแล้วใช้ไม่ค่อยได้ คุณลองไปศึกษาดูว่าตรงจุดนี้เกิดจากอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าแบ่งตะวันตกตะวันออก หรือแค่เส้นศูนย์สูตรอะไรหรือเปล่า ?
ถาม : แต่ละคนมีตำราไม่เหมือนกัน ถ้ามีตำราที่ลึกกว่าก็แม่นกว่า ?
ตอบ : สำคัญตรงความชำนาญ เพราะถ้ายิ่งชำนาญก็ยิ่งมีความแตกฉานมากขึ้น กลายเป็นทักษะเฉพาะตัว มองปุ๊บก็รู้เลย อะไรจะแม่นขนาดนั้น เขาแม่นถึงขนาดบอกได้ว่าคนนี้จะตายวันไหน เวลาไหน อาเจ็กคนนั้นนะ แล้วเขาดูเพื่อนอีกคนหนึ่งว่าวันนี้ เวลานี้ แกจะตายก่อนเพล เพื่อนแกคนนั้นก็รั้น กูจะนอนอยู่แต่ในมุ้ง ให้รู้กันไปเลยว่าจะตาย ปรากฏว่าก่อนเพลแม่ไก่ออกไข่ แล้วกระโดดขึ้นไปบนขื่อ ไปกระต๊ากข้างบน บนขื่อเขาพาดหอกเอาไว้ ๒-๓ เล่ม ไก่ไปเหยียบปลายหอกพุ่งลงไปเสียบอกในมุ้งพอดี ไม่อยู่ในมุ้งอาจจะไม่ตาย
สงสัยว่าตำราโหงวเฮ้งบอกได้ขนาดนั้นเลยหรือ ? แต่ของแกแม่นจริง ๆ
ถาม : ตำแหน่งไฝตามร่างกายครับ ส่งผลเสียต่อเราอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สบายใจก็ไปเอาออก แค่นี้ก็จบ
ถาม : จะเอาไฝที่ตาซ้ายออกครับ ?
ตอบ : ให้ระวังไฝที่โหนกแก้มก็พอ ถ้าไม่ได้อยู่บริเวณโหนกแก้มก็ช่างมัน ถ้าไฝอยู่โหนกแก้มจะเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เอาออกก็ดี โบราณเขากลัวไฝที่โหนกแก้มกับร่องน้ำตา อย่างอื่นปล่อยไปเถอะ ดูของ "น้าชาติ" สิ ไฝของน้าชาติแบบเดียวกันเลย เป็นไฝแบกงาน พอแกเอาออกก็หลุดจากตำแหน่งเลย ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อนะ เรื่องพวกนี้ต้องเจอเองถึงจะเชื่อ
ถาม : มีคนทำคุณไสยใส่ครอบครัว ล่าสุดทำเกือบตายครับ ?
ตอบ : ต้องภาวนาด้วย ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ บอกพ่อแม่ด้วยว่าให้ภาวนาเป็นปกติ แล้วทำไมเขาทำคุณไสยใส่ได้ ?
ถาม : เขาเอาวันเดือนปีเกิดไปครับ เป็นเพื่อน ๆ แม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องภาวนากันทั้งวันทั้งคืนแล้ว
ถาม : ถ้าเอายันต์เกราะเพชรไปติดไว้ที่บ้าน ?
ตอบ : เรื่องของคุณพระ เราป้องกันไม่ให้โดนไสยศาสตร์ตายได้ แต่ถ้ามีกรรมอยู่ก็โดนได้ พูดง่าย ๆ ก็คือเจ็บได้แต่ห้ามตาย ถ้าเราเสียท่าเขาขนาดนั้นก็ต้องยอมเจ็บ แหม...เล่นให้เขารู้เสียหมดทุกอย่างเลย ยังดีนะ...ถ้าหากมีของใช้ของเราอยู่กับเขาด้วยนี่ยิ่งหนักกว่านี้อีก
ถาม : ที่บ้านผมให้เอาอะไรไปเสริมครับ ?
ตอบ : ก็หาธงแดงของวัดท่าซุง ไม่รู้ยังพอหาได้หรือเปล่า ?
ถาม : ผมเอาธงมหาพิชัยสงครามไปไว้ในศาลพระภูมิแล้วครับ ?
ตอบ : เราเองก็ภาวนาเผื่อไว้ด้วย ปลุกไว้ทุกวัน
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ยอมบอกวันเดือนปีเกิด เพราะว่าท่านโดนประจำ คนก็เลยไม่รู้ว่าท่านเกิดวันเดือนปีไหน แต่ความจริงอาตมารู้ แต่รู้ก็พูดต่อไม่ได้
ถาม : มีหน้าที่ที่ผมต้องทำ แต่ผมไม่อยากจะทำแล้ว ยิ่งทำก็ยิ่งเครียดครับ ?
ตอบ : ทำไปเถอะ นอกจากอาศัยบารมีของพระแล้ว เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญายิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะต้องมีสมาธิ ตัวสมาธิจะช่วยเพิ่มกำลังในทุกด้าน และผ่อนคลายกฎของกรรมได้
งานของเรา พอไปบอกไปแก้ไขให้คนอื่น เท่ากับว่าไปเปลี่ยนแปลงกรรมของเขา ถ้าเราไม่มีบุญคอยเสริมอยู่ บางทีโบราณเขาบอกว่าไม่ได้ไหว้ครูแล้วของจะเข้าตัว ทำไปเถอะ...คนเราหาที่พึ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ พอเป็นที่พึ่งเขาได้บ้างก็เอา อย่างน้อยเราก็สร้างบุญสร้างบารมีให้ตัวเราเอง อาตมาก็ไม่ได้อยากนั่งตรงนี้หรอก ปวดหลังจะตายชัก ก็ยังต้องทนนั่งอยู่นั่นแหละ
หลวงพ่อปรีชาอาจารย์ของคุณ ท่านเรียนปริญญาโทรุ่นเดียวกับอาตมา ท่านเรียนไปโยมก็มาหาไป เห็นแล้วเหนื่อยแทน เลิกเรียนก็ต้องวิ่งตามที่โยมเขานิมนต์ไป ได้กลับวัดกลับวาก็ดึกดื่นเที่ยงคืนทุกคืน แม่ชีทศพรก็เหมือนกัน พอถึงเวลาพวกเราไปเข้ากรรมฐาน แม่ชีอุตส่าห์ทิ้งงานไปเพื่อสงเคราะห์เลี้ยงพระ โยมก็แห่ไปทุกวัน พ้นจากหน้าครัวมาก็ต้องมารับโยม ๑๐-๒๐ คน เพราะว่าบางทีผู้หญิงเขาคุยกันเองง่ายกว่า ก็คือไม่ใช่เรื่องที่ท่านอยากจะทำ แต่ก็ต้องทำไป เพราะว่าคนเราหาที่พึ่งยากขึ้นเรื่อย
โดยเฉพาะบุคคลที่มาทางสายพุทธภูมิ เหมือนกับต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงไม่มีงานอะไรที่สำคัญกว่านี้อีกแล้ว เพราะการสงเคราะห์ผู้อื่น เท่ากับเป็นการสร้างบารมีตัวเอง
อาตมาถึงขนาดหนีเข้าป่าไปแล้วก็ไม่รอด ต้องออกมาจนได้ คนที่มาหาเราก็คืออดีตเคยผูกพันกันมา ไม่ว่าฐานะใดฐานะหนึ่ง อาจจะพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย เพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ ถึงเวลาเขามาแล้วเขาศรัทธาเลื่อมใส ลำพังเขาก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ดันบอกต่อ ๆ ไปเรื่อย
อาตมาต้องทิ้งวิชาหมอดูไปก็เพราะอย่างนี้แหละ ปล่อยให้หลวงพ่อปรีชาเหนื่อยตายไปคนเดียว เล่นมาแล้วไม่ฟังเลยว่าเราจะกินจะนอนอย่างไร เขาจะเอาแต่เรื่องของเขา เพราะฉะนั้นถ้าซินแสไปรับงาน เอาแค่ตามกำลังของเรา หรือไม่ก็กำหนดให้เป็นเวลาแน่ ๆ ว่าช่วงเช้ารับได้ถึงกี่โมง บ่ายกี่โมง ค่ำถึงกี่โมง ไม่อย่างนั้นเขามาตลอด อาตมาเองต้องเลิกใช้โทรศัพท์ก็เพราะอย่างนี้ ดึกดื่นเที่ยงคืนเขาไม่นอน เขาก็คิดว่าเราไม่นอน เขาก็โทรมาถาม กำลังฉันเพลเขาก็โทรมา “โยม...พระฉันเพลอยู่” เขาบอก “ไม่เป็นไรค่ะ ขอ ๕ นาที” ไม่เป็นไรของเอ็ง แต่พระมีเวลาฉันแค่พักเดียว
ถาม : ของผมต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้มีอำนาจในแผ่นดินครับ ?
ตอบ : ถ้าถึงผู้มีอำนาจก็ระมัดระวังไว้หน่อยแล้วกัน เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ความต้องการของท่านเป็นใหญ่ สมัยก่อนบางท่านต้องการให้อาตมาไปเสริมดวงให้ บอกว่าไม่มีเวลา ก็ติดต่อมาครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายสุดเลยไปบีบผู้กำกับการตำรวจทองผาภูมิ ถ้าแกเอาอาตมาไปไม่ได้ก็ไม่รู้จะโดนอะไรเข้า ท้ายสุดอาตมาก็ต้องยอมรับปากไป เรื่องของผู้ใหญ่นี่ลำบาก
เขาศรัทธาก็จริง แต่ก็อย่างว่า คนที่มาติดต่อถ้าสนองความต้องการเจ้านายไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะโดนดองหรือเปล่า เพราะฉะนั้น...บางอย่างถึงไม่ได้คิดจะทำ แต่ก็ต้องทำ ทำเพราะสงสารไอ้ตาดำ ๆ ที่อยู่ตรงหน้า
ถาม : หนูเปลี่ยนชื่อค่ะ ?
ตอบ : การเปลี่ยนชื่อช่วยได้น้อยมาก ได้แค่กำลังใจเรา ถ้าเปลี่ยนความประพฤติก็จะดีแน่ ๆ ถ้าหมอบอกให้ไปเปลี่ยนชื่อนี่ ให้รีบเปลี่ยนความประพฤติได้แล้ว
ถาม : "องปลัด" ถือศีลมากกว่าของเราหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ศีลเท่ากัน แต่ว่าธรรมเนียมบางอย่างเยอะกว่าเรา อย่างเช่นว่าเขาเข้าพรรษากันตอนวิสาขบูชา ถามว่าทำไม ? ท่านบอกไม่อย่างนั้นเดี๋ยวออกพรรษาไม่ทันเทศกาลกินเจ เพราะฉะนั้นอนัมนิกายหรือจีนนิกายเขาจึงเข้าพรรษาตั้งแต่วันวิสาขบูชา จีนนิกายนี่ทำให้เกิดอนัมนิกาย
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานซืนไปประชุมคณะกรรมการจัดงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อาตมาถือไมโครโฟนแล้วพูด เจ้าหน้าที่ดันไปเร่งเสียง บอกว่า “คุณอย่าเร่งได้ไหม ? อาตมาตั้งใจพูดเสียงเบา” การพูดเสียงดัง ๆ บางทีคนที่ร่างกายไม่ดีหรือเจ็บป่วยอยู่ เสียงไปกระแทกเขาปางตายเลย ถ้าห้องประชุมไหนที่ไม่มีระบบเก็บเสียง แล้วไปกระแทก ๆ ใส่ บางทีเขาประชุมออกมานี่เหนื่อยแทบคลาน บอกเขาว่าตั้งใจพูดเสียงเบา แต่เขาเองคิดว่าไมโครโฟนเบาจึงไปเร่งใหญ่ เป็นอะไรที่หัวเราะไม่ออก
สรุปแล้วงานนี้เป็นงานของทางราชการ เป็นคำสั่งของกระทรวงลงมา ให้ทุกอำเภอจัดงานถวายให้สมพระเกียรติ แต่ปรากฏว่าหน่วยราชการในอำเภอทองผาภูมิ ตลอดจนกระทั่งเอกชน ๒๙ แห่ง มีแต่เกี่ยงกัน ก็คือไม่มีงบประมาณให้ ก็ไม่มีใครอยากรับงาน ท้ายสุดคณะสงฆ์ก็เลยต้องเริ่มก่อน รับในส่วนของการผูกผ้า จัดหาดอกไม้จันทน์ ในส่วนของการจัดสถานที่ ในส่วนของการเลี้ยงน้ำเลี้ยงอาหารญาติโยมที่มาร่วมงาน คนอื่นถึงได้ขยับกัน
สรุปแล้ว ๒๙ แห่งที่ทางอำเภอแต่งตั้งมา มีอยู่แค่ ๓ แห่ง ก็คือ เทศบาลตำบลท่าขนุน เทศบาลตำบลทองผาภูมิ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขื่อนวชิราลงกรณที่รับงาน คณะสงฆ์ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นแค่ที่ปรึกษารับงานไปเกินครึ่ง
ส่วนใหญ่ทางส่วนราชการเขาไม่ได้คิดว่าเป็นคำสั่งเจ้านายให้ทำงาน แต่เขาคิดว่าในเมื่อไม่มีงบประมาณให้และเป็นศพพระก็ให้พระรับไปสิ เป็นอะไรที่หัวเราะไม่ออกเหมือนกัน ท้ายสุดเจ้าคณะอำเภอกับรองเจ้าคณะอำเภอก็มองหน้า วัดท่าขนุนไหวไหม ? วัดอู่ล่องไหวไหม ? สองรูปบอกว่าไหวในฐานะเจ้าของพื้นที่ เพราะท่านเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๑ ของอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ เป็นเจ้าของพื้นที่จึงทิ้งงานไม่ได้ ท้ายสุดพอบอกว่าไหวก็รับไปแล้วกัน
การทำงานต้องหาคนเสียสละ รับผิดบ้าง ไม่ใช่รับแต่ชอบอย่างเดียว รับแต่ชอบอย่างเดียวใครก็รับได้ เป็นที่น่าเสียดายว่า ในเมื่อเขาไม่คิดจะทำงาน ประสบการณ์ตรงนี้ของเขาก็จะไม่มี ถ้าต้องไปทำงานจริง ๆ เมื่อไรจะมีปัญหามากเลย เพราะไม่รู้งานมาก่อน"
"เรื่องนี้มีคำสั่งแต่งตั้งมาเลย ก็ในเมื่อทางกระทรวงสั่งลงมา นายอำเภอท่านก็แต่งตั้งคณะกรรมการ ปรากฏว่าที่เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็คือตำรวจ ทหาร และโรงพยาบาล เพราะตำรวจต้องดูแลการจราจร ทหารต้องดูแลความสงบเรียบร้อย พยาบาลต้องมาคอยตั้งเต็นท์ เผื่อว่ามีใครเจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนที่อื่นเลี่ยงได้ก็หุบปากกันเงียบ ถามอะไรไม่มีใครพูด ไม่มีใครแสดงความเห็น ต้องบอกว่าเลี่ยงภาระ ไม่อยากมีภาระ ไม่อยากจะจ่าย ต้องบอกว่าน่าเสียดาย เพราะว่าไม่ทำงานก็ไม่มีประสบการณ์ ต่อไปถ้าต้องทำงานจริง ๆ แล้วทำงานไม่เป็น ก็จะเป็นปัญหาใหญ่มาก
ของเขื่อนวชิราลงกรณ ระบบของเขาแน่นอนอยู่แล้ว อย่างเวลาวัดท่าขนุนไปขอน้ำดื่ม เพื่อเอามาเลี้ยงญาติโยมตอนไปจัดปฏิบัติธรรม ก็ต้องทำหนังสือไป เพราะเขาบอกแล้วว่าให้ แต่ถ้าไปเอาออกมาเฉย ๆ เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังพัสดุเขาจะลำบาก เขาจะ "จำหน่าย" วัสดุอย่างไร ? แต่ถ้าเราทำหนังสือไปเขาก็แทงจำหน่ายให้มาได้เลยว่า ๑,๐๐๐ ขวด ๕๐๐ ขวด ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าของเขื่อนฯ เราก็ต้องรีบทำหนังสือไปให้เขา ถึงได้เตือนทางอำเภอไปว่า ต้องการยืมอะไรของเขื่อนมาจัดงาน รีบทำหนังสือไปแต่เนิ่น ๆ"
"ส่วนใหญ่แล้วข้าราชการของเราส่วนหนึ่งจะมีนิสัยอย่างนี้ คือเลี่ยงงาน ที่เขาสรุปกันว่าเช้าชามเย็นชาม เอาตัวรอดไปวัน ๆ ถ้าหากเป็นวัดท่าขนุนคงโดนไล่ออกหมดแล้ว บางครั้งเจ้านายก็ไม่อยากจะใช้พระเดช เพราะรู้ว่าคนจะเกลียดขี้หน้ามากกว่า แต่ถ้าใช้พระคุณมากเกินไป ก็อย่างที่หลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวงท่านบอก ถ้าเมตตาเกินประมาณก็มีแต่คนพาลทั้งเมือง
เหมือนกับเณรเป็นร้อยมาอยู่ด้วยกัน แล้วเป็นวัยรุ่นทั้งนั้น ถ้าไม่ดุเอาไว้นี่เอาไม่อยู่หรอก อาจารย์ปกครองของโรงเรียนเข้ามาถาม “เป็นอย่างไรครับพระอาจารย์ ไหวไหมครับ ?” บอกว่าเอาอยู่ ไม่ต้องห่วง ตีกระจาย ถ้าหากว่าไม่มีตัวอย่าง เขาก็ไม่กลัวกัน
วันแรกให้เจริญกรรมฐานตี ๔ ปลุกตี ๐๓.๑๕ น. ปรากฏว่าเตรียมตัวมากันทัน ก็เลยบอกถ้าอย่างนั้นวันต่อไปจะปลุกตี ๓ ครึ่ง ให้เวลาพวกคุณนอนอีก ๑๕ นาที ปรากฏว่าตี ๓ ครึ่งมาไม่ทัน เพราะเห็นว่าวันแรกไม่มีอะไร ก็เลยบอกว่าใครมาไม่ทันเดี๋ยวจะได้รางวัล เขาก็ยังคิดว่าพูดเล่น ท้ายสุด ๓ คนสุดท้ายโดนฟาดตูดไป รุ่งขึ้นมากันตรงเวลาเป๊ะ ก็ยังบอกเขาว่า "คนเราทำไมต้องเป็นวัวเป็นควายให้ลงไม้ลงมือกันด้วย ? ก็ในเมื่อทำดีทำได้ คุณทำเสียตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระวังนะ...เศรษฐกิจปีหน้าไม่ได้เรื่อง เป็นฟรีแลนซ์ระวังจะฟรียาว..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สามเณรที่บวชถวายเป็นพระราชกุศลมักจะเลือกกิน พูดง่าย ๆ ว่าถ้าอาหารไม่อร่อยก็ไม่ค่อยจะกินกัน ก็เลยบอกว่าอยากจะให้ไปดูที่เนปาล โดยเฉพาะพวกแค้มป์ที่เราไปช่วยเขา เด็ก ๆ ที่นั่นต้องนับเม็ดถั่วแบ่งกัน พูดง่าย ๆ คืออะไรสำหรับเขาเป็นของดีหมด บ้านเรากินทิ้งกินขว้าง ไปบ้านเขาถั่วถุงหนึ่งต้องมานับเม็ดแบ่งกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่พอ เพราะฉะนั้น...ถ้าบุญของคุณดีก็กินทิ้งกินขว้างต่อไป แต่ถ้ากลัวว่าบุญไม่ดีพอก็หัดประหยัดเสียบ้าง
ไปนึกว่าเอธิโอเปียหรือบางประเทศในแอฟริกา ที่มีสภาพเหมือนกับเปรตเดินดิน อดอยากเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ตากลวงพุงโรเลย ลักษณะตากลวงพุงโร คือ ร่างกายดึงโปรตีนในกล้ามเนื้อหรือในอวัยวะอื่นไปใช้งานแทน เพราะไม่มีจะกิน เด็ก ๆ นอนฟุบกองอยู่ แมลงวันตอมหึ่ง ไม่ใช่ตายนะ แต่ไม่มีแรงจะปัดแมลงวัน อีแร้งก็ยืนรอ รอว่าเมื่อไรจะได้กิน
ที่เนปาลเต็นท์หนึ่งก็ประมาณพรมแดง ๔ ผืนของเรานี่แหละ เขาบอกว่าอยู่กัน ๕-๗ ครอบครัว อาตมาได้ยินสะดุ้งเฮือก เฮ้ย...คุณพูดผิดหรือเปล่า ? ๕-๗ คนใช่ไหม ? เขายืนยันว่าไม่ผิด ๑๕-๒๑ คน หรือ ๕-๗ ครอบครัวอยู่ในเต็นท์หลังเดียว ยัดกันเข้าไปได้ ขอให้มีที่หลบแดดหลบฝนเท่านั้น
อาหารการกินที่ไปดูก็ต้มฟักทองเละ ๆ ราดข้าวคลุกกิน ดีกว่าไม่มีกิน แล้วเวลาที่เราเอาขนมหรือของที่กินเหลือแล้ว ที่ไม่มีใครจะกินแล้ว เอาไปให้ เด็กที่นั่นแทบจะตีกันตาย ต้องให้ "เปม่า (Pema)" หัวหน้าเด็กมาแบ่ง อาตมาเรียกเขา "ว่าที่กำนัน" แจกโคตรจะยุติธรรมเลย นับเม็ดถั่วแจกเพื่อน เห็นแล้วก็อดช่วยเขาไม่ได้ ท้ายสุดก็เทกระเป๋าทำบุญไปแสนกว่ารูปี บอกแล้วว่าเหลือแค่ค่าแท็กซี่กลับบ้านก็พอ ที่เหลือก็ให้เขาไปเถอะ"
"บ้านเราอุดมสมบูรณ์เกินไป ไม่เคยอดอยาก ไม่เคยไปดูค่ายผู้อพยพ ไม่เคยไปดูค่ายผู้ประสบภัยพิบัติ ไม่รู้หรอกว่าเขาอยู่กันลำบากแค่ไหน แต่ว่าที่โฮปแค้มป์นี่ระบบการจัดการเขาดี ขนาดเต็นท์เล็ก ๆ ยัดเข้าไป ๒๐ กว่าคน แต่สะอาดมากเลย ไม่มีกลิ่นอะไรเลย รอบบริเวณระบบระบายน้ำดี ห้องน้ำห้องส้วมดี มีเต็นท์อำนวยการ มีเต็นท์รักษาพยาบาล มีเต็นท์ที่เหมือนกับศาลาวัด มีพระตั้งอยู่ มีรูปพระโพธิสัตว์ เป็นที่สวดมนต์และนั่งกรรมฐาน เขาจัดการได้ดีมาก
เจ้าของโฮปแค้มป์ก็คือเจ้าของโรงแรมทวาริกะ ซึ่งเป็นโรงแรม ๕ ดาวแห่งเดียวในเนปาล คนรวยที่มีกำลังใจในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้นหายาก หมู่บ้านนั้นโดนแผ่นดินไหวพังหมดทั้งหมู่บ้าน ไม่เหลือดีเลย ตอนแรกแกก็ตั้งแค้มป์ขึ้นมา กะว่ารับได้ประมาณ ๑๐๐ คน ปรากฏว่าไปจริง ๆ ๓๐๐ กว่าเกือบ ๔๐๐ คน ก็ต้องเอามาทั้งหมด ระบบการจัดการเขาดีตรงที่ว่า เด็ก ๆ ได้รับการศึกษา ผู้ใหญ่ได้รับการสอนว่าจะต้องไปสร้างไปเสริมอย่างไร เรือนชานบ้านช่องตัวเองถึงจะกลับคืนดีมา
โดยเฉพาะเด็ก ๆ เรียนภาษาอังกฤษได้ดีมาก ไม่มีสำเนียงแขกเลย แสดงว่าครูที่อาสาเป็นต่างชาติเข้าไปสอน ทำให้เด็กต้องตามสำเนียงครู เด็ก ๆ ๓ ขวบ ๕ ขวบ ๗-๘ ขวบพูดภาษาอังกฤษระดับสื่อสารได้ พวกเราต้องอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นถึงจะกระตือรือร้นดิ้นรน ในช่วงนั้นสติปัญญาความสามารถทุกอย่างต้องทุ่มเทออกมาจนหมด ของเรามั่นใจเลยว่าใช้สมรรถภาพของร่างกายและสมองน่าจะใช้กันไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเหตุถึงแก่ชีวิตยังไม่ปรากฏ ในเมื่อเหตุถึงแก่ชีวิตยังไม่ปรากฏ ก็ไม่คิดที่จะดิ้นรนให้มากกว่านี้ ต้องบอกว่าเป็นที่น่าเสียดายมาก"
"ทุกวันนี้เนปาลยังไม่เข้าที่เข้าทาง อาคารเรือนชานบ้านช่องมีแต่ไม้ค้ำเอาไว้กันถล่มลงมา อยู่ไปพลาง ๆ ก่อน พวกที่เคยมีตึก ๔-๕ ชั้น ตอนนี้เหลือมาตรฐาน ๑ ชั้นหรือชั้นกว่า เพราะส่วนบนถล่มลงมาหมดแล้ว เขาก็พยายามหาสังกะสีมาปิดข้างบนเพื่อให้อยู่ได้ไปก่อน แล้วถามว่าทำไมไม่สร้างขึ้นใหม่ ? คำตอบคือ ไม่มีเงิน
คนเนปาลจริง ๆ ไปทำงานที่อื่น แทบจะไม่ได้อยู่ในประเทศตัวเอง แรงงานที่จะใช้ก่อสร้างเลยไม่มี ทางด้านโฮปแค้มป์ถึงได้สอนพวกเด็กว่าทำอย่างไรจะได้สร้างบ้านได้ เอาแค่ทองผาภูมิ ถึงเวลารถบัส ๕-๖ คันมา พวกเนปาลมาต่อใบอนุญาตทำงาน แต่ละปีมาที ๕-๖ คัน ตอนอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมินี่ซาบซึ้งเลย เขาจะมาอาศัยจอดนอนในวัด เสร็จแล้วก็ติดต่อทางอำเภอขออนุญาตต่อใบอนุญาต รวบรวมค่าธรรมเนียมมาจ่ายรวดเดียว มีผู้ประสานงานคอยวิ่งเรื่องให้ แต่ตัวต้องมาทั้งหมด พอถึงเวลาเขาเรียกตัวนี่ต้องถือหนังสือไปคนต่อคนเลย ต้องมาต่อใบอนุญาตกันทุกปี
อาจารย์วิปัสสีเขายังบอกว่ากาญจนบุรีคนเนปาลเยอะนะ บอกว่ามีเยอะแต่เขาไม่ได้อยู่รวมกัน จะได้อยู่รวมกันปีหนึ่งตอนขอใบอนุญาต บ้านของเขาหากินยาก เรื่องการทำไร่ไถนาพื้นที่ก็น้อย น้ำก็หายาก เลยมีวิธีว่าออกไปทำมาหากินที่อื่น ได้เงินแล้วก็ไปหาซื้อเอา
คุณราชัน ประธานไลอ้อนส์คลับกาฐมาณฑุ เป็นตัวแทนมาขอบคุณพวกเรา เขาบอกว่าเขาได้รับการช่วยเหลือจากสมาชิกไลอ้อนส์คลับทั่วโลก แต่พวกเราที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเลยกลับช่วยเขาไปเยอะขนาดนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาประทับใจมาก แล้วก็แปลกใจด้วย เว็บวัดท่าขนุนเป็นใครมาจากไหนช่วยไป ๔,๐๐๐ กว่าดอลลาร์ คิดเป็นเงินเขานี่มหาศาลเลยนะ"
"พวกเราไปพักกันที่โรงแรมคันทรี่วิลล่าที่นากาก็อต เขาเองอุตส่าห์ตามไปเพื่อขอบคุณ ปรากฏว่าคุณรามไม่ได้ไป ไม่มีน้ำมันรถ เนปาลกำลังประสบปัญหาวิกฤติ เครื่องอุปโภคบริโภคขาดแคลนทุกอย่าง ประเทศจีนเข้าไปช่วยเหลือเนปาลไว้เยอะ โดยเฉพาะสร้างถนนหนทางให้ เนปาลคบค้าสมาคมกับจีนอย่างสนิทสนม อินเดียก็เลยหมั่นไส้ เพราะปกติต้องพึ่งอินเดียตลอด เขาก็เลยปิดชายแดนไม่ให้ส่งเครื่องอุปโภคบริโภคเข้าไป ของกินของใช้ทุกอย่างก็เลยหายาก น้ำมันก็ไม่มี รถจอดตายเป็นหมื่น ๆ คัน
คุณรามเขามีกำหนดการนัดกับเราอยู่ที่นากาก็อต เขาไปไม่ได้ บอกว่าไม่มีน้ำมัน ขากลับหลวงพ่อวิปัสสีเดินจากภักตรปุระมาดักเราทางด้านกาฐมาณฑุ ๑๒ กิโลเมตรกว่า อยากจะมาขอบคุณพวกเราที่ช่วยเขาไปเยอะแยะขนาดนั้น เขาบอกว่ายังไม่เคยได้เงินกฐินมากอย่างนี้มาก่อน ของเราไป ๔ ล้านกว่าบาทแล้วก็ไปรับที่นั่น บวกกับทางด้านวัดบวรฯ ที่ได้ไปอีก ๑๓,๐๐๐ กว่าดอลลาร์ รวม ๆ แล้วตก ๕ ล้านบาทเศษ เลยอยากจะมาขอบคุณ อุตส่าห์เดินมา ๑๐ กว่ากิโลเมตร เพื่อที่จะมาดักรถพวกเราที่ลงมาจากนากาก็อต เสร็จแล้วก็ขึ้นรถมาขอบคุณ แจกของที่ระลึก
เรียนท่านไปว่า ถือว่าอันนี้เป็นสถิติโลกไว้ก่อน ถ้ามีใครทำลายสถิติได้ให้แจ้งมา เดี๋ยวผมจะกลับไปทำสถิติใหม่ ดูท่าว่าถ้าหาไม่ได้ก็พวกเราเองนี่แหละ ที่ต้องไปทำลายสถิติกันเอง"
"ไปเนปาลเที่ยวนี้ "เจ้าแม่" กับบริวารดูแลอย่างกับไข่ในหิน ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดจนกว่าจะทอดกฐินเสร็จ เขากลัวจะไม่ได้โมทนาบุญ อาตมาขู่เอาไว้แล้วว่าถ้าเที่ยวนี้มีกั๊กจะไม่อุทิศส่วนกุศล ก็เลยได้ดูหิมาลัยทั้งไปและกลับ
ขากลับหิมาลัยจะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนเรานั่งขวา แต่แกสามารถทำให้เห็นได้ สุดยอดจริง ๆ เลย ถ่ายรูปมาเสร็จ หิมาลัยย้ายมาอยู่ทางซ้ายเฉยเลย แกเก่งว่ะ..! เอารูปให้กัปตันวิทย์ดู “หลวงพี่ถ่ายมาได้อย่างไร ?” “ไม่รู้ ก็เห็น ๆ อยู่นี่หว่า” ตูมองออกไปข้างนอกยังสงสัย ทำไมหิมาลัยมาอยู่ตรงนี้วะ ก็ถ่ายไปเรื่อย ๆ พอคนอื่นเขาฮือฮาอยู่ทางซ้าย อาตมาถึง อ๋อ...ของเราเห็นผิดมุมเอง มาได้อย่างไรไม่รู้ ?"
"แม้กระทั่งถนนหนทางบ้านเขาที่คับแคบมาก ๆ เขายังถ้อยทีถ้อยอาศัย ผลัดกันไปผลัดกันมาได้ รถของเราวิ่งเข้าไปก็เต็มซอยแล้ว แต่รถที่สวนมาเขาก็ไปกันได้ บ้านเขาขาดแคลนแต่วัตถุสิ่งของ แต่น้ำใจเพียบ ผลัดกันไป แบ่งกันไป
ระบบการจัดการเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันของเขา ให้รถนักท่องเที่ยวก่อน เพราะถ้ามีนักท่องเที่ยวเข้าไป รถยนต์ คนขับรถ เด็กรถ ไกด์ ก็ได้เงิน ร้านขายของที่ระลึกได้เงิน โรงแรมได้เงิน ร้านอาหารได้เงิน เขาก็เลยต้องให้ทางด้านรถนักท่องเที่ยวก่อน คันอื่น ๆ ก็ต้องเสียสละ คุณก็จอดตายไปก่อนเถอะ
ไปเดินดูรถเขา เขียนตัวเลขไว้ที่กระจกรถ ๓๔๕, ๓๔๖ ไล่ไป อยู่ ๆ เริ่ม ๑ ใหม่เฉยเลย แล้วก็ไล่ไปอีก ๓๐๐-๔๐๐ อีก ก็สงสัย ถามเขาว่าแปลว่าอะไร ? เขาบอกคันโน้นมาจอดเมื่อ ๒ วันที่แล้ว คันนี้จอดของวันก่อน คันนี้ของวันนี้ จอดมา ๒ วันกว่าแล้วยังไม่ได้น้ำมันเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ญาติโยมหลายคนยังเข้าใจผิด เมื่อหลายปีก่อน ช่วงที่อาตมายังเป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิอยู่ มีโยมอยู่คนหนึ่งอยู่แถวใกล้ ๆ ห้องสมุดเฉลิมราชกุมารี แกเป็นโรคเส้นยึดเส้นจม จนกระทั่งหลังโกงเดินเอียงไปข้างหนึ่ง แกก็ใส่บาตรอยู่หลายเดือนเกือบปี แล้วก็หายไปเฉย ๆ ก็เลยถามลูกหลานโยมเขาว่าโยมไปไหน ? เขาบอกว่าแกใส่บาตรอยู่ตั้งนานไม่หายป่วยสักที แกเลยไม่ใส่
เขาไปเข้าใจอย่างนั้น เข้าใจว่าทำบุญแล้วจะต้องได้อย่างใจทุกอย่าง โดยที่ไม่เข้าใจว่าส่วนใหญ่สิ่งที่เราทำ โอกาสที่จะสำเร็จชาตินี้มีน้อย ถ้าไม่ใช่ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม แกจะให้เห็นผลทันตาว่าแกต้องหาย แล้วก็ดันมาใส่บาตรตอนชำรุดเสียขนาดนั้นแล้ว
ส่วนอีกรายหนึ่ง ยายแกตั้งใจจะมาใส่บาตร แต่คราวนี้หน้าฝนพื้นซีเมนต์ลื่น แกก็เลยล้มกระดูกสะโพกแตก พอรักษาหายแกก็เลยเลิกใส่บาตรไปเลย คงคิดว่าตั้งใจจะทำบุญแล้วยังเป็นเสียอย่างนี้ เลยไม่ทำอีก เป็นอะไรที่น่าเสียดาย ต้องบอกว่ามารเขาเก่ง เขาดลใจให้คิดไปในทางที่ออกจากความดีได้ตลอด"
ถาม : ยาคุมธาตุที่ปรุงถวาย ต้องขึ้นอยู่กับปีเกิดอย่างเดียวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : วันเดือนปีเกิด จะระบุว่าตอนช่วงนี้ของเราพอคูณออกมาแล้วธาตุไหนพร่องก็เพิ่มธาตุนั้น ไม่ได้พร่องอย่างเดียวนะ มีเกินด้วย ถ้ามีเกินก็ต้องลด ของอาตมาธาตุดินเหลือ ๐ ธาตุลมเหลือ ๑ น่าจะตายแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่มาได้อย่างไร ?
ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งเริ่มพร่องจะเจ็บป่วย ถ้าพร่องมากเกินไป ร่างกายรับไม่ไหวจะตาย แสดงว่าตำราเขาก็แม่นนะ เพียงแต่ว่าอาตมาค่อนข้างจะนอกเหตุเหนือผล เห็นร่างกายเป็นหุ่นก็ใช้ไปเรื่อย
ความจริงเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปัญหามานานแล้ว แต่มาหนักจริง ๆ เอาตอนสะโพกหลุด ถ้าโยมสังเกตจะเห็นว่าบางทีอาตมาจะคอยกดอยู่เรื่อย เนื่องจากสร้างกรรมไว้เยอะ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเล่นไม่เลิก เกิดจากสมัยหนึ่งเคยรบกับเขา แม่ทัพข้าศึกคนนี้เขาเก่งมาก ทางฝ่ายผู้บังคับบัญชาของอาตมาบอกว่าให้จับเป็น จะเกลี้ยกล่อมให้เป็นพวก ก็เลยต้องหาวิธีจับเป็น
คราวนี้ขี่ม้าปะทะอาวุธกัน พอม้าเขาถลำเลยไป อาตมาก็กระทุ้งด้วยด้ามทวนกลับไปโดนหลังเขาพอดี ตกหลังม้าไปแล้วก็จับได้ แต่ทำเอาเขาต้องนอนเตียงไปเป็นเดือน แล้วพอเขามา จะเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ในลักษณะอยู่ใต้เงาของอาตมาไปตลอด ก็เลยทำให้เขาโกรธฝังลึกอยู่ในใจ เขาเองโด่งดังมาก ไม่เคยแพ้ใครแล้วต้องมาแพ้อาตมา พอมาอยู่ฝั่งนี้ ถึงทุกคนจะยกย่องเขา แต่ก็มาเพราะการแพ้อาตมา ก็เลยกลายเป็นเวรเป็นกรรมเนื่องกันข้ามชาติข้ามภพ ไปกระทุ้งเขาเข้าตรงนี้พอดี อัดเขาตกหลังม้าไปเลย
ถาม : เป็นตรงช่วงเกราะ ?
ตอบ : เป็นช่วงที่เกราะคุ้มไม่ถึง อยู่ระหว่างช่วงบนกับช่วงล่างพอดี เพราะถ้าเกราะยาวเกินไปจะนั่งหลังม้าไม่ถนัด เวลาไปดูกรรมเก่า ๆ ของตัวเองก็เซ็งเหมือนกัน เล่นเขาไว้เยอะเหลือเกิน หลวงพ่อท่านถึงได้เตือนนักเตือนหนา ว่าเป็นทหารสร้างกรรมมาทุกชาติ ผลกรรมจะตามมาทำให้ป่วยบ่อย
ถาม : ตอนนั้นเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตอนนั้นก็ไม่มีอะไร แค่ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ก็ไม่ได้คิดว่า สิ่งที่ทำไปจะทำให้เขาเสียหน้า แล้วทำให้ถือเป็นข้อผูกโกรธมาตลอด
กรรมนิมิตเวลาเกิดขึ้น จะเหมือนกับเราไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย ความคิดอารมณ์ทุกอย่างคือตอนนั้น ก็เลยทำให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่ทนเอา มานึกดูอย่างเก่งชาตินี้ก็ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ตายแล้วไปพระนิพพานได้ก็คุ้มค่าสุด ๆ
ขนาดว่านอนหลับอยู่แท้ ๆ พอเผลอพลิกตัวอัตโนมัติแล้วต้องสะดุ้งตื่น ปล่อยเขาก็ทวงอยู่ระยะหนึ่ง ใช้เขามา ๓๐ กว่าปีแล้ว ถ้าหากว่ายังไม่ดีขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หนี้มีเยอะก็ค่อย ๆ ผ่อนไป
ถาม : กรรมยังส่งผลอยู่หรือคะ ถึงใช้หนี้ไม่หมด ?
ตอบ : เขาเรียกว่าบุญรักษา และกรรมก็รักษา แบบเดียวกับพระโลสกะที่พระสารีบุตรพาไปบวช ในแต่ละวันฉันข้าวได้ไม่เกิน ๗ เม็ด แล้วท่านก็อยู่ของท่านมาได้จนอายุครบบวช ทั้งชีวิตได้กินข้าวอิ่มมื้อเดียว แล้วก็พิจารณาธรรม พอร่างกายสบาย บรรลุตรงนั้นก็นิพพานตรงนั้น
ฉะนั้น...ถ้าบุญยังไม่หมดก็ไม่ตาย กรรมยังไม่หมดก็ไม่ตาย คนบางประเภทหมดบุญแล้วตาย คนบางประเภทหมดกรรมแล้วตาย
มีญาติโยมหลายคนกราบเรียนถึงวิธีการรักษาโรคให้พระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "อาตมาโดนมาทุกวิธีแล้ว อะไรที่ใครบอกว่าดีอาตมายินดีทั้งนั้นแหละ...มาเถอะ แล้วผลที่ออกมาก็คือเหมือนเดิม เพราะกรรมหนักเกิน ทุกวันนี้เวลาคนมาให้ความหวังว่ารักษาได้ แหม...ยิ้มเลย ที่ยิ้มไม่ใช่อะไรหรอก กูต้องลำบากกินยาอีกแล้ว
เมื่อเดือนก่อนกินยาหม้อไปเป็นเดือนเลย เพราะยาตัวนี้เขายืนยันว่ารักษามาลาเรียได้แน่ เอามาฉันลงไปวันแรกรู้ว่ามีปฏิกิริยานิดหน่อยกับเชื้อโรคในตัว พอวันที่ ๒ ก็เหมือนเดิม รู้ว่ารักษาไม่ได้แล้ว แต่กินเพื่อให้โยมรู้ว่าอาตมากินจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่หายเพราะไม่กินยาของเขา
เพราะฉะนั้น...ทุกวันนี้ที่กินยา กินเพื่อให้โยมรู้ว่าไม่ต้องหามาอีก ไม่มีประโยชน์ แต่อย่างน้อย ๆ เวลากินยาก็อิ่มกว่ากินน้ำเปล่าหน่อยหนึ่ง นึกแล้วก็ขำ ท่านเก่งเลขานุการวัดท่าขนุนท่านก็เป็นมาลาเรีย ไปกินยาตัวนั้นเข้า ท่านบอกว่าท่านถ่ายจนไม่มีแรงจะเดินแล้ว อาตมาก็ว่าสงสัยตัวเองกินยามากจนตายด้านหรือเปล่า ? เพราะว่ากินไปเท่าไรก็ไม่รู้สึกรู้สา ทุกครั้งเลยที่เปลี่ยนยาตัวใหม่ ร่างกายจะมีปฏิกิริยาในการกินครั้งแรก เหมือนกับเชื้อโรคขยับตัว ระวังว่าไอ้นี่มาแล้ว แต่พอถึงเวลาเห็นว่าข้าศึกทำอันตรายไม่ได้ เชื้อโรคก็นอนเขลงต่อไป พอขยับนี่รู้เลยว่ามีปฏิกิริยา"
ถาม : ที่สุโขทัยยังไม่มีศาลหลักเมือง ?
ตอบ : ยาก เพราะว่าประเทศเราน่าจะมีศาลหลักเมืองแทบทุกเมืองแล้ว ยกเว้นจังหวัดตั้งใหม่
ถาม : โยมที่เดินเรื่องย้ายแม่ย่าจากวัดพระพุทธชินราชกลับเขาหลวง อาจจะได้ทำเรื่องเสาหลักเมืองด้วยค่ะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ง่าย ๆ นะ ต้องรอมหาดไทยเขาอนุญาตด้วย
ถาม : คาดว่าต้องขอสำนักพระราชวังด้วยค่ะ ?
ตอบ : ต้องให้กองราชพิธีสำนักพระราชวัง เพราะราชครูต่าง ๆ เขายังศึกษาเรื่องนี้มาเต็มที่ เพียงแต่ว่าถ้าเป็นอย่างของนครศรีธรรมราชเขาไม่เอาใครเลย เขาเอาพ่อปู่ขุนพันธ์ไปตั้ง ปกติเสาหลักเมืองเขาจะใช้ไม้ชัยพฤกษ์ พ่อปู่ขุนพันธ์เล่นไปเอาตะเคียนทองมาทั้งต้นเลย ไปบวงสรวงขอพลีมา แล้วก็ขุดเอาตอตะเคียนไปด้วย เพราะถ้าหากตอยังอยู่ เขาก็ยังสามารถเอาวิมานแปะได้ แถวนั้นไปพุทธาภิเษกมาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะที่วัดศรีชุม เล่นจัดพิธีในวัด ปัจจุบันนี้เขากำลังเล็งเพชรบูรณ์ใหม่อีกรอบแล้ว จะเอาเพชรบูรณ์หรือไม่ก็สระบุรีเป็นเมืองหลวงใหม่
ถาม : ผมเป็นข้าราชการ มีวันหนึ่งเจ้านายชั้นสูงให้ไปพบและยื่นซองให้ และพูดว่า "ไม่ว่ากันนะ" ผมเดินออกมางง ๆ เปิดดูก็พบว่าเป็นเงิน ก็มานึกดูว่าทำไมถึงให้ ? ผมเดาว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเจ้านายให้ผมไปคุมงานหนึ่ง เขาอาจจะให้เพราะเรื่องนี้ ผมก็คิดว่าเขาให้ด้วยความเสน่หา คงไม่เป็นอะไร แต่ทำใจเอาไม่ลง ถ้าผมเอามาทำบุญ เช่น สร้างพระทองคำ แล้วได้วัตถุมงคลที่ระลึก ผมจะมีโทษอะไรไหมครับ ?
ตอบ : คุณคิดถูกแล้วที่ว่าเขาให้โดยเสน่หา เดี๋ยวนี้บรรดาผู้ประมูลงานทุกคน จะกันงบส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ เขาตั้งใจให้เพื่อความสะดวกคล่องตัวในการงาน ถึงเราจะเรียกร้องหรือไม่เรียกร้องเขาก็ให้ ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่เขากลัวว่าถ้าเขากินคนเดียวเดี๋ยวลูกน้องจะฟ้อง เขาก็เลยแบ่งมาด้วย สมัยก่อนอาตมาก็เจอมาแบบนี้แหละ ก็ถือว่าเขาให้โดยเสน่หา เราจะเอาไปทำอะไรก็ทำไปเถอะ เราไม่ได้เรียกร้องเขาเองนี่หว่า..!
พวกเรามักเสียอยู่อย่างก็คือ ละอายชั่วกลัวบาป พอถึงเวลาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร โดยเฉพาะบางคนกังวลไปถึงว่ายันต์เกราะเพชรจะอยู่ไหม ? เขากลัวว่าจะเป็นการขโมย ขโมยตรงไหนในเมื่อเขาส่งให้ ไม่รับนั่นแหละจะเดือดร้อน เพราะว่าเขาจะเห็นเราเป็นคนละพวกกัน แล้วเดี๋ยวเรื่องเละเทะจะมาอีกเยอะ
เราต้องยอมรับว่าระบบนี่ฝังรากลึกมากแล้ว เพราะฉะนั้น...เรื่องอุทยานราชภักดิ์ เขากินกันก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ปกติตรงที่ว่ารัฐบาลนี้ประกาศว่าจะมาล้างคอร์รัปชั่น ในเมื่อรัฐบาลประกาศว่าจะมาล้างคอร์รัปชั่น ก็เลยบรรลัยกันจนทุกวันนี้ กลายเป็นข้อเปรียบเทียบว่า ถ้าหากว่ารัฐบาลเก่าโกงต้องไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด แต่รัฐบาลใหม่โกงไม่เป็นไรเพราะเป็นคนดี เป็นอะไรที่เจ็บแสบมาก แล้วรัฐบาลเก่า เขาใช้คำว่า "น่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้น" แล้วก็ทำการสอบสวนกันเอาเป็นเอาตาย ส่วนรัฐบาลใหม่ไม่ได้ทุจริต แต่ทหารมีทั้งลาออก มีทั้งหนีไปนอก ไม่ทุจริตแล้วจะหนีไปทำไม ? บอกเด็กเอานิ้วตีนคิดยังรู้เลย แล้วก็พยายามที่จะปกปิดกัน พยายามที่จะขัดขวางกัน
เขารู้ไหมว่ายิ่งเขายิ่งขัดขวาง ยิ่งทำให้ชาวบ้านเห็นชัด ? ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจ แล้วคุณไปกลัวอะไรกับคนที่ไปตรวจสอบ แล้วเมื่อวานทางสวนนงนุชก็ดันออกมาซ้ำอีกดอกหนึ่ง บอกว่าบริจาคต้นไม้ไป ๑,๐๐๐ กว่าต้น บรรลัยสิ...พวกนั้นออกใบเสร็จเบิกมาทุกต้นเลย โดยเฉพาะต้นปาล์มต้นละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกตั้งใจว่าพอสอบพระอุปัชฌาย์ได้ ขี้เกียจบวชพระบ่อย ๆ ก็จะบวชปีละครั้งเดียว เพราะฉะนั้น...จึงออกกำหนดการของปี ๒๕๕๙ มา ไม่มีบวชพระ ๔ ครั้ง โดนหลวงพ่อวัดท่าซุงด่าจมดินเลย ท่านบอกว่า “อะไรที่กำหนดให้นั้น พอเหมาะพอดีอยู่แล้ว อย่าไปเปลี่ยนแปลง คนเราไม่ใช่ว่ามีเวลาว่างมากมายเหมือนกับที่แกต้องการ แกจัดปีละ ๔ ครั้ง เขาว่างหรือสะดวกช่วงไหนเขาก็บวชได้ แต่แกเล่นไปกำหนดทีเดียวว่า อยู่วัดก่อน ๗ วัน บวชอีก ๑๕ วัน ใครเขาจะอยู่ได้นานขนาดนั้น เดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากงานไปเท่านั้น” ท้ายสุดก็เลยต้องเหมือนเดิม ถ้าหากว่าอาตมาจะจัดบวชอะไรค่อยว่ากันอีกที
ช่วงที่ผ่านมามีแต่งานทุกวัน โดยเฉพาะอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นตรี ๑๐ วัน แล้วก็สอบ ๔ วัน จากนั้นก็มาอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นโท ๑๕ วันสอบอีก ๔ วัน สอบธรรมศึกษาอีก ๑ วัน โอ้พระเจ้า...หมดไปหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย โดยเฉพาะเป็นหัวหน้าวิทยากรในการอบรม ยังพูดขำ ๆ กับนักธรรมชั้นโทชั้นเอกว่า นี่คณะสงฆ์ทองผาภูมิเห็นความสำคัญของพวกคุณมาก ถึงขนาดส่งพระด็อกเตอร์มาอบรมพวกคุณเลย อำเภออื่นยังไม่ส่งวิทยากรระดับนี้ แต่ว่าสถิติทำให้เห็นชัดว่าสอบได้ถึง ๙๘ เปอร์เซ็นต์ คำว่า ๙๘ เปอร์เซ็นต์ก็คือ ๑๐๐ ตกแค่ ๒ จากที่ ๑๐๐ เคยตก ๕๐"
ถาม : เป็นเพราะอาจารย์เป็นด็อกเตอร์ ก็เลยตกแค่นี้ ?
ตอบ : ไม่ใช่...เป็นเพราะว่าเอาข้อสอบเก่ามาให้ซ้อมทำ แล้วไปตรงกับที่เขาออก เอาให้เขาซ้อมทำ บังเอิญตรงกับที่เขาออกพอดี พอประกาศผลนักธรรมชั้นตรี คราวนี้ยิ้มหน้าบานกันทั้งวัดเลย ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือวัดท่าขนุน ส่งไป ๘ รูปตกไป ๑ ความจริงไม่มีโอกาสตก แต่กลับตกได้ วันก่อนพระครูสุกิจกาญจนโสภิต ถามว่า “อาจารย์พระครู ลูกศิษย์ตกได้อย่างไร ?” บอกว่า “ก็น่าจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์นั่นแหละ” เขาบอก “ไม่ใช่” “ใช่สิ...ต้องเอาของเขาไปลอก แล้วส่งคืนมาไม่ครบแผ่นแน่เลย”
พอแหย่คืนไปท่านก็สะดุ้งเลย เพราะสมุห์กอล์ฟก็เคยโดนมาแล้ว เขาเคยโดนพวกเอาไปแยกชิ้นส่วน ๓ ชิ้น ถึงเวลาต่างคนต่างลอก พอส่งคืนไปไม่ครบ นั่นแหละคนลอกสอบได้ทุกคน แต่ต้นฉบับตก หลังจากนั้นเป็นต้นมาต้องสั่งเลย อย่ารีบเสร็จ โดยเฉพาะพวกลายมือดี ๆ ถ้ารีบเสร็จโดนเอาไปลอกหมด
ถาม : ผมนั่งภาวนาไปสักพัก ความรู้สึกเหมือนกับตัวเบ่งกล้ามครับ ผมสงสัยว่าหายใจไหม ก็เลยเอายาดมไปจ่อที่จมูก ต่อมาก็รู้สึกเย็นที่จมูกครับ ?
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน เป็นอาการปกติของการปฏิบัติ ถ้าเราไม่กลัว ให้กำหนดใจสบาย ๆ รับรู้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น ก็จะก้าวข้ามไปสู่สมาธิที่ลึกกว่าได้เอง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เราไปรักตัวกลัวตาย จะทำให้ไปกังวลกับตรงนั้น แล้วก็ติดอยู่แค่นั้นแหละ
ถาม : ผมสงสัยคำภาวนาครับ ถ้าเราสวดมนต์พร้อมออกเสียง จะถือว่าเป็นการภาวนาไหมครับ ?
ตอบ : เป็น...คำว่าภาวนาคือทำให้เจริญ อะไรที่ทำให้กาย วาจา ใจ ดีขึ้น ถือว่าเป็นการภาวนาทั้งหมด
ถาม : อยากไล่หมาไล่แมว ต้องวางอารมณ์แบบไหนไม่ให้เกิดโทษครับ เพราะบางทีหมาแมวก็ไม่กลัวครับ ?
ตอบ : อย่างอาตมาไปไล่ โดนเลียหน้าแผล็บ ๆ เขารู้ว่าไม่ได้ดุจริง ก็ไปหาไม้หาอะไรมาฟาดพื้นไปสิ ถึงเวลาเห็นไม้เขาก็เผ่นเองแหละ
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนครูต้องคัดนักเรียนเป็นห้อง ก. ห้อง ข. เอาคนที่มีความสามารถใกล้เคียงกันไปเรียนอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่กดดันคนที่เรียนอ่อนกว่าและไม่ทำให้คนเก่งเขาเบื่อ แต่พอคนเก่ง ๆ มาอยู่ด้วยกันก็แข่งขันกันน่าดูเลย
ทางโรงเรียนของอาตมา ครูเขาตั้งเก้าอี้ไว้ ๒ ตัว มีคิงส์กับควีน เก่งที่สุดฝ่ายผู้หญิงไปนั่งโต๊ะควีน เก่งที่สุดฝ่ายผู้ชายไปนั่งโต๊ะคิงส์ อาตมาก็ต้องพยายามยึดเก้าอี้เอาไว้ให้ได้ คนอื่นก็ต้องพยายามแย่งให้ได้ เพราะถ้าเทอมต่อไปสอบไม่ได้ที่ ๑ คนอื่นที่ได้ก็ต้องไปนั่งตรงนั้นแทน จากคนที่เคยนั่งตรงนั้น พอไปนั่งที่อื่นแล้วไม่ชิน เลยต้องยึดเอาไว้ให้ได้
ฝ่ายผู้หญิงเขาเปลี่ยนกันบ่อย อาตมาเคยโดนยึดอยู่ครั้งหนึ่งตอนเรียน มศ.๓ ตอนพ่อตาย ไปงานศพพ่ออยู่ ๑๐ วัน หลังจากนั้นรู้สึกเวิ้ง ๆ อย่างไรไม่รู้ ไม่กระตือรือร้นที่จะเรียน เทอมนั้นเลยโดนเขายึดไป ฝ่ายผู้หญิงเขาเปลี่ยนกันบ่อย เขามีอยู่ ๔-๕ คนที่ความสามารถใกล้เคียงกัน ส่วนฝ่ายผู้ชายหายาก พอเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้วไม่ค่อยสนใจเรียน คนบ้าเรียนมีอยู่ไม่กี่คน หาคนอื่นแทนยาก
ที่อัศจรรย์ก็คือส่วนใหญ่ที่เรียนเก่ง ๆ เป็นลูกจีนทั้งนั้นเลย ใช้แต่แซ่ เหมือนอย่างกับลูกไทยเขาไม่กระตือรือร้นที่จะเรียน บางคนรู้สึกว่าเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ เรียนไปทำไม เดี๋ยวก็กลับไปทำนา ส่วนลูกจีนอย่างอาตมาพ่อแม่กรอกหูอยู่ตลอด ต้องเรียนให้เก่ง ๆ ไว้ ไม่รู้หนังสือทำอะไรก็เสียเปรียบเขา
พอเคยชินกับการเรียนอะไรที่ง่าย ๆ เห็นเด็กคนอื่นเขาเรียนยาก ทุกข์ทรมานแล้ว รู้สึกเหนื่อยแทน"
"เด็กที่วัดเขาเรียนปริญญาตรีตอนที่อาตมาเรียนปริญญาตรีเทอมสุดท้าย จนอาตมาจบปริญญาเอกแล้วเขายังไม่จบตรีเลย เขาเรียนที่สุโขทัยธรรมาธิราช เทอมแรก ๆ เขาไม่มีแนวทางเลย จึงสอนเขาว่าต้องดูหนังสืออย่างไร ต้องวิเคราะห์อย่างไร หัวก็ไม่ไป ท้ายสุดน้องเล็กเขาช่วยเข้าไปในเว็บ แล้วไปโหลดคำบรรยายของอาจารย์มาให้เขาฟัง เขาถึงจับจุดได้ เพราะว่าเรียนโดยอ่านหนังสือเอง ถ้าไม่ใช่คนแม่นจริง ๆ จะจับจุดไม่ได้ว่าวิชานี้สอนอะไร ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้แล้วไม่มีอาจารย์อธิบายก็ไปไม่เป็น
ตอนนี้กำลังเรียนวิชาสุดท้ายอยู่ ถ้าลงวิชานี้ก็จะจบ บอกเขาว่าถ้าจะต่อโทหลวงพ่อจะส่งให้ พูดง่าย ๆ คือ ทั้งหมู่บ้านของเขายังไม่มีใครจบปริญญาตรี เป็นเด็กมูเซอ บอกว่าถ้ามีเวลาก็เรียนต่อ ถ้าเรียนแบบหลวงพ่อแค่ ๒ ปีก็จบปริญญาโทแล้ว ถ้าจบโททั้งหมู่บ้านคงไม่มีใครตามไหว จะกลายเป็นขึ้นคานหรือเปล่า ? เพราะปีนี้เขาอายุ ๒๔ ปีแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปคุมกรรมฐานของนิสิต มจร. ระดับปริญญาตรีวันที่ ๑๗-๒๖ ธันวาคม ส่วนของปริญญาโทเริ่มวันที่ ๑๗ ธันวาคมไปเลิกเอาสิ้นเดือนพอดี กรรมฐานของปริญญาโท ๑๕ วัน ต้องหาทางให้เขาเลิกวันที่ ๓๐ ธันวาคมให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมากลับไปจัดสวดมนต์ข้ามปีไม่ทัน พอสวดมนต์ข้ามปีเสร็จก็ต้องเตรียมมานั่งรับสังฆทาน ขณะเดียวกันก็ต้องไปพระสอบอุปัชฌาย์ จะปลีกตัวอีท่าไหนวะ ?
วันที่ ๒๓ ธันวาคมนี้ ต้องไปเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านเสด็จไปเปิดพุทธยานหลวงพ่อพระยืนองค์ใหญ่ที่ห้วยกระเจา ทางนั้นหาพระไปเจริญชัยมงคลคาถาและพุทธาภิเษก จริง ๆ แล้วการเจริญชัยมงคลคาถาเขาต้องเอาเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัดมา แต่ดันมีชื่อพระครูวิลาศกาญธรรมไปด้วย แล้วพระปลุกเสกอีก คนอื่นเขาเจองานเดียว เราเจอ ๒ เด้ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดสมเด็จองค์ปฐมเป็นสาธารณะ คนรู้จักก็สร้างกันไปเรื่อย แต่อีกจำนวนมากก็ยังไม่รู้จัก แม้กระทั่งพระผู้ใหญ่ฝ่ายการปกครองที่อาตมาไปขออนุญาตสร้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จัก ไปรู้จักพวกเราระดับล่าง ๆ บางทีท่านก็ไปยืนมองงง ๆ "เรียกว่าอะไรนะ องค์ปฐมหรือ ?" บอกท่านว่าคือพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลก พวกเราเลยเรียกสมเด็จองค์ปฐม ท่านถึงเข้าใจ บางท่านก็แสดงภูมิรู้ว่ายุคนี้ยุคของพระสมณโคดม แล้วทำไมเราไม่สร้างองค์ปัจจุบัน ?
เดี๋ยวนี้ที่หน้าวัด รถแวะกันทั้งวัน เพราะว่าจอดพักก่อนขึ้นสังขละบุรีได้ ไปถ่ายรูปสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ ไปเข้าส้วม ไปซื้อน้ำ ตรงเข้าส้วมนี่แหละสำคัญ"
พระอาจารย์เล่าว่า "เคยอ่านพระไตรปิฎก อักโกสกพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า มีอยู่ประโยคหนึ่งบอกว่า "พระสมณโคดมเป็นผู้ที่ไร้รสชาติ" คำด่าประเภทนี้สมัยนี้ไม่เจ็บไม่คัน แต่สมัยนั้นน่าจะเป็นคำด่าที่เจ็บแสบมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่าอักโกสกพราหมณ์ด่าถูก เพราะพระองค์ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง แล้วจึงไม่มีรสชาติอะไร
อาตมามานึกถึงตัวเอง สมัยแรกช่วงที่ทำงานใหม่ ๆ สิ่งที่อยากได้คือบ้าน สมัยนั้นบ้านจัดสรรพร้อมที่ดิน ๖๐ ตารางวา ราคาหลังละ ๒ แสนบาท ได้ยินแล้วอย่างกับฝันไป เดี๋ยวนี้มีแต่ ๔-๕ ล้านบาทขึ้น พยายามเก็บเงินจนได้ ๒ แสนบาท ปรากฏว่าบ้านขึ้นเป็น ๓ แสนกว่าบาท อาตมาเป็นคนที่ไม่ชอบซื้อของเงินผ่อน พอเก็บไป ๓ แสนกว่าบาท ก็ขึ้นเป็น ๔ แสนบาท ท้ายสุดก็หมดอยากที่จะซื้อ พอมาบวชเลยดีใจที่ตัวเองไม่มีบ้านของตัวเองจริง ๆ
อย่างทุกวันนี้พระครูแสงน้องชายก็เครียดเรื่องบ้าน แกซื้อไว้ตอนที่กลับมาจากซาอุดิอาระเบีย ซื้อเงินสดสมัยนั้น ๘ แสนบาท บ่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงทุกครั้งที่ไปดู บอกว่าคนเช่าไม่ดูแลให้เลย ปล่อยบ้านโทรมจนดูไม่ได้ เลยรู้สึกดีใจที่หมดอยากที่จะมีบ้าน แต่มาดีใจว่าไม่มีบ้านแทน"
"มีอยู่ยุคหนึ่งเห็นรถยนต์ยี่ห้อไหนสวย ๆ ก็อยากได้ไปหมด แต่พอทำงานเก็บเงินจนกระทั่งมีพอที่จะซื้อรถ เหมือนกับหมดอยากไปเฉย ๆ คล้าย ๆ กับว่าสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะหามาได้ ก็ไปดิ้นรนไขว่คว้า พอมีปัญญาที่จะได้ก็หมดอยาก เรื่องนี้อาตมาสังเกตตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ คือถ้าอยากได้อะไรก็แทบจะบ้าไปเลย ต้องเอาให้ได้ แต่พอได้มาแล้วสามารถให้คนอื่นต่อได้เดี๋ยวนั้นเลย เหมือนกับว่าขอให้ได้มาก็พอ หลังจากนั้นก็จะหมดอยากในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ฉะนั้น...ถึงเวลาจะมีรถยี่ห้อไหนก็ได้ กลับไม่อยากได้อะไรเลย เห็นเป็นภาระ
ตอนที่เห็นเป็นภาระมากที่สุด คือ ซื้อรถเบนซ์ถวายพระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีสมัยนั้น อาตมาเป็นคนดูแลรถ เพราะท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถึงเวลากลับมาบางที ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่ม อาตมาก็ตรวจสอบน้ำ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก ลมยาง ตรวจอะไรสารพัดพร้อมกับเช็ดถู กว่าจะเสร็จก็ ๔ ทุ่ม บางทีตี ๕ ออกอีกแล้ว ถึงเวลาต้องเอาไปเข้าศูนย์ ถึงเวลาเอาไปเติมน้ำมัน ท่านเองใช้อย่างเดียว ก็เลยกลายเป็นว่า พอมีในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้เมื่อไร ก็จะหมดอยากไปเฉย ๆ
มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนนั้นบวชได้ประมาณ ๘ พรรษา เห็นเด็ก ๆ แล้วรักสุดจิตสุดใจเลย เห็นเป็นลูกไปหมด คิดว่าถ้าไม่ได้บวชต้องแต่งงานให้ได้ อยากมีลูกของตัวเอง ช่วงนั้นก็เป็นอยู่อย่างนั้นพักเดียวแล้วก็หาย ก็เลยคิดเราเป็นอะไรกันแน่วะ ? อยากอยู่พักเดียว พอพักหนึ่งก็หมดอยาก ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป เลยไปนึกถึงว่า ใครนะที่ถามว่าพระนิพพานไม่ต้องทำอะไรเลยก็เบื่อแย่ เออ...เขาเข้าใจเอาเรื่องของคนมีกิเลสไปคิดถึงคนหมดกิเลส หารู้ไม่ว่าคนที่วางภาระทั้งหมดได้มีความสุขขนาดไหน คิดออกกันหรือเปล่า ?"
"ถามว่าเคยรักผู้หญิงไหม ? ก็เคย เคยบ้าถึงขนาดตี ๒ ตี ๓ ต้องโทรไปหา แต่ก็เป็นอยู่พักเดียว เหมือนโดนบังคับ คือรู้ว่าตัวเองต้องบวช ถ้าหากว่าเราบวช เกิดมีคู่แล้วต้องทิ้งเขาไป คงทำใจยาก เลยกันตัวเองเอาไว้ ยุคนั้นเลยค่อนข้างจะเป็นคนปากร้าย เวลาผู้หญิงเข้าใกล้โดนไล่กระเจิดกระเจิงหมด ตอนนั้นเข้าใจตัวเองว่า ถ้ามีคู่ก็ทิ้งเขาไม่ได้ อาตมากำลังใจไม่ยิ่งใหญ่เท่าพระพุทธเจ้า ในเมื่อใช้ชีวิตร่วมกันก็ต้องรับผิดชอบชีวิตเขา อะไรทำนองนี้
ช่วงที่ไปวัดท่าซุง บรรดาหลวงพี่ที่วัดพอได้ยินว่าจะบวช ร้องเหวอไปตาม ๆ กัน เพราะอาตมาไปทีพาสาวไป ๘ คน ๑๐ คน แล้วบอกว่าจะบวช แต่ความจริงช่วงนั้นบรรดาน้อง ๆ ยังเรียนหนังสืออยู่บ้าง เรียนจบแล้วไม่มีงานทำบ้าง แล้วที่บ้านก็ไม่มีผู้ชายที่จะเข้าวัด ถ้าอาตมาไม่พาไปเขาก็ไม่รู้ว่าจะอาศัยใครไปวัด พูดง่าย ๆ ว่าไปเป็นไม้กันหมาให้เขา แต่คนอื่นเขาไม่เข้าใจ ไปด้วยกันก็คิดว่าเป็นแฟนกัน มากันทีเยอะแยะแบบนี้แล้วบอกว่าจะบวช"
"บวชใหม่ ๆ ๔-๕ พรรษาแรก ผู้หญิงเข้าใกล้อาตมาไล่กระเจิงหมด ที่มาปรับตัวเพราะว่ามีอยู่วันหนึ่ง ช่วงใกล้ปีใหม่โยมผู้หญิงคนหนึ่งเอาของขวัญมาให้ อาตมาบอกว่า "เออ...ขอบใจมากนะ ขอให้มีความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวัง" ยายนั่นได้ยินหันมามองหน้า "เออ...หลวงพี่ก็พูดดี ๆ กับเขาก็เป็นเหมือนกันนะ" ก่อนหน้านี้ด่าตลอด ไล่ตลอด ไม่ให้เข้าใกล้ นึกขึ้นมาได้ว่า ตายห่...นี่เราปากร้ายขนาดนั้นเลยหรือ ? ก็เลยค่อย ๆ ปรับตัวเองใหม่ ไม่อย่างนั้น ๔-๕ พรรษาแรกไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้"
ถาม : ทำไมถึงไล่ ?
ตอบ : ระวังกลัวจะผิดศีล ต้องใช้ภาษาสมัยนี้ว่าเขาดีเกินไปสำหรับเรา สมัยนี้ประโยคนี้เขาเอาไว้บอกเลิกกัน แต่อาตมารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
อาตมารู้ตัวเองอยู่ว่าต้องบวช ถ้าไปมีอะไรกับเขา ก็ไม่ควรที่จะทิ้งเขาไป ฉะนั้น...บรรดาสาว ๆ สมัยโน้น ถ้าอยู่ ๆ ได้ข่าวว่าอาตมามีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิง เขาเถียงตายเลย สมัยโน้นโอกาสมีเป็นร้อยเป็นพันยังไม่แตะไม่ต้อง จะมาทำอะไรเอาตอนแก่
ต้องบอกว่าตอนเป็นพระ ผู้หญิงเข้าใกล้ได้มากกว่าตอนเป็นฆราวาสเยอะเลย เพราะตอนนั้นป้องกันตัวเองชนิดขีดวงไว้เลย ห้ามล้ำเส้น รู้ว่าเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร ถ้าไปมีความสัมพันธ์ขึ้นมาแล้วให้ทิ้งเขาไป คงตัดใจทิ้งไม่ลง เลยอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า
ไปเนปาลงวดนี้กว่าจะหาผู้ชายมานอนห้องข้าง ๆ ได้ก็ลำบาก งวดนี้ถึงขนาดมีคนสั่งตากล้องเอ๋ บอกให้ไปเป็นคนกันให้หน่อย แต่ความจริงเป็นคนละห้องก็หมดเรื่องแล้ว ที่ตลกคือเขาพักห้องที่เป็นเตียงคู่สำหรับนอน ๒ คน แต่อาตมาคนเดียวดันไปนอนห้องที่มี ๒ เตียง ก็ดีเหมือนกันคืนนี้นอนเตียงนี้ อีกคืนนอนเตียงนี้
ตอนแรกมหาโรจน์เขาไปด้วย ทางทัวร์จัดให้พักห้องเดียวกัน ปรากฏมหาโรจน์บอกว่า ถ้านอนห้องเดียวกับหลวงพ่อ ท่านทำตัวไม่ถูก เลยยอมเสียเงินเปิดห้องต่างหากของตัวเอง
พระพุทธเจ้าท่านป้องกันพระเอาไว้ถึงขนาดว่า ห้ามภิกษุนอนเตียงเดียวกัน ท่านใช้คำว่า กายะสังสัคคัง คือมีกายอันสัมผัสกันได้ แล้วก็ห้ามห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน ถ้านอนเตียงเดียวกันแล้วมั่นใจว่าตัวคุณไม่สัมผัสกัน ก็ห้ามใช้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ท่านกันไว้ขนาดนั้น ตอนแรกอ่าน ๆ ไป เอ๊ะ...ทำไมกันไว้ขนาดนี้ ปรากฏว่าระยะหลังผู้ชายสวยมีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ถึงได้เข้าใจว่าท่านกันเอาไว้ล่วงหน้าเป็นพันปี
เพื่อน ๆ อาตมาที่เป็นแบบนี่มีเยอะแยะเลย คบหาสมาคมกันอย่างที่เราก็ไม่ได้รังเกียจเขา ในวงการสงฆ์มีเยอะ แรก ๆ เขาก็เก็บอาการ แต่พอรู้ว่าเราไม่รังเกียจก็ปล่อยเต็มที่เลย บรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายเหล่านี้มีความสามารถมาก เขามีความละเอียดอ่อนของผู้หญิง และมีความเข้มแข็งของผู้ชาย ฉะนั้นทำงานเก่งทุกคน
ถ้าเก็บอาการได้ สามารถบวชได้ แต่ถ้าบวชแล้วเก็บอาการไม่ได้เขาไม่ได้ปรับคนบวชนะ ปรับพระอุปัชฌาย์ที่ให้บวช ส่วนคนบวชท่านว่าให้นาสนะคือให้สึกเสีย
ตอนนี้วัดท่าขนุนตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองผู้บวช ก็คือเอาตามที่ท่านบัญญัติเอาไว้ว่าประเภทไหนห้ามบวชบ้าง แต่อุภโตพยัญชนะน่าจะไม่มี เพราะอุภโตพยัญชนะเป็นคนสองเพศ พระพุทธเจ้าท่านห้ามมา ๒ พันกว่าปี เพิ่งมาเจอไม่นานมานี้เองว่า มีเกาะอยู่แห่งหนึ่งที่ผู้หญิงผู้ชายมีอวัยวะสมบูรณ์ทั้งสองเพศเลย ฝ่ายไหนจะตั้งท้องก็ได้ เกาะนั้นเป็นทั้งเกาะ
ถาม : เป็นเผ่าพันธุ์ ?
ตอบ : ใช่...พระพุทธเจ้าห้ามบวชเลย เดี๋ยวจะเกิดปัญหาขึ้น ทีแรกก็คิดว่ามีจริง ๆ หรือ พอฝรั่งออกมายืนยันเลยต้องยอมรับว่ามีจริง ๆ
ถาม : ในอดีตชาติสามีภรรยาคู่หนึ่งได้อธิษฐานไว้ ปัจจุบันถอนคำสาบานที่ติดตามกันมาในอดีตต่อหน้าพระแม่ธรณี สามารถลบล้างคำอธิษฐานได้ไหมครับ ?
ตอบ : คำอธิษฐาน ถ้าต่างคนต่างตั้งใจเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ก็สามารถที่จะลบล้างได้
ถาม : ลบล้างได้ แต่ก็ยังอยู่ ?
ตอบ : ถ้าข้ามชาติข้ามภพเป็นเรื่องใหม่แล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าเราไม่ไปฟื้นสัญญาเดิม ก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไร อย่างเก่งเห็นหน้าก็รู้สึกถูกชะตา แต่ถ้าเราไปฟื้นสัญญาเดิม ความผูกพันเก่า ๆ ก็เท่ากับเราไปผูกกรรมเดิมเข้าไว้ ฉะนั้น...ถ้าเป็นไปได้ก็ขออโหสิกรรมกัน แล้วก็ถอนคำอธิษฐาน
เรื่องความผูกพันข้ามชาติข้ามภพมา ถ้าเราตั้งใจจริง ๆ ถอยไปฝ่ายหนึ่งก็จบ หลวงปู่ฝั้นที่อาตมาเคยนับถือเป็นครูบาอาจารย์ก่อนที่จะมาเจอหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านธุดงค์จะข้ามแม่น้ำ แล้วมีแม่ลูกแจวเรือจ้างมารับ ท่านว่าพอเห็นหน้าลูกสาวก็แวบเข้ามาในอก เข่าอ่อนแทบจะยืนไม่ติดเลย รู้เลยว่าถ้าไม่ได้บวชเป็นพระอยู่ ต้องไปขอแต่งงานด้วยแน่
ท่านว่าพอขึ้นจากเรือ ท่านเดินแทบจะไม่ได้สติ ไปเรื่อยจนได้ระยะพอสมควรก็ปักกลด ปรากฏว่าแม่กับลูกคู่นั้นตามมา มาถึงก็รำพึงรำพันว่าตัวเองมีนากี่ไร่ มีควายกี่ตัว มีลูกสาวคนเดียว ไม่มีผู้ชายที่จะอยู่คอยเป็นหลักในบ้านเลย เห็นหน้าท่านแล้วก็ชอบใจ ช่วยสึกมาทีเถอะ จะยกลูกสาวและสมบัติทั้งหมดให้ หลวงปู่ฝั้นบอกว่าท่านไปไม่เป็นเลย ใจตัวเองก็ไปตั้งครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วเขายังมาพูดอย่างนี้อีก แต่ด้วยสำนึกว่าอยู่ในเพศของความเป็นพระ คุยเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ได้แต่บอกปัด ๆ ไปว่าเอาไว้มารอคำตอบพรุ่งนี้แล้วกัน แม่ลูกจึงว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาจังหัน คือ เอาอาหารเช้ามาถวาย แล้วจะมาฟังคำตอบ
หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่าพอลับหลังสองแม่ลูกคู่นั้น ท่านยอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้นเลย ท่านบอกว่าถ้าอยู่เสร็จเขาแน่ เพราะว่าใจตัวเองไปเกินครึ่งแล้ว โดยปกติพระปักกลดแล้วด้วยสัจจะบารมี ต่อให้มีเรื่องถึงแก่ชีวิตก็ถอนกลดไม่ได้ ต้องยอมถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา แต่ท่านถอนกลดหนี ธุดงค์ข้ามไป ๔ จังหวัด ท่านว่าเดินไปที่ไหนก็นึกถึงแต่ยายหน้าใบโพธิ์
กราบเรียนถามท่านว่า แล้วหลวงปู่หนีรอดไหมครับ ? ท่านบอกว่าข้ามไป ๔ จังหวัด สมัยนั้นยังเป็นป่าเสือป่าช้าง ถ้ายังตามมาก็ยอม ปรากฏว่าผู้หญิงตามไม่ไหว ท่านบอกว่ายังคิดถึงอยู่เป็นปีจนกว่าจะจางหายไป ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องอันตราย เราไปผูกสัมพันธ์เมื่อไรก็เสร็จเมื่อนั้น มีอย่างเดียวต้องทิ้งห่างไปเลย แรก ๆ จะยากนิดหนึ่ง หลังจากนั้นจะเบาลง ๆ
อาตมาบวชใหม่ ๆ ก็มีเหมือนกัน มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จักมักจี่กันเลย พอเห็นหน้าก็แปล๊บเข้ามาในใจ รู้เลยว่าคนนี้ถ้าพูดด้วยเราเสร็จแน่ ก็พยายามเลี่ยงไปเรื่อย ๆ เลี่ยงอย่างไรก็เลี่ยงไม่รอด เพราะแม่เจ้าประคุณตามไปเรื่อย ท้ายสุดหลวงพ่อวัดท่าซุงเรียกตัวไปเฝ้าหน้าห้องท่าน คราวนี้ตรงนั้นถ้าใครไม่มีธุระกับหลวงพ่อห้ามเข้าเลย เขาไม่มีข้ออ้างที่จะไป ท้ายสุดก็ต้องกลับ ถ้าหลวงพ่อท่านไม่ช่วยไว้อาตมาก็เสร็จไปแล้ว แปลกอยู่ตรงที่ว่ารูปร่างหน้าตาไม่ใช่แบบที่เราชอบเลย แต่เห็นหน้าแล้วทำอะไรไม่ได้เลย นั่งกรรมฐานก็ลืมตามอง หลับตาภาวนาไม่ได้
ถาม : พอถอนคำอธิษฐาน มีแต่แย่ลง ๆ ?
ตอบ : ต้องเกิดจากฝ่ายใดฝายหนึ่งที่กำลังใจไม่ดีพอ ในเมื่อกำลังใจไม่ดีพอ พอสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป อาจจะเกิดความรักความหวงขึ้นมาอีก เรื่องราวก็เลยเละเทะไม่เป็นท่า ต้องบอกว่า ไม่เด็ดขาดพอ ถ้าเด็ดขาดพอ ทีเดียวต้องขาดเลย
ถาม : ต้องต่อหน้าพระแม่ธรณีไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องก็ได้ พูดง่าย ๆ ว่า ขอให้ตั้งใจจริงก็พอ อันนั้นต่อหน้าแม่พระธรณีหวังให้มีพยาน ช่วยยืนยันว่าไม่ยุ่งกันแล้วนะ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ปัจจุปบันนะ หิเตนะวา เอวันตัง ชะยะเตเปมัง อุปะลังวะ ยะโถทะเกฯ ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ คือบุพเพสันนิวาสที่สั่งสมร่วมกันมา เคยเป็นคู่กันมาชาติแล้วชาติเล่า ปัจจุปบันนะ หิเตนะวา ก็คือ เกื้อกูลสร้างประโยชน์ต่อกันและกันจนรักใคร่ชอบพอกันในปัจจุบัน ท่านบอกว่าเหตุนี้แหละที่ทำให้ชายหญิงรักกัน อุปะลังวะ ยะโถทะเกฯ เหมือนดอกบัวที่ขาดน้ำและโคลนไม่ได้
เราต้องชื่นชมพระอริยเจ้าที่ท่านตัดเรื่องพวกนี้ได้ ท่าน เป็นสุดยอดมนุษย์จริง ๆ สุนทรภู่ท่านบอกว่า "อันตัณหาราคะนั้นสาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน"
ลองนึกดูถ้าคนเราไม่ต้องมีคู่ อยู่คนเดียว ไม่ต้องไปตะเกียกตะกายเอาอะไรมากมายเหมือนปัจจุบันนี้ ถ้ามีคู่ เดี๋ยวก็ต้องมีลูกมีหลานมีเหลน ภาระผูกพันเยอะขึ้น ๆ สุนทรภู่แกเองก็รู้ว่าตัดเรื่องพวกนี้ไม่ได้ จึงได้บอกว่า ถ้าใครตัดได้จะให้ถอง ถ้ามาเกิดสมัยนี้แล้วท้าอย่างนี้ อาตมาจะพาไปให้ถองหลายราย เพราะรู้ว่ามีหลายท่านที่ตัดได้จริง ๆ
ถาม : เราไม่ได้มีความต้องการราคะมากเท่าที่คนในปัจจุบันมี หมายความว่าของเดิมเราบำเพ็ญมาในเนกขัมมะบารมีด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ :ถ้าเคยผ่านเรื่องเนกขัมมะบารมีแล้ว ความรู้จักระงับยับยั้งชั่งใจจะมีเยอะ
ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ชาตินี้เมื่อถึงวาระเราจะได้บวช ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเอง อาตมาเองหนีมาปีแล้วปีเล่า ตอนนั้นกลัวนรกจริง ๆ กลัวรักษาศีลไม่ได้ รักษาศีลไม่ได้เดี๋ยวลงนรก เลยไม่กล้าบวช แม่ขอให้บวชปีแล้วปีเล่าก็ไม่กล้าบวช จนกระทั่งท้ายสุดหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการพระบวชแก้บน ท่านว่าบวชให้ท่านได้ไหม เลยตัดสินใจว่าสมัยก่อนศีล ๒๒๗ ข้อครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านยังบรรลุมรรคผลกันนับไม่ถ้วน สมัยนี้ศีลเกี่ยวกับการทำข้าวของเครื่องใช้ก็ดี ศีลเกี่ยวกับนางภิกษุณีก็ดี ไม่ต้องรักษาก็กำไรเป็นทุนอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่ต้องทำอะไรเอง ญาติโยมหามาถวาย
ขณะเดียวกันนางภิกษุณีก็ไม่มีให้เราผิดศีล ก็เท่ากับว่าเรามีกำไรมากกว่าคนโบราณตั้งเยอะตั้งแยะ ถ้ายังอยู่ไม่ได้ก็ลงนรกไปเถอะ เลยตัดสินใจบวช ฉะนั้น...การบวชอยู่ที่เราตัดสินใจเอง ไม่ได้อยู่กับคำพยากรณ์ของใคร
ถาม : มีคนทำคุณไสย จะแก้ด้วยวิธีใดคะ ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระครอบเราไว้ทุกเช้า แล้วก็ภาวนารักษาภาพพระไปเรื่อย ๆ ทั้งวัน
ถาม : ภาวนาว่าอะไรคะ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาคืนก็ เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา หรือถ้าไม่ต้องการตอบโต้ จะภาวนาพุทโธก็ได้ แต่ต้องนึกถึงภาพพระคลุมตัวเราไว้ตลอดเวลา
ถาม : ถ้าถือศีลแปด ข้อวิกาลโภชนาฯ เราทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าถือศีลแปดจะเป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในลักษณะที่ว่าถึงเวลาก็ลามากิน จะอยู่ในแนวของสีลัพพตปรามาส อย่าลืมว่าศีล ๘ ถึงเวลาอาราธนาแล้วมี วิสุง วิสุง คือประเภทรวมกันไปเลย ถ้าขาดข้อหนึ่งถือว่าขาดทั้งหมด เพราะเป็นศีลพรหมจรรย์ แต่ศีล ๕ ไม่ต้องมีคำว่า วิสุง วิสุง ก็คือต่างคนต่างอยู่ ถ้าขาด ๑ ข้อ อีก ๔ ข้อยังใช้ได้อยู่ ฉะนั้น...ศีล ๘ ของเราขาดข้อเดียวถือว่าขาดทั้งหมด
ถาม : ผมถือศีล ๕ ดีกว่า ?
ตอบ : ของคุณรักษาศีล ๕ ดีกว่า แต่จะลองพยายามฝืนสู้ดูก็ได้ อดสักวันสองวัน ดูซิว่าจะถึงแก่ชีวิตไหม ?
ถาม : ศีลแปดไม่จำเป็นต้องอาราธนาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งใจถือก็เป็นศีลเลย เพราะว่าศีลอยู่ที่การงดเว้น ศีลที่เราอาราธนาคือไปร้องขอให้พระท่านบอกว่ามีอะไรบ้าง แล้วพระท่านบอกก็คือให้ศีล ว่าศีลแต่ละข้อมีอะไร พอเรารู้แล้วก็รักษาตามนั้น ถ้าเรารู้แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาไปขอ ให้ตั้งใจงดเว้นเลย ถ้าขอแล้วไม่ตั้งใจงดเว้นก็ไม่เป็นศีล ศีลจะเป็นศีลหรือไม่อยู่ที่ว่า เรามีโอกาสละเมิดแล้วเราตั้งใจงดเว้นได้ จึงจะเป็นศีล
ถาม : ถ้าจะบูชารกแมว ช่วยได้ในเรื่องอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : เขาเชื่อว่าช่วยได้ในเรื่องของลาภผล หรือการค้าขาย
พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่ทำบุญถวาย "ท่านแม่" ว่า "ของคุณนี่เป็นลูกแม่ใหญ่ ปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นลูกแม่ใหญ่ แม่กลาง แม่เล็ก แม่ใหญ่ท่านก็เลี้ยงหมด แต่ส่วนใหญ่แล้วแม่ใหญ่จะเลี้ยงลูกแม่กลางกับลูกแม่เล็กดีกว่าลูกตัวเอง กลัวคนเขาว่ารักลูกตัวเองมากกว่า เลยต้องรักลูกคนอื่นให้มากกว่า
หลายคนยังไม่ทราบประวัติของท่านแม่ทั้งสาม โดยเฉพาะอยู่ในวัดท่าซุงแท้ ๆ ก็ไม่ทราบกัน จนกระทั่งอาตมาเอาชื่อแม่ทั้งสามมาบอกจนครบครัน เขาถึงได้รู้ว่าท่านแม่ชื่ออะไรกันบ้าง
แม้ว่าหลวงพ่อท่านจะบังคับว่า ผู้บวชที่วัดท่าซุงทุกคนจะต้องฝึกมโนมยิทธิได้ แต่ส่วนใหญ่เขาฝึกในลักษณะว่าขอแค่ผ่านประตูเข้าไป แล้วไม่มีการซักซ้อมเพื่อการคล่องตัวมากขึ้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาก็ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวอะไรได้
อาตมาเองพอออกจากวัดมา ด้วยความที่รู้มาก ก็เลยไม่ไปแตะต้องมโนมยิทธิ ปัจจุบันนี้เขามีการฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์กันด้วย มีบางคนยึดความเห็นของตนเองเป็นใหญ่ เห็นว่าคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ดี วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ดี ตลอดจนกระทั่งแนวคิดและการปฏิบัติก็ตาม เป็นของเฉพาะภายใน สมควรที่จะให้แก่ลูกหลานหลวงพ่อเท่านั้น ก็เลยไปสงวนลิขสิทธิ์ พอที่อื่นทำตามจึงมีการฟ้องร้องขึ้นมา เสียดายว่าอาตมาแสนรู้ เลยไม่ไปแตะเสียตั้งแต่แรก
หลายคนถามว่าทำไมไม่สอนมโนมยิทธิ ? ไม่ทำโน่นไม่ทำนี่ ? ตอนนี้คงรู้ชัดแล้วว่าเพราะอะไร ความจริงแล้วเรื่องของธรรมะไม่ควรที่จะไปสงวนลิขสิทธิ์ เพราะว่าธรรมะทั้งหมดมาจากพระพุทธเจ้า ถ้าจะสงวนลิขสิทธิ์ ผู้ที่สงวนได้คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น
แล้วอีกอย่างหนึ่งเราจะกล่าวอ้างว่า ธรรมะของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ควรจะสงวนไว้สำหรับลูกหลานในสายเท่านั้น นั่นเป็นความคิดที่คับแคบและเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เรื่องของธรรมะเป็นสากล ใครก็ตามถ้าหากว่าตั้งใจปฏิบัติตามก็จะได้ผล ต่อให้เขาไม่ตั้งใจปฏิบัติตาม แต่ได้สัมผัสสักส่วนเสี้ยวหนึ่ง ก็ยังเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เขาเข้าถึงความดีในโอกาสข้างหน้า พอไปสงวนลิขสิทธิ์ก็เลยกลายเป็นการปิดกั้นโอกาสคนอื่นไปหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ธนบัตรใบละ ๑,๐๐๐ บาทของปลอม ในปัจจุบันนี้เขาทำได้เหมือนของจริงมาก แต่ปีกครุฑตรงแถบกันปลอมถ้าเป็นของปลอมจะโดนทับไปข้างหนึ่ง มองไม่เห็น แต่ของจริงจะมองเห็น ฉะนั้น...ดูง่าย ๆ ถ้าหยิบใบละ ๑,๐๐๐ บาทขึ้นมา ให้ดูปีกครุฑก่อนว่ามีครบสองข้างหรือเปล่า ถ้าปีกครุฑมีไม่ครบสองข้างก็เป็นของปลอม
พระครูวิศาลกาญจนกิจ เจ้าอาวาสวัดตะคร้ำเอน ที่วัดของท่านมีหลวงพ่อดำดังมาก ทำให้คนไปทำบุญกันทุกวัน เขามาซื้อดอกไม้ธูปเทียนพร้อมพวงมาลัยชุดละ ๑๐๐ ไปไหว้พระ ท่านก็ต้องทอนให้เขา ๙๐๐ บาท ท่านบอกว่าเขามาตอนใกล้ค่ำ คนแก่หูตาไม่ค่อยดีจึงโดนของปลอมไปหลายใบ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ได้เอาของปลอมไปทำบุญเฉย ๆ แต่เท่ากับแลกเอาเงินจริงไป ๙๐๐ บาท อาตมาขอท่านเอาไว้ดู เขาเล่นง่ายดี ใช้ถ่ายเอกสารสีตัดแล้วเอามาแปะ หน้าหลังเหมือนเลย เพียงแต่ว่าถ้าไม่ใช่ตอนค่ำ ๆ ชุลมุนอยู่น่าจะจับได้ ท่านมาเจอเอาตอนกรรมการวัดนับเงินแล้ว"
ถาม : ทำไมพวกนักเลง อย่างเสือใบพวกนี้ เขาถึงมีวิชาขลังได้ครับ ?
ตอบ : กำลังใจดี แล้วก็มีสัจจะ คำว่ากำลังใจดี ก็คือสมาธิใช้ได้เลย ให้คุณไปฆ่าคนจะมือสั่นไหม ? เขาจัดการไปกี่ศพก็หน้าตาเฉย
เวลาลูกน้องทรยศถ้าจับได้ เขาเอาก้านใบตาลเชือดคอ โห...ทารุณสุด ๆ ใบตาลมีคมอยู่หน่อยเดียวเหมือนกับฟันเลื่อยหัก ๆ เอามาเชือดคอ นั่งดูคนทุรนทุรายตายได้ กำลังใจของเราทำอย่างนั้นได้ไหม ? ในเมื่อทำไม่ได้ แปลว่ากำลังใจยังสู้เขาไม่ได้ ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาขลังกว่า เสือมเหศวรก็เพิ่งตายไปเมื่อไม่นานมานี้เองไม่ใช่หรือ ?
ถาม : เวลานั่งสมาธิเกิดรู้สึกหนัก ๆ ตึง ๆ ตรงก้านสมองและกระหม่อม อาการข้างต้นเป็นตอนเริ่มนั่ง สักพักจิตเริ่มสว่างแจ่มใสขึ้นก็หายไป เข้าใจว่าเป็นนิวรณ์ถูกต้องไหม ?
ตอบ : จะว่าเป็นนิวรณ์ก็ได้ จะว่าเป็นมารที่เรียกว่าขันธมาร คือสิ่งที่มาขวางก็ได้ เพราะถ้าเรามัวแต่กังวลอยู่เราก็จะไม่เป็นอันทำอะไร ให้ตั้งใจอยู่กับลมหายใจของเรา พออารมณ์ใจทรงตัวสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะถอยไปเอง
แสดงว่าสภาพจิตละเอียดมาก สามารถรู้อารมณ์เล็กน้อยที่แทรกเข้ามาได้ บางคนไม่รู้หรอก มืดอย่างเดียวเลย แต่ว่าก็เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ ถ้ามีต้นทุนเก่าไว้เยอะ โดยเฉพาะอยู่ต่างประเทศด้วย ต้องขวนขวายมาก ก็ทำอะไรได้มากกว่า สภาพจิตจึงละเอียดกว่า
หลังจากที่มีโยมมาขอให้ทำบังสุกุลให้ "จริง ๆ แล้วพระท่านตั้งใจให้นึกถึงความตาย เรียกว่ามรณานุสติ การนึกถึงความตายเป็นมรณานุสติกรรมฐาน นึกถึงภาพพระเป็นพุทธานุสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอุปสมานุสติกรรมฐาน อย่างน้อย ๆ ก็ได้กรรมฐานใหญ่ไป ๓ กอง ผลบุญตรงที่เราทำกรรมฐานนี้ แม้จะระยะเวลาสั้น ๆ แต่อานิสงส์มหาศาล สามารถพาเราห่างจากเคราะห์กรรมไปได้ชั่วคราว ต้องตั้งหน้าตั้งตาสร้าง ทาน ศีล ภาวนา ของเราเพิ่มขึ้น ถ้าทำได้ต่อเนื่องไม่มีช่องว่าง กรรมเก่าตามไม่ได้ ก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป
แต่ก็อย่างว่าแหละ...เราไม่ได้ทำดีอย่างเดียว อนาถปิณฑิกเศรษฐียังจนชั่วคราว จนเหมือนโดนแกล้ง กองเรือไปค้าขายก็โดนลมพัดหายไปไม่ได้ข่าวคราว คลังสินค้าริมน้ำก็โดนน้ำเซาะถล่มลงน้ำไปหมด กองเกวียนที่ไปค้าขายต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่ส่งข่าวมาสักทีว่าไปถึงไหน แต่ว่าศรัทธาของท่านไม่ถอย เคยถวายอาหารเลี้ยงพระวันละ ๕๐๐ รูป ก็ยังถวายเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าอาหารดี ๆ อย่างพวกข้าวมธุปายาสก็ลดลงมาเรื่อย ท้ายสุดเหลือแต่ข้าวต้มกับน้ำผักดองก็ยังถวายพระ
คราวนี้ก็สำคัญอยู่ที่พระนั่นแหละ ฉันแต่ของดีมาตลอด เจอของไม่ดีจะฉันได้ไหม ? วันก่อนพวกสามเณรเลือกกิน อาตมาถึงได้บอกว่าพวกคุณน่าจะไปอยู่เนปาล เด็กที่นั่นเขาต้องนับเม็ดถั่วแบ่งกัน"
ถาม : เรื่องการรู้เห็น ?
ตอบ : ภาวนาจับภาพพระไปเรื่อย ๆ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวได้ระดับ จะเกิดการรู้เห็นขึ้นมาเอง ถ้าหากว่าเราอยาก ไอ้ตัวอยากนี่จะทำให้ไม่เกินก็ขาด แต่ส่วนใหญ่จะเกิน วางกำลังใจเกินไปก็ไม่เห็น น้อยไปก็ไม่เห็น ต้องพอดี ๆ จับไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลาได้ที่ก็รู้เรื่องกันเลย
พระอาจารย์กล่าวกับพระลูกศิษย์ที่ไปเรียนบาลีว่า "นักเรียนบาลีเวลาสอบให้ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์เป็นปกตินะ ตรงไหนที่ทำได้ก็ทำไป ข้อไหนทำไม่ได้ให้เชื่อความรู้สึกแรกแล้วลุยไปเลย ผมเคย "เอ๊ะ" ทีเดียว ผิดไปคำหนึ่ง เพราะศัพท์คล้ายกับประโยคอื่น จึงคิดว่าน่าจะเป็นอีกคำหนึ่ง ทำให้ผิดไปเลย"
ถาม : การกรวดน้ำ ?
ตอบ : การกรวดน้ำแค่เราตั้งใจเขาก็ได้แล้ว ตั้งใจว่ากุศลตรงนี้จะอุทิศให้แก่ใคร ถ้าหากว่ารู้จักชื่อรู้จักนามสกุล ให้ออกชื่อออกนามสกุลเจาะจงไปเลย ถ้าไม่รู้จักก็นึกให้ท่านผู้นั้นผู้นี้ ถ้าได้ยินแต่เสียงก็นึกว่าให้เจ้าของเสียงนั้น ถ้าได้กลิ่นก็นึกว่าให้เจ้าของกลิ่นนั้น เขาจะได้รับเลย
การกรวดน้ำแต่เดิมไม่มีมาในพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสารทำบุญครั้งแรกจะอุทิศให้แก่ญาติที่เป็นเปรต พอพระพุทธเจ้าบอกให้อุทิศส่วนกุศล ด้วยความเคยชินของพราหมณ์ ถ้าจะให้อะไรใครก็เอาน้ำรดมือคนนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว แต่คราวนี้ผีก็ไม่ยื่นมือมาให้เห็น ท่านก็เลยรดมือตัวเอง คนรุ่นหลัง ๆ จึงถือเป็นธรรมเนียมต่อ ๆ กันมา คือเอาน้ำรดมือบ้างเรียกว่ากรวดน้ำ แต่ความจริงเราตั้งใจให้ใครเขาก็ได้แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าที่ไหนเขานิยมมือเปียกเราก็ไปเปียกกับเขา อย่าไปค้าน ถ้าอธิบายไม่ชัดเจนเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราแหกคอกอีก
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่ลงมาช้าเพราะเมื่อเช้าทำบัญชี เสร็จแล้วก็คัดลอกไฟล์ใหม่เพื่อที่จะเอาไปสำรองไว้ พอลบไฟล์เก่า ปรากฏว่าไม่ได้ลบไฟล์เฉย ๆ เล่นลบโฟลเดอร์งานไป ๓ ปี หน้ามืดสนิท..! บทจะโดนแกล้งนี่เขาแกล้งสาหัสจริง ๆ ก็เลยคิดหาวิธี จะทำอย่างไรดี ? ให้เขาหาเศษกระดาษที่ลงบัญชีเมื่อวาน เพิ่งจะทิ้งถังขยะ ปรากฏว่าทิ้งของมาเป็นตะกร้าเลย เขาหาคืนได้แค่ ๓-๔ ชิ้น เหมือนกับทันทีที่ทิ้งก็มีใครเอาไปกินอย่างนั้นแหละ เป็นไปได้อย่างไร ? มีคนกินเศษกระดาษด้วย ?
ขึ้นไปนั่งเซ็งอยู่ข้างบน จะถามพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็คงโดนถีบมากกว่า เลยใช้วิธีนึกย้อนหลังว่าเมื่อวานเราทำอะไรบ้าง แล้วก็ไล่พิมพ์ไปเรื่อย อาจจะขี้โกงหน่อย ๆ แต่ก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นบัญชีก็ไม่เสร็จ บางคนเขาว่าอาตมาความจำดี แต่ถ้าความจำช่วยไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ นึกย้อนไปเมื่อวานเราทำอะไรบ้าง เมื่อคืนเราทำอะไรบ้าง เมื่อเช้าเราทำอะไรบ้าง นึกได้ก็ลงไล่ไปเรื่อย ๆ ของเก่า ๒ ปีไม่ยากหรอก เพราะมีไฟล์สำรองอยู่ในฮาร์ดดิสก์ แค่ไปคัดลอกมาลงก็จบแล้ว แต่ของที่ทำเมื่อคืนกับเมื่อเช้านี่ แหม...ยังไม่ทันจะสำรองไว้ที่ไหนเลย ดันลบไปซะก่อน
ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ นี่มารรู้ด้วยหรือ ? ปรากฏว่าพ่อเจ้าประคุณหัวเราะก๊ากเลย บอกว่าก็เขาเป็นคนสร้างเอง จะไม่รู้ได้อย่างไร ? สรุปแล้วเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งหลายทั้งปวง มารเป็นคนแนะนำให้ทำ เพื่อที่เราจะได้ยึดติดเยอะ ๆ อยู่กับเขา"
ถาม : ทำไมเวลาภาวนาแล้ว มีเสียงเหมือนลมหายใจดังฟืดฟาดอยู่ข้างใน ?
ตอบ : ถ้าสามารถรู้ได้จะดี สติอยู่ตรงนั้นจะไม่คิดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง จิตเริ่มละเอียดขึ้น สิ่งที่ไม่เคยรู้เห็นก็เริ่มจะรู้เห็น
ถาม : บางทีแค่พูดคุยก็เป็น ?
ตอบ : จะทำอะไรก็ได้ ถ้าถึงเวลาสมาธิเริ่มเกิด เขาก็จะเป็นเองโดยอัตโนมัติ เราแค่เอาสติรับรู้ไว้เฉย ๆ
ถาม : เวลาจะพูดกับเพื่อนก็เป็นค่ะ ?
ตอบ : เราตั้งใจคุย ความตั้งใจเป็นสมาธิแล้ว พอเป็นสมาธิ จิตเราจะวิ่งไปสู่ระดับสมาธิที่เคยชิน ก็คือตอนที่อยู่กับลมหายใจ
ถาม : พอมีอาการแบบนี้เดี๋ยวหายใจไม่ถนัดค่ะ ?
ตอบ : ยังไม่ชิน เดี๋ยวพอชินแล้วก็จะสะดวกไปเอง พยายามทำให้เป็นอัตโนมัติ คือรู้เองโดยไม่ต้องกำหนดให้ได้
ถาม : ที่ท่านเคยบอกว่าจิตมีเกิด แล้วมีการดับไหมคะ ?
ตอบ : อยากจะดับก็ปล่อยดับไปสิ จะได้หมดภาระ เขาเรียกว่ากลัวล่วงหน้าไปก่อน เรามีหน้าที่ทำ ส่วนสภาพจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เลิกกลัว เลิกฟุ้งซ่าน เลิกคิดก็จบแล้ว ส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่ก้าวหน้าเพราะไปกลัว ไปฟุ้งซ่านว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วบางทีก็คิดไม่เลิก เลยไม่ได้ดีสักที เรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า “มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้า” ก็คือ ถึงจะตายลงไปเพราะการปฏิบัตินี้เราก็ยอม จะได้เป็นการตัดร่างกายไปในตัวด้วย
ถาม : การที่เราไม่กินเนื้อสัตว์ได้บุญไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราตั้งใจงดเว้นด้วยความเมตตาจริง ๆ ก็ได้บุญ แต่ถ้าเรางดเว้นเพราะไปคิดว่า เราเว้นแล้วเราจะดีกว่าคนอื่นเขา ก็จะแบกกิเลสมากขึ้นไปอีก
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ภิกษุของท่านถ้าจะฉันเนื้อ ๑.ต้องไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ๒.ต้องไม่เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา คือต่อหน้าต่อตาเลย ๓.ต้องไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา อย่างเช่นว่า เอ๊ะ...เขาเองไม่น่าจะมีไก่อยู่ในบ้านนะ แต่พอเรามาถึงสักพักมีต้มไก่มาด้วย อันนี้เขาทำเพื่อเรานี่ อย่างนี้เขาเรียกว่ารังเกียจ
ไปนึกถึงหลวงพ่อวิชาสมัยโน้น ร้านแม่ลาปลาเผาเปิดใหม่ ๆ ตอนนั้นมีหลวงตาวัชรชัย มีหลวงพี่ชัยศรีไปด้วย เข้าไปถึงก็เพล เจ้าของร้านมาถามว่าจะฉันอะไรเจ้าคะ ? “อะไรก็เอามาเถอะ” ปรากฏว่าเขาหายเข้าไปหลังร้าน เสียงทุบปลาช่อนปั่บ...ดิ้นพลาด ๆ หลวงพ่อวิชาหน้าเหลือสองนิ้วเลย ท้ายสุดก็บอกว่า “กินอย่างอื่นเถอะ” เรื่องนี้ไม่รู้ท่านยังจำได้อยู่หรือเปล่า ? เพราะว่าสมัยนั้นแม่ลาปลาเผาเพิ่งเปิดใหม่ ๆ ลูกค้าเขาไม่เยอะ เขาก็ทำสด ๆ ได้ สมัยนี้เขาต้องเผารอไว้แล้ว ถึงเวลาลูกค้าสั่งก็แค่อุ่นหน่อยเดียว จำได้ว่าตอนที่เขาเปิดร้าน ดูเท่มากเลยนะ เขาใช้ขวดมาเรียงต่อ ๆ กันเป็นอาคารรูปขวดใบใหญ่ ๆ
ถาม : ไปดูในซีรีส์พุทธประวัติ เขาบอกว่าพระเจ้าพิมพิสารฆ่าตัวตาย ?
ตอบ : ในพระไตรปิฎกบอกว่าโดนพระเจ้าอชาตศัตรูจับไปขังแล้วก็ทรมาน แล้วก็เลยตายในวันที่ลูกท่านเกิดพอดี พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ได้เห็นหน้าหลาน
ถาม : แล้วเป็นอนันตริยกรรมไหมคะ ?
ตอบ : เป็น...พอพระพุทธเจ้าเทศน์สามัญผลสูตร พระเจ้าอชาตศัตรูอย่างต่ำต้องได้พระโสดาบัน แต่ท่านไม่ได้อะไร เพราะมาติดกรรมตรงนี้ ก็ต้องไปชดใช้กรรมที่ฆ่าพ่อก่อน แต่ด้วยความที่พระองค์ท่านตอนหลังกลับมาเป็นสัมมาทิฐิ สนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างใหญ่โต ถึงขนาดเป็นประธานในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก ถึงไม่สามารถล้างบาปได้ แต่ผลบุญพวกนี้ก็บรรเทาบาปลงไปได้เยอะ
ถาม : เรื่องตำราทิศที่ตั้งกุฏิเจ้าอาวาส ถ้าตรงกับหลังโบสถ์ ?
ตอบ : ถ้าตั้งด้านหลังโบสถ์เป็นทิศปาราชิก ถ้ากุฏิเจ้าอาวาสตั้งอยู่ทิศนั้น โปรดระวังจะต้องอาบัติปาราชิก..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้จ่ายเงินเดือนหนึ่งบางทีก็หมื่นกว่าสองหมื่น ให้ท่านโมเอาหมาไปรักษา เมื่อก่อนจะมานี่สองวันจ่ายเงินไป ท่านโมกลับมาเกือบจะทำวัตรค่ำรอบสองไม่ทัน บอกว่า "หมดแล้วครับอาจารย์" "เฮ้ย...เพิ่งให้ไปหมื่นหนึ่ง" ท่านโมบอกว่าเอาหมาไปรักษาทีเดียว ๖ ตัว ตอนแรกก็ไม่มีคนใส่ใจ ยกเว้นว่าตัวไหนเจ็บมาก ๆ ก็ให้ไพศาลเอาไปหาหมอทีหนึ่ง ตอนหลังพอมีทิดเทิดมา ทิดเทิดก็ช่วย คราวนี้พอท่านโมรับเป็นภาระ อาตมาก็เลยควักกระเป๋าจ่ายอย่างเป็นทางการเลย
หมาตัวที่พุงโรนั้นขาดโปรตีน ก็เลยบอกท่านโมให้ซื้อไก่ย่างให้กิน ถ้าไม่ได้ไก่ย่างเดี๋ยวเอาเพ็ดดีกรีกระป๋องให้ ส่วนหมาที่ซึม ๆ นั่นเป็นพยาธิในเลือด ติดเชื้อจากเห็บ ลูกหมาที่วัดเป็นเกือบทุกตัว แต่ยาแพงใช้ได้เลย ๖ ตัวหมดไปเกือบหมื่นถ้วน ตัวที่พุงโรนั้นหมอเขาเจาะพุงแล้วดูดน้ำออกมา
วันก่อนเจออยู่ตัวหนึ่งเป็นแผลที่คอเหวอะเลย ลักษณะเหมือนอย่างกับเป็นมะเร็งแล้วแตก ถามท่านโมว่าทำไมไม่เอาตัวนี้ไป ท่านบอกว่าจับไม่ได้ครับ พอตอนเย็นมาบอกจับได้แล้ว หมาหลบไปนอนในส้วม ก็เลยปิดประตูขังไว้"
ถาม : ตัวนั้นเขาชอบแอบเข้ามานอนในศาลา ?
ตอบ : ถ้าเขาอยู่ข้างนอก เขาจะโดนแมลงวันตอมแผล อาตมาเคยไปคีบแมลงวันออกจากแผลมา บางตัวหนอนขึ้นหลังขึ้นคอ ต้องเอาน้ำยาเบตาดีนราด แล้วหนอนหายใจไม่ได้ก็โผล่หัวขึ้นมา ก็เอาปากคีบคอยคีบออกทีละตัว ยังดีว่าไปอยู่วัด ถ้าอยู่บ้านนี่เจ้าของคงทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่วัดอย่างน้อยยังมีพระดูแลพาไปหาหมอ
สมัยก่อนอยู่ที่วัดท่าซุงก็มีป้าน้อย (นรีกร) เขาเรียกฉายาว่า น้อยรักหมา ส่วนป้าน้อย (นิพันธา) เดิมชื่อกานดา เขาเลยเรียกน้อยกานดากับน้อยรักหมา ถึงเวลาถ้าบอกป้าน้อยต้องมีวงเล็บ เพราะไม่รู้ว่าป้าน้อยคนไหน ป้าน้อยกานดาเป็นน้องสาวคุณหญิงเยาวมาลย์ แล้วที่ขำที่สุดก็คือคุณหญิงเยาวมาลย์ทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ โดยมีข้อแม้ว่าให้ทนายคอยตรวจสอบ เดือนไหนป้าน้อยกานดาอยู่วัดไม่ถึง ๑๕ วันไม่ต้องจ่ายเงิน บังคับน้องให้เข้าวัด ...(หัวเราะ)... ป้าน้อยเป็นคนที่ห้าวหาญมาก นิสัยกึ่ง ๆ ผู้ชาย ถ้าไม่โดนบังคับแบบนั้นนี่ไม่เข้าวัดง่าย ๆ หรอก
ถาม : พี่น้องแต่หน้าตาไม่เหมือนกันเลย ?
ตอบ : สภาพจิตต่างกัน คนหนึ่งไปพระนิพพานแล้ว สภาพจิตของคนที่จะไปพระนิพพาน จิตสวยก็พลอยพาให้กายสวยไปด้วย
ถาม : หนูไม่เข้าใจระหว่างการใช้หลักกาลามสูตรกับวิจิกิจฉา ?
ตอบ : ส่วนใหญ่กาลามสูตรเขาให้ใช้สำหรับสิ่งที่มาจากข้างนอก ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นมา อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นจริงตามนั้นแล้วค่อยเชื่อ ส่วนตัววิจิกิจฉาเป็นสภาพจิตของเราที่ลังเลสงสัยต่อผลการปฏิบัติ การลังเลสงสัยต่อผลการปฏิบัติ ก็คือ สงสัยว่าที่พระพุทธเจ้าสอนมานั้นดีจริงหรือไม่ ? ที่ครูบาอาจารย์สอนมาดีจริงหรือไม่ ?
เราก็แค่ดูย้อนหลังไปว่า ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เรามีพระอริยเจ้าต่อเนื่องมานับองค์ไม่ถ้วน ถ้าไม่ดีจริงท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็คงเป็นไม่ได้ ถ้ายังสงสัยก็ทำต่อไป ได้คำตอบแล้วจะเลิกสงสัยเอง เป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่สงสัยเราก็ไม่คิดที่จะทำ
ถาม : ...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : ไม่ใช่...ถ้าสงสัยลักษณะนั้นต้องทำ ทำถึงแล้วก็จะเลิกสงสัยไปเอง หรือไม่ก็หาคนที่เขาเคยทำผ่านตรงนั้นมา แล้วสอบถามรายละเอียดจากเขา แต่ว่าการเอาแต่ถาม บางทีก็ทำให้เราฟุ้งซ่าน ฉะนั้น...ลงมือทำดีกว่า ถ้าทำแล้วติดขัดตรงไหนค่อยมาถาม
ถาม : เป็นมารหลอกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จะเรียกว่ามารหลอกก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันถ้าไม่สงสัยแล้วใครจะค้นคว้า ? ถ้าไม่ค้นคว้าจะหาความก้าวหน้ามาจากไหน ? ฉะนั้น...เราเองก็สงสัยให้ถูกทางสิ อย่างเช่น สงสัยว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าพระนิพพานเป็นอย่างนี้ เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ? เราก็ค้นคว้าพระนิพพานให้ปรุไปเลย
ถาม : เรื่องโลกุตรธรรม ๙ อย่าง
ตอบ : มรรค ๔ ผล ๔ รวมเป็น ๘ บวกนิพพาน ๑ เป็น ๙ เขาเรียกโลกุตรธรรม หรือนวโลกุตรธรรม ธรรมที่ทำให้พ้นโลก ๙ อย่าง
ถาม : ไม่ใช่ มรรค ๘ หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ คนละอย่างกัน เขาบอกว่า "นับโดยมรรคผล" ไม่ใช่นับโดยมรรคเฉย ๆ นับทั้งมรรคทั้งผล มีโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตผล แล้วก็พระนิพพาน
ถาม : ที่เขาบอกว่า “๔ คู่ นับเรียงตัวได้ ๘ บุรุษ” ?
ตอบ : ก็คือ ๔ คู่นี้แหละ คือพระอริยเจ้าที่เป็นอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ นับเป็น ๔ คู่ ถ้าเรียงบุคคลก็ได้ ๘ บุคคล คือ โสดาปัตติมรรคกับโสดาปัตติผลคู่ที่ ๑ สกทาคามิมรรคกับสกทาคามีผลคู่ที่ ๒ อนาคามิมรรคกับอนาคามีผลคู่ที่ ๓ อรหัตมรรคกับอรหัตผลคู่ที่ ๔ รวมแล้วก็ ๘ บุคคล
ถาม : การที่จะสั่งสมกำลังเพื่อสู้กิเลสได้ ก็เกิดจากจิตใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เกิดจากจิต แต่ว่าจิตจะต้องใฝ่ดี สั่งสมความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าสภาพจิตไม่ใฝ่ดี มีแต่ไหลลงต่ำ ก็จะสะสมแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม แล้วพาตัวเองตกต่ำไปเรื่อย
ฉะนั้น...ทุกวันนี้เราก็เหมือนกำลังไต่ภูเขาอยู่ ถ้าถึงยอดเมื่อไรก็รอดไปที ถ้าไม่ถึงยอดก็อาจจะพักอยู่กลาง ๆ เขา ถ้าเตี้ย ๆ ร่อแร่อยู่ขอบเหวก็มนุษย์ สูงขึ้นไปหน่อยก็เทวดา สูงไปอีกหน่อยก็พรหม สูงขึ้นไปอีกก็เป็นพระอริยเจ้าตามลำดับชั้น ท้ายสุดก็โน่น พ้นจากเหวหรือไม่ก็ขึ้นฝั่งได้ เป็นอันว่าเผ่นไปไกล ๆ เลย
ถาม : หนูกลัวว่าจะไปเกิดอรูปพรหม ?
ตอบ : กลัวก็ไม่ต้องไป อรูปพรหมไม่ได้บังคับให้เราไป ยกเว้นว่าเราทำในอรูปฌานจนชิน สภาพจิตเข้าถึงจุดนั้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นมีสิทธิ์หลุดไปอรูปพรหมได้ แต่ถ้าหากเราไม่ได้ทำตรงนี้เอาไว้ก็ไม่ต้องไปกลัวหรอก เพราะไปยาก อรูปพรหมไม่ได้ไปง่าย ๆ หรอก ต้องบอกว่าไปยากสุด ๆ
ถาม : พระเจ้านั่งดินซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ลพบุรีเขาสร้างหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก ?
ตอบ : โบราณเขาสร้างให้หันไปทางทิศตะวันตกเพราะให้หันไปสู่แดนพุทธภูมิ ประเทศพม่าเกือบทั้งประเทศหันไปทางทิศตะวันตกหมด เขาถือว่าหันไปแดนพุทธภูมิคือที่เกิดของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงควรจะให้ท่านหันไปทิศตะวันออก เพื่อที่เราหันไปไหว้ท่านจะได้หันไปทางทิศตะวันตกที่เป็นพุทธภูมิ
แต่ที่แปลก คือ หลวงพ่อพระมหามัยมุนีหันไปทางทิศตะวันออก มิน่า...คนไหลไปอย่างกับน้ำเลย บ้านเราสมัยก่อนสัญจรทางน้ำเป็นปกติ การสร้างโบสถ์ส่วนมากก็จะหันลงแม่น้ำ จะได้ให้คนเห็นได้ง่าย ๆ ถ้าหันลงแม่น้ำแล้วผิดทิศ บางทีเขาก็ปล่อยเลยตามเลย
มีอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์คำพูดของนายละเมี้ยตอ่อง พ่อค้าไม้จันทน์เมืองมัณฑะเลย์ เขาบอกว่าไม้จันทน์อินเดียจะหอมที่สุด รองลงมาก็เป็นของพม่า รองลงมาก็เป็นของไทย แล้วก็ไล่ไปทางด้านลาว เขมร ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เขาบอกว่ายิ่งใกล้แดนพุทธภูมิเท่าไรก็ยิ่งหอมมากเท่านั้น แต่อาตมาคิดว่าถ้าแห้งแล้งมากเท่าไรก็จะหอมมากเท่านั้น แต่คราวนี้ในเมื่อความเชื่อของเขาเป็นอย่างนั้นก็ดีอยู่อย่าง ทำให้ได้พุทธานุสติไปด้วย
ตำราเขาถึงได้บอกว่า แตงของฮามิหรือไม่ก็องุ่นของซินเจียงอร่อยที่สุด หวานที่สุด เพราะว่าอยู่ในทะเลทราย ยิ่งขาดน้ำมากเท่าไร ความเข้มข้นของน้ำตาลก็ยิ่งสูงเท่านั้น เดี๋ยวเอาไว้มีโอกาสจะไปพิสูจน์ดู
ถาม : ที่เขาว่าถ้างูเลื้อยผ่านบวบลูกไหน ลูกนั้นจะขม ?
ตอบ : เป็นความจริง...อาตมาเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ตอนแรกก็นึกว่าเป็นความเชื่อ แต่พอไปเห็นเข้าจริง ๆ งูเขียวหางไหม้เลื้อยผ่านบวบหอม อาตมาก็จำลูกนั้นไว้ พอแก่กินได้แล้วก็เก็บเอามาผัดไข่กินดู ตรงจุดที่งูเลื้อยผ่านจะขมอยู่จุดเดียว ตรงอื่นก็ไม่เป็น ไม่ใช่ความเชื่อนะ เป็นความจริง เหมือนอย่างกับว่าร่างกายของงูจะมีสารอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นเมือกที่เคลือบตัวหรือพิษ ที่ทำให้รสของผักเปลี่ยนไปเลย
ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าเป็นแค่ความเชื่อ คือผู้ใหญ่เขาหลอกเราเฉย ๆ เพราะบวบบางลูกนอกจากจะไม่โตแล้วยังพิการอะไรอย่างนั้น แต่..ที่ไหนได้ ไปเจอของจริงเข้าด้วยตัวเอง
โบราณเขาบอกว่า ยิ่งนานไป "ทั้งพืชพันธ์ุว่านยาก็ถอยรส" น่าจะจริง พูดง่าย ๆ ว่าโอชะคือธาตุอาหารในดินน้อยลง พวกว่านยาต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะบำรุงตัวเองให้มีอานุภาพเต็มที่ได้ สมัยนี้ถ้าอยากได้ยาต้องเข้าป่าลึกเลย แบบท่านโมเช่ที่พาอาตมาไปทุ่งยา เดินเข้าป่ากันเป็นอาทิตย์ ๆ
ถาม : เขาทุ่งยานี้อยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : อยู่เขตระหว่างกาญจนบุรีกับตาก
ถาม : อยู่ในทุ่งใหญ่ ?
ตอบ : ไม่ใช่ทุ่งใหญ่ ประมาณกลางทางระหว่างทุ่งใหญ่กับอุ้มผาง หน้าฝนน่าจะมีน้ำตกขนาดใหญ่มหึมาเลย แต่ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปถึงจะได้เห็น เพราะว่าทางที่ลงไปเป็นร่องน้ำกว้างใหญ่มาก แต่ว่าเป็นร่องน้ำแห้ง นึกถึงตอนที่เป็นหน้าน้ำคงจะกระหึ่มไปทั้งป่า
ถาม : ...(เรื่องพระคาถาเงินล้าน)...
ตอบ : ถ้าเรามีความเชื่อ ความเลื่อมใสจริง ก็ภาวนาให้เป็นปกติ ยิ่งว่างงานยิ่งดี เล่นพระคาถาทั้งวันไปเลย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเรากำลังใจไม่พอ อันดับแรกคือ ศรัทธาไม่พอ อันดับที่ ๒ คือ วิริยะไม่พอ อันดับที่ ๓ คือ ขันติไม่พอ อยากรวยถ้าไม่ลงทุนแล้วจะรวยอย่างไร ? คราวนี้การลงทุนภาวนาพระคาถาเงินล้าน เป็นการลงทุนที่น้อยที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยอยากจะลงทุนกัน
ถาม : ลูกสาวเขาบ่นว่านอนไม่หลับ ?
ตอบ : ภาวนาสิครับ จับลมหายใจเข้าออก กะว่าเอ็งไม่หลับข้าจะภาวนาสัก ๓๐๐ ครั้ง แต่ ๓ ครั้งได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นแหละ พอตั้งใจภาวนาดันตัดหลับเลย ถ้าบอกว่านอนไม่หลับนี่ให้รีบภาวนาเลย
ถาม : เมื่อก่อนผมมีเงินแค่ ๒๐๐ บาท ผมไปอ่านเจอพระคาถาเงินล้านแล้วท่อง ผมก็ได้เงินมาเจ็ดแปดพัน เดี๋ยวนี้ผมท่องตลอดเลย ?
ตอบ : ผมทั้งบูรณะทั้งสร้างมา ๗-๘ วัด ก็ใช้พระคาถานี้บทเดียว
พวกเราต้นทุนสูงกว่า อย่าลืมนะ...เป็นพระเป็นเณรอย่างเราทำดีทำชั่วก็คูณด้วยแสนทั้งนั้น ถ้าเป็นญาติโยมทุบปลาวันละตัวตั้งแต่เกิดยันตาย โทษลงอเวจีเพราะเป็นอาจิณณกรรม แต่พระเราฆ่าไปตัวเดียวก็ไปอเวจีแล้ว
สำคัญตรงที่ต้องจริงจังและสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่โยมได้ไปก็ทำ ๆ ทิ้ง ๆ
ถาม : ถ้าวันไหนสวดแล้วรู้สึกผิดปกติ ผมก็เดาได้ว่าต้องมีเรื่องแน่ ๆ และก็มีจริง ๆ ครับ ?
ตอบ : ค่อย ๆ สังเกตไป เพราะคาถาเงินล้านจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องลาภเท่านั้น มีทั้งตัดอุปสรรค มีทั้งป้องกันภัยอะไรสารพัดอยู่ในนั้น
ถาม : สวดแล้วเรามีสมาธิมากขึ้น ใจเย็นมากขึ้นครับ แต่ก็ไม่ได้อยากรวยครับ ?
ตอบ : ถูกแล้วครับ ถ้าไม่อยากแล้วจะมา ถ้าอยากไม่ค่อยมาหรอก คนที่สวดภาวนาเพราะอยากรวยไม่ค่อยได้อะไรหรอก เพราะว่าใจยังไม่นิ่ง
ถาม : ปกตินั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง เขาเรียกว่าได้ผลไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่สมาธิทรงตัวไหม ? ระยะเวลาไม่เกี่ยว ถ้าสมาธิทรงตัว ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้บุญมหาศาล ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวนั่งไป ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงก็แค่นั้นแหละ
ถาม : ถ้านั่ง ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้ แต่บางท่านบอกนั่งชั่วโมงครึ่ง เดินชั่วโมงครึ่ง ?
ตอบ : ท่านหมายถึงว่าทำอย่างไรจะให้ใจทรงตัว แรก ๆ ก็จะฟุ้งซ่าน ยื้อระยะเวลาไปหน่อย พอจิตเหนื่อยก็จะนิ่งแล้วเริ่มทรงตัว ก็เลยต้องใช้เวลานิดหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้ว ท่านบอกว่าสมาธิทำแค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น คือแวบเดียวเท่านั้น อย่างน้อย ๆ ผลบุญที่ทำก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราต่อไปภายหน้าได้
ถาม : ปัจจัยนี้ส่งผลข้ามชาติได้ ?
ตอบ : ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ถาม : กาแฟคือเป็นสิ่งเสพติดไหมคะ ?
ตอบ : ไม่นับ กาแฟเป็นผลเภสัช เป็นยาด้วยผล ถ้าฉันกาแฟดำอย่างเดียวไม่เติมอะไรเลย ประเคนทีเดียวฉันได้ตลอดชีวิตด้วย ถามว่าเป็นยาตรงไหน ? อย่างน้อยก็ยาแก้ง่วง ยาขับปัสสาวะ ลองกินกาแฟเข้าไปดูสิ พักเดียวต้องวิ่งไปห้องน้ำเลย พระป่าท่านไม่ฉันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหา อาตมาไม่ฉันเพราะตอนเดินธุดงค์เคยเห็นโทษมาแล้ว คนที่เขาฉันโน่นฉันนี่ต้องแบกไปแทบเป็นแทบตาย อาตมาแบกย่ามเล็ก ๆ ใบเดียวไปไหนก็ได้ ไม่เห็นหรือว่าไปเนปาลกระเป๋าของอาตมาใช้นิ้วเดียวหิ้วก็ยังได้
ถาม : แล้วชาล่ะคะ ?
ตอบ : ชาเป็นปัณณเภสัช เป็นยาด้วยใบ กาแฟเป็นผลเภสัช เป็นยาด้วยผล ฉะนั้น...พิจารณาเอา ยาเสพติดต้องประเภทฝิ่น กัญชา เฮโรอีน ยาบ้านี่ใช่แน่ ๆ
ถาม : ยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้เจตนาไม่เป็นไร แต่ถ้าเจตนาอย่างเช่นเอายาแก้ไอไปกินให้เมา ก็ถือว่าเป็นส่วนของยาเสพติด เพราะยาแก้ไอมีแอลกอฮอล์
ถาม : แล้วพวกยาแก้แพ้ ต้องกินวันละสามเวลา ?
ตอบ : ก็กินตามหมอสั่งไปสิ เพียงแต่ว่าถ้าใช้บ่อย ๆ ต่อไปถ้าไม่มีก็แย่
ถาม : ศีลข้อสอง ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่เขาไม่ได้ห้ามแต่เราไปคัดลอก ?
ตอบ : ถ้าเขาห้าม นอกจากเขาจะมีลายลักษณ์อักษรแล้วเขายังมีระบบป้องกัน ถ้ากันแล้วเรายังไปแฮกฯ เขาอีกก็แปลว่าขโมย
ถาม : แผ่เมตตาให้ถึงฌาน ๔ ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : พอแผ่เมตตาไปจนกระทั่งเต็มกำลังของเราแล้วก็จับลมหายใจภาวนาต่อไปเลย ตัวสมาธิภาวนาจะยังทรงอารมณ์เมตตานั้นอยู่ ถ้าเข้าถึงระดับไหนก็คือแผ่เมตตาไปถึงระดับนั้น
ถาม : ถ้าเราจับภาพพระไปด้วยและแผ่เมตตา ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าจะทำอย่างไร เพราะว่ากรรมฐานจริง ๆ แล้วสามารถประยุกต์เข้ากันได้ทั้งหมด สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาไม่มีอะไรขัดกันเลย ขึ้นอยู่กับว่าเราทำได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
ถาม : ช่วงนี้อยู่ในการอบรมวิปัสสนากรรมฐาน พอเข้าสมาธิแล้วคลายออกมาจะปวดหัวมาก ?
ตอบ : พยายามเข้าสมาธิแล้วก็ปรับให้เป็นสมาธิในขณะเคลื่อนไหว คือทำอย่างไรเราจะรักษาอารมณ์ภาวนาได้ในตอนที่เดินจงกรม เพราะว่าการที่เราเอาแต่ "กำหนด" อย่างเดียวจริง ๆ มีผลเสียมาก ผลเสียก็คือว่าหลักธรรมบางอย่างเราต้องคิดถึงจะแตกฉาน แต่พอเราเริ่มคิดอาจารย์สายนั้นเขาให้ตัด โดยการกำหนดว่า "คิดหนอ...คิดหนอ" ก็เลยเสียประโยชน์ไปเฉย ๆ
ตรงนี้ของเรา ถึงเวลาเราก็เข้าสมาธิตามปกติของเรา ถ้าออกมาแล้วปวดหัวหรือมีอาการอะไรก็ตาม เราก็พยายามปรับตัวสมาธิให้เป็นสมาธิใช้งาน ก็คือตอนเคลื่อนไหวก็พยายามทรงอารมณ์ไว้ แต่อย่าไปเล่าให้ครูเขาฟัง เดี๋ยวจะแย่..!
พอจิตของเราเริ่มทรงสมาธิ จิตกับประสาทจะไม่เกี่ยวข้องกัน พอไม่เกี่ยวข้องกันอาการทางร่างกายจะไม่รับรู้ ก็เหมือนกับว่าร่างกายไม่เจ็บไม่ปวดอะไร เราต้องปรับให้ได้ว่าจากที่เรานั่งเฉย ๆ แล้วทำได้ เวลาเคลื่อนไหวต้องให้ได้อย่างนั้น แรก ๆ จะลำบากหน่อย ถ้าเราจับลมหายใจพร้อมกับเดิน บางทีก็ติดกึ้กเลย เดินไม่ออก เราก็ต้องปรับใหม่ ขยับใหม่ไปเรื่อย จนกว่าจะเดินพร้อมกับกำหนดลมได้ แต่ถ้าไปเล่าให้ครูฝึกเขาฟังเดี๋ยวโดนยันหงายเก๋ง
ถาม : ช่วงที่เคลื่อนไหวไม่ต้องกำหนดแรงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องกำหนดแรงก็ได้ ไปเน้นที่รู้ตัวว่าเคลื่อนไหวแทน เราอาจจะเอาแค่จุดเดียวที่ปลายจมูก กลางอกหรือที่ท้องก็พอ ถ้าหากว่าไปกำหนด ๓ ฐานเลยเดี๋ยวจะเดินไม่ได้
ค่อย ๆ ทำไป บางอย่างหลักการถูก แต่คนเอามาทำผิด จุดที่ผมเป็นห่วงที่สุด ก็คือ ญาณ ๑๖ ปัจจุบันต้องเข้าถึงสภาวะนั้นจริง แค่นามรูปปริจเฉทญาณจะแยกรูปนามออกจากกันอย่างชัดเจนเลย เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ในเมื่อต้องแยกกันชัดเจนขนาดนี้ พอเราไปส่งสภาวะให้ครูฝึก มีอะไรเฉี่ยวนิดหนึ่งเขาบอกว่าเราได้แล้ว ก็บรรลัยสิครับ เพราะยังไม่ได้จริงนี่ครับ
ผมเป็นห่วงตรงนี้ว่า นานไป ๆ ถ้าครูฝึกเข้าใจผิดต่อไปเรื่อย ๆ แล้วตรงนี้จะเละไม่เป็นท่าเลย จะทำให้คนหลงว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้าไปมากมายมหาศาล ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วยังไม่ได้เข้าถึง เป็นเรื่องอันตรายมาก ระมัดระวังตรงนี้ไว้นิดหนึ่ง
ถาม : แสดงว่าตรงนั้นคือกำลังสมาธิเฉย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บางทีเหมือนกับตอนเราไปส่งอารมณ์แล้วไปพูดตรงกับตรงนั้นนิดเดียว ครูฝึกก็ไปฟันธงว่าใช่ แต่ว่าจริง ๆ แล้วนามรูปปริจเฉทญาณเป็นทั้งสมาธิและปัญญารวมกัน ถ้าสมมติว่าเรามองไป แล้วไปคิดว่านี่เป็นผู้หญิงก็เสร็จเลย เพราะนี่คือใจเราปรุงแต่งแล้ว แต่ถ้าเราสักเห็นว่าเป็นรูป สักเห็นว่าเป็นธาตุ จิตใจไม่ปรุงแต่งต่อ อันตรายจะไม่เกิดกับเรา นั่นจึงเป็นการแยกรูปแยกนามที่แท้จริง ถ้าเราไปเห็นเป็นผู้หญิง เดี๋ยวคิดต่อแล้ว สวยไม่สวย ชอบไม่ชอบ จะกระจายกว้างไปเรื่อยแล้วราคะก็เกิด
ถาม : ตอนที่เห็นสักแต่ว่าเป็นรูป ก็มีส่วนของสมาธิปนเหมือนกันหรือครับ ?
ตอบ : ต้องทั้งสองอย่างรวมกัน สติต้องรู้เท่าทัน แล้วสติต้องอาศัยสมาธิช่วยมาก จึงจะหยุดการปรุงแต่งได้ทัน
ถาม : แต่นามรูปปริจเฉทญาณจะต้องวางให้ได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ เขาถึงจะเรียกนามรูปปริจเฉทญาณ ?
ตอบ : ของเขาได้นิดเดียวเขาก็เอาแล้ว ฉะนั้น...ไปฝึกสายโน้นเถอะ ได้ง่ายดี ...(หัวเราะ)...
ทำไปเถอะครับ ระยะแรกเริ่มช่วยได้มากเลย เราจะสังเกตว่าพอเรา "กำหนด ๆ ๆ ๆ" แรก ๆ จิตจะสงบมาก แต่พอถึงเวลาจิตจะคิด เราไม่มีอะไรให้คิดเพราะเราไป "คิดหนอ...คิดหนอ" ไม่ได้ตัดกิเลสจริง ๆ พอสภาพจิตกำหนดไปจนเต็มที่แล้วคลายออกมา เราต้องมาคิดพิจารณา คราวนี้ตัวคิดพิจารณาที่จะเป็นวิปัสสนาญาณ ก็คือ เห็นร่างกายนี้ไม่เที่ยง เห็นร่างกายนี้เป็นทุกข์ เห็นร่างกายนี้เป็นอนัตตา หรือไม่ก็พิจารณาลักษณะเห็นการเกิดดับ หรือเห็นว่าดับอยู่ตลอดเวลา หรือเห็นเป็นโทษเป็นภัย เป็นของน่ากลัว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราไม่คิดก็ไม่เกิด เราจะไปกำหนดรู้ "ปัจจุบัน ๆ ๆ ๆ" ได้แต่สติ แต่ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณอย่างแท้จริง
แต่คราวนี้เขาไปยืนยันว่าเป็นวิปัสสนาญาณ ผมก็ไม่รู้จะเถียงอย่างไร ค่อย ๆ ทำไปเถอะ หลักการขั้นแรกยังใช้ได้ หลังจากนั้นพอค่อย ๆ ทำไปแล้วเราจะรู้เองว่าอะไรเหมาะกับเรา มาถึงขนาดนี้ก็สู้ต่อไปเถอะ
ถาม : ช่วงไปเข้ากรรมฐาน เวลาผมจำวัด มีเสียงนิดหนึ่งจะตื่นทันทีเลยครับ ?
ตอบ : สภาพจิตจริง ๆ จะตื่นอยู่ตลอด แต่ที่เราหลับเพราะสติขาด ถ้านักปฏิบัติที่เข้าถึงจริง ๆ หลับกับตื่นจะมีสติเท่ากัน หลับอยู่ก็ยังรู้เลยครับว่าตัวเองหลับ บางทีก็ได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย แต่จะสนใจหรือไม่สนใจอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าสนใจก็ขยายสภาพจิตออกมารับรู้ก็คือตื่น ถ้าไม่สนใจก็จะกลับเข้าไปอยู่ที่เดิมของตัวเอง แล้วให้สังเกตว่าสภาพจิตตอนที่กลับเข้าไปจะต้องบังคับอยู่แค่ประมาณนี้ ถ้าหากว่าเกินนั้นจะหลับเลย หากว่าเราวูบกลับเข้าไปอยู่ระดับนั้นจะพักผ่อนได้ บางทีรู้สึกว่าเวลานานมากแต่ความจริงเวลาไม่กี่นาที เท่านั้น
ที่ตื่นง่ายขึ้นนั้นจริง ๆ แล้วถูกทาง แต่ทำอย่างไรที่เราจะพักผ่อนตามเวลา เพราะถ้าร่างกายไม่ไหวจริง ๆ สภาพจิตก็แย่ไปด้วย เราก็พักผ่อนตามเวลา นอนภาวนาไปสัก ๒-๓ ชั่วโมงแล้วค่อยตื่นมาทำงานทำการของเราต่อ ก็จะตื่นง่ายขึ้น แล้วต่อไปก็จะไม่หลับ หลับอยู่ก็เหมือนอย่างกับตื่น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วตอนที่เราตื่นอยู่ เราสามารถระมัดระวังไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินเราได้
บางคนพอหลับก็ขาดสติ ฝันว่าไล่ปล้ำชาวบ้านเขา บางคนก็ฝันว่าฆ่าโน่นฆ่านี่ไปเลย ทั้ง ๆ ที่ตอนเราตื่นอยู่เราสามารถรักษาได้ทุกอิริยาบถ คือกิเลสไปแอบกินเราตอนหลับ ฉะนั้น...ก็เลยจำเป็นว่า ต้องปฏิบัติจนหลับกับตื่นสติเราต้องรู้เท่ากัน ซึ่งถ้าลักษณะอย่างนั้นก็คือ “พุทโธ” ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะเหมือนอย่างกับว่าตื่นอยู่ตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วร่างกายได้พัก
ถาม : ผมนั่งนานแล้วปวดตลอด เกี่ยวกับอะไรครับ ?
ตอบ : เกิดจากการที่เราไปจี้ดูมากเกินไป บีบบังคับว่าต้องกำหนดอย่างนี้ ๆ อย่างนั้นไม่ใช่ ๆ กลายเป็นว่าไม่มีที่ให้ไป เหมือนอย่างกับคนโดนมัดอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องเมื่อยบ้างอะไรบ้าง ต่อไปเวลาเราทำ ถ้าหากว่าเราผ่อนคลายของเราได้อาการนี้ก็จะค่อย ๆ หายไป
สมัยก่อนผมไปนั่งแข่งกับเขามาแล้วครับ ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ผมนั่งได้แต่ผมนั่งด่าเขาตลอด สภาพจิตผมมีคุณภาพอยู่ประมาณ ๓๐ นาทีเท่านั้นแหละ นอกนั้นก็ด่าเขา “โคตรพ่อ โคตรแม่ มึงจะนั่งไปถึงไหนวะ...!?” นั่งนานเท่าเขาได้นะครับ แต่สภาพจิตไม่มีคุณภาพเลย
ฉะนั้น...ของพวกนี้แต่ละคนไม่เท่ากัน มาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ไม่มี มัชฌิมาปฏิปทาเป็นไปตามกำลังกาย กำลังสมาธิของเรา ถ้าร่างกายแข็งแรง สมาธิสูงก็นั่งได้นาน ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง สมาธิน้อยก็นั่งได้น้อย ในเมื่อไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องมีความพอดีเฉพาะของแต่ละคน แต่คราวนี้เราไปโดนมาตรฐานของ "ท่านเจ้าคุณ" อย่างนี้ สูงลิบโลกเลย เราตะกายตามเขาไม่ไหว พอดีของท่านอาจจะเกินร้อยของเรา เราก็แย่
ถาม : นั่งสมาธิไปแล้ว มีอาการดับ บางทีแค่เริ่มนั่งก็ดับไปเลย ?
ตอบ : ถ้าเป็นของผมนี่ถือว่าเป็นระดับแค่ ป.๑ เท่านั้น ก็คือสภาพจิตเริ่มทรงเป็นฌาน แต่ว่าสติตามไม่ทันก็จะตัดหลับไป สังเกตว่าตัวเราคิดว่าหลับ แต่จริง ๆ แล้วเรานั่งตัวตรงแหน็วเลย พอถึงระยะเวลาที่พอดี ก็จะออกมาเองโดยอัตโนมัติ
ต่อไปให้ลองดูว่าใช่หรือไม่ ก็คือกำหนดเวลา อย่างเช่นว่าเราเคยออกใน ๔๕ นาที เราก็ตั้งใจว่าอีก ๓๐ นาทีเราจะออก ตอนนี้บ่าย ๒ โมง ๓๗ นาที คุณตั้งใจเลยว่าถ้าเข็มยาวมาถึงเลข ๑๒ ก็คือ ๓ โมงตรงเราจะออก ก็จะออกเป๊ะเลย ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเราอยู่ในสมาธิหยาบขั้นต้น เริ่มจะเป็นฌานแต่สติเราตามไม่ทัน เลยตัดขาดไป พอถึงเวลาสติเริ่มตามทันก็รู้ตัวใหม่
ถาม : แล้วทำไมแบบนี้ผมรู้สึกว่าได้พักมากกว่าฌานใช้งาน ?
ตอบ : เพราะไม่ปรุงแต่งอะไรเลย ตอนที่คิดมาก ๆ ก็คือหางานให้มากไปหน่อย
ถาม : แม้กระทั่งกราบสามทีก็หลับสามครั้งครับ ?
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัว ทันทีที่เราตั้งใจก็เป็นสมาธิ ในเมื่อตั้งใจทรงสมาธิก็จะเข้าไปจุดที่เราชำนาญ ฉะนั้น...ก็ใช้วิธีที่ว่านี่แหละ ให้ตั้งใจไว้ว่าเราต้องการกี่นาที จิตมีสภาพจำ ถึงเวลาจะออกมาตามนั้นเป๊ะ ๆ เลย
ถ้าหากว่าคุณไปดูวสี ๕ จะมีอันหนึ่งที่ว่า มีความชำนาญในการพิจารณา ก็คือลักษณะอย่างนี้แหละ จะเข้าเมื่อไร จะออกเมื่อไร เข้าก็คือสมาปัชชนวสี ออกก็คือวุฏฐานวสี แล้วส่วนอื่นก็คือการที่ระลึกรู้ตามลำดับ แล้วก็มีการที่ตั้งเวลาได้ แต่คราวนี้นักวิชาการเขาแปลจนเข้ารกเข้าพงไปหมด
ถาม : ช่วงนี้ผมจะหลับบ่อยมาก เดินจงกรมก็หลับ นั่งฉันก็หลับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ดีนะ คือสมาธิทรงตัวง่าย แต่ได้แค่ระดับหยาบ พอสติขาดก็ตัดไปเลย ถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้สายเราจะให้เอาสติจดจ่อกับลมหายใจชนิดจี้ติดเข้าไว้ ถ้าเป็นสายหลวงตาบัวก็จะให้พุทโธ ๆ ๆ ๆ ถี่ ๆ ไปเลย เพราะว่าถ้าหลุดก็จะหลับ แล้วสายโน้นจะทำท่าไหนล่ะ ?
ไปนึกถึงภาษิตจีนที่ว่า คนตาบอดขี่ม้าตาบอด ในเมื่อคนขี่ก็ตาบอด ม้าก็ตาบอด ก็ไปผิดไปถูกของ สายนี้ผมยังไม่เห็นคนที่ทำแล้วเข้าถึงจริง ๆ อยากจะให้ดูตัวอย่างของหลวงพ่อเจ้าคุณวัดกลางบางปลาม้า ถ้ามีโอกาสไปกราบขอความรู้จากท่าน ท่านมาสายนี้โดยตรงเลย ลองไปกราบเรียนถามท่าน เพราะว่าในปัจจุบันสายนี้ถ้าไม่ใช่พระมหาทองมั่นที่วิเวกอาศรมหรือพระครูปลัดประจากแล้ว ผมเห็นมีแต่หลวงพ่อเจ้าคุณนี่แหละ ที่ปฏิบัติสายนี้จนเห็นผล
การศึกษาทำให้เห็นหลาย ๆ สายว่าดีอย่างไร บางอย่างก็ต้องเอามาประยุกต์เข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันบางอย่างพอเห็นก็ถอยเถอะ..!
ถาม : เวลาหลับตาจะให้ฌานอยู่กับเราได้ยาว ๆ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ประคับประคองด้วยสติสิครับ กำหนดรู้อย่างเดียว เพราะว่าถึงเวลานั้นแล้วจิตจะทำงานอัตโนมัติ จะรู้ลมหายใจอัตโนมัติ รู้ภาวนาอัตโนมัติ เราไม่ต้องบังคับก็รู้ เราก็แค่เอาสติประคองเอาไว้เท่านั้น ถ้าคุณสติขาดก็หลุดจากตรงนั้น
ถาม : อนุโลมญาณคืออะไรครับ ?
ตอบ : การที่เราพิจารณาขึ้นหน้าถอยหลัง ถอยหลังขึ้นหน้า ว่าสิ่งที่เราได้มานี่ใช่จริงหรือเปล่า อย่างเช่นว่าคุณเห็นการเกิดดับอย่างนี้....ใช่ไหม ? ถ้าคุณเห็นเกิด ๆ ๆ แล้วดับหมดก็จะวนมาเกิด จะกลับไปกลับมาอย่างนี้
คำว่าอนุโลมก็คือย้อนไปย้อนมา ซักซ้อมให้มั่นใจว่าใช่ของเราแล้วแน่ ๆ ก็แปลว่าต้องซ้ำแล้วซ้ำอีก ทวนแล้วทวนอีก เบื่อไม่ได้ เป็นเรื่องของคนที่เสร็จงานแล้วจะต้องไม่ประมาท ต้องพิจารณาอยู่บ่อย ๆ ว่านี่เราจบแล้วจริงหรือ ? ฉะนั้น...ถ้าจะเข้าถึงอนุโลมญาณแปลว่าต้องได้มรรคได้ผลแล้ว
ถาม : กรณีมรรคและผล บางที่ก็ว่าได้มรรคและผลจะมาทันที ?
ตอบ : แล้วแต่ว่าคนนั้นมีวิสัยอย่างไร บางคนติดอยู่ในมรรคหลาย ๆ ปีก็ไม่ถึงผลสักทีหนึ่ง เหมือนอย่างกับกำลังไม่พอ สมมติว่าตรงช่วงนี้เป็นร่องอยู่ มรรคก็คือก้าวข้ามไป ตรงนี้ใช้คำว่า "โคตรภู" คืออยู่ในระหว่าง เรามีแรงพอที่จะก้าวข้ามไปไหม ? ตอนนี้เห็นแล้วว่าทางนี้คือมรรค ถ้าก้าวไปสำเร็จก็คือผลของเราเลย แต่ถ้ายังคาอยู่ ก็คือ กำลังสติ สมาธิ ปัญญายังไม่พอ จะติดอยู่ ที่ท่านพูดมาใช่ทั้งนั้น ถ้าคนกำลังดีก้าวได้ก็ไปเลย แต่ขณะที่คนกำลังไม่ดีก็ติดอยู่อย่างนั้นก่อน
ถาม : ตัวมรรค และโคตรภูญาณ คืออย่างเดียวกัน ?
ตอบ : โคตรภูญาณคือเริ่มเห็นทาง ก็คือเห็นมรรค แต่อย่าลืมว่าคำว่ามรรคก็คือหนทาง เห็นแล้วว่าไปทางนี้ใช่แน่ คราวนี้ทำอย่างไรที่จะไปให้ถึงเท่านั้น
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ผมถึงได้บอกว่าในสายนี้พอมาถึงญาณ ๑๖ แล้ว ผมเป็นห่วงมากเลย เพราะว่าส่วนใหญ่เท่าที่ผมไปเจอมาก็คือ เขามาส่งอารมณ์ สะกิดตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย เขาก็เหมาว่าใช่แล้ว ถ้าหากว่าเป็นแบบของผม แค่สังขารุเปกขาญาณนี่จบแล้วนะ ไม่ต้องมีต่อ สังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางในสังขาร สภาพจิตไม่ปรุงแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ ทุกอย่างก็ดับหมดแล้ว
สมมติเราเห็นถ้วยใบหนึ่ง เราสักแต่เห็นว่าเป็นรูปเป็นนาม นั่นก็คือถ้วย แต่ถ้าเราไปคิดต่อว่า “ถ้วยนี้ใส่น้ำได้ ถ้าได้น้ำแช่เย็นสักนิดหนึ่งก็ดี” นี่เริ่มโลภแล้ว “วันก่อนเราแช่น้ำไว้ ไอ้ห่..นั่นกินหมดแล้วก็ไม่เติมให้ด้วย” นี่โกรธแล้ว “เอ๊ะ...เราเคยไปกินกับสาว เขาสั่งน้ำส้มนี่หว่า ?” นี่ราคะมาอีกแล้ว
เห็นไหมครับว่าถ้วยใบเดียว รัก โลภ โกรธ หลง มาครบเลย ทำอย่างไรที่เราจะหยุดปรุงแต่งได้ สักแต่ว่าเห็น ถ้าเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้นก็สักแต่ว่าได้รส กายก็สักแต่ว่าสัมผัส ถ้าถึงสังขารุเปกขาญาณจริง ๆ สำหรับผมถือว่าจบแล้ว ไม่ต้องไปต่อ เพียงแต่ว่าเข้าถึงแค่ไหน เพราะว่าถ้าจิตไม่ปรุงแต่ง จิตสังขารไม่ปรุงแต่ง ทุกอย่างก็หยุดหมด ดับหมด เขาถึงใช้คำว่าสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางการปรุงแต่ง อุเบกขาก็คือปล่อยวาง
คุณไปอ่านในมหาสติปัฏฐานสูตรสิ ทุกบรรพจบกิจได้หมดเลย เพราะท่านปิดท้ายว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ เธอจงอย่ายึดมั่นถือมั่นอะไร ๆ ในโลกนี้ เป็นกำลังใจของพระอริยเจ้าขั้นสูงสุดเลย ฉะนั้น...ไม่ต้องทำครบทุกบรรพหรอกครับ
กายในกายบรรพแรกคืออะไรครับ ? อานาปานบรรพ แต่ขอโทษ...สายพองยุบไม่ให้เอาลมหายใจครับ ก้าวแรกไม่ไปแล้วก้าวต่อไปจะได้อย่างไร ?
การที่เราภาวนาไป พอเวลาสภาพจิตเริ่มทรงสมาธิ ก็จะเกิดอาการอย่างที่พวกคุณเป็น ก็คือพอสติตามไม่ทันก็จะตัดขาด คราวนี้ของท่านพอไม่มีลมหายใจ ท่านก็เลยคิดว่าใช้งานไม่ได้ เพราะท่านไม่สามารถจะไปต่อได้ โดยที่ไม่รู้ว่าถ้าเรากำหนดรู้ถึงความไม่มีลมหายใจ จิตจะดิ่งลึกเป็นสมาธิไปเรื่อย ๆ ท่านก็ย้อนกลับมาใหม่ว่าทำอย่างไรถึงจะไปต่อได้ ท่านก็กลับมาจับพองยุบแทน เหมือนกับคนขึ้นบันไดไปแล้วถอยกลับมานับหนึ่งใหม่ตลอด
เพราะฉะนั้น...ใครปฏิบัติสายนี้แล้วจะทุกข์ทรมานมาก เพราะว่ากำลังในการกดกิเลสไม่มี แล้วก็ให้เราไปพิจารณาว่ากิเลสตอนนี้ตีเราอย่างไร เหมือนอย่างกับให้ถอดเกราะปลดอาวุธแล้วขึ้นไปต่อยกับไมค์ ไทสัน ตายอย่างเดียวครับ
อาจารย์ท่านอธิบายกับผมว่า เรากำหนดด้วยขณิกสมาธิทีละน้อย ๆ เหมือนสะสมงาทีละเมล็ด พอนานไปก็สามารถคั้นเอาน้ำมันมาใช้ได้ ผมก็แปลกใจ ในเมื่อสมาธิผมเยอะกว่านั้น ผมมีงาเป็นเกวียนแล้วทำไมถึงต้องไปเก็บทีละเม็ดด้วย ? ผมถึงได้บอกว่าในเมื่อพละ ๕ ต้องเสมอกัน ทำไมเราถึงไม่ดึงตัวอื่นขึ้นมาให้สูง แต่ดันไปลดสมาธิพละลง เพราะทันทีที่ลดสมาธิลง สภาพจิตของเราจะวุ่นวายมาก ปัญญาจะไม่เกิด เพราะโดนกิเลสตีตลอด แต่เรื่องอย่างนี้เราไปถกเถียงกับท่านก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเป็นนักเรียนอยู่ ตอนนี้ถึงผมจบปริญญาเอก แต่ถ้าเอาเรื่องนี้มาเปิดเมื่อไรอาจจะโดนยึดปริญญาบัตรคืน..!
ถาม : สังขารุเปกขาญาณ ถ้าได้สมาธิเป็นอุเบกขา ก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ต้องปัญญาเพียงพอถึงจะหยุดกิเลสไม่ให้เกิดได้ สมาธิอย่างเดียวไม่พอ ปัญญาเห็นโทษเลยไม่ไปแตะต้อง เหมือนรู้ว่าไฟร้อนเลยไม่ไปยุ่งกับไฟ สมาธิอย่างเดียวไม่ได้รับประทานหรอกครับ
ถาม : อย่างพระบางรูปสมาธิค่อนข้างสูง ถ้าไปยกระดับ....(ไม่ชัด)...
ตอบ : มาพิจารณาไตรลักษณ์จะง่ายเลย เพราะต้นทุนมีพอแล้ว คุณก็เห็นว่านี่เด็กเล็ก มองไปนั่นก็โตขึ้นอีกหน่อย โน่นก็เริ่มหนุ่มสาว โน่นวัยกลางคน โน่นชราแล้ว ก็จะเห็นว่าไม่เที่ยง นี่คือสิ่งที่มาใช้งานจริง สภาพจิตเรายอมรับจริง ๆ ว่าเป็นอย่างนั้น
การที่เราดำรงชีวิตอยู่ทุกวันทุกข์ไหม ? ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลงไปเป็นอย่างไรบ้าง ? เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหาย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดนั่นเมื่อยนี่ ต้องเข้าห้องน้ำห้องส้วม ต้องหาให้กิน สภาพจิตก็จะเห็นว่านี่ทุกข์เป็นปกติ แล้วท้ายที่สุดก็บังคับบัญชาไม่ได้ นึกจะป่วยก็ป่วย นึกจะแก่ก็แก่ นึกจะตายก็ตาย ดังนั้น...การที่กำหนด ๆ ๆ ตามที่เขาว่ามา ปัญญาตัวนี้จะไม่มี เพราะเราไปตัดการคิดพิจารณาไปเสียแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเลยว่า ดูก่อน...กัสสปะ เมื่อเธอฟังธรรมจงตั้งใจเงี่ยหูฟังและพิจารณาในเนื้อความ ถ้าไม่คิดแล้วจะพิจารณาได้ไหม ? แต่ในเมื่อสายนี้ท่านมาอย่างนี้ก็ไปยาวเลย
ความจริงผมเขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จตั้งแต่ปีที่ผมฝึกธรรมทูตสายวิปัสสนารุ่นแรก แต่หนังสือเล่มนี้ออกไม่ได้ เพราะเหมือนโยนระเบิดใส่เขา จะเละเทะไปหมดเลย เพราะว่าท่านอาจารย์โสภณมหาเถระ ท่านเขียนไว้ตอนท้ายของวิปัสสนานัย คุณอ่านหรือยัง ? ที่ท่านเขียนว่า อานิสงส์ตรงนี้ท่านขอเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ แปลว่าท่านยังไม่ได้เป็นใช่ไหม ? ในเมื่อยังไม่ได้เป็น คนที่เรียนไม่จบแล้วมาสอนคนอื่นแล้วเสียมารยาทไหม ? ผิดหลักตั้งแต่แรกแล้ว ก็แปลว่าสิ่งที่ท่านสอนมายังไม่ใช่ของจริง ท่านแค่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น คาดว่าจะเป็นอย่างนั้น
จะว่าไปแล้วคือทฤษฎีอย่างหนึ่ง ถ้ายังไม่มีคนเถียงก็ใช้ทฤษฎีนี้ไปก่อน แต่ถ้ามีคนเถียงแล้วของเขาดีกว่า เขาก็จะยกเลิกอันนี้แล้วมาใช้อันใหม่แทน แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครกล้าเถียง ถึงได้บอกว่าผมเขียนรายละเอียดเอาไว้หมดแล้วว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ไม่สามารถที่จะเอาออกมาแสดงได้
การส่งอารมณ์ในช่วงที่ผมเรียนอยู่ ผมเห็นโทษเลย คือเรากำลังอยู่ในช่วงเก็บอารมณ์ พอไปส่งอารมณ์เกิดอาการที่ผมเรียกว่า ท่อประปาแตก แล้วอาจารย์หลายท่านก็สมาธิไม่ดีพอ พอลูกศิษย์ท่อประปาแตกท่านก็ไหลตามลูกศิษย์ไปด้วย เลยกลายเป็นอาจารย์ท่อประปาแตก ลูกศิษย์ก็ท่อประปาแตก จากที่เขากำหนดไว้ว่าส่งอารมณ์คนละ ๓๐ นาที บางทีผมต้องนั่งรอตั้ง ๒ ชั่วโมง
ผมเองจบมาได้ที่ ๑ มาอย่างไรก็ไม่รู้ คือไปตามแบบของตัวเอง แต่พอถึงเวลาจะส่งอารมณ์ก็พยายามทำตามแบบของท่าน แล้วก็ไปบอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดันได้ที่ ๑ มา ก็งงอยู่เหมือนกัน
สำหรับท่านอาจารย์พระมหาทองมั่น ผมมั่นใจเลยว่านี่แหละคือวิปัสสนาลาภีบุคคลจริง ๆ เพราะท่านพิจารณา ๆ ๆ จนสภาพจิตดิ่งลึกกลายเป็นสมาธิได้เอง ซึ่งหาได้ยากมาก ผมถึงได้ถามท่านว่า “ถ้าหากว่าผมฟุ้งซ่านจนเอาไม่อยู่แล้ว ผมจะกระชากกลับมาด้วยกำลังสมาธิที่มีอยู่ได้ไหม ?” ท่านบอกว่าได้ ขณะที่อาจารย์อื่นไม่ยอมให้ผมทำอย่างนี้เด็ดขาด เสียดายว่างานท่านเต็มมือ ไม่อย่างนั้นถ้าท่านมาสอน คุณแอบไปถามท่านจะได้อะไรอีกเยอะ
ถาม : เคยได้ยินแต่อภิญญาลาภีบุคคล ?
ตอบ : จะมีฌานลาภีบุคคลเริ่มด้วยสมาธิ วิปัสสนาลาภีบุคคลเกิดจากพิจารณาวิปัสสนาญาณจนจิตดิ่งลึกเป็นสมาธิไปเอง อันโน้นเข้าสมาธิแล้วคลายออกมาพิจารณา อันนี้พิจารณาจนกลับไปเป็นสมาธิ ถ้าหากว่าตัวอย่างชัด ๆ นี่ผมเห็นท่านเดียวแหละครับ พระมหาทองมั่น สุทฺธจิตฺโต
ถ้ามีโอกาสไปหาท่านเถอะ กราบเรียนท่านว่าผมเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาอยู่ แต่ปรากฏว่ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติเยอะแยะไปหมด รบกวนท่านอาจารย์ช่วยเมตตาสงเคราะห์ แล้วมีปัญหาอะไรก็ถามไปเลย
ถาม : อย่างนี้เป็นปัญญาวิมุตติไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอย่างนี้ถึงเวลาถ้าบรรลุก็จะเป็นปัญญาวิมุตติ เพราะว่าไปด้วยวิปัสสนาญาณ ถ้าหากว่าเริ่มสมาธิแล้วมาพิจารณาถึงจะเป็นเจโตวิมุตติ
คราวนี้คุณเข้าใจแล้วหรือยัง ? ว่าทำไมในภาค ๑๔ ทั้งสี่จังหวัดจะเอาแต่พระอาจารย์เล็กไปคุม เขาไม่เอาคนอื่น พอถึงเวลาเขาโวยวาย ถ้าพระอาจารย์เล็กไม่มาพวกผมไม่ปฏิบัติ ซวยตายเลย...เหนื่อยอยู่คนเดียว
อาจารย์ที่เป็นวิปัสสนาจารย์ควรจะรู้แนวกรรมฐานทุกสาย เวลาลูกศิษย์เขามาแบบไหนควรที่จะต่อยอดให้เขาได้ ไม่ใช่ไปบอกว่าของคุณใช้ไม่ได้ ต้องมาเริ่มต้นใหม่ ลูกศิษย์ประเภทตุนต้นทุนมาหลายพันล้านแล้ว ให้เริ่มต้นมาหาเงินบาทแรกใหม่ก็แย่สิ..!
ถาม : ถ้าเราเอาจีวรของครูบาอาจารย์มาติดตัวในเวลาปฏิบัติกรรมฐานด้วย จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น...บางอย่างก็ต้องอาศัยท่านเป็นที่พึ่งที่ระลึก บางอย่างสิ่งที่ท่านใช้มามีพลังงานอยู่ เราอยู่ใกล้แล้วเกิดความสงบขึ้นมาเลย
ถาม : แล้วต่อไปจะติดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวแล้วก็ไม่ต้องใช้ เหมือนอย่างกับเด็ก ๆ ใหม่ ๆ ก็ต้องจูงให้เดิน พอวิ่งได้แล้วก็ไม่ต้องไปอาศัยใคร หมั่นทำบ่อย ๆ
ถาม : นึกว่าจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ?
ตอบ : เขาเรียกว่าอนุสติ คือระลึกถึง ไม่ใช่ปรามาส ไม่ใช่ว่าเอามากระทืบไปภาวนาไปนี่หว่า..!
ถาม : ในพระพุทธกาลมีไหมครับที่เป็นวิปัสสนาลาภีบุคคล ?
ตอบ : มี...แต่ท่านไม่ได้ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพิจารณาตามก็บรรลุเลย คราวนี้ของท่านเหล่านั้นบรรลุเร็วเกินไป ก็เลยไม่สามารถที่จะยกตัวอย่างมาอย่างเด่นชัด
ถาม : อย่างพระพาหิยะล่ะครับ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นก็ต้องประกอบด้วยสมาธิมาก่อน ไม่อย่างนั้นปัญญาจะไม่เกิดได้ขนาดนั้น เพียงแต่ว่าท่านฟังธรรมแล้วไม่ได้ใช้สมาธิแต่พิจารณาด้วยปัญญา ทันทีที่พิจารณาความเคยชินจิตจะเป็นสมาธิเอง กำลังในการจะตัดจะมีอยู่ ท่านเองท่านก็เลยตัดได้เร็ว
ถาม : อย่างวิธีของ "หลวงแม่" ใช้วิธีย้อนทวนวิปัสสนาญาณ ก็เกิดจากสมาธิเหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน สังเกตไหมว่าพอทวนไป ๆ แล้วเบลอ ไม่ชัด ก็ต้องย้อนกลับมาหาลมหายใจเข้าออกใหม่ พอกำลังใจทรงตัวแล้วถึงจะไปต่อได้ สองอย่างต้องทำรวมกัน สมถะเป็นกำลัง วิปัสสนาเป็นอาวุธ คนไม่มีกำลัง ยกอาวุธไม่ไหวก็ตัดอะไรได้ยาก คนมีกำลังแต่ไม่มีอาวุธ แล้วจะไปตัดอีท่าไหน ฉะนั้น...ควรที่จะทำ ๒ อย่างด้วยกัน
จำหลักไว้อย่างหนึ่งว่า นักปฏิบัติยิ่งจิตละเอียด ยิ่งทำอะไรเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แต่เป็นการเร็วที่ไม่ผิดพลาด ฉะนั้น...ยิ่งไปยิ่งช้านั่นไม่ใช่ทางแน่ แต่พวกคุณอยู่กับเขาก็ทำตามเขาไปก่อน
ไปนึกถึงหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ไปศึกษากับหลวงปู่กินรี วัดกันตศิลาวาส หลวงปู่กินรีบอกว่าให้ทำอะไรช้า ๆ จะได้มีสติพิจารณาได้ทัน แต่หลวงปู่กินรีเร็วมาก พึ่บพั่บ ๆ เสร็จแล้ว หลวงปู่ชาท่านก็หงุดหงิด ท้ายสุดก็เข้าไปถาม “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อบอกให้ผมทำช้า ๆ แต่หลวงพ่อเร็วทุกอย่างเลย” ท่านบอกว่า “คนขับรถเร็วแล้วปลอดภัยก็มีไม่ใช่หรือ ? ไอ้คนหัดใหม่ ๆ ก็ต้องไปช้า ๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นก็ชนกระจาย..!”
ถาม : (เรื่องมโนมยิทธิ)
ตอบ : นึกถึงบ้านตอนนี้ พอนึกถึงบ้านจิตก็ไปอยู่ที่นั่นแล้ว แต่ว่าบางทีคำพูดที่ท่านให้มาไม่ตรงกับกำลังใจของเรา เราเลยไม่เข้าใจ แบบเดียวอาตมาส่งโยมแม่ไปฝึก ครูฝึกคือครูพรรณีเดินหัวเราะออกมา “ท่านเล็ก..สอนแม่อย่างไร ? ถามแม่ว่าเกิดมาทุกข์ไหม ? แม่บอกว่าไม่ทุกข์” อาตมาก็บอกว่า “ครู..ไปถามใหม่ ถามว่าเกิดมาลำบากไหม ? แม่อธิบายได้ ๓ วัน ๓ คืน” ใช้คำพูดที่ผิด คนแก่เขาไม่เข้าใจว่าทุกข์อย่างไร แต่ถามสิว่าเกิดมาลำบากไหม
ถาม : ไปเป็นจังหวะที่เขา...
ตอบ : เอาเป็นว่าอาตมาพูดให้ฟังเองแล้วกัน เรื่องของมโนมยิทธิจริง ๆ แล้วไม่มีเต็มกำลัง ไม่มีครึ่งกำลัง มีแต่มโนมยิทธิเท่านั้น คือถอดจิตไปยังดินแดนต่าง ๆ แต่เนื่องจากว่าการถอดจิตไปด้วยอำนาจของฌานนั้นมีความชัดเจนที่แตกต่างกัน บางท่านไปด้วยกำลังสมาธิชนิดสุดตัวเลย ถึงเวลาก็ทิ้งร่างกองไว้เลยเขาก็เลยเรียกว่าไปเต็มกำลัง แต่บางท่านเริ่มจากการเห็นภาพก่อนเพราะว่าจิตเริ่มอยู่ในอุปจารสมาธิ แล้วถึงเวลาก็น้อมจิตพิจารณาไปตามที่ครูบาอาจารย์ว่าไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ยกจิตไปยังสถานที่นั้นได้
ถ้าเห็น...เป็นมโนมยิทธิครึ่งกำลัง ถ้าไปได้...เป็นมโนมยิทธิเต็มกำลัง จำไว้แค่นี้พอ เพราะฉะนั้น...คนไหนที่เคยฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังมาก่อนแล้วไปได้ ขอให้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ตัวเองได้เต็มกำลังมานานแล้วแต่ไม่รู้เท่านั้น ถ้าท่านทั้งหลายเหล่านี้ไปฝึกเต็มกำลังแทบจะไม่มีข้อแตกต่างเลย ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าจะรู้สึกสว่างขึ้น ชัดขึ้น ไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ที่เขาแยกเพื่อให้รู้ว่าคุณมาแบบไหน พูดง่าย ๆ ว่าเรามาจากที่เริ่มเห็น แล้วค่อย ๆ ยกจิตไปหรือว่าเราไปได้เลย ต่างกันแค่นี้เอง เขาเลยเรียกว่าเต็มกำลังหรือครึ่งกำลัง
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าเป็นเต็มกำลังจริง ๆ จะไม่รับรู้แล้ว แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอบารมีพระสงเคราะห์ เพื่อให้สามารถตอบคำถามแก้สงสัยของคนที่ไปไม่ได้ ก็เลยให้มีความรู้สึกที่เนื่องกันอยู่ได้ เกิดจากบารมีพระที่สงเคราะห์อยู่ ลักษณะนั้นจะว่าไปแล้วก็เป็นฌานใช้งาน ถ้าใครทำอย่างนั้นบ่อย ๆ ต่อไปจะทรงฌานใช้งานได้ดีเป็นพิเศษ
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มีเยอะมาก แต่ว่าการฝึกมโนมยิทธิในปัจจุบันนี้เป็นที่น่าเสียดายว่าเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์เอาไปใช้ผิดหมดเลย มโนมยิทธิในความหมายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านต้องการให้เรารู้จักพระนิพพาน ไปพระนิพพานได้ แต่เขากลับเอาไปดูว่าเธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน แทนที่จะเข็ดว่าเกิดมาชาติแล้วชาติเล่ายังทุกข์ไม่รู้จบ ก็ดันไปผูกสัมพันธ์กันใหม่ แทนที่จะเอาตัวหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ เลยกลายเป็นยิ่งติดหนักเข้าไปอีก
อาตมาเจอมาหลายคู่แล้ว จะฆ่ากันตายเพราะอีกฝ่ายบอกว่าเคยเป็นเมียเขา ขณะที่ปัจจุบันดันไปเป็นเมียอีกคน ไม่ตีกันตายก็บุญโขแล้ว ต้องอยู่กับปัจจุบันเป็นหลัก อดีตคืออดีต แต่ขณะเดียวกันก็ให้รู้จักเข็ดด้วยว่าเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว
เรามาไล่ดูทิพจักขุญาณ ว่าช่วยในการตัดกิเลสไหม ? ถ้าเราไม่ได้ดูเพื่อที่จะเบื่อก็ไม่ช่วยในการตัดกิเลส ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ แต่ละชาติเราทุกข์พอหรือยัง ? ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่หรือเปล่า ? จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนตายแล้วไปไหน สัตว์ตายแล้วไปไหน ถ้าหากเราเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ไม่จำเป็นต้องดูก็ได้ ท้ายสุดเจโตปริยญาณ เรารู้ใจตัวเองว่ามี รัก โลภ โกรธ หลง แค่ไหน แล้วป้องกันขับไล่สิ่งไม่ดีออกไปไม่ดีกว่าหรือ ?
สรุปแล้วก็คือว่าในเรื่องของมโนมยิทธินั้น จริง ๆ แล้ว ถ้าเราเอาจิตเกาะพระนิพพานได้ สภาพจิตที่ปราศจากกิเลส ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง เบาสบายอย่างไร เราจำอารมณ์นั้นไว้ ถึงเวลาลงมาแล้วประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด พอสภาพจิตเคยชินกับสภาพหมดกิเลสนั้นไปนาน ๆ ต่อไปก็จะสามารถที่จะเข้าถึงได้โดยอัตโนมัติเอง นี่คือสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการให้กับพวกลูกศิษย์ ว่าเป็นวิธีตัดกิเลสไปพระนิพพานได้ตรงที่สุด ง่ายที่สุด แต่พวกเรากลับเอาไปใช้ผิดกันอย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ฝึกได้แล้วหมั่นซักซ้อมไว้ ช่วงที่อารมณ์ใจของเราท่องไปตามแดนต่าง ๆ รัก โลภ โกรธ หลง กินเราไม่ได้ ท้ายสุดไปจดจ่ออยู่ที่พระนิพพาน เราจะได้รู้ว่าสภาพหมดกิเลสจริง ๆ เป็นอย่างไร แล้วจดจำมา รักษาอารมณ์นั้นไว้กับเรา ทำบ่อย ๆ รักษาไว้บ่อย ๆ เดี๋ยวได้ดีไปเอง เรื่องระลึกชาติ เรื่องการรู้ใจคนอื่น เรื่องการดูโน่นดูนี่...เลิกซะทีเถอะ ไม่ชัดแล้วยังมั่วอีกต่างหาก..!
สมมติว่าเรานึกถึงพระ ไม่ต้องชัดหรอก มั่นใจว่าตอนนี้มีพระอยู่ตรงหน้าของเรา แล้วพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ? พระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่กับพระองค์ท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน เอาใจเกาะแค่นี้ หลุดออกมาเมื่อไร รู้ว่าเราหลุดจากพระแล้วก็รีบขึ้นไปใหม่ ซ้อมทำอย่างนั้นทุกวัน ๆ ความชัดจะปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ เอง
วันนี้คนถอดเทปตายแน่ โยมหลอกให้คุยเสียเยอะเลย ถ้าอาตมาไม่มีอะไรทำก็จะโม้ไปเรื่อย ๆ แบบอาตมาไปเที่ยวแล้วเอามาเล่าให้โยมฟัง หลัง ๆ นี้ชักจะมีคนรู้ทัน บอกว่าถ้าพระอาจารย์เลิกพูดแล้วเงียบไปเฉย ๆ ให้รู้ว่าตอนนี้กำลังคุยกับ "คนอื่น" แทน
ถาม : ถ้าเราต้องรับกรรมไม่ดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วงนี้อกุศลกรรมมา ?
ตอบ : ก็ดูสิว่าทำไมอยู่ ๆ ชีวิตจากที่ดี ๆ ถึงได้เละเทะไปเลย ตรวจสอบเองสิเว้ย..!
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราให้ของแล้ว เขาจะตอบแทนเรามาในทางที่ดี
ตอบ : ให้ไปตามปกติ ส่วนให้แล้วเขาจะตอบแทนอย่างไร เราก็รับเอาไว้ตามระเบียบแค่นั้นเอง ก็ในเมื่อเราตั้งใจสงเคราะห์คนอื่นเขา ถึงเวลาอะไร ๆ ดีหรือไม่ดีตอบแทนมาก็ทน ๆ เอา เป็นการพิสูจน์ว่ากำลังใจของเราเป็นอัปปมัญญา ก็คือสงเคราะห์โดยไม่มีประมาณได้จริง ๆ หรือเปล่า ถ้ายังเลือกที่รักมักที่ชังอยู่ก็ยังใช้ไม่ได้
ถาม : ถ้าจะเอารูปพระอาจารย์ไปถวายพระอาจารย์ ควรขออนุญาตไหมคะ ?
ตอบ : สำหรับอาตมาแล้ว ไม่ต้องและไม่ควรอย่างยิ่ง ไปดูที่วัดท่าขนุนว่ามีรูปพระอาจารย์เล็กบ้างไหม ? ใครหาเจอมีรางวัลให้ ตูไม่ได้หลงตัวเองขนาดนั้น..!
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้เห็น ถ้าเห็นจะโกรธมาก รู้ไหมว่าทำไมถึงโกรธ ? ที่โกรธมากไม่ใช่อะไรหรอก ตูกำลังพักอยู่แท้ ๆ ดันมาเรียก แถมยังใช้บ่นโน่นบ่นนี่ให้ฟัง
ถาม : บ้านคุณพ่อที่นครสวรรค์ เขาตั้งศาลพระภูมิและศาลตายายคู่กัน แต่ศาลตายายเป็นสี่เสา อย่างนี้ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ไปเข้าเว็บวัดท่าขนุนหรือเว็บพลังจิตแล้วหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาตมาพูดมาไม่ต่ำกว่า ๒๐ ครั้งแล้ว ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง จะต้องแก้ไขอย่างไร ได้บอกไว้หมดแล้ว
ถาม : ถ้าเป็นศาลอากาศเทวดาต้องอยู่ทิศตะวันตกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตะวันตกหรือใต้ก็ได้ แต่ต้องรู้จริง ๆ ถ้าไม่รู้จริงว่าเป็นท่านแล้วไปตั้งส่งเดช เดี๋ยวจะซวยไม่รู้ตัว เหมือนอย่างกับอยู่ ๆ ก็ไปเรียกนายพลมาเป็นคนใช้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสิทธิ์จะเรียกท่าน
ถาม : อยากจะบวชแต่กลัวบาป ?
ตอบ : การบวชเป็นความดี บาปตรงไหน ? เพียงแต่ว่าต้องเก็บอาการให้ได้ ปฏิบัติตัวอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่ไปหลุดวี้ดว้ายกรี๊ดกร๊าดกับใคร
ถาม : กรณีที่เป็นเพศทางเลือกละคะ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราเก็บอาการอยู่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเก็บอาการไม่อยู่นี่เท่ากับทำให้พระศาสนาเสียหาย โทษหนักมาก
ถาม : คนที่รู้ว่าจำเป็นต้องทำอะไร แต่ไม่มีพลังงานหรือกำลังใจในการทำงานเลยครับ ในหัวข้อธรรมของพระศาสนามีหรือเปล่าว่าต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา เน้นสมาธิให้มากเข้าไว้ เพียงแต่คุณไม่ตั้งใจทำเท่านั้น สรุปก็คือไปกับกิเลสเรื่อย ๆ โดยไม่คิดที่จะต่อสู้จริงจัง ถ้าทำจริงจัง ก็เหลือเฟือที่จะทำได้ แปลว่าเอาแต่หายใจทิ้งไปวัน ๆ มากกว่า
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเห็นคนอื่นเรียนยาก ๆ ทำอะไรช้า ๆ ต้องมาคิดว่าอาตมาผิดปกติหรือเปล่า ? เหมือนอย่างกับว่าเขาใช้ความพยายามยังไม่พอ บางทีอาตมาใช้เวลา ๑๐ กว่าวันนั่งแก้วิทยานิพนธ์ แทบไม่ได้นอนเลย คืนหนึ่งนอน ๑ - ๒ ชั่วโมง แต่ว่าเพื่อนที่ใช้เวลาไม่มากเท่าสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าจริง ๆ แล้วพื้นฐานสมาธิไม่พอ ในเมื่อพื้นฐานสมาธิไม่พอ กำลังใจที่จะสู้ก็ไม่มี
ขั้นแรกที่สอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ของปริญญาโท ผศ.ดร. ธัชชนันท์ อิศรเดช พอนั่งลง ท่านบอกว่า "ผมดูแล้วอาจารย์พระครูเป็นคนที่มั่นใจตัวเองมาก ๆ เลย ความมั่นใจแบบนี้มาได้อย่างไรครับ ? " อาตมาเองจะไปตอบได้อย่างไรว่าทำสมาธิมา ? เลยตอบว่า "อ๋อ...ผมเคยเป็นทหารมาก่อนครับ เขาฝึกมาแบบนี้" ก็คือพอเข้าไปแล้ว อาตมามั่นใจว่าครูบาอาจารย์ท่านมาช่วย ไม่ได้มาเพื่อซ้ำเติมเรา บางอย่างที่ท่านถามในลักษณะกดดันก็เพื่อทดสอบเท่านั้น ในเมื่อรู้สึกอย่างนี้ก็เลยไม่ได้รู้สึกกลัว แต่ส่วนใหญ่ที่เข้าไปแล้วเขาไปกลัวอาจารย์กัน"
ถาม : เวลาที่เราเขียนอักขระลงยันต์ ยันตัง สันตัง และอุณาโลม ในส่วนตัวบทในการอธิษฐาน ?
ตอบ : ตอนวาดยันต์ให้ว่า ยันตัง สันตัง วิกรึง คะเร นะมะพะทะ ก็คือนึกถึงรูปยันต์ แล้วภาวนาลากเส้นในใจจนกระทั่งครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเมื่อวงกลมเสร็จแล้ว ก็เริ่มลงอุณาโลม ก็คือเรานึกว่าเรากำลังเขียนรูปอุณาโลมอยู่ในใจ ให้ว่า อุณาโลมมา ปะนะชายะ เต เสร็จแล้วก็ขึ้นนะตัวแรก คือ นะกาโร โหติ สัมภะโว ตัวที่สอง โมกาโร โหติ สัมภะโว ไล่ไปเรื่อย แล้วก็ไปขึ้นชุดที่สอง แล้วปิดท้ายด้วยอิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตังฯ เขียนอะไรว่าอย่างนั้น
ถาม : แม้จะว่าในใจก็ทำเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ชักรูปยันต์อย่างเดียวว่าในใจ ๓ จบบางทีไม่ครบหรอก
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้อากาศเปลี่ยน ปลายฝนต้นหนาว ช่วงรอยต่ออากาศเปลี่ยน ถ้ามีคนแก่หรือคนป่วยอยู่ดูแลให้ดี เผลอเมื่อไรก็ไปเลย เพราะเวลาอากาศเปลี่ยนผู้ที่ร่างกายอ่อนแอรับไม่ไหวก็มักจะเสียชีวิต ช่วงเดือนที่ผ่านมา เริ่มจากแม่ชีเพียงเดือน ธนสารพิพิธ แม่ชีว่าจะอยู่สัก ๘๘ ปี ปรากฏว่าแม่ชีไปก่อนเป็น ๑๐ ปี อาตมาบอกแล้วว่าแม่ชีอยู่ไม่ไหวเพราะกำลังร่างกายไม่มี
ถัดไปก็เป็นคุณเชิญ บุญรังษี โยมที่นิมนต์อาตมาไปสอนกรรมฐานที่จันทบุรีมา ๒๐ กว่าปี เสียชีวิตด้วยวัย ๙๔ ปี ก็ถือว่ามาก ดีที่หลับไปเฉย ๆ หลังจากนั้นเป็นนายดาบตำรวจลิขิต คำนา ซึ่งบ้านอยู่ใกล้วัด ครอบครัวนี้ใส่บาตรทุกวัน เสียชีวิต แล้วก็มาพันเอกชาตรี วิเศษสิงห์ น้องชายของหลวงพ่อวัดท่ามะขาม เสียชีวิตไล่เป็นลูกระนาด อาตมาวิ่งงานศพอย่างเดียว จนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนก่อนดี
ก่อนจะมารับสังฆทาน ๒ วัน โยมทางทองผาภูมิก็เสียชีวิตอีก บอกเขาแต่แรกแล้วว่าช่วงรอยต่ออากาศ สังเกตมาหลายสิบปีแล้ว คนที่ร่างกายไม่ไหวมักจะตาย แต่ว่าระวังอย่างไร ถ้าวาระมาถึงก็ต้องไป"
ถาม : เขาใกล้จะตายค่ะ ?
ตอบ : ถ้ามีโอกาสควรจะให้เขาทำบุญทำอะไรที่เป็นความดีก่อนตาย ใจจะได้เกาะไว้ อาจเป็นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งกรรมฐาน พาไปวัดทำบุญ ถ้าใจเกาะความดีได้ก็รอดแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวว่าจะไปไกลแค่ไหนเท่านั้น อาจจะเปิดเสียงสวดมนต์ของพระจีนให้ฟังก็ได้
ถาม : อยู่โรงพยาบาลค่ะ ?
ตอบ : อยู่โรงพยาบาลอย่าเปิดดังมาก เดี๋ยวห้องข้าง ๆ บ่น มีวิธีเดียวคือเปิดเสียงสวดมนต์ให้เขาฟัง บอกเขาว่า "เหนี่ยมเก็ง" ก็หมดเรื่อง อย่าห่วงคนอื่นมาก ห่วงตัวเองดีกว่า
ถาม : ไม่มีปัญญาจะไปวัด ?
ตอบ : มีใจระลึกถึงก็พอแล้ว สภาพร่างกายอย่างเราจะไปได้อย่างไรไหว
หลายปีที่สังเกตมา ช่วงปลายฝนต้นหนาว ปลายหนาวต้นร้อน ปลายร้อนต่อฝน คนแก่หรือคนป่วยมักจะรับไม่ไหว แล้วก็ตายกันไป แต่ปลายฝนต้นหนาวจะเยอะที่สุด เพราะอากาศเปลี่ยนแรง ร่างกายรับไม่ไหวแล้วไปกันเป็นแถวเลย แล้ววัดท่าขนุนก็รื้อเมรุ ไม่มีเมรุจะเผา วัดทองผาภูมิก็รื้อเมรุ ก็คือต่างคนต่างปรับปรุง บริเวณนั้นทั้งหมดเหลือวัดเขื่อนวชิราลงกรณอยู่วัดเดียว ตอนนี้มีกี่ศพ ๆ ก็เข้าวัดนั้นแหละ
วัดท่าขนุนตอนนี้ฐานเมรุเสร็จแล้ว เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเพิ่งถมดินเทคอนกรีต แล้วก็ยกเอาเจดีย์บรรจุอัฐิ ๒๐ กว่าหลังมาไว้ข้างบน ส่วนที่เหลือจะอยู่ในเขตถมดิน แล้วแต่ญาติของเขา ถ้าญาติให้ย้ายขึ้นมาก็ย้าย ไม่ย้ายก็ไว้ที่เดิม
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ป่วยว่า "สมองของเราพอถึงเวลาเสียหายแล้วจะคืนดียาก ยังดีที่สั่งงานได้แค่นี้ แต่ก็ยังดีว่าตัวสติสัมปชัญญะ กำลังใจในการปฏิบัติธรรม ไม่ได้สูญเสียไปด้วย
อย่าคิดมาก...พวกเราสร้างเวรสร้างกรรมมาไม่น้อยกว่ากันหรอก เผลอเมื่อไรก็โดน ฉะนั้น...ให้หมั่นทำบุญไว้ อย่าให้ขาดช่วง ไม่ได้หมายความว่าทำเยอะ ๆ แต่ทำเรื่อย ๆ วันนี้สวดมนต์ไหว้พระเจริญกรรมฐาน พรุ่งนี้ใส่บาตร มะรืนถวายสังฆทานก็ทำไปเถอะ ร่วมเป็นเจ้าภาพกับเขา วันต่อไปเจอเขาหล่อพระก็เอาด้วย ทำเล็กทำน้อยไปเรื่อย ทำให้ต่อเนื่องไว้
ที่ต้องชื่นชมเลยคือคุณยายภัทริณ ไปเนปาลด้วยกัน เดินขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว เขาปิดทางถ่ายสารคดี โดนไล่ลงมา เดินลงมาอ้อมเขาไปขึ้นอีกข้าง พวกเรายังหนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายคนยังบ่น ยายแกขึ้นได้ลงได้สบาย คนแก่สุขภาพดีแสดงว่าทำปาณาติบาตมาน้อย ในอดีตฆ่าคนฆ่าสัตว์ไว้น้อย หรืออาจจะไม่มีเลย อย่างลุงเชิญก็ ๙๐ กว่าปี ไปแบบไม้ใบหลุดจากขั้ว ก็คือหมดสภาพไปเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะตายไม่ถึงชั่วโมงยังคุยกับลูกชายอยู่ ลูกชายพาไปเที่ยวมา บอกว่า "พ่อสุขภาพขนาดนี้จะอยู่ได้นานสักเท่าไร ?" "น่าจะได้สัก ๑๐๐ กระมัง" ปรากฏว่าไปคืนนั้นเลย"
"เมื่อวานนี้ก็คุณโด่ง คุณโด่งเป็นเพื่อนกับคุณแดง เคยทำกิจการร่วมกันมา เลยพลอยรู้จักกับอาตมาไปด้วย คุณโด่งอายุก็ยังไม่มาก อาตมา ๕๗ ปี แกก็ ๕๘ ปีแต่ไปแล้ว เริ่มจากเบาหวานกินก่อน เพราะน้ำหนักตัวมาก หลังจากนั้นสารพัดโรคก็มะรุมมะตุ้ม ถ้าถามว่า ๕๗-๕๘ ปี มากไหม ? ถ้าเป็นสมัยโบราณก็มาก เพราะสมัยโบราณนี่ผู้ชายต้องรบราฆ่าฟัน ออกสงครามกันเป็นปกติ ตายก่อนอายุกันเยอะมาก ขณะเดียวกันการรักษาพยาบาลไม่ดีเหมือนสมัยนี้ หมอยาหายาก รักษาไม่ทันก็มักจะตาย
สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้หญิงคลอดตายทั้งกลม ตายทั้งกลมคือตายหมดทั้งแม่และลูก สมัยนี้เขาไม่เข้าใจเรียกตายท้องกลม เห็นลูกยังไม่คลอด ท้องป่องเลยเรียกท้องกลม
สมัยนั้นตายเยอะเพราะคลอดธรรมชาติ สมัยนี้ไม่มีโอกาสหรอก หมอจับผ่าหมด บางทีขนาดแม่ตายแล้วหมอผ่าลูกออกมา ลูกยังรอด สมัยก่อนเวลาเขาหาผู้หญิง หาคนสะโพกใหญ่ ๆ เพราะคนสะโพกเล็ก คลอดยาก เด็กมักจะตาย เลยหาผู้หญิงท้วม ๆ คือดูอ้วน เขาบอกว่าผู้หญิงท้วม ๆ ร่างกายมักแข็งแรงกว่า มีลูกได้หลายคน ถ้าประเภทผอมแห้งแรงน้อย มีคนเดียวก็ปางตายแล้ว ดังนั้น...ถ้าใครออกไปทางท้วมหรืออวบระยะสุดท้าย โปรดดีใจว่าเคยเป็นหุ่นที่ฮิตมาก่อน ในระยะประมาณ ๕๐ กว่าปี
ถ้าใครไปดูภาพวาดยุคเรอเนสซองส์ โดยเฉพาะภาพนู้ด ผู้หญิงกึ่งเปลือยหรือเปลือยเลย จะเห็นว่า ส่วนใหญ่คืออ้วน ๆ นั่นคือความงามในยุคนั้น บางคนพูดชัด ๆ ว่าต้องการแม่พันธุ์ที่ดี ฉะนั้น...พวกผอม ๆ นี่หมดสิทธิ์ กลายเป็นกาลกิณีไปเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาวนาพระคาถาเงินล้านเอาไว้ให้เป็นปกติทุกวัน จะช่วยความสะดวกคล่องตัวให้มากขึ้น อย่างวัดท่าขนุนปัจจุบันนี้มีพระ ๓๑ รูป บิณฑบาตยังคงพอฉันเป็นปกติ จนกระทั่งอย่าว่าแต่เด็กวัดเลย แม้กระทั่งหมายังเลือกกิน กับข้าวไม่อร่อยคลุกให้ หมาไม่กินหรอก อยากให้ไปเป็นหมาที่เนปาล อยู่ที่นั่นหุ่นสะโอดสะอง หากินยากเย็นเข็ญใจ
เรื่องของการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ต้องบอกว่าเป็นส่วนของมโนมยา สำเร็จด้วยใจ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราทรงตัว อานุภาพของพระคาถาก็จะบันดาลให้เกิดผลตามที่ต้องการ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือ กำลังสมาธิได้เท่าไร อย่างที่สองก็คือ ทานบารมีเก่ามีเท่าไร
ถ้าทานบารมีเก่ามีมาก กำลังของสมาธิสูง ก็ไหลมาเทมา จะโดนทับตายมากกว่า แต่ถึงแม้จะมีทานบารมีน้อย กำลังสมาธิน้อย แต่ถ้าทำเสมอโดยไม่ทอดทิ้ง ก็เหมือนน้ำทีละหยด รวมไปรวมมา เดี๋ยวก็ได้กระป๋องหนึ่ง เดี๋ยวก็ได้ตุ่มหนึ่ง เดี๋ยวก็ได้เป็นทะเลไปเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราระบบการจัดการผิดพลาด ไม่ให้ชาวบ้านทำนา เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีน้ำใช้ ถามหน่อยสิว่าคนกรุงเทพฯ จะกินอะไร ? ความจริงต้องให้คนกรุงเทพฯ อดน้ำ
รุ่นเรามีใครทันรุ่นอาตมาบ้าง ? ต้องรองน้ำตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตี ๒ ถึงได้น้ำพอใช้ อาตมาซาบซึ้งที่สุด ถึงเวลาก็นั่งสัปหงกรอไปเถอะ ฉะนั้น...ต้องให้คนกรุงเทพฯ ลำบากบ้าง แล้วปล่อยให้ชาวบ้านทำนา ถ้าชาวบ้านไม่มีรายได้แล้วจะไปกินอะไร เก็บน้ำไว้ให้คนกรุงเทพฯ ใช้ ชาวบ้านทำนาไม่ได้ ไม่มีข้าวขายจะเอาอะไรมากิน ไม่ต้องถึงขนาดช่วงนั้นหรอก เอาแค่ "มหา ๕ ขัน" ก็พอแล้ว
เวลาไปสอนหนังสือที่วัดใต้ เณรอาบน้ำได้ยินทีไร อาตมาด่าทุกที เณรสาดโครม ๆ ไป ๒๐-๓๐ ขัน แล้วถึงจะฟอกสบู่ ถ้าจะอาบขนาดนั้น หากะละมังมาสักใบ ตักลงไปแล้วแช่ไปเลย ให้หมดเรื่องหมดราว อยากเย็นนานขนาดนั้น คราวนี้เณรไม่ได้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ไปเรียนหนังสือเฉย ๆ ก็ถลุงกันแหลกลาญ ต้องหัดประหยัด ปิดน้ำปิดไฟทุกครั้ง ต้องใช้ทรัพยากรเหมือนอย่างกับมีแค่นี้ ไม่มีให้อีกแล้ว
บอกไปแล้วก็อาย อาตมาเองใช้น้ำอย่างเก่งก็ ๓-๔ ขัน แล้วมีคนก็ถามว่าอาบสะอาดหรือ ? ก็ใช้ได้อยู่นะ คนยังพอทนกลิ่นได้"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "มีลูกคนเดียวก็พอแล้วนะ คุณแม่ไม่แข็งแรงแบบนี้อย่ามีอีกเลย คนดูโหวงเฮ้งเป็น มองหน้าก็รู้ ไม่ต้องใช้ทิพจักขุญาณหรอก ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ทอง ถ้าอันไหนพร่องก็รู้ว่าจะเสียหายตรงไหน"
พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงตาวัชรชัยว่า "ไปเริ่มต้นพัฒนาวัดเขาวงกันครั้งแรก อาตมาขุดหลุมปลูกต้นไม้จนมือไม้แตกหมด บางคนอาจจะไม่รู้ว่าวัดเขาวงนั้นอาตมาไปอยู่ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย นอกจากกุฏไม้เรือนไทย กับศาลาที่จมฝุ่นปูนอยู่อีกหลังหนึ่ง ไปช่วยหลวงตา ตอนนั้นอาตมาเพิ่งจะออกจากวัดท่าซุงมาปีเดียว ออกมาปีเดียวแล้วสร้างวัดเสร็จ หลวงตาวัชรชัยก็เลยถามว่า "เสร็จแล้วจริงหรือ ?" "จริงครับ" ท่านเห็นว่า อาตมาทำได้ก็เลยออกมาบ้าง ปรากฏว่าออกมาได้ไม่นาน บ่นฉิบ...เลย "เล็กโว้ย..มึงทำได้อย่างไรวะ กูหัวหงอกหมดแล้ว" ก็เลยต้องไปช่วยท่าน
สวนไผ่อาตมาก็ปลูกมากับมือ ดินก็แข็งอย่าบอกใครเพราะมีฝุ่นปูนจับหน้า โรงงานปูนซีเมนต์ระเบิดหินทุกวัน ฝุ่นหินลงไปปีแล้วปีเล่า แข็งขนาดไหน ? ก็ขนาดเอาอีเตอร์สับยังไม่อยากจะเข้า วันหนึ่ง ๆ ขุดได้ไม่กี่หลุม ตอนนั้นมีศาลาอยู่หลังหนึ่งก็พังเพราะเขาระเบิดหิน หินตกใส่อยู่เรื่อย เข้าไปข้างใน ฝุ่นปูนหนาเกือบนิ้วได้ มีเรือนไทยอยู่หลังหนึ่ง ปัจจุบันคือหลังที่หลวงตาใช้รับแขก เรือนไทยหายไปแล้ว
ก่อนนี้หลวงตาท่านไปอยู่ท่าลานได้พักหนึ่ง แล้วไปขัดคอกัน เพราะว่าทางฆราวาสอยากจะดูแลเงิน แต่หลวงตาเห็นว่าเป็นของสงฆ์ ก็อยากจะบริหารเอง เลยขัดคอกัน ถึงขนาดมีการทะเลาะเบาะแว้ง อาตมาต้องไปจัดการให้ ไม่ได้ทะเลาะกับพระโดยตรงหรอก แต่เขาขึ้นป้ายด่าพระ อาตมาไปบอกพวกเขาว่า "ถ้าไม่ชอบขี้หน้าท่าน ก็อย่าทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้เท่ากับคุณเป็นฆราวาสรังแกพระ ใครไปใครมาเขาเห็นก็รู้ว่าใครทำใครก่อน แล้วคุณจะไปอ้างว่าพระไม่ดีไม่ได้ เพราะคนอื่นเห็นคุณเล่นงานพระอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าไม่อยากให้เหตุการณ์ลุกลามก็เอาป้ายลงเสีย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันหมด"
คนลืมตัวก็ขึ้นป้ายด่าพระ แต่หารู้ไม่ว่ากลายเป็นหลักฐานว่าตัวเองทำผิด ความจริงเรื่องอย่างนี้ถ้าจะไปช่วยแก้ไข เราต้องมองภาพรวมออก สามารถบอกเขาได้ว่าอะไรดีไม่ดี พอรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ดีกับเขา เขาก็เอาป้ายลงเอง เรื่องก็เงียบ แต่หลวงตาเห็นว่าด่ากันขนาดนี้ก็ไม่อยู่แล้ว ไปดีกว่า พอดีท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิ ตอนนั้นยังเป็นพระราชธรรมสาร ท่านก็เลยให้ไปอยู่ที่เขาวง บ้านเกิดท่าน อาตมาเองก็ต้องบอกว่าเป็นเหตุให้หลวงตาตามออกมาจากวัด เลยต้องไปช่วยท่านหน่อย ในยุคที่หลวงตาท่านยังไม่มีใครเลย"
:4672615:เก็บตกเดือนธันวาคม ปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ
เจอกันปีหน้า :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.