เข้าระบบ

View Full Version : อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๕


สุธรรม
10-12-2015, 02:58
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24025&stc=1&d=1449691096
บรรยากาศเมืองฟลอเรนซ์ตอนเช้ามืด


วันพุธที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


ตื่นขึ้นมาด้วยความปวดปัสสาวะอย่างแรง รู้สึกแสบตาเป็นอย่างมาก แสดงว่าตื่นผิดเวลาแน่นอน เสร็จแล้วฉันน้ำร้อนจากก๊อกไป ๒ แก้ว จากนั้นกลับมานอนภาวนา ส่งใจขึ้นไปกราบพระตามปกติ อากาศค่อนข้างเย็นมาก แต่ไม่รู้ว่าเขาปรับอากาศให้อย่างไร เพราะหาที่ปรับไม่เจอ สะโพกยังปวดตึง ๆ อยู่เหมือนเดิม กลับถึงเมืองไทยคงต้องเข้าโรงซ่อมใหญ่เสียที...

ตีสองครึ่งลุกไปเข้าห้องน้ำ พร้อมกับกรอกน้ำร้อนเข้าไปอีก ๓ แก้ว แล้วมาเปิดไฟเพื่อทำงาน จัดการเก็บแบตเตอรี่กล้องก่อน แล้วงมเสียบปลั๊กทั้งมืด ๆ จึงเสียบไม่เข้า ต้องเอานิ้วควานหารูปลั๊กแบบไม่กลัวตาย เสียบเข้าไปได้ก็มาเปิดโน้ตบุ๊กทำงาน...

หลวงพ่อพระครูเรืองไม่ยักกรน อ้อ..ที่แท้ท่านนอนตีโปงอยู่นั่นเอง พิมพ์บันทึกย่อไปจนครบวัน แล้วปิดเครื่องเก็บของลงกระเป๋า นอนส่งจิตไปกราบพระ ภาวนาจนครบชุดแล้วลุกขึ้นแต่งตัว หลวงพ่อพระครูเรืองถามว่าจะไปไหน ? บอกท่านว่าจะออกไปเดินดูบ้านเมืองของเขา ถ้ามีร้านเปิดจะแลกเงินเป็นสวิสฟรังก์เอาไว้ด้วย ชวนท่านไปเดินด้วยกัน ท่านบอกว่าไม่เอาดีกว่า...

เดินลงมาชั้นล่าง ผลักประตูแล้วเปิดไม่ได้ ดูจนทั่วเห็นมีกลอนตัวใหญ่ล็อกอยู่กับพื้น นี่เขายังไม่ให้ออกไปไหนหรืออย่างไร ? ลองผลักบานทางซ้าย อ้าว..เปิดได้นี่หว่า..เกือบเสียค่าโง่ไปแล้ว ถ่ายรูปบริเวณหน้าโรงแรมเอาไว้ด้วย เผื่อหลงจะได้ถามทางเขากลับมาถูก แล้วเดินออกไปถนนสายหลัก แหม..เงียบเป็นป่าช้าฝรั่งเลย รถเทศบาลกำลังฉีดน้ำ และพนักงานกวาดอยู่สองข้างถนน...

สุธรรม
10-12-2015, 15:53
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24029&stc=1&d=1449737553
ไม่มีใครมาเบียดเลย...ดีจริง ๆ

เลี้ยวซ้ายเดินไปทางด้านมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ ร้านค้าทั้งหมดยังไม่เปิด อย่าว่าแต่ร้านแลกเงินเลย แต่เขามีสินค้าแสดงไว้ตามหน้าต่างกระจกหน้าร้าน อาตมาจึงกลายเป็น Window Shopper ชมสินค้าไปก็ถ่ายรูปไปด้วย จนมาถึงหน้ามหาวิหาร ที่นี่ก็เงียบจนผีหลอกเหมือนกัน...

เลือกมุมถ่ายรูปเอาตามอัธยาศัย ซอกเล็กซอกน้อยมีเท่าไรก็ถ่ายจนหมด เจ้าหน้าที่เทศบาลที่กำลังฉีดน้ำล้างพื้น คงเห็นนักท่องเที่ยวแบบนี้มาจนชินแล้ว จึงทำหน้าที่ของตนเองไปแบบไม่สนใจ อาตมาเดินวนขวารอบมหาวิหาร ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ...

หนุ่มอิตาเลียนสามคนเดินผ่านมา พอเห็นอาตมาเข้า รายหนึ่งก็ตบหลังบอกเพื่อนทั้งสองให้ไปก่อน ตัวเองวิ่งเหยาะ ๆ มาหา บอกว่าจะช่วยถ่ายรูปอาตมากับมหาวิหารให้เอาไหม ? “กราเซีย (Grazie)” อาตมาบอกขอบใจในความเอื้อเฟื้อของเขา แล้วอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่า ชอบถ่ายรูปสถานที่อย่างเดียว เขาคงไม่เคยเจออะไรแบบนี้ จึงเดินจากไปแบบงง ๆ...

สุธรรม
11-12-2015, 04:43
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24032&stc=1&d=1449783693
เมื่อวานทำไมไม่เห็นวิหารหลังนี้ ?

มีนักท่องเที่ยวรายหนึ่ง แบกกล้องพร้อมขาตั้งมาถึงเพื่อถ่ายรูปเช่นกัน อาตมาวนไปถึงด้านหลังมหาวิหาร ด้านนี้ปิดซ่อมอยู่เป็นบางส่วน ถ่ายรูปเก็บรายละเอียดจนหลงทิศ เห็นหอระฆังสูงลิบลิ่วยังคิดว่าเขามีอีกหลังหนึ่ง ที่แท้ก็หอระฆังจิอ็อตโตหลังเดียวกับที่เห็นจากด้านหน้า...

ทางด้านหลังนี้มีรูปสลักจากหินอ่อนของบุคคลสำคัญ ๒ รูป ตั้งอยู่หน้าสถานที่ซึ่งเหมือนกับร้านค้า มีศิลปินนิรนามแสดงฝีมือวาดรูปไว้กับประตูยืดของซุ้มขายของที่ระลึก ฝีมือดีอวดได้ทีเดียว รู้สึกว่าคนเมืองฟลอเรนซ์จะมีศิลปะอยู่ในหัวใจของทุกคน...

อาตมาถ่ายรูปจนรอบมหาวิหารแล้ว จึงเดินตรงไปทางปราสาทของตระกูลเมดิซี ถ่ายรูปทุกอย่างที่น่าสนใจตามรายทาง แล้วก็เห็นว่า เมื่อวานที่มาตอนคนมาก ๆ นั้น ตนเองเดินผ่านวิหารไปหลังหนึ่ง ซึ่งเก่าแก่มากจนผนังสึกกร่อน แต่มีรูปแกะสลัก รูปหล่อโลหะ ประดับอยู่ตามซุ้มลวดลายปูนปั้นที่งามสุด ๆ จึงวนเวียนถ่ายรูปอยู่ตรงนี้เป็นนาน...

สุธรรม
11-12-2015, 18:13
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24036&stc=1&d=1449832347
แต่เดิมตรงนี้เป็นโรงม้าของตระกูลเมดิซี่ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

ดูนาฬิกาในกล้องเห็นว่าหกโมงยี่สิบห้านาทีแล้ว จึงรีบจ้ำไปจนถึงหน้าหอศิลป์อุฟฟิซี่ แหม..มีแค่เจ้าหน้าที่ รปภ. ๑ นาย กับพนักงานเทศบาล ๒ นายเท่านั้นเอง อาตมาจัดการถ่ายรูปแกะสลักหินอ่อนทุกรูป โดยหามุมใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำกับของเดิม บางรูปต้องตะกายขึ้นไปถ่ายบนขอบโรงแสดง แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ว่าสักคำ "ห้องแสดงรูปสลักที่ท่านกำลังตะกายอยู่นี้ เดิมเป็นโรงม้าของตระกูลเมดิซี่ขอรับ" "ท่านผู้นำ" บอกกล่าว อ้อ..มิน่าล่ะ..ถึงได้ว่าหน้าตาแปลก ๆ แบบนี้...

นักท่องเที่ยวพร้อมขาตั้งกล้องคนนั้นมาถึงแล้ว อาตมาถ่ายรูปสุดท้ายขณะที่เขาเพิ่งถ่ายรูปแรก พอเขายกกล้องขึ้นบรรจงถ่าย โดยมีขาตั้งกล้องพับวางพิงรั้วเหล็กเอาไว้ อาตมาที่ลองถ่ายรูปมุมเดียวกับเขาบ้าง ก็ถอยหลังชนขาตั้งกล้องของเขาล้มฟาดพื้นดังโครมใหญ่..!

อาตมารีบเอ่ยปากขอโทษ แต่พ่อเจ้าประคุณกำลังถ่ายรูปจนไม่สนใจอะไรเลย เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาอีก ๑๘ นาทีจะได้เวลาอาหาร อาตมาก็รีบจ้ำกลับมายังโรงแรม เดินเร็ว ๆ นี่ร้อนเอาเรื่องเหมือนกัน รีบเผ่นเข้าห้องพัก ถอดอังสะกันหนาวออกพับใส่กระเป๋า เข้าห้องน้ำแล้วออกมายังห้องอาหาร พรรคพวกนั่งเต็มไปสองโต๊ะใหญ่แล้ว ทั้งที่ยังเหลือเวลาอีกตั้งสามนาที...

สุธรรม
12-12-2015, 04:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24045&stc=1&d=1449869560
ถ้าทุกโรงแรมมีผลไม้ให้แบบนี้คงรักตายเลย..!

พอเห็นสัปปะรด ส้ม และแอปเปิลที่โต๊ะอาหาร อาตมาก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะฉันให้เต็มที่ จึงหยิบครัวซองก์ ๑ ชิ้น ขนมปัง ๑ คู่ แยมสับปะรด ๒ ชิ้น หมูแฮม ๓ ชิ้น พร้อมกับไข่คน ๑ ทัพพี แล้วลงไปนั่งเปิดโต๊ะใหม่กับใบฎีกาวรัญญู กวาดทุกอย่างลงท้องภายใน ๕ นาที..!

เสร็จแล้วลุกไปหยิบแอปเปิล ๑ ลูก ส้ม ๒ ลูก กลับมาถึงบริกรเก็บจานช้อนไปแล้ว..?! จึงฉันแอปเปิลจนหมด ตามด้วยแกะเปลือกส้มฝากใส่จานของใบฎีกาวรัญญู ท่านถามว่าชอบส้มมากหรือ ? ตอบไปว่าฉันของเปรี้ยวตามประสาคนเลือดกรุ๊ปโอ เสร็จแล้วขอตัวกลับเข้าห้องแบบมีความสุขมาก ถ้าทุกโรงแรมมีผลไม้ให้แบบนี้คงรักตายเลย...

ห่มผ้าใหม่ให้รัดกุม เก็บโน้ตบุ๊กลงกระเป๋า แล้วสะพายลงมาข้างล่าง เพิ่งถึงล็อบบี้คุณโอเล่ก็บอกให้ทุกรูปเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ถนนหน้าปากซอย อาตมามองหารถไม่เจอ เกือบจะเดินไปทางสถานี บขส.เมืองฟลอเรนซ์อยู่แล้ว พระครูปรีชาดึงแขนเอาไว้ก่อน "รถของเราจอดอยู่โน่นครับ...พระอาจารย์ " นายสันโดษแกดันเอารถไปจอดอยู่คนละฝั่งเสียนี่...

สุธรรม
12-12-2015, 17:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24053&stc=1&d=1449916691
เวนิส..อัญมณีแห่งทะเลเอเดรียติก (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

พลขับของเราหายหัวไป จึงต้องรอกันอยู่พักใหญ่ แล้วก็เห็นพาพนักงานโรงแรมเข็นกระเป๋ามาขึ้นรถ จัดการเปิดประตูรถให้พวกเราก่อน จากนั้นลงไปดูแลเรื่องกระเป๋า นายสันโดษแกทำงานรอบคอบทีเดียว เพราะนับกระเป๋าทีละใบเลย พอปิดประตูห้องเก็บของใต้ท้องรถแล้ว ก็มาเปิดเครื่องปรับอากาศให้กับพวกเรา คุณโอ๋ที่ "เคลียร์" กุญแจห้องและสารพัดเรื่องกับทางโรงแรมเสร็จ ขึ้นมาถึงก็นับว่าพวกเรามากันกี่คน พอเห็นว่าครบแล้วก็สั่งให้ออกรถได้...

"คุณโอ๋..ที่นี่เขาคิดค่าห้องคืนละเท่าไร ?" อาตมาถามขึ้น เพราะว่าอยู่ติดแหล่งเที่ยวสำคัญแบบนี้ต้องแพงหูตูบอยู่แล้ว "๗๐๐ ยูโร (๒๘,๐๐๐ บาท) ครับพระอาจารย์ ห้องเดี่ยวหรือห้องคู่ก็ราคาเท่ากัน คณะของเราได้ราคาบริษัททัวร์ครับ เขาคิดห้องละ ๕๘๐ ยูโร (๒๓,๒๐๐ บาท)" มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกแบบไม่ปิดบัง ขนาดนั้นอาตมาก็ยังว่า "แพงโคตร" อยู่ดี..!

"วันนี้พวกเราจะเดินทางไปยังริมทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) ครับ เพื่อไปเยี่ยมชมเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงก้องโลกอีกแห่งหนึ่งของอิตาลี คือเมืองเวเนเซีย (Venezia) หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าเมืองเวนิส (Venice) พระอาจารย์ทุกท่านยังจำเรื่อง เวนิสวาณิช (The Merchant of Venice) พระราชนิพนธ์แปลของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งเคยเรียนสมัยมัธยมได้ไหมครับ ? สถานที่ซึ่งกล่าวถึงในเรื่องนั้น ก็คือที่ซึ่งเราจะไปกันในวันนี้เอง...

สุธรรม
13-12-2015, 03:41
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24057&stc=1&d=1449952789
จากฟลอเรนซ์ไปเวนิสต้องวิ่งผ่านโบโลญญาก่อน

เมืองเวนิสเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต (Veneto) อยู่ในภาคเหนือของอิตาลี เกิดจากการสร้างสะพานเชื่อมเกาะจำนวนมากเข้าด้วยกัน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจนได้ฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (City of Light) กรุงเทพฯ ของเราเคยได้ฉายาว่า เวนิสตะวันออก เพราะมีคลองมากคล้ายกับเมืองเวนิสของอิตาลี"

บรรยากาศเช้านี้ดูอึมครึมครึ้มฟ้าครึ้มฝนชอบกล นายสันโดษนำรถวิ่งไปตามถนนสาย A1 มีป้ายบอกว่าไป Bologna (โบโลญญา) ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐที่อาตมาแอบรู้มาว่าเมื่อคืนหลบไป "กรึ่ม" เบียร์อิตาลีแกล้มพิซซ่ามากับท่านอาจารย์ ดร.วันชัย ขอให้พวกเราทำวัตรเช้าตามระเบียบ โดยที่ท่านเองก็พนมมือสวดมนต์ "ล้างบาป" ไปด้วย พออุทิศส่วนกุศลซึ่งมีผู้โมทนามากมาย "ท่านผู้นำ" ก็ย้ำว่า "แบบนี้ผมไม่ต้องมาด้วยก็ได้" วะ..ทำเป็นแผ่นเสียงตกร่องไปได้ ถ้ายังอยู่ใน "ตำแหน่งเดิม" พ่อจะแจ้งให้ท้าวมหาราชเตะลงจากบัลลังก์ในฐานขี้เกียจซะเลย..!

"ตั้งแต่โอ๋ทำทัวร์มา คิดว่าลูกทัวร์แบบไหนดูแลยากที่สุด ?" พระครูกล้าถามขึ้น แทนที่มัคคุเทศก์รูปหล่อจะบอกว่า "ลูกทัวร์แบบพระอาจารย์นั่นแหละครับ" ซึ่งคงจะหายหล่อไปเลย กลับรักษาความหล่อเอาไว้โดยเตะลูกออกนอกสนามว่า "เอาที่เคยพบมานะครับ ลูกทัวร์ญี่ปุ่นมีระเบียบ ดูแลง่ายที่สุด ลูกทัวร์จีนเอะอะเสียงดัง ชอบถ่มน้ำลายไม่เป็นที่เป็นทาง ลูกทัวร์เกาหลีชอบแต่งตัวสีตัดกันชนิดแสบไส้ ส่วนลูกทัวร์ไทยถ้าไม่ได้อยู่ในรถแบบนี้ ไม่มีใครฟังผมหรอกครับ ต่างคนต่างเดินไปคนละทิศคนละทาง" เหมือนกับสามวันที่ผ่านมาเลย ฮ่า..ฮ่า..!

สุธรรม
13-12-2015, 20:14
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24062&stc=1&d=1450042026
กำแพงกันดินถล่มที่แข็งแรงสุด ๆ

นายสันโดษนำรถวิ่งผ่านสนามบิน จากมุมที่พวกเรามองเห็น มีแต่รถยนต์จอดอยู่เต็มลาน แต่ไม่เห็น "ทางวิ่ง" ของเครื่องบินว่าอยู่ด้านไหน สังเกตจากแสงแดดที่เข้ามาทางขวามือ แสดงว่าเรากำลังวิ่งขึ้นเหนือไปเรื่อย อาตมาขอแลกที่นั่งกับมัคคุเทศก์ เพื่อถ่ายรูปผ่านหน้ากระจกรถได้ถนัดหน่อย แต่กระจกรถช่วงบนก็ลายพร้อยไปด้วยแมลง ต้องหามุมที่ลายน้อยที่สุดเพื่อถ่ายรูป สองข้างทางช่วงที่เป็นตัวเมือง จะมีกำแพงกันเสียงติดตั้งเป็นแนวยาวเหยียด...

ช่วงไหนผ่านภูเขาก็เจาะเป็นอุโมงค์โดยตลอด คุณโอ๋บรรยายว่า "อธิบดีกรมทางหลวงบ้านเราท่านหนึ่ง อยากจะทำอุโมงค์แบบนี้บ้าง อุตส่าห์บินมาดูงานถึงยุโรป แต่พอไปสำรวจพื้นที่ในบ้านเรา ปรากฏว่าภูเขาส่วนใหญ่เป็นดิน จึงไม่สามารถที่จะสร้างอุโมงค์ได้" อาตมาคิดว่าเป็นข้อแก้ตัวมากกว่า เพราะว่าเขาแค่อาศัยเจาะผ่านภูเขาไปเท่านั้น ตัวอุโมงค์ก็ทำด้วยคอนกรีต ถ้าเป็น "เขาดิน" ก็ยิ่งทำให้เจาะง่ายเข้าไปใหญ่...

ช่วงที่เป็นแนวถนนผ่านเชิงเขา จะมีกำแพงกันดินถล่มที่สร้างได้แข็งแรงมาก อาตมาเห็นแถวสังขละบุรีใช้แค่ลวดตาข่ายคลุมดิน แล้วเอาปูนโปะข้างบน พอดินอมน้ำมาก ๆ ก็พาแผ่นปูนเลื่อนไหลถล่มลงมาทั้งแถบ ต้องทำกันใหม่ทุกปี ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำแบบยุโรปแล้วจะแข็งแรง อยู่ไปได้ชั่วลูกชั่วหลาน แต่ทำแบบนั้นแล้วไม่สามารถที่จะเบิกงบได้บ่อย ๆ แล้วจะ "กิน" อะไรกัน ?!?

สุธรรม
14-12-2015, 04:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24063&stc=1&d=1450042347
สะพานแขวนกับป้ายบอกทาง

มานั่งอยู่ด้านหลังพลขับแบบนี้ จึงได้เห็นว่านายสันโดษนำรถไปด้วยความเร็ว ๖๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างสม่ำเสมอ มัคคุเทศก์รูปหล่อคงเคยแต่บรรยายจนลิงหลับ แต่นี่บรรยายจนพระหลับกันเป็นแถว ประกอบกับบรรยากาศที่นอกจากท้องนาป่าเขาแล้ว ก็มีแต่อุโมงค์สั้น ๆ ที่ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลย นอกจากอาตมาที่เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่งหามุมกระจกที่มีแมลงน้อยที่สุดเพื่อถ่ายรูป เมื่อไม่มีใครฟังในที่สุดมัคคุเทศก์ของเราก็เลยหลับแข่งกับคุณโอเล่บ้าง...

ถนนบางช่วงมี "สะพานแขวน" ข้ามหัวไป โดยโครงสร้างมาจากสี่มุมข้างถนน วิ่งไปชนกันเป็นหลังคา แล้วมีลวดสลิงใหญ่โยงลงมารับน้ำหนัก ทำให้ดูเหมือนโครงเต็นท์ขนาดใหญ่ที่กางครอบถนนไว้ ให้รถของเราลอดผ่านไปข้างล่าง พวกเรายังคงวิ่งอยู่บนถนนสาย A1 มีป้ายบอกทางว่า Padova Bologna Interporto แสดงว่าต้องเป็นชุมทางนานาชาติ ที่ออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วสหภาพยุโรป (European Union: EU) ซึ่งมีถึง ๒๘ ประเทศที่รวมตัวเป็น "อีหรอบเดียวกัน"...

"อีหรอบเป็นภาษาเรียกทวีปยุโรป (Europe) ตามเสียงอ่านของคนไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านไม่กลัวว่าเด็กรุ่นใหม่จะไม่เข้าใจหรือขอรับ ?" ไม่เข้าใจก็ปล่อยให้เขาค้นคว้าเอา ถ้าใครไม่ค้นคว้าทั้งที่ข้อมูลสมัยนี้หาง่ายกว่าแมลงวันหน้าร้อน ก็ปล่อยให้โง่ต่อไป เจอแนวคิดเผด็จการแบบนี้ แทนที่ "ท่านผู้นำ" จะเคยชินและสนับสนุน กลับเงียบเหมือนกำลังคิดอะไรไปเสียนี่...

สุธรรม
17-11-2016, 15:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25631&stc=1&d=1479371541
"Auto Grill สรณํ คจฺฉามิ"

อาตมารู้สึกปวดปัสสาวะตามประสาคนฉันน้ำมาก เห็นคุณโอ๋หลับคร่อกอยู่จึงไม่อยากปลุก บอกกับนายสันโดษว่า "Auto Grill, please." พลขับปากหนักหลุดคำพูดออกมาว่า "Wait a minute, about 1.5 kilometers." เสียดายที่อาตมาไม่เล่นหวย ไม่อย่างนั้นวันนี้คงถูกรางวัลใหญ่เป็นแน่ เพราะนาน ๆ ทีนายสันโดษแกจะยอม "ดอกพิกุลร่วง" แบบนี้ แกพารถออกซ้ายไปแย่งทางรถที่วิ่งสวนมา เนื่องจากถนนที่เราวิ่งไปโดนปิดซ่อม เขาเปิดให้วิ่งย้อนศรได้ ๑ ช่องทาง ส่วนเจ้าของพื้นที่เอาไป ๒ ช่องทาง รถราเริ่มติดจนต้องวิ่งช้าลง นี่ตูจะได้เข้าห้องน้ำก่อนฉี่ราดไหมนะ ?

ย้อนกลับมาเข้าช่องเดิมได้หน่อยหนึ่ง ก็เห็นร้าน Auto Grill อยู่ไม่ไกล นายสันโดษนำรถเข้าไปยังลานจอดรถที่มีรถราจอดกันแน่นไปหมด แต่ช่องจอดรถบัสยังมีว่างอยู่หลายช่อง อาตมาลงจากรถแบบลืมเจ็บสะโพกชั่วคราว ตรงดิ่งไปเข้าร้านสะดวกซื้อ มองหาป้าย W.C. แล้วจ้ำอ้าวตรงไปแบบไม่รอใครแล้ว กว่าเพื่อน ๆ จะตื่นกันขึ้นมาและลงจากรถครบคน อาตมาก็เดินออกจากห้องน้ำแบบสบายใจเฉิบ ปล่อยให้ท่านไปแย่งห้องน้ำกันเอง...

เดินดูข้าวของและหลบบรรดาแหม่มไปด้วย ดันหลงเข้าไปด้านในที่เป็นประตูกระจกอีกด้านหนึ่ง "น้องแหม่ม" ที่กำลังจัดสินค้าขึ้นชั้นวางชี้ทางออกให้ อาตมาขอบใจแล้วเดินออกมานอกร้าน จัดการถ่ายรูปนาข้าวบาร์เลย์ ดอกผักบุ้งฝรั่ง (Morning Glory) และ ดอกบัวตองฝรั่ง (Butter Cup) ไปด้วย แล้วกลับขึ้นรถไปบันทึกข้อมูลลงสมุดบันทึก พระครูกล้าที่ตามขึ้นมาเห็นเข้าก็บอกว่า "เตรียมเขียนหนังสืออีกแล้วใช่ไหม ? ของผมให้ลงแต่ที่ดี ๆ นะ" เออ..ผมจะลงตามที่เป็นจริงอย่างดี ๆ เลยแหละ..!

สุธรรม
18-11-2016, 03:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25632&stc=1&d=1479413792
อาคารตรวจสอบจำนวนนักท่องเที่ยว แข็งแรงประมาณว่ากันระเบิดได้..!

กว่าเพื่อน ๆ จะตามขึ้นมาครบก็ตกครึ่งชั่วโมงกว่า บางท่านถือถ้วยกาแฟติดมือขึ้นมาด้วย พลขับผู้เงียบขรึมนำรถออกตอน ๑๐.๔๑ น. มัคคุเทศก์รูปหล่อจับไมโครโฟนบรรยายตามหน้าที่ ได้ยินประมาณว่าเรากำลังเดินทางตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าหลวง ร.๕ อยู่ แล้วอาตมาที่ตื่นตอนคนอื่นหลับ และดันมาหลับตอนที่คนอื่นตื่น ก็วูบไปตามระเบียบ...

มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงมัคคุเทศก์รูปหล่อประกาศว่า “จวนถึงที่ตรวจสอบจำนวนนักท่องเที่ยวแล้วครับ” นายสันโดษพารถเลี้ยวออกจากถนนใหญ่ เข้าไปในถนนที่ใหญ่พอกัน แต่ต้อง “เข้าซอย” ไปหน่อยหนึ่ง แล้วเป็นรั้วตาข่ายเหล็กล้อมลานกว้างใหญ่โตมโหฬาร มีป้ายเขียนว่า CHECK – IN 4. Petorli นายสันโดษนำรถเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดที่ลานด้านใน คุณโอ๋บอกให้พวกเรารออยู่บนรถ ตนเองจะลงไปแจ้งจำนวนคนและจ่ายค่าธรรมเนียมเอง...

สถานที่แจ้งจำนวนนักท่องเที่ยวและจ่ายค่าธรรมเนียม เป็นตัวอาคารปิดทึบคล้ายตู้คอนเทนเนอร์ มีประตูเข้าที่ดูแข็งแรงมากปิดสนิทอยู่ทางซ้ายและขวาอย่างละบาน ตรงกลางมีช่องสำหรับติดต่อประเภทรูนกพิราบ (Pigeonhole) อยู่สามช่อง ด้านบนของช่องเขียนว่า CASSA 1 CASSA 2 และ CASSA 3 ซึ่งตอนนี้เปิดอยู่แค่ CASSA 1 มีผู้กำลังเข้าแถวอยู่หลายคน มัคคุเทศก์รูปหล่อของเราตรงเข้าไปต่อแถวด้วย อาตมาเข้าใจว่าที่เขาสร้างอาคารแน่นหนาขนาดนี้ คงจะเป็นเพราะว่ามีนักท่องเที่ยวมาจ่ายค่าธรรมเนียมจำนวนมหาศาล จึงต้องป้องกันการปล้นเอาไว้ก่อน...

สุธรรม
18-11-2016, 13:28
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25645&stc=1&d=1479450464
"เหม็นจริง ๆ เลย แกลองดมดูสิ..!"

ตรงหน้ารถของเราเป็นรั้วล้อมห้องน้ำสาธารณะเอาไว้ มีช่องทางเข้าที่เป็นเครื่องกั้น ต้องหยอดเหรียญ ๕๐ เซ็นต์ (ครึ่งยูโร) จึงจะหมุนเปิดให้ มีอีหนูฝรั่งวัยรุ่นสะพายเป้สองคน ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่หน้าเครื่อง สงสัยว่าจะปวดหนักหรือเบาเต็มที่ แต่คงไม่มีเหรียญจะหยอด ท้ายสุดอีหนูในชุดเสื้อยืดสีส้ม กางเกงยืดสีดำขาสี่ส่วน ก็ส่งเป้ของตัวเองให้เพื่อนในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้นสีดำที่อวบกว่าเกือบเท่าตัว แล้วปีนรั้วเข้าไปแบบหน้าตาเฉย เฮ้ย..ถ้าจะทำแบบนั้นก็ปีนข้ามเครื่องกั้นไปเลยดีกว่ามั้ง ? เตี้ยกว่ารั้วตั้งเยอะ..!

ยายหนูหายมุดเข้าไปในห้องน้ำผู้หญิงที่มีคำว่า DONNE ซึ่งอุตส่าห์มีภาษาอังกฤษกำกับว่า WOMEN หายเงียบไปเกือบสิบนาที แล้วจึงปีนรั้วกลับออกมาแต่ดันทำแว่นกันแดดหล่น ต้องโก้งโค้งล้วงผ่านรั้วไปเอาคืน โดยไม่รู้ตัวว่าโดนอาตมาถ่ายทำพฤติการณ์ต่าง ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ยังมีแก่ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยการยื่นมือไปที่จมูกเพื่อน ให้ลองดมดูว่าที่ตัวเองถ่ายออกมานั้นเหม็นได้ที่ขนาดไหน เลยโดนเพื่อนฟาดด้วยกระเป๋าเป้ไปหนึ่งที ก่อนที่จะวิ่งไล่ตีกันลับสายตาไป...

พวกเราหลายคนลงจากรถไปยืดเส้นยืดสาย ส่วนมากไปยืนอออยู่ที่หน้าตู้ขายอาหารขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม ที่มีป้าย Snack & Drink อยู่ ๓ ตู้ และ Coffee อีก ๑ ตู้ พระครูชินฯ ไปยืนปลงอนิจจังอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ท่าทางจะไม่มีเหรียญหยอดเช่นกัน พระครูโจเลยควักกระเป๋าส่งให้ อีกฝ่ายหยอดแล้วเดินผ่านเหล็กหมุนเข้าไป ยังดีที่เห็นอีหนูฝรั่งไปเข้าห้องน้ำผู้หญิง ท่านจึงเลี้ยวไปทางขวามือที่มีคำว่า UOMINI กำกับด้วยภาษาอังกฤษว่า MEN ได้ถูก แต่ตอนกลับออกมาดันหลงทาง เดินผ่านห้องน้ำผู้หญิงไปติดแหง็กอยู่ที่รั้ว ความจริงแค่เลี้ยวซ้ายก็ออกมาได้แล้ว ต้องให้พรรคพวกตะโกนเรียกถึงค่อยหายงง เดินกลับออกมาได้ถูกทาง...

สุธรรม
19-11-2016, 02:44
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25646&stc=1&d=1479498256
มื้อเที่ยงมาฝากท้องไว้ที่นี่

“นิมนต์ขึ้นรถค่ะ” คุณโอเล่ตะโกนบอกเมื่อเห็นคุณโอ๋กลับมาขึ้นรถ พอพวกเรากลับขึ้นมาครบแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็แจ้งว่า ต้องเก็บค่าเรือไปยังเกาะเวนิสคนละ ๒๕ ยูโร ซึ่งเป็นรายจ่ายที่นอกเหนือการรับผิดชอบของบริษัท พวกเราควักจ่ายให้แต่โดยดี โดยเฉพาะอาตมาจ่ายทีเดียว ๕๐ ยูโร เผื่อพระครูปรีชาด้วย คุณโอ๋เดินเก็บจากทางด้านหน้า คุณโอเล่เดินเก็บจากทางด้านหลัง จนมาชนกันตรงกลางรถ พระครูกล้าดึงแขนมัคคุเทศก์รูปหล่อไว้ แล้วถามว่า...

“คุณโอ๋...มาถึงอิตาลีทั้งที ขอฉันพิซซ่าของแท้หน่อยจะได้ไหม ?” อีกฝ่ายยิ้มกว้างขวางพลางตอบว่า “ได้เลยครับพระอาจารย์ อีกสักครู่โอ๋จะจัดให้นะครับ” ทำไมน่ารักอย่างนี้วะ ? ถ้าไม่กลัวคนเข้าใจผิด คงมีพระโดดกอดมัคคุเทศก์รูปหล่อของเราบ้างเป็นแน่ นายสันโดษนำรถออกจากลานจอด ขณะที่คุณโอ๋บรรยายว่า การเข้าไปในแหล่งท่องเที่ยวของยุโรป ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแบบนี้ทุกเมือง นอกจากได้เงินไปปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการตรวจสอบได้ด้วยว่า ในแต่ละปีสถานที่แห่งนั้นมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนเท่าไร ถ้ามากจนเป็นเหตุให้เกิดความทรุดโทรม ก็จะมีการประกาศจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวทันที...

มัวแต่ฟังมัคคุเทศก์รูปหล่อเพลิน ลืมดูทางว่านายสันโดษพาวิ่งไปทางไหน เห็นแค่ว่าวิ่งไปยังเส้นทางข้ามน้ำที่น่าจะเป็นทะเล มีถนนอยู่สองฟากข้างตรงกลางเป็นทางรถไฟ แต่มองอะไรไม่ถนัดเพราะเขาติดแผ่นกันเสียงสูงท่วมหัว ผ่านวงเวียนที่มีปฏิมากรรมเหล็กคล้ายตัว V แอ่น ซึ่งใช้เป็นที่แขวนโคมไฟ มาจอดอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของอาคารสองชั้นทาสีกุหลาบแห้ง กว้างประมาณ ๓ คูหา เป็นภัตตาคารจีนชื่อ Ristorante Cinese La Pagoda แต่ป้ายเขียนคำว่า Chinese เป็น Cinese ภาษาอิตาเลียนเขาเขียนกันอย่างนี้ หรือว่าเขียนผิดจริง ๆ ก็ไม่รู้ ? หน้าร้านเป็นโครงเหล็กคลุมผ้าใบสูงเท่าอาคารชั้นที่หนึ่ง มีต้นไม้ประเภทชาทองและข่อยปลูกเอาไว้ตลอดแนว เท่ากับเป็นรั้วไปในตัว เว้นตรงกลางประมาณ ๓ เมตรให้เป็นช่องทางเข้าออกของลูกค้า...

สุธรรม
19-11-2016, 17:09
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25647&stc=1&d=1479550111
"หนีห่าว" แปลว่าอะไรให้ไปถามพระครูวิลาศฯ..!

ไม่ต้องรอให้คุณโอ๋กับคุณโอเล่บอก พวกเราก็ลงจากรถ ข้ามถนนแล้วไหลเข้าไปในภัตตาคารทันที เพราะตอนนี้เป็นเวลา ๑๒.๑๘ นาทีแล้ว ทุกคนหิวจนไส้แขวนขึ้นมาอยู่ที่คอหอย ทั้งที่ข้างนอกดูไม่น่าจะใหญ่โต แต่ภายในกว้างขวางทีเดียว มีโต๊ะอาหารจัดไว้โต๊ะละ ๑๐ ที่นั่ง ๗ – ๘ โต๊ะ อาเจ๊ที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านในชุดเสื้อเชิร์ตสีขาวพับแขน สวมกางเกงยีนส์ทะมัดทะแมง ยืนต้อนรับคณะของเราที่ข้างเคาน์เตอร์เก็บเงิน “หนีห่าว” มัคคุเทศก์รูปหล่อส่งเสียงทักทายนำไปก่อน อาเจ๊ค้อมตัวคล้าย ๆ การโค้งของญี่ปุ่น แล้ว “หนีห่าว” ตอบมาด้วยมารยาทอันดี...

“พระครูวิลาศฯ “หนีห่าว” แปลว่าอะไรวะ ?” องปลัดแกล้งโง่ได้เหมือนมาก “อ๋อ..เป็นการแสดงออกซึ่งสันติภาพคล้าย ๆ กับสวัสดีนั่นแหละครับ เพราะถ้าหนีก็แค่เห่าเท่านั้นแล้วจบกัน ถ้าสู้ก็โดดกัดเลย..!” อีกฝ่ายทุบพลั่กเข้าเต็มหลังของอาตมา “อีกแล้ว..ชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อย” ก็ดันแกล้งถามแบบโง่ ๆ เองนี่หว่า...อาตมาฉวยโอกาสอาศัยแรงทุบ ส่งตัวเองเลยไปหลังร้าน มุดเข้าห้องน้ำที่มีแค่ ๒ ห้องอย่างฉับไว กว่าพรรคพวกจะรู้ตัวก็ต้องมายืนรอคิวนินทากันอยู่หน้าห้องน้ำ “ผมว่าพระครูวิลาศฯ แกต้องจมูกดีมากเลยนะ ไปไหนก็ตามกลิ่นห้องน้ำเจอก่อนใครทุกที” เฮ้ย..ใครพูดตูจำเสียงได้นะโว้ย..!

เบียดกลับออกจากห้องน้ำมาได้ จึงเห็นว่าร้านของเขาค่อนข้างกว้างขวางและจัดร้านได้น่าดูทีเดียว นอกจาก “โต๊ะจีน” ที่เตรียมถ้วยโถโอชามเป็นชุดไว้เรียบร้อยแล้ว ยังมีภาพเขียนพู่กันจีนจำพวกทิวทัศน์ ต้นไผ่ ดอกเหมย น้ำตก ปลาทอง และหญิงสาว ประดับอยู่ตามผนัง ด้านบนของเคาน์เตอร์เป็นชั้นวางบรรดาวิสกี้และบรั่นดียี่ห้อต่าง ๆ ในตู้กระจกมีสามเซียน ฮก ลก ซิ่ว ตั้งบูชาอยู่ เหนือเครื่องคิดเงินอัตโนมัติเป็นสิงโตหินแกะสลักหน้าตาเอาเรื่อง รอ “งาบ” เงินจากกระเป๋าลูกค้า พวกเราจองเอาไว้แค่ ๓ โต๊ะ เขาจึงต้องเสริมเก้าอี้ให้โต๊ะพระ เป็นโต๊ะละ ๑๑ รูป เกือบจะต้องขี่คอกันแล้ว..!

สุธรรม
20-11-2016, 03:42
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25648&stc=1&d=1479588070
เจอไปโต๊ะละ ๑๑ รูป (รูปที่ ๑๑ เป็นคนถ่ายรูปนี้)

แต่มื้อนี้ดูหรูมากนะนี่ เพราะที่คุณโอเล่กับ “หญิงใหญ่” ลำเลียงมาประเคนให้นั้น มีทั้งน้ำพริกกะปิ (กลิ่นจะไปกวนคนอื่นเขาหรือเปล่าหว่า ?) แตงกวาฝาน มะเขือเปราะ น่าจะฝากชีวิตไว้กับทัวร์คณะนี้ได้แน่ ๆ เพราะอะไรที่คนไทยชอบ มัคคุเทศก์รูปหล่อของเรามีให้ทั้งนั้น อีกจานหนึ่งเป็นหอยหลอดทอดน้ำตาล ที่หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ขนเอามาเผื่อทุกคนในคณะด้วย...

ทั้งที่เขามีช้อน มีส้อม มีตะเกียบให้ แต่พวกเราเล่น “มังกรห้าเล็บ” เป็นหลัก เอื้อมมือคว้าหอยหลอดส่งเข้าปากกันคนละหมุบคนละหมับ บริกรชายยกเอา “น้ำมันพริก” มาวางให้ ถ้าเป็นน้ำมันพริกแบบเสฉวนแท้ ต้องใส่ “หมาล่า” ลงไปด้วย กินเข้าไปแต่ละทีลิ้นชาไปหมด พวกเราที่สนใจแต่หอยหลอด จึงยังไม่มีใครลองชิมเพื่อทดสอบผล อาตมาเองก็ไม่คิดที่จะชิมอยู่แล้ว...

“ตู๋...ยังมีหอยใหญ่กว่านี้ เอ๊ย...มากกว่านี้อีกไหม ?” องปลัดที่ฟันหน้าหลอ ฉันไม่ค่อยจะทันใคร ควานไปเจอจานเปล่าเข้าเลยร้องถามขึ้นมา “หนูโง่ค่ะ...ถามแบบนี้ตอบไม่ถูกเลยค่ะ..!” รถเข็นประจำคณะปล่อยหมัดสวนกลับมาทันควัน ตอบแบบนี้แหละที่ฉลาดแล้ว ขืนตอบถูกมีหวังพวกลามเป็นขี้กลาก ยังดีที่รู้ใจกันแล้ว ถ้าไปถามคนอื่นฟันหน้าที่หลออยู่อาจจะร่วงเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้..!

สุธรรม
20-11-2016, 14:15
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25649&stc=1&d=1479626070
กินพิซซ่าแท้ที่อิตาลี

ข้าวสวยในกาละมังสเตนเลสลอยมาพร้อมกับปูนิ่มทอดกรอบ เพื่อนยังไม่ทันจะตักข้าวส่งไปให้ พระครูญาณฯ ก็ฟาดปูนิ่มไปแล้ว ๒ ชิ้น ปลาจีนน้ำแดงกับต้มจืดทะเลตามมาติด ๆ อย่างหลังนี่ถ้าไม่ใช่คนทำเป็นยอดฝีมือ ก็คงจะกล้าเพราะกินยาผิด อาหารทะเลเอามาทำต้มจืด ถ้าฝีมือไม่ดีจะคาวจนกินไม่ได้ อาตมาลองชิมไปคำหนึ่ง เฮ้ย..ยอดฝีมือเว้ย..! โดยเฉพาะเอาปลาหมึกแห้งมาปิ้ง แล้วหั่นฝอยใส่ลงไปด้วย กลิ่นหอมติดปากติดคอไปนานเลยทีเดียว...

กุ้งอบเนยมากับผัดหน่อไม้ใส่ปลาหมึก ร้านนี้ออกอาหารได้เร็วมาก แต่พลังในการทำลายล้างของพวกเราเด็ดขาดกว่าหลายเท่า ของใหม่ยังไม่ทันจะมา ของเก่าก็เกลี้ยงจานไปแล้ว พอเห็นคุณโอ๋กับคุณโอเล่ที่ถือ Margarita Pizza มาคนละกล่อง ทุกคนก็ตบมือกันเกรียว พอวางลงกลางโต๊ะทั้งตะเกียบทั้งส้อมก็ยื่นให้ไขว่ไปหมด มัคคุเทศก์ของเรารอบคอบมาก เพราะให้ทางร้านตัดมากล่องละ ๑๑ ชิ้นพอดี เพียงแต่ใหญ่เล็กไม่ค่อยจะเท่ากันบ้างเท่านั้น...

ชิมกันพอรู้รสว่าพิซซ่าต้นตำรับนั้นอร่อยสู้ของบ้านเราไม่ได้ ไข่เจียวกับผักกาดเขียวผัดน้ำมันที่ตามมา ไปกับน้ำพริกกะปิได้เป็นอย่างดี เมื่อทุกอย่างหายไปจากสายตา คุณโอเล่ก็เอาเชอรี่มาวางให้เป็นของหวาน แม้ว่าจะลูกเล็กไปหน่อยและสีแดงสดจนไม่ชินสายตา แต่ก็อร่อยใช้ได้...

สุธรรม
21-11-2016, 05:18
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25650&stc=1&d=1479680226
ข้ามจาก "เวนิสบก" ลงไปใน "เวนิสทะเล"

เสียงเปิดประตูปึงปังแล้วผู้คนก็ไหลเข้ามาเป็นขบวน เสียงภาษาจีนดังเอะอะไปหมด อาเจ๊เจ้าของร้านรีบมาต้อนลูกค้าไปนั่งโต๊ะ แล้วส่งน้ำชาร้อนมาปิดปากโดยด่วน จากนั้นตะโกนสั่งพ่อครัวให้เร่งทำอาหาร ทำให้อาตมามั่นใจว่าอาเจ๊แกต้องเป็นจีนฮกเกี้ยนอย่างแน่นอน เสียงหม้อไหกระทะจากในครัวดังช้งเช้งไปหมด พออาหารมาถึงเสียงจานช้อนจากบรรดาอาแปะอาอึ้มอาเฮียอาเจ๊กลับดังกว่าอีก..!

อาตมารีบลุกไปเข้าห้องน้ำก่อน ขืนรอให้บรรดาลูกหลานเผ่าพันธุ์มังกรลุกไปเข้าก่อน มีหวังได้รอกันเป็นชาติ ออกจากห้องน้ำแล้วก็เดินไปนั่งที่ส่วนรับแขกของร้านอาหาร เห็นมีเครื่องทำน้ำร้อนน้ำเย็นด้วย จึงไปเอาผ้าเย็นผืนเล็กที่ตัวเองใช้แล้วจากบนรถ เข้าไปซักสะอาดในห้องน้ำ แล้วออกมาทำการผลิต “ผ้าร้อน” โปะหน้าตัวเองแบบที่เพื่อน ๆ มองกันด้วยความอิจฉา...

เมื่อคุณโอเล่ที่หอบอัฐบริขารในการกินขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็ให้สัญญาณบอกนายสันโดษให้ออกรถได้ พร้อมกับบรรยายถวายความรู้ให้ตามหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน “ขณะนี้เราอยู่บนฝั่งที่เรียกว่า เวนิส เมสเตร (Venezia Mestre) หรือ “เวนิสบก” นะครับ กำลังจะข้ามไปเกาะเวนิส ที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า “เวนิสทะเล” ซึ่งเกิดจากการสร้างสะพานเชื่อมเกาะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ จำนวน ๑๑๘ เกาะเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเมืองกลางทะเล...”

สุธรรม
21-11-2016, 14:59
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25651&stc=1&d=1479715099
ขนาดลานจอดรถยังสวยเลย

รถบัสของเราวิ่งเลียบริมทะเลแล้วขึ้นไปบนถนนที่เหมือนกับทางด่วนคู่ขนาน ไปสองช่องทาง มาสองช่องทาง ด้านข้างมีรางรถไฟอยู่ด้วย และบังเอิญเหลือเกินที่มีขบวนรถไฟวิ่งผ่านมาพอดี “นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเวนิสได้ทั้งทางเครื่องบิน ทางเรือ และทางบกที่มีทั้งรถยนต์และรถไฟ โดยรถไฟมีทั้งขบวนธรรมดาและความเร็วสูง (Eurostar) ที่เชื่อมต่อทั้งเมืองมิลาน และเมืองฟลอเรนซ์ โดยรถไฟจะข้ามสะพานที่เห็นไปจอดที่สถานี Venezia Santa Lucia จากนั้นค่อยเดินทางต่อด้วยเรือ เหมือนที่พวกเรากำลังจะไปขึ้นเรือกันนี่แหละครับ” ข้อมูลหลั่งไหลมาจากคุณโอ๋แบบไม่ขาดสาย...

สะพานทางด่วนทอดข้ามทะเลไปจริง ๆ พอเจอป้าย San Marco พร้อมกับตัว P ที่มีลูกศรชี้ให้เลี้ยวขวา นายสันโดษก็เลี้ยวตามไปแต่โดยดี เข้าสู่ทางแคบ ๆ ที่พาวนไปยังลานจอดรถริมทะเล ว้าว...มุมนี้เป็นทะเลสีฟ้าสดใส ซ้ำยังมีแปลงดอกไม้สีม่วงอยู่อีกแถบใหญ่ พอรถจอดสนิทอาตมาจึงรีบลงรถไปก่อนเพื่อน เดินดุ่มไปถ่ายรูปมุมที่เล็งเอาไว้ก่อนทันที แล้วค่อยเดินตามคณะที่อ้อยอิ่งอยู่กับร้านขายของที่ระลึกซึ่งตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ข้าวของที่วางขายส่วนมากก็คือ เสื้อยืด หมวกทั้งสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย รองเท้าแตะ ของที่ระลึกสัญลักษณ์ของอิตาลีต่าง ๆ ทั้งที่เป็นพวงกุญแจ ถ้วย ถาด (สำหรับตั้งโชว์) หนังสือ ฯลฯ สารพัดจิปาถะ...

“สวัสดีครับ” เจ้าของร้านที่เป็น “คุณเฉาก๊วย” ตัวดำปี๋ ยกมือไหว้พร้อมกับส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล เฮ้อ...ไปที่ไหนก็เจอแต่คนพูดภาษาไทย จะดีใจหรือจะเสียใจก็ไม่รู้ ? ที่ดีใจก็คือเขาพวกเขาพยายามสื่อสารด้วยภาษาไทย ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเพียงพอที่เขาจะต้องเรียนรู้ ที่เสียใจก็คือนักท่องเที่ยวไทยคงจะขนเงินมาทิ้งเมืองนอกปีละเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน บรรดาพ่อค้าแม่ขายถึงได้หัดพูดภาษาไทยจนชัดเจนปานนี้...

สุธรรม
22-11-2016, 06:00
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25652&stc=1&d=1479769170
เรืออยู่หนใด..?

เมื่อสอบถามดูแล้ว “คุณเฉาก๊วย” บอกว่าปิดร้านตอนหนึ่งทุ่ม มัคคุเทศก์รูปหล่อจึงสรุปว่า ให้พวกเราลงเรือไปเที่ยวยังเกาะเวนิสกันก่อน ขากลับค่อยมาหาซื้อของที่ระลึกกัน พวกเราเพิ่งเดินตรงไปยังอาคารริมทะเล ก็สวนกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ “นมัสการค่ะ...สวัสดีครับ” แสดงว่าผู้หญิงคุ้นเคยกับพระมากกว่าผู้ชายจริง ๆ อาตมายกมือตอบรับการไหว้ สอบถามแล้วกลุ่มนี้เป็นนักท่องเที่ยวไทยที่เข้าเกาะไปตั้งแต่ตอนเช้า กำลังเดินทางกลับแผ่นดินใหญ่...

บอกลาคณะคนไทยแล้ว อาตมารีบเดินตามพรรคพวกไป ผ่านตัวอาคารริมทะเลที่ส่วนมากเป็นกระจก ที่มีทั้งร้านอาหารและสำนักงาน ผู้คนเต็มไปหมด ทั้งที่เป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งที่แบกเป้มาเดี่ยวมาคู่ ทั้งที่กำลังเข้าไปและที่เดินสวนออกมา เมื่อไปทันกับคณะเห็นคุณโอ๋กำลังโทรศัพท์ติดต่อเรือ ส่วนคุณโอเล่พยายามต้อนพวกเราที่แยกย้ายกันหามุมถ่ายรูป ให้มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่ดูแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไป “จับปูใส่กระด้ง” น่าจะง่ายกว่านะ...

อาตมาส่งกล้องให้กับพระครูปรีชา แล้วหันหลังให้รั้วขอช่วยถ่ายรูปคู่กับเรือเดินทะเลสองชั้นลำสวย แต่พอรับกล้องคืนมาแล้วกดภาพดู กลับเป็นภาพตัวเองกับรั้วและน้ำทะเลไปเสียนี่ เออ...ตูผิดเองที่ไม่บอกให้ชัดเจน “นิมนต์ทางนี้ค่ะ เรือมาแล้วค่ะ” เสียงดังฟังชัดของ “หญิงใหญ่” ดังแหวกลมทะเลมาแบบไม่ต้องพึ่งโทรโข่ง พระสงฆ์ทั้ง ๒๒ รูปนำโดยท่านอาจารย์คณบดี จึงชักแถวเหลืองอร่ามลงไปยังสะพานเทียบเรือ...

สุธรรม
22-11-2016, 21:11
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25653&stc=1&d=1479823837
ไปลำนี้ครับ มีหนุ่ม "ทอดสะพาน" ให้แล้ว

“ทางนี้ครับหลวงพ่อ..” ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ตะโกนเรียกหลวงพ่อพระครูเลิศ ที่กำลังจะปีนขึ้นไปบนเรือใหญ่สองชั้น “อ้าว...เห็นถ่ายรูปกันแต่ลำนี้ ก็นึกว่าจะให้ไปลำนี้” ฮ่า..ที่ถ่ายรูปแต่ลำนั้นเพราะว่าสวยกว่าลำอื่นครับ แต่ของเราต้องไปไอ้เรือด่วนลำเล็กทางด้านนี้ “ใครจะไปรู้เล่า ?” หลวงพ่ออ้วนของเราบ่นอุบอิบ เรือของพวกเราหน้าตาเหมือน Speed Boat แต่ขยายขนาดออกมาเป็น ๔๐ ที่นั่ง บนหลังคามีห่วงชูชีพสีส้มอยู่เป็นสิบอัน ด้านท้องเรือทาสีเหลืองเหมาะสมกลมกลืนแก่การรับพระเป็นอย่างยิ่ง...

ฝรั่งหนุ่มรูปร่างล่ำสันสามพันตึงสองนาย “ทอดสะพาน” จากเรือมาที่ท่าให้พวกเราขึ้นไป พร้อมกับนับจำนวนคนไปด้วย น่าเสียดายที่คน “ทอดสะพาน” ไม่ยักเป็นแหม่มสาว จึงทำให้งานกร่อยพอสมควร อาตมาขึ้นเรือได้ก็ตรงไปนั่งที่แถวหน้าสุดฝั่งซ้ายติดกับพระครูด็อกเตอร์ ท่านอาจารย์คณบดีกับหลวงพ่อเรืองนั่งแถวถัดไป ด้านขวามือแถวหน้าสุดมีพระครูกล้านั่งเดี่ยว (สงสัยว่าหาคนคบด้วยไม่ได้แล้ว) ถัดไปเป็นพระครูญาณฯ กับสมุห์สุมิตร มัคคุเทศก์รูปหล่อของเราไปนั่งอยู่ท้ายสุด ใกล้กับหลวงพ่อพระครูสันติฯ และพระครูวิสุทธฯ...

ขึ้นเรือได้ก็ควักกล้องออกมาถ่ายรูปกันวุ่น พระครูญาณฯ เอนหลังจนติดช่องหัวเรือ แทบจะนอนลงไปกับพื้น เพื่อถ่ายรูปเพื่อน ๆ ให้ได้ทั้งคณะ ส่วนหลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ตั้งอกตั้งใจถ่ายรูปอยู่ทางท้ายเรือ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ส่งไมโครโฟนให้กับอาตมา แล้วถ่ายทำวิดีโอโดยให้อาตมาบรรยายว่า ตั้งแต่ออกจากเมืองไทยได้ไปที่ไหนมา ? เก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้าง ? และตอนนี้เรากำลังจะไปที่ไหนกัน ?

สุธรรม
23-11-2016, 03:11
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25654&stc=1&d=1479845466
ขึ้นมาแค่ ๒ คนจริง ๆ..!

“ท่านอาจารย์และเพื่อน ๆ ให้ความสำคัญกับท่านมากนะครับ” “ท่านผู้นำ” ที่แอบลงเรือมาโดยไม่ได้ตีตั๋วเอ่ยปากวิจารณ์เมื่อถ่ายทำจบ “อ๋อ...ก็แค่จำได้ทั้งหมดว่าไปไหนมาบ้าง และพอที่จะ “รู้กาลเทศะ” ว่าในสถานการณ์แบบไหนควรจะพูดเรื่องอะไรเท่านั้นเอง ขืนไปให้คนอื่นพูดอาจจะต้องตัดทิ้งไปทั้งชั่วโมง” อาตมาเตะลูกออกนอกสนามหน้าตาเฉย ทำเอา “ท่านผู้นำ” ทำท่าเหมือนวัวกระทิงเจอผ้าแดง ถ้าไม่ติดว่าอาตมาเป็นพระคงจะพุ่งเข้ามาขวิดแล้ว..!

เรือของเราวิ่งทะยานไปบนทะเลสีฟ้าใส ลมแรงสดชื่นพัดเข้ามาทุกทิศทุกทาง อาตมาหยิบกล้องเดินออกไปทางท้ายเรือ ซึ่งพ่อหนุ่มล่ำบึ้กทั้งสองนายกำลังควบคุมเรืออยู่ ขึ้นบันไดเตี้ย ๆ ไปบนหลังคา จัดการถ่ายรูปรอบด้านที่มีทั้งเรือสวย ๆ ที่กำลังวิ่งสวนมา และตึกเก่าสวย ๆ ที่เรียงรายอยู่ทางซ้ายมือ สักครู่ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐที่ถือกล้องวิดีโอ กับท่านอาจารย์ ดร.วันชัยที่ถือกล้องภาพนิ่งก็ตามขึ้นมาบ้าง ตามมาด้วยหลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ พระครูกล้ากับพระครูโจ...

“นายบึ้กกว่า” วางมือให้เพื่อนถือพวงมาลัยเรือ ปีนขึ้นมาบอกว่า ตามกฎของการเดินทะเลที่นี่ ห้ามคนขึ้นมาข้างบนหลังคาเกินสองคน อาตมาแกล้งตีลูกมึนตอบว่า “ก็สองคนพอดีแล้วนี่นา ที่เหลือเป็นพระล้วน ๆ..!” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนดมอึมาอย่างนั้นแหละ..! เพื่อไม่ให้นายท้ายของเราต้องโดดทะเลหรือผูกคอตาย และไม่ให้เป็นภาระกับ “ท่านผู้นำ” มากจนเกินไป อาตมาจึงบอกเพื่อน ๆ ทุกคนที่ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ให้ลงไปข้างล่างกันเถอะ ปล่อยให้ท่านอาจารย์ทั้งสองเก็บภาพแทนก็แล้วกัน...

สุธรรม
23-11-2016, 13:56
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25655&stc=1&d=1479884127
ที่สูงเด่นนั่นคือหอระฆังเซนต์มาร์ค (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

"ที่ท่านเห็นสูงเด่นอยู่นั่นคือหอระฆังเซนต์มาร์ค (St. Mark's Campanile) ตั้งอยู่ข้างจัตุรัสเซนต์มาร์ค (St. Mark's Square) อาคารใกล้หอระฆังทางด้านซ้ายมือที่เกือบติดริมทะเล ก็คือมหาวิหารเซนต์มาร์ค (St. Mark's Basilica) ส่วนทางขวามือที่มีช่องหน้าต่างเรียงรายนั่นคือพระราชวังดอดจ์ (Doge's Palace)" มัคคุเทศก์เถื่อนทำหน้าที่อรรถาธิบายขยายความ เมื่อเห็นอาตมาถ่ายรูปบริเวณนั้นผ่านหน้าต่างเรือ...

"เป็นอิตาเลียนแท้ ๆ ทำไมเรียกชื่อสถานที่เป็นภาษาอังกฤษไปหมด ?" อีกฝ่ายค้อนขวับผิดวิสัยชายชาติทหาร "ก็เพื่อให้ท่านเข้าใจง่าย ๆ นะซีขอรับ" อ้อ..ขอบคุณเป็นอันขาด ถ้ามีโอกาสจะเนรคุณ เอ๊ย..จะตอบแทนบุญคุณ พอดีเสียงคุณโอ๋ดังขึ้นมาว่า...

"พระอาจารย์ทุกท่านครับ" มัคคุเทศก์ตัวจริงไปยืนอยู่ด้านหน้าห้องท้องเรือพลางเรียกร้องความสนใจ "อีกสักครู่เราจะขึ้นเรือที่ เกาะซานจิออร์จิโอ แมกจิออเร่ (San Giorgio Maggiore) ซึ่งเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดของ "เวนิสทะเล" จะมีสิ่งที่น่าสนใจให้เที่ยวชมกันหลายแห่ง ได้แก่...

สุธรรม
24-11-2016, 03:28
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25665&stc=1&d=1479932832
จตุรัส ซาน มาร์โค (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

๑. สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) หรือที่ภาษาอิตาเลียนเรียกว่า Ponte dei Sospiri เป็นสะพานเก่าแก่ที่ออกแบบโดย Antonio Contino ในปี ค.ศ.๑๖๐๐ เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่คุก ซึ่งส่วนมากก็คือโดนขังลืมตลอดชีวิต สร้างมาจากหินปูนสีขาว (Limestone) มีช่องหน้าต่างให้มองออกมาได้ เพื่อให้นักโทษได้ชมความสวยงามของท้องฟ้า และทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้าย ที่ได้ชื่อนี้เพราะว่านักโทษมักจะถอนหายใจเหมือนกับปลงชีวิต ก่อนที่จะโดนขังลืมนั่นเองครับ...

๒. จัตุรัส ซาน มาร์โค (Piazza San Marco) หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า St. Mark's Square เป็นจุดหมายสำคัญที่สุด ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเวนิสทุกคนต้องไปให้ถึง ที่นี่มีสถานที่สำคัญให้เที่ยวชมหลายแห่งดังนี้ครับ...

๒.๑ โบสถ์ซานจิออร์จิโอ แมกจิออเร (Church of San Giorgio Maggiore) เป็นโบสถ์ประจำเกาะของคริสตจักรนิกายเบเนดิกซ์ สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวในสไตล์คลาสสิกและเรเนสซองก์ ในช่วงระหว่างปี ๑๕๖๖ ถึง ๑๖๑๐ ออกแบบโดย Andrea Palladio

สุธรรม
21-12-2016, 15:40
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25756&stc=1&d=1482309519
มหาวิหารเซนต์มาร์ค (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

๒.๒ พระราชวังปาลาซโซ ดูคาเล่ (Palazzo Ducale) หรือ พระราชวังดอดจ์ (Doge's Palace) เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นในแบบเวเนเชี่ยนโกธิค (Venetian Gothic style) เป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองเมืองเวนิส และต่อมาได้รับการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ๑๙๒๓ ดำเนินการโดย Fondazione Musei Civici di Venezia

๒.๓ มหาวิหารเซนต์มาร์ค (St. Mark's Basilica) เป็นมหาวิหารของนิกายโรมันคาทอลิก ในอัครสังฆมณฑลแห่งเวนิส (Roman Catholic Archdiocese of Venice) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้เผยแผ่ศาสนาที่อียิปต์แล้วถูกประหารชีวิต จุดเด่นอยู่ที่การมีโดม ๕ โดม ซึ่งได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ทางด้านหน้าประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค และรูปหล่อม้าบรอนซ์ ๔ ตัว ซึ่งเล่ากันว่าขโมยมาจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล เป็นมหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองเวนิส และเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์

๒.๔ หอระฆังเซนต์มาร์ค (St. Mark's Campanile) หนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของเมืองเวนิส ตั้งอยู่ใกล้มหาวิหารเซนต์มาร์ค มีความสูง ๓๒๓ ฟุต หรือประมาณ ๙๗ เมตร เป็นจุดชมวิวที่สำคัญ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

สุธรรม
22-12-2016, 10:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25761&stc=1&d=1482375639
สะพานริอัลโต (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

๒.๕ คลองใหญ่ (Grand Canal) คลองที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวและเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวเพื่อล่องเรือกอนโดล่า มีความกว้างประมาณ ๓๐ – ๙๐ เมตร ยาวประมาณ ๓,๘๐๐ เมตร

๒.๖ สะพานริอัลโต (Rialto Bridge) เดิมทีเป็นสะพานไม้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๒ หลังจากที่พังไป สะพานหินก็ถูกสร้างขึ้นมาทดแทน และเป็นสะพานข้าม Grand Canal เพียงแห่งเดียวมาจนถึงปี ค.ศ. ๑๘๕๔ จนกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และค้าขายแลกเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของเมืองเวนิส ใครที่มาแล้วไม่ได้ข้ามสะพานนี้ถือว่ามาไม่ถึง เป็นจุดถ่ายภาพที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง รอบสะพานทั้งสองฝั่งเป็นย่านขายของที่ระลึกและตลาดสด Rialto”

“โอ๋...เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้แล้ว กลับไปจะขอบรรจุให้ แหม..มีหัวข้อ ๑ – ๒ – ๓ – ๔ เหมือนอาจารย์แถวนี้เปี๊ยบเลย” พระครูวิสุทธฯ ตะโกนแซวมาจากท้ายเรือ แต่อาจารย์แถวนี้ที่ลงมาจากหลังคาเรือ แค่ยิ้มไปถ่ายวิดีโอไป ไม่เห็นจะสะทกสะท้านเลยสักนิด ให้รู้เสียบ้างว่าไผเป็นไผ...! พอดีเรือวิ่งมาจนเห็นหอระฆังเซนต์มาร์ค และโบสถ์ซานจิออร์จิโอฯ เด่นอยู่ริมน้ำ พวกเราทั้งหมดจึงหันไปสนใจกับถ่ายรูป ปล่อยให้มัคคุเทศก์รูปหล่อยืนเหวอไปคนเดียว...

สุธรรม
22-12-2016, 15:00
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25775&stc=1&d=1482393532
ดูแค่ข้างหลังก็พอ เดี๋ยวเลือดกำเดาไหล..!

ถ่ายทั้งอาคารสวย ๆ ริมน้ำ และเรือสำราญลำมหึมา แต่กล้องถ่ายรูปยี่ห้อดีแค่ไหนก็สู้สายตาไม่ได้ ยังดีที่เป็นระบบดิจิตอล ถ่ายแล้วถ้าไม่พอใจก็กดลบทิ้งแล้วถ่ายใหม่ได้ "คุณโอ๋..พาพวกเรานั่งอย่างไอ้ลำนั้นบ้างได้ไหม ?" ท่านประธานรุ่นชี้ไปที่เรือสำราญลำมหึมาน่าจะจุคนได้เป็นพัน พลางถามด้วยเสียงเหน่อเพชรบุรี "แฮะ..แฮะ..ทั้งขายรถ ขายบ้าน และตัวผมเองด้วย ก็คงจะได้ตั๋วแค่ ๓ - ๔ ใบเท่านั้นครับพระอาจารย์" พอดีเรือของเราชะลอความเร็ว แล้วค่อย ๆ เทียบท่าฝั่งที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปนั่นแหละ...

พวกเราขึ้นจากเรือมารวมพลท่ามกลางความสนใจของนักท่องเที่ยวอื่น ๆ หลายรายยกกล้องถ่ายรูปพวกเราเอาไว้ "เรามีเวลาที่นี่ประมาณ ๓ ชั่วโมง ช่วงแรกผมจะนำไปก่อน หลังจากล่องเรือกอนโดล่าแล้วค่อยแยกย้ายกันไปช็อปปิ้ง พระอาจารย์ทุกท่านดูหอระฆังเซนต์มาร์คเอาไว้นะครับ นั่นเป็นจุดนัดพบของเรา แต่ถ้ามาช้าแล้วไม่เจอใคร ให้มาที่จุดรอขึ้นเรือตรงนี้เลยนะครับ"

ว่าแล้วสุดหล่อประจำคณะก็พาพวกเราเดินฝ่าแสงแดดที่จัดจ้า เลียบริมน้ำตรงไปยังหอระฆังที่เห็นเด่นเป็นสง่า รอบตัวมีแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด โดยเฉพาะบรรดาสาววัยรุ่น ที่นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืดหรือเสื้อกล้าม เพื่อให้ร่างกายได้รับแสงแดดให้มากที่สุด บางคนเล่นใส่ "เสื้อบรา" ตัวใหญ่กว่าบิกินี่นิดเดียว มิหนำซ้ำแต่ละคนล้วนแต่ "แม่ให้มา" อย่างเต็มที่ จนน่าสงสัยว่ากำลัง "ปอดบวม" อยู่หรือเปล่า ? กลายเป็นอาหารตาแก่บรรดาหนุ่ม ๆ ที่เหล่กันแล้วเหล่กันอีก แม้แต่ในคณะของเราก็มี "คิกคัก" วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างครื้นเครง...

สุธรรม
23-12-2016, 18:52
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25782&stc=1&d=1482493848
สาว ๆ ใส่ชุดโบราณให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย

“ทำไมท่านไม่มองแบบเพื่อน ๆ ของท่านบ้าง ?” เสียง “ท่านผู้นำ” ถามขึ้นแบบไม่น่าจะสงสัย อ๋อ... ถ้ามัวแต่ไปสนใจแค่ระดับสายตาหรือต่ำกว่าสายตา อาจจะเดินสะดุดล้มให้ขายหน้า “เวนิเชียน” และนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ อีกอย่างก็คือ สาว ๆ จะหาดูที่ไหนก็ได้ แต่บ้านนี้เมืองนี้อาจจะมีโอกาสมาแค่ครั้งเดียว จึงควรที่จะดูให้มากไว้ไม่ใช่หรือ ? ไม่อย่างนั้นเวลาคนเขาถามว่าไปเวนิสแล้วเขามีอะไรเด็ด ๆ บ้าง จะให้ตอบว่ามีแต่ “ตูด” กับ “นม” หรืออย่างไร ?

ปล่อย “ท่านผู้นำ” ยืนอึ้งกับคำตอบไว้แค่นั้น เบื้องหน้าเป็นสาว ๆ ใส่หน้ากากในชุด “กระโปรงสุ่มไก่” สีสันสดใสสามคน ทั้งม่วงสลับขาว ขาวสลับแดง และแดงลายทอง ซึ่งยืนเรียกนักท่องเที่ยวให้เข้าไปถ่ายรูปด้วย เพื่อแลกกับเงินพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ พระครูโจส่งกล้องให้กับพระครูกล้า แล้วเข้าไปขอถ่ายรูปท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดชอบใจของแม่เจ้าประคุณทั้งสาม “ระวังเขากอดเอาเน้อ” เสียงของท่านประธานรุ่นเตือนขึ้น จึงมีเสียง “Don’t touch me” ห้ามขึ้นเป็นระยะ...

อาตมาไม่สนใจการถ่ายรูปกับสาว ๆ แบบนั้น จึงเดินเลยไปจนถึงอนุสาวรีย์แห่งหนึ่ง ที่มีรูปวีรบุรุษซึ่งน่าจะเป็นกษัตริย์อะไรสักพระองค์หนึ่ง ทรงม้าถือดาบหราอยู่บนแท่นสูง ตรงฐานด้านที่อาตมาเดินมาถึงซึ่งเป็นทางด้านหลังของอนุสาวรีย์ มีรูปหล่อสัมฤทธิ์เขียวของผู้หญิงถือดาบหัก นั่งทับสิงโตมีปีกที่หัวทิ่มลงไปกัดโซ่ ที่น่าจะเป็นอาการดิ้นรนก่อนตาย ใกล้ ๆ กับปลายเท้าผู้หญิงที่ขั้นบันไดขึ้นอนุสาวรีย์ เป็นกระบอกปืนใหญ่สัมฤทธิ์กับโล่สัมฤทธิ์ ที่เหมือนกับตกหล่นจากการต่อสู้...

สุธรรม
24-12-2016, 03:08
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25783&stc=1&d=1482523644
"น้าแหม่ม" ถ่ายรูปได้ดีมาก..!

แต่พออ้อมด้านข้างซึ่งมีโล่สัมฤทธิ์ทับธงสัมฤทธิ์ไปถึงด้านหน้า ทางนี้เป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์ของผู้หญิงคนเดิม ที่มือขวาถือดาบ ยกมือซ้ายเหมือนกำลังประกาศศักดา นั่งบนหลังสิงโตมีปีกที่ยกหัวขึ้นคำราม นี่แปลว่าฟัดกันทางด้านหน้า แล้วไปฆ่าสิงโตได้ทางด้านหลัง แล้วกษัตริย์พระองค์นี้เป็นใครกันหนอ ? "ไม่ใช่กษัตริย์ครับท่าน ถ้าเจ้านี่เป็นกษัตริย์ ผมก็ต้องระดับจักรพรรดิเลยแหละ..!" ไม่เคยเห็น "ท่านผู้นำ" ยกหางตัวเองแบบนี้มาก่อน แล้วเขาเป็นใครกันวะ ? "มาร์โคโปโลครับท่าน นักเดินทางที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เป็นชาวเมืองเวนิสนี่เองครับ" อ้าว..เรอะ ?

ไหน ๆ ก็มาถึงบ้านคนดังแล้ว ขอถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์คนดังหน่อยเถอะ อาตมาส่งภาษาอังกฤษไปยัง "น้าแหม่ม" ที่กำลังถ่ายรูปอยู่ว่า "May you take me some photo ?" อีกฝ่ายที่เพิ่งเห็น "ตัวประหลาด" อย่างอาตมาถึงกับทำตาโต "Oh..yes." ก่อนที่จะเอื้อมมือมารับกล้องไปถ่ายให้แต่โดยดี "Thank you for your kindness." อาตมาขอบคุณแล้วรับกล้องกลับมา แต่พอกดดูรูปแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือก เพราะ "น้าแหม่ม" เธอถ่ายมาแค่รูปอาตมาจริง ๆ...

ตัดสินใจส่งกล้องให้พ่อหนุ่มกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดสีน้ำเงิน ใส่แว่นตาดำที่ยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ย้ำว่า "All of this monument." พ่อหนุ่มพยักหน้าหงึก ๆ จัดการกดให้สองรูปรวด เมื่อขอบคุณแล้วรับกล้องคืนมากดดูรูปใหม่ คราวนี้ใช้ได้ ต่อไปจะเรียกใครถ่ายรูปคงต้องบรรยายสรุปให้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะเสียเวลา ๒ รอบแบบวันนี้ หันไปดูข้างหลังไม่เจอพรรคพวกสักคน มีแต่จีวรสีเหลืองที่ข้ามสะพานไปแล้ว อาตมาตามขึ้นไปสะพานไปบ้าง เห็นนักท่องเที่ยวส่วนมากหันหน้าเข้าไปใน "ซอย" ที่เป็นคลองเล็ก ๆ มีเรืออยู่สองสามลำ แล้วถ่ายรูปกันเป็นการใหญ่ เรือแบบนี้มีอะไรน่าดูวะ ?

สุธรรม
18-01-2017, 17:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25869&stc=1&d=1484735877
เขาถ่ายรูปสะพานแห่งนี้ ไม่ใช่เรือข้างล่าง..!

“เขาถ่ายสะพานถอนหายใจกันขอรับ” มัคคุเทศก์เถื่อนชี้ให้ดูสะพานรูปโค้งที่ปิดทึบรอบด้าน มีหน้าต่างลูกกรงอยู่สองช่อง เชื่อมอาคารสองฝั่งคลองเข้าด้วยกัน ความสูงอยู่ระดับเดียวกับชั้นสองของตัวอาคาร อ๋อ..สะพานนักโทษปลงชีวิตของคุณโอ๋นั่นเอง ตูก็นึกว่าเขาถ่ายรูปคลองกับเรือเสียอีก ขอโทษครับที่โง่..! “ถ้าท่านยังโง่ ในโลกนี้ก็คงหาคนฉลาดได้ยากเต็มทีแล้วครับ” น่าน...โดน “ท่านผู้นำ” กัดเอาอีกจนได้ ขี้เกียจทะเลาะกับ “ผี” อาตมาจึงเดินลงสะพานตามพรรคพวกหลายท่านที่เลี้ยวขวาเข้าไปใต้อาคารพระราชวังดูคาเล่ไปแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังคงแยกย้ายกันไปเก็บภาพมุมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านที่เป็นทะเล...

แดดจัดจนตาพร่า บรรดา “ฝรั่ง” ทั้งหญิงชาย เดินเอ้อระเหยลอยชายตากแดดอย่างมีความสุข แต่พวกเรามุดเข้าใต้ระเบียงพระราชวังดูคาเล่ หลบแดดตามมัคคุเทศก์รูปหล่อที่กำลัง “จ้อ” ติดลม โดยมีอาตมา ท่านไพฑูรย์ กับพระครูปรีชายืนฟังอยู่แค่สามรูป ส่วนพรรคพวกแยกย้ายกันไปหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัยหมดแล้ว...

“พระราชวังดูคาเล่ (Palazzo Ducale) หรือ พระราชวังดอดจ์ (Doge Palace) เป็นวังของดอดจ์ (เจ้าผู้ครองนคร) ผู้ครองเมืองเวนิสมากว่า ๒๐๐ พระองค์ เป็นศูนย์รวมอำนาจในการปกครองนครเวนิสในอดีต วังนี้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ ๙ ได้รับการบูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมในระหว่างศตวรรษที่ ๑๔ และ ๑๕ จนกระทั่งสวยงามอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ท้องพระโรงใหญ่ประดับด้วยทองคำและประดับภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่ถึง ๗ X ๒๒ เมตร ชื่อ "The Paradise" ของจาโคโป ตินโตเรตโต (Jacopo Tintoretto) จิตรกรที่มีชื่อเสียงของเมืองเวนิส ภาพนี้ได้ชื่อว่าเป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก น่าเสียดายที่เวลาของพวกเรามีน้อย จึงไม่ได้พาพระอาจารย์ทุกท่านเข้าไปชมด้านใน”

สุธรรม
19-01-2017, 06:00
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25870&stc=1&d=1484780329
รูปหมู่หน้าไหม้ที่หน้ามหาวิหารเซนต์มาร์ค

ฟังจบอาตมาก็เดินออกจากระเบียงพระราชวัง ไปถ่ายรูปเสาที่มีสิงโตมีปีกหล่อด้วยสัมฤทธิ์อยู่ด้านบน "สิงโตมีปีกนี่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิสขอรับ" ท่านมัคคุเทศก์เถื่อนอุตส่าห์เมตตาบอก ยังดีที่อาตมา "ตาถึง" จึงไม่ได้มองข้ามไปแบบท่านอื่น ๆ แล้วส่งกล้องให้พระครูปรีชาช่วยถ่ายรูปอาตมากับหอระฆังเซนต์มาร์คให้ด้วย เมื่อรับกล้องคืนมา ทั้งคณะก็โดนคุณโอ๋กับคุณโอเล่ "ต้อน" ไปทางลานจตุรัสหน้ามหาวิหารเซนต์มาร์ค "เราจะไม่เข้าไปดูในโบสถ์นี่กันเลยหรือ ?" ใบฎีกาวรัญญูเอ่ยถาม "ถ้าไม่ไปล่องเรือกอนโดล่าถึงจะมีเวลาพอเข้าไปดูครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่ออรรถาธิบาย...

"รวมพลถ่ายรูปหมู่หน่อยครับ" พระครูญาณฯ ตะโกนเมื่อไปถึงกลางลาน ทำเอาบรรดานักท่องเที่ยว "ฯ..ทั้งจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ..ฯ" หันมามองเป็นตาเดียว ยังไม่ทันที่จะตั้งแถวเสร็จ กล้องถ่ายรูปเป็นร้อยก็ยื่นมาถ่ายกันให้พรึ่บพรั่บไปหมด หลายคนที่นั่งกินกาแฟอาบแดดอยู่แท้ ๆ ยังทิ้งถ้วยกาแฟคว้ากล้องและวิดีโอมาร่วมเฮด้วย ทำเอาท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชา ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย อาจารย์ตู๋ คุณโอ๋ และคุณโอเล่ โดนบังมุมกล้องจนต้องยืนทำตาปริบ ๆ รอจนกว่า "ฝรั่งมุง" จะยอมถอยให้ พวกเราก็หน้าไหม้เพราะแดดเผาไปตาม ๆ กัน...

จัตุรัสหน้าโบสถ์นี้มีนกพิราบฝูงใหญ่ รอกินข้าวโพดและขนมปังที่นักท่องเที่ยวมาโปรยเลี้ยง เมื่อพวกเราถ่ายรูปหมู่เสร็จแล้วจึงไปเลี้ยงนกกันบ้าง อาตมาเล็งเด็กหญิงตัวน้อยที่ใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นสีขาว สะพายกระเป๋าสีชมพูสายคาดเขียว ที่เข้าชุดกับหมวกสีเขียวคาดชมพู ซึ่งกำลังกล้า ๆ กลัว ๆ ยื่นมือที่มีเมล็ดข้าวโพดออกไปเลี้ยงบรรดานกพิราบ เขียนทีไรหงุดหงิดทุกที สมัยอาตมายังเรียนชั้นประถมเขาเขียนว่า "นกพิลาป" เพราะว่านกชนิดนี้ครางเสียงฮือ..ฮือ..เหมือนกับคนร้องไห้ มาสมัยนี้กลายเป็นนกพิราบแบนแต๊ดแต๋แปลไม่ออก หรือจะให้แปลว่าแบนอย่างวิเศษกระมัง ? ต้องไปถามท่านอาจารย์ปู่ (ศ.พิเศษ จำนง ทองประเสริฐ) ผู้แก้ไขคำศัพท์นี้กันเอาเอง...

สุธรรม
19-01-2017, 20:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25887&stc=1&d=1484833060
เจ้านักเลงโตที่มาแย่งอาหารนกพิราบ

บรรดาปักษีผู้มีปีกบินฮือเข้าใส่พร้อม ๆ กัน ทำเอาเทพธิดาตัวน้อยเบี่ยงหลบอุตลุด จนทนการมะรุมมะตุ้มไม่ไหว ต้องโยนข้าวโพดทิ้ง วิ่งแจ้นกลับไปหาผู้เป็นพ่อที่ถ่ายวิดีโออยู่ บรรดานกก็ฮือกันเข้าไปเก็บกินเม็ดข้าวโพดบนพื้น มีนกนางนวล (Seagull) ตัวใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าเป็นญาติของ Jonathan Livingston Seagull หรือเปล่า ? โผเข้ามาจนนกพิราบแตกกระจายทั้งกลุ่ม บางตัวที่ยังก้มหน้าก้มตาจิกเม็ดข้าวโพด โดนเจ้านางนวล “สับ” ด้วยจะงอยปากแหลมเปี๊ยบ ร้องเอ็ดตะโรเผ่นหนีแทบไม่ทัน ปล่อยให้เจ้านกนักเลงโตเหมาอาหารไปตัวเดียวแบบจำใจยอม...

สองข้างลานจัตุรัสเป็นตึกแถวยาวเหยียด เป็นทั้งร้านขายสินค้าที่ระลึกและเป็นทั้งที่พักอาศัย แต่ที่กิจการรุ่งเรืองยังคงเป็นร้านกาแฟ ที่อาศัยตั้งอยู่ข้างหน้า “ตึกแถว” ติดกับลานจัตุรัส เพราะมีลูกค้านั่งกันแน่นแทบทุกร้าน พวกเราเดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อที่โทรศัพท์ติดต่อเรือซึ่งจองไว้ล่องคลองเวนิสไปจนสุดจตุรัส มหานพพลก็ชักชวนว่า “ถ่ายรูปหมู่กันตรงนี้อีกทีเถอะ เมื่อกี้นี้ฝรั่งมุงเยอะเหลือเกิน” ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย จึงตั้งแถวกันแบบรีบด่วน...

อาตมาส่งกล้องให้ท่านอาจารย์ตู๋ช่วยถ่ายรูปให้ด้วย รอจนท่านอาจารย์คณบดี พระครูด็อกเตอร์ และพระครูกุ้ยไฮ้ ซึ่งไปให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยถ่ายรูปอยู่กลางลานจัตุรัสมาถึง ยังไม่ทันจะถ่ายรูปเสียงพระครูโจก็ดังมาแต่ไกล “เดี๋ยว..เดี๋ยว..รอผมด้วย ผมมีนางฟ้าตัวน้อยมาด้วย” ท่านไปหลอกลูกสาวใครมาก็ไม่รู้ ? ยายหนูตัวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อายุน่าจะไม่เกินสองขวบ อยู่ในชุดเสื้อยืดไม่มีแขน กางเกงขาสั้นลายขาวแดง มีหมวกลายขาวดำโปะหัวมาด้วย ตรงมาร่วมเข้ากล้องด้วยแบบไม่มีเคอะเขิน...

สุธรรม
20-01-2017, 15:59
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25905&stc=1&d=1484902661
นักท่องเที่ยวกำลังลงเรือกอนโดล่า

ถ่ายรูปเสร็จยายหนูก็เดินเตาะแตะจากไปท่ามกลางเสียง "See you again, thank you." ของบรรดา "หลวงปู่" ทั้งหลาย อาตมารีบจ้ำตามหลังท่านไพฑูรย์ ที่เกาะติดมัคคุเทศก์ตลอดเวลาเหมือนกลัวโดนทิ้ง คุณโอ๋เดินนำพวกเราเข้าไปในระเบียง "ตึกแถว" แล้วเลี้ยวขวาเดินเข้าซอยไปโดยมีคุณโอเล่ปิดท้ายขบวน ลัดเลาะร้านค้าต่าง ๆ ไปอย่างคล่องแคล่ว จนมาโผล่ที่ข้างท่าเรือริมคลอง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวยืนรอกันอยู่กลุ่มใหญ่ ในคลองมีเรือกอนโดล่าสีดำเงาวับลอยอยู่หลายลำ...

คุณโอ๋ส่งตั๋วสำหรับนั่งเรือกอนโดล่าทั้งปึกให้กับผู้จัดคิว อีกฝ่ายรับไปดูขณะที่พวกเราถ่ายรูปเรือกอนโดล่ากันใหญ่ ไอ้เรือแจวแบบนี้อาตมาทั้งถ่อทั้งแจวมาตั้งแต่เด็ก เพราะไปอาศัยอยู่บ้านยายที่ตลาดบางลี่ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีน้ำท่วมปีละหลายเดือน จึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับใคร รอจนเรือรับนักท่องเที่ยวบ้างสามคน บ้างห้าคน ออกไปหลายลำก็มาถึงคิวของพวกเรา ซึ่งแบ่งสันปันส่วนกันลงเรือดังนี้

ลำที่ ๑ พระครูด็อกเตอร์ หลวงพ่อพระครูเรือง อาตมา พระครูปรีชา ท่านไพฑูรย์
ลำที่ ๒ หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ท่านอาจารย์คณบดี หลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ พระครูวิสุทธฯ องปลัด
ลำที่ ๓ พระครูสันติฯ มหานพพล สมุห์สุมิตร อาจารย์ตู๋ คุณโอเล่
ลำที่ ๔ หลวงพ่อพระครูญา พระครูชินฯ พระครูญาณฯ พระครูกล้า พระครูโจ
ลำที่ ๕ หลวงพ่อพระครูชุบ หลวงพ่อพระครูเลิศ มหากังวาล ใบฎีกาวรัญญู ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย

สุธรรม
30-01-2017, 18:48
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26019&stc=1&d=1485776761
"หนึ่ง...สอง...สาม" จะจบปริญญาเอกอยู่แล้ว ยังนับได้แค่นี้เอง..!

พ่อหนุ่มนักถ่อในชุดเสื้อยืดคอปกลายขาวดำ เหมือนชุดนักโทษของบางประเทศ พาเรือออกจากท่า ล่องไปตามลำคลองเล็ก ๆ ที่สองฝั่งคลองขนาบไปด้วยตัวตึกเก่า ๆ เรือกอนโดล่านี้หน้าตาเหมือนกับรองเท้าสกีขนาดใหญ่ หัวท้ายงอนขึ้น มีเก้าอี้บุกำมะหยี่สีแดงเลือดหมูตั้งอยู่กลางลำคู่หนึ่ง เก้าอี้ไม้ปูพรมเขียวอีกหนึ่งตัว ซึ่งน่าจะมีไว้ให้หนุ่มสาวนั่งกินลมชมวิวด้วยกัน แต่ตอนนี้กลายเป็นที่นั่งของพระครูด็อกเตอร์ที่ขาเสียจากการโดนยิงสมัยฆราวาส กับหลวงพ่อพระครูเรืองที่ตอนกลางคืนถ้าไม่ยิ้มก็จะหาตัวได้ยาก...

อาตมาที่นั่งท้ายสุดเพราะลงเรือก่อน เอื้อมมือผ่านท่านไพฑูรย์ ส่งกล้องให้กับพระครูปรีชาที่อยู่ด้านหน้าสุด เพื่อขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ด้วย หลวงพ่อพระครูเรืองจึงงัดเอากล้อง Canon ตัวเบ้อเริ่มของท่านขึ้นมาส่งให้ไปบ้าง เฮ้ย..เพิ่งรู้ว่าท่านผู้อำนวยการโรงเรียนปริยัติรังสรรค์วัดกุฎีดาว พกกล้องราคาแพงขนาดนี้ แต่ระดับ ผอ.โรงเรียนที่มีนักเรียนสามสี่พันคน ใช้กล้องแบบนี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว ขืนใช้ "กล้องปัญญาอ่อน" แบบอาตมาต่างหากที่จะถูกนินทา...

"หนึ่ง...สอง...สาม" "นับเท่าไรก็ได้ไม่เกินสาม นี่ขนาดเรียนระดับปริญญาเอก จนเป็น "ว่าที่ด็อกเตอร์" ไปตาม ๆ กันแล้วนะ" อาตมาบ่นจน "ว่าที่ดับเบิลด็อกเตอร์" หัวเราะ "ขืนนับมากกว่านั้นมีหวังคนมองว่าเรียนจนเพี้ยนไปแล้ว" ก็น่าจะจริง อะไรที่เป็นประเพณีนิยมในสังคม ขืนไปเปลี่ยนแปลงโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ มีหวังชนตอหงายท้องแน่ ๆ...

สุธรรม
31-01-2017, 03:47
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26020&stc=1&d=1485809142
"เศร้า" มากค่ะ..!

พระครูปรีชาถ่ายภาพเสร็จ ก็คลานมาส่งกล้องคืนให้ ท่านไพฑูรย์จึงคลานสลับที่ออกไปนั่งที่หัวเรือ หันหน้ามาให้ถ่ายรูปบ้าง ตามด้วยอาตมาที่ต้องอ้อม "เก้าอี้ฮ่องเต้" ถึงจะออกไปนั่งที่หัวเรือได้ แต่พอชวนหลวงพ่อพระครูเรืองท่านกลับไม่เอาด้วย "ผมแก่แล้ว คลานตกน้ำไปจะอายฝรั่งมัน นิมนต์หลวงพ่อตามสบายครับ" ส่วนพระครูด็อกเตอร์คงไม่ต้องชวน เพราะเท้าของท่านไม่เหมาะแม้แต่จะยืน ขืนมาคลานทั้งขาเหล็กคงได้ตกน้ำกันจริง ๆ...

ผ่านเรือลำอื่น ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งหญิงและชาย อาตมาส่งเสียง "Ciao" ทักทายทุกลำ หลายคนนอกจากตอบรับแล้ว ยังยกกล้องถ่ายรูปพวกเราเอาไว้ด้วย "หลวงพ่อเล็ก ไอ้คำว่า "เศร้า" นี่แปลว่าอะไรครับ ?" ท่าน ผอ. โรงเรียนฯ ถาม "อ๋อ..ความจริงต้องออกเสียงว่า "ซีเอา" ครับหลวงพ่อ แต่พอพูดเร็ว ๆ จะได้ยินเป็น "เซ่า" ครับ แปลว่า "สวัสดี" หรือถ้าเป็นภาษาไทยก็ประมาณว่า "หวัดดี" อะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ "เศร้า" ถ้า "เศร้า" ก็ต้องน้ำตานองหน้า ไม่มีใครยิ้มแบบนี้หรอกครับ"...

"ท่านอาจารย์ถามเขาหน่อยว่าคลองนี้ลึกเท่าไร ?" พระครูปรีชาโยนภาระมาให้ อาตมาส่งภาษาไปที่นายท้ายว่า "How about this canal deep ?" แล้วก็ไม่ผิดหวัง เมื่อนายท้ายเรือตอบมาว่า "2 meters, Grand canal outside 7 meters deep." แสดงว่านายท้ายเรือทุกคนรู้ข้อมูลแหล่งทำกินของตัวเองเป็นอย่างดี อาตมาแปลให้พวกเราทราบขณะที่เรือค่อย ๆ แล่นผ่านบ้านเรือนที่หลายหลังมีชานบ้านหรือระเบียงบ้านปริ่มน้ำ ซึ่งตกแต่งบ้านด้วยกระถางต้นไม้เล็ก ๆ มีดอกสีสดใส ทดแทนกับผนังตึกที่เก่าคร่ำคร่า...

สุธรรม
31-01-2017, 20:49
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26021&stc=1&d=1485870394
ลัดเลาะไปตาม "ซอย" ที่สองข้างเป็นตึกเก่าแก่

"หลายปีมานี้น้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขอรับ อย่างปีที่ผ่านมาบริเวณจตุรัสซานมาร์โค น้ำท่วมประมาณหัวเข่า เล่นเอาชาวบ้านทำมาหากินไม่ได้ไปเกือบสองเดือน" มัคคุเทศก์เถื่อนที่ย่องลงเรือมาแบบไม่ยอมซื้อตั๋วบอกข้อมูลเพิ่มเติม "แล้วมีสิทธิ์ที่จะท่วมหายไปทั้งเกาะบ้างหรือเปล่า ?" อีกฝ่ายทำหน้าขรึม "มีสิทธิ์ขอรับ แต่อย่าถามว่าเมื่อไร เพราะเป็นการฝืนกฎของกรรม" เออ..ถ้าอย่างนั้นตูจะได้ไม่ถาม มีอะไรที่พอจะบอกกันได้ กรุณาแจ้งเพื่อทราบด้วยก็แล้วกัน...

นายท้ายพาเรือเลาะลัดไปซอกเล็กซอกน้อย ที่ทุกมุมตึกจะมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ แสดงถึงความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างสูง เพราะว่าการท่องเที่ยวคือหัวใจของเมืองเวนิส ถ้าหากว่าไม่ปลอดภัย ไม่มีใครมาเที่ยว ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติกก็คงถึงกาลอวสาน ดูท่าว่าการแจวเรือของที่นี่จะเป็นระบบ One way เพราะว่านอกจากแซงลำอื่นแล้ว ไม่มีเรือสวนมาแม้แต่ลำเดียว ทั้งที่คลองซอกตึกกว้างพอที่จะหลีกกันได้สบาย...

ลดเลี้ยวมาหลาย "ซอย" นอกจากระเบียงบ้านที่บางแห่งเป็นร้านอาหาร บางแห่งเป็นร้านขายของที่ระลึก ซึ่งได้รับการตกแต่งให้มีสีสันแล้ว ที่เหลือก็คือผนังตึกสีเก่า ๆ ทึม ๆ หลายแห่งก็เป็นการก่ออิฐเปลือยทำให้เห็นถึงความเก่าแก่คร่ำคร่า มีสะพานทั้งที่เป็นรูปโค้ง และสะพานที่พาดตรงไปเฉย ๆ เชื่อมระหว่างตึกแถว เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการสัญจรของชาวบ้าน ในที่สุดหัวเรือของเราก็โผล่ออกมายังคลองใหญ่ (Grand Canal) ซึ่งความจริงก็คือทะเลนั่นแหละ...

สุธรรม
01-02-2017, 06:13
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26022&stc=1&d=1485904312
ดวลกล้องกันในระยะเผาขน

นายท้ายของเราถ่อเรือตรงไปทางสะพานโค้งที่มีหลังคาคลุมตลอดตัวสะพาน ซึ่งดูไปแล้วเหมือนกับเป็น "สุดซอยทะเล" พลางอธิบายว่า "นั่นคือสะพานริอัลโต แต่เดิมเป็นสะพานไม้แต่ถูกไฟไหม้เสียหายหมด ช่วงประมาณปี ค.ศ. ๑๕๐๐ จึงมีการประกวดออกแบบเพื่อสร้างสะพานหินขึ้นมาแทน มีสถาปนิกที่มีชื่อเสียงมาก อย่างมิเคลันเจโล (Michelangelo) พัลลาดิโอ (Palladio) และ ซานโซวิโน (Sansovino) ส่งแบบเข้าประกวด แต่ผู้ได้รับรางวัล คือ อันโตนิโอ ดา ปอนเต (Antonio da Ponte) ที่ไม่มีชื่อเสียงใด ๆ เนื่องจากมีการออกแบบที่สวยงามโดดเด่น แบ่งพื้นที่ใช้สอยสำหรับตั้งร้านค้าต่าง ๆ และกำหนดระดับความสูงเพียงพอให้เรือลอดผ่านได้อีกด้วย"...

"ท่านอาจารย์ครับ...บอกให้เขาพูดช้า ๆ หน่อย พวกผมฟังไม่ทัน ไอ้โมสท์ฟอร์โมสท์นั่นคืออะไรครับ ?" พระครูปรีชาประท้วงนายท้ายที่พูดแบบใส่คะแนนไม่ทัน "อ๋อ... the most famous หมายถึงนักออกแบบซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของยุคนั้น คือ "ไมเคิล แองเจโล" ไม่ใช่นมฟอร์โมสท์เยอะแยะอย่างที่คุณเข้าใจ" เสียงฮาของเพื่อนร่วมลำเรือดังขึ้นพร้อมกัน แสดงว่าได้ยินเหมือน ๆ กันเป็นแน่แท้ เล่นเอานายท้ายทำตาปริบ ๆ ว่าเรื่องสะพานข้ามคลองใหญ่นี่มันตลกตรงไหนวะ ?

เรือลำอื่น ๆ ของพวกเราทยอยกันออกจากคลองซอยมาในคลองใหญ่ จึงมีการถ่ายรูปกันและกันแบบดวลกล้องอย่างกระชั้นชิด "เรือที่ท่านนั่งนี้ แต่เดิมเป็นเรือขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ เพื่อส่งเข้าไปตามร้านค้าในคลองซอยให้ทั่วถึง ภายหลังจึงดัดแปลงมาเพื่อรับนักท่องเที่ยว จนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวเมืองเวนิสขอรับ" อือม์...ข้อมูลของ "ท่านผู้นำ" รู้สึกว่าจะได้น้ำได้เนื้อมากกว่าคุณโอ๋และนายท้ายของเราเสียอีก...

สุธรรม
01-02-2017, 15:03
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26023&stc=1&d=1485936063
บ้าน "นายซ่า" ที่ไปเมืองจีนตั้งแต่ยุคสุโขทัยยังเป็นวุ้นอยู่เลย..!

เมื่อเลี้ยวหัวเรือกลับ นายท้ายก็ชี้ให้ดูบ้านหลังหนึ่ง เป็นตึกสูงสี่ชั้นกว้างประมาณ ๖ ห้อง ทาสีเหลืองซึ่งซีดจางลงมากตามกาลเวลา "บ้านทางขวามือของทุกท่าน ที่มีต้นไม้หลายต้นอยู่ที่หน้าบ้าน คือบ้านของมาร์โคโปโล ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดท่านหนึ่งของเมืองเวนิส ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดีทั้งที่มีอายุตั้งหลายร้อยปีแล้ว" เมื่ออาตมาแปลให้เพื่อน ๆ ฟัง ทุกคนจึงยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเอาไว้ ขณะที่นายท้ายพาเรือกอนโดล่าเลี้ยวกลับเข้าไปในคลองซอย...

นอกจากสังเกตว่ามีป้ายเล็ก ๆ บอกทางติดไว้ที่สูงตามมุมตึกแล้ว อาตมายังสนใจ "แม่ย่านาง" ของเรือลำนี้ ที่เป็นรูปนางฟ้ามีปีก หล่อด้วยทองเหลือง มีผ้าสี ๆ ผูกรับขวัญเอาไว้อีกด้วย ถ้าหากว่ามีทองปิดอีกสักหลายแผ่น ก็น่าจะเชื่อได้เลยว่าเจ้าของเป็นคนไทย ทั้งที่อยู่ไกลกันจนสุดหล้าฟ้าเขียว ทำไมความเชื่อแบบนี้ถึงเหมือน ๆ กันได้ก็ไม่รู้ ?

"แสดงว่าคนโบราณท่าน "รู้จริง" ขอรับ อะไรที่เป็นความจริง เมื่อ "สัมผัส" ได้ ย่อมได้รับคำตอบที่เหมือน ๆ กันไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก" มัคคุเทศก์ไร้สังกัดให้ข้อสังเกต ขณะที่นายท้ายนำเรือเข้าจอดเทียบท่า อาตมาพยุงพระครูด็อกเตอร์ให้ขึ้นจากเรือ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยในเรืออีกลำที่ตามมาติด ๆ รีบขึ้นจากเรือมาช่วยพยุง ซึ่งเป็นการดีมาก เพราะว่าอาตมาคนเดียวทำท่าว่าจะเอาไม่อยู่ เล่นเอาเพื่อน ๆ "ลุ้น" ระทึกกันแบบใจหายใจคว่ำ...

สุธรรม
02-02-2017, 19:22
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26034&stc=1&d=1486038052
เดินกลับไปที่จตุรัสซานมาร์โค

มัวแต่พาท่านพระครูด็อกเตอร์ขึ้นบนท่า หันมาอีกทีเรือก็ออกตัวไปรวมกันอยู่ตรงท่าสำหรับลงเรือกันหมดแล้ว ไม่รู้ว่ามีใคร "ถีบ" ให้นายท้ายไปบ้างหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ก็ถือว่ารับบุญเป็นค่าบริการไปก็แล้วกัน "พระอาจารย์ทุกท่านโชคดีมากครับ เพราะว่ามีเรือสำราญเข้ามา ขอเช่าเรือกอนโดล่าทีเดียว ๗๗ ลำ ซึ่งเรือทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ก็มีไม่ถึง ถ้าเรามาช้ากว่านี้สักหน่อย มีหวังต้องรอกันนานเลยครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่อที่ส่งภาษาอิตาเลียนกับนายท่าหันมาบอกข่าวพวกเรา...

นับว่าดวงดีมี "ผี" คุ้ม ฮ่า..ฮ่า..! เล่นเอา "ผี" ทำท่าอยากจะหักคอ "คน" ซะเดี๋ยวนั้นเลย พวกเราเดินตามคุณโอ๋ออกจากท่าเรือ โดยมี "หญิงใหญ่" ปิดท้ายขบวน ปล่อยให้บรรดานักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาถึง ลุ้นกันสุดชีวิตว่าตัวเองจะได้เรือหรือไม่ ? มุดซอยวนกลับมายังจตุรัสซานมาร์โคตามเดิม แล้วมัคคุเทศก์รูปหล่อก็ปล่อยพวกเราแบบ "ตัวใครตัวมัน"...

"ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงยี่สิบเจ็ดนาทีของที่นี่ พระอาจารย์ทุกท่านเดินเลือกซื้อสินค้าได้ตามสบายนะครับ ถึงเวลาห้าโมงเย็นให้ทุกท่านมาพบกันที่จตุรัสนี้ ถ้ามาแล้วไม่เจอใคร นิมนต์เดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือนะครับ เรือของเราจะมารับที่ท่าเดิมตอนห้าโมงครึ่ง" พวกเราที่แม้ว่าจะรับทราบกำหนดการและจุดนัดพบกันแล้ว แต่ด้วยความที่ไม่เคยมาเวนิสกันเลย จึงสมัครใจเดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อกันต่อไป โดยเฉพาะท่านไพฑูรย์ที่ดูเหมือนกับโดนเสน่ห์ยาแฝดก็ไม่ปาน เพราะตามติดชนิดหายใจรดต้นคอมาตลอดตั้งแต่ต้นจนบัดนี้...

สุธรรม
03-02-2017, 04:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26035&stc=1&d=1486070111
ของสวยบนที่สูง

อาตมาถือว่ามีมัคคุเทศก์พิเศษประจำตัว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง แวะดูข้าวของที่ระลึกที่วางขายกันประมาณ “ซอยร้อยร้าน” ของบ้านเรา มีทั้งเครื่องแก้ว เครื่องเคลือบ เครื่องหนัง หน้ากากสารพัดแบบ เทวรูปและอัญมณี ตั้งแต่ชิ้นเล็กจนแทบจะหยิบไม่ติด ไปจนถึงชิ้นใหญ่สูงท่วมหัว ราคาตั้งแต่ ๑ ยูโรขึ้นไป จนถึงหลายพันยูโร เดินไปก็อาศัยวิชา “ล็อกเป้า” ที่เรียนมาสมัยยังเป็นนักเรียนทหาร พยายามจำทางไปด้วย โดยเฉพาะการเหลียวหลังดูทางให้บ่อยที่สุด เพื่อจะได้ชินกับ “ภูมิประเทศ” ช่วงขากลับ จึงได้เห็นของสวยแบบไม่ได้ตั้งใจ...

เป็นโคมไฟส่องทางที่ทำเป็นรูปร่มสามอัน สีน้ำเงิน เขียว แดง ล้อมขึ้นมาเป็นรูปโคม มีขั้วเป็นวงกลมสัมฤทธิ์ติดกับห่วงเล็ก ๆ ซึ่งคาบอยู่ในปากของหงส์ไฟ (Phoenix) ผงาดปีก ซึ่งยื่นคอยาวออกมาจากตัวที่เกาะอยู่กับผนังตึกด้านบน ทั้งหงส์และโลหะยึดกับผนังหล่อจากสัมฤทธิ์ ศิลปะอ่อนช้อยงดงามมาก จนต้องแวะถามที่ร้านขายเครื่องสัมฤทธิ์ว่า มีโคมไฟแบบนี้จำหน่ายหรือเปล่า ? สาวสวยที่ยืนคอยต้อนรับลูกค้าแสดงความเสียใจว่าไม่มี เพราะว่าเป็นของที่ร้านตรงหัวมุมที่แขวนโคมนั้นสั่งทำขึ้นมาเองโดยเฉพาะ ท่านสนใจโคมไฟแบบอื่นบ้างหรือไม่ ?

อาตมาขอบคุณแล้วเดินไล่ตามไปทางที่พรรคพวกเพิ่งเดินลับมุมตึก อีกสองเลี้ยวก็หลุดมาที่ริมคลองใหญ่ตามเดิม แต่ตรงนี้เป็นท่าเรือโดยสาร ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรลำใหญ่ ไม่แน่ใจว่าไปไกลถึงไหน ดูจากป้ายดิจิทัลแต่เห็นชื่อจุดหมายที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เช่น TRONCHETTO, ACCADEMIA, LIDO เป็นต้น เหลือบไปเห็นมัคคุเทศก์รูปหล่อยืนอยู่กับหลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ที่หน้าร้านขายไอศกรีม ซึ่งมีพิซซ่าขายด้วย ในร้านแคบ ๆ มีพวกเราเข้าไปนั่งเอ้เต้ฉันไอศกรีมกันอยู่โต๊ะหนึ่งแล้ว...

สุธรรม
03-02-2017, 16:43
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26037&stc=1&d=1486114829
อยากได้ของถูกก็ต้อง take away

อาตมาดูที่ป้ายเห็นราคาพิซซ่า "ถาด" ละ ๔ ยูโร แต่ของไอศกรีมกลับมีราคาพิลึก คือเป็นรูปโคนมีไอศกรีม ๒ "ลูก" ไปจนถึง ๕ "ลูก" แถวบนราคา ๑ - ๔ ยูโร แต่แถวล่างที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง กลับมีราคาบวกหนึ่งทุกอัน คือ ๒ - ๕ ยูโร "Why it has a different price ?" อาตมาถาม "น้องแหม่ม" ผมสีน้ำตาลอมทองที่ยืนขายไอศกรีมให้พวกเรา คุณโอ๋ได้ยินจึงอธิบายแทนว่า "ถ้ากินที่ร้านของเขาก็ ๒ "ลูก" ๓ ยูโร ถ้าเอาไปกินที่อื่นก็ ๓ "ลูก" ๒ ยูโรครับ"...

"เฮ้ย..เฮ้ย..อิ๊บอ๋ายแล้ว แบบนี้แปลว่าพวกผมเจอ ๓ ยูโรแล้วละสิ..!" พระครูญาณฯ ที่นั่ง "จุ๊ย" อยู่ในร้านโวยขึ้นมา "บ้านเขามีพื้นที่น้อยครับพระอาจารย์ ถ้านั่งในร้านเท่ากับเราต้องจ่ายค่าพื้นที่ให้เขาด้วยครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่ออรรถาธิบายเพิ่มเติม พระครูญาณฯ & เดอะ แก๊งค์ ทำท่าว่าอิ่มจนจุกขึ้นมาโดยพลัน "แล้วถ้าเอาไปกินที่อื่นต้องบอกเขาว่าอย่างไร ?" เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ถามขึ้น...

"บอกเขาว่าเอากี่ "ลูก" ต่อด้วย take away ครับ" อาตมาเพิ่งบอกเสร็จ ในแถวของพวกเราที่มีทั้งพระและฆราวาส ก็ร้อง "take away" กันให้ขรม อาตมาไม่สนใจเรื่องอาหารที่ฉันหลังเพลอยู่แล้ว โดยเฉพาะของที่สุ่มเสี่ยงต่อการต้องอาบัติจนศีลขาดอย่างไอศกรีม จึงเดินต่อไปจนถึงสะพานริอัลโต หาจังหวะว่างเดินแทรกนักท่องเที่ยวขึ้นไป เพื่อถ่ายรูปทิวทัศน์ของคลองใหญ่จากมุมบนสะพานนี้บ้าง...

สุธรรม
04-02-2017, 02:58
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26038&stc=1&d=1486151764
ภาพคลองใหญ่ที่ถ่ายจากบนสะพานริอัลโต

ได้รูปตามที่ต้องการแล้ว ว่าจะเดินดูร้านขายของทั้งสองฟากสะพาน แต่คนอย่างกับหนอน จึงเดินไปจนสุดสะพานถึงอีกฝั่งคลอง เป็นระเบียงตึกแคบ ๆ ที่ผู้คนแออัดยัดเยียด จนอาตมาเบียดไม่เข้า ต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิมจนถึงหน้าร้านขายไอศกรีม เห็นพรรคพวกหลายคนยังอร่อยกับไอศกรีมอยู่เลย "หลวงพี่เล็กจากวัดท่าซุงใช่ไหมคะ ? ดิฉัน "สมสุข" ลูกศิษย์หลวงพี่อาจินต์ค่ะ" สาวใหญ่วัยงามท่านหนึ่งในชุดสีดำลายขาว ถอดหมวกยกมือไหว้ พร้อมกับแนะนำตัวเสร็จสรรพ...

กูหนอกู...มาจนสุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว ยังอุตส่าห์มีคนรู้จักอีก ทำไมโลกนี้ช่างแคบแท้วะ ? อาตมาที่กลัวคนรู้จักต้องตอบรับไปแบบแกน ๆ อีกฝ่ายระดมยี่สิบคำถามสามตัวช่วยเกี่ยวกับวัดท่าซุงมาเป็นชุด จนอาตมาต้องรีบออกตัวว่า "อาตมาออกจากวัดมายี่สิบปีแล้ว ช่วงนี้ภารกิจมาก ซ้ำยังเรียนหนักอีกด้วย จึงไม่ค่อยได้ไปวัดท่าซุง ตอบคำถามของโยมไม่ถูกหรอกจ้ะ" บรรดาพรรคพวกเห็นอาตมามีคนรู้จักก็ห้อมล้อมกันเข้ามาทันที...

อาตมารีบแนะนำหลวงพ่อพระครูชุบ หลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ ใบฎีกาวรัญญู และพระครูปรีชา ที่อยู่แถวหน้าสุดให้โยมรู้จัก แล้วฉวยโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายกำลังทักทายทำความรู้จักกัน "แวบ" ออกมาจากกลุ่มแล้วเผ่นแน่บทันที "ทำไมท่านต้องทำท่าเหมือนกับหนีผีอย่างนั้นเล่าขอรับ ?" น่าน..."ผี" ดันมาสงสัยซะอีก "รู้จักมากคนก็มากเรื่อง โดยเฉพาะถ้าเขาขอให้ช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นภาระผูกพันที่ยุ่งยากมาก อาตมาขี้เกียจ "ผูกกรรม" กับคนหมู่มาก สู้เผ่นหนีเพื่อลดเรื่องยุ่งที่จะมาถึงตัวให้น้อยลงจะดีกว่า" อ้าว...เฮ้ย... ดันมาชวนคุย ตูเลยลืมดูทาง คราวนี้จะไปอย่างไรดีวะ ?...

สุธรรม
04-02-2017, 19:52
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26039&stc=1&d=1486212604
ภาพเขียนสีของมหาวิหารเซนต์มาร์ค

"ดูที่ขอบผนังตึกระหว่างชั้นแรกกับชั้นสองขอรับ" มัคคุเทศก์เถื่อนบอกทางสว่างให้ อาตมาเพิ่งจะสังเกตว่ามีป้ายเล็ก ๆ บอกทางติดอยู่ จึงรีบเลี้ยวไปตามทางขวาที่เขียนว่า S. Marco พร้อมกับลูกศรชี้ทางทันที เพิ่งเลี้ยวไปได้สองเลี้ยว กำลังจะเดินขึ้นสะพานข้ามคลองเล็ก ๆ ก็เจอเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาน่ารัก ๒ คน เดินตรงดิ่งเข้ามาหา ส่งภาษาอังกฤษปนอิตาเลียนพร้อมกับยื่นกระดาษขนาด A4 ให้อาตมาปึกหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นการขอรับบริจาคเพื่อการกุศลนั่นเอง...

มีผู้บริจาคเขียนชื่อและจำนวนเงินเอาไว้แล้วเป็นสิบราย อาตมาจึงรับปากกามาจากสาวน้อยเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมกับเปิดกระเป๋าจิงโจ้หยิบเงินขึ้นมา ๒๐ ยูโร ยายหนูส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า "30 up only." เฮ้ย..มีบังคับศรัทธาด้วย เธอชี้ให้ดูรายการที่ลงตัวเลขเอาไว้อย่างชัดเจน "20 or not donation."อาตมายื่นคำขาด ส่งใบละ ๑๐ ยูโรสองใบไปพร้อมกับคืนสมุดรับบริจาค อีหนูทำหน้าเมื่อยแต่ก็ยอมรับคืนแต่โดยดี เด็กพวกนี้ถูกบังคับให้ทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ สำหรับเป็นคะแนนเก็บ จึงอยาก "ทำยอด" ให้ได้มาก ๆ แต่อาตมาดันมีอุเบกขามากกว่าเมตตา เล่นเอาพวกเธอทั้งคู่ทำหน้า "เซ็งเป็ด" ก่อนที่จะวิ่งไปหาผู้บริจาครายอื่นต่อ...

เลี้ยวตามป้ายบอกทาง สวนกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ออกมาถึงจตุรัสซานมาร์โค รู้สึกว่านักท่องเที่ยวยิ่งมายิ่งเยอะ ไม่รู้ว่ากลางคืนเขามีอะไรให้ดูเป็นพิเศษหรือเปล่า ? "ก็แค่เพิ่มแสงไฟขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ที่มากกว่าแสงไฟก็คือพวกล้วงกระเป๋าก็มากตามไปด้วยขอรับ" "ท่านผู้นำ"พูดแบบนี้ทำเอาอาตมาหมดอารมณ์ไปเหมือนกัน ไปถึงมหาวิหารเซนต์มาร์ค ถ่ายรูปเขียนสีต่าง ๆ ที่เพดานโค้งเหนือประตู แล้วเดินหลบแดดเข้าไปในเงาตึกด้านซ้ายมือ...

สุธรรม
05-02-2017, 04:15
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26040&stc=1&d=1486242767
ลานแสดงศิลปะหน้าสถานีตำรวจ

ตรงมุมนี้มีสิงโตแกะสลักตัวหนึ่ง อยู่ในท่ายืนท้าวขาหน้า แต่หย่อนก้นลงแตะพื้น ตั้งอยู่บนแท่นซีเมนต์หรือหินก็ไม่รู้ ? เพราะว่าทาสีจนหาเนื้อเดิมไม่เจอ แต่ตัวสิงโตแกะขึ้นมาจากหินอ่อนสีน้ำตาลแดง หน้าตาเหมือนกับว่ายังแกะไม่เสร็จ แต่กลับดูดีเหลือเกิน ยิ่งมองก็ยิ่งสวย อาจจะเป็นเพราะความเก่าแก่หลายร้อยปี ที่ทำให้หินสึกกร่อนไปเองตามธรรมชาติ หรือไม่ก็คนแกะสลักตั้งใจทำให้เป็นแบบนี้ แสดงว่าอยู่ในระดับยอดฝีมือทีเดียว อาตมาตั้งชื่อให้สิงโตตัวนี้เองว่า "คุณปุปะ"...

เลี้ยวขวามาถ่ายรูปวิวริมทะเล ซึ่งแดดกำลังได้ที่เพราะทาบลงบนทะเลเป็นแนวเฉียงพอดี แล้วเดินย้อนทางขามาโดยเลาะริมตึกแถว ไปเจอ "ซอยแยก" เล็ก ๆ ทางซ้ายมือที่มีงานศิลปะตั้งแสดงอยู่หลายชิ้น จึงเดินเข้าไปดู ที่ไหนได้...ตรงนี้เป็นสถานีตำรวจ ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่คร่ำคร่า เมื่อเอางานศิลปะมาวางเอาไว้ให้ชม จึงดูขลังขึ้นอย่างน่าประหลาด งานชิ้นหนึ่งเป็นรูปคนนั่งขัดสมาธิบนแท่นหลายชั้น อยู่ในสิ่งรองรับที่หน้าตาคล้ายกับพื้นเก้าอี้รองนั่งแบบโค้ง แต่วัสดุที่สร้างเป็นสเตนเลสเงาวาววับ ทำให้ดูได้ยากมาก ต้องเข้าไปเพ่งจนติดหรือคลำดูถึงจะรู้สภาพที่แท้จริง...

หน้าอาคารสถานีตำรวจที่มีธงชาติอิตาลีผืนใหญ่ติดอยู่ เป็นลานที่ไม่กว้างนัก กลางลานเป็นกระถางดอกไม้ใบใหญ่ บนพื้นรอบกระถางปูหญ้าเทียมเอาไว้ประมาณ ๕ X ๘ ตารางเมตร บนหญ้าเทียมเขาเอาดอกกุหลาบสีม่วงแดงดอกใหญ่ที่น่าจะหล่อมาจากเรซิ่น มีแต่ดอกไม่มีก้าน วางเรียงรายเอาไว้อย่างเป็นระเบียบจนเกือบเต็มพื้นหญ้าเทียม ตรงประตูทางขึ้นอาคารมีรูปคนสีแดงที่คงจะเป็นเรซิ่นเช่นกัน คนหนึ่งกำลังทำท่า "หกสูง" อีกคนนั่งยอง ๆ อยู่บนเท้าของคนที่หกสูงนั่นเอง ที่ประตูมีโซ่สีขาวแดงกั้นไม่ให้คนเดินเข้าไปข้างในอาคาร...

สุธรรม
06-02-2017, 06:36
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26041&stc=1&d=1486337671
ด้านข้างสถานีตำรวจเป็นลานกว้างหน้าโบสถ์

หันกลับมาเจอท่านอาจารย์ ดร.วันชัย กำลังเข็นรถเข็นให้พระครูด็อกเตอร์เข้ามาในนี้เหมือนกัน ถามดูแล้วได้ความว่า "ขาไม่ดี ไปไหนก็ลำบาก แล้วก็เกะกะคนอื่นเขาด้วย ว่าจะกลับมารออยู่แถวใกล้ ๆ ท่าเรือก่อน พอดีเห็นอาจารย์พระครูเดินเข้ามาในนี้ ก็เลยตามมาบ้าง" เมื่อชมงานเขาจนทั่วแล้ว อาตมาจึงชวนทั้งสองท่านเดินต่อเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ทางขวามือ ปรากฏว่าเป็นลานกว้างเกือบเท่าสนามฟุตบอลมาตรฐาน มีโบสถ์ฝรั่งอยู่ด้วย แสดงว่าเป็นลานส่วนรวมสำหรับเอาไว้ทำกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับเกาะซึ่งหาที่ว่างได้ยาก พื้นที่ขนาดนี้ถือว่าฟุ่มเฟือยมากถึงมากที่สุด...

เกือบทุกระเบียงตึกชั้นบนของด้านนี้ มีต้นไม้ดอกงาม ๆ ปลูกเอาไว้แทบทั้งนั้น ด้านข้างค่อนไปด้านในของลานมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง กำลังมีดอกเต็มต้น ลักษณะช่อดอกคล้ายกับดอกชำมะนาด (ดอกข้าวใหม่) ของบ้านเรา แต่ไม่ใช่ไม้เถากึ่งยืนต้นและไม่มีกลิ่นหอมแบบดอกชำมะนาด ใต้ต้นมีม้าไม้โครงเหล็กตั้งอยู่ตัวหนึ่ง โชคดีที่คนนั่งซึ่งเป็นผู้หญิงลุกเดินจากไปพอดี อาตมาจึงฉวยโอกาสไปหย่อนก้นลงพัก แล้วเขียนบันทึกย่อของวันนี้เอาไว้ตามความเคยชิน...

ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย เข็นพระครูด็อกเตอร์มาอยู่เป็นเพื่อนพักหนึ่ง ก็บอกลาเข็นกันกลับออกไปทางเดิม แต่ได้ใบฎีกาวรัญญูกับมหานพพลเดินเข้ามาแทน ทั้งสองรูปไม่ได้มี "เก้าอี้ประจำตัว" แบบพระครูด็อกเตอร์ จึงนั่งลงข้างอาตมาแล้วชวนคุย เรื่องที่ท่านไปเจอเด็กสาวสองคนมาขอรับบริจาค เห็นมีชื่อของอาตมาอยู่ในบัญชีนั้นด้วย พออาตมาถามว่าบริจาคไปคนละเท่าไร ? "ไม่ได้ทำเลยครับ ผมฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องจริง ๆ ส่วนท่านอาจารย์วรัญญูแกล้งทำเป็นฟังไม่ออก เลยไม่ต้องเสียตังค์" ฮ่า..ฮ่า..มือวางอันดับหนึ่งอันดับสองด้านภาษาอังกฤษของรุ่น ต้องทำเป็นฟังไม่ออก ยากมากเลยนะนี่..!

สุธรรม
06-02-2017, 17:55
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26042&stc=1&d=1486378352
น้ำส้มเปรี้ยวจี๊ด แต่ฉันแล้วกลับรู้สึกว่าหวาน ?

คุยกันจนหมดเรื่องคุยแล้ว ทั้งสองท่านเห็นอาตมา “รากงอก” ไม่ขยับไปไหนแน่ จึงขอตัวไปเดินดูอะไรต่อมิอะไรต่อไป อาตมาเพิ่งก้มหน้าจดบันทึกก็ได้ยินเสียงทักขึ้นใกล้ ๆ ว่า “Good evening, Sir. Are you Buddhist monk ?” เป็นสำเนียง “แขก” ที่คุ้นหูมาก เงยหน้าขึ้นมาเจอหนุ่มสาวสองคนที่ผิวค่อนข้างดำยืนยิ้มฟันขาวอยู่ใกล้ ๆ พอตอบว่า “Yes, I’m Theravada Buddhist monk.” ทั้งสองคนก็ทำท่าดีใจมาก บอกว่าตนเองทั้งคู่เป็นชาวพุทธจากบังคลาเทศ เฮ้ย...อัศจรรย์มาก ประเทศมุสลิมแท้อย่างบังคลาเทศ มีชาวพุทธอยู่แค่หยิบมือเดียว อาตมากลับมีโอกาสได้พบทีเดียวถึงสองคน..!

ทั้งสองคนบอกว่าเป็นสามีภรรยากัน อพยพมาอยู่ประเทศอังกฤษ ทำงานเก็บเงินได้ก็เลยมาเที่ยวเมืองเวนิส ตอนอยู่ที่ประเทศอังกฤษได้ทำบุญที่วัดศรีลังกา อาตมาถามว่ารู้จักท่านมังคะละปิยะหรือไม่ ? ผู้เป็นสามีตอบว่ารู้จักแต่ท่านปิยะรัตนา แล้วขออนุญาตวิ่งไปซื้อน้ำปานะมาถวาย เมื่อกลับมามีน้ำส้มแช่เย็นยี่ห้อ Amita มาสองขวดพร้อมหลอด แล้วช่วยกันประเคน อาตมารับแล้วให้พรเป็นภาษาบาลี ทั้งสองยอบตัวลงนั่งรับ หน้าตาผ่องใสอิ่มเอิบที่ได้ทำบุญไกลบ้าน...

อาตมาแนะนำว่าที่อิตาลีนี่มีวัดไทยที่กรุงโรม ทั้งสองว่าได้ไปทำบุญกับวัดไทยที่เมืองมิลานมาแล้ว อาตมาจึงแนะนำว่าที่อังกฤษมีวัดไทยหลายแห่ง ให้เขาหาข่าวจากอินเตอร์เน็ตก็ได้ ใกล้ที่ไหนจะได้ไปทำบุญที่นั่น ทั้งสองคนรับคำ ยกมือไหว้แล้วขอลา อาตมาอวยพรตามหลังไปว่า “Peaceful & Happiness” ปกติแล้วหลังเพลอาตมาจะไม่แตะต้องน้ำปานะต่าง ๆ แต่เมื่อรับน้ำใจไกลบ้านจากสองสามีภรรยามาแล้ว จึงเปิดขวดขนาด ๓๐๐ ซีซี. ดื่มไปหนึ่งขวด รสชาติเปรี้ยวได้ใจ แต่ทำไมรู้สึกหวานอยู่ข้างในก็ไม่รู้ ?

สุธรรม
07-02-2017, 03:43
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26043&stc=1&d=1486413674
ร้านค้าหลังตึกแต่ละร้านราคาถูกกว่าหน้าตึกสามเท่า..!

อยู่ดี ๆ ก็มีร่างดำ ๆ วิ่งพรวดพราดเข้าซอยมาหลบอยู่ที่มุมตึก ชะโงกหน้าออกไปเหมือนกำลังดูต้นทาง สักครู่ก็มีอีกสองคนวิ่งตามเข้ามา คนแรกและคนที่สองวิ่งไปท้ายซอยหลบอยู่หลังพุ่มไม้ คนที่สามหลบมุมตึกแทนคนแรก ชะโงกหน้าออกไปดูทาง ที่แท้เป็น “คุณเฉาก๊วย” ที่มีสินค้าเต็มมือ คงเจอ “เทศกิจ” เมืองเวนิสไล่จับสินค้าเถื่อนเข้าแล้ว แต่ถ้าดูการหลบหลีกที่คล่องแคล่วฉับไว มีการประสานงานกันอย่างดีเลิศแบบนี้ คงไม่ใช่การหนีครั้งแรก ๆ อย่างแน่นอน...

ปล่อยให้สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ครู่ต่อมา “คุณเฉาก๊วย” รายที่สามก็โบกมือเรียก สองคนที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้เห็นแต่ตาขาว ๆ ค่อยโผล่ออกมาทั้งตัว เดินไปสมทบกันแล้วพากันหายออกไปด้านนอก สวนทางกับรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์ที่กลับเข้ามา พอมาถึงท่านก็รีบแจ้งว่า “ด้านในซอยถัดไปมีร้าน “โชห่วย” เพียบเลยครับ ขายของถูกกว่าตึกแถวริมน้ำเกินครึ่ง” อาตมาที่อยากรู้ว่าของถูกขนาดไหน จึงสละที่นั่งให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย แล้วเดินออกไปเพื่อดูด้วยตาตัวเอง...

เลี้ยวซ้ายเดินขนานไปกับทะเล แล้วเลี้ยวซ้ายอีกที เข้าซอยไปหน่อยเดียว ก็มีร้านขายสินค้าที่เป็นชาวบ้านแท้ ๆ เรียงรายไปตามตึกแถว มีทั้งของที่ระลึก ผลไม้ ขนม อาหาร น้ำดื่ม แค่เห็นน้ำดื่มก็รู้แล้วว่าราคาถูกมาก ข้างนอกน้ำดื่มขวดเล็กราคา ๑.๕ ยูโร ขวดใหญ่ ๒ ยูโร แต่ข้างในนี้ขวดเล็ก ๐.๕๐ ยูโร ขวดใหญ่ ๐.๖๐ ยูโร คิดง่าย ๆ ว่าถูกกว่าข้างนอกประมาณสามเท่า..! โอ้แม่เจ้า...นี่พวกเราโดน “ฟัน” ไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ? แค่หน้าตึกกับหลังตึกราคาต่างกันได้ขนาดนี้..!

สุธรรม
07-02-2017, 15:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26047&stc=1&d=1486455984
ถ่ายรูปกับ "คุณสมสุข" และท่านประธานรุ่น

เดินเซ็งกลับออกมาประมาณว่า “พบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น” เจอหลวงพ่อพระครูชุบเดินมาพอดี จึงชวนท่านประธานรุ่นเดินไปจนถึงท่าเรือจุดนัดพบที่สอง หาเงาตึกที่ไม่มีคนได้ก็ก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกประจำวัน อีหนูฝรั่งที่น่าจะเป็นเด็กนักเรียนขี้สงสัย อาศัยความสูงชะโงกหน้าข้ามไหล่มาดูจนติด ถามว่าเป็นตัวหนังสือชาติไหน ? ก็ชาตินี้แหละ..เอ๊ย..ไม่ใช่ ตัวหนังสือไทยต่างหาก แต่ช่วยขยับไปห่าง ๆ หน่อยได้ไหม ? เดี๋ยว “หลวงตา” ตบะแตกเว้ย..!

พอรู้ว่าอาตมาเป็นนักบวชประเภทห้ามผู้หญิงเข้าใกล้ อีหนูก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี อาตมาขี้เกียจให้ “ฝรั่งมุง” จึงเก็บสมุดบันทึก หยิบกล้องมาถ่ายรูปบริเวณท่าเรือแทน ไม่ว่าจะเป็นป้าย WC เล็ก ๆ บนพื้น ที่มีลูกศรชี้บอกทางไปห้องน้ำ ป้ายระวังเดินสะดุดที่หัวสะพาน แต่ดันมีรูปเหมือนกับว่าให้เดินเอาหัวชนประตูถึงจะเข้าไปได้ ท้ายสุดไม่มีอะไรก็ถ่ายรูปสาหร่ายผมนางเงือก ที่ขึ้นอยู่แน่นไปทั้งริมน้ำ หันกลับมาอีกทีเจอพรรคพวกที่เดินมาเป็นกลุ่ม แต่ดันพา “คุณสมสุข” มาด้วย..!

“นั่นไงโยม...พระครูวิลาศฯ อยู่ที่ริมน้ำนั่น” พระครูกล้าชี้เป้าชนิดที่อาตมาไม่มีทางหลบ ยังมีหน้าตะโกนบอกมาว่า “โยมอยากจะคุยกับหลวงพ่อ แต่ยังไม่ทันได้คุย เลยให้ผมช่วยพามาหา” เออ...ขอบคุณเป็นอันมาก ถ้าลับหลังโยมเมื่อไรขอเตะสักทีเถอะวะ..! เมื่อ “คุณสมสุข” เห็นว่าอาตมาไม่อยากคุยด้วยจริง ๆ ถามคำตอบคำ จึงขอถ่ายรูปด้วยเพื่อเอาไว้เป็นหลักฐาน โดยมีพระครูปรีชาเป็นตากล้องให้ พอดีมัคคุเทศก์รูปหล่อกับคุณโอเล่พาพรรคพวกชุดสุดท้ายมาถึง อาตมาจึงฉวยโอกาสหลบไปบังข้างหลังกลุ่ม ทิ้งให้ “คุณสมสุข” ยืนเคว้งไปคนเดียว...

สุธรรม
08-02-2017, 03:44
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26048&stc=1&d=1486500029
ลงเรือขากลับ ใครไม่ทำตามกฎก็ว่ายน้ำไปเอง..!

เมื่อตรวจนับว่าทุกคนมากันครบแล้ว คุณโอ๋ก็โทรศัพท์เรียกเรือมารับ เมื่อเรือเข้ามาเทียบท่า บรรดานักท่องเที่ยวก็กรูกันขึ้นไปจนอาตมาตาเหลือก แบบนี้จะมีที่เหลือให้พระหรือวะ ? มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกว่าไม่ใช่เรือของเรา แม้ว่าหน้าตาจะเหมือนกัน ของเราเป็นอีกบริษัทหนึ่งซึ่งเหมาลำเอาไว้แล้ว เออ..ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าขากลับจะต้องยืนซะแล้ว...

เมื่อเรือของเรามาเทียบท่า ก็เห็นว่านักท่องเที่ยวอื่นเขารู้กันทั้งนั้น เพราะไม่ได้กรูกันมาขึ้นแบบลำก่อน พวกเราชักแถวลงเรือโดยมีเสียงเหี้ยม ๆ ของ “พี่บึ้ก” ย้ำว่า “ห้ามขึ้นหลังคา ห้ามนั่งด้านนอก ต้องเข้าไปนั่งด้านในทั้งหมด” ยกเว้นพระครูด็อกเตอร์ที่ขาพิการเท่านั้น ที่เขายอมให้นั่งอยู่บริเวณท้ายเรือใกล้ ๆ กับพวงมาลัย พวกเราต้องเดินจ๋อง ๆ เข้าห้องท้องเรือไปแต่โดยดี เพราะดูท่าแล้วขืนไปทำตัวมีปัญหา "พี่บึ้ก" ที่ใส่แว่นดำ ท่าทางเหมือนกับลูกน้องของ "ดอน คอลิโอเน่" คงให้ว่ายน้ำกลับเองจริง ๆ..!...

“อ๊ายยย..ไม่ได้ค่ะ..!” เสียง "หญิงใหญ่" แหลมปรี๊ดจนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว แล้วก็เห็นว่าพระครูญาณฯ หย่อนก้นลงไปบนม้านั่งเดียวกัน “ทำไมจะไม่ได้ ก็ตรงนี้ว่างตั้งสองที่” จอมตะแบงเถียงหน้าตาเฉย “พระอาจารย์เป็นพระนะคะ” “เฮ่ย..รู้ เป็นพระครูเจ้าคณะตำบลด้วย” น่าน...ไปได้ลื่น ๆ เลย พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะร้องกรี๊ดขึ้นมาอีก จอมกลั่นแกล้งถึงได้เดินหัวเราะไปหาที่นั่งใหม่...

สุธรรม
08-02-2017, 15:21
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26052&stc=1&d=1486541942
ดู...ดู "พี่บึ้ก" เขาทำ..!

เมื่อเรือออกจากท่าอาตมาก็เห็นว่า ที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีหอระฆังสูงลิบ มีโดมที่น่าจะเป็นโบสถ์อีกแห่งหนึ่งนั้น มีรูปปั้นพิลึกกึกกือสีม่วงชมพู ลักษณะเป็นคนอ้วนพุงพลุ้ยแต่ไม่มีแขน แก้ผ้านั่งเหยียดเท้าอยู่บนแท่นริมน้ำ ดูอย่างไรก็หาความสวยไม่ได้ มิหนำซ้ำยังไม่เข้ากับบรรยากาศอย่างแรงอีกด้วย เอามาตั้งไว้เพื่อลดความสวยของริมน้ำหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? อาตมาจึงถ่ายรูปเอาไว้ดูว่าของอัปลักษณ์แบบนี้เขาก็มีแสดงให้ชมเหมือนกัน...

ส่งน้ำส้มขวดที่เหลือพร้อมหลอดให้กับหลวงพ่อพระครูเรือง แล้วอาตมาก็ถือกล้องเดินถ่ายรูปรอบห้องท้องเรือ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐถ่ายวิดีโอ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยถ่ายภาพนิ่ง แต่พออาตมากับท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชาทำท่าจะมุดออกไปทางช่องหัวเรือ “พี่บึ้ก ๒” ก็เอาเชือกและผ้าใบซึ่งน่าจะมีเอาไว้สำหรับกันฝน มาขึงปิดช่องทางแบบหน้าตาเฉย พวกเราหัวเราะกับอาการที่ดูแล้วว่าคงจะเข็ดกับคณะของเราไปอีกนาน...

ถึงอยู่แต่ในห้องท้องเรือ แต่มีหน้าต่างกระจกก็ทำให้มองออกไปรอบด้านได้อย่างสบาย ไม่ถึงกับอึดอัดอะไรนัก เรือยอชท์สวย ๆ ลำหนึ่งราคาหลายสิบล้านมีให้ดูเป็นระยะไป เรือสำราญขนาดตึกสามชั้นสี่ชั้นก็มีไม่น้อย ซ้ำยังมีเรือก่อสร้างที่เป็นปั้นจั่นลอยน้ำอยู่หลายลำ แต่ละลำกำลังง่วนอยู่กับการตอกเสาเข็มลงชายฝั่งทะเล ดูจากจำนวนเสาเข็มแล้ว น่าจะเป็นอาคารขนาดมโหฬารระดับหลายพันล้านเลยทีเดียว เรือที่เป็นภัตตาคารลอยน้ำทั้งหลังก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง...

สุธรรม
09-02-2017, 03:11
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26053&stc=1&d=1486584526
"ร้านนี้ราคาถูก ๆ" แสดงว่าถูกทุกร้าน ?

ย้อนทางเดิมจนมาเทียบท่าที่เราลงเรือครั้งแรก ขึ้นจากท่าแล้วมัคคุเทศก์รูปหล่อพาพวกเราเดินไปยังหมู่ร้านค้าที่ร้องเรียกลูกค้ากันเซ็งแซ่ ภาษาไทยประเภท “สวัสดีครับ" "ร้านนี้ราคาถูก ๆ” ดังให้ขรมไปหมด “ผมให้เวลาพระอาจารย์ทุกท่านจนหกโมงครึ่งนะครับ มาร์โคจอดรถเอาไว้ตรงลานจอดด้านโน้น ถึงเวลาแล้วขอพระอาจารย์ทุกท่านเดินไปขึ้นรถด้วยนะครับ”...

พวกเราแยกย้ายกันเดินดูสินค้ากันตามอัธยาศัย อาตมามุดเข้าร้านที่มีของที่ระลึกประเภทตุ๊กตุ่นตุ๊กตา จานสำหรับตั้งโชว์ พวงกุญแจ โปสการ์ด หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ท่านไพฑูรย์ พระครูปรีชา เดินตามเข้ามาด้วย อาตมาชี้ไปที่จานขนาดประมาณ ๘ นิ้ว มีรูปประเภทเรือกอนโดล่า หอระฆังเซนต์มาร์ค และคลองใหญ่ อยู่ข้างใน ถามว่าราคาเท่าไร ? “18 Euros, Sir” ตั้งเจ็ดร้อยกว่าบาท “10 Euros, OK ?” อีกฝ่ายปฏิเสธเป็นพัลวัน ไม่ซื้อก็ได้วะ..!

“ท่านพระครู..รบกวนต่อราคาให้ผมหน่อยครับ ผมจะเอาแบบมีรูปเรือนั่น ๕ ใบ” หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ชี้เป้าหมาย อาตมาต่อแทบตายเจ้าของร้านจึงยอมขายให้ในราคาใบละ ๑๒ ยูโร โดยทำท่าน่าสงสาร เรียกอาตมาว่า “my friend” อีกด้วย ขณะที่เขากำลังจัดการห่อใส่ถุงให้ ท่านไพฑูรย์ก็สั่งแบบเดียวกันบ้าง กูจะบ้าตาย...ทำไมไม่ตัดสินใจให้เร็วกว่านี้วะ ? ไม่อย่างนั้นซื้อล็อตใหญ่ขนาดนี้ต้องได้ใบละ ๑๐ ยูโรอยู่แล้ว...

สุธรรม
09-02-2017, 13:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26054&stc=1&d=1486620890
พามาซื้อของที่ร้าน Max

เดินหมดอารมณ์ออกจากร้าน มานั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก สมุห์สุมิตรรีบส่งน้ำเย็นมาปลอบใจ อาตมาฉันแก้เซ็งไปเกือบครึ่งขวด ประธานรุ่นของเราหิ้วถุงใส่ของที่ระลึกหอบเบ้อเริ่มมานั่งด้วย คงจะซื้อไปฝากลูกคณะเป็นแน่ มีอาบังโพกหัวแบบแขกซิกข์มาแบมือขอวัตถุมงคล อาตมาชี้ไปที่หลวงพ่อพระครูเรือง ท่าน ผอ.โรงเรียนฯ เสกกุมารทองขลังอย่าบอกใครเลย แต่ขอโทษ...กุมารทองพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เหมือนกับเจ้าของ งานนี้จึงแผลงฤทธิ์ไม่ออก ฮ่า...

เห็นว่าใกล้เวลานัดหมายแล้ว อาตมาจึงชวนพรรคพวกเดินไปที่รถ นายสันโดษนำรถออกจาก “ซอง” มารออยู่กลางลานแล้ว ติดเครื่องเปิดแอร์ไว้เสร็จสรรพ คุณโอเล่นับยอดทุกคนที่ขึ้นมา พอครบ ๒๗ คนรวมทั้งตัวเอง มัคคุเทศก์รูปหล่อก็สั่งให้ออกรถ นายสันโดษนำวิ่งย้อนกลับทางเดิม ผ่านหน้าภัตตาคารจีนที่เราฝากท้องไว้เมื่อกลางวัน วนวงเวียนแล้วเลี้ยวขวาออกไปไม่ไกลนัก ก็เลี้ยวเข้าลานจอดรถ ปล่อยพวกเราลงมาแบบมึน ๆ ประมาณว่า “ที่นี่ที่ไหนวะ ?”

“ผมจะพาพระอาจารย์ทุกท่านไปช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมจากร้าน Max ครับ ของที่ร้านนี้ราคาไม่แพง เกือบจะเป็นราคาโรงงานเลยครับ ที่สบายใจก็คือเจ้าของร้านพูดไทยได้ ทุกท่านจะได้ต่อราคากันตามสบาย ตามผมมาเลยครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อไขข้อกังขาเสร็จ ก็เดินนำพวกเราออกจากลานจอดรถ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนที่มีเลนจักรยานทั้งสองฝั่ง ผ่านบ้านที่มีต้นกุหลาบงามสะพรั่งอยู่ริมรั้ว เลยป้ายรถเมล์ไปไม่ถึงสองร้อยเมตร ก็เห็นธงสารพัดชาติโบกสะบัดอยู่บนป้ายหน้าร้าน โดยมีธงชาติไทยติดอยู่เป็นผืนแรกเลย...

สุธรรม
10-02-2017, 05:18
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26055&stc=1&d=1486678584
ใบเล็กซ้ายมือที่เล็งเอาไว้แต่ไม่ได้ซื้อ

ร้านนี้เป็นตึกแถวสองชั้น กว้างประมาณ ๕ คูหา ด้านหน้าเป็นกระจกใส ทำให้เห็นสินค้าหลักที่มีทั้งกระเป๋าถือของผู้หญิง กระเป๋าเดินทาง เป้ สารพัดสีสารพัดแบบ “สวัสดีครับพี่ ผมพาพระอาจารย์ทุกท่านมาหาซื้อกระเป๋าครับ” คุณโอ๋ยกมือไหว้หนุ่มใหญ่ในชุดกางเกงสีน้ำตาลเทา เสื้อเชิร์ตสีขาว ที่รีบยกมือวันทาพวกอาตมาโดยไว “นมัสการพระคุณเจ้าทุกรูปครับ นิมนต์เลือกสินค้าได้ตามสบาย ถ้าท่านใดอยากเข้าห้องน้ำก็นิมนต์ด้านโน้นนะครับ”...

อาตมาตาลายกับข้าวของล้านเจ็ดสิบเอ็ดแสนที่เต็มร้านไปหมด จึงเดินไปเข้าห้องน้ำก่อน ปล่อยทุกข์เบาเรียบร้อยแล้วค่อยออกมายืนดูอยู่ห่าง ๆ เพราะไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี ขณะที่พรรคพวกเลือกสินค้ากันอุตลุด พร้อมกับถามเจ้าของร้านแบบไม่เกรงใจว่า “ทำไมขายราคาต่ำอย่างนี้ ? สินค้ามีตำหนิหรือเปล่า ?” อีกฝ่ายก็ใจเย็นสมกับเป็นคนค้าคนขาย ตอบทุกคำถามแบบไม่รู้สึกรำคาญ อาตมาเดินวนแบบช้า ๆ ไปจนเจอมุมกระเป๋าเดินทาง เอ๊ะ...เข้าท่าแฮะ...

เป็นกระเป๋ายี่ห้อ Samsonite สารพัดขนาด มีทั้งแบบโพลิเมอร์แข็งขึ้นรูป และแบบผ้าใบหน้าตาดูแข็งแรงทีเดียว แต่ที่สะดุดตานั้นเป็นกระเป๋าเดินทางขนาดหิ้วติดตัวแบบผ้าใบ สีน้ำตาลเหมาะสมกับพระมาก พลิกดูป้ายราคาแล้วใบใหญ่อยู่ที่ ๒๙๕ ยูโร ใบเล็กหิ้วขึ้นเครื่องได้ราคา ๒๕๓ ยูโร “ผมว่าน่าใช้มากเลยนะ พระครูวิลาศฯ จะซื้อหรือ ?” ท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำสิงห์โตทองถาม อาตมาพิจารณาดูแล้ว ถ้าเราไม่หิ้วขึ้นเครื่องเอง เผลอฝากเข้าท้องเครื่องเมื่อไร ของราคาหมื่นกว่าบาทก็คงโดนโยนกระจายเหลือแค่ร้อยเดียวเป็นแน่แท้..!

สุธรรม
10-02-2017, 14:21
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26057&stc=1&d=1486711168
มะลิวัลย์กับกุหลาบหนูบนรั้วบ้าน

“โยม...ราคาที่ติดเอาไว้นี่ยังลดอีกได้ไหม ?” อาตมาถาม เจ้าของร้านรีบตอบว่า “ลดได้อีกเต็มที่ไม่เกิน ๑๕ % ครับพระคุณท่าน” อาตมาลองหิ้วใบเล็กดูแล้วกระชับมือมาก ขนาดก็กำลังดี สีสันก็เหมาะสม แต่ถึงจะลด ๑๕ % แล้ว ราคาก็ยังเกือบเก้าพันบาท ถ้าเผลอโดนโยนพังไปจะน่าเสียดายมาก “ราคานี้ที่ฝรั่งเศสก็มีครับ ผมเคยไปมาแล้ว” ลูกศิษย์หลวงปู่โต๊ะบอกด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว อาตมาจึงวางกระเป๋าลงแล้วเดินดูของอื่นรอบร้านต่อไป...

ลูกค้าชุดใหม่กรูกันเข้ามาเต็มร้าน ภาษาจีนกลางดังเอ็ดตะโรจนเวียนหัว จะเลือกซื้อไปทำไมวะ ? ที่บ้านพวกคุณของ “ก๊อป” เกรดเอราคาถูกกว่านี้ตั้งเยอะแยะ อาตมาหลบขึ้นชั้นบนเดินดูสินค้าไปเรื่อย ข้าวของก็เหมือนกับข้างล่างทุกอย่าง ไม่ว่าคุณจะอยู่ชั้นบนหรือชั้นล่างก็เลือกได้ตามสบายใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่แล้ว อาตมาก็เดินมือเปล่าลงมาชั้นล่าง หลบลูกค้าชาวจีนออกจากร้านไปเลย เพราะอยู่ต่อไปก็ไม่ได้มรรคผลใด ๆ เหมือนกับคนอื่นเขา...

เดินย้อนกลับไปลานจอดรถ พร้อมกับถ่ายรูปดอกกุหลาบสวย ๆ ตามรั้วบ้านไปเรื่อย มีทั้งกุหลาบมอญสีแดงสดที่ออกเป็นช่อใหญ่ กุหลาบหนูดอกเล็ก ๆ มะลิวัลย์ที่ดอกพราวเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า ขึ้นพันเป็นพุ่มยาวไปตามแนวรั้ว บางบ้านก็ขึ้นปนกันไปหมดทั้งสามอย่าง กลับมาถึงลานจอดรถ เห็นนายสันโดษกำลังเอาผ้ายางปูพื้นออกมาสะบัดฝุ่นทิ้ง แล้วจัดการปูใหม่ให้เข้าที่ พอเห็นอาตมาเดินมาถึงก็จัดการติดเครื่องยนต์ เปิดเครื่องปรับอากาศให้ทันที...

สุธรรม
11-02-2017, 03:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26058&stc=1&d=1486757683
โรงแรมหน้าตาเหมือนกล่องกระจก

ล้วงเอาสมุดบันทึกออกมา จดบันทึกย่อของวันนี้ต่อ รออยู่เกือบชั่วโมงพรรคพวกก็เดินกันมาเป็นพรวน ส่วนมากกลับมามือเปล่ากันแทบทั้งนั้น คาดว่าคงจะคิดแบบเดียวกันกับอาตมา ที่ซื้อของแพงไปแล้วพังก็จะเป็นที่น่าเสียดายมาก คุณโอ๋นับยอดจนมั่นใจว่ามากันครบทุกคนแล้ว ก็บอกให้นายสันโดษออกรถไปยังที่พักของคืนนี้ พอได้ยินว่าจะเข้าที่พักอาตมาก็รู้สึกดีใจ เพราะว่าร่างกายที่ตรากตรำมาทั้งวันทำท่าจะไม่ไหวแล้ว สะโพกก็เริ่มประท้วงด้วยการเจ็บมากขึ้น...

ผ่านถนนที่มีพุ่มกุหลาบและไม้ดอกสวย ๆ ปลูกไว้เป็นแถวเป็นแนว ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงโรงแรมที่หน้าตาเหมือนกับกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า กรุกระจกโดยรอบ บริเวณที่เป็น “ขอบกล่อง” ซึ่งเป็นโครงสร้างคอนกรีต ทาสีส้มสดใส ด้านบนที่เหมือนชายหลังคากรุโลหะเบาประเภทอะลูมิเนียม มีส่วนที่เป็นโครงเหล็กโปร่งเหมือนกับสร้างยังไม่เสร็จ แต่ความจริงแล้วเป็นส่วนที่สร้างคร่อมคลอง เพื่อให้เรือวิ่งจากทะเลเข้ามาจอดในอู่ของโรงแรมได้...

นายสันโดษนำรถจอดบนถนนสายในข้างโรงแรม คุณโอ๋ลงไปทำหน้าที่ของตนเอง อาตมาลงจากรถยังไม่ทันที่จะตามไป มัคคุเทศก์รูปหล่อก็ผลุบกลับออกมาประตูจากกระจก ต้อนพวกเราขึ้นรถใหม่ “กราบขอขมาพระอาจารย์ทุกท่านครับ ด้านนี้เป็นด้านหลังของโรงแรม พวกเรามาผิดด้าน ต้องไปเช็คอินกันที่ด้านหน้าครับ” ก็ไอ้กล่องนี้เป็นสี่เหลี่ยมกรุกระจก หน้าตาเหมือนกันทุกด้าน ต่อให้เป็นอาตมาก็คงจะเดินผิดเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าแค่อ้อมไปด้านหน้า อาตมาจึงเดินไปแทนที่จะขึ้นรถ ผ่านน้ำพุสวย ๆ น้ำสีฟ้าใสแจ๋วของทางโรงแรม และอู่ที่มีเรือเร็วส่วนตัวจอดอยู่เต็ม ไปถึงเกือบจะพร้อมกับทุกคนที่นั่งรถไป...

สุธรรม
11-02-2017, 15:24
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26059&stc=1&d=1486801316
มาช้าไปหน่อย...คุณโอ๋รับกุญแจมาเรียบร้อยแล้ว

ทางด้านหน้านี้มีอักษร NH Laguna Palace ใหญ่เบ้อเริ่มติดอยู่บริเวณส่วนล่างของผนังตึกชั้นสอง ประตูกระจกทางเข้าที่เปิดขึ้นเหมือนกับเป็นกันสาดนั้น น่าจะสามารถเลื่อนลงมาปิดสนิทเป็นฝากล่องได้ด้วย เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็เจอกับล็อบบี้ของโรงแรม ซึ่งมีชุดรับแขกตั้งอยู่หลายชุด พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางทีเดียว ตรงหน้าเป็นเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์สีฟ้าอ่อนใสเหมือนกับน้ำทะเล ข้างขวามือเป็นกระถางดอกไม้หน้าตาเหมือนกับแจกันขนาดใหญ่ ใบสีขาวที่อยู่ข้างชุดรับแขกปลูกต้นไม้ในร่ม หน้าตาคล้ายว่านเสน่ห์จันทร์เขียวของบ้านเรา ส่วนใบสีม่วงแดงตรงมุมห้อง มีต้นไม้ที่ลำต้นคล้ายกับต้นจันทน์ผา แต่ใบหยิกสลวยลงมาเหมือนใบว่านเศรษฐีขอดเงิน...

ด้วยความที่เดินมาช้ากว่ารถ คุณโอ๋กับคุณโอเล่เจรจากับเจ้าหน้าที่ของโรงแรมเสร็จแล้ว รับเอาบัตรกุญแจ (Key Card) มาแจกให้กับพวกเรา ของอาตมากับหลวงพ่อพระครูเรืองได้ห้องหมายเลข ๓๕๑ ทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรมบอกว่า ต้องเดินทะลุอาคารนี้ไปยังที่พักซึ่งเป็นอีกอาคารหนึ่ง พวกเราจึงแปลงร่างเป็นเขมรอพยพ หอบ “สมบัติบ้า” พะรุงพะรังเดินตามคุณโอ๋ไปเป็นงูกินหาง...

ผ่านประตูกระจกออกไปทางด้านหลัง ตรงนี้เป็นลานกว้างยาวตลอดตัวอาคาร มีชุดนั่งเล่นตั้งเรียงรายอยู่หลายชุด หลังคาเป็นกระจกรับแสงที่ตั้งใจให้นั่งอาบแดดไปในตัว ถัดจากลานนั่งเล่นเป็นอู่จอดเรือที่มีเรือเร็วส่วนตัวจอดอยู่แน่นไปหมด ผ่านไปตามทางเดินที่เชื่อมกับอาคารอีกหลัง เวรเอ๊ย...ที่พักของพวกเราก็คือไอ้หลังที่นายสันโดษเอารถมาจอดทีแรกนั่นแหละ ดันให้เดินวนเสียรอบใหญ่ ทุกคนเมื่อเห็นตามที่อาตมาชี้บอกก็บ่นกันพึม ไปยืนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทางโรงแรมอยู่ที่หน้าลิฟท์...

สุธรรม
12-02-2017, 03:05
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26061&stc=1&d=1486843364
กล่องที่หน้าห้องพักหน้าตาคล้ายแบบนี้แหละ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

อาตมาไม่ค่อยจะใช้เครื่องทุ่นแรงกับใคร จึงเดินขึ้นบันไดสเตนเลสหน้าตาพิลึกขึ้นไปข้างบน ผ่านที่พักชั้นที่สองไปจนถึงชั้นที่สาม จึงถึงบางอ้อว่าทำไมถึงรู้สึกว่าบันไดของที่นี่หน้าตาพิลึก ก็เพราะว่าเขาตกแต่งภายในเหมือนกับห้องท้องเรือ บันไดจึงเหมือนกับบันไดในเรือไปด้วย มายืนรอหลวงพ่อพระครูเรืองอยู่พักใหญ่ จนท่าน ผอ.โรงเรียนฯ โผล่ออกมาจากลิฟท์ซึ่งเป็นเที่ยวที่เท่าไรก็ไม่รู้ ? จึงชวนกันเดินไปห้องพักหมายเลข ๓๕๑ ซึ่งแค่เลี้ยวขวาจากหน้าลิฟท์ไปก็ถึงแล้ว...

ไปยืนงงอยู่ตรงหน้าห้อง เพราะว่าไม่มีช่องให้เสียบบัตรกุญแจเลย ทั้งที่มีกล่องแบบเสียบบัตรอยู่ แต่ว่าซ้ายขวาบนล่างล้วนแล้วแต่ตันสนิท อาตมาลองขยับกล่องเผื่อว่าจะมีบานเลื่อนให้เปิดช่องก็ไม่มี จะหวังพึ่งหลวงพ่อพระครูเรืองหรือ ? ท่านก็อยู่ “หลังเขา” ไกลกว่าอาตมาอีก “แค่เอาบัตรเลื่อนผ่านหน้ากล่องไปเท่านั้นขอรับ” ได้ “ผีไฮเทค” มาช่วยชีวิตไว้ พอเอาบัตรเลื่อนผ่านเสียงประตูก็ปลดล็อกดังคลิก อาตมาผลักเปิดเข้าไป เห็นทางขวามือมีช่องให้เสียบบัตรกุญแจแบบที่รู้จัก จึงเอาบัตรเสียบเพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงาน...

ห้องพักเป็นเตียงคู่ ปูผ้าไว้ตึงเปรี๊ยะ อาตมาถอดจีวร รองเท้า ถุงเท้า อย่างรวดเร็ว แล้วมุดเข้าห้องน้ำไปก่อน ภายในมีอ่างอาบน้ำอยู่ในห้องกระจกแยกส่วนออกไปจากโถส้วม จัดการแปรงฟันที่อ่างล้างหน้า แล้วจึงมุดเข้าห้องกระจกไป ฉีกซองเอาสบู่ก้อนเล็กของทางโรงแรมมาใช้งาน เปิดน้ำเย็นที่เย็นจนสะดุ้ง จนต้องโยกหัวก๊อกไปทางน้ำร้อนเอาแค่พออุ่น สรงน้ำ แต่งตัว แล้วออกมาเปลี่ยนให้หลวงพ่อพระครูเรืองเข้าไปบ้าง กำชับท่านว่าถ้ายืนในอ่างน้ำให้ระวังลื่นด้วย เคยมีคนล้มหัวฟาดเดี้ยงมามากต่อมากแล้ว จัดการเปิดกระเป๋าเอาเสื้อไหมพรมแขนยาวมาใส่ แล้วเปิดโน้ตบุ๊ก เอาแผ่นความจำจากกล้องไปเสียบ โหลดรูปของวันนี้ทั้งหมดออกมาลงเครื่องแทน...

สุธรรม
12-02-2017, 17:50
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26062&stc=1&d=1486896495
โรงแรมติดกับทะเลหลวง ถึงได้มีเรือมาจอดจนแน่นอู่แบบนี้

จัดการลดขนาดรูปเหลือแค่ ๘๐๐ X ๖๐๐ ยังไม่ทันเสร็จก็มีเสียงเคาะประตู พอเปิดออกไปเจอพนักงานโรงแรมขนกระเป๋ามาให้ แต่มาผิดห้อง...ของตูเป็นสีน้ำเงินคาดแดงเว้ย..! อีกฝ่ายร้อง “Sorry…Sorry” แล้วเผ่นไปหอบใบของอาตมากับหลวงพ่อพระครูเรืองมาให้ อ้าว...ก็รู้นี่หว่า ? แล้วทำไมเมื่อกี้นี้เอามาผิดวะ ? พอดี “หญิงใหญ่” ที่ทำตัวเป็นแม่ค้าหาบเร่ ยกกระบะใส่สารพัดปานะ ทั้งที่พระฉันได้และฉันไม่ได้แต่ก็จะฉันมานำเสนอ อาตมายกมือเหมือนพระปางห้ามญาติ เป็นเชิงบอกว่าไม่รับ อีกฝ่ายจึงหดหน้ากลับไปนำเสนอที่ห้องอื่น...

เสียงเคาะประตูอีกรอบ หลวงพ่อพระครูเรืองที่ออกจากห้องน้ำมาแล้ว เป็นคนไปเปิด เจอหน้าคุณโอเล่ที่มานำเสนอ “สินค้า” อีกตามเคย “หลวงพ่อเล็กจะรับอะไรดีครับ ?” อาตมาโบกมือยืนยันเจตนารมณ์แน่วแน่ ท่านจึงหยิบเอากาแฟของตัวเองมา ๑ ซอง “หลวงพ่อรับอะไรเพิ่มไหมคะ ?” คราวนี้เป็น “หญิงใหญ่” ที่คอน “หาบเร่” วนกลับมาอีกรอบ สงสัยว่าไม่มีน้ำแดงให้เลี้ยงน้องกุมารทอง ท่าน ผอ.โรงเรียนฯ ก็เลยไม่สนใจเช่นกัน...

อาตมาถอดแบตเตอรี่ในกล้องออกมาใส่ที่ชาร์จ เสียบปลั๊กทิ้งเอาไว้ แล้วเอาก้อนสำรองใส่เข้าไปแทน ลากผ้าห่มลงมาปูที่พื้นข้างซอกเตียง กราบพระสามครั้งแล้วนอนภาวนา ส่งใจขึ้นไป “ข้างบน” เห็น “ท่านผู้นำ” กับบริวาร ล้อมโรงแรมยาวออกไปถึงทะเลหลวง เฮ้ย...มองด้วยสายตา “ผี” ถึงได้รู้ว่าโรงแรมแห่งนี้ติดกับทะเล สร้างคร่อมคลองซอยเอาไว้ มิน่าล่ะ...ถึงได้มีเรือมาจอดเต็มอู่ขนาดนั้น ช่างตั้งใจทำเพื่อเอาใจ “ชาวเล” กันอย่างสุด ๆ ไปเลย วันนี้เดินทางระยะสั้นมาก จึงไม่ได้ทำวัตรเย็นกันบนรถ ต่างคนต่างปฏิบัติกันเองตามอัธยาศัยในห้องพักไปเลย...