View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘
ถาม : บุคคลที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่ยังไม่ได้สมาบัติ ๘ พอมาบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว จะสามารถสร้างสมาบัติ ๘ แล้วเป็นพระอรหันต์แบบปฏิสัมภิทาญาณได้ไหมครับ ?
ตอบ : โอกาสมีน้อยมาก ถ้าท่านมีอารมณ์อยากทำก็เป็นไปได้ เหตุที่โอกาสมีน้อยมากเกิดจากเหตุสองอย่างด้วยกัน อย่างแรก คือ พอเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็เร่งรัดตัดเข้าหาพระนิพพานในระยะสุดท้าย ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น
ประการที่สอง คือ พอเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว การเข้าถึงความสุขในระดับนั้น ก็ทำให้ติดสุขอยู่อย่างนั้น ไม่คิดที่จะทำอย่างอื่นอีก
สรุปว่า ถ้าอยากเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ ให้ตะเกียกตะกายเสียตั้งแต่ต้น หากไปรอเข้าถึงมรรคถึงผลแล้ว ถ้าวิสัยไม่ได้มีมา โอกาสที่จะเป็นมีน้อยมาก
ถาม : เนื่องจากคุณพ่อผมตัดต้นโพธิ์และเผาจนเหลือแต่รากที่อยู่ในดิน ไม่เหลือกิ่งหนึ่งคืบที่จะใช้แล้ว ผมตั้งใจจะสร้างศาลให้ กราบเรียนถามว่า เคยมีพระและคนทรงให้ตั้งที่บูชาเป็นศาลสี่ทิศที่ต้นโพธิ์ และมีป้ายเขียนเป็นภาษาจีนว่าเทวดาที่มาจากฟ้า เลยไม่แน่ใจว่าโดยนัยจะถือว่าเป็นศาลอากาศเทวดาหรือไม่ ?
ตอบ : ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ตระกูลหนึ่งที่ตายยากที่สุด ต่อให้เหลือแต่รากก็งอกใหม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นอาตมาจะไม่เสียเวลาไปตั้งศาลหรอก รดน้ำให้รากงอกใหม่ง่ายกว่าเยอะ ประการที่สอง ในเรื่องของศาลนั้น ความหมายชัดแค่ไหนต้องไปถามคนบอก เพราะเทวดาที่อาศัยต้นโพธิ์อยู่ คือ รุกขเทวดา ส่วนที่เขาบอกว่า เทวดามาจากฟ้า อยู่ในความหมายของอากาศเทวดา จึงอาจจะเป็นผิดฝาผิดตัวกัน ตั้งศาลไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเอาให้แน่ ๆ ก็ถามคนบอกให้ตั้ง เดี๋ยวเขาก็ตอบมั่วไปเรื่อยเองแหละ..!
ถาม : ถ้าสร้างใหม่ทับที่ต้นโพธิ์ จะเป็นศาลของพระภูมิ หรือ ศาลรุกขเทวดา หรือ ศาลอากาศเทวดา ? (ที่บ้านมีแต่ "ตี่จู้" ไม่มีศาลพระภูมิแบบไทยทางทิศเหนือหรือตะวันออก)
ตอบ : ต้องถามว่าตั้งใจจะสร้างให้ใคร ? ถ้าตั้งใจสร้างให้รุกขเทวดาก็เป็นรุกขเทวดา แต่ถ้าทะลึ่งไปสร้างให้ภุมมเทวดา รุกขเทวดาก็ไม่มีสิทธิ์ ฉะนั้น..อยู่ที่ความตั้งใจของคนทำ
ถาม : ถ้าที่สร้างเป็นศาลรุกขเทวดา หรือศาลอากาศเทวดาที่เดิม แล้วไม่สร้างศาลพระภูมิทางทิศเหนือหน้าบ้านเพราะมีตี่จู้อยู่แล้วได้หรือไม่ครับ ? เนื่องจากไม่เคยตั้งศาลพระภูมิ ถือเอาต้นโพธิ์เป็นศาลพระภูมิไปในตัว
ตอบ : ถือเอาต้นโพธิ์เป็นศาลพระภูมิจะได้อย่างไร ? ความจริงตี่จู้ของคนจีนก็คือภุมมเทวดา แล้วคนจีนรู้สึกว่าจะรู้จริงกว่าด้วย เพราะสร้างด้วยการเอาศาลวางอยู่กับพื้น คำว่าตี่จู้ก็คือพระภูมิเจ้าที่ เขาบอกไว้ชัด ๆ เลย ในเมื่อเป็นดังนั้น ต่อให้ไม่ได้สร้างศาลเพียงตาให้ภุมมเทวดา ก็ถือว่ามีศาลอยู่แล้ว ให้ความเคารพท่านอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องสร้างใหม่ก็ได้
ถาม : พระและคนทรงให้บูชาด้วยผลไม้และของหวานไม่มีเนื้อสัตว์ ถ้าหากตั้งศาลใหม่ ผมสามารถใช้ตามสายวัดท่าซุงได้เลยหรือไม่ครับ ? เกรงว่าจะไม่ถูกหลัก (เนื่องจากเป็นที่เก่าเลยคาดเดาว่ามีเทวดาทั้งไทย จีน อินเดียครับ) แต่ถ้าใช้ได้จะได้ตีขลุมไปเลยว่าให้ใช้ตามนี้ แต่อาจจะมีปัญหากับที่บ้านเพราะความไม่รู้ ซึ่งจะพยายามหาทางแก้เอา
ตอบ : ถ้าทางบ้านเขายอมรับก็เอาตามตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงไปใช้ เพราะว่าตรงแน่นอนกว่า ถ้าไม่อย่างนั้นก็มั่ว ๆ ไปตามเขานั่นแหละ
ถาม : สามารถตั้งศาลวันพฤหัสบดี ข้างขึ้นฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ซึ่งน่าจะหายากและนาน ดังนั้น..จึงคาดว่าจะใช้ฤกษ์สามดาวเลยและน่าจะออกพรรษาไปแล้ว ไม่มั่นใจว่าจะนานเกินไป แล้วก่อให้เกิดโทษหรือไม่ ? ถ้านานไปควรเลือกวันไหนเป็นหลักครับ ?
ตอบ : จุดธูปบอกท่านแล้วรอฤกษ์ที่เหมาะสม ทำอะไรอย่าให้มีข้อให้คนเขาตำหนิได้ เพราะว่าเราจะเสียกำลังใจทีหลัง ในเมื่อใช้ฤกษ์ที่ถูกต้องแน่นอน ถึงจะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แจ้งท่านไปว่าเราตั้งใจทำให้อยู่แล้ว
ถาม : ถ้ามีรายละเอียดอื่นที่ควรต้องกระทำเพิ่มเติม ขอความเมตตาแนะนำด้วยครับ ?
ตอบ : สิ่งที่อยากจะแนะนำก็คือ คราวหน้าอย่าทะลึ่งไปตัดและเผาต้นโพธิ์อีก...!
ถาม : ผ้ายันต์พิชัยสงครามสามารถตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ แจกให้กับคนอื่นได้ไหมครับ ? หมายถึงกรณีที่มีผืนเดียวแล้วมีคนต้องการหลายคน หรือภาวะในช่วงสงคราม ถ้าจำเป็นจะต้องแบ่งสามารถตัดแบ่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อความปลอดภัยของเราเอง ก็ตัดขอบแบ่งให้คนอื่นไป แต่เราเอาตรงกลางไว้...!
ถาม : ถ้ากระผมฝึกในกองกรรมฐาน โดยเริ่มจากอุปสมานุสติกรรมฐาน เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตั้งใจว่าจะทรงกรรมฐานกองนี้ ๑ เดือน ในระหว่างที่ทำนั้นก็เอาใจเกาะพระนิพพานในระหว่างวันเรื่อย ๆ ทำมาได้เป็นระยะเวลา ๑๐ วันแล้ว ก็มีบ้างที่ออกจากพระนิพพานไปพิจารณาอย่างอื่น หรือมีหลุดไปฟุ้งซ่านบ้าง แต่อย่างไรก็เอาพระนิพพานเป็นหลัก กราบเรียนถามว่าอย่างไรจึงจะเรียกว่า ทำ "อุปสมานุสติกรรมฐาน" สำเร็จ ? ใช่การมีวสีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การจะทำอุปสมานุสติได้สำเร็จจริง ๆ คือ การเป็นพระอรหันต์ไปเลย แปลว่าต้องเกาะพระนิพพานไปเรื่อย ๆ ความเคยชินกับอารมณ์หมดกิเลสที่ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ของพระนิพพาน ถ้าหากว่าเข้ามาสู่ใจของเรานานไป ๆ กิเลสอื่นเจริญเติบโตไม่ได้ ท้ายสุดก็จะหมดกำลังตายไปเอง เรียกว่าบรรลุโดยเจโตวิมุตติ คือใช้กำลังใจข่มกิเลสไว้ จนกิเลสหมดสภาพไปเอง เพราะฉะนั้น...ถ้าจะเอาที่สุดของอุปสมานุสติก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปเลย
ถาม : แล้วการที่เห็นพระนิพพานได้ชัดเจน ละเอียด หรือท่องเที่ยวไปได้ทั่วบนพระนิพพานนั้น จัดว่าสำเร็จในกองกรรมฐานนี้หรือไม่ครับ ? หรือไม่เกี่ยวกัน การเห็นชัดเจนละเอียดเป็นเรื่องของทิพจักขุญาณเท่านั้นหรือไม่ ? แต่กระผมเองไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนและละเอียดเท่าไร แค่ใช้ใจเกาะเฉย ๆ ครับ ?
ตอบ : เอาใจเกาะเฉย ๆ ก็พอแล้ว ถามว่าสำเร็จหรือไม่ ? ถือว่ากำลังปฏิบัติในกองกรรมฐานนั้นอยู่ ยังไม่นับว่าสำเร็จ
ถาม : กระผมอยากทราบว่า กำลังใจของบุคคลที่สามารถรักษาวัตตบท ๗ ประการ ได้สมบูรณ์ กำลังใจของบุคคลนั้นเทียบเท่ากับกำลังใจของผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : บรรลุอนาคามี ไม่ใช่ท่านบรรลุ แต่เทียบเท่าท่านที่บรรลุอนาคามี เพราะวัตตบท ๗ ประการ มีข้อหนึ่งที่ห้ามโกรธตลอดชีวิต
ถาม : มีอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : ไปค้นดูในกูเกิ้ล
ถาม : คนที่เป็นแฟนกัน แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่ผู้ชายไปซื้อบริการทางเพศ โดยที่ผู้หญิงที่เป็นแฟนไม่รู้ ทำให้ศีลข้อสามด่างพร้อยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านับแค่ด่างพร้อยนี่ด่างแน่ แต่ถ้าถามว่าศีลขาดไหม ? ถ้าหญิงบริการนั้นประกาศตนเป็นสาธารณะ ศีลเราก็ไม่ขาด ถึงแม้ศีลเราจะไม่ขาด แต่ชะตาอาจจะขาด...!
ถาม : ผมเคยไปไหว้พระ ทำบุญที่วัดครั้งหนึ่ง และได้หยิบแผ่นทองคำเปลวที่ใช้ปิดทองพระพุทธรูปกลับมาที่บ้านด้วย เพื่อนำมาปิดทองพระพุทธรูปที่บ้าน โดยที่ผมได้ทำบุญหยอดตู้ถวายค่าบูชาดอกไม้ ธูปเทียนแล้ว การกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่ ? และจะสามารถชำระหนี้สงฆ์ครั้งนี้ได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในลักษณะผาติกรรม ก็คือ เอาเงินของเราไปแลกมา ถือว่าเป็นของเราแล้ว จะเอาไปใช้งานที่ไหนก็ได้ แต่โดยมารยาทแล้วควรใช้ในสถานที่นั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะมีสภาพเหมือนวัดท่าซุงอยู่ยุคหนึ่ง เป็นช่วงทอดกฐิน พวกอาตมาเตรียมผ้าไตรและสังฆทานไว้ ๓๐๐ ชุด จะได้หมุนเวียนไปเรื่อย ปรากฏว่าหายไปเรื่อย ๆ ก็เลยสงสัย ต่อมาจึงรู้ว่ามีญาติโยมคณะหนึ่งมาจากทางภาคอีสาน เห็นว่าสังฆทานพร้อมผ้าไตรชุดละ ๕๐๐ บาทราคาถูกมาก ก็เลยซื้อแล้วยกขึ้นรถไปหมดเลย...!
ถาม : พลังที่เรียกกันว่า Psi ball นั้น แท้ที่จริงแล้วคืออะไรครับ ?
ตอบ : เป็นพลังจิต ถ้านับแล้วในสายทางจีนเขาเรียกว่ากำลังภายใน เหมือนพลังของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเต่าในเรื่องดรากอนบอลนั่นแหละ เราเองก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีความคล่องตัวในกสิณ ๑๐ ถ้าไม่มีความคล่องตัวในกสิณ ๑๐ ก็ใช้งานลำบาก
ถาม : สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเองและผู้อื่นได้หรือไม่ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นใช้อะไร นอกจากเอาไปตีกัน สงสัยจะเล่นวีดีโอเกมมากเกินไปกระมัง ? ยกเว้นว่าจะหันมาตัดกิเลส ก็จะสามารถใช้ตัดกิเลสได้ง่ายกว่าคนอื่นเขา
ถาม : ผมสงสัยเกี่ยวกับบทสวดมนต์ที่มีในปัจจุบัน ไม่ว่าบททำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น บทสวดในงานบุญ บทสวดในงานศพ และบทอื่น ๆ บทสวดซึ่งมีจำนวนมาก บทสวดเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าทำบุญงานศพอย่าง ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน เขาสวดอนัตตลักขณสูตรหรือไม่ก็อาทิตตปริยายสูตร บทสวดนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เพราะว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเอง แต่การมีมาไม่ได้หมายความว่าสมัยนั้นใช้สวดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น...ต้องแยกประเด็นให้ชัดก่อน อะไรที่เป็นคำสอนในพระไตรปิฎกส่วนมากมีมาแต่สมัยพุทธกาล ส่วนหนึ่งที่มีมาในรุ่นหลังแล้วระบุไว้ชัดเจนก็คือ กถาวัตถุของพระอภิธรรม ที่แต่งโดยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถรเจ้า
ถาม : หากบทสวดมีมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล มีบทสวดอะไรบ้างครับ ? เพราะผมอ่านหนังสือธรรมะ ผมพบว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเป็นคำพูดใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช่...ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ดังนี้ภิกษุทั้งหลาย รูปัง นิจจัง วา อะนิจจัง วา รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง อะนิจจัง ภันเต ไม่เที่ยงขอรับ ยัมปะนานิจจัง ถ้าเป็นดังนั้น ทุกขัง วาตัง สุขัง วาติ เป็นสุขหรือทุกข์ ทุกขัง ภันเต เป็น ทุกข์ขอรับ
ท่านสอนอย่างนี้ แต่เราเอามาท่องกันเอง ที่เราเอามาท่องกันนั้นเพื่อความทรงจำได้ง่าย จะได้บอกต่อกันได้ถูกต้อง สอนต่อกันโดยไม่ผิดพลาด ดังนั้น...บทสวดที่เรามาสาธยายกันทีหลังนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑
คำว่า สังคีติ ก็คือ ร้อยกรอง หรือสวดสาธยายนั่นเอง เป็นการสวดสาธยายและตรวจสอบกันในระหว่างพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป ซึ่งถ้านับกันแล้วก็คือ สุดยอดนักวิชาการในสมัยนั้น ว่ามีข้อไหนผิดพลาดบ้าง ถ้าไม่ผิดพลาด ทุกท่านยืนยันว่าใช่ ก็สวดสาธยายขึ้นพร้อมกัน เพื่อให้ทราบว่าเนื้อหาที่ถูกต้องคืออะไร พอมาสมัยหลังเป็นการทรงจำในลักษณะของมุขปาฐะ คือ สวดปากเปล่าสืบต่อ ๆ กันมา
จนกระทั่งถึงยุคกลางของการสังคายนาพระไตรปิฎก ก็คือ ครั้งที่ ๕ ที่ศรีลังกา บรรดาพระเถระสมัยนั้นเห็นว่า ความจำของคนเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ อาจจะหลงลืมได้ จึงให้จารึกลงในใบลานเป็นอักษร เขียนแล้วใส่ตะกร้าแยกออกเป็นสามหมวด จึงเรียกว่า ไตรปิฎก คือ สามตะกร้า หลังจากนั้นพอเรานำบทสวดต่าง ๆ มาสวดสาธยาย มีบางท่านเห็นว่าบทสวดต่าง ๆ นี้มีอานุภาพจึงนำมากำหนดเป็นบทสวด ๗ ตำนานบ้าง ๑๒ ตำนานบ้าง แล้วก็ใช้สวดเป็นประเพณีสืบ ๆ กันมา
ถาม : บทสวดมนต์เหล่านี้มีที่มาได้อย่างไร ? ใครแต่งขึ้น ? และตอนทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น พระท่านในสมัยพุทธกาลต้องทำวัตรเหมือนสมัยนี้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : สมัยนั้นเขาใช้วิธีเจริญกรรมฐานหรือนั่งสนทนาธรรมกัน พอมาสมัยหลังการประพฤติปฏิบัติน้อยลง จึงต้องบังคับโดยการให้นั่งท่องหนังสือ หรือทรงจำกันโดยการสวดสาธยาย กลายเป็นการทำวัตรเช้า - ทำวัตรเย็นขึ้นมา ส่วนการที่สงสัยว่าบทไหนใครเป็นคนสวด ให้ยกมาทีละบทแล้วจะบอกให้ เพราะอย่างบท "โย จักขุมาฯ" ก็แต่งโดยในหลวงรัชกาลที่ ๔ ถ้า "ชินบัญชรคาถา" ก็ชำระขึ้นใหม่โดยหลวงพ่อโต วัดระฆัง เป็นต้น
ถาม : ท่านเจ้าที่ผู้ดูแลมหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดยโสธรครับ ท่านมีนามว่าอะไรครับ ? จะทำสังฆทานอุทิศถวายท่าน
ตอบ : ถามได้เลย
ถาม : ถามใครครับ ?
ตอบ : ถามท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้ ยังไม่ทันจะถาม ท่านมายืนแล้ว บอกว่า "ผมชื่อเจ้าพ่อแก่นนครครับ"
ถาม : มาเร็วนะนี่ ?
ตอบ : เร็วกว่าคำถามคุณอีก ยังไม่ทันถามท่านก็มายืนรายงานตัวแล้ว
ถาม : เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว กระผมได้มีโอกาสไปฝึกงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และได้ขอเช่าบูชาพระเครื่องจากผู้จัดการโรงแรมมาหนึ่งกล่อง โดยผู้จัดการเล่าให้ฟังว่า มีพระเคยมาเข้าพักที่โรงแรม เมื่อเช็คเอาท์ออกไปแล้ว ปรากฏว่าท่านลืมพระเครื่องทิ้งเอาไว้หนึ่งกล่อง ภายในมีพระหนึ่งร้อยองค์ ผู้จัดการเลยเก็บเอาไว้เผื่อท่านจะติดต่อกลับมาเพื่อขอรับคืน แต่เก็บไว้สองปีแล้ว ท่านก็ไม่ติดต่อกลับมา จะส่งคืนก็ไม่ทราบว่าท่านอยู่วัดไหน เมื่อผมไปฝึกงานที่นี่ ผู้จัดการเห็นผมชอบพระเครื่องเลยเอามาให้บูชา ผมเลยขอบูชามาทั้งหมดเก้าสิบแปดองค์เพราะผู้จัดการขอไว้สององค์ ภายหลังได้ถวายวัดไปจำนวนหนึ่ง และแจกให้คนใกล้ชิดไปบ้าง ที่อยากกราบเรียนถามคือ การที่ผมได้เช่าบูชาพระเครื่องมาในกรณีเช่นนี้เป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ติดหนี้สงฆ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
ถาม : ถ้าเป็นการติดหนี้สงฆ์ เข้าใจว่าต้องถวายพระเครื่องที่เหลือคืนให้เป็นของสงฆ์ แต่ในกรณีที่แจกให้คนอื่นไปบ้างแล้วและไม่สามารถทวงคืนได้ ควรทำเช่นไรครับ ?
ตอบ : ถ้ารวบรวมคืนได้ก็ไปรวบรวมคืนมา แล้วก็ส่งให้ท่านผู้จัดการไปดูแลต่อ จนกว่าเจ้าของจะมารับคืน ถ้ารวบรวมไม่ได้ก็สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ได้แล้ว
ถาม : ขอกราบเรียนถามเรื่องอาหารที่ถวายพระครับ กระผมเข้าใจว่าธรรมเนียมปฏิบัติ และประเพณีในแต่ละท้องถิ่นนั้นต่างกัน ผมเป็นคนจังหวัดกระบี่ ที่นี่เวลาไปวัด ชาวบ้านจะนำปิ่นโตใส่อาหารไปถวายพระ และวางปิ่นโตไว้หน้าพระสงฆ์แต่ละรูป เมื่อถึงเวลา จะกล่าวคำถวายพร้อมกัน แล้วก็จะมีคนเข้าไปประเคนปิ่นโตทั้งหมด เมื่อพระฉันอาหารเสร็จ ชาวบ้านก็จะเข้าไปหยิบปิ่นโตของตนเองกลับบ้าน โดยที่ไม่มีการรับประทานอาหารกันที่วัด อยากทราบว่า ในกรณีเช่นนี้ ญาติโยมที่นำปิ่นโตกลับบ้านโดยมีอาหารของตนติดมาด้วยนั้น จะติดหนี้สงฆ์หรือไม่ประการใดครับ ? เพราะทางวัดไม่มีการกล่าวคำอุปโลกน์
ตอบ : ตอบง่าย ๆ ว่า ถึงจะอยู่ถิ่นไหนก็ลงอเวจีที่เดียวกัน..!
ถาม : เนื่องจากมีความสงสัยใน “การเป็นเจ้าของที่แท้จริงของทรัพย์นั้น ๆ” ในบางกรณี ทรัพย์ชิ้นเดียวกัน มีผู้อ้างด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ของตนเอง ว่าตนเป็นเจ้าของเหมือนกัน ซึ่งอาจจะด้วยเหตุผลที่ต่างกัน ทั้งด้านกฎหมาย หรือด้านเจตนาของเจ้าของคนเดิมที่มอบหมายทรัพย์นั้นให้มาด้วยปากเปล่า หรือแม้แต่การครอบครองปรปักษ์ หรือเป็นการซื้อของเก่าเปลี่ยนมือต่อ ๆ กันมา บางครั้งยังเคยได้ยินเรื่องของดวงวิญญาณเจ้าของเก่า ตามทวงคืนทรัพย์ ที่เจ้าของใหม่อาจได้มาโดยไม่รู้เรื่อง หรือวิญญาณที่สิงสถิตในสถานที่ที่นั้นมาเป็นสิบ ๆ ปี ไม่ยอมให้ผู้อาศัยใหม่มาอาศัยเพราะยังคิดว่าเป็นที่ของตนเอง ในกรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ จะเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการที่เราอาจจะไปสร้างเจ้ากรรมนายเวรที่เกี่ยวกับศีลข้อ ๒ โดยไม่ตั้งใจหรือเปล่าครับ ? และจะมีผลต่อยันต์เกราะเพชรที่ได้รับมาไหมครับ ?
ตอบ : ถามเสียยาวเลย คนหลงประเด็นไปแล้ว สิ่งที่ถามมาทั้งหมดสรุปลงตรงที่ว่า คุณตั้งใจไปเอาของเขาหรือเปล่า ? ถ้าตั้งใจไปเอาของเขาก็ผิดศีลเรียบร้อย ไม่ได้เกี่ยวว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของใคร หรือได้มาโดยวิธีการไหน สำคัญตรงเจตนาคุณจะไปลักขโมยเขาหรือไม่ ?
ถาม : การเลือกที่จะไม่ใส่บาตรพระสงฆ์บางรูปที่ดูสภาพท่านไม่เรียบร้อย หรือรูปที่ชอบเดินวนไปวนมาหน้าร้านข้าวแกงเพื่อให้ได้รับบาตรหลาย ๆ รอบ หรือรูปที่มักจะให้พรผิด ๆ ถูก ๆ อยู่เสมอเป็นประจำโดยไม่มีการแก้ไข บางรูปที่ออกมาบิณฑบาตด้วยและท่านก็ซื้ออาหารบางอย่างกลับวัดด้วย หรือบางรูปที่ออกมาบิณฑบาตสาย ๆ หลังเก้าโมงเช้า การที่ผมไม่ใส่บาตรท่านเหล่านี้ จะถือเป็นการช่วยปกป้องพระพุทธศาสนาหรือไม่ครับ ? หรือว่าผมควรจะใส่บาตรท่านเหล่านี้โดยไม่ต้องสนใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดีครับ เพื่อให้ได้บุญในการใส่บาตรสูงสุดครับ
ตอบ : ถ้ามีโอกาสให้ทำ การให้ทานต่อบุคคล ต่อให้ไม่มีศีลเลยก็มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานกับสัตว์เดรัจฉานเป็นร้อยเท่า ต้องเรียกว่าหาเรื่องตัดทางบุญตัวเอง แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ตั้งใจถวายเป็นสังฆทานไป ท่านที่รับถ้าเอาไปกินไปใช้คนเดียวท่านก็เดือดร้อนเอง
ถาม : เรื่องการไปบน "พิงคเทพบุตร" ที่จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ทราบว่าบนตรงกลางแจ้งในจังหวัดเชียงใหม่ที่ไหนก็ได้ หรือว่าต้องไปบนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ ?
ตอบ : ให้ไปบนที่ยอดดอยสุเทพ แล้วต้องเดินขึ้นไปด้วย...!
ถาม : แล้วของที่นำไปแก้บนควรจะเป็นอะไรบ้างครับ ถึงจะเหมาะสม ?
ตอบ : ทองคำแท่งสักกิโลกรัมหนึ่ง...!
ถาม : เมื่อคนเราตายไป ย่อมไม่สามารถนำเอาทรัพย์สมบัติติดตัวไปด้วยได้ แต่คนโบราณใช้วิธีฝังทรัพย์ไว้กับแผ่นดิน ด้วยหวังว่าเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาติต่อ ๆ ไป จะสามารถอธิษฐานขอเบิกใช้ทรัพย์ของตน ที่ฝากไว้กับแผ่นดินขึ้นมาใช้ได้ เป็นความจริงมากน้อยแค่ไหนครับ ?
ตอบ : เข้าใจผิดตั้งแต่แรกแล้ว เขาให้เอาเป็นอริยทรัพย์ติดตัวไป นั่นโง่ไปหน่อย แปรสภาพไม่เป็น
ฝังดินเอาไว้ โบราณเขาพูดเป็นปริศนาธรรมว่าให้สร้างบุญกุศลเก็บไว้ ถึงเวลาจะได้มีบุญกุศลเป็นเสบียงใช้ในชาติต่อ ๆ ไป ไม่ใช่ได้ยินว่าฝังดินไว้ก็ตั้งหน้าตั้งตาฝังเลย
ท่านบอกว่า ได้ทรัพย์มาแล้วให้แบ่งปันดังนี้ ส่วนที่หนึ่งใช้หนี้เก่า ส่วนที่สองเป็นเจ้าหนี้ใหม่ ส่วนที่สามฝังดินไว้ ส่วนที่สี่ทิ้งใส่เหว ใช้หนี้เก่าก็คือ พ่อแม่เคยเลี้ยงดูเรามาเหมือนกับเราเป็นหนี้ท่าน ถึงเวลาก็ให้เลี้ยงดูตอบแทนพ่อแม่ด้วย เป็นการใช้หนี้เก่า เป็นเจ้าหนี้ใหม่ก็คือเลี้ยงดูบุตรภรรยาของตนเอง ฝังดินไว้ก็คือสร้างบุญกุศลเพื่อที่จะได้เอาไว้ใช้ในชาติถัด ๆ ไป ทิ้งใส่เหวก็คือเอาไว้กินไว้ใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งมีแต่จะหมดไปเท่านั้น สรุปว่าปริศนาของคนโบราณยังคงเป็นปริศนาต่อไป...!
ถาม : การแขวนวัตถุมงคลหลายชิ้น อานุภาพของวัตถุมงคลจะหักล้างกันเองไหมครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเอากิเลสตัวเองไปใช้กับพระ ถ้าภาษิตจีนบอกว่า เอาจิตใจคนต่ำช้าไปประเมินวิญญูชน การแขวนวัตถุมงคลที่เราเชื่อถือ ยกเว้นว่าเป็นสิ่งที่ทำมาจากวิชาการทางไสยศาสตร์ ถ้ามาปนกับพุทธศาสตร์ก็จะโดนอานุภาพลบล้างไป ถ้าเป็นวัตถุมงคลที่เป็นพุทธศาสตร์ด้วยกันก็ไม่ได้หักล้างกันหรอก กังวลไม่เข้าเรื่อง
ถาม : การนอนกอด การหอม การฟัดตุ๊กตาโดเรม่อน ตุ๊กตาหมี ผิดศีล ๘ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาการหนักนะ...! เปลี่ยนเป็นตุ๊กตายางดีกว่า ตีความเอาตามแบบพระสงฆ์ก็แล้วกันว่า ถ้ามีจิตกำหนัดก็โดนอาบัติ ถ้าเรามีจิตกำหนัดก็ถือว่าศีลแปดด่างพร้อย
ถาม : กระผมได้ความเบื่อจากการเห็นทุกข์ ยิ่งหนีก็ยิ่งทุกข์ หนีไม่ได้ จึงพิจารณาตามหลวงพ่อที่กล่าวไว้ ว่าทุกข์เกิดจากบุพกรรมที่ทำเอาไว้แต่อดีตมาส่งผล ใจจึงสงบลงได้บ้าง แต่อารมณ์เบื่อนอนนิ่งไม่ไปไหน เบื่อชั่วไม่อยากทำกลัวผลที่ตามมา เบื่อดีด้วยครับ จะทำสมาธิฝึกอะไรก็ประเดี๋ยวเบื่อ กระผมควรคิดและเริ่มปฏิบัติอย่างไรเพื่อก้าวข้ามให้ถึงมรรคถึงผลครับ ?
ตอบ : สงสัยเหมือนกันว่าหลวงพ่อจะสอนผิด..! ความทุกข์มีหลายประเภทด้วยกัน มีสภาวทุกข์ ทุกข์ที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายนี้ อย่างไรก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย มีนิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ที่เกิดขึ้น เช่น หนาว ร้อน หิวกระหาย สันตาปทุกข์ ความทุกข์ที่มาบีบคั้นให้เดือดเนื้อร้อนใจต่าง ๆ เป็นต้น
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ สาเหตุใหญ่ก็เพราะมีร่างกายนี้ ถ้าไม่มีร่างกายนี้ ความทุกข์ก็ไม่สามารถที่จะบีบคั้นได้ ส่วนขณะที่เรามีร่างกาย ทำไมความทุกข์จึงบีบคั้นได้ ? ก็เพราะเราไปยึดถือว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ในเมื่อเราไปยึดถือ ถึงเวลาเกิดความทุกข์ก็เลยไปยึดว่าทุกข์นี้เป็นของเรา ถ้าสามารถพิจารณาให้เห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราได้ แล้วทุกข์จะเป็นของเราได้อย่างไร ? ไปค่อย ๆ เริ่มต้นทำใหม่ จำคำสอนครูบาอาจารย์มาผิดตั้งแต่แรกแล้ว
ถาม : เมื่อวานผมได้มีโอกาสรับยันต์เกราะเพชร แล้ววันนี้ผมได้หยิบช็อกโกแลตมากิน พอกัดไปคำแรกได้กลิ่นแปลก ๆ กลัวว่าจะเป็นช็อกโกแลตที่มีเหล้า ผมเลยรีบคายทิ้งแล้วบ้วนปาก (ผมยังไม่ได้เคี้ยวนะครับ) แบบนี้ยันต์จะสลายตัวไหมครับ ?
ตอบ : น่าเสียดาย..น่าจะแกล้งตีมึนแล้วกลืนไปเลย...! ถ้ารู้จักระมัดระวังอย่างนี้แปลว่ายังรักษาได้อยู่ ทุกคนควรจะเลียนแบบ ก็คือ มีสติ รู้แล้วก็รีบระวังป้องกันไว้ เราต้องรักษายันต์ ยันต์จึงจะรักษาเรา
ถาม : รับยันต์เกราะเพชรมาแล้ว ต้องรักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อ สงสัยในกรณีเวลาจะใช้ปากกาหรือของคนอื่น ต้องขอเจ้าของก่อนทุกครั้งใช่ไหมคะ ? แบบว่าขอยืมแต่เจ้าของไม่อยู่ ใช้เสร็จแล้วเราก็คืนที่เดิม คือ พบบ่อยในการทำงานค่ะ ใช้เสร็จแล้วก็คืนที่เดิม แบบนี้รับยันต์มา ยันต์จะหายไหมคะ ?
ตอบ : ตีความในลักษณะเดียวกับพระแล้วกัน ท่านบอกว่าพระสามารถถือวิสาสะได้ ถ้า ๑.เคยรู้จักกันมา ๒.เคยพูดคุยกันมา ๓.รู้ว่าเอาไปแล้วเขาไม่ว่าอะไร ถ้าอยู่ในลักษณะนี้สามารถที่จะใช้งานได้โดยที่ยันต์ยังอยู่ แต่ถ้าเจ้าของเขารู้เมื่อไรแล้วโวยวายขึ้นมา ปีหน้าก็ไปรับยันต์ใหม่แล้วกัน..!
ถาม : ธูปเทียนแพที่ขอขมา ทำไมเขาไม่จุดถวาย แต่วางเฉย ๆ ไว้แทบทุกวัด ?
ตอบ : ธรรมเนียมเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณจะจุด จะจุดตรงไหน ? เจตนาในการขอขมาก็คือเอาสิ่งที่ดีไปสักการะ เพื่อทำสามีจิกรรมขอขมาในสิ่งที่ตนเคยล่วงเกินผู้อื่นมา
ถาม : การภาวนาเงินล้านที่ศูนย์กลางกายที่พระปัจเจกพุทธเจ้าแนะนำ ศูนย์กลางกาย คือ เหนือสะดือ ๒ นิ้วแบบ หลวงปู่สด วัดปากน้ำ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตรงนั้นแหละ
ถาม : เวลาลืมตาหรือหลับตา ทั้งตอนภาวนาหรือทำการงานอื่นก็ตาม แล้วเกิดภาพปิ๊งขึ้นมา อาจจะเป็นภาพ เช่น หลวงพ่อฤๅษีเอาไม้เท้ามาเขกหัว หรือภาพพระพุทธรูปเกิดขึ้นมาเอง สภาวะแบบนี้คืออะไร ? และเราจะพัฒนาปฏิบัติในแนวทางไหนเสริมต่อ นอกจากอานาปานสติ ?
ตอบ : เขาเรียกว่านิมิต ไม่ควรให้ความสนใจใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นว่าเป็นนิมิตที่ตรงกับกองกรรมฐานของเรา อย่างเช่นว่า ภาวนาพุทโธอยู่แล้วเกิดภาพพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็สามารถที่จะจับภาพท่านแล้วภาวนาต่อไปเลย แต่ถ้าเป็นภาพที่ไม่เกี่ยวกับกองกรรมฐานเฉพาะหน้าตอนนั้น อย่าไปสนใจ
ถาม : วัตถุมงคลที่คนนำเข้าพิธีมีดหมอเพชราวุธกันเองนั้น สามารถใช้คำอาราธนาเดียวกันกับที่ลงบันทึกไว้ในวิธีใช้งานมีดหมอเพชราวุธของจริงได้เหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าเป็นสากกะเบือแล้วเอาไปใช้อาราธนาก็คงจะยากสักหน่อย...!
ถาม : มีปัญหากับพระภิกษุ แต่ได้ทำการขอขมาอโหสิกรรมไปแล้ว การขอขมาโดยปากเปล่าต่อหน้าหิ้งพระพุทธรูป หรือในใจเราเอง กับการที่เราต้องไปพบพระภิกษุรูปนั้นเอง คำถามคือ ผลการขอขมานี้ต่างกันและได้ผลเหมือนกันหรือไม่อย่างไร ?
ตอบ : การขอขมาควรจะเป็นต่อหน้าโจทก์และจำเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าสามารถขอขมาต่อหน้าได้จะดีกว่า แต่ส่วนใหญ่การล่วงเกินพระภิกษุ หลังจากขอขมาท่านแล้ว ต้องมาขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูปอีกครั้งหนึ่ง
ถาม : อยากทราบว่าการที่เราทำบุญผ้าไตรกฐินเป็นพันไตรหมื่นไตร โดยทำบุญตามอัตภาพ แต่วางกำลังใจว่า ฉันคือเจ้าของทั้งหมดทุกไตร จะได้อานิสงส์มาก ๆ เหมือนกับคนที่ถวายเยอะ ๆ ไหมครับ ? มีคนหนึ่งเคยบอกว่า ให้มโนภาพขึ้นมาว่าถวายกับพระเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ แสน ๆ องค์ ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : มโนภาพได้แค่อนุสติ แต่การทำบุญกฐินเป็นทานบารมี ถ้าไม่มีทรัพย์สินพอที่จะทำ ยกมือโมทนากับเขาก็ได้บุญแล้ว
ถาม : ถ้าวางกำลังใจว่า ฉันคือเจ้าของทั้งหมดทุกไตร กับท่านที่ถวายด้วยเงินตัวเอง แต่เป็นร้อย ๆ ไตร อานิสงส์ต่างกันไหม ?
ตอบ : ได้อานิสงส์ในส่วนของการถวายผ้าไตรไว้ในพระพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่ถ้าเราทำตามคนอื่น ไม่ได้เป็นเจ้าภาพด้วยตนเอง ถ้าเกิดใหม่ก็ไปเป็นบริวารของเขา ถ้าเป็นเจ้าภาพด้วยตนเอง เกิดใหม่ก็ไปเป็นหัวหน้าเขา แต่..เกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น เพราะฉะนั้น..ไม่เกิดดีกว่า
ถาม : นอกจากการนั่งสมาธิแล้ว มีอะไรต้องทำเพิ่ม ทุกวันนี้ยังใช้พลังของลูกแก้วได้ไม่เต็มที่ ?
ตอบ : ไม่ต้องนั่งก็ใช้ได้ แต่ได้น้อยหน่อย แต่ถ้านั่งแล้วสมาธิสูงมากเท่าไรก็ใช้ได้มากเท่านั้น
ถาม : ยุคพระพุทธเจ้าองค์แรกของกัปนี้เป็นอย่างไรหรือคะ ?
ตอบ : สมัยนั้นคนสุขสบายกว่านี้หลายเท่า การเบียดเบียนกันมีน้อย ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในศีลในธรรม อายุยืนมากกว่ารุ่นเรามาก รุ่นเราอายุร้อยปี รุ่นท่านอายุเป็นหมื่นปี
ถาม : วันนี้ผมมาขอขมาท่าน ๒ เรื่องครับ เรื่องแรกคือที่ไปช่วยงานตักบาตรเทโวฯ ตอนไปช่วยรับของจากบาตรที่ตีนเขาก็ทำให้วุ่นวาย หลังจากนั้นไปช่วยเขายกของก็ทำของหล่นเนื่องจากของหนัก ขอให้ท่านให้อภัยด้วยครับ
ตอบ : นึกก่อนว่าจะให้อภัยดีไหม ?
ถาม : ท่านจะให้ผมรับโทษอะไรผมยินดีรับครับ แล้วแต่ความกรุณาครับ
ตอบ : ไม่มี ตอนนี้มีแต่อุเบกขา
ถาม : เรื่องที่ ๒ เรื่องที่ผมอยู่ต่อหน้าคนอื่นแล้วผมทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ แล้วเป็นสาเหตุให้คนเข้าใจผิด คิดปรามาสครูบาอาจารย์และพระศาสนาว่าคนปฏิบัติธรรมแล้วบ้าอย่างนี้ ก็อย่าไปปฏิบัติเลยดีกว่า ขอขมาด้วยครับ
ตอบ : ถ้าขอแล้วยังทำอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อขอขมาก็ต้องปรับปรุงตัวใหม่ด้วย
เรื่องของงานตักบาตรเทโวฯ ครั้งนี้ ที่ฉิบหายวายป่วงก็เพราะว่าคนที่ไม่ใช่ทีมงานเสือกเข้ามา เขาจัดทีมงานของเขาเอาไว้แล้ว เรามีศรัทธาที่จะเข้าไปก็ต้องฟังเขา ไม่ใช่ว่ากูนึกอยากจะทำก็ทำ คนที่เขาทำมาก่อน เขามีประสบการณ์ เขารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะสะดวก ถึงจะเร็ว ถึงจะไม่เสียหาย แล้วอยู่ ๆ ก็มีไอ้ควายกลุ่มหนึ่งที่มีแต่ศรัทธา แล้วก็เสือกทะลึ่งเข้าไป แถมยังไม่ฟังใครด้วย โดยเฉพาะตอนบอกว่า อย่าไปบังกล้องถ่ายรูปนี่ไม่มีใครฟังเลย จะทำงานอย่างเดียว
ฉะนั้น...ต่อไปถ้าเขาไม่ได้กำหนดเราให้เป็นทีมงาน ก็ดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ไม่ต้องไปเสือกยุ่งกับเขาเลย เพราะว่ายุ่งแล้วฉิบหายวายป่วงไปหมด จนป่านนี้เขายังเคลียร์งานกันไม่เสร็จ
อีกส่วนหนึ่งที่อยากตำหนิมากเลย ก็คือ ทีมงานถ่ายทอดสด มารดามันถ่ายเป็นอยู่มุมเดียว...! ก็คือกูตั้งหน้าตั้งตาจะถ่ายหน้าเจ้าอาวาสอย่างเดียว ไม่คิดจะถ่ายอะไรอย่างอื่นเลย งานใหญ่ ๆ คนเป็นพันเป็นหมื่น ควรจะถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ ให้คนทางบ้านเขาดูว่าอะไรเป็นอะไร จะขึ้นเขาลงห้วย จะเดินไกลกี่กิโลเมตรก็ควรจะถ่ายให้เขาดู ไม่ใช่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ๒ ชั่วโมงครึ่งมีแต่หน้าเจ้าอาวาสอยู่คนเดียว ถึงมึงไม่เบื่อกูก็เบื่อตัวเอง...! ด่าไปแล้วก็ยังไม่จำ ยังเอากล้องมาจ่อที่เดิมอีก วันนั้นก็เลยสงสัยว่าอาตมากำลังพูดกับคนหรือพูดกับควาย...!
อะไรก็ตามที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ ความที่ไม่รู้จักคิด ไม่มีวิสัยทัศน์ สายตาแคบสั้น แนวความคิดในการทำงานไม่ชัดเจน ก็เลยทำให้งานออกมาเละเทะอย่างที่เห็น ขนาดด่าไป ๒ ครั้งแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม แปลว่าอะไร ? แปลว่าไม่เคยใช้หัวแม่ตีนคิดแทนสมองเลย..! โดยเฉพาะแต่ละคนที่มักจะคิดว่าตัวเองเป็นสุดยอดของสาขานั้น “เรื่องนี้กูเก่ง เรื่องนี้กูรู้จริง”
มีอยู่สมัยหนึ่งที่พนักงานบริษัทเข้ามาจัดงานที่บ้านวิริยบารมี โดนอาตมาด่ากระจาย มึงเป็นบริษัทรับปรึกษาในงานก่อสร้าง เสือกทะลึ่งมารู้พิธีสงฆ์มากกว่าพระได้อย่างไร ? บอกแล้วเขายังไม่ฟังอีก พอโดนด่าไปแล้วก็ทำหน้างง ๆ ว่าด่ากูทำไมวะ ?
อาตมาด่านี่ต้องบอกว่าด่าด้วยความเมตตา ไม่อย่างนั้นก็จะไปทำอะไรโง่ ๆ อีก แล้วคนประเภทนี้จะมีใครสักกี่คนที่เขาจะเมตตาด่า...! เพราะเขาก็รักตัวเอง กลัวจะโดนเกลียดขี้หน้า ท้ายสุดก็เหลือแต่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนที่ด่า แล้วก็เอาไปลือกันว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุยิ่งกว่าหมาอีก...!
งานแต่ละครั้งหลังจากที่ผ่านไปแล้ว อาตมาจะสรุปข้อผิดพลาดให้กับพระที่วัดฟังเสมอ พระก็ดี โยมในวัดก็ดี เขาจะรู้ว่าถึงเวลาแล้วจะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร แต่คนไปใหม่มีแต่ศรัทธาแล้วไร้ปัญญา แถมยังหยิ่งผยองด้วยว่ากูมีความรู้ กูมีความสามารถ สั่งกูไม่ได้ ก็บรรลัยหมดนะสิ ในเมื่อตัวเองไม่ใช่เจ้าของงานแต่ไม่ฟังเจ้าของงาน แล้วจะทำงานให้ได้ดีอย่างไร ?
ต้องบอกว่าเสียทีที่ปฏิบัติธรรมไป แบกแต่กิเลสท่วมหัว เป็นทั้งสักกายทิฐิ เป็นทั้งมานะ สังโยชน์ใหญ่มหึมาเลย แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองแบกอยู่ โดยเฉพาะบางคนเคยบวชอยู่ที่วัด เคยช่วยงานวัด แต่ไม่เคยอยู่ในทีมงานที่เขากำหนดให้ทำงาน พอแทรกเข้าไปก็ไปทำให้เขาป่วนไปหมด เพราะว่าทีมงานที่รู้งาน บางทีเขาอาวุโสน้อยกว่า เขาเกรงใจก็ปล่อยให้เข้าไปยุ่ง แล้วทุกอย่างก็บรรลัยหมดเพราะระบบไม่เป็นระบบแล้ว
งานนี้ข้าวของเสียหายเยอะมากเป็นพิเศษเลย ถ้าเข้าไปดูในคลังจะเห็นเลยว่าของที่ขนไปลง ๆ ไว้นั่นแตกเสียหาย โดนทำลายไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แล้วกว่าจะเคลียร์เสร็จ กว่าจะจัดงานเสร็จ ก็คงต้องใช้เวลาประมาณอาทิตย์หนึ่ง แล้วของที่เละเทะอยู่อย่างนั้นจะทำให้ของอื่นเสียหายเพิ่มอีกเท่าไร ? แล้วของทั้งหมดนั่นคือของสงฆ์ที่เขาถวายมาด้วยความศรัทธาในพระรัตนตรัย คุณกำลังสร้างกรรมหนักให้กับตัวเองเท่าไรยังไม่รู้เลย
คนที่ปฏิบัติธรรม สิ่งที่จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ถ้าไม่สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ก็จะทำผิดทำถูกไปเรื่อย จนกว่าจะเกิดประสบการณ์และข้อสรุปของตัวเอง คราวนี้คนที่เขาทำงานมา เขามีประสบการณ์อยู่แล้ว เขารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะเร็ว ทำอย่างไรงานถึงจะออกมาดี ทำอย่างไรงานถึงจะไม่เสียหาย แต่ผู้มีประสบการณ์แล้วแถมยังเป็นเจ้าของงานด้วยพูดแล้วกลับไม่มีใครยอมฟัง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมากว่า พวกคุณปฏิบัติธรรมไปแล้วได้อะไร กลายเป็นเอากิเลสไปชนกัน ไม่ให้ทำงานก็กลายเป็นขัดศรัทธา กลายเป็นว่ากีดกัน พอเบียดเข้าไปทำงานก็กลายเป็นว่าทำให้งานเขาฉิบหายวายป่วงหมด
ให้ถือว่าครั้งนี้เป็นบทเรียน แล้วไปนั่งพิจารณากันดูว่าใครผิดอะไรบ้าง ครั้งหน้าถ้ามีอีก คราวนี้ไม่ใช่ประหารชีวิตเฉย ๆ ต้องขุดกระดูกขึ้นมาโบยด้วย...!
ส่วนใหญ่เรื่องของการถ่ายรูปหรือว่าถ่ายภาพเคลื่อนไหว คนเราก็อดไม่ได้ที่จะเอาสักกายทิฐิแทรกเข้าไปด้วยว่า "ถ้าเป็นกู กูต้องเด่น" ก็เลยเอานิสัยนั้นมาใช้กับอาตมา ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่า ทั้งวัดท่าขนุนไม่มีรูปเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันเลย เพราะว่าอาตมาไม่ได้หลงตัวเองขนาดนั้น มีรูปก็ต้องเป็นรูปครูบาอาจารย์ที่คนเขาเคารพนับถือ แต่คราวนี้พอถ่ายรูปกลายเป็นไปเน้นอยู่คนเดียว ส่วนที่ดีก็คือต้องให้คนที่เขาไม่ไปได้เห็นว่าในงานมีอะไรบ้าง ไม่ใช่ว่าทั้งงานออกมา ๑๐๐ รูปหรือว่าถ่ายวิดีโอมา ๒ ชั่วโมงมีแต่หน้าเจ้าอาวาสอยู่คนเดียว
แล้วเขาก็สงสัยว่าอาตมาเดินทางไปเที่ยวด้วยกัน แต่พอเขียนบันทึกการเดินทางออกมาเป็นคนละม้วนกับที่เขาเห็น ก็เพราะว่าต้องการให้คนที่เขาไม่ได้ไปนั้นเห็นว่าเราเห็นอะไรมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่เขียนจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ในเมื่อเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเขาเห็นภาพพจน์เลยว่าสถานที่ไปนั้นเป็นอย่างไร
ต้องบอกว่าของอย่างนี้ถึงเข้าใจแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเลียนแบบตามกันได้ เพราะด้วยความยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือมีสักกายทิฐิเต็มหัวอยู่
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าญาติโยมสังเกต จะทราบว่าระบบเสียงบ้านวิริยบารมีคราวนี้เสียงดังแต่ไม่ก้อง เกิดจากชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต นำโดยคุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา ช่วยซื้อเครื่องเสียงใหม่เพื่อที่จะปรับปรุงระบบใหม่ ตอนแรกที่นั่งลงมานี่ อาตมาอยากจะด่าคนทำ เพราะว่าเสียงก้องมาก ปรากฏว่าช่างเขามาเจอทีหลังว่าไมโครโฟนเก่าไม่ค่อยกระจายเสียง ก็เลยไปเร่งลำโพงเอาไว้ พอของใหม่มากระจายเสียงได้ดีกว่า รับเสียงได้ดีกว่า ก็เลยทำให้ก้องสะท้อนมาก กว่าจะปรับแก้ได้ก็โดนด่าไปชุดหนึ่งแล้ว ก็ต้องขออภัยทีมงานไว้ในที่นี้ สรุปว่าคุณมีฝีมือพอที่จะหากินทางนี้ต่อไปได้...!
ส่วนใหญ่ที่เจอมาก็คือพวกไม่มีฝีมือ อ้างว่าพื้นที่กว้างบ้าง ก็เลยเพิ่มวัสดุมาเรื่อย ๆ แล้วให้เราจ่ายเงินไปเรื่อย ซึ่งอาตมาเจอมาแล้ว ไปติดตั้งจนเต็มศาลาไปหมด หมดเงินไปเป็นแสน ๆ บาท ตอนหลังต้องรื้อทิ้งไปเฉย ๆ เพราะว่าคนใหม่เขามีฝีมือ ใช้แค่ไม่เท่าไรก็แก้ไขได้แล้ว"
พระอาจารย์กล่าวถึง "เสื้อหมาหัวเน่า" ว่า “เดี๋ยวถ้าเสื้อเหลือแล้วให้ตัวเล็กไปลงกระทู้นะ ตัวละ ๓,๐๐๐ บาท ...(หัวเราะ)... นี่เกรงใจแล้วนะ ว่าจะเอาตัวละ ๓,๕๐๐ บาท บอกแล้วว่าตั้งใจทำมาขายแพง ๆ พระอาจารย์แปลงกายเป็นดีไซเนอร์ จะไปหาที่ไหนได้ สามารถประกาศได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า เสื้อนี้พระอาจารย์ออกแบบเอง เพียงแต่ต้องการความกล้าหาญในการใส่หน่อย ถ้าหากว่าติดตลาดเมื่อไรจะผลิตขายต่างประเทศเลย ดูท่าว่าตัว ๓,๐๐๐ บาทนี่จะถอนทุนคืนได้พอดี”
ถาม : ท่านเคยได้ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรให้ใครไปบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่เคยเลย...ยังไม่มีคำสั่ง ขืนไปครอบครูเดี๋ยวตูก็โดนครอบแทนเท่านั้น..! หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้รับอนุญาตให้ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรตอนอายุ ๗๕ ปี ขึ้น ๗๖ ปี อาตมายังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะได้รับอนุญาตเมื่อไร
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานอาตมาติดหวัดจากใครก็ไม่รู้ ? พอรับสังฆทานเสร็จขึ้นไปพักนี่หมอบกระแตเลย ด้วยความที่เป็นคนไม่มีภูมิคุ้มกัน เพราะกินยารักษามาลาเรียจนภูมิคุ้มกันโดนกดจนเลิกทำงาน ใครเป็นหวัดหรือเป็นอะไรติดเชื้อหน่อยหนึ่งผ่านมากระทบนี่จะเป็นไปกับเขาทันที"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธรูปบ้านเราถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ได้บทสรุปชัด ๆ แล้ว แต่บางอย่างคนก็ยังไม่เข้าใจ อย่างเช่นคำว่าพระพุทธรูปศิลปะตะกวน ศิลปะตะกวนเป็นศิลปะตอนต้นของสุโขทัยที่ยังปนพุทธลักษณะแบบลังกามามาก คนได้ยินแล้วจะงงว่ารูปแบบตะกวนเป็นอย่างไร ไม่รู้จัก
สมัยนี้ถ้ามีช่างฝีมือดี ๆ ปั้นขึ้นมาองค์หนึ่งก็ถอดแบบด้วยคอมพิวเตอร์ ...(หัวเราะ)... องค์ต่อ ๆ ไปเหมือนกันเปี๊ยบ ตอนนี้ยุครัตนโกสินทร์ของเราก็นับศิลปะพระพุทธรูปแบบรัชกาล ก็คือสร้างพระพุทธรูปแล้วมีจีวรลายดอกพิกุล ส่วนช่วงยุคกลางกับยุคปลายนี่ยังไม่ได้สรุป ต้องบอกว่ายุคต้นกับยุคกลางก็คือพุทธลักษณะแบบรัตนโกสินทร์ที่จีวรมีลายดอกพิกุล
อาตมาไปที่พิพิธภัณฑ์พระเชียงแสน เจ้าหน้าที่เขาก็ตามมาอธิบาย อธิบายไปอธิบายมาเลยบอกว่า “ขอโทษทีหนู..เรื่องนี้หลวงพ่อรู้เยอะกว่า” แล้วก็สอนคืน ...(หัวเราะ)... ก็คือแต่ละยุคของพุทธศิลป์ อย่างเช่นว่าสุโขทัยตอนต้นที่เขาเรียกว่าตะกวน ก็จะติดแบบพุทธศิลป์ลังกามามาก พอมาระหว่างสุโขทัยตอนปลายต่ออยุธยาตอนต้น ศิลปะก็จะผสมผสานกัน เป็นต้น คุณหนูเธอทำการบ้านมาดีหรอก แต่สายตาไม่ถึง อธิบายจ้อย ๆ ไปตามตำรา แต่ของที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ อาตมาก็เลยต้องทักท้วง
พิพิธภัณฑ์พระเชียงแสน ถ้าใครมีโอกาสควรที่จะเข้าไปดู อย่าไปเกี่ยงว่าค่าตั๋วแพง ๒๐๐ บาทนี่ได้ดูเบญจภาคีเต็ม ๆ ไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด คุ้มค่ามาก โดยเฉพาะบรรดาเหรียญเบญจภาคี พระเครื่องเนื้อชินชุดเบญจภาคี เรื่องของวัตถุมงคลถ้าเราได้เห็นของจริงบ่อย ๆ จะทำให้เรามีความมั่นใจที่จะฟันธงว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นของทันยุคสมัยหรือของทำเลียนแบบ"
ถาม : มีโยมมาปรึกษาเรื่องปีชงครับ ควรจะตอบเขาว่า ?
ตอบ : ก็เลิกชงสิ ให้คนอื่นชงให้กินแทน...! เรื่องของปีชงเป็นความเชื่อตามคติแบบของจีน ถ้าเป็นแบบของไทยเราก็สอนให้เขาสะเดาะเคราะห์ถวายสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลาไป ถ้าจะเอาแบบจีนก็ต้องไปไหว้เจ้า เขาระบุว่าองค์ไหน ที่ไหน ไหว้แล้วแก้ชงปีอะไร เราก็ไปตามนั้น
ถาม : ผมเคยอ่านในพระไตรปิฎกที่พระมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัติ ในนั้นไม่ได้กล่าวไว้ว่าร่างกายจะอ่อนเพลีย ?
ตอบ : ก็เขาไม่ได้บรรยาย พระพุทธเจ้าถึงขนาดห้ามเข้าเกิน ๑๕ วันเพราะร่างกายจะขาดสารอาหารมาก
ผมเข้ากรรมฐาน ๓ วันออกมา ผมก็เดินขึ้นเขาไปรับบิณฑบาต ถามว่าเพลียไหม ? ก็มีบ้าง เพราะร่างกายขาดธาตุอาหาร ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจที่บาลีเขากล่าวว่า บรรดาฤๅษีที่ไปจำพรรษาในป่าหิมพานต์ ถึงเวลาอยากเปรี้ยวอยากหวานขึ้นมาก็ต้องเข้ามายังเมืองมนุษย์ ความจริงคือร่างกายขาดธาตุอาหาร คุณเก่งขนาดไหนก็ต้องหาให้เขาบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ชำรุดหมด ขำพระสมุห์กอล์ฟ เขาบอกว่าเขากินเต็มที่ ๓ วัน ๖ มื้อ เดินขึ้นเขายังต้องพัก ๒ รอบ หลวงพ่ออดมาสามวันเดินขึ้นเขารวดเดียวเลย
ถาม : แล้วเวลาจะเข้ากรรมฐานแบบนี้ต้องอธิษฐานกันไว้ก่อนไหม อย่างเช่นที่ว่ามดจะมาเจาะตา ?
ตอบ : คนละอย่างกัน เพราะไม่ได้หมดสติเหมือนคนทั่วไป ระบบร่างกายของบางท่านก็ทำงานเป็นพัก ๆ เวลาคลายสมาธิออกมา บางท่านก็ไปยาวเลย แต่คราวนี้ว่ากำลังสมาธิของท่านคุ้มได้ ต้องดูอย่างพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านโดนไฟเผาเป็นตอตะโกก็ยังไม่เห็นเป็นอะไร ถึงเวลาท่านก็ลุกมาหาผ้าครองใหม่
แต่ถ้าคนไม่เคยชินตอนคลายสมาธิใหม่ ๆ นี่หัวใจจะเต้นเร็วมาก บางทีร่างกายถึงขนาดเป็นลมไปเลย เหมือนกับว่าอวัยวะหยุดทำงานไปนาน ๆ พอจะทำงานใหม่ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ประเภทออกแรงมากเพื่อที่จะขับเคลื่อนระบบทั้งร่างกาย เหมือนอย่างกับเครื่องยนต์ขาดน้ำมันหล่อลื่น เพราะฉะนั้น...หัวใจจะเต้นแรงมาก น่าจะเกิน ๑๐๐ ครั้งต่อนาที รับรองว่ามีแต่เกินไม่มีขาด พอหัวใจเต้นแรง ๆ แล้วมีอาการเหนื่อยหอบเหมือนจะเป็นลม ก็เลยทำให้เห็นว่าจริง ๆ ระบบร่างกายนี้เหนื่อยยากจริง ๆ
ถาม : ถ้าผมเร่งในทาน ศีล ภาวนา จะทำให้มีศีล สมาธิ ปัญญาเพิ่มขึ้น ทีนี้ผมสงสัยว่าปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาทางธรรมอย่างเดียว หรือว่าปัญญาในการเอาตัวรอดในชีวิตด้วยครับ ?
ตอบ : ทั้งทางโลกและทางธรรม ในเรื่องปัญญามี สหชาติกปัญญา ถ้าคนทั่ว ๆ ไปก็เรียกว่าสัญชาตญาณ เป็นปัญญาที่มาพร้อมกับการเกิด ก็คือรู้จักหากิน รู้จักหลบภัย รู้จักเสพกาม เป็นต้น ปาริหาริกปัญญา เป็นประสบการณ์ที่ค่อย ๆ สั่งสมในการดำเนินชีวิต หรือศึกษาเรียนรู้จากตำรา จากห้องเรียน แล้วก็เนปักกปัญญา เป็นปัญญาในการแสวงหาทางพ้นทุกข์
ถ้าเราเร่งในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กัน เพราะว่าในเมื่อมีปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญญาอย่างไหนก็ตาม ย่อมสามารถเอาไปประยุกต์พัฒนาร่วมกับปัญญาอื่น ๆ ได้ ขนาดต้องการพ้นทุกข์จากวัฏสงสารยังมีปัญญาดิ้นรนหนีไป การที่จะทำอย่างไรให้เรามีความสุขในโลกจึงกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย แค่เอามาประยุกต์ใช้ร่วมกันแค่นั้นเอง
ถาม : มีคนบอกว่า “ขอให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม” การเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมคู่กันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะสวนทางกัน ?
ตอบ : ใครว่าเป็นไปไม่ได้ นางวิสาขารวยเท่าไร แล้วทำไมเป็นพระอริยเจ้าได้ ? พระมหานามเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วทำไมเป็นพระอริยเจ้าได้ ?
ถาม : ถ้าผมตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิเต็มตัว ?
ตอบ : ตอนนี้ยังแค่ครึ่งตัวใช่ไหม ?
ถาม : ถ้าผมตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิเต็มตัว มารเขาจะเล่นงานผมน้อยลงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มีแต่จะหนักขึ้น
ถาม : ทำไมเล่าครับ ก็ผมยังไม่ไปพระนิพพาน ?
ตอบ : ตอนนี้คุณจะไปคนเดียว แต่หลังจากนี้คุณจะพาไปตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น..จะโดนเตะสกัดตลอดเวลาเพื่อไปให้ได้ช้าที่สุด
ถาม : ผมไม่ตั้งใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ แค่ตั้งใจว่าลาเมื่อไรก็ช่าง แต่ให้ได้ช่วยเหลือคน ?
ตอบ : การช่วยคนอื่นนั้นแหละ ช่วยมากช่วยน้อยก็ไปขัดนโยบาย คสช. แล้ว ต้องโดนปรับทัศนคติแน่นอน
ถาม : เรื่องเล็กน้อยเขาก็เอา เขามีความสุขมากเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...เป็นหน้าที่เขา ถึงเวลาไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ก็ต้องส่งทหารตำรวจไปถ่ายคลิปด้วย
ถาม : แค่ให้ขัดอารมณ์นิดเดียวนี่เขาก็เอา ?
ตอบ : ถึงขนาดปิดประเทศยังจะเอาเลยนะ...! แสดงว่าที่อาตมาพูด ๆ ไปไม่เคยเข้าหู บอกแล้วว่ามารไม่ใช่ศัตรู แต่มารเป็นครูที่ดีที่สุด มีอะไรต้องไปกลัวด้วย ยกเว้นว่านักเรียนไม่พร้อม นักเรียนไม่พร้อมแล้วไปบ่นว่าครูโหดได้อย่างไร ? ก็ต้องไปเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ แค่นั้นเอง
ถาม : เป็นครูแต่เอาลูกศิษย์ลงนรกได้นี่นะครับ ?
ตอบ : ก็นั่นเป็นหน้าที่เขา ไม่เห็นหรือว่ากว่าจะจบปริญญาโทปริญญาเอก แต่ละคนเหมือนตกนรกทั้งเป็นมากี่รอบ ถึงขนาดเขาสรุปง่าย ๆ ว่า เรียนปริญญาโทร้องไห้ได้ไม่ถึง ๓ ครั้งนี่ไม่จบหรอก แล้วปริญญาเอกนี่ ตูยังไม่รู้เลยว่ากี่ครั้ง ? เพราะยังไม่ทันจะร้องเลยดันจบเสียก่อน
ลงนรกก็แค่อยู่กับเขา ก็เป็นความพอใจของเขาอยู่แล้ว ครูก็แค่อยากจะมีลูกศิษย์ไว้สอนนาน ๆ ถ้าลูกศิษย์ไม่รักครูก็ต้องหาทางหนีครูไปเอง ถ้าไม่รู้จักหนีครูก็ทนอยู่กับครูไปเรื่อย ๆ
การเกิดมาเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้กระทำในอัตตัตถะ ก็คือ ประโยชน์ส่วนตนให้ถึงพร้อม แปลว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไร ก็ให้ทำสถานะนั้นให้ดีที่สุด เป็นลูกก็ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด เป็นพี่เป็นน้องก็ทำหน้าที่ของพี่น้องให้ดีที่สุด เป็นศิษย์ก็ทำหน้าที่ของศิษย์ให้ดีที่สุด เป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุด เป็นครูบาอาจารย์ก็ทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์ให้ดีที่สุด
อย่างที่ ๒ คือปรัตถะ ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้มีอัตถจริยา ก็คือการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น แม้กระทั่งที่อาตมาทำอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็เป็นปรัตถะ ก็คือเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก
และส่วนสุดท้ายก็คือ อุภยัตถะ ทำประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งตนเองและผู้อื่นให้ถึงพร้อม ซึ่งบุคคลที่จะทำได้สมบูรณ์บริบูรณ์นั้นหายาก เราจะเห็นว่าบางท่านแม้จะเป็นใหญ่เป็นโต บริหารชาติบ้านเมืองได้ดี แต่ครอบครัวบางทีก็ไม่เป็นท่าเลย ถ้าถามว่าท่านไม่ได้อบรมสั่งสอนคนในครอบครัวหรือ ? ต้องบอกว่ายิ่งกว่าสอนอีก แต่สอนแล้วเขาไม่ฟัง เหตุที่ไม่ฟังเพราะบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น คนที่มาเป็นครอบครัวเดียวกันก็มักจะมีทิฐิมานะ กูยิ่งใหญ่ขนาดนี้มึงจะมาสอนกูได้อย่างไร จะเป็นลักษณะอย่างนั้น ดังนั้น..ข้อสุดท้ายจะเป็นข้อที่ทำได้ยากที่สุด ถ้าอยากจะรู้หัวข้อธรรมนี้ละเอียดก็ให้ไปค้นหาดู ใช้คำว่า “ประโยชน์ ๓” ไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนอธิบายเอาไว้ละเอียดบ้างหรือเปล่า ?
การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เน้นปรัตถะ ก็คือเน้นประโยชน์ผู้อื่น ถ้าเห็นคนอื่นมีความสุข ถึงตัวเองต้องตายลงไปก็ยังเต็มใจที่จะทำ
ถาม : หนูไปภาวนาที่วัดแห่งหนึ่ง ขณะที่เดินจงกรมไปแล้วแล้วรู้สึกปวดมาก แต่พอเดินต่อเวทนาก็หาย รู้สึกว่าขาก็ไม่ใช่ขา กระดูกก็ไม่ใช่กระดูก เรียกไม่ได้เลยค่ะ ?
ตอบ : สรุปว่าไม่ใช่ของเรา
ถาม : เดินจนเดินไม่ได้ก็เลยหยุดเดิน ไอ้ที่แยกออกกลับรวมตัวกัน กลับมาเป็นอีกทีหนึ่งค่ะ ?
ตอบ : ...(หัวเราะ)... ถ้าไม่รวมจะลำบาก รวมนั้นถูกแล้ว กระจายออกแล้วต้องรวมเข้า รวมเข้าแล้วกระจายออก ให้เห็นชัดให้ได้ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา อยู่ไปก็มีแต่ความทุกข์ ยังอยากได้ใคร่มีอีกหรือเปล่า ? ให้ถามตัวเองด้วย
ถาม : ที่เขาให้ทำวัตรสวดมนต์แล้วให้ท่องพิจารณา ก็เลยรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่เข้าใจค่ะ ?
ตอบ : ตอนนั้นเป็นแค่สิ่งที่ จำได้ แต่ตอนนี้เป็นสิ่งที่ ทำได้ ดังนั้น..พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่าหลักธรรมของพระองค์ท่านเป็นปัตจัตตัง คือ ผู้ปฏิบัติถึงจะรู้เห็นด้วยตัวเอง
ถาม : วันสุดท้ายของการปฏิบัติหนูนั่งสมาธิ เขาเปิดเสียงหลวงปู่สิม หลวงปู่บอกให้นั่งขัดสมาธิเพชร นั่งไปรู้สึกเจ็บมาก ในใจเลยรู้สึกโกรธหลวงปู่ พอนั่ง ๆ ไปเสียงหลวงปู่บอกว่า “ไม่ตายหรอก อ่อนแอท้อแท้ไปก็ไม่ได้อะไรหรอก” ก็น้ำตาไหลนึกถึงหลวงพ่อมาก เกิดความรู้สึกถึงดวงตรงศูนย์กลางกายชัดขึ้น เหมือนมีตรงกลางแล้วมีคนกระโจนวิ่งใส่กำแพง เหมือนอารมณ์ออกข้างนอกไม่ได้ เขาพยายามจะให้เรายอมแพ้ บอกว่าถ้านั่งไปมาก ๆ เดี๋ยวขาจะแตก เดี๋ยวจะตาย แต่ก็อดทน ยิ่งทำให้เห็นว่าดวงตรงศูนย์เริ่มนิ่งขึ้น แล้วอารมณ์ตรงนั้นไม่ใช่หนู อย่างที่หนูเคยมากราบเรียนเมื่อเดือนก่อนยังไม่ค่อยชัด คราวนี้ชัดมากเลยค่ะ ว่าที่กระโจนออกไปนั่นเป็นความกลัวตาย
ตอบ : กิเลสกำลังหลอก
ถาม : ที่ว่าขาจะแตก ก็เหมือนเนื้อตาย ๆ ไม่ใช่ของเรา มีความรู้สึกว่า เหมือนกับอะไรที่เราหลงยึดมาตั้งนานทั้งที่ไม่ใช่ของเรา หนูไม่รู้จะไปต่ออย่างไรดีค่ะ ?
ตอบ : ทำแบบนั้นบ่อย ๆ เพื่อให้เห็นให้ชัดว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แล้วจะยึดถือมั่นหมายไปทำไม ? ก็เอาใจเกาะพระดีกว่า ตอนท้ายให้เอาใจเกาะพระ เพราะอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน ถ้าเราตายลงไปเพราะการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ เราก็ขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่พระนิพพาน ส่วนหนึ่งที่ดีใจก็คือเราได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วความทุกข์ยากลำบากอะไรทั้งปวง เป็นเพราะกิเลสหลอกเราทั้งนั้น ถ้าเราไม่ยอมต่อสู้เราก็จะเสียท่า โดนเขาพาวนหาทางออกไม่ได้ไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้เราสู้ผ่านมาได้เฉพาะครั้งนั้น ได้เห็นแล้วว่ากิเลสเขาหลอกเราอย่างไร ต่อไปก็อย่าไปเสียท่าให้เขาหลอกเราอย่างนั้นได้อีก
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขับรถอย่าใจร้อน ถ้าใจร้อนนอกจากจะเกิดอุบัติเหตุง่ายแล้ว รถเรายังชำรุดเสียหายง่าย ขับรถอย่างไรที่จะรักษาความเร็วเฉลี่ยให้ได้ สมมติว่าเราไปต่างจังหวัด เหยียบ ๑๔๐-๑๕๐ แล้วก็ไปเบรก กับการที่เราไป ๑๐๐-๑๑๐ แล้วไม่ต้องเบรก อย่างไหนจะดีกว่ากัน ?
ฉะนั้น..การขับรถเราต้องคำนวณล่วงหน้าไปเลย ๓-๔ คัน ว่าเราจะทำอย่างไร จะไปทางไหนจึงรักษาความเร็วเฉลี่ยนี้เอาไว้ได้ อาตมาเคยนั่งรถที่โยมบางท่านขับไป ๑๘๐ แล้วก็เบรกตลอดเวลา อาตมายังบอกว่า นี่ถ้าเปลี่ยนรถคันใหม่คุณเกิดอุบัติเหตุแน่นอน เพราะว่ารถยี่ห้ออื่นไม่ใช่ว่าจะเบรกดีเหมือนกับยี่ห้อที่คุณใช้อยู่"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สังเกตว่าคนรุ่นใหม่ เวลาทำอะไรมักจะถ่ายรูปแล้วก็แชร์ ไม่ว่าจะส่งทางไลน์หรือว่าเฟซบุ๊กก็ตาม ขอถามว่ามีใครไม่เป็นบ้าง ? ...(ยกมือหลายคน)... ถ้าไม่ใช่ตกยุคก็ต้องถือว่าสุดยอด ไม่ต้องไปไหลตามเขา อาตมาไม่ได้ตำหนิว่าคนที่ทำเขาไม่ดี แต่อยากจะถามว่า ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ ? เหนื่อยบ้างไหมที่ทำอย่างนั้น ? ใช่สิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ ไหม ? หรือว่าบ้าเห่อตามเขาไป ความจริงแล้วเราควรจะตั้งคำถามกับตัวเองบ้าง
อาตมาไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่มีไลน์ ไม่มีทวิตเตอร์ มีแต่อีเมล์ที่นาน ๆ เปิดดูทีหนึ่ง ชีวิตมีความสุขกว่าเยอะเลย ไม่ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเวลาเขาโทรมา ๖ โมงเย็นนั่งทำวัตร เจ้าคุณรองเจ้าคณะจังหวัดโทรมา อาตมาปิดเครื่องเลย เพราะเป็นเวลาทำวัตร บางวันก็เปิดให้ท่านฟังทำวัตรสัก ๑๕ นาที จนท่านโมทนาไม่ไหวต้องตัดสายทิ้งไปเอง เพราะเปลืองเงิน หลังจากนั้นท่านก็จะไม่โทรมาหลัง ๖ โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่อาตมาจะปิดโทรศัพท์อีกเลย ไปเปิดอีกทีก็แปดโมงเช้าโน่น
หลายคนต้องสิ้นเปลืองมากมายมหาศาล เพราะต้องการที่จะแสดงให้คนอื่นเขาเห็นในสิ่งที่ตัวเองทำ ต้องไปกินอาหารในร้านดี ๆ แพง ๆ ซึ่งบางทีไม่มีความจำเป็นอย่างนั้น แต่อยากจะอวดรูปคนอื่น จึงยอมจ่ายราคาแพงกว่า อาหารเป็นเครื่องยังชีพ พิจารณาแบบพระเลย นะ มัณฑนายะ นะ วิภูสนายะ ไม่ใช่กินเพื่อประดับ ไม่ใช่กินเพื่อตกแต่ง ถ้าพูดเป็นภาษาไทย ก็คือ ไม่กินอวดร่ำอวดรวยว่าเราไฮโซหรูหรา ถ้าเงินเดือนต่ำติดดินแล้วไปทำตัวอย่างนั้น ลองคิดดูสิว่าเราจะติดลบเท่าไร ? เดี๋ยวก็กลายเป็นหนี้บัตรเครดิต พอเป็นหนี้บัตรใบที่ ๑ ก็ไปออกบัตรที่ ๒ กู้เงินมาโปะใบที่ ๑ ออกใบที่ ๓ กู้เงินมาโปะใบที่ ๒ เดี๋ยวก็หนี้ท่วมหัวล้มละลายไปเอง"
"เพราะฉะนั้น..ทุกคนควรจะถามตัวเราเองสักนิดหนึ่งว่า เราอยากมีชีวิตอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า ? หรือว่าแค่บ้าเห่อไหลตามกระแสสังคมไป ? เคยมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ชอบใจชื่อเรื่องมากเลย เขาว่า “หยุดกรุงเทพฯ ที ผมจะลง” คือกรุงเทพฯ ไปเร็วเกินไปแล้ว ทำอย่างไรเราจะใช้ชีวิตให้ช้าลงได้ ก็ต้องมีสันโดษ ยินดีในสิ่งที่ตนมีตนได้ ซึ่งในหลวงทรงสรุปมานานมากแล้วว่า สันโดษไม่ใช่จน นั่นคือการเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง
ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังตนที่หาได้ ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน คนมีเงินร้อยล้านพันล้านจะขี่ลัมโบร์กินี่ไม่มีใครว่าหรอก ส่วนเราเงินเดือนขั้นต่ำหมื่นห้า ถ้าไปออกรถบางทีก็สิ้นสติ ก็นั่งรถไฟฟ้านั่งรถเมล์ไปก่อน
ปัจจุบันนี้เราซื้อของเพราะว่าตั้งใจจะเสริมฐานะตัวเอง อาตมาเคยเอ่ยถึงเถ้าแก่เหมืองโดโลไมต์ที่กาญจนบุรีมาหลายครั้งแล้ว ท่านซื้อเบนซ์ ๕๐๐ เอสคลาสด้วยเงินสด คันละแปดล้านของสมัยโน้น ปรากฏว่ากินน้ำมัน ๔ กิโลเมตรต่อ ๑ ลิตร มาบอกว่า “อาจารย์...ผมเอารถมาถวายนะ” ถามว่ากินน้ำมันเท่าไร ท่านบอกว่า ๔ กิโลลิตร เลยบอกว่า "เถ้าแก่เอากลับไปเถอะ อาตมาไม่รับหรอก เลี้ยงไม่ไหว"
ถามว่า "เถ้าแก่ไม่ใช้แล้วซื้อทำไม ?" ท่านบอกว่าลูกสาวยุให้ซื้อ บอกว่าธุรกิจระดับนี้แล้ว ถ้าไม่มีรถดี ๆ ขี่เดี๋ยวคนเขาไม่ทำธุรกิจด้วย ก็เลยบอกไปว่า “ถ้าคนเขาคบเถ้าแก่เพราะรถ เถ้าแก่อย่าไปคบกับไอ้คนประเภทนั้นเลย” นี่คือลักษณะของการซื้อของที่ไม่จำเป็น ท้ายสุดเถ้าแก่ก็ขี่
"ฉะนั้น..ชีวิตของคนปัจจุบันโดยเฉพาะในเมือง ไม่ใช่ต่างจังหวัดไกล ๆ แม้กระทั่งต่างจังหวัดปัจจุบันนี้ก็เริ่มเป็น ก็คือทำตัวฟุ่มเฟือยตั้งแต่แรก ต้องบอกว่า รายได้โลโซแต่ทำตัวไฮโซ แล้วจะไปรอดไหม ? เดี๋ยวก็เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ไม่ผิดหรอก อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก เพราะฉะนั้น..ดำเนินชีวิตของเราอย่างไรให้รู้จักประหยัด อดออม แล้วก็มีความมุมานะ ขยัน อดทน ต่อสู้กับงานตรงหน้าของเรา
ส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันเราไปเลียนแบบพวกตะวันตก ก็คือ หนุ่ม ๆ สาว ๆ ออกเที่ยว แล้วรายได้ของเราได้อย่างเขาไหม ? อย่างในยุโรปรายได้เขาชั่วโมงละ ๘ ยูโร ของบ้านเราทำแทบตายทั้งวัน ๓๐๐ บาท แต่ ๘ ยูโรของบ้านเขาซื้อข้าวซื้อปลากินเสร็จสรรพเรียบร้อยยังเหลือเก็บตั้งเกินครึ่ง บ้านเรา ๓๐๐ บาท กินผัดกะเพรา ๒ จานก็หมดแล้ว..! ได้ยินว่าหลายที่ขายจานละ ๑๕๐ บาทไปแล้ว
เราเลียนแบบเขาโดยที่ไม่ได้ดูว่าระบบของเราไม่ได้รองรับ ไม่ได้เอื้ออำนวย บ้านเขาทำงานโดนหักภาษีจำนวนมหาศาล ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๕๕ เปอร์เซ็นต์ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ได้ยินว่าฝรั่งเศสจะหักภาษี ๗๕ เปอร์เซ็นต์..! แต่เขาคืนเป็นสวัสดิการในการรักษาพยาบาล ในการท่องเที่ยว แต่ละปีจะให้ตั๋วเครื่องบินราคาประมาณเท่านี้ คุณจะเที่ยวประเทศไหนเรื่องของคุณ ถ้าคุณไม่ไปถือว่าสละสิทธิ์ คนเขาก็ต้องไปเที่ยว แล้วบ้านเรามีระบบรองรับแบบนี้ไหม ? เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าเราตกงานแล้วจะมีประกันสังคมมาช่วย ? ถ้าเราแก่จะมีรัฐบาลเลี้ยงแบบของเขา ? ในเมื่อไม่มีแล้วไปทำตัวฟุ่มเฟือยแบบเขา เลียนแบบเขาโดยที่ไม่ดูว่าสภาพสังคมเราต่างกัน ก็หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
ปัจจุบันนี้เวลาอาตมาเห็นคนแต่งหน้าแต่งตาอย่างหนึ่ง วิ่งตามแฟชั่นอย่างหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยแทนเขามาก ถ้าพอจะสนิทกันบ้าง ไม่ใช่คนที่ห่างเหิน รู้ว่าพูดแล้วไม่โกรธก็จะถามว่า "ถามจริง ๆ เถอะต้องแต่งหน้าวันละ ๒ ชั่วโมงนี่เหนื่อยไหม ?" เสร็จแล้วออกไปโชว์เขากี่ชั่วโมง ? เต็มที่ ๖ ชั่วโมงก็ล้างทิ้งอีกแล้ว พรุ่งนี้เสียเวลาแต่งไปอีก ๒ ชั่วโมง เห็นแล้วเหนื่อยแทน รู้สึกว่าทุกข์มากเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บรรดาแม่ชีและเด็กวัด พอเห็นข้าวสารอาหารแห้งนี่ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก..! จนกระทั่งตอนนี้เขายังคัดข้าวสารได้ไม่ถึงครึ่งที่รับบิณฑบาตมาเลย แต่ละคนโวยวายกันว่าปีหน้าห้ามหลวงพ่อเข้ากรรมฐานเด็ดขาด ของมากกว่าเดิม "หลายเท่าตัว" ไม่ใช่มากกว่าเดิม "เป็นเท่าตัว" กุฏิแม่ชีข้างล่างไม่มีที่ให้เดิน กองกันสูงท่วมหัวแน่นไปหมด
คนที่มาช่วยงานส่วนหนึ่งต้องบอกว่ามีน้ำใจมาก แต่ไม่รู้วิธีการทำงาน ในเมื่อไม่รู้วิธีการทำงาน ถึงเวลารับของมาก็เทโครม ๆ ลงไป พวกบรรดาน้ำที่เป็นแก้ว เป็นขวด ทนแรงกระแทกมาก ๆ ไม่ได้ ก็แตกเละเทะไปหมด คนจัดเก็บป่านนี้นั่งร้องไห้น้ำตาเล็ดไปแล้ว
ประมาณ ๒-๓ ชั่วโมงแรกที่จบจากการตักบาตรเทโวฯ ทุกคนนั่งงงว่าตูจะทำอย่างไรวะนี่ ? ก็คือของเยอะจนทำอะไรไม่ถูก แม้กระทั่งพระพอรับกฐินเสร็จ พระก็ยืนงง ท่านโน้นเดินวนไปคลำชิ้นโน้น ท่านนี้เดินวนมาคลำชิ้นนี้ ทำอะไรไม่ถูก ท้ายสุดอาตมาต้องบอกว่า ให้เก็บผ้าไตรออกมาก่อน แล้วของจะหายไปครึ่งหนึ่ง ค่อยได้สติเอาผ้าไตรมากอง ๆ รวมกัน น่าจะเกิน ๑,๐๐๐ ไตร
ของอื่นถ้าหากเป็นของสดให้แยกเข้าครัว ถ้าเป็นของแห้งก็ส่งเข้าคลัง ถ้าเป็นหนังสือก็เอาเข้าห้องสมุด วัตถุมงคลเอาส่งให้พระอาจารย์ แต่มีบางท่านอมไปเองหลายชิ้น เขาถือว่ามีส่วนร่วมด้วย ในเมื่อมีส่วนในกองกฐิน ชิ้นไหนที่ต้องการก็ไม่รอให้พระอาจารย์อนุญาต อมไปก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง นิสัยอย่างนี้อย่าไปทำที่อื่น เพราะถ้าไปทำที่อื่นแล้วเกิดเขาไม่ยอม จะกลายเป็นขโมยของ จะขาดความเป็นพระไปเสียตั้งแต่แรก
ไปนึกถึงในหนังสือการ์ตูนที่ถูกรางวัลที่ ๑ ซื้อของมาเต็มบ้านแล้วจัดไม่ถูก ก็แบบเดียวกันกรณีนี้ ข้าวของบิณฑบาตมาเต็มกุฏิแม่ชี ทำอะไรกันไม่ถูก นั่งงงกันไปพักใหญ่
"จนทุกวันนี้ก็ยังมีญาติโยมที่ไม่เข้าใจวิธีการตักบาตรเทโว ถึงเวลานึกอยากจะใส่อาหารสดก็ซื้ออาหารสดมา ทั้งข้าว ทั้งแกง ทั้งขนม คราวนี้ของตั้งหลายตันแล้วไปโดนทับอยู่ข้างล่าง ใครจะไปเอาออกมาได้ ? ทั้ง ๆ ที่คนซึ่งรับของจากบาตรพระเขาแยกมาแล้ว แยกว่านี่เป็นของสด นี่เป็นของแห้ง แยกใส่กระสอบโน้นกระสอบนี้ แต่คนเอาลงไม่สนใจ เททับกันไปเลย ต้องการเอารถออกไปรับใหม่อย่างรวดเร็ว ก็เททับพรวดลงไปเลย กองเป็นภูเขาเลากา กว่าจะคุ้ยลงไปถึงข้างล่าง ก็เละเทะหมด
ส่วนอีกประเภทหนึ่งไม่รู้ว่าขี้เกียจหรือมักง่าย คือ คนอื่นเขาเอาข้าวสารแบ่งใส่ถุงเล็ก ๆ จะเป็นถุงซิปหรือถุงพลาสติก เย็บปากมาหรือว่าผูกปากมาก็ได้ แต่พวกนี้เขาเล่นเทข้าวสารใส่ปิ่นโต แล้วก็ตักใส่บาตรทีละทัพพี ๆ แล้วคนเก็บจะเก็บอย่างไร ? ก็มีแต่เม็ดข้าวสารเกลื่อนไปหมด แต่ไม่เป็นไร..เดี๋ยวที่เหลือถ้าหากว่าไม่เสียเพราะน้ำไปก่อน ก็กวาด ๆ รวมกันแล้วหุงเลี้ยงหมาไป"
"บางทีความหวังดีของคนเราก็ปฏิเสธไม่ได้ หรือปฏิเสธได้ยากเพราะคนเขาศรัทธา แต่มาช่วยแล้วทำให้งานยากขึ้น ถ้าของสดของเราแยกไว้ส่วนหนึ่ง ถึงเวลาก็สามารถเอาเข้าโรงครัวไปถวายพระได้เลย นี่กลายเป็นว่าต้องมาค้นหาว่าอยู่ตรงไหน แล้วกองเป็นภูเขาอย่างนั้น ใครจะมีอารมณ์ไปค้น ยิ่งค้นก็ยิ่งเละ จึงต้องเก็บดาหน้าไป
ไปยืนดูเขาเก็บกันก็ขำ น้ำปลา..! ก็โยนให้คนนี้ น้ำยาล้างจาน..! ปลากระป๋อง...! นมกล่อง...! แต่ละคนต้องรับผิดชอบของตัวเอง พอถึงเวลาอยู่ตรงหน้าใครก็โยนให้คนรับผิดชอบไป แยกเป็นส่วน ๆ แล้วก็บรรจุใส่กระสอบ เสียดายพวกบรรดาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะถ้าโดนน้ำนี่เสียเลยทั้ง ๆ ที่ใส่ซองอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่าซองเขาไม่ได้เจตนาเอามาให้กันน้ำได้นาน ๆ พอถึงเวลาโดนน้ำมาก ๆ ความชื้นเข้าได้ก็เสียหมด"
"งานตักบาตรเทโวฯ งวดนี้ มีสิ่งที่เห็นอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ญาติโยมหลายคนถอดวัตถุมงคลใส่บาตรมาเลย ตัดใจสละกัน บางรายก็เลี่ยมทองมาเรียบร้อย แล้วก็มีหลายรายถวายเป็นทองคำมา ป่านนี้อาตมาก็ยังไม่มีอารมณ์ไปลงบัญชี วางอีเหละเขละขละไปหมด พอเหนื่อยขึ้นมาก็ทำท่าจะขอสลบก่อน แต่สลบไม่ได้ ทุกอย่างต้องทำกิจวัตรตามปรกติ โน่น...หลังทำวัตรค่ำไปแล้วถึงเป็นเวลาของเรา ต้องมาคัดแยกเงิน ต้องมาเรียงแยกธนบัตร
ไปนึกถึงตอนที่ยังอยู่วัดท่าซุง คาดว่าอีกไม่นานพระวัดท่าขนุนหลายรูปก็จะเกิดอาการเดียวกับอาตมา คือกลัวเงิน เมื่อตอนอยู่วัดท่าซุง พอไปดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ใหม่ ๆ ก็ปรับจากตู้ที่เขามีอยู่ ๖๐-๗๐ ตู้ ปรับเหลือเฉพาะที่หลัก ๆ ๒๒ ตู้เท่านั้น ทำหนังสือยื่นขออนุญาตจากหลวงพ่อวัดท่าซุงปรับอย่างเป็นทางการ ขอเปลี่ยนกุญแจใหม่ทั้งหมดด้วย เพราะว่าเดิมเจ้าหน้าที่เขาดูแลอยู่ บัญชีที่เขาส่ง งานที่ได้มากที่สุดประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท มั่นใจได้ว่าทุจริตแน่นอน
เสร็จสรรพเรียบร้อยพอเข้าไปปรับแก้ไขอะไรเสร็จ ปรากฏว่างานเล็ก ๆ อย่างมาฆบูชา วิสาขบูชา แต่ละงานคนทำบุญมาเป็นแสน ๆ พองานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งแรก อาตมาบอกคุณแอ๊ว (สมถวิล วรสันต์) ที่เป็นสมุห์บัญชีของธนาคารกรุงไทย สาขาอุทัยธานี บอกว่า “แอ๊ว..ช่วยแลกเหรียญบาทให้หน่อย เอา ๗๐,๐๐๐ บาท” คุณแอ๊วเขาก็ว่า “หลวงพี่จะเอาไปทำอะไรเยอะแยะขนาดนั้น ?” “เออน่า..แลกมาเถอะ” “ หนูต้องไปเอาถึงคลังจังหวัดเลยนะ” “จะเอาที่ไหนก็ได้ แต่ไปเอามาเถอะ”
"ปรากฏว่าเลิกงาน อาตมานับเงินตั้งแต่ก่อน ๕ โมงเย็นไปเสร็จเอาตอนตี ๒ นับอยู่คนเดียว คนอื่นเขาหนีกันหมด ไม่มีใครช่วยหรอก ธนาคารเอากระสอบมาให้เลย บอกว่าใส่กระสอบละ ๔,๐๐๐ เหรียญ ก็ใส่ไว้ ๆ ๓๐๐ กว่ากระสอบ พอรุ่งขึ้นโทรไปบอกคุณแอ๊ว เขาก็เอารถตู้ของธนาคารกรุงไทยมาบรรทุกไป รถหน้าลอยไปเลย เงิน ๓๐๐ กว่าถุง ถุงละ ๔,๐๐๐ เหรียญนี่ทับคนตายเลยนะ ไม่รู้น้ำหนักเท่าไร เพราะว่ายังเป็นเหรียญใหญ่รุ่นเก่าอยู่
ตั้งแต่นั้นมาบอกขอแลกเหรียญเท่าไร คุณแอ๊วเขาไม่เคยเกี่ยงเลย อย่าลืมว่าเราแลกแค่ ๗๐,๐๐๐ บาท แต่เขาได้กลับไปล้านกว่าบาท ที่หมุนเวียนไปได้เพราะว่ามีที่ใส่บาตรวิระทะโยมาเองด้วย แต่ว่าคนที่ไม่มีก็มาขอแลก แล้วพอมาขอแลกอาตมาก็ใช้วิธีว่า ส่วนไหนที่ขอแลกจะแยกแบงค์ออกมา ถ้าเงินไม่พอแลกก็เปิดตู้โกยเหรียญออกมาให้แลกเลย คราวนี้เมื่อเก็บแบงค์แยกขึ้นมา ก็รู้อยู่แล้วว่าโกยออกมาเท่าไร ส่วนนี้แลกปกติ ๗๐,๐๐๐ เหรียญแยกออกมาเลย ส่วนเกินก็คือส่วนที่เราโกยจากตู้มา ลงบัญชีเพิ่มไปได้เลย
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็เข็ดเรื่องเงิน เห็นแล้วหมดอยากโดยประการทั้งปวง กิเลสหมดไปโดยปริยาย วัดท่าขนุนก็น่าจะประมาณนั้น เมื่อวานนี้เพิ่งเคลียร์บัญชีเสร็จ เฉพาะเงินสดที่เดินรับตอนตักบาตรเทโวฯ ไม่ได้เกี่ยวกับท่านอื่นนะ อาตมารับคนเดียวห้าแสนกว่าบาท ใส่มาอะไรจะขนาดนั้น เล่นเอาบรรดาเด็กวัดที่นั่งคัดของบอกว่า “หลวงพ่ออย่าเข้ากรรมฐานอีกเลย พอเข้าทีของเสียขนาดนี้” มีหน้าที่แยกก็แยกไป อย่าบ่น...!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ลูกแก้วที่เอาไปเข้ากรรมฐาน ๓ วันมา ไม่ต้องถามว่าหมดหรือยัง ? เพราะอาตมาก็ไม่มี ไหน ๆ ก็จะเข้ากรรมฐานแล้ว เลยขนวัตถุมงคลเท่าที่พอมีของวัดไปเข้าพิธีหมด แม้กระทั่งของเก่าที่พอจะเหลืออยู่ อย่างเช่น พระไพรีพินาศ พระปิดตาฯ เหรียญหลวงปู่สาย ลูกแก้ว เอาไปเข้าพิธีด้วย เพราะฉะนั้น..ที่เห็นแจก ๆ กันอยู่ตรงนั้นก็คือของที่เอาเข้าพิธีใหม่แล้วทั้งนั้น มีหลายรายรู้ทัน วนแล้ววนอีกรับกันหลายรอบ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ออกจากกรรมฐานมาไม่ใช่นั่งรับเงินอย่างเดียวนะ ต้องจ่ายเงินด้วย พระเขายื่นใบเสนอราคาของระบบประปาใหม่ทั้งวัด จำเป็นต้องเดินใหม่ทั้งวัดเลย เพราะว่าระบบเก่าตอนนี้ไม่สามารถติดตามได้แล้วว่าจากไหนไปไหน เนื่องจากว่าคนทำไม่ได้เขียนแผนที่ไว้ ตอนสร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ก็ขุดท่อขาดไป ๒ เส้น
ตอนแรกพระที่ท่านรับผิดชอบ ก็คือ ท่านเบสต์ บอกว่าขอเบิกมัดจำ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ก่อน อาตมาเป็นคนขี้รำคาญ บอกว่า "คุณเอา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปบริหารเองก็แล้วกัน ส่วนการสั่งซื้อ จะโอนก่อน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ รับสินค้าแล้วจ่าย ๘๐ เปอร์เซ็นต์หรืออะไร ให้ไปตกลงกันเอง"
จะมีถังพักน้ำ แล้วดูดขึ้นแท็งก์ใหญ่จ่ายไปทั่ววัด คราวนี้ส่วนหนึ่งก็จะต่อจากท่อประปาของเทศบาล ส่วนที่ต่อจากท่อประปาของเทศบาลนี่ อาตมาเตือนท่านนักหนาว่าให้ระมัดระวังด้วย ให้มีวาล์วปิดตอนส่งกลับ ไม่อย่างนั้นประปาของเราจะจ่ายเข้าไปทั้งอำเภอเลย เพราะถ้าไม่มีวาล์วตอนส่งกลับแล้วดูดน้ำขึ้นเต็ม พอส่งย้อนก็จะกระจายทั้งอำเภอ ถึงแม้จะพอใช้ก็เถอะ อย่างไรก็ปิดไว้ก่อนดีกว่า เพราะประตูน้ำมีประเภทเข้าทางเดียว ถึงเวลาแล้วลิ้นจะตีกลับ น้ำวิ่งกลับไปไม่ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าฉันอาหารอย่างมีความสุขมาก เพราะว่าออกจากกรรมฐานใหม่ ๆ กลัวว่าร่างกายจะทรยศ ฉันข้าวต้มไปไม่ถึงถ้วย เพราะกลัวว่าถ้าลมตีขึ้นเดี๋ยวหงายท้องตึงอยู่ตรงนั้น เดินขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วก็นั่งรอว่าจะเป็นลมไหม...ก็ไม่เป็น มื้อกลางวันว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำไปชามหนึ่ง พยายามเคี้ยวลูกชิ้นให้ละเอียดที่สุด พอรุ่งขึ้นก็ฉันจับฉ่ายเป็นหลัก มื้อเพลลองฉันของทั่ว ๆ ไปได้นิดหน่อย แต่ยังเว้นของเผ็ดอยู่ เมื่อเช้านี้ใส่ได้เต็มที่ ท้องว่างหลาย ๆ วันหรือว่าฉันน้อย รู้สึกตัวเบา ๆ มาเมื่อเช้าว่าเสียเต็มพุง แหม...รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
แต่เผลอไม่ได้นะ ถ้าเผลอแล้วจะหลับแบบขาดสติ ต้องบังคับไว้..ห้ามขาดสติ ต้องอยู่กับการภาวนา เวลาระมัดระวังกลัวกิเลสจะเล่นงาน เราต้องระดมสติ สมาธิ ปัญญา เอาไว้อยู่ตรงหน้า เหมือนกับตั้งการ์ดชกมวย เตรียมต่อสู้ ถ้าหากว่าคู่ต่อสู้ลงมือ เราเองถึงเวลาตั้งท่าจะสู้กับกิเลส ถ้าไม่ใช่สามารถรักษากำลังใจอยู่ได้ทุกอิริยาบถ ก็จะเป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้ารักษากำลังใจได้ทุกอิริยาบถ จะขยับตรงไหนรู้รอบ ถ้าอย่างนั้นถึงจะสู้กิเลสได้ แต่เผลอก็แพ้อีกนะ อย่าไปคิดว่าสู้ได้ ได้เฉพาะตอนนั้น เราไม่รู้ว่าจะเผลออีกเมื่อไร"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังเก็บของโบราณอยู่ จะเอาเข้าพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน เอาไว้ให้เด็ก ๆ เขาดู จะได้ดูงานฝีมือเก่า ๆ กันบ้าง
เด็ก ๆ จะรู้ไหมว่า หลวงตาลงทุนไปกี่ล้านกว่าจะได้เห็นพิพิธภัณฑ์ ? ถ้าเราไม่มีของพวกนี้ไว้ให้ เขาก็จะไม่มีความภูมิใจในความเป็นไทย หารู้ไม่ว่าฝีมือบรรพบุรุษของเราสู้ได้ทั่วโลก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่ อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี ใครจะบนท่านให้บนด้วยกระแช่ สมัยหลวงพ่อเคลือบยังอยู่ ท่านฉันกระแช่เป็นประจำ ถามว่าผิดวินัยไหม ? สำหรับท่านไม่ผิดหรอก แต่ถ้าพระอื่นฉันจะผิด
แบบเดียวกับหลวงพ่อจ้อย วัดบางช้างเหนือ ฉันกระแช่เดินตัวเอียงเชียว พอพระสังฆาธิการที่เขาส่งจากกรุงเทพฯ ไปตรวจ เทออกมาเป็นน้ำชาทั้งนั้น พอฉันน้ำชาเสร็จสรรพเรียบร้อย น้ำชาที่เหลือติดก้นถ้วยกลายเป็นกระแช่หมด พระสังฆาธิการท่านเดินทางกลับเลย เพราะถ้าท่านไม่ทำอย่างนั้น คนจะแห่กันไปกวนท่านจนไม่มีเวลาพักผ่อน ก็ต้องทำตัวเป็นพระเมา ๆ เพี้ยน ๆ แต่คนที่รู้จักของดีจริงก็ไม่สนใจหรอก กูกวนยันเตเลย
ก็เลยกลายเป็นว่า พอหลวงพ่อเคลือบท่านมรณภาพแล้วสร้างรูปหล่อไว้ คนไปบนที่รูปหล่อก็ยังขลังเหมือนองค์จริง แต่ว่าต้องแก้บนด้วยกระแช่"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ออกจากกรรมฐานใหม่ ๆ พยายามคิดว่าทำไมต้องเสียงแหบด้วย ? คาดว่าน่าจะเป็นเพราะไฟธาตุที่เคยไปสันดาปเพื่อเผาผลาญย่อยอาหาร ไปเผาไขมันมาใช้งานแทน ไขมันส่วนหนึ่งก็เลยแปรเป็นเสมหะพันคอ อีกอย่างก็คืออาจจะฉันน้ำน้อย
เข้ากรรมฐานงวดนี้มีเรื่องตลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือพอไม่มีอะไรจะทำก็จินตนาการไปถึงป่าหิมพานต์ เพราะว่าไม่ได้ไปนานเหลือเกิน ปรากฏว่ามีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ที่คนไทยเรียกว่า "ทักทอ" ไอ้นี่ตัวอะไรวะ ? เคยได้ยินชื่อนี้ไหม ? ลองไปเสิร์ชกูเกิ้ลดู ทักทอสัตว์หิมพานต์ ก็ยังงง ๆ อยู่ จนท้าวมหาราชท่านบอกว่ารู้จัก "เทาเที่ย" ไหม ? ได้ยินแล้วร้องอ๋อเลย
เทาเที่ยเป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดจากหัวของ "ชือโหยว" ที่โดน "หวงตี้" ตัดขาด ชือโหยวในสายตาพวกเรานับเป็นฝ่ายมาร หวงตี้เป็นฝ่ายเทพ รบกันเพื่อแย่งชิงแผ่นดินจีน คราวนี้พอตัดศีรษะขาดตกลงไป ตำราเขาบอกว่ากลายเป็นเทาเที่ย เป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายขนาดกลืนกินพยัคฆ์เป็นอาหารได้ เลยสงสัยว่าตัวนี้เป็นตัวอะไร? นี่ถ้าท่านไม่บอกชาตินี้อาตมาก็คงยังไม่รู้เรื่อง เรื่องนอกตำรานี่มีเยอะมากเลย ลองไปเสิร์ชดูจะต้องมีรูปวาดแน่นอน
ป่าหิมพานต์อยู่ชายขอบของชั้นจาตุมหาราช ต้องบอกว่าบรรดาสัตว์ที่อยู่ที่นั่นเป็นสัตว์กึ่งทิพย์ กึ่งเดรัจฉานกึ่งเทวดา กลายร่างเป็นคนได้ อยากจะเห็นพิลึกพิสดารแค่ไหนเขาแปลงตัวให้ดูได้ อาตมาโตแล้วก็เลยไม่ได้ไปเสียนาน คราวนี้พอเวลามีมากเลยแวะไป แวะไปเห็นไอ้นี่ตัวอะไรหว่า ? ปรากฏว่าเป็นทักทอสัตว์หิมพานต์
ความรู้พวกนี้อย่าเพิ่งถือเป็นสิ้นสุดนะ เพราะว่าอาตมาอาจจะจินตนาการบรรเจิดไปเองก็ได้ เอาที่อ้างอิงได้ตามหลักวิชาการไว้ก่อน ภาษาจีนกลางเรียกเทาเที่ย คนไทยเรียกทักทอ คือคนจะไปเข้าใจว่าเป็นคชสีห์ แต่ไม่ใช่ คนจีนก็วาดแบบจีน คนไทยก็วาดแบบไทย ไปคนละทิศคนละทางเลย"
ถาม : อาการปวดหัวและเสียงที่ได้ยินเข้ามาในหัวของน้องเขาดีขึ้นมาก หลังจากกลับจากงานเป่ายันต์ฯ แต่ยังคงมีเป็นพัก ๆ นาน ๆ ที ควรทำเช่นใดครับ ?
ตอบ : ตอนนี้ต้องพยายามทำสมาธิ พอถึงเวลาถ้าใจอยู่กับตรงหน้า จะตัดการรับรู้ข้างนอกไปหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็สามารถที่จะทิ้งได้ชั่วคราว ถ้าอยากจะทิ้งมันนาน ๆ ก็อย่าคลายสมาธิออกมา แต่ก็เอาแค่พอรับได้ เดี๋ยวเผื่อมีพิธีกรรมอะไรค่อยพาไปใหม่ ของบางอย่างไม่ได้หมดทีเดียว ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เดี๋ยวปีหน้ามีเป่ายันต์ฯ ให้ ๒ รอบ ไปซ้ำเสียหน่อย แต่เวลาไปคนเยอะ ๆ เบียดกันก็น่าสงสาร
พระอาจารย์พูดถึงพระขุนแผนที่จะสร้างว่า "จะไม่เหมือนที่อื่น จะเป็น "ขุนแผนเกราะเพชร" เตรียมรบ รบกับอะไร ? รบกับเศรษฐกิจ
เห็นท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านบอกว่า ถ้าไม่สงบก็อาจถึงปิดประเทศ...ใช่ไหม ? ใครอยู่ใกล้ ๆ ช่วยเรียนท่านที บอกว่าไม่ต้องปิดหรอก ปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีใครเขาคบหาอยู่แล้ว..!
โลกที่วิ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา เราไปฝืนโลกจะเป็นไปได้ที่ไหน ระบบประชาธิปไตยของเราไม่ใช่อังกฤษหรืออเมริกาที่มีมา ๒๐๐-๓๐๐ ปี ประชาธิปไตยของเราเพิ่งจะอายุ ๘๐ กว่าปี การเปลี่ยนผ่านยังมีอีกมากต่อมากนัก จะมาทำเป็นวัยรุ่นใจร้อน จะให้ทุกอย่างดีเหมือนอย่างกับประเทศอื่นเขาก็เป็นไปไม่ได้
โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น เขาไม่ได้มาเริ่มจากการบังคับคนโต ญี่ปุ่นเขาเริ่มตั้งแต่ประมาณ ๔๐ ปีที่แล้ว ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับเด็กและเยาวชนของเขา ปัจจุบันรุ่นนี้พอขึ้นมาเป็นผู้นำหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ หรือผู้บริหารบริษัทห้างร้าน จะมีจริยธรรมสูงมาก พอถึงเวลาอะไรผิดนิดหน่อยก็ลาออกเพื่อรับผิดชอบ ถ้าเราต้องการอย่างนั้น เราต้องยอมเสียเวลา ๓๐-๔๐ ปีเหมือนกับเขา
เมื่อเดือนก่อนมีคลิปที่เขาทดสอบจริยธรรมของเด็กญี่ปุ่น แกล้งทำกระเป๋าเงินตก เด็กญี่ปุ่นร้อยละร้อยเลยที่แจ้งให้เจ้าของทราบ ก็คือรีบเตือนให้รู้ว่ากระเป๋าตก หรือไม่ก็หยิบไปส่งคืนเลย ของเราก็ต้องเริ่มต้นอย่างนี้ ถ้าไม่เริ่มต้นปลูกฝังอย่างนี้ ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขทุกอย่างได้ ถ้าหากบอกว่าพระอย่างอาตมามีหน้าที่ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของเด็ก ต้องบอกว่าไม่เพียงพอ เรื่องเหล่านี้ต้องเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ ต้องให้กำหนดเป็นนโยบายของรัฐบาลเลย หรือถ้าจะให้เป็นมติของคณะรัฐมนตรีก็ได้ ว่าต้องทำเรื่องนี้เป็นอันดับแรก ไม่ใช่ถึงเวลาจะมาสั่งไม้แก่ให้ซ้ายหันขวาหันเหมือนระบบทหาร ไม้แก่ดัดยาก จึงเป็นไปไม่ได้
คนคิดต่างไม่ใช่คนผิด ความคิดต่างมีอยู่ในทุกสังคม เพียงแต่ว่าส่วนไหนที่เขาคิดต่างแล้วดี เราก็รับเอามาประยุกต์ใช้ร่วมกัน"
ถาม : กระทรวงศึกษาต้องจัดให้อบรมจริยธรรม
ตอบ : ให้กระทรวงเดียวไม่ได้ สมัยนี้เขานิยมใช้คำว่าบูรณาการ ต้องทุกกระทรวงเป็นไปทางเดียวกัน แต่งานแบบนี้พระจะเหนื่อย เพราะส่วนใหญ่ต้องเน้นในเรื่องของคุณธรรมพื้นฐานก่อน ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ เพียงแต่เป็นศีล สมาธิ ปัญญาเบื้องต้น ถ้าใครสามารถที่จะทำได้มากกว่านั้น ก็ถือว่าเป็นบุญเป็นบารมีเฉพาะตนไป
กำหนดไล่ไปเลยทีละขั้น ๆ อนุบาลจะต้องศึกษาอย่างนี้ ประถมต้องศึกษาอย่างนี้ มัธยมต้องศึกษาอย่างนี้ มหาวิทยาลัยต้องศึกษาอย่างนี้ แบบเดียวกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บังคับนิสิตทุกคนต้องเข้ากรรมฐานประจำทุกปี ระดับประกาศนียบัตรและปริญญาตรีเข้าประจำปีละ ๑๐ วันต่อเนื่อง ระดับปริญญาโท ๑๕ วันต่อเนื่อง เก็บให้ได้ครบ ๓๐ วัน ระดับปริญญาเอก ๔๕ วันต่อเนื่อง เข้าครั้งละไม่ต่ำกว่า ๑๕ วัน ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยต่างชาติของฮังการี เข้ามาขอเป็นสถาบันสมทบ เขาชื่นชมตรงนี้มาก บอกว่าสถาบันการศึกษาที่สอนพระพุทธศาสนาในระดับปริญญาเอกในโลกมีหลายแห่ง แต่ไม่มีที่ไหนที่เน้นบังคับว่าจะต้องปฏิบัติธรรม มีแต่ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงมาขอเป็นสถาบันสมทบ เอาหลักสูตรภาษาอังกฤษไปให้คนของเขาเรียน
ถาม : ถ้าผู้ที่เป็นอาจารย์สงเคราะห์ผู้อื่น ได้รับทุกขเวทนาทางกายต่าง ๆ ศิษย์จะอธิษฐานขอแบ่งรับเคราะห์กรรมและทุกขเวทนาจากอาจารย์ จะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : มี...มีผลแค่ได้ขอ กรรมใครกรรมมัน เสือกยุ่งกันได้ที่ไหน ถ้าไปยุ่งกันได้ จะมีอาจารย์ที่ไหนเขาลำบากบ้าง ?
ถาม : พอดีมีคนบอกผมว่า ถ้าอธิษฐานขอให้ทุกอย่างลงที่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว จะได้ช่วยครูบาอาจารย์ได้ด้วย ?
ตอบ : แล้วจะเชื่อเขาไหม ? ใครทำใครได้ ถ้าทำแทนกันได้ก็ดี
ถาม : ถ้าผมเรียกสมเด็จองค์ปฐมว่าสมเด็จพ่อองค์ปฐม จะเป็นการอาจเอื้อมเกินไปไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ใจของเราเอง
ถาม : ขอวิธีเพิ่มความต้านทานต่อกระแสต่าง ๆ ที่มากระทบหน่อยครับ กระแสพุทธคุณไม่ทันได้แตะต้อง ได้เห็น ก็พะอืดพะอมอ้วกแล้ว ?
ตอบ : กระแสความดีจะอ้วก ถ้ากระแสความเลวจะดีใช่ไหม ? ตั้งใจสร้างศีล สมาธิ ปัญญา ให้สูงยิ่งขึ้นไป จะได้รองรับได้
พระอาจารย์กล่าวเตือนลูกศิษย์ว่า "เขาเรียกว่าทะลึ่งแล้ว บาตรพระพุทธรูปเขาเหน็บเอาไว้เฉย ๆ ทำตกเองดันไปโทษบาตร เอากาวไปติด นี่แสดงว่าตั้งใจจะเป็นคนมักง่าย ไม่ระมัดระวังต่อไป..ใช่ไหม ? ทำบาตรหล่นเพราะความไม่ระมัดระวัง ดันหาว่าเขาสร้างแล้วไม่ติดกาว สรุปว่าอะไรเกิดขึ้นก็โทษเป็นความผิดของสิ่งอื่น ไม่ใช่ตัวเอง ถ้ารู้จักโทษตัวเองก็แก้ไขตัวเองไปได้นานแล้ว กิเลสแฝงอยู่ลึกเกินไป ปัญญาไม่พอก็เลยมองไม่เห็น"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "อย่ากังวลอะไรกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ภาษิตจีนเขาบอกว่า น้ำมาก่อทำนบกั้น ทหารมาตั้งทัพประจัญ...แค่นั้นก็จบ ไม่เห็นต้องไปทำอะไรมากมาย คิดล่วงหน้ามากก็เครียดตายชัก คิดง่าย ๆ ว่าชีวิตเรามาถึงตรงจุดนี้ก็กำไรเหลือล้นแล้ว ในเมื่อกำไรเหลือล้นแล้ว ที่เหลือก็เป็นกำไรล้วน ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมารู้สึกว่าเวลาช่วยคนที่เขาลำบากแล้วมีความสุข แสดงว่าเชื้อเก่าไม่ไปไหนหรอก ยังอยู่เต็ม ๆ เลย มีโยมบางคนที่อ่านใจคนอื่นได้เหมือนอ่านหนังสือ เขามานั่งเฝ้าอยู่หลายครั้ง แล้วก็บอกว่า “สงสารประเทศไทย” ถามว่าทำไม ? “คนอย่างหลวงพ่อมีแค่ไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์” ถามว่าต่างจากคนอื่นตรงไหน ? “ไม่เคยคิดอะไรเพื่อความสุขความสบายส่วนตัวเลย คิดแต่จะช่วยคนอื่น” แล้วก็บอกว่า "ประเทศไทยอยู่ได้ก็ด้วยคนไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์นี่แหละ"
แสดงว่าเขามานั่งอ่านอาตมาเล่นอยู่หลายยกแล้ว เขาบอกว่า คนรอบข้างเขา เดี๋ยวก็อันนี้สำหรับตัวเอง อันนี้ไว้สำหรับลูก อันนี้ไว้สำหรับเมีย อันนี้ไว้สำหรับเพื่อน ดีแค่ไหนก็ยังคิดเพื่อตัวเอง แต่หลวงพ่อไม่มีเลย อย่าเพิ่งไปเชื่อเขานะ คอยดูกันไปนาน ๆ"
"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะไม่ทำอะไรแล้ว ว่าจะอยู่สุขเงียบ ๆ ของตนเอง จึงเริ่มปรับปรุงเกาะพระฤๅษี พวกใบเสร็จรับเงินอะไรต่าง ๆ ที่เก็บเอาไว้เป็นตู้ ๆ เลยเผาทิ้งหมด ไม่อย่างนั้นป่านนี้รวม ๆ กันแล้วคงเป็นคันรถ เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ตั้งแต่สมัยโน้นว่า เงินทุกบาททุกสตางค์รับมาจากใคร ใช้ไปในเรื่องอะไร ถ้าเป็นไปได้ให้ลงบัญชีไว้ให้ละเอียด ซื้อข้าวซื้อของอะไร ขอบิลเขามาทุกครั้ง และท่านเองก็ทำเป็นตัวอย่างให้ดู ท่านมีบิลเยอะเป็นตู้ ๆ เลย แยกประเภท แยกพ.ศ. ใส่แฟ้มไว้ เขียนสันแฟ้มไปเลยว่าของปีไหน ท่านบอกว่าเวลาใครเขาตรวจสอบต้องชี้แจงได้
พอมาเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เป็นเจ้าสำนักสงฆ์ ก็ต้องเริ่มส่งรายงานรับจ่ายประจำปี ถึงได้รู้ว่าสำคัญตรงนี้ ถ้าเขาเรียกตรวจสอบต้องมีให้
การตรวจสอบบัญชีวัดเกิดจากกระแสเรียกร้องให้ตรวจสอบทรัพย์สินของวัด สำนักพุทธฯ เลยตูดร้อน ก่อนหน้านี้ไม่เคยขอบัญชีพระดู มาปีนี้ขอแล้ว ถ้าไม่ทำนี่กลัวว่าทางด้านรัฐบาลจะเฉ่งสำนักพุทธฯ เอา แต่ปรากฏว่าวัดท่าขนุนทำส่งเป็นปกติทุกปี แค่ปรับเป็นจากตุลาคม ๒๕๕๗ มาสิ้นสุดที่กันยายน ๒๕๕๘ เท่านั้น เดี๋ยวพอส่งของคณะสงฆ์ตามปกติ ก็เพิ่มพฤศจิกายนกับธันวาคมลงไปก็เสร็จแล้ว
วันนั้นกลับไปถึงวัด ทางด้านพระมหาวริศ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิแจ้งมา ว่าต้องส่งบัญชีรับจ่ายประจำปีให้สำนักพุทธฯ อาตมาถามว่าจะเอาวันนี้เลยไหม ? ท่านหัวเราะ บอกว่า “ผมรู้ครับว่าวัดท่าขนุนทำเอาไว้เรียบร้อยทุกเดือน แต่วัดอื่นไม่มีนี่ครับ ผมจึงต้องเตือนล่วงหน้า” ท้ายสุดก็เลยนัดกันไปส่งในวันสอบนักธรรมชั้นตรี ของวัดท่าขนุนได้สิทธิพิเศษ ทำแค่เดือนละสองบรรทัด รับกับจ่ายแค่นั้นแหละ ของวัดอื่นเขาต้องลงรายละเอียดว่าจ่ายอะไรบ้าง ของวัดเราถ้าลงรายละเอียดเดือนหนึ่งก็ตั้งหลายหน้าแล้ว สำนักพุทธฯ อยากจะอ่านไหม ? ถ้าอยากอ่านจะทำให้
ปีนี้ถึงสิ้นสุดเดือนกันยายนติดลบหลายสิบล้านบาท จะตรวจไหม ? ชี้แจงได้ทุกบรรทัดจริง ๆ ความจริงปีนี้มีกำไรแล้ว แต่เนื่องจากว่าติดลบจากของปีก่อน ๆ ยกมา ก็เลยรวมเข้าไป ไม่อย่างนั้นแล้วปีนี้มีกำไร ไม่ติดลบแล้ว"
"ช่วงปี ๒๕๕๖-๒๕๕๘ งานก่อสร้างที่หนักที่สุดก็คือศาลา ๑๐๐ ปี ศาลาหลังเดียว ๘๑ ล้านกว่าบาท ยังไม่เสร็จดีเลย แล้วยังทำอย่างอื่นตั้งเยอะ จะไม่ให้ติดลบได้อย่างไร ? แค่หาเงินเข้ากองทุนหลวงปู่สายเพื่อเตรียมให้เจ้าอาวาสคนต่อไป ก็ได้ตั้ง ๑๐ กว่าล้านบาท คือปกติมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา ออกพรรษา บางทีก็รวมลอยกระทงและตักบาตรเทโวฯ ไปด้วย อาตมาจะตัดเข้าบัญชีให้หลวงปู่สาย ครั้งละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าได้ไม่ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท จะควักกระเป๋าเพิ่มไปจนครบ ส่วนเงินกฐินได้มาเท่าไรจะลงบัญชีให้หลวงปู่สายหมดเลย
ปีนี้กฐินได้ ๔,๑๖๘,๐๐๐ บาท ถ้าจำไม่ผิดนะ รับกฐินมา ๔ ล้านกว่าบาท ซื้อดราฟต์ไป ๔ ล้านกว่า รับมาก็หายไปเลย"
"ปีนี้ไม่รู้ตัวว่าโยมใส่ปัจจัยตอนบิณฑบาตมากันเยอะ อาจเป็นเพราะโดนผู้ติดตามล้วงบาตรไปตลอดทาง ก็เลยไม่รู้ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เขานับเงินที่ใส่มาได้ ๕๐๐,๐๐๐ กว่าบาท ความจริงเดินบิณฑบาต ๒ ชั่วโมงได้ ๕๐๐,๐๐๐ กว่าบาทนี่น่าเดินทุกวันนะ...!
รู้สึกว่าตัวเองสาหัสสากรรจ์มากเลย เพราะว่าเดินรับบาตรมายังไม่ทันจะถึงปากทางเข้าลานธรรม นิ้วมือก็เป็นตะคริว ถึงเวลาก็ต้องวางบาตรแปะเอาไว้กับโต๊ะเพื่อให้โยมใส่ ถามโน่นถามนี่ไปเรื่อย โยมก็ดีใจว่าพระอาจารย์คุยด้วย หารู้ไม่ว่านิ้วเป็นตะคริวแล้ว เดินต่อไม่ได้ รอให้หายก่อนแล้วค่อยไปต่อ พอเดินไป ๆ ถึงหน้าศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ตายละหว่า...ขาก็เป็นตะคริวด้วย ไม่น่าเชื่อว่าพออายุมากแล้ว อดข้าวแค่ ๓ วัน ร่างกายรวนไปหมด รู้สึกเหมือนกับหุ่นยนต์ ต้องคอยบังคับเขาว่า "เฮ้ย..อย่าเพิ่งล้ม"
สมุห์กอล์ฟเดินขึ้นเขาไป ก็พักหอบแฮ่ก ๆ ไป ๒ รอบ ตอนกลางคืนถึงได้สอนพระตอนให้โอวาทท่านว่า มัชฌิมาปฏิปทาไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสติสมาธิของแต่ละคน เพราะฉะนั้น..หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าท่านทรงฌานตลอดเวลา ไม่ยอมให้หลุดแม้แต่วินาทีเดียว ถ้าพวกคุณไปทำแบบนั้นบ้างก็บ้า เพราะจะเครียดมาก บางคนนั่งกรรมฐานได้ติดต่อกัน ๓-๕ ชั่วโมง นั่นพอดีของเขา แต่เรา ๓๐ นาทีจะประสาทกินแล้ว เพราะฉะนั้น..มาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ไม่มี ต้องปรับให้พอดีของตนเอง ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกกันได้ นอกจากสังเกตแล้วทำเอง"
"พอเข้ามาถึงข้างในศาลา ๑๐๐ ปีฯ ก็อมยาลมไป ๓ เม็ด นั่งรอว่าจะเป็นลมตอนไหน ไม่รู้ว่ายาเขาดีหรือว่างานยังไม่เสร็จ กำลังใจยังมุมานะอยู่ก็ไม่รู้ ไม่ยอมเป็นลมเสียที ปีต่อไปให้หาคานหามแบบครูบาวิฑูรย์ดีกว่า ให้โยมเขย่งใส่บาตรกันให้เข็ด หรือไม่อีกทีก็เอารถเข็น นั่งรถแล้วให้โยมช่วยเข็นไป
แต่รู้เลยว่าร่างกายไม่ได้ใช้ ๓ วันนี่ไม่ไหวจริง ๆ พอเดินขึ้นเขานี่เมื่อยสุด ๆ เลย ทิดเฟิร์สเขาถามว่าเป็นอะไรหลวงพ่อ ? “ตะคริวกินมือว่ะ” จับต่อไม่ได้ ต้องวางฝาบาตรเอาไว้ หลอกคุยกับโยมไปเรื่อย จนกระทั่งคลายไปหน่อย กำมือได้ พอยกมือได้ก็เดินต่อไป
โยมมาจากสุดเหนือสุดใต้พอ ๆ กับงานเป่ายันต์ฯ เลย คนอาจจะน้อยกว่างานเป่ายันต์ฯ สัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าสำหรับงานตักบาตรเทโวฯ แล้ว มากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะปกติพอเลี้ยวเข้าลานธรรมคนก็จะเริ่มน้อยแล้ว คราวนี้เลี้ยวเข้าลานธรรมแล้วคนยังแน่นเท่าหัวถนนอยู่เลย
ลองโทรเช็คไปทางวัดดูซิว่า กุฏิแม่ชีมีที่ว่างให้นั่งได้หรือยัง ? ป่านนี้จัดของไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ มั่นใจเลยว่าอาหารสดหลายส่วนเสียแน่นอน เพราะว่ากองเป็นภูเขาเลากากว่าจะคุ้ยไปถึง โยมส่วนใหญ่ก็ประเภทอยากใส่อย่างนี้ ปีหน้าต้องแก้ด้วยการเอาคนรู้งานไปรอที่กุฏิแม่ชี จะได้ไม่ไปเทโครม ๆ อีก เทแบบนั้นแล้วแก้วน้ำแตกขวดน้ำแตก ไหลนองเละเทะไปหมด"
ถาม : ไม่ได้ยกของใส่บาตรเอง แต่ฝากให้คนอื่นใส่แทน อย่างนี้ได้อานิสงส์ไหมคะ ?
ตอบ : ได้ตั้งแต่คิดแล้ว ก็ดูอย่างชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต “ถวายทั้งหมดนี้เจ้าค่ะ” จบเลย แตะมือรับทีเดียวทั้งกอง แล้วเขาก็ช่วยกันยกไปเก็บ
ถาม : คนเทน้ำ ห้ามแล้วก็ยังทำอีก เขาคิดว่าเขารู้งาน ?
ตอบ : ต้องบอกว่าคนเราก็มีสักกายทิฐิเต็มที่ “เรื่องแค่นี้กูรู้น่า ทำไมต้องสั่งด้วย ?” ปรากฏว่ากูรู้แล้วกูก็ทำเละ หลายคนเขาอาสามาทำงาน อยากจะรับเอาไว้ แต่คนไม่รู้งานนี่พาเละทุกที แล้วพอไม่รับก็หาว่ากีดกันอีก
ถาม : พวกที่ชอบไปเที่ยวสถานที่ซึ่งจัดให้น่ากลัว มีผีปิศาจอะไรอย่างนี้ เกิดจากคุ้นเคยกับนรกหรือเปล่า ?
ตอบ : ไปหาความตื่นเต้นให้ตัวเอง บางทีชีวิตราบเรียบเกินไป ราบเรียบจนน่าเบื่อหน่าย ไปหาอะไรตื่นเต้น ๆ พวกเครื่องไม้เครื่องมือที่ท้าทาย จะเห็นได้ว่าสร้างออกมาเมื่อไรคนก็เล่น อย่างเช่นรถไฟเหาะตีลังกา เป็นต้น
ถาม : ทำไมเด็ก ๆ จึงเล่นพวกเครื่องเล่นหวาดเสียวได้สนุก ไม่กลัว แต่พอโตแล้วกลับไม่กล้าเล่น ?
ตอบ : การยึดติดมีมากขึ้น ตอนนี้ไม่ได้คิดถึงตัวคนเดียว คิดถึงคู่ครอง คิดถึงลูก คิดถึงครอบครัว กลายเป็นว่ามีห่วงมากเท่าไร ความกลัวตายก็มากขึ้นเท่านั้น
(มีพ่อแม่พาเด็ก ๆ มาทำบุญ) "ใครได้เกรดอะไรกันบ้าง ? ที่วัดท่าขนุน ถ้าเด็กวัดคนไหนได้เกรด ๔ จะให้เลือกระหว่างให้เงินไปดัดฟันหรือว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วแต่เขาจะเลือก
เด็กที่วัดมีอยู่แค่ ๕ คน ปล่อยให้เขาเลือกกันตามใจ ปรากฏว่าทุกคนสละสิทธิ์ในการดัดฟัน บอกว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ ตอนนี้ตะเกียกตะกายไปเถอะ ว่าเมื่อไรจะได้เกรด ๔ ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเห็นบางคนได้เกรดแค่ ๒ นิด ๆ เอง เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าอยากสวยก็ไปดัดฟัน ถ้าอยากได้ประสบการณ์ก็ไปเที่ยวต่างประเทศ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ซื้อพวกงานฝีมือ เช่น เงิน ทอง คร่ำเงิน คร่ำทอง จะเอาไปเข้าพิพิธภัณฑ์ เพราะว่าฝีมือโบราณที่ดี ๆ หายาก ปัจจุบันก็ราคาแพง ส่วนใหญ่ซื้อในระดับฝีมือของพวกช่างทองหลวง หรืออาจารย์ของช่างสิบหมู่ จะราคาแพงนิดหนึ่ง ให้พวกลูกหลานเขาได้ภูมิใจในความเป็นไทย จะได้รู้ว่างานฝีมือของเราจริง ๆ นั้นอวดได้ทั่วโลก เสียดายอยู่อย่างหนึ่งก็คือของศูนย์ศิลปาชีพ ชิ้นไหนที่ถูกตาก็มีแปะป้าย "ทรงจอง" หมดแล้ว แสดงว่าที่เราเห็นว่าสวย พระองค์ท่านก็เห็นว่าสวยด้วย ที่ซื้อ ๆ เอาไว้ไม่ได้ขนาดในพระที่นั่งวิมานเมฆหรอก แต่ก็จะพยายามหาที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้
ช่วงนี้ก็ตามงานพวกคร่ำเงิน คร่ำทองอยู่ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วระยะหลังจะเป็นลักษณะของงานถมตะมากกว่า ถมตะนี่เขาจะละลายทองกับปรอท แล้วก็ทาลงในรอย หลังจากนั้นก็ใช้ความร้อนเป่าไล่ปรอทออกไป ทำงานง่ายขึ้น แต่ว่าใช้ฝีมือน้อยลง ถ้าเป็นพวกงานคร่ำนี่เขาจะต้องเซาะร่อง แล้วก็ฝังเส้นเงินเส้นทองลงไป ตีจนอัดแน่นกับร่อง แล้วขัดส่วนเกินทิ้งไป งานจะยากกว่ากันเยอะ แต่ก็อย่างว่านะ...ฝีมือดี ๆ ราคาก็ต้องคุ้มค่าฝีมือเขาเลย
เวลาไปต่างประเทศแล้วเหมือนกับว่า บ้านเราคนยังศรัทธาในศาสนามากก็จริง แต่สิ่งก่อสร้างศาสนสถานต่าง ๆ เห็นแล้วไม่โอ่โถงเหมือนของต่างประเทศ ของเขาไม่ว่าจะคริสต์ อิสลาม บางทีเราเห็นแล้วจะตะลึง ว่านี่คือศรัทธาของคนจริง ๆ อย่างของวาติกัน แค่เสาระเบียงต้นหนึ่งเราก็ไม่มีปัญญาทำแล้ว เขาทำได้อย่างไร ? เสาระเบียงต้นหนึ่งเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเมตรกว่าเกือบ ๒ เมตร ตรงแน่วเรียงเป็นตับเลย บรรดาช่างฝีมือระดับสุดยอดของเขาก็เอาผลงานไปฝากไว้ ของบ้านเราที่เห็นก็มีท่านอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ก็ดูเขาสลักหินอ่อนสิ สลักเป็นผ้านี่พลิ้วยิ่งกว่าผ้าจริง ๆ อีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดเขากลัวสังฆทานกัน เพราะเมื่อวันตักบาตรเทโวฯ รับไปหลาย ๑๐ คันรถ จนป่านนี้ยังจัดการไม่เสร็จเลย พ่อค้าแม่ค้าในตลาดกี่ราย ๆ ก็มาใส่บาตร ถามว่าตกลงวันนี้ปิดอำเภอเลยใช่ไหม ? เขาบอกว่าขายของพอแล้ว แสดงว่าคนเขาซื้อกันตั้งแต่วันก่อน หรือไม่ก็ซื้อกันช่วงเช้า ซื้อกันจนไม่มีของจะขายก็เลยปิดร้าน มาตักบาตรเทโวฯ กันเสียเลย
สมัยก่อนอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ยังว่าจะไปหักเปอร์เซ็นต์จากร้านท็อปส์ที่อยู่ข้าง ๆ โยมมากี่คน ๆ ก็เข้าร้านท็อปส์ซื้อของมาถวาย
มีหลายคนเขามีความเห็นว่าทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดจน ๆ ? ทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดไกล ๆ ที่เขาลำบาก ? แม้แต่พระด้วยกันบางทีก็โทรมาโวยวาย ว่าทำไมเขาไปแต่วัดท่าขนุนไกล ๆ วัดผมอยู่แค่ท่ามะกาทำไมเขาไม่เข้า ?
อยากจะถามเขากลับเหมือนกันว่า คุณได้พิจารณาตัวเองหรือเปล่า ว่าทำอย่างไรคนเข้าถึงไม่เข้าวัดของคุณ ? ส่วนใหญ่ศรัทธาของคนเกิดยาก แต่ถ้าเกิดแล้วนี่คลอนแคลนยาก การปลูกต้นศรัทธานี้ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ต้องทำให้เขาเห็นชัด ๆ ว่าเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
ระยะหลังเวลาสอนพระนิสิต อาตมาจะเตือนพวกท่านอยู่เสมอ ให้สังเกตดูว่า ตอนที่คุณบวชเข้ามาตั้งใจทำอะไร ? ตั้งใจสละออก ตั้งใจทำเพื่อพระศาสนา ปัจจุบันนี้คุณกำลังทำเพื่อความสุขของตัวเองหรือเปล่า ? จะต้องสร้างกุฏิติดแอร์ดี ๆ สำหรับตัวเอง จะต้องซื้อรถดี ๆ สำหรับตัวเองหรือเปล่า ? ถ้ามีโยมเขาทำถวายก็รับไว้เถอะ แต่ถ้าทำเพื่อตัวเองให้เปลี่ยนความคิดเสีย มีคนเขาบอกว่า ถ้าทำเพื่อตัวเองจะอยู่ได้แค่สิ้นลม แต่ถ้าทำเพื่อสังคมจะอยู่ไปชั่วกาลนาน"
"ของที่รับไปมากมายมหาศาลก็เอาไปแบ่งปันกัน แรก ๆ ก็ไล่ถวายวัดใกล้ ๆ ท่านก็งงว่าให้มาทำไม ? เพราะว่าไม่เคยเห็นพระทำบุญ ระยะหลังก็เป็นโรงเรียน พวกหน่วยทหาร ตำรวจ ป่าไม้ ที่อยู่ในที่กันดาร ปัจจุบันนี้ถ้าอยู่ทางด้านโน้น วัดท่าขนุนจะเป็นศูนย์กลาง เวลาเขาขาดแคลนอะไรก็จะวิ่งเข้าวัดท่าขนุน
บางทีเห็นวัดที่เขาอยู่ในที่กันดาร ที่ลำบาก เข้ามาเรี่ยไรในอำเภอ เดินอยู่เป็นวัน ๆ ได้ไปหน่อยเดียว ถามเขาว่าจัดงานอะไร ? เขาบอกจัดงานฉลองพระเจดีย์ เตรียมพวกข้าวสารอาหารแห้งจะไปเลี้ยงญาติโยมที่ไปทำบุญ เรี่ยไรอยู่เป็นวันได้มาหน่อยเดียว ก็เลยบอกเอาอย่างนี้แล้วกัน คุณเอารถไปขนที่วัดผม แล้วต่อไปไม่ต้องมาเรี่ยไรให้เหนื่อยหรอก อยากได้เมื่อไรก็ไปเอาแล้วกัน
แล้วอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งมา ถึงกับบอกญาติโยมส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดที่อยู่ไกล ๆ ? ทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดที่อยู่กันดาร ? บอกเขาว่า คนที่มาทำบุญ เขาจะศรัทธาก็ต่อเมื่อเป็นพระที่เขาไว้ใจ ว่ารับไปแล้วไม่ว่าจะข้าวของเงินทอง เขาต้องได้บุญแน่นอน
อาตมาเองก่อสร้างวัดมา วัดปัจจุบันนี้เป็นวัดที่ ๘ แล้ว มีทั้งที่ไปบูรณะของเก่า แล้วก็มีที่สร้างจากพื้นดินเปล่า ๆ มา ๓ วัด ทุกครั้งจะไม่เคยบอกบุญกับญาติโยม ไปถึงก็ทำ ๆ ไปเรื่อย ใครมาเห็นเดี๋ยวเขาก็มาร่วมบุญเอง ปีแล้วปีเล่าก็ทำอย่างนี้
บางทีลูกศิษย์เขาก็ประเภทกล้าพูดกล้าถาม พระลูกศิษย์ถามว่า “พระอาจารย์สร้างภาพหรือเปล่า ? อะไรก็ไม่เอา อะไรก็สละออก” บอกกับเขาไปว่า “ถ้าหากว่าพระทั้งประเทศไทยพร้อมใจกันสร้างภาพแบบนี้ คุณว่าศาสนาของเราจะเจริญไหม ?”
"ที่ไปสอนในมหาวิทยาลัย เรื่องวิชาการใคร ๆ ก็สอนได้ แต่ที่ไปนี่คือไปกระตุกจิตสำนึกของท่าน ก่อนที่จะจบคอร์สก็มักจะบอกท่านเสมอว่า “พวกท่านเป็นพระ เป็นเณร ถ้าไม่สามารถทำให้ศาสนาเจริญได้ด้วยตัวเอง ก็อย่าทำให้ศาสนาเสียหายเพราะตัวเราเลย”
ครูต้องเป็นแบบอย่างเขาได้ แล้วคราวนี้การที่จะรักษาแบบอย่างนั้นเหนื่อย หลายวัดพระเณรไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย เพราะว่าตัวครูบาอาจารย์ปล่อยปละละเลย สั่งว่าต้องทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น สั่งแล้วก็ปล่อยเขาทำกันเอง คนที่ขยันก็มา คนที่ขี้เกียจก็ไม่มา
ของวัดท่าขนุนทำวัตร ๓ รอบ ทำวัตรเช้า ๑ รอบ ทำวัตรเย็น ๒ รอบ ปกติก่อนหน้านี้ก็ทำวัตรเย็นรอบเดียว คราวนี้ก่อนทำวัตรเย็นจะมีพระใหม่ไปซ้อมสวดมนต์กัน พออาตมาเป็นเจ้าอาวาสก็ไปนั่งฟังว่าท่านสวดกันถูกไหม ? ถ้าผิดจังหวะหรือว่าผิดอักขระจะได้ช่วยแก้ไข ปรากฏว่าพอเจ้าอาวาสไปนั่ง บรรดาพระเก่าก็ตูดร้อน ทนไม่ได้ก็ต้องมาด้วย ไป ๆ มา ๆ ก็มากันหมดทั้งวัด เลยกลายเป็นทำวัตรเย็น ๒ รอบ รอบแรกเป็นการซ้อม รอบหลังค่อยเอาจริง"
"คนจะเป็นผู้นำเขาต้องประเภทตื่นก่อนนอนทีหลัง ตอนไปยุโรปก็เหมือนกัน บรรดาพระด้วยกันบอกว่า ไม่เคยทันหลวงพ่อเล็กเสียที ตี ๓ แกหายออกจากห้องไปแล้ว ก็คือไปแล้วก็ต้องไปดูให้คุ้ม ว่าบ้านเมืองของเขาเป็นอย่างไร บางทีเดินไปก็สวนกับคุณโอเล่ ต่างคนต่างถือไปกล้องคนละตัว เพราะนัดกันไว้ว่า ๗ โมงเจอกันที่ห้องอาหาร"
ถาม : ใครมาเขียนซองสร้างพระทองคำ ๕๐ ศอกครับ ?
ตอบ : ตั้งชาติหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเขาเขียนส่งมาให้ก็โยนคืนไปแล้ว มีปัญญาก็ไปสร้างเองสิ พระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก ใครไปสร้างไหว ? ยกเว้นพระเจ้าจักรพรรดิ
ถาม : ไม่แน่ใจว่าใช่ผมหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนั้นอาตมาอ่านเจอก็โยนคืนเจ้าของไปแล้ว ถ้าไม่ได้โยนใส่หน้าคุณก็ไม่ต้องไปคิดหรอกว่าเป็นของตัวเอง
ต้องบอกว่าเป็นประเภทไม่หาข่าว จะเอาบุญแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างเดียว "กูจะสร้างพระพุทธรูปทองคำ ๕๐ ศอก" ก็ไปสร้างเองสิ
ซองนั้นนานเป็นปีแล้ว มาขอดูซองตอนนี้ก็มีแต่ตีนให้ดู...! คนทองผาภูมิเขาว่าอาจารย์เล็กดุกว่าหมาอีก อย่ามาผิดจังหวะเท่านั้น มาผิดจังหวะเจอแน่ ถ้ายิ่งตอนกำลังฉันอยู่ มาบอก "ขอเวลา ๕ นาที" ไม่ถึง ๕ นาทีหรอก เปรี้ยงเดียวนี่ไม่ถึงวินาทีด้วย...! พระกำลังฉันอยู่ ธุระรีบขนาดไหนก็ให้รู้จักรอบ้างสิ เขาบอก "ไม่เป็นไรครับ ขอเวลา ๕ นาที" "ไม่เป็นไรของมึง..แต่กูเป็น..!"
ญาติโยมเคยชินกับการเห็นพระเป็นทาส ถึงเวลาไปต้องการอย่างไรต้องได้อย่างนั้น หารู้ไม่ว่ากำลังหาบาปใส่ตัวอยู่ ถ้าไม่ด่าเขาให้หูตาสว่างก็จะไปทำกับพระอื่นอย่างนั้นอีก ก็จะสร้างกรรมใส่ตัวไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..อาตมายอมเป็นคนปากร้าย คนประเภทนี้อย่าให้เข้ามาในวัดของเราได้ยิ่งดี
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเข้ากรรมฐาน ๓ วันเหมือนอย่างกับโดนทดสอบอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะสอบไปทำไม ? หมาตัวผู้ติดตัวเมียแล้วมากัดกันรอบกุฏิทั้งวันทั้งคืน คือตัวเมียอยู่บริเวณนั้น ตัวผู้ทั้งหมดก็มาระดมกันอยู่รอบกุฏิเจ้าอาวาส เท่ากับบังคับให้ต้องเข้าสมาธิหนี เข้าไปเข้ามาก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะโดยปกติจิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน ไม่ได้หมายความว่าจิตแยกจากกาย แต่คราวนี้จิตกับกายเหมือนกับแบ่งเป็นคนละมิติ ไม่ได้ถอดจิตออกไป แต่กลายเป็นจิตส่วนจิต กายส่วนกาย อยากจะได้ยินก็ได้ อยากจะไม่ได้ยินก็ได้ ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน ขอไปคลำอีกสักพักหนึ่งว่าคืออะไรกันแน่
ปกติถ้าจิตประสาทแยกจากกัน ก็จะตัดไปเลย จนกว่าสมาธิคลายออกมารับรู้อีกที ถึงจะได้ยินใหม่ คราวนี้เป็นจิตส่วนจิต กายส่วนกาย"
ถาม : ทำไมพวกเป็นทิพย์จึงไม่ได้ยินเสียงตอนเรากรวดน้ำ หรือเทวดาไม่ได้สนใจเสียงมนุษย์ ?
ตอบ : เปรียบเทียบกันไม่ได้ ผีไม่ได้ยินเสียงกรวดน้ำเพราะกรรมบัง ส่วนเทวดาไม่ได้สนใจในมนุษย์ เพราะเขาเพลินอยู่กับความเป็นทิพย์ เหมือนกับคนใช้โทรศัพท์ อยากจะได้ยินก็โทรไป คือเขาต้องตั้งใจกำหนดใจก่อนถึงจะรู้ได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัญหาส่วนใหญ่ของการเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ก็คือนิสิตรับแรงกดดันไม่ได้ การเรียนระดับนี้ส่วนใหญ่แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาจะไม่มีเวลาให้ เราทำงานแทบเป็นแทบตายบางทีท่านไม่ทันจะดูก็ผลักกลับมาให้ไปแก้ใหม่เลย เส้นตายก็ใกล้เข้ามา งานก็ให้แก้แล้วแก้อีกอยู่นั่นแหละ เครียดมาก ๆ จนบางคนนั่งร้องไห้
หลายท่านเขาว่าการเรียนของไทยยากกว่าเยอะ ต่างประเทศเวลากำหนดหัวข้อวิทยานิพนธ์ได้ ก็เข้าห้องสมุดค้นคว้า ได้งานมา วิเคราะห์ออกมาเสร็จสรรพ พอนำเสนองานได้ก็จบแล้ว ส่วนบ้านเราเรียนแล้วเรียนอีก แถมยังต้องทำวิทยานิพนธ์ และแก้กันไม่รู้จักแล้วจักเลิก"
ท่าน Gembo Dorje พระระดับสมเด็จพระราชาคณะของภูฏานมาเยี่ยม พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางด้านภูฏานเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องจากต่างประเทศ เนื่องจากว่าระบบการบริหารบ้านเมืองเน้นความสุขของชาวบ้าน แทนที่จะเน้นในเรื่องของผลผลิต ต้องบอกว่าประชาชนมีความสุขมากที่สุดในโลก เพราะเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาไปปฏิบัติในชีวิตจริง เรียกว่าคนภูฏานเป็นคนรู้จักพอ จึงมีความสุขมาก"
ถาม : การที่เมตตาผู้อื่น ถือว่าเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การเมตตาต่อคนอื่น ต้องดูว่าเราเมตตาแล้วหวังผลหรือเปล่า ? ถ้าเมตตาแล้วหวังผล ก็เจือไปด้วยกิเลส จะเป็นรัก โลภ โกรธ หลง แทรกเข้ามา ถ้าเมตตาโดยไม่หวังผล รู้ว่าบุคคลนี้ เรารักเขาเสมอตัวเรา เราต้องการความสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นก็ต้องการสุขเกลียดทุกข์อย่างนั้น ดังนั้น..เราเองก็ต้องกระทำแต่สิ่งที่ดี ๆ พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ คิดแต่สิ่งที่ดี ๆ กับเขา ถ้าในลักษณะอย่างนี้ก็จะไม่เป็นกิเลส
แต่ถ้าหากว่าเมตตาโดยหวังผล เราสงเคราะห์เขา เขาจะต้องยกย่องเชิดชูเรา เป็นบริวารเรา มากราบไหว้เรา อย่างนั้นก็แทรกไปด้วยกิเลสเต็ม ๆ เลย
ถาม : ความเมตตาที่เจือไปด้วยกิเลส จะได้อานิสงส์หรือเปล่า ?
ตอบ : ได้อยู่...แต่ว่าความหลุดพ้นจะเกิดได้ยาก คืออานิสงส์ของความเมตตาอย่างน้อย ๆ ก็จะทำให้ตนเองมีศีลโดยอัตโนมัติ ก็แปลว่าความดีขั้นต้นเราได้ แต่ก็จะไปได้ไม่เกินนี้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้วัดที่เป็นสาขาท่าขนุนจริง ๆ มี ๖ วัด กำลังจะเริ่มมีวัดที่ ๗ เขาให้หาเจ้าอาวาสให้หน่อย ชื่อวัดนพเก้าทายิการาม อยู่ทางบ้านไร่ของทองผาภูมิ ไม่ใช่บ้านไร่ของอุทัยธานี หรือบ้านไร่ของพระแท่นดงรัง กำลังถามความสมัครใจของพระอยู่ ส่วนใหญ่เขาอยู่กับอาตมาแล้วสบาย เขาไม่อยากออกไปเสี่ยง ประเภทไม่กล้า ต้องใช้คำว่าไม่มีขวัญและกำลังใจ
ตอนนี้สาขาของวัดท่าขนุนมี วัดพุทธบริษัท เกาะพระฤๅษี วัดหนองบ้านเก่า วัดห้วยน้ำขาว วัดประตูด่าน แล้วยังมีที่ออกไปด้านอีสานอีกเยอะ แต่ไม่ได้ตามไปดูแล เพราะไกลเกินไป"
พระอาจารย์กล่าวกับท่าน Gembo ว่า "ปกติอาตมาดูแลอยู่ ๖ วัด วัดที่ ๗ กำลังจะมา ก็แปลว่าสิ่งที่รับ ๆ มาต้องกระจายออกไป
ของทางด้านประเทศไทยเรา คณะสงฆ์แบ่งการปกครองออกเป็น ๖ อย่าง อย่างที่ ๑ คือ การปกครอง เป็นไปตามลำดับชั้น สูงสุดคือสมเด็จพระสังฆราช ต่ำสุดคือเจ้าอาวาส
อย่างที่ ๒ คือ การศึกษา มีศึกษาบาลี ศึกษาธรรมะ และศึกษาสายสามัญ เรียนลักษณะเดียวกับคนทั่ว ๆ ไป มีปริญญาตรี โท เอก แล้วก็มา
อย่างที่ ๓ คือ ด้านการเผยแผ่ เมื่อศึกษาแล้วก็นำคำสอนไปสั่งสอนชาวบ้านเขาต่อ การเผยแผ่ของเราแบ่งเป็น ๒ สาย คือตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตามโรงเรียนต่าง ๆ ส่วนอีกสายหนึ่งเป็นสายวัดป่า ที่ฝึกปฏิบัติกรรมฐานโดยตรง เมื่อรู้จริงแล้วก็นำมาสั่งสอนชาวบ้าน
อย่างที่ ๔ คือ งานด้านสาธารณูปการ เกี่ยวกับการก่อสร้างภายในวัด ดูแลของเก่า สร้างเสริมของใหม่
อย่างที่ ๕ คือ ด้านสาธารณสงเคราะห์ ไม่ว่าชาวบ้านจะลำบากยากจน เกิดอุบัติภัยอะไร ก็ไปช่วยเขา เป็น public อย่างที่เอากฐินไปทอดที่เนปาลก็คือส่วนสาธารณสงเคราะห์ ไปช่วยที่เขาเกิดภัยแผ่นดินไหว
อย่างที่ ๖ คือ ศึกษาสงเคราะห์ ช่วยการเรียนทั้งของพระเณร และฆราวาสทั่วไป มีการให้ทุนการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสจะได้ทุนการศึกษาจากทุกวัด เป็นหน้าที่ซึ่งคณะสงฆ์บังคับเลยว่า เจ้าอาวาสทุกรูปต้องทำงาน ๖ อย่างนี้
งานของทางด้านคณะสงฆ์ไทย จึงแบ่งเป็น ๖ ด้านชัด ๆ อย่างนี้เลย"
"อย่างอาตมาปัจจุบันนี้ นอกจากเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ยังเป็นเจ้าคณะตำบล ปกครองในเขตตำบลนั้นทั้งหมด เป็น sub-district governor นอกจากการก่อสร้างก็ต้องดูแลช่วยเหลือ วัดต่าง ๆ ที่เขาเดือดร้อน ที่เขามาขอความช่วยเหลือ
เรื่องทุนการศึกษา ปัจจุบันนี้ทางวัดให้ประจำอยู่ ๘ โรงเรียน ปีหนึ่งก็ใช้จ่ายหลายแสนบาท ถ้ารวมทุนการศึกษาของพระก็หลายล้านบาท ปัจจุบันนี้เฉพาะวัดท่าขนุน ส่งเรียนปริญญาตรี ๗ ปริญญาโท ๙ ปริญญาเอก ๓ ค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละแสน ถ้าค่าเทอมออกก็ประมาณ ๘ แสนกว่าบาท นี่แค่วัดเดียวนะ
ญาติโยมเขาเห็นว่าอาตมาทำงานจริง ๆ ก็เลยมาช่วยสนับสนุน มาช่วยทำบุญ
มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อาตมาสอนอยู่ มีการปฏิบัติธรรมของนักศึกษาทุกปี ปีละ ๑๐-๑๕ วัน แล้วแต่ระดับ ตรี โท เอก ปฏิบัติวิปัสสนา ๑๐-๑๕ วันต่อปี ส่วนใหญ่จะปฏิบัติต่อเนื่องกันในประมาณเดือนธันวาคม อาตมาต้องไปเป็นหัวหน้าวิปัสสนาจารย์ให้เขาทุกปี ประมาณช่วงเดือนธันวาคม"
"ด้านของธรรมทูตจะมีสายปกครองเฉพาะของเขาอยู่ แต่ยังสังกัดอยู่ในส่วนการปกครองทั่วไป จะมีศูนย์พระธรรมทูตของแต่ละจังหวัด พระธรรมทูตจะมีการสอบเป็นรุ่น ๆ ถึงเวลาต้องไปอบรม ๓ เดือน ถ้าสอบไม่ผ่านจะไม่ได้พาสปอร์ต
งานด้านธรรมทูตตอนนี้ไปเจริญทางด้านยุโรป เฉพาะในยุโรปอย่างเดียวช่วง ๓ ปีที่ผ่านมามีวัดของเถรวาทเกิดขึ้นใหม่ ๒๑ แห่ง วัชรยานแบบของท่าน (Gembo) ในประเทศไทยมีอยู่ ๒-๓ แห่ง มาตั้งศูนย์ของตนเอง ส่วนใหญ่แล้วมาจากทิเบต
ทางด้านกองงานพระธรรมทูตมีแผนการจะสร้างวัดสุวรรณภูมิ ที่จะเป็นศูนย์กลางของพระธรรมทูตทั้งหมด น่าจะอยู่แถว ๆ สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนี้เริ่มดำเนินการซื้อที่แล้ว วัดกำลังเริ่มสร้าง ต่อไปธรรมทูตต่างประเทศมาก็เข้าพักที่นั่นได้เลย คราวนี้ธรรมทูตสายต่างประเทศที่รับผิดชอบงานตรงนั้นคือท่านเจ้าคุณวีรยุทธ ที่เป็นหัวหน้าธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล ท่านเจ้าคุณวีรยุทธหรือพระเทพโพธิวิเทศ เป็นหัวหน้าโครงการสร้างวัดสุวรรณภูมิ"
ถาม : ในการเจริญสติปัฏฐานที่บอกว่า กายเห็นกาย เวทนาเห็นเวทนา ?
ตอบ : ใครสอนว่ากายเห็นกาย เวทนาเห็นเวทนา ? เขามีแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา
ในเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนทั่วไป ท่านสอนชาวแคว้นกุรุ ซึ่งอาตมาเองฟันธงว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาอยู่ในบ้านเรา ฉะนั้น..ปัญญาท่านจะสูงมาก ก็เลยนิยมในเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งแบ่งออกเป็น กาย เวทนา จิต และธรรม ทั้งหมด ๔ หมวดด้วยกัน
กายในกายท่านบอกว่า คนทั่ว ๆ ไป บางทีแม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่รับรู้ว่ามี ยกเว้นแต่เกิดอะไรขึ้นถึงได้รู้สึกว่ามีร่างกายนี้ ก็แปลว่าจิตใจมืดบอดมาก บุคคลที่มีสติ โดยศึกษาในมหาสติ จะรู้กายในกายของตน อันดับแรกก็คือลมหายใจเข้าออก ถ้าสามารถรู้ลมหายใจเข้าออก ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกาย ที่เรียกว่ากายในกาย ก็คือเป็นกายที่มองไม่เห็น
ส่วนที่ ๒ ท่านให้ดูอิริยาบถคือการเคลื่อนไหว จะเป็นการเดิน ยืน นั่ง นอน
อย่างที่ ๓ ท่านบอกให้ดูในสัมปชัญญะ คืออาการรู้ตัวว่าสภาพร่างกายของเราตอนนี้เป็นอย่างไร จะยืน จะนั่ง จะเหยียดแขน คู้แขน เหลียวหน้า เหลียวหลัง ปกติคนทั่ว ๆ ไปจะไม่รู้ถึงอาการเหล่านี้ เป็นการทำไปโดยอัตโนมัติ แต่คนที่ฝึกสติปัฏฐานมา จะรับรู้อาการทั้งหลายเหล่านี้โดยครบถ้วน
ก็จะไล่ไปลักษณะอย่างนี้จนกระทั่งท้ายสุด ไปดูในเรื่องว่าเมื่อถึงความตายจะมีลักษณะต่าง ๆ กัน ๙ อย่าง จะได้เห็นว่าซากศพที่ตายคือกายภายนอก แต่ผู้รู้คือจิตอยู่ภายใน ท้ายสุดท่านจะสรุปว่า เราไม่ควรจะยึดอะไร ๆ ทั้งหมดในโลกนี้ ฝึกสติไปเพื่อให้เห็นในสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปมองข้ามเมื่อรู้เห็นสมบูรณ์พร้อม สติตั้งอยู่เฉพาะหน้า ถ้ารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามา จะได้รู้เท่าทันและป้องกันได้
เรื่องของเวทนาก็เหมือนกัน โดยปกติของเราแล้ว เมื่อสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้น เราจะไปยินดียินร้ายทันที โดยที่ไม่รู้ว่าการที่เรายินดีก็ทำให้ยึดติด ยินร้ายก็ทำให้ยึดติด ปล่อยวางอาจจะเป็นเพราะปล่อยวางได้ หรือเป็นเพราะความรังเกียจเลยหมางเมินไป ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะไม่ยึดติดในทั้งสุขทั้งทุกข์ และความไม่สุขไม่ทุกข์เหล่านี้
ต้องค่อย ๆ ดูไปทีละอย่าง เพราะว่าในเรื่องมหาสติกล่าวถึงธรรมที่เป็นส่วนละเอียด ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องข้างในมากกว่าข้างนอก ถ้าไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาในระดับหนึ่ง พอไปตอนท้าย ๆ จะไม่รู้เรื่องเลย
ถาม : อรูปฌานมีประโยชน์อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีประโยชน์มหาศาลเลย แค่ได้ฌาน ๔ ก็เหลือเฟือที่จะตัดกิเลสแล้ว กำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลส แต่ที่ฝึกอรูปฌานเพิ่มเพราะว่าสมัยก่อนมีบุคคลอยู่ส่วนหนึ่งที่แสวงหาความหลุดพ้น โดยเห็นว่าความทุกข์มีขึ้นเพราะมีรูปคือร่างกายนี้ แต่ไม่รู้วิธีในการละรูปที่แท้จริง ก็เลยละด้วยการทิ้งรูป กลายเป็นอรูปไป แต่ความจริงแล้วกำลังสมาธิเท่ากับฌาน ๔ นั่นเอง
ถือว่าเดินผิดทางก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้ารู้ความจริงแล้ว อาศัยที่กำลังสูง มีการพลิกแพลง พยายามที่จะทิ้งรูปนี้มาอยู่แล้ว โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมากกว่า
ถาม : อรูปฌานกำลังเท่ากับฌาน ๔ ?
ตอบ : กำลังเท่ากับฌาน ๔ ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ จะทำอรูปฌานไม่ได้ คำว่าทำไม่ได้ คือทำไม่สำเร็จ อาจจะได้ในเบื้องต้นนิด ๆ หน่อย ๆ ในลักษณะน้อมจิตคิดตามไป แต่ว่ากำลังไม่ถึงพอ
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อย่างเช่นว่าถ้าเกิดเวทนาขึ้นกับร่างกาย คนที่ได้อรูปฌานจะทิ้งร่างกาย ไม่สนใจ ปวดก็เหมือนไม่ปวด เจ็บก็เหมือนไม่เจ็บ หมออยากรักษาก็รักษาไป หายก็หาย ไม่หายก็ช่างมัน
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่ว่าเวทนาพอไหม ? ถ้าเวทนามากพอ บีบคั้นหนักก็ตาย แต่ว่าเราสามารถที่จะทิ้งเวทนาได้ คือเบียดเบียนเราไม่ได้ เพราะเขาไม่ใส่ใจในร่างกายนี้อยู่แล้ว
ถาม : ตอนที่เราตายแล้ว เราก็จะไปตามกำลัง ?
ตอบ : ไปตามกำลังนั้น ยกเว้นว่าเราใช้กำลังนั้นไปในทางอื่นแทน โดยเฉพาะบุคคลที่ฝึกมาด้วยความคล่องตัวแล้ว ถึงเวลาจะรู้ว่าตัวเองจะตายในระหว่างฌานไหน ถ้าบุคคลที่ไม่คล่องตัวก็ไปตามกำลังที่ตัวเองได้ เหมือนอย่างกับคนรู้ว่าทางนี้เป็นทางที่ถูก ทางแยกมีหลายทาง แต่คนเคยเดินด้านนี้เป็นประจำก็เดินไปทางด้านนี้ ซึ่งอาจจะไปถึงแค่พรหมชั้นที่ ๑ - ๒ - ๓ อีกคนชำนาญด้านนี้เดินไปทางด้านนี้อาจไปถึงพรหมชั้นที่ ๔ - ๕ - ๖ บุคคลที่รู้ทางจริง ๆ อาศัยกำลังเดินไปในทางที่ถูกก็สามารถหลุดพ้นได้
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : พิจารณาให้เห็นจริงว่าคุณกลัวหรือไม่กลัวก็ตายแน่ การที่เรากลัวตาย ส่วนใหญ่ก็เกิดจากความไม่พร้อม ความไม่พร้อมในที่นี้คือไม่พร้อมทั้งหมด ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนา ถ้าเรามีการเตรียมพร้อม มีการพิจารณาให้เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ ทุกคนเกิดมาต้องการหรือไม่ต้องการก็ตายแน่ แต่ถ้าหากว่าเราตายในลักษณะของคนที่มีปัญญา คือต้องรู้จักเตรียมพร้อม คนที่เตรียมพร้อมก็เหมือนกับคนที่เตรียมตัวฟิตซ้อมอ่านหนังสือมาเต็มที่ ถึงเวลาเข้าสอบก็ไม่มีอะไรหวั่นไหว แต่คนที่ไม่พร้อม หนังสือหนังหาไม่อ่านเลย ก่อนจะเข้าสนามสอบก็เครียดไป ๗ วัน ๘ วัน ความเครียดก็คือกลัว
ดูให้เห็นจริง ๆ ว่าคุณกลัวหรือไม่กลัวก็ตายแน่ แต่จริง ๆ ความตายไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นการเปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามบาปที่เราสร้างมาเท่านั้น
ถาม : การตัดกิเลสต้องใช้กำลังของฌานสี่หรือครับ ?
ตอบ : ปฐมฌานก็ตัดกิเลสบางส่วนได้แล้ว
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็คือฌาน ๔ นั่นแหละ เพียงแต่ว่าบุคคลที่มีความคล่องตัว สามารถจะแยกตอนท้ายออกมาว่าในระหว่างอุเบกขาและเอกัคคตายังมีระดับที่แยกออกได้อยู่ ถ้าคนไม่ละเอียดก็แยกไม่ได้ เหมือนบันไดสองขั้น ถือเป็นขั้นเดียวก็ก้าวข้ามไปเลย
ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านยังติดภารกิจอยู่ ในเมื่อใจยังติดภารกิจอยู่ ยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้
ถาม : เป็นเพราะว่าพระนิพพานเป็นเป้าหมายระยะสั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่อให้มีพระนิพพานเป็นที่หมาย แต่ใจท่านยังห่วงงานที่ได้ตั้งใจจะมาทำ
ถาม : เทียบเท่ากับพระอริยเจ้าไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากศึกษาอารมณ์พระอริยเจ้า จะสามารถทำได้เทียบเท่าหรือละเอียดกว่า แต่กำลังใจสุดท้ายจะไม่ตัดจริง ๆ
ถาม : ถ้ากำลังใจของท่านเทียบเท่าได้กับพระอนาคามีแล้ว จะลดลงมาได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กำลังใจของพระโพธิสัตว์สามารถลดได้เสมอ ขึ้น ๆ ลง ๆ พูดง่าย ๆ คือว่าต้องมีความระมัดระวังที่จะรักษาอยู่เป็นปกติ ก็คือเหนื่อยยากกว่าพระอริยเจ้า เพราะพระอริยเจ้าท่านได้แล้วได้เลย
สมมติว่าพระโสดาบันท่านสร้างบ้านอยู่บนหน้าผาสูง ๑๐ เมตร พอท่านเข้าบ้านไป ท่านก็นอนสบาย ส่วนเราตะกายหน้าผาขึ้นไป ๑๐ เมตร ไม่มีที่พักเลย ถ้าไม่เพียรออกแรงเกาะเอาไว้ก็ร่วง
ถาม : แล้วที่ว่าพระโพธิสัตว์สามารถจะทรงปัญญาได้เท่ากับพระอริยเจ้า ?
ตอบ : สามารถเข้าถึงอารมณ์ได้เหมือนพระอริยเจ้าแต่กำลังใจไม่ตัด เหมือนกับว่าเราเดินเข้าไปในบ้านหลังนี้ สำรวจจนรู้ทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ยังไม่อยู่บ้านหลังนี้ ถึงเวลาก็ออกจากบ้าน เดินทางของเราต่อไป
เป็นการเข้าถึงเหมือนอย่างกับเห็น แต่ยังไขว่คว้ามาไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิ์ เนื่องจากตัวเองเป็นคนจำกัดสิทธิ์ของตัวเองไว้
ถาม : การเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องเป็นมนุษย์เพื่อที่จะได้สร้างบารมีได้ง่ายหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเป็นมนุษย์ จะเป็นสัตว์อะไรก็ตาม ก็สามารถสร้างบารมีได้ เป็นที่สังเกตได้ง่าย ๆ ว่า พระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ จะเป็นผู้นำเสมอ ถ้าสร้างบารมีมาน้อย ก็เป็นผู้นำในหน่วยงานเล็ก ๆ ถ้าสร้างบารมีมามากก็เป็นผู้นำในหน่วยงานที่ใหญ่ขึ้น ถ้าอยู่ระดับอุปบารมีขั้นปลายจะเป็นผู้นำประเทศไปเลย ถ้าหากว่าเป็นสัตว์ก็เป็นจ่าโขลง จ่าฝูง อะไรประมาณนั้น
เขามีกติกาอยู่ว่า พระโพธิสัตว์ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม จะมีอัตภาพไม่เล็กไปกว่านกกระจาบ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง เล็กเกินไปช่วงอายุสั้น สร้างบารมีไม่ทันก็ตายแล้ว ใหญ่เกินไปช่วงอายุยืนนาน ก็ลำบากในการสร้างบารมีในชาติต่อไป เพราะในแต่ละชาติอาจจะได้ทำงานอย่างเดียว อย่างต้น ๆ กัปอายุเกินแสนปี สัตว์ก็น่าจะอายุยืนใกล้เคียงนั้น
ถาม : คนที่อยากจะช่วยสรรพสัตว์ แต่ไม่ได้อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : กติกาใช่อยู่แล้ว จะนับหรือไม่นับก็ตาม ถ้าคุณโดดเข้าไปเรียน ถึงเวลาก็ต้องไปตามหลักสูตรเขา คุณบอกว่าคุณไม่ต้องการจะไปเชียงใหม่ แต่โดดขึ้นรถสายเชียงใหม่แล้ว อย่างไรก็ไปถึง
ถาม : ต้องโดดลงระหว่างทาง ?
ตอบ : ไปหาทางลงระหว่างทางเอาเองแล้วกัน
พระโพธิสัตว์ท่านไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในวัฏสงสารอันยาวไกลไม่เห็นต้นเห็นปลายนี้ ขึ้นชื่อว่าคำว่าท้อ ไม่เคยปรากฏขึ้นในพระทัยเลย เดินหน้าอย่างเดียว
ถาม : สมมติว่ามีทางเลือกอยู่สองทาง....(ไม่ชัด) ?
ตอบ : เราตัดสินใจแทนใครไม่ได้ ต้องยืนอยู่ตรงนั้นก่อนถึงจะตัดสินใจได้ เรื่องอย่างนี้สมมติไม่ได้
ถาม : ถ้าต้องการที่จะยกน้ำหนักร่วม ๑๐๐ กิโลกรัม..? ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : ถ้าคุณจะยกครั้งละกิโลกรัม คุณก็ยก ๑๐๐ ครั้งเท่านั้นเอง ก็ต้องขยันเกิด คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมท่านถึงขยันเกิด เกิดมาเพื่อยกใหม่ เอาเถอะ....อยากหรือไม่อยากก็มาจนป่านนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องตัดพ้อต่อว่าแล้ว เดินหน้าลูกเดียว
อาตมาก็ไม่ได้อยาก เห็นหัวแถวไปก็ตามท่านไปเรื่อย ตามไปตามมา กติกาเกินแล้ว ประเภทคนขับรถ เคยได้ยินไหม ? ไปส่งเจ้านายเรียนมหาวิทยาลัย ก็เลยเรียนด้วย เรียนไปเรียนมาก็จบพร้อมกัน ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์เป็นเรื่องปกติเลย ส่งเจ้านายเรียน ท้ายสุดพระจบ ลูกศิษย์ก็จบด้วย
ถาม : ในเรื่องสมาธิเราต้องนั่งนาน ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : สมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งเลยก็ได้ เพียงแต่ในอิริยาบถอื่น ๆ สภาพจิตของเราต้องมั่นคงเท่ากับตอนนั่ง ถ้าคุณรอนั่งอย่างเดียว กิเลสตีตายเลย กิเลสไม่ได้มาเฉพาะตอนนั่งนี่ แต่มาตลอดเวลาทุกวินาที ส่วนใหญ่ที่เราปฏิบัติไม่ก้าวหน้า เพราะว่าพอเราเลิก เราก็ทิ้งเลย ไม่ได้เอากำลังที่เรานั่งสมาธิมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง
สมมติว่าเรานั่ง ๑ ชั่วโมง แล้วเราก็ทิ้งไป หลังจากนั้นอีก ๒๓ ชั่วโมงของวันนั้นเราโดนกิเลสไล่ตีอยู่ตลอด ก็ขาดทุนย่อยยับอยู่ทุกวัน ฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมไม่ก้าวหน้า
การทวนกระแสกิเลสเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เราว่ายทวนน้ำอยู่ ๑ ชั่วโมง แล้วปล่อยลอยตามกระแสน้ำไป ๒๓ ชั่วโมง แล้วจะเอาระยะทางที่ไหนมา เมื่อรู้ว่าผิดก็ทำใหม่ ถึงเวลาเลิกจากการนั่งสมาธิแล้ว สภาพจิตสงบสงัดจากกิเลสได้เท่าไร ถึงเวลาลุกจากที่นั่งไป ต้องประคับประคองจิตให้สงบสงัดจากกิเลสให้ได้แบบนั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
แรก ๆ ไม่ถึงนาทีก็พังแล้ว แต่พอรู้แล้วว่าเราต้องทำแบบนี้ ก็ระมัดระวังประคับประคองไปให้มากขึ้น เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง หกล้มหกลุกไปเรื่อย ๆ วัน ๆ หนึ่งขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นร้อยเป็นพันครั้ง จนกระทั่งสามารถทรงได้ ๒ วัน ๕ วัน อาทิตย์หนึ่ง ครึ่งเดือน หนึ่งเดือน สภาพจิตที่เคยผ่องใส มีความสุขขนาดไหน ถึงเวลาเราจะรู้สึกว่า ทำไมเราไปทิ้งความสุข ปล่อยให้ความทุกข์เล่นงานเราอยู่ฝ่ายเดียว พอปัญญาเริ่มเกิดคราวนี้ก็จะรู้จักรักษาอารมณ์ใจของตัวเอง
ถาม : ตอนนั่งกรรมฐาน ถ้าจิตทรงตัวระดับหนึ่ง ไม่ว่าทำกิจกรรมอะไรก็จะรวมตัวเป็นหนึ่งเหมือนกัน ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถไหนก็สามารถเข้าถึงอารมณ์นั้นได้ จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ เราแค่ใช้สติไปประคองไว้เท่านั้น แต่ถ้ายังไม่ได้ระดับนี้ ก็ต้องพากเพียรตะเกียกตะกายอย่างหนัก
ถาม : เวลาที่ไป...(ไม่ชัด).... เป็นสติเห็นหรือสมาธิเห็น ?
ตอบ : จะเป็นสติเห็นหรือสมาธิเห็นก็ตาม ถ้าปัญญาไม่ยอมรับก็สักแต่ว่าเห็น แต่ถ้าเรายอมรับว่าแม้แต่สภาพจิตของเราเองก็ไม่เที่ยงเป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีแต่ความไม่เที่ยง เรายังต้องการอีกไหม ? ถ้าไม่ต้องการก็ควรแสวงหาความหลุดพ้น วิธีเข้าถึงความหลุดพ้นท่านบอกไว้แล้วในทุกตอนของมหาสติ ก็คือไม่ควรยึดติดอะไร ๆ ในโลกนี้
ถาม : พระโพธิสัตว์...(ไม่ชัด)
ตอบ : ปัญญาท่านมีมากกว่าด้วยซ้ำไป พระโพธิสัตว์ไม่ใช่ท่านไม่มีปัญญา ท่านสามารถที่จะคิดที่จะตรองเข้าถึงได้เหมือนอย่างพระอริยเจ้าทุกอย่าง เพียงแต่สภาพจิตสุดท้ายไม่ตัดเท่านั้น บุคคลที่ทำถึง เข้าถึงแล้ว ไม่มีใครเขาทิ้งหรอก เพราะรู้ว่าทิ้งแล้ว โดนกิเลสตีจะทุกข์สาหัส ถ้าเข้าถึงได้ก็มีแต่ประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้ ถึงพลาดไปก็ไม่เสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น แต่ว่าตั้งหน้าตั้งตาทำใหม่เพื่อให้อารมณ์ใจทรงตัวอีกครั้ง
ส่วนใหญ่พวกเราได้ครึ่งเดือน ได้หนึ่งเดือน พอถึงเวลากำลังใจพังโครมลงไป จิตตก สมาธิตก เราก็ไปคร่ำครวญเสียอกเสียใจ เสียดาย ตะกายไม่ขึ้นสักที เพราะมัวแต่นั่งร้องไห้อยู่ มีประโยชน์อะไร ? อยากพังก็พังไป เป็นปกติอยู่แล้ว อนิจจังไม่เที่ยง..ใช่ไหม ? เราก็ตั้งสมาธิแล้วเริ่มใหม่ คนที่หกล้มแล้วลุกเดินต่อไปเลย กับคนที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น ใครได้ระยะทางมากกว่ากัน ?
ถาม : ถ้าเราใช้การอธิษฐานช่วย ?
ตอบ : อธิษฐานเป็นความตั้งใจ ถ้าสักแต่ว่าอธิษฐานแล้วไม่ทำให้ได้อย่างที่ตั้งใจก็ไม่มีวันสำเร็จได้
ถาม : การที่เราบอกว่า ใช้อธิษฐานบารมีขอให้สิ่งที่เราตั้งใจนั้นสำเร็จ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเรามีสิทธิ์ใช้ก็ใช้ไปไม่มีใครเขาว่า แต่ว่าเราต้องดูด้วย อาตมาเคยเปรียบเทียบว่ากระบอกน้ำนี้ เราขาดน้ำอยู่แค่นิดเดียวก็จะเต็มกระบอก เราอธิษฐานไปเราก็มีสิทธิ์ที่จะได้ แต่ถ้ามีน้ำอยู่ติดก้นอยู่หน่อยเดียว อธิษฐานให้ตายก็ไม่ได้หรอก เพราะว่าไม่เพียงพอ
ถาม : สติปัฏฐานสี่ จริง ๆ คือเริ่มต้นที่....(ไม่ชัด)...?
ตอบ : คุณแปลผิดและบรรดานักเรียนบาลีก็แปลผิดกันทั้งนั้น เอกายโน เอกะ + อยนะ เอกะคือหนึ่ง อยนะคือทาง นี่เป็นหนทางสายหนึ่งใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ บางคนไปแปลว่าทางสายเดียว สรุปแล้วอย่างอื่นที่พระพุทธเจ้าเทศน์ไปก็ไม่มีประโยชน์
ปัจจุบันคนที่ศึกษาสายนี้ เหมือนอย่างกับพยายามที่จะยกตัวเองให้เหนือจากสายอื่น โดยพยายามเน้นว่าเป็นทางสายเดียวที่จะหลุดพ้นได้ เป็นความคิดโง่ ๆ ถ้าเป็นทางสายเดียวพระพุทธเจ้าจะเทศน์ไปทำไมตั้ง ๘๔,๐๐๐ อย่าง ? แปลผิดแล้วก็มั่วไปเรื่อย ดูในพระไตรปิฎกแล้ว มีแปลผิดความหมายหลายจุดเลย
ถาม : การที่พิจารณาข้อกาย เวทนา จะเริ่มต้นจากสติ หรือสมาธิก็ได้ ?
ตอบ : คุณสังเกตไหมว่ามหาสติปัฏฐานสูตร เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทั้งปวง
มหาสติปัฏฐานสูตร เฉพาะในส่วนของกายในกายแบ่งออกเป็น ๖ หมวด แต่ถ้าจะเอาจริง ๆ จาก ๖ หมวด สามารถกระจายออกเป็น ๑๔ หมวดได้ เพราะนวสีแยกออกเป็น ๙ อย่าง แต่ว่าทุกหมวดท่านลงท้ายเอาไว้ว่า เราไม่ควรจะยึดติดอะไร ๆ ในโลกนี้ แปลว่าคุณทำหมวดใดหมวดหนึ่งก็สามารถหลุดพ้นไปได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องศึกษาทั้งหมด เอาแค่ข้อเดียวก็พอ
ถาม : มหาสติปัฏฐานสูตรกับสติสูตร ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเน้นเรื่องสติเหมือนกัน เพียงแต่คำว่ามหาสติปัฏฐานสูตร คือสูตรอันเป็นที่ตั้งใหญ่ของสติ กล่าวถึงเนื้อหาที่มากกว่า ก็เลยใช้คำว่ามหาสติ ส่วนสูตรอื่น ๆ ที่กล่าวถึงสติ ไม่มีเนื้อหามากมายขนาดนั้น เลยใช้คำว่าสติสูตรทั่วไป ไม่ใช้คำว่ามหา
จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรแปลกหรอก แต่พวกเราส่วนใหญ่ทำอะไรเลยหัว ผมอยู่บนหัวตัวเองแต่เอื้อมมือเลยหัว จะไปตัดผมถูกได้อย่างไร ?
ศึกษาตำราให้ศึกษาแต่พอสมควร เมื่อมีเหตุปัจจัยเพียงพอต่อการปฏิบัติธรรมแล้ว ให้เร่งทำไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราศึกษาไปไม่ได้ใช้งานก็เสียเวลาเปล่า
การศึกษาท่านเรียกว่า ปริยัติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามี อลคัททูปริยัติ ศึกษาตำราเหมือนกับจับงูข้างหาง ก็คือศึกษาไปแล้วไม่ได้ปฏิบัติให้เกิดผลจริงจัง แถมยังเอาไปสอนคนอื่นผิด ๆ มีแต่จะเกิดโทษกับตัวเองเหมือนกับคนที่จับงูทางหาง มีแต่จะโดนงูแว้งกัด ไม่บาดเจ็บก็ตาย
อย่างที่สองท่านเรียกว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ ก็คือศึกษาเหมือนอย่างกับตนเป็นห้องคลังพัสดุ คือศึกษาทรงจำเอาไว้เพื่อถึงเวลาจะได้ถ่ายทอดต่อผู้อื่น
สุดท้าย ก็คือ นิสสรณัตถปริยัติ ศึกษาเพื่อความหลุดพ้นของตน อย่างสุดท้ายจะได้ประโยชน์มากที่สุด
ถาม : อย่างที่คนที่สมัยนี้จำเนื้อหาในพระไตรปิฎก แต่ยังทำไม่ได้ ?
ตอบ : ตำราเหมือนแผนที่ ถ้าเราถือแผนที่เอาไว้โดยไม่ยอมปล่อยไปไหนเลย ก็ไม่สามารถที่จะก้าวไปถึงจุดหมายปลายทางได้ เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าเหมือนต้นเสาข้างหลัง บอกว่าจะไปเชียงใหม่ ถ้าเรายืนกอดต้นเสาอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะไปเชียงใหม่ได้ ดังนั้น..ศึกษาให้รู้พอเป็นแนวทาง แล้วเริ่มลงมือปฏิบัติก็คือ เริ่มเดินทางเลย ถึงจะเกิดประโยชน์
การศึกษาในเรื่องของตำราต่าง ๆ ปัจจุบันนี้ที่เห็น ก็คือ ยึดติดว่าเราศึกษามามาก รู้มากกว่า แล้วยกเอาวาทะไปข่มคนอื่น หรือไม่ก็งัดข้อกันโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยกมานั้นใช่หรือเปล่า คำว่าใช่หรือเปล่าคือใช่ของตัวเอง เพราะของพระพุทธเจ้าท่านใช่แน่ ๆ อยู่แล้ว แต่ว่าคุณยกมาสามารถใช้ได้เต็มที่หรือเปล่า ? เหมือนนักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า ปัจจุบันนี้เราใช้สมองไม่ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ อีก ๗๐ เปอร์เซ็นต์เรายังเข้าไม่ถึง แต่ของพระพุทธเจ้าท่านเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปนานแล้ว แล้วเราเองก็เอา ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของตัวเองว่าเราศึกษาจบแล้ว รู้เหมือนพระพุทธเจ้าแล้ว เอาไปนั่งเถียงกับคนอื่น ก็ตายสถานเดียว ตายอย่างน่าทุเรศด้วย เพราะตายแล้วอาจจะลงข้างล่าง...!
เร่ง ๆ ทำไป ไม่ว่าคุณจะมาสายพระโพธิสัตว์ หรือสายสาวกภูมิก็ตาม ปฏิบัติไปแล้วเกิดผลดีต่อตัวเองทั้งสิ้น ถ้ามาสายพระโพธิสัตว์เร่งรัดปฏิบัติ หนทางที่เราจะไปเกิดต่อก็น้อยลง โอกาสที่จะเข้าถึงพระโพธิญาณก็มีมากขึ้น ถ้ามาสายสาวกภูมิ หนทางที่จะเวียนว่ายตายเกิดก็สั้นลง โอกาสที่จะล่วงพ้นทะเลทุกข์ก็มีมากขึ้น
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การทำงานต้องไม่คั่งค้างถึงจะเป็นมงคล ไม่อย่างนั้นดินพอกหางหมูมาก ๆ หมูก็เดินไม่ไหว อาตมาปล่อยพอกเป็นเดือนถึงจะได้เริ่มแตะสักที ปัจจุบันนี้ใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ เพราะงานเยอะมาก ทั้งงานการปกครอง งานคณะสงฆ์ งานสอนหนังสือ ไหนจะต้องมาที่นี่เพื่อเจริญศรัทธาญาติโยม ก็ใช้วิธีว่าอะไรมาก่อนทำก่อน
อย่างช่วงนี้ทางมหาวิทยาลัยทวง มกอ. รอทวงไปก่อน เดี๋ยววันจันทร์ไปสอนแล้วจะนั่งทำให้ ตอนนี้ถ้ามัวแต่ไปคิดอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทำไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนทางด้านคณะสงฆ์อำเภอทวงประวัติพระอุปัชฌาย์ย้อนหลัง ๕ ปี คนอื่นย้อนหลัง ๕ ปีทำ ๕ หน้ากระดาษ ของอาตมาย้อนหลังปีเดียว ๑๕ หน้ากระดาษยังไม่หมดเลย แล้วมาให้ย้อนหลัง ๕ ปีว่าทำงานอะไรมาบ้าง ฉะนั้น..ก็รอไปก่อน รับสังฆทานต้นเดือนเสร็จจะไปทำให้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม จัดงานเป่ายันต์เกราะเพชร ต้องบอกว่าทิ้งร้างมาเป็นปี ญาติโยมเลยแห่ไปเยอะมากเป็นพิเศษ ขนาดศาลาใหม่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีแล้วก็ยังไม่พอนั่ง เนื่องจากว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งค่อนข้างจะเห็นแก่ตัว บอกให้ขยับก็ไม่ขยับ กูเอาที่ว่างสบาย ๆ ของกู ข้างหลังอัดกันอย่างกับปลากระป๋อง ข้างหน้าว่างจนตั้งวงเตะตะกร้อได้ก็มี เลยทำให้เห็นชัดว่า คนเราเข้าวัดเข้าวาไม่ได้ไปละกิเลสกันทุกคน อาตมาเคยเล็ง ๆ ไว้แล้วว่าแบ่งออกได้หลายประเภทด้วยกัน
ประเภทที่ ๑ หลงตามเพื่อนไป เพื่อนพาไปไม่ได้รู้จักหรอก ไปถึงยังมาถามอีกว่าหลวงพ่อท่านชื่ออะไร อาตมานี่นั่งเครียด เพราะดันมาถามอาตมาเอง...!
ประเภทที่ ๒ ไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงรูปนี้เราก็ไปกราบมาแล้ว ไปเซลฟี่มาอวดเพื่อนแล้ว
ประการที่ ๓ ไปเพื่ออยากได้หวย พวกนี้เจอหน้าขอหวยอย่างเดียวเลย ไม่ให้นี่มองหัวถึงตีนเลย ให้หวยไม่เป็นแล้วบวชมาทำไม...!?
ประการที่ ๔ ไปเพื่อเครื่องรางของขลัง ประเภทนี้ถ้ามาจากสิงคโปร์ มาเลเซีย มีเท่าไรเขาขนหมดวัดเลย เงินเขาใหญ่และศรัทธาสูง ถ้าใครมีประสบการณ์วัตถุมงคลของวัดไหน เขาขนไปกันเป็นคันรถ ๆ เลย
ประการที่ ๕ ไปเพื่อปฏิบัติธรรม หวังความสงบ แต่ปรากฏที่เจอมาเกินร้อยละ ๘๐ คือยังไม่อยากสงบจริง พอส่งไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ๓ วัน แทบจะผูกคอตาย บอกว่าเงียบเกินไป..อยู่ไม่ได้ เพราะที่นั่นจริง ๆ แล้วทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์หมด ยกเว้นไม่มีคลื่นโทรศัพท์ คลุ้มคลั่งไปเลย มีน้องคนหนึ่งบอกว่า "หลวงพ่อ...หนูอยู่ไม่ได้หรอก ไม่มีโทรทัศน์ให้ดู...หนูตายแน่"
เห็นหรือยังว่า ผัสสาหารคืออะไร ? คือ อาหารที่มาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่กวฬิงการาหาร อาหารคือข้าว น้ำ ขนมทั่วไป อันนี้คือผัสสาหารที่คนเราต้องการ เขาขาดโทรทัศน์อย่างเดียว เขาฟันธงเลยว่าตายแน่ ก็คือขาดอาหารตรงนี้
ปัจจุบันก็กำลังนั่งเครียดอยู่รายหนึ่ง "เงียบเกินไป...เงียบเกินไป" นั่งบ่นอยู่นั่นแหละ เผอิญว่าเงียบ อาจารย์เลยได้ยิน ปล่อยให้บ่นต่อไป เดี๋ยวค่อยไปดู เขาบอกว่าอยากอยู่ที่เงียบ ๆ วัดท่าขนุนไม่เงียบ เขาไม่เอา ส่งไปที่เงียบจริง ๆ ดันประสาทกินซะได้"
"คนที่ไปวัดเพื่อหาธรรมะ ปฏิบัติให้หลุดพ้น คนเหล่านี้มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ แล้วเป็นคนที่น่าสรรเสริญมาก อดทนอดกลั้นต่อสู้ทุกอย่าง เพราะรู้ว่าแรงกระทบรอบด้านเป็นการฝึกฝนตัวเองที่ดีที่สุด คนอื่นมอบโอกาสฝึกฝนในการละกิเลสแล้ว เราจะละได้จริงหรือไม่ ? คนประเภทนี้มีน้อยเหลือเกิน แต่อาตมาอยากได้มากที่สุด ต้องบอกว่าอึดกว่าควายตั้งเยอะ จะตีจะด่าอย่างไรไม่ว่า เพราะตั้งใจว่านี่เป็นบทเรียนอย่างหนึ่งในการฝึกตัวเอง
ในเมื่อคนเราไปวัดด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กัน ถ้าไม่มีระเบียบวัดคอยควบคุมก็จะเละ..อยู่ร่วมกันไม่ได้ โดยเฉพาะว่าคนเราให้ความศรัทธาเฉพาะคน ถ้าอย่างอาตมาด่า โอ๊ย...ยิ้มหน้าบาน ดีใจที่พระอาจารย์ด่า..! แต่ถ้าพระอื่นไปด่า ลองดูสิ...ไม่ด่าคืนก็นับว่าเกรงใจแล้ว อาตมาถึงได้เตือนพระที่วัดอยู่เสมอว่า "อยู่กับผมอย่าเผลอตามผม ต้องดูด้วยว่าเขายอมรับคุณหรือเปล่า ? ถ้าเขาไม่ยอมรับแล้วไปด่าเขา จะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ แต่ถ้าอาตมาไปด่า เขาดีใจว่าพระอาจารย์ยังสนใจเขาอยู่" ซาดิสต์ชัด ๆ...!"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "น่ากลัวตรงนี้แหละ กำลังกลัวว่าจะหลงตัวเองสักวัน ยิ่งขึ้นสูงยิ่งต้องระวัง ต้องคอยมองตัวเองอยู่ตลอด ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของครูบาอาจารย์ ตลอดจนพรหม เทวดา หรือไม่ก็พระข้างบน
มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง พวกเราอาจจะเจอ ผิวดำ ๆ ตัวเตี้ย ๆ หน่อย ที่มาถึงก็ "พระเล็ก...พระเล็ก" ตลอดเลย แกเตือนสติอาตมาตลอด แต่คนอื่นว่า "ยายนี่บ้า" ความประพฤติของแกคนอื่นเขาว่าบ้า แต่เวลามีงานวัดแกมาทุกครั้ง มาถึงก็ "พระเล็กอย่าทิ้งพระวินัยนะ" "พระเล็กได้มาสละให้หมดนะ" แกน่ารักมากเลย แกเตือนสติอาตมาตลอดเวลา แต่คนอื่นจะเห็นว่าแกบ้า ไปวัดอื่นก็หาว่าแกบ้า ถ้าบ้าลักษณะนี้มาวัดท่าขนุนยินดีต้อนรับ ต้องบอกว่าแกสามารถรับอะไรบางอย่างที่ผ่านลงมาได้ แต่คนอื่นไม่รู้ ก็ไปหาว่าแกบ้า
ถ้าพวกเรารู้จักสังเกต เวลาเห็นคุณยายคนนี้ อาตมาจะหยุดคุยด้วยเสมอ คุยแล้วอย่างน้อย ๆ เขาก็ช่วยเตือนสติได้"
ถาม : ถ้ามีพระเครื่องแล้วเขาไม่ได้ห้อยติดตัว จะมีอานุภาพคุ้มครองตัวไหมครับ ?
ตอบ: ถ้าหากว่านึกถึงตลอดก็เหมือนกับห้อยติดตัว แต่ถ้าห้อยติดตัวแล้วไม่นึกถึงก็ตัวใครตัวมันเถอะ คุณมีโทรศัพท์เขาให้ต่อใช้งานแล้ว คุณดันไปปิดเครื่องไว้ แล้วจะได้ใช้ไหม ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปกฐินที่เนปาล คนอื่นเป็นลูกอีช่างขน มหาโรจน์บอกว่า "ของผมขนกระเป๋าใหญ่ ๒ ใบเลย อาจารย์เอากระเป๋าใบเล็กมาใบเดียว" อาตมาไปที่ไหนต่อที่ไหน เสียของเขาหมด ขนาดไปยุโรป หิมะดันตกหน้าร้อน ...(หัวเราะ)... อยากดูหิมะเขาเลยจัดให้ หิมะตกหน้าร้อน เล่นเอาฝรั่งแตกตื่นกันหมด คราวที่แล้วโดนยายนภิสราแหกตา อยากเห็นยอดเขาเอเวอเรสต์เขาบอกจะจัดให้อาตมาก็นึกว่าจะให้ดูขาไป ปรากฏให้ดูขากลับ..แค้นมาก..!"
พระอาจารย์กล่าวกับพระวัดท่าซุงที่กำลังจะลากลับว่า "ขอให้เจริญ ๆ ทุกคน ตั้งหน้าตั้งตาทำให้จริง ๆ ไว้ ชาวบ้านเขาต้องการที่พึ่งมาก ถ้าเป็นที่พึ่งให้คนหมู่มากไม่ได้ เอาเฉพาะที่เราดูแลอยู่ก็ยังดี"
ถาม : ถ้าชาติก่อนเคยอธิษฐานในทาง...(ไม่ชัด)..เกินไป ชาตินี้จะอธิษฐานใหม่จะต้องใช้บุญกรรมฐานอย่างไร ?
ตอบ : สร้างบุญใหญ่แล้วเปลี่ยนคำอธิษฐานใหม่ ที่ไหนเขาสร้างพระประธาน สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ ก็ไปร่วมเป็นเจ้าภาพกับเขา ร่วมเป็นเจ้าภาพ ๒๐ บาทก็ร่วมเป็นเจ้าภาพได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลังคาแหว่งกระเบื้องไม่ครบ ก็เท่ากับเราสร้างบุญใหญ่แล้วเปลี่ยนคำอธิษฐาน ถ้าทำได้คนเดียวทั้งหลังก็เชิญ เอากำลังบุญเข้ามาช่วย ในเมื่อสมาธิสมาบัติอะไรสักอย่างก็ไม่มี ก็ต้องเอากำลังบุญตรงนั้นมาแทน
ถาม : ถ้าสร้างบุญอย่างเดียวกัน ระหว่างคนที่บวชเป็นพระกับคนธรรมดา ?
ตอบ : ถ้าสร้างบุญอย่างเดียวกัน พระได้บุญมากกว่าเป็นแสนเท่า เพราะกติกาในการรักษามีมากกว่า เหมือนอย่างกับคนมีหุ้นมากกว่า เรามี ๑๐๐ หุ้น เขามี ๑,๐๐๐,๐๐๐ หุ้น ถึงเวลาขายหุ้นพร้อมกัน ลองดูว่าใครมีเงินมากกว่ากัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครลืมต่างหู แว่นตา กุญแจรถ ไว้ที่วัดท่าขนุนไปรับคืนด้วย กุญแจรถนี่ลืมไว้สองปีแล้ว ส่วนที่ลืมไว้แปดปีแล้วก็คือพระเลี่ยมทององค์หนึ่ง อาตมาอยากได้มากแต่ไม่กล้าอม เพราะว่าตอนนี้ราคาในท้องตลาดแพงมาก ถ้าใครเป็นเจ้าของไปทวงคืนได้ทุกเวลา แต่ถ้าบอกไม่ถูกก็อด
งานเป่ายันต์ฯ ที่ผ่านมาได้ไอโฟนมาเครื่องหนึ่ง สวยมาก ประกาศหาอยู่พักใหญ่ ทุกคนมั่นใจว่าของตัวเองไม่หาย กำลังคิดว่าจะได้ของฟรีไว้ใช้อยู่แล้วเชียว ปรากฏว่ามีเด็กคนหนึ่งมาถึงก็บอกว่า “หนูทำโทรศัพท์หาย” ถามว่าสีอะไรก็ตอบถูก เลยต้องคืนให้เขาไป"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่นี้กราบพระ ก็เลยไปนึกถึงการจัดงานมงคลหรืออวมงคลต่าง ๆ ในปัจจุบัน เรามักจะตั้งโต๊ะสำหรับให้ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระกราบ กรุณาเอาโต๊ะออกด้วย อาตมาเป็นประธานงานไหนก็ดึงเอาโต๊ะออกทั้งนั้น คือ เรากราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๒ ศอก ๒ เข่า ๑ ศีรษะ ต้องแตะพื้นพร้อมกัน แล้วการกราบบนโต๊ะได้แตะอะไรบ้าง ? อย่างเก่งก็ได้แค่ ๒ เข่า หรือเอาอย่างท่าน Gembo Dorje เมื่อบ่าย ท่านกราบแบบอัษฏางคประดิษฐ์คือลงทั้งตัวเลย
ตำแหน่งของท่าน Gembo ถ้าเปรียบกับบ้านเรา สมณศักดิ์ของท่านอยู่ระดับสมเด็จพระราชาคณะ ก็คือเป็นรองเพียงพระสังฆราชเท่านั้น แต่ว่ามีรองระดับนี้อยู่ ๕ รูปด้วยกัน รับผิดชอบงานคนละส่วน ท่านรับผิดชอบเกี่ยวกับการค้นคว้าพระไตรปิฎก โดยเฉพาะพระไตรปิฎกโบราณแล้วก็นำมาเผยแผ่
มีคนถามว่า เผยแผ่ กับ เผยแพร่ ต่างกันตรงไหน ? แผ่ก็คือกระจายออกกว้าง ๆ เพื่อให้ทั่วถึง การเผยแผ่ธรรมะก็คือกระจายธรรมะออกให้คนรู้ทั่วถึงกัน ส่วนเผยแพร่เป็นลักษณะของการแพร่กระจายออก เหมือนกับพวกเชื้อโรคกำลังทำงาน เรื่องภาษาไทยของเราลึกซึ้ง บางอย่างถ้าใช้ผิด ก็จะผิดความหมายไปเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต นำโดย คุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา ซื้อเครื่องเสียงชุดใหม่มาเพื่อใช้กับบ้านวิริยบารมี ตอนเปิดใช้ระบบเสียงใหม่ ๆ ฟังไม่ได้เลย ตรวจสอบแล้วพบว่าเสียที่ลำโพง ไม่ได้เสียตรงเครื่องเสียง ลำโพงเปิดเสียงก้องเอาไว้ เพราะว่าไมโครโฟนเดิมดูดเสียงได้น้อย ถึงเวลามาเจอไมโครโฟนตัวที่ดูดเสียงได้มาก ก็เลยกลายเป็นเสียงสะท้อน พอเปลี่ยนเครื่องเสียงก็เป็นอย่างที่ได้ยิน คือเสียงไม่ก้องและได้ยินค่อนข้างจะทั่วถึง ขอโมทนาบุญกับทางคณะด้วย ดูท่าจะต้องเสียใบโมทนาบัตรอีกใบแล้ว
ระยะนี้ขอใบโมทนาบัตรกันมาก โดยเฉพาะช่วงกฐิน หมดทีเป็นเล่ม ๆ เลย ถึงเวลาญาติโยมทำบุญเสร็จลากลับบ้านสบายใจเฉิบ เจ้าอาวาสก็นั่งออกโมทนาบัตร ส่วนพระลูกวัดก็นั่งเก็บของไป ยืนงงทำอะไรไม่ถูก ของเต็มศาลาไปหมด ท้ายสุดอาตมาโผล่ออกมาเห็นเข้าถามว่า “ทำไมไม่เก็บเสียที ?” “ไม่รู้ว่าจะเก็บอย่างไรครับ ?” ก็เลยแนะนำไปว่า “ให้เอาผ้าไตรออกมาก่อน จัดเรียงไว้ด้านหนึ่ง ถ้าหากว่าเอาผ้าไตรออกมา ของก็หายไปเกินครึ่งแล้ว”
พอผ้าไตรเรียงครบก็หายโล่งไปเลย ค่อยรู้สึกว่าได้ผลงานขึ้นมาหน่อย คราวนี้ของสดก็ส่งเข้าโรงครัว ของแห้งก็ส่งเข้าคลังพัสดุ หนังสือก็ส่งเข้าห้องสมุด ก็เหลือวัตถุมงคลกับพระพุทธรูปไม่กี่องค์ ซึ่งเจ้าอาวาสเก็บเรียบ"
"ก่อนตักบาตรเทโวฯ และกฐิน เข้ากรรมฐานอยู่ ๓ วัน เหมือนกับโดนทดสอบกำลังใจ เพราะว่าหมาทั้งวัดพร้อมใจกันมากัดกันอยู่รอบกุฏิ เขามาแย่งตัวเมียกัน แล้วตัวเมียอยู่แถวนั้นพอดี ก็เลยต้องใช้วิธีภาวนาหนี ภาวนาไปเรื่อย ๆ กลับเจออารมณ์ประหลาด ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ก็คือ กายนอกกับกายในแบ่งเป็นต่างคนต่างอยู่ พอต่างคนต่างอยู่ อยากได้ยินเสียงก็ได้ยิน ไม่อยากได้ยินเสียงก็ไม่ได้ยิน ก็เลยยังงง ๆ อยู่ว่านี่คืออะไร ?
ถ้าเป็นการเข้าสมาธิให้จิตกับประสาทแยกออกจากกัน เราต้องทรงสมาธิ แต่ว่าในตอนนั้นไม่ต้องทรงสมาธิแต่เป็นไปเอง นี่คือเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน กำลังอยู่ในช่วงหาคำตอบว่าเรียกว่าอะไร ? เพราะว่า "หลวงพ่อ" ท่านก็ไม่เฉลย พระท่านก็ไม่เฉลย ปล่อยให้คลำเอาเอง ส่วนใหญ่พอคลำเจอ ท่านก็จะมาเฉลยว่าตรงกันไหม นับว่าชีวิตยากเข็ญ เป็นทุกขาปฏิปทาจริง ๆ"
"ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือส่วนของการอดอาหาร ปกติแล้วพออดอาหารนาน ๆ แล้วมาฉันใหม่ กระเพาะอาหารจะทำงานลำบาก ต้องฉันอาหารอ่อนทีละน้อยเพื่อให้กระเพาะเคยชิน แต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น เหมือนกับว่ากระเพาะอาหารเขาหยุดทำงานเฉย ๆ เหมือนนอนหลับไปพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็กินต่อได้
แต่แรก ๆ ก็ไม่กล้าไปยุ่งกับเขามาก กลัวว่าถ้าหลงระเริงแล้วอาหารทำพิษขึ้นมาก็แย่กันพอดี จึงเลือกฉันอาหารอ่อน พวกผักต้ม ก็รู้สึกว่าปกติดี เมื่อวานนี้ตอนมื้อเช้าก็เลยลองใส่เสียเต็มที่ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ มาผิดปกติตอนมื้อกลางวันนิดเดียว เพราะเริ่มลองของเผ็ดดู เกิดลมตีขึ้น ความจริงถ้าเราเข้ากรรมฐานกันทุกคนจะประหยัดมาก เพราะเปลืองแต่น้ำอย่างเดียว อย่างอื่นไม่มีอะไรเปลือง"
"ชวน "เด็กหญิงนิว" ให้มาอดข้าวกับหลวงพ่อ อยากมีเพื่อนอดข้าว บอกว่า "หลวงพ่อไม่ชวนใครเลย ทั้งประเทศไทยชวนหนูอยู่คนเดียว" เป็นตายก็ไม่เอา ของนิวนี่ถ้ามื้อไหนกินไม่ได้ดั่งใจก็จะร้องห่มร้องไห้อาละวาด ตัวเขาใหญ่กว่าพี่สาวสองเท่าครึ่ง แต่ว่าทำงานคุ้ม แม่เขาบอกว่าไปตลาดซื้อข้าวสารถังหนึ่ง ลูกเขาแบกไหว เด็กเพิ่งจะ ๕ – ๖ ขวบ แบกข้าวสารถังหนึ่งไหวก็สุดยอดแล้ว ต้องบอกว่าทำงานคุ้มกับที่กินลงไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระครูสมุห์ธรรพ์ณธร ธมฺมทินฺโน เจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่า บอกว่า “ผมก่อสร้างแค่นี้ก็เบื่อจะตายชักแล้ว หลวงพ่อไม่เบื่อบ้างหรือครับ ?” ตอบว่า “ผมเบื่อกว่าคุณอีก” “เบื่อแบบไหนครับ ? ยิ่งสร้างยิ่งใหญ่ไปเรื่อย” ก็บอกว่า “เพราะเบื่อก็เลยต้องสร้าง ถ้าอยู่เฉย ๆ จะเบื่อกว่านั้นอีก”
ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเกินที่จะเบื่อแล้ว เมื่อเป็นหน้าที่ซึ่งจะต้องทำก็ทำไป เราอย่าไปมองยาว ๆ มองอย่างไกลที่สุดแค่วันนี้ พ้นจากวันนี้ไปเราตาย ทุกอย่างก็จบแล้ว ในเมื่อทำตัวเองเป็นคนไม่มีพรุ่งนี้ วันนี้ก็เลยต้องทำงานให้เต็มที่หน่อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รองเจ้าคณะใหญ่จีนนิกายวัดเล่งเน่ยยี่ เพิ่งจะมรณภาพไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ รุ่นนี้เป็นรุ่นอักษรเย็น เวลาคนจีนบวชจะมีลำดับรุ่นอยู่ข้างหน้า พอได้ยินลำดับรุ่นก็จะรู้ว่าคือรุ่นไหน บวชมุมไหนของโลกนี้ก็จะเป็นลำดับรุ่นนั้น อย่างถ้าอาตมาบวชก็จะเป็นรุ่นหนึ่ง รุ่นหนึ่งบวชให้ก็จะกลายเป็นรุ่นสอง รุ่นสองบวชให้ก็จะกลายเป็นรุ่นสาม สมมติว่าอาตมามีลูกศิษย์ร้อยคนแยกย้ายไปบวชให้คนทั่วโลก ก็จะเป็นรุ่นสองทั่วโลก
ของจีนนิกายเขากำหนดด้วยอักษร ในเมื่อเป็นอักษรก็ทำให้รู้ว่าเป็นอาวุโสรุ่นเดียวกัน แต่ว่าไม่ค่อยดีตรงที่ว่าหลวงปู่บางท่านอายุยืนเหลือเกิน บวชให้คนแรกเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว พอมาบวชคนล่าสุด ห่างกัน ๕๐ ปีแต่กลายเป็นรุ่นเดียวกัน"
ถาม : พาน้องสาวไปงานตักบาตรเทโว-ทอดกฐินที่วัด พอเขากลับไปแล้วลูกค้ามาแน่นร้านเลยค่ะ ?
ตอบ : เท่าที่อาตมาสังเกตตัวเอง พอเข้ากรรมฐานแล้วไม่ว่าจะเป็นข้าวของเงินทอง มามหึมาหลายเท่าเลย จึงไม่แปลก ทำบุญเสร็จสรรพกลับไปงานเข้าเพียบ จึงควรจะมาบ่อย ๆ
แต่ว่าการเข้ากรรมฐานทั้ง ๒ ครั้งตามที่ท่านสั่งเหมือนอย่างกับว่าท่านจัดเวลาไว้ให้ ครั้งก่อนโน้นก็ติดงานสอนพอดี แต่ว่าไม่ทราบเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่เขาจัดสลับให้ท่าไหน กลายเป็นวันว่าง ก็เลยเข้ากรรมฐานได้ ๓ วัน งวดนี้จริง ๆ แล้วก็ติดวันสอน แต่เขาให้หยุดวันออกพรรษาพอดี ดังนั้น...ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านสั่งก็ทำไปเถอะ
พระอาจารย์กล่าวว่า “กำลังใจเด็กวัดท่าขนุนกับแม่ชีสู้ชาวปิ๊กมี่ไม่ได้ เห็นเครื่องสังฆทานเต็มกุฏิแม่ชีแล้วแทบจะนั่งร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก พวกปิ๊กมี่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริกา ตัวเล็กนิดเดียวเหมือนอย่างกับเด็กแคระบ้านเรา แต่กำลังใจเหลือล้น ย่องตามฝูงช้างไปแล้วก็เอาหอกแทงเอ็นขา พอช้างล้มก็ช่วยกันชำแหละ คติพจน์ของชาวปิ๊กมีก็คือ “ช้างตัวใหญ่แค่ไหนก็ค่อย ๆ กินไปทีละคำ” สามารถเอามาเป็นหลักในการทำงานใหญ่ ๆ ของเราได้”
ถาม : ในบารมี ๑๐ มีบางข้อที่เราถนัด แล้วบางข้อที่เราไม่ถนัด ถ้าเราทำแต่ที่เราถนัด ข้อที่เหลือจะเต็มทั้งหมดได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้...เพียงแต่ว่าตัวที่เราถนัดถือว่าเป็นวิชาเอก ที่ไม่ถนัดให้เป็นวิชาโท
ถาม : ถ้าเราเน้นข้อที่เราถนัดแล้วที่ไม่ถนัดจะขึ้นมาเองหรือคะ ?
ตอบ : ขึ้นมาเองแต่ให้เราเน้นนิดหนึ่ง ถึงได้บอกว่าอย่างไรก็ให้เป็นวิชาโทไว้ คืออย่าไปปล่อยตามบุญตามกรรม
ถาม : ทำตัวเดียวก็ได้หรือครับ ?
ตอบ : ทำตัวเดียวก็ได้ทั้งหมด
ถาม : หลักนี้รวมถึงหัวข้อธรรมอื่นด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ท่านกล่าวถึงเฉพาะบารมี ๑๐ เพราะบารมีขึ้นต้นด้วยปัญญา คนมีปัญญาถึงรู้ว่าดีก็ต้องทำ แล้วเรามีต้นทุนอะไร ถ้าขึ้นต้นด้วยทานบารมี ระหว่างในทานศีลเราพร่องไหม ? ถ้าศีลเราไม่พร่องก็มีศีลบารมี คนจะมีศีลต้องมีเมตตาบารมีเป็นส่วนประกอบ ทุกอย่างจะโดนดึงพ่วงมาคราวเดียวกันหมด แต่ว่าจะมามากมาน้อย มาช้ามาเร็วขึ้นอยู่กับบารมีต้นที่เราทำ
ถึงได้บอกว่าถ้าไปปล่อยไว้ลักษณะอย่างนั้นอาจจะช้าไปนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้น...ข้อที่เราถนัดเป็นวิชาเอก ที่ไม่ถนัดให้เป็นวิชาโท คือไปเน้นหน่อยแต่ไม่เอามากเท่ากับวิชาเอก
ถาม : การที่หนูไปหา....(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้น ต้องเห็นคุณในพระรัตนตรัยจริง ๆ อย่างที่วันก่อนดุพวกที่ไปช่วยขนของงานตักบาตรเทโวฯ ประเภทที่ไปถึงก็โยน ๆ ทับ ๆ กันจนแตกหักเสียหายเยอะแยะ บอกว่า “เพราะว่าคุณไม่เห็นว่าของทั้งหลายเหล่านี้มาด้วยคุณของพระรัตนตรัย แต่คุณไปเห็นแค่ว่าเป็นของที่ชาวบ้านใส่บาตรมา คุณก็เลยไม่มีความเคารพในทานของเขา สักแต่ว่าทำส่งเดชไปเท่านั้น แต่ถ้าคุณเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ได้มาด้วยอำนาจคุณของพระรัตนตรัย ก็จะเกิดความเคารพในทานที่เขาให้ ไม่ว่าจะหยิบจะจับอย่างไรก็แสดงออกด้วยความเคารพ ก็จะไม่เสียหายแบบนี้”
ลักษณะเดียวกัน ถ้าเราเห็นคุณของพระรัตนตรัยก็จะกราบได้ตรง แต่ถ้ายังไม่เห็นก็หมั่นพิจารณาในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ดูว่าท่านมีความดีอย่างไร หลังจากนั้นถ้าเข้าไปในใจเราเมื่อไร เดี๋ยวก็กราบได้เต็มไม้เต็มมือเอง
ถาม : อารมณ์ที่นับถือพระรัตนตรัยได้อย่างมั่นคง ?
ตอบ : ทำอย่างไรจะยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งจริง ๆ เคยเปรียบให้พระท่านฟังว่า เหมือนอย่างกับเราตกเหวแล้วมีคนยื่นเชือกมาให้ เราต้องจับเชือกนั้นแน่นขนาดไหนเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง ก็คือเกาะพระรัตนตรัยแบบนั้น
ถาม : อย่างกรณีที่จับภาพพระ..(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ได้...แต่สภาพจิตให้ทำทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เรากำหนดภาพพระแล้วกราบ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าถ้าเรากราบในความเป็นจริงก็กราบในลักษณะนั้น ไม่ใช่ว่าน้อมกราบเฉพาะตอนที่เราทำมโนมยิทธิอยู่แต่ว่าภายนอกเราสักแต่ว่าแปะ ๆ ให้ครบ ๓ ครั้ง
ถาม : ตอนที่เรากราบพระนี่คือให้เอาจิตกราบพระข้างบนพระนิพพานด้วย ?
ตอบ : กราบข้างบนด้วย กราบข้างล่างด้วย
ถาม : แต่ถ้าทำมโนมยิทธิไม่ได้ ก็กราบไม่ถึงสิคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ก็เอาจริง ๆ จัง ๆ สักอย่างเดียว กราบข้างล่างก็ข้างล่าง แต่กราบแล้วนึกจริง ๆ จัง ๆ ไปด้วยว่าตอนนี้เรากราบพระอยู่
ถาม : เวลาสวดมนต์ถึงบางช่วงแล้วมีน้ำตาไหล ?
ตอบ : ลักษณะของปีติขึ้น อย่าไปบังคับ ปล่อยให้ร้องไปเลย ถ้าเลยปีติไปก็จะเป็นสุขแล้วก็ทรงฌานไปเลย ซึ่งมักจะมาติดกันจนบางทีแยกไม่ทัน แต่ถ้าเราไปบังคับให้หยุดเพราะกลัวอายเขา หรือว่าอะไรก็ตาม มาเมื่อไรก็จะอยู่แค่นั้น แล้วก็ก้าวข้ามไม่ได้สักที กำลังสมาธิจะไม่สูงไปกว่านั้น
ถาม : เวลาสวดถึงช่วงที่ว่า “ชราปิ ทุกขา” น้ำตาไหลสวดต่อไม่ได้เลย ?
ตอบ : ปกติต้องคิดตาม ถ้าไม่คิดตามก็ได้ประโยชน์น้อย ถ้าคิดตามเป็นวิปัสสนา แต่ถ้าสวดอย่างเดียวเป็นสมถกรรมฐาน ลักษณะนั้นแหละที่เขาเรียกว่าปีติในธรรม เพราะเห็นจริง ๆ ว่า ที่แท้ร่างกายเราก้าวไปหาความแก่อยู่ตลอดเวลา บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วเราก็หลงไปยึดไปเกาะมาชาติแล้วชาติเล่า
ถาม : การคิดตามเป็นวิปัสสนาหรือครับ ?
ตอบ : ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านสอนให้คิดตามอยู่แล้ว ถ้าคิดตามแล้วเห็นจริงก็เป็นวิปัสสนา โดยเฉพาะเนื้อหาที่ตรงกับการรู้แจ้งเกี่ยวกับร่างกาย
ถาม : เศรษฐกิจปีหน้าจะเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : แย่กว่าปีนี้เยอะ..!
ถาม : จะเป็นลม..!!?
ตอบ : เป็นทำไม ? ก็พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เศรษฐกิจไม่ดีเราก็ฉวยโอกาสปฏิบัติธรรม ไม่ต้องลงทุนให้ขาดทุน ก่อนหน้านี้มัวแต่ทำธุรกิจอยู่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น..พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ในเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีเราก็ปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือภาวนาคาถาเงินล้านเยอะ ๆ เดี๋ยวคนอื่นไปไม่ได้เราก็ไปได้เอง
ถาม : ตอนนี้ก็ท่องอยู่ค่ะ ภาวนาประคำสองเที่ยว ?
ตอบ : พยายามให้รู้สึกว่าให้เรามีหน้าที่ภาวนา ตัดความอยากรวยทิ้งไป เรามีหน้าที่ภาวนา ถ้าหากว่าไปอยากรวย จะตัดสิ่งที่ควรจะได้ไปเยอะ
:4672615:เก็บตกเดือนพฤศจิกายน ปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.