View Full Version : อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๔
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23825&stc=1&d=1446026521
ท่านไพฑูรย์นั้นเรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยโน้น
วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖
ตื่นขึ้นมาแบบสบายตัวจริง ๆ ดูนาฬิกาแล้วตรงกับตีสองครึ่ง นี่อาตมาปรับตัวได้เร็วขนาดตื่นตามเวลาปกติของเมืองไทยเลยหรือนี่ ? แต่เวลาตอนนี้ของเมืองไทยเท่ากับเจ็ดโมงครึ่งไปแล้ว จัดการส่งใจขึ้นไปกราบพระก่อนตามปกติ กำหนดใจจนอารมณ์ตั้งมั่นดีแล้วจึงคลายออกมา ได้ยินเสียงหลวงพ่อพระครูเรืองกรนเบา ๆ เหมือนเดิม...
อาตมาโดนพระครูญาณฯ และเพื่อน ๆ แหกตาว่าท่านกรนชนิดสะเทือนทั้งวัด เลือกท่านเป็นคู่นอนนี่คิดดีแล้วหรือ ? เล่นเอาคนเคยฟังเสียงกรนชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินมาแล้วอย่างอาตมา รู้สึกว่าตูโดนหลอกลวงชัด ๆ ยังไม่ทันจะตายเลยพฤติกรรมก็ไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว...
ที่อาตมาเลือกท่านเป็นคู่นอน เพราะพระครูปรีชาชิงเลือกท่านไพฑูรย์ คู่หูตั้งแต่สมัยเรียน ป.บส. (ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์) ไปก่อนอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งอาตมาไม่เชื่อว่าจะมีใครกรนได้ขนาดแดง (มงคล ม่วงน้อยเจริญ) อดีตยอดพลขับ ซึ่งกรนขนาดนั้นอาตมายังหลับได้..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23826&stc=1&d=1446059692
มีที่เป่าผมให้ด้วย แต่..พระไม่มีโอกาสใช้..!
เมื่อหลวงพ่อพระครูเรืองกรนแค่ระดับปกติ จึงถือว่าอาตมาแทงหวยถูก คิดว่าระยะ ๑๐ วันนี้คงจะนอนแบบมีความสุขทุกคืน เมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะจึงย่องเข้าห้องน้ำ เปิดไฟทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วทิ้งไฟเปิดคาเอาไว้อย่างนั้น เพื่อเป็นการปลุกหลวงพ่อพระครูเรืองไปในตัว...
เมื่อพอสมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาจึงบอกเบา ๆ ว่า "ขออนุญาตเปิดไฟนะครับหลวงพ่อ.." เมื่อไฟสว่างพรึ่บขึ้นทั้งห้อง "เรืองวัดดาว" ก็หยีตาถามว่า
"กี่โมงแล้วครับ ?"
"ตีสองกว่าเกือบตีสามแล้วครับ"
ท่านลุกไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่อาตมาเก็บถ่านกล้องและที่ชาร์จไฟ แล้วเปิดโน้ตบุ๊กทำงานต่อ จนหลวงพ่อพระครูเรืองกลับมาขึ้นเตียง ก็ถามท่านว่ามีอะไรเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่ ? ท่านบอกว่าไม่เป็นอะไรเลย รู้สึกว่าจะแข็งแรงกว่าอาตมาเสียอีก แล้วท่านถามกลับว่า...
"ผมกรนหรือเปล่าครับ ?"
"นิดหน่อยครับหลวงพ่อ สำหรับผมแล้วถือว่าไม่ได้กรนด้วยซ้ำไป"
"ทุกครั้งที่นอนด้วยกันพรรคพวกเขาว่าผมกรนดังมาก มีหลวงพ่อนี่แหละที่บอกว่าผมไม่ได้กรน"
"แสดงว่าพวกเขายังไม่เคยเจอประเภทกรนจนแผ่นดินไหวอย่างผมนะสิ"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23829&stc=1&d=1446103662
ราคาแพงจนกินไม่ลง
หลวงพ่อพระครูเรืองนอนไปแบบสบายใจ สักพักก็กรนใหม่แต่คงระมัดระวังตัว จึงแค่ระดับ "แมวกรน" เท่านั้น อาตมาพิมพ์เนื้อหาย่อ ๆ ของการเดินทางเอาไว้ เมื่อรู้สึกกระหายน้ำ ก็เอาเหยือกสเตนเลสไปรองน้ำร้อนจากก๊อกในห้องน้ำ กรอกลงท้องไปทั้งเหยือก มาพิมพ์หนังสือต่อได้สักครู่ ก็รู้สึกปวดท้อง จึงต้องเข้าห้องน้ำไปถ่ายหนัก พรวดเดียวหมด..สบายไป..!
กดชักโครกแล้วลงมาล้างก้นที่อ่างด้านล่าง แหม..เขาทำเอาไว้ได้จังหวะพอดีจริง ๆ แถมยังเป็นน้ำอุ่นอีกด้วย ล้างได้แบบสบายใจ เสร็จแล้วทำการสำรวจห้อง เปิดดูตู้เย็นใบเล็ก ข้างในมี น้ำดื่มสองยี่ห้อ ๔ ขวด มีโคคาโคลา ๒ ขวดเล็ก น้ำส้มแฟนตา ๒ ขวดเล็ก น้ำอะไรสีแดง ๆ ไม่รู้ ๒ ขวด ไวน์ ๑ ขวด มีป้ายติดราคาไว้ทั้งภาษาอิตาลีและภาษาอังกฤษ อาตมาขอใช้แค่ภาษาอังกฤษ ดังนี้
...............................................๑. 4 Mineral water (น้ำแร่).................................€ 2,00
...............................................๒. 2 Orangeade (น้ำส้ม)....................................€ 3,00
...............................................๓. 2 Non alcoholic drink (เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์).....€ 3,00
...............................................๔. 2 Coca cola (โค้ก).......................................€ 3,00
...............................................๕. 1 Dry Sparkling wine (ไวน์)..........................€ 5,00
สรุปว่าน้ำส้มกับโค้กขวดกระเปี๊ยกเดียว ราคาขวดละ ๑๒๐ บาท..! ใครมีปัญญาก็เชิญดื่มตามสบาย อาตมาขอแค่ชมเป็นขวัญตาก็พอแล้ว
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23830&stc=1&d=1446148002
ลงมาข้างล่างยังว่างโล่งโจ้งไม่มีใครเลย
รู้สึกว่าในห้องชักอึดอัดขาดอากาศ อาตมาจึงเปิดหน้าต่าง อากาศเย็นสดชื่นไหลเข้ามาทันที ไม่หนาวอย่างที่โดนขู่เอาไว้ กลับมานั่งพิมพ์บันทึกการเดินทางต่อ ได้ไปเป็นหน้าแล้ว ระบบดันล่มเสียนี่..! ยังโชคดีที่ยอมให้กู้กลับมาได้ เสียแค่ตอนท้าย ๆ ไปไม่กี่บรรทัด...
จนตีห้าของที่นี่ หลวงพ่อพระครูเรืองก็ตื่นเข้าห้องน้ำ เสียงดังโครมครามแบบนั้นน่าจะทำฝักบัวหล่นฟาดกับผนัง ห้องข้างเคียงกันคงโดนปลุกแบบไม่ตั้งใจเป็นแน่ การท่องเที่ยวยุโรปมักจะใช้ระบบ ๖ - ๗ - ๘ คือตื่นหกโมงเช้า ทำธุระส่วนตัว เก็บกระเป๋า ลงไปกินอาหารเช้าตอนเจ็ดโมง และรถจะออกตอนแปดโมง อาตมาพิมพ์บันทึกย่อเสร็จ จัดการทำข้อมูลสำรองแล้ว ก็เก็บข้าวของลงกระเป๋า จากนั้นเข้าห้องน้ำไปสรงน้ำ แล้วออกมาแต่งตัวบ้าง...
เนื่องจากเมื่อวานนี้ห่มคลุมแล้วจีวรเลื่อนหลุดบ่อย เช้านี้อาตมาจึงห่มดองแทน แต่ไม่ได้เอาผ้ารัดอกมาด้วย ต้องเอาผ้าพันคอกันหนาวที่พระครูปลัดปิงถวายมารัดอกแทน เสร็จพอดีกับเสียงปลุกจากโทรศัพท์ประจำห้อง อาตมาตัดเสียงโทรศัพท์แล้ว จัดการหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ไปทิ้งไว้หน้าห้อง รอบริกรเขามายกขึ้นรถให้ ส่วนตัวเองหิ้วกระเป๋าใบเล็กกับโน้ตบุ๊ก ชวนหลวงพ่อพระครูเรืองเดินลงบันไดไปชั้นล่าง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23833&stc=1&d=1446202733
จากรูปเดี่ยวแท้ ๆ กลายเป็นรูปหมู่ไปได้
มาถึงห้องโถงข้างล่าง นอกจากพนักงานประจำเคาน์เตอร์กับอาตมา ๒ รูปแล้วไม่มีใครเลย จึงเปิดโน้ตบุ๊กพิมพ์บันทึกต่อ พักใหญ่สมุห์สุมิตรก็ลงมา เล่นถือร่มมาด้วย คงได้บทเรียนจากฝนตกเมื่อวานนี้เป็นแน่ หลวงพ่อพระครูเรืองจึงเดินไปเปิดกระเป๋า เพื่อเอาร่มออกมาบ้าง...
อาตมาเก็บโน้ตบุ๊ก เอากระเป๋าไปวางรวมกันไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบกล้องเดินออกไปข้างนอกโรงแรม อากาศเย็นสดชื่นมาก ประมาณ ๑๔ - ๑๕ องศาเซลเซียส แดดกำลังจัดจ้าเหมือนกับแปดโมงบ้านเรา เดินถ่ายรูปซุ้มดอกไม้ หน้าตาคล้ายดอกมะลิวัลย์ของบ้านเรา เห็นหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ออกมานั่งตากอากาศอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จึงชวนท่านถ่ายรูปคู่กัน...
คนโน้นออกมา คนนี้ออกมา รวมแล้วได้สิบรูปพอดี จึงจับกลุ่มถ่ายรูปหมู่ ทีแรกก็ว่าจะไปโหลดแบ่งกัน ไป ๆ มา ๆ ก็ถ่ายกันจนครบทุกกล้อง เสร็จแล้วอาตมายืดเส้นยืดสายออกกำลังนิดหน่อย เล่นเอาพรรคพวกฮือฮากันมาก ที่อายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังก้มเอามือแปะพื้นได้แบบสบาย ๆ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23835&stc=1&d=1446240286
อาหารเช้าที่เลือกตักได้ตามอัธยาศัย
เดินสูดอากาศจนพอใจแล้วก็กลับเข้ามาข้างใน เห็นท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐกำลังดูภาพนาฬิกาโรเล็กซ์จากอินเตอร์เน็ต ถามว่าท่านอาจารย์จะซื้อหรือ ? ท่านหัวหน้าภาควิชาทำท่าเขิน ๆ บอกว่า "เป็นใบสั่งจากเมืองไทยครับ" พระครูด็อกเตอร์จึงสอนวิธีการถ่ายรูปจากอินเตอร์เน็ตลงในเครื่องของตนเอง เพื่อเก็บตัวอย่างไว้ดูตอนไม่มี Wi-Fi...
ผู้จัดการห้องอาหารมาเชิญให้เข้าไปฉันเช้าได้ อาตมาเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก หยิบขนมปังกะโหลก ๑ ชิ้น ครัวซองก์ ๑ ชิ้น ขนมอบไส้ครีม ๑ ชิ้น หมูแฮมบางเป็นกระดาษ ๓ ชิ้น ไข่คน (Omelet) ๑ ทัพพี มานั่งฉันที่โต๊ะซึ่งทางโรงแรมกันไว้ให้กับคณะของเรา คนอื่นไปกดกาแฟจนกลิ่นหอมตลบไปทั้งห้องอาหาร คุณโอ๋เอาซอสมะเขือเทศมาให้ ๑ ซอง อาตมาจึงฉีกบีบใส่หมูแฮม แล้วกวาดลงท้องหมดเรียบในไม่กี่นาที...
ลุกไปตักผลไม้รวมมา ๑ ถ้วยเล็ก ฉันแล้วอาจารย์ตู๋กำลังบริการเพื่อนพระอื่น ๆ อยู่ จึงขอผลไม้รวมอีกถ้วย เสร็จแล้วออกมานั่งรออยู่ด้านนอก คุณโอเล่ถามว่าอาการไข้เป็นอย่างไรบ้าง ? ตอบไปว่าดีเหมือนปกติ แต่ตอนนี้อิ่มแล้วอยากนอนว่ะ..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23836&stc=1&d=1446285596
ปลูกกุหลาบล้อมเสาไฟเอาไว้ทุกต้น
กลับขึ้นไปเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมาส่งบัตรกุญแจให้กับหลวงพ่อพระครูเรือง เผื่อว่าท่านจะไปเข้าห้องน้ำบ้าง แล้วอาตมาสะพายกระเป๋าโน้ตบุ๊ก เดินมาบอกคุณโอ๋กับคุณโอเล่ว่า จะไปรอที่ลานหน้าโรงแรม แล้วเดินออกไปก่อนคนเดียว เหตุที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อเป็นการเร่งเพื่อน ๆ ไปในตัว ไม่อย่างนั้นแล้วหลายท่านอาจจะละเลียดกาแฟหลังอาหารเพลินจนลืมเวลาก็เป็นได้...
ทางลงจากโรงแรมเป็นทางลาดสำหรับคนพิการนำรถเข็นขึ้นไปได้ สุดทางเลี้ยวซ้ายประมาณสามก้าวก็เป็นทางรถยนต์ อาตมามุ่งไปทางขวาที่เป็นลานปูหินแกรนิต ซึ่งคงตั้งใจไว้ให้ลูกค้าของโรงแรมนั่งหรือนอนอาบแดด มีอ่างน้ำพุอยู่ด้วยแต่ไม่ได้เปิดให้น้ำพุ่งขึ้นมา ตามโคนเสาไฟฟ้ามีต้นกุหลาบปลูกล้อมอยู่ กำลังออกดอกสีสวยสะพรั่ง อาตมาควักกล้องออกมาถ่ายรูปไปเรื่อย จนมาถึงช่วงถนนที่เป็นสามแยก จึงเดินข้ามแยกไปถ่ายรูปต้นเมเปิลไว้ด้วย...
กลับมาฝั่งเดิมก็เห็นอาจารย์ตู๋หอบหิ้วเสบียงกรังพะรุงพะรังมาแต่ไกล "มีอะไรให้ช่วยถือบ้างไหม ?" หญิงใหญ่ที่กลายเป็น "รถเข็น" ประจำคณะยิ้มกว้างขวางแบบอารมณ์ดี "ยังไหวค่ะ..พระอาจารย์" อาจารย์ตู๋เป็นอาจารย์ของ มจร. ห้องเรียนวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม มาเรียนปริญญาเอกรุ่นเดียวกับพวกอาตมา แต่เป็นสาขารัฐประศาสนศาสตร์ สนิทกับบรรดาพระนิสิตที่เรียนร่วมรุ่นปริญญาโทจากห้องเรียนหลวงพ่อสดฯ จึงตามมาถวายการรับใช้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23839&stc=1&d=1446328380
รูปหมู่ที่ครบถ้วนที่สุดเท่าที่ถ่ายมา
พรรคพวกเดินตามกันมาเป็นแถว ไม่มีใครกล่าวว่าอาตมาเร่งรัด เพราะสายแล้วต่างก็อยากเดินทางต่อกันทั้งนั้น ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเห็นว่ามากันพร้อมเพรียงแล้ว จึงขอถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก นับเป็นรูปหมู่ที่มีพระร่วมคณะครบถ้วนจริง ๆ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐถ่ายภาพเคลื่อนไหว ขณะที่อาจารย์ตู๋ คุณโอ๋ และคุณโอเล่ รับกล้องไปคนละเกือบสิบตัวถ่ายกันมือเป็นระวิง กว่าจะได้ครบทุกกล้องก็เล่นเอาพวกเราที่หันหน้าหาดวงตะวัน ตากแดดกันจนแทบจะหน้าไหม้...
เสร็จแล้วแยกย้ายกันไปหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย อาตมาเดินไปทางร้านขายของที่ระลึกซึ่งยังไม่เปิดจำหน่ายสินค้า เห็นมีพวกพวงกุญแจ โปสการ์ด และของกระจุกกระจิกเต็มไปหมด ช่วงข้างร้านเป็นสนามหญ้า มีนกเอี้ยงดำฝรั่ง (Blackbird) กระโดดเหย็ง ๆ หาแมลงเป็นอาหาร แล้วก็หาได้เสียด้วย อาตมาเดินเข้าไปถ่ายรูปจนใกล้ก็ไม่หนี ในยุโรปมีกฎหมายป้องกันการทารุณสัตว์ ทำให้สัตว์ต่าง ๆ ไม่กลัวคน เพราะไม่มีใครรังแกมานานแล้ว...
"พระครูวิลาศฯ รถมาแล้วค่ะ" เสียงหญิงใหญ่ที่แปลงร่างจากรถเข็นเป็นโทรโข่งได้อีกอย่างหนึ่งตะโกนบอกมา อาตมารีบเดินกลับมาขึ้นรถ เจอหน้านายสันโดษอาตมาก็ทักว่า "บองชูร์โน่ (buongiorno)" อีกฝ่ายเลิกคิ้วเหมือนสงสัย แต่ก็ตอบกลับมาแต่โดยดี เมื่อรู้ว่าคุณเป็นอิตาเลียนแล้วจะให้ไป "Good Morning" อีกก็คงไม่เข้าท่า เพราะทุกเชื้อชาติมักรู้สึกดีเมื่อได้ยินชาวต่างชาติพยายามพูดภาษาของตน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23840&stc=1&d=1446372693
ถนนหกเลนผ่านทุ่งนาป่าเขาไปเรื่อย
"ยอดเยี่ยมไปเลยครับพระอาจารย์...อิตาลีเป็นชนชาติเก่าแก่ สืบเชื้อสายมาจากจักรวรรดิโรมันที่ยิ่งใหญ่ มีความภาคภูมิใจในเชื้อชาติของตนมาก ไม่ค่อยยอมใช้ภาษาชาติอื่น ถ้าเราใช้ภาษาของเขา จะได้รับความเป็นมิตรมากเป็นพิเศษครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่อที่นั่งติดหลังนายสันโดษ ได้ยินอาตมาทักทายแบบนั้น ก็รีบชมเชยเป็นการใหญ่...
แต่อาตมาได้ภาษาอิตาเลียนแค่ไม่กี่คำ ไม่พอขอข้าวกินเสียด้วยซ้ำไป พลขับนำรถวิ่งออกนอกเมือง รถราที่วิ่งตามกันไปมีไม่น้อยทีเดียว ที่สวนมาก็มากพอกัน สังเกตว่าแสงแดดมาทางขวามือซึ่งเป็นที่นั่งของท่านอาจารย์คณบดี แปลว่าเราขึ้นเหนือไปตลอด ถนนช่วงนี้ไปสามเลนมาสามเลน บรรยากาศรอบข้างเป็นทุ่งหญ้าสลับเนินเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ บางช่วงก็ผุดเป็น "เขาหน่อ" ที่ไม่สูงใหญ่นัก ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ส่งไมโครโฟนให้หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ นำทำวัตรเช้า หลวงพ่อท่านส่งต่อให้พระครูด็อกเตอร์นำแทน...
เสียงสวดมนต์กระหึ่มขึ้นบนรถ นายสันโดษคงชินกับกิจวัตรของพระไทยแล้ว จึงขับรถไปแบบมีสมาธิมาก เดี๋ยวก็วิ่งเข้าอุโมงค์ เดี๋ยวก็โผล่ออกมากลางแจ้ง เขารักษาธรรมชาติได้ดีมาก ใช้วิธีเจาะอุโมงค์ไม่ใหญ่ไปกว่ารถเท่าไรนัก มุดผ่านภูเขาไปโดยไม่ต้องระเบิดให้แหลกเหมือนกับทางบ้านเรา บรรดาโอปปาติกะหลายรายยังมึนงงกับ "แสงแห่งความดี" ที่สว่างจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ยืนทำอะไรไม่ถูก แต่พอเห็น "ท่านผู้นำ" ที่กำกับมาด้วย ก็ก้มหัวให้เป็นการคารวะ ท่านที่อยู่ในภพสูงขึ้นมาอย่างภุมมเทวดา รุกขเทวดา มีความคุ้นเคยก็ยกมือโมทนากันเป็นแถว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23843&stc=1&d=1446413705
"รถเมล์รับจ้าง...ประจำทางสายเพชรบุรี ผ่านองค์ปฐมเจดีย์ สีทองมองสูงตระหง่าน...ฯลฯ"
แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลเสร็จ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐก็ขอไมโครโฟนคืน อาตมาที่เรียนกับท่านมาตั้งแต่ปริญญาตรี ทราบดีว่าท่านหัวหน้าภาควิชาร้องเพลงเพราะระดับนักร้องอาชีพ จึงบอกกับท่านว่าขอเพลง "นิราศรักอิตาลี" หน่อย ท่านหันไปขอน้ำดื่มจากคุณโอ๋ มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกว่า "หมดแล้วครับ..ผมตั้งใจว่าจะไปซื้อที่เมืองปีซ่าโน่น" อาตมาจึงส่งขวดน้ำของตนเอง ที่บรรจุจากก๊อกน้ำในที่พักตุนไว้หลังเบาะ ๓ ขวดให้ท่านไปหนึ่งขวด...
"รถเมล์รับจ้าง...ประจำทางสายเพชรบุรี ผ่านองค์ปฐมเจดีย์ สีทองมองสูงตระหง่าน
เมื่อเดือนสิบสอง ทุกปีต้องมีงานออกร้าน กราบพระร่วงอธิษฐาน ได้พบนงคราญรักร่วมใจ...ฯลฯ"
เมื่อได้น้ำลงไปทำให้ชุ่มคอแล้ว ท่านก็ครวญเพลงด้วยเสียงที่ไม่แพ้ "ไพรวัลย์ ลูกเพชร" เจ้าของเพลง แต่ดันกลายเป็น "นิราศรักนครปฐม" ไปเสียนี่ เพราะในความจริงแล้วไม่มีเพลง "นิราศรักอิตาลี" ตามที่อาตมาขอสักหน่อย ท่านจึงเอาเพลงชื่อคล้าย ๆ กันไปก่อน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23844&stc=1&d=1446457244
จากร้องเพลงก็มาเล็กเชอร์ประวัติเจ้าของเสียงเพลง
"ไพรวัลย์ ลูกเพชร มีชื่อจริงว่า สมนึก นิลเขียว เป็นคนอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี พ่อแม่นำไปฝากให้เล่นลิเกกับคณะลิเกเมืองเพชร แต่ไพรวัลย์ไม่ชอบ จึงไปสมัครวงดนตรีบางกอก ช่ะ ช่ะ ช่า ของครูสมพงษ์ วงศ์รักไทย เมื่อวงได้ยุบลงจึงไปอยู่กับวงดนตรีของครูสุรพล สมบัติเจริญ ต่อมาได้ลาออกจากวงของครูสุรพลมาตั้งวงดนตรีเอง...
ไพรวัลย์ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากเพลง "เบ้าหลอมดวงใจ" ของครูไพบูลย์ บุตรขัน รางวัลเสาอากาศทองคำพระราชทานจากเพลง "ไอ้หนุ่มตังเก" ของครูชลธี ธารทอง และได้รับรางวัลพระราชทานในงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทยจากเพลง "มนต์รักลูกทุ่ง" ของครูไพบูลย์ บุตรขัน และเพลง "ไอ้หนุ่มตังเก" ของครูชลธี ธารทอง..."
เมื่อจบเพลงท่ามกลางเสียงปรบมือสนั่น "พิเชฐ ลูกสุโขทัย" ก็บรรยายประวัติของไพรวัลย์ ลูกเพชร ต่อด้วยความเคยชินของผู้เป็นอาจารย์ มหานพพลเดินมาด้านหน้ารถ มอบธนบัตรใบละ ๑๐ ยูโรให้ท่านอาจารย์เป็นรางวัล ๑ ใบ พร้อมกับขอให้ช่วยแหล่ "สี่กษัตริย์เดินดง" อีกเพลง พรรคพวกส่งเสียงเชียร์กันกระหึ่มไปทั้งรถ นายสันโดษคงไม่เคยเห็นลูกทัวร์คณะไหนเป็นแบบนี้ เมื่อกี้ยังสวดมนต์กันอยู่ดี ๆ ตอนนี้ปล่อยให้กิเลสครอบงำซะแล้ว จึงได้แต่ทำตาปริบ ๆ ขับรถไปเรื่อย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23847&stc=1&d=1446494260
"...ฯลฯ...อุ้มแก้วกัณหามาอิตาลี...ฯลฯ..."
.........................................................."จะกล่าวถึงองค์สี่...กษัตรา ออกจากพาราเข้าเดินดงงงงงงงงงงง
............................................................เอย...อื้อฮึอือ....อื้อฮึอือ....อื้อฮึอือ....เอย...
........................................................พระเวสสันดรสุริยวงศ์ ท้าวเธออุ้มองค์...พ่อชาลี
........................................................โฉมนางมัทรีแม่กัลยา อุ้มแก้วกัณหามาอิตาลี
........................................................เอ้า...ตามเสด็จ ....เออ...นึก....นึก....นึก....เอย...
............................................................ท่านคณบดี บินจรลี...มาจากไทย...ฯลฯ"
"ไม่มีอันตรายครับ ผมกับบริวารคอยป้องกันให้เต็มที่อยู่แล้ว" เสียง "ท่านผู้นำ" ดังมาเข้าหู เมื่อเห็นอาตมาตั้งท่าทรงกำลังใจเต็มที่ ประมาทได้ที่ไหนละพ่อคุณ กำลังเพลิน ๆ อยู่เกิดมีอุบัติเหตุตูมตามขึ้นมา คงได้ไปนั่งแก้ตัวกันต่อหน้าพระยายมกันทั้งคณะ ถ้าโดนท่านขอให้ช่วย "อุ้มแก้วกัณหามาอเวจี" มีหวังได้ซวยกันไปเป็นกัป..!
แหล่สี่กษัตริย์เดินดงภาคพิเศษมาจบลงที่ด่านเก็บเงินอัตโนมัติพอดี ท่ามกลางเสียงปรบมือดังสนั่น ทำเอา "ท่านผู้นำ" ทำตาปริบ ๆ ไปด้วย อาตมาชักเสียวว่าถ้าเกิดท่านทนไม่ได้ "ลอยแพ" พวกเราไปเสียก่อน งานนี้จะได้รอดกลับเมืองไทยครบสามสิบสองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? นิมิตก่อนมานี่ขนาดเครื่องบินตกทะเลเชียวนะ ถึงอาตมาจะรอดก็เถอะ แต่หาศพเพื่อนไม่เจอสักรายเดียว..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23852&stc=1&d=1447103373
หอระฆังชำรุดที่โด่งดังไปทั่วโลก
"เรื่องของไพรวัลย์ ลูกเพชร นั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบลิเกก็ตาม แต่ท้ายสุดก็ได้เอาวิชาจากลิเกมาประยุกต์เข้ากับการร้องเพลง จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน โด่งดังอยู่ในวงการชนิดที่หาคนเทียบได้ยาก เรียกว่าได้ดีจากสิ่งที่ตนไม่ชอบ เหมือนกับหลวงพี่ของผมทุกท่านนั่นแหละครับ ไม่มีใครชอบ QE สักคน แต่เราก็ต้องสอบกันเพื่อยืนยันความรู้ที่เรียนมา พอจบไปแล้วใครจะรู้ได้ว่า สิ่งที่เราไม่ชอบนั้น อาจจะต้องนำไปใช้มากกว่าที่คิดก็ได้..." จาก "พิเชฐ ลูกสุโขทัย" แปลงกายเป็นอาจารย์ผู้เข้มงวดอีกแล้วครับท่าน...
นายสันโดษนำรถวิ่งไปเรื่อย เดี๋ยวก็วนขวา เดี๋ยวก็เลี้ยวซ้าย ขึ้นเขาลงห้วย บางทีก็เข้าอุโมงค์มืดตื๋อ สักพักก็ออกมาเจอแสงแดดแผดจ้า ถ้าให้อาตมาขับเองมีหวังหลงทางเป็นแน่ จนมาเปลี่ยนเป็นถนนแคบ ๆ มีรถวิ่งสวนเลนมาและเปิดไฟทุกคันเพื่อความปลอดภัย นาน ๆ จะมีมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานวิ่งเลาะข้างทางทั้งขาไปและขามา แล้วถนนค่อย ๆ ไต่สูงขึ้นเขาไปเรื่อย บนเนินเขาข้างทางบางช่วง มีดอกฝิ่น (Poppy) สีสันสดใสอยู่เป็นกลุ่ม ๆ จนรถมาเคลื่อนตัวได้ช้า แล้วมีหยุดติดเป็นบางจังหวะ...
"ข้างหน้าของเราคือตัวเมืองปีซ่า (Pisa) นะครับ มีสิ่งสำคัญที่โด่งดังไปทั่วโลกคือหอเอนปีซ่า (La Torre di Pisa) หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า The Leaning Tower of Pisa ตั้งอยู่ในจัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหอระฆังของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เมื่อ ค.ศ. ๑๑๗๓ เสร็จเรียบร้อยเมื่อ ค.ศ. ๑๓๕๐...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23866&stc=1&d=1447585750
บ้านแถวนี้มีแต่หลังคาสีอิฐ
หอเอนปีซ่าสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นรูปทรงกระบอกมี ๘ ชั้น สูง ๑๘๓.๓ ฟุต ความจริงเป็นหอที่ชำรุด เอียงเพราะดินอ่อน มีความพยายามที่จะบูรณะให้ตรงหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งนักวิศวกรรมไปคำนวณว่า ถึงจะเอียงก็มีความสมดุล จะไม่เอนไปกว่านี้แล้ว จึงกลายเป็นแหล่งเที่ยวสำคัญที่ใคร ๆ ก็อยากจะมาดูให้เห็นด้วยตาของตัวเอง" คุณโอ๋ขอไมโครโฟนไปบรรยาย เมื่อ "พิเชฐ ลูกสุโขทัย" ขู่ว่า ถ้าไม่บรรยายก็จะร้องอีก ๕ เพลงรวด..!
ถึงจะเคลื่อนตัวได้ช้าแต่รถก็ยังคลานตามกันไปเรื่อย ๆ ข้างทางหลายช่วงเป็นเนินเขา จึงมีการก่อขอบคอนกรีตกันดินถล่มเอาไว้ด้วย ผ่านถนนที่มีต้นเมเปิลใหญ่ ร่มรื่นอยู่ตลอดสองข้างทาง คุณโอ๋ก็บอกให้ดูทางขวามือ เห็นหอเอนปีซ่าตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ ๆ กับโดมขนาดใหญ่ หลายท่านรวมทั้งอาตมาพยายามจะถ่ายรูป แต่ด้วยความที่อยู่ห่างจนเกินไปจึงออกมาไม่ได้เรื่อง...
เริ่มมีบ้านเรือนประปราย ส่วนมากหลังคาเป็นสีส้มแบบอิฐ อาตมาถามคุณโอ๋ว่า "ทำไมบ้านแถวนี้หลังคาเป็นแต่สีส้ม ?" คุณโอ๋บอกว่า "ไม่ทราบเหมือนกันครับ ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นเพราะทำให้รู้สึกอบอุ่นเวลาหน้าหนาว เพราะสีคล้ายคลึงกับแสงแดด" "ท่านผู้นำ" หัวเราะพลางบอกว่า "ขอเดาบ้างว่า สีส้มเป็นสีที่เห็นแล้วรู้สึกปลอดภัย แบบเดียวกับพระห่มจีวรแล้วสัตว์ไม่ค่อยระแวง พอเห็นคนนุ่งผ้าสีอื่นก็รีบวิ่งหนี" ดูท่าคงต้อง "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย" จะดีกว่า...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23867&stc=1&d=1447617976
เผลอเมื่อไรก็เดินเหมือนออกบิณฑบาต..!
"ชาวเมืองปีซ่ามีชื่อเสียงในการทำเครื่องแก้วมากครับ โดยเฉพาะเทคนิคการเป่าแก้วที่ยังไม่มีใครเสมอเหมือนมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้เพลกว่าแล้วนะครับ ผมจะนำพระอาจารย์ทุกท่านไปฉันเพลก่อน เสร็จแล้วค่อยมาชมหอเอนปีซ่ากัน" มัคคุเทศก์รูปหล่อบรรยายแล้วตะโกนบอกนายสันโดษว่า "Ristorante, please." ไม่อย่างนั้นแกคงจะพาไปชมหอเอนเสียก่อนเป็นแน่แท้ เพราะเล่นวิ่งแน่วเข้าเมืองไปเลย...
เมื่อได้รับคำสั่งนายสันโดษนำรถเลี้ยวซ้ายเหมือนกับจะวิ่งออกไปนอกเมือง เพราะแถวที่รถวิ่งผ่านไปมีแต่ดงหญ้าขนสูงท่วมหัว พอพ้นโค้งออกมาจึงเห็นตัวเมืองที่มีอาคารเตี้ย ๆ ซึ่งอย่างเก่งก็สูงแค่ ๒ - ๓ ชั้น แกเอารถวิ่งเข้าไปจอดในสถานีบริการน้ำมันยี่ห้อ Agip ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปสิงโตหรือหมาหกขาก็ไม่รู้ กำลังพ่นไฟอยู่ มีป้ายบอกราคาน้ำมันดีเซล ๑.๖๐๙ ยูโร ส่วนน้ำมันเบนซินราคา ๑.๗๔๖ ยูโร คิดเป็นเงินไทยเกือบจะลิตรละ ๗๐ บาท..!
คุณโอ๋ลงจากรถก่อน แล้วพาเดินข้ามถนนไปทางขวามือ พวกเราเดินตามไปเป็นแถวเหมือนกับตอนเดินบิณฑบาต มีคุณโอเล่ที่ปิดท้ายแถว หอบสารพัดเครื่องปรุงตามหลังท่านอาจารย์ ดร.วันชัยมาติด ๆ มองไปข้างหน้าเห็นภัตตาคารจีนเล็กขนาด ๒ คูหา มีป้ายสีแดงติดอยู่ด้านหน้าของชั้นสอง อักษรภาษาอังกฤษสีเหลืองตัวใหญ่เขียนว่า PECHINO ส่วนภาษาจีนน่าจะอ่านได้ว่า "ฝุกไหลเหลา (วาสนามาสู่)" ซึ่งไม่รับรองว่าจะอ่านได้ถูก เพราะคืนวิชาท่านอาจารย์ไปนานแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23872&stc=1&d=1447668088
เจอเข้าไปโต๊ะละ ๑๑ รูป เบียดกันแทบตาย..!
"หนีห่าว" มัคคุเทศก์รูปหล่อส่งภาษาจีนนำหน้าไปก่อน มีชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นเจ้าของภัตตาคารเดินออกมาต้อนรับ พาพวกเราไปนั่งที่โต๊ะกลมขนาดใหญ่ ซึ่งมีถ้วยจานชามช้อนจัดเอาไว้โต๊ะละ ๑๑ ที่นั่ง อาตมาเหลือบไปเห็นป้ายห้องน้ำจึงรีบตรงเข้าไป หลายท่านตาไวและคงจะปวดฉี่เหมือนกัน เดินตามมาเป็นพรวน ห้องน้ำทั้งสามห้องจึงโดนยึดหมดเกลี้ยง ใครมาช้าก็ยืนรอคิวไปก่อน...
อาตมาออกมาล้างมือแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ ๒ คุณโอเล่กับอาจารย์ตู๋เอาหมูสวรรค์ใส่จานมาถวายก่อน บอกว่าเป็นของหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ เนื่องจากเป็นเวลา ๑๑.๔๐ น.เข้าไปแล้ว ทุกรูปจึงช่วยกันแสดงปาฏิหาริย์ บันดาลให้หมูสวรรค์หายวับไปกับตา แม้ว่าจะมารอบที่สองก็ยังคงหายวับไปทันทีเช่นกัน คุณโอ๋กับคุณโอเล่เอาซีอิ๊วพริกขี้หนูมาประเคน ตามมาด้วยน้ำพริกตาแดง และน้ำพริกนรกแมงดา คราวนี้ทุกรูปแสดงปาฏิหาริย์ไม่ออก ได้แต่นั่งมองตาละห้อยไปก่อน...
"Excuse me" อาหมวยที่ยกจานเดินแทรกเข้ามาร้องบอก หลวงพ่อพระครูเลิศต้องรีบเบี่ยงตัวให้เล็กที่สุด เพราะแม่เจ้าประคุณเล่นชะโงกมาวางจาน จนหน้าอกไซส์อนุบาลเกือบจะทาบลงบนไหล่ของท่าน ถ้าเป็นขนาดมหาวิทยาลัยท่านอาจจะไม่หลบก็ได้..! จานแรกนี้เป็นกะหล่ำปลีผัดน้ำมัน ซึ่งถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือจริง ๆ ไม่มีใครกล้าทำหรอก เพราะยากนักที่จะผัดให้อร่อยได้ พวกเรานั่งกลืนน้ำลายรอจนอาเฮียยกโถข้าวสวยมาถึง อาตมารีบรับก่อนที่แกจะวางลงบนโต๊ะ จัดการตักใส่ถ้วยแจกเพื่อน ๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อเกินช่วงแขนเอื้อมถึง ก็ส่งต่อให้กับองปลัด ที่ยื่นต่อไปให้กับใบฎีกาวรัญญู...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23873&stc=1&d=1447706056
มาแต่ของเขาของเราไม่มา...ตาละลา..! (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
อาตมาตักผัดกะหล่ำปลีเททับลงบนข้าวสวย โรยหน้าด้วยน้ำพริกตาแดง แล้วหยิบตะเกียบมาพุ้ยข้าวเข้าปาก เนื้อไก่น้ำแดงใส่มันเทศเพิ่งมาถึงข้าวก็หมดไปแล้วหนึ่งถ้วย หลวงพ่อพระครูชุบที่นั่งกลางระหว่างหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ กับพระครูปรีชา ส่งโถข้าวข้ามทวีปมาให้เติม เพิ่งคีบเนื้อไก่ใส่ถ้วย ปลาบู่น้ำแดงก็ตามมา ต่อด้วยแกงจืดทะเลที่อาตมาไม่กล้าแตะ กลัวว่าถ้าท้องเสียแล้วจะทำให้งานกร่อย ข้าวถ้วยที่สองหมดไปขณะที่เพื่อน ๆ หลายรูปซึ่งใช้ตะเกียบไม่เป็น ใช้ช้อนตักจากถ้วยก็ไม่ถนัด เก้ ๆ กัง ๆ จนพระครูกุ้ยไฮ้บอกว่า "ถ้าไม่ถนัดก็เปิบด้วยมือไปเลย..!"
อาตมาไม่สนใจว่าจะมีใครใช้วิชา "มังกรห้าเล็บ" หรือเปล่า ? ไก่ชุบแป้งทอดกับเป็ดย่างไฟแดงมาช่วยให้ข้าวถ้วยที่สามหมดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เต็มโควตาเฉพาะตัวพอดี เห็นอีกโต๊ะมีกุ้งเผาส่งไปจานใหญ่ อาตมาขี้เกียจมือเปื้อนจากการแกะกุ้ง จึงถือขวดน้ำเปล่าที่เหน็บกระเป๋าอังสะมาด้วย เข้าห้องน้ำไปเปิดน้ำก๊อกใส่ขวดจนเต็ม กลับออกมาก็ยังไม่เห็นว่าโต๊ะของเราจะมีกุ้งเผา ทางท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย อาจารย์ตู๋ คุณโอ๋ และคุณโอเล่ ได้กุ้งเผาหรือเปล่าก็มองไม่เห็น เพราะไปหลบอยู่อีกมุมหนึ่งที่บังสายตาพอดี...
อาหมวยไซส์เล็กเอาแอปเปิลที่ปอกหั่นแล้วมาส่ง ซึ่งหมดไปในพริบตา อีกสักครู่คุณโอ๋ก็เอาสตอเบอรี่มาถวายอีกจานก็หมดไปทันทีเช่นกัน พระครูโจหอบเชอรี่ที่ซื้อมาในราคาปอนด์ละ ๖ ยูโรมาแบ่งให้ก็หมดเกลี้ยงอีก อะไรจะกินล้างกินผลาญได้ขนาดนั้น พอดีมีลูกค้าคนจีนเข้ามาชุดใหญ่ ส่งเสียงล้งเล้งไปหมด น่าจะจองโต๊ะเอาไว้แล้ว เพราะเขาพาไปนั่งทันที และเริ่มเสิร์ฟอาหารจานแรกเลย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23876&stc=1&d=1447748179
รถของเราอยู่ข้างหลังโน่น..!
อาตมารีบเผ่นไปเข้าห้องน้ำก่อนที่จะโดนแย่งจนไม่มีโอกาสเข้า เอาผ้าเย็นที่พกมาจากเมืองไทยไปซักเอากลิ่นหอมออกก่อน แล้วค่อยเช็ดหน้าเช็ดตาให้สดชื่น เมื่อเดินผ่านโต๊ะแรกเห็นว่ายังมีสตอเบอรี่เหลืออยู่ ๓ - ๔ ลูก จึงกวาดมาใส่ปากตัวเองจนหมด "เฮ้ย..เฮ้ย..มีปล้นด้วยเว้ย..!" พระครูญาณฯ ร้องเอะอะ แต่อาตมาเดินออกจากร้านไปแล้ว หาที่ถ่ายรูปแถวบริเวณนั้น องปลัด พระครูปรีชา และท่านไพฑูรย์ก็เดินตามออกมาด้วย จึงเดินไปรวมพลอยู่ข้างรถที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้คันหนึ่ง เพื่อขอแบ่งปันร่มเงาของต้นไม้บ้าง...
"Hey..! Get out..!" เสียงแผดสนั่นมาจากห้องแถวตรงกับที่จอดรถ อาตมาหันไปเจอชายชราอ้วนล่ำหน้าแดงแจ๋โบกมือตะโกนไล่ พวกเรายืนเฉยไม่สนใจ ยืนห่างจากบ้านเอ็งขนาดนี้ยังจะมาไล่อีก เมื่อเห็นว่าพวกเราไม่สนใจ ตาเฒ่าก็เปิดประตูเดินกวัดแกว่งไม้เท้าออกมาแบบประสงค์ร้าย ในเมื่อเจ้าที่เฮี้ยนถึงขนาดนี้ พวกเราจึงต้องสละร่มไม้ไปยืนตากแดดที่หน้าภัตตาคารแทน พอดีท่านอาจารย์คณบดีกับพระครูกุ้ยไฮ้เดินออกมา เมื่อเห็นร่มไม้ก็ตรงรี่เข้าไป พวกเราต้องตะโกนห้ามกันเสียงหลง เพราะตาเฒ่ายังถือไม้เท้ายืนตาเขียวปัดอยู่ที่นั่น..!
เจอคนหวงที่แบบนี้ทำเอาทุกคนเซ็ง มาทราบทีหลังว่าคนยุโรปจำนวนมากเกลียดคนเอเชียและแอฟริกาที่เข้ามาแย่งงานทำ ถึงขนาดรวมตัวกันทำร้ายเอาดื้อ ๆ ก็มี อาตมาเดินย้อนกลับไปทางเดิมก่อน ถ่ายรูปรถราและสภาพบ้านเมืองไปด้วย มาถึงปั๊มน้ำมันหมาหกขา (ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่เรียกแบบนี้ง่ายดี) เห็นนายสันโดษยืนเฝ้ารถที่เปิดประตูค้างอยู่ ไม่รู้ว่าได้กินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง ? ถ้าเป็นเมืองไทยทางร้านอาหารจะจัดอาหารให้พลขับกินฟรี ในฐานะที่เอาลูกค้ามาเข้าร้าน หลายแห่งยังแอบยัดเงินให้ด้วยซ้ำไป แต่ที่นี่ดูแล้วน่าจะเป็นระบบ Body who...Body it....
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23881&stc=1&d=1447798735
บรรดา "คุณเฉาก๊วย" มาเป็นกองทัพเลย..!
อาตมาเดินขึ้นไปบนรถ พรรคพวกส่วนใหญ่ก็เลยตามมาขึ้นด้วย นายสันโดษจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศให้ทันที เมื่อนับว่ามากันครบคนแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็สั่งให้ออกรถได้ วิ่งย้อนกลับไปเส้นทางเดิม เจอรถนิสสัน ๕ ประตูจอดติดไฟแดงอยู่คันหนึ่ง อาตมารีบถ่ายรูปไว้ถือว่าเป็นบุญตา มัคคุเทศก์ของเราเห็นเข้า จึงบรรยายว่า "ญี่ปุ่นพยายามส่งรถยนต์มาตีตลาดยุโรป แต่ทำอย่างไรก็ไม่รุ่ง เกิดจากสองสาเหตุด้วยกันคือ ๑. ความชาตินิยมของชาวยุโรป ๒. มาตรฐานและคุณภาพของรถยุโรปดีกว่าแต่ขายในราคาเท่ากัน ญี่ปุ่นทำตลาดเท่าไรก็สู้เจ้าถิ่นไม่ได้ ดังนั้น..นาน ๆ เราถึงได้เห็นรถญี่ปุ่นแทรกมาสักคันแบบนี้แหละครับ"...
มาถึงสามแยกไฟแดงนายสันโดษก็พารถเลี้ยวขวา ไปเจอกำแพงใหญ่เหมือนกำแพงเมืองโบราณ แต่..มันทำถนนภาษาอะไรวะ ? รถของเราดันมาอยู่สวนเลนกับรถที่วิ่งมา..! แต่ที่นี่เขาคงเคยชินกันแล้ว เพราะพลขับของเราเบี่ยงรถหลบชิดขวา เมื่อข้ามทางม้าลายไปแล้วก็กลายเป็นวิ่งถูกเลนเหมือนเดิม ผ่านอาคารที่หน้าตาโบราณ ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายเขียนว่า POLIZIA MUNICIPALE คงเป็นสถานีตำรวจเทศบาลเมืองปีซ่า เลยไปอีกหน่อยหนึ่งมีรถรางสีเหลืองสดคาดสีเลือดหมู ที่หน้าตาเหมือนรถไฟการ์ตูนในดิสนีย์แลนด์ จอดรับคนอยู่...
"บริเวณโบสถ์และหอเอนเมืองปีซ่า ไม่อนุญาตให้รถนักท่องเที่ยวเข้าไป เดี๋ยวพวกเราต้องลงแล้วขึ้นรถรางของเทศบาลเมืองปีซ่าเข้าไป บริเวณที่จอดรถจะมี "คุณเฉาก๊วย" เยอะมาก ถึงจะเสนอขายสินค้าอะไรพระอาจารย์ทุกรูปก็อย่าซื้อนะครับ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังอาจจะถูกจับข้อหาซื้อสินค้าปลอมอีกด้วย" มัคคุเทศก์รูปหล่อพูดยังไม่ทันจบ นายสันโดษก็นำรถเลี้ยวขวาเข้าลานจอดรถขนาดใหญ่ มีรถรางสีฟ้าสดใสจอดอยู่ ๑ คัน และบรรดา "คุณมืด" ทั้งหลายที่หอบสินค้าทั้ง "ฯลฯ...ปะวะหล่ำกำไลสายสร้อย ตุ้มหูพวงห้อยดอกไม้หอม...ฯลฯ" ตลอดจนกระเป๋าต่าง ๆ ยืนระเกะระกะไปหมด พอพวกเราลงไปก็กรูกันเข้ามาทันที..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23882&stc=1&d=1447830503
เทศบาลนครปีซ่าเอา "รถเมล์ยูโร" มารับ
รถรางสีฟ้ารับคนเต็มแล้วเคลื่อนออกไป พวกเราที่ขึ้นไม่ทันจึงต้องรับมือกับกองทัพ "คุณเฉาก๊วย" ของคุณโอ๋แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความจริงก็พอที่จะเลี่ยงได้ เพราะเมื่อชำเลืองมองแวบเดียว เห็นว่าสายสร้อยเทอร์คอยส์นั้น เป็นของ "ปลอมแท้ ๆ" อาตมาก็ตีเหมาว่าอย่างอื่นที่เหลืออยู่ก็ประเภทเดียวกัน จึงเลี่ยงไปถ่ายรูปต้นไม้ดอกไม้อีกฟากหนึ่ง ปล่อยให้ท่านอาจารย์คณบดี หลวงพ่อพระครูเลิศ พระครูญาณฯ ที่ยืนแถวหน้า เป็นกองหน้าปะทะกับข้าศึกที่บุกทะลวงเข้ามาชิดตัวแทน...
ถ่ายรูปจนทั่วแล้วย้อนกลับมา พอดีมีคณะนายห้างและคุณนายชาวอินเดียที่มากันคณะใหญ่เดินเข้ามาถึง บรรดา "คุณมืด" จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีกองทัพแขกแทน บรรดานายห้างและคุณนายรัวลิ้นภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อ ข้าศึกผิวหมึกก็ลอยหน้าลอยตาเสนอสินค้าแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ดูแล้วจะสมน้ำสมเนื้อกันดี ทำเอาพวกเราถอนใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน...
รถที่มารับพวกเรากลายเป็นรถบัสสองตอน ถ้าติดตัวหนังสือไทยก็คือ "รถเมล์ยูโร" ในกรุงเทพฯ นั่นเอง ซ้ำยังสีเหมือนกันอีกด้วย กองทัพแขกถอนร่นจากการปะทะกับกองทัพแอฟริกา กรูกันมาขึ้นรถ จนพวกเราได้แต่ยืนมองตาปริบ ๆ เพราะไม่มีปัญญาเบียดนายห้างตัวเท่าตึกขึ้นไปบนรถที่เปิดแค่ประตูเดียวได้ ขนาดอาจารย์ตู๋ที่เป็น "หญิงใหญ่" ของคณะ พอไปยืนเปรียบกับบรรดาคุณนายแล้ว กลายเป็นลูกสาวคนเล็กสุดไปเลย..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23887&stc=1&d=1447875242
คนเป็น ๆ ไม่ใช่รูปหล่อนะครับ
รอจนพวกเราขึ้นไปได้ที่นั่งก็หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ศากยบุตรพุทธชิโนรสทั้งหลายจึงได้แต่ยืน ทั้งที่พระตถาคตตรัสห้ามบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างเด็ดขาด อาตมาบันทึกภาพ "พระยืน" ที่มีหลวงพ่อพระครูเรือง มหากังวาล และสมุห์สุมิตรที่อยู่ใกล้สุดไว้เป็นที่ระลึก "รถเมล์ยูโร" พามาเลี้ยวขวากลับรถตรงที่มีร้านขายของที่ระลึกเรียงรายริมกำแพงใหญ่ แล้วจอดปล่อยคนทั้งหมดลงกันที่นี่...
มัคคุเทศก์รูปหล่อเรียกรวมพล ชี้ไปที่ต้นเมเปิลไม่ใหญ่นักสองต้น ซึ่งข้างใต้มีเก้าอี้ยาวมีคนนั่งเต็มไปหมด บอกว่าให้พวกเราเดินกันโดยอิสระ สุดร้านขายของนี้ จะเป็นประตูเข้าไปยังหอเอนปีซ่า จะไปชมโบสถ์ หอเอน ถ่ายรูป หรือซื้อของก็ได้ มีเวลาให้จนถึงบ่ายสองโมง แล้วมารวมตัวกันที่ใต้ต้นเมเปิลนี้ ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ก็เหลือพวกเราอยู่กันแค่ ๔ - ๕ รูป ที่เหลือถ้าไม่ไปดูสินค้าก็เดินตรงไปยังด้านที่เป็นประตูทางเข้ากันหมดแล้ว...
อาตมาเดินเลาะร้านค้าไปเรื่อย จนสุดร้านก็เห็นกำแพงอิฐสูงลิ่วที่มีใบเสมาสี่เหลี่ยม เสียงคนขายของทักว่า "สวัสดีครับ" อย่างชัดเจน ถามว่าเป็นคนไทยหรือ ? อีกฝ่ายบอกว่าเป็นบังคลาเทศ พูดไทยได้แค่นี้แหละ อาตมายังไม่คิดที่จะซื้ออะไร จึงเดินไปตามกำแพง เห็นมีคนแต่งตัวแบบสมัยเรอเนสซองส์ ใส่วิกผมสีขาว ทาหน้าขาววอกยืนเป็นหุ่นให้ถ่ายรูป ถัดไปอีกหน่อยเป็นคนใส่ชุดสากลสวมหมวก ทาสีทั้งเสื้อผ้าเนื้อตัวเป็นสีทองเหลือง นั่งเก้าอี้อากาศนิ่งเหมือนหุ่นหล่อจากทองเหลือง ตรงหน้ามีกล่องสำหรับรับบริจาคเงินวางอยู่ ใครไปถ่ายรูปก็โยนเหรียญลงกล่องให้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23894&stc=1&d=1448187634
ภายในจตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo)
"ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ผู้ที่จะแสดงเป็นหุ่นแบบนี้ได้ ต้องผ่านสถาบันฝึกการแสดงมาอย่างน้อยก็สองปี ถึงจะมาฝึกหาประสบการณ์พร้อมกับหาเงินอย่างนี้ได้" ตูมีมัคคุเทศก์เถื่อนอีกแล้ว ฮ่า..! "ท่านผู้นำ" ค้อนขวับผิดวิสัยชายชาติทหาร แล้วยืนเอามือไขว้หลัง "ตามระเบียบพัก" ไม่เดินตามมาเสียอย่างนั้น เป็นเทวดาอย่าให้กิเลสเกิดมากซีครับ เดี๋ยวก็ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันพอดี..!
ผ่านร้านค้าที่ขายน้ำหวานและผลไม้ต่าง ๆ เห็นราคาองุ่น ปอนด์ละ ๕ ยูโร เชอรี่ ปอนด์ละ ๕ ยูโร แสดงว่าตอนเพลได้ฉันของแพงจากพระครูโจไปแล้ว ส้มแทนเจอรีน ปอนด์ละ ๒.๘ ยูโร มะเขือเทศลูกใหญ่ ปอนด์ละ ๓.๕ ยูโร แอปเปิลเขียว ปอนด์ละ ๓ ยูโร แต่แอปเปิลแดงที่น่าจะเป็นพันธุ์วอชิงตัน ปอนด์ละตั้ง ๕ ยูโร อาตมาชอบแอปเปิลเขียวที่เปรี้ยวกว่าแถมราคาถูกกว่าอีกด้วย แต่เนื้อมะพร้าวที่บ้านเราใช้ทำกะทิ ที่นี้ขายชิ้นเล็กไม่ถึงฝ่ามือ ชิ้นละ ๑ ยูโร แพงบรรลัยเลย..!
ร้านค้าขายแทบทุกร้านจะมีของที่ระลึกจำพวกโปสการ์ด พวงกุญแจ โมเดล ภาพวาด ที่เป็นรูปหอเอนปีซ่า อื่น ๆ ก็เป็นพวกเสื้อผ้าและข้าวของทั่วไป เมื่อสุดร้านค้าก็เป็นประตูเข้าไปสู่ลานของจตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) เห็นหอรับศีลจุ่ม (Duomo) ที่เป็นโดมมหึมา ถัดไปเป็นตัวโบสถ์ อาคารทั้งสองหลังตั้งอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีเสาคอนกรีตร้อยสายโซ่กันเอาไว้ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะผู้คนนับร้อยทั้งหญิงและชาย กำลังนอน "ปิ้งตัวเอง" กลางสนามในแสงแดดจัดจ้าอย่างมีความสุข และด้านหลังโบสถ์ที่เอนเอียงแบบเท่มาก ก็คือหอเอนแห่งเมืองปีซ่าซึ่งมีชื่อเสียงก้องโลก...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23896&stc=1&d=1448226610
เอาที่สบายใจเลย..!
ทางขวามือเป็นอาคารก่ออิฐลักษณะเหมือนป้อมปราการ ตรงกลางตัวอาคารที่ยกซุ้มขึ้นไปเป็นหอระฆังเล็ก ๆ มีนาฬิกาเรือนใหญ่ติดอยู่ด้วย ด้านหน้าอาคารตั้งเต็นท์ร้านขายของที่ระลึก ติดต่อกันยาวเหยียดหลายสิบร้าน อาตมาอยากได้รูปตรงนี้สักรูป มหากังวาลก็เดินไปไกลแล้ว หันมาเจอหลวงพ่อพระครูเลิศเดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยตามมา จึงขอให้ท่านช่วยถ่ายรูปให้หน่อย ท่านเอาไอแพดของตัวเองหนีบไว้ใต้แขน รับกล้องของอาตมาไปถ่ายให้ เมื่อรับคืนมากดดูรูปอาตมาก็ถอนหายใจเฮือก ตัวเองได้ครึ่งบน ส่วนหอรับศีลจุ่มได้ครึ่งล่าง ไม่มีส่วนประกอบอื่นที่น่าสนใจเลย..!
ทั้งที่เป็นช่วงเวลาอาหารกลางวัน แต่ผู้คนก็ยังแน่นมาก บรรดาวัยรุ่นทั้งชายหญิง ต่างก็หามุมถ่ายรูปตัวเองกับหอเอนแบบสุดฤทธิ์สุดเดช บ้างก็ผลักให้ล้ม บ้างก็ดันเอาไว้ บางคนหยิบเลยก็มี รายหนึ่งกระโดดถีบเลย ถ้าถ่ายถูกมุมก็คือถีบหอจนเอนนั่นเอง สาวน้อยนางหนึ่งนอนกับพื้น เอาเท้าพาดอากาศ เหมือนกำลังพาดกับหอ อีกหลายรายโดดขึ้นไปยืนทำท่าบนเสารั้วคอนกรีต บางคนแอ่นอกที่แม่ให้มามาก ดันจนหอเอนกระเท่เร่ เพื่อนฝูงที่ช่วยถ่ายรูปก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เด็กชายฝรั่งอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบ วิ่งมาเกาะจีวรขอถ่ายรูปด้วย พอคุณแม่ถ่ายให้ก็วิ่งไปดูรูปชนิดลืมขอบคุณไปเลย...
เดินจนเลยโบสถ์มาถึงหน้าหอเอน มีรูปปั้นเด็กอ้วนสามคนกำลังแบกป้ายซึ่งมีอักษร OPA ที่ฐานรูปปั้นเป็นก๊อกน้ำสาธารณะรูปเด็กกำลังฉี่ "เล็ก..เล็ก..ถ่ายรูปให้หน่อยสิ" หันไปเจอท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ส่งกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่มาให้ อาตมารับมาปรับหน้ากล้องไปที่อินฟินิตี้ แล้วถ่ายรูปท่านหัวหน้าภาควิชาที่ "เก๊กหล่อ" กับหอเอนไปสามรูป ท่านรับกล้องของตัวเองคืนไป แล้วเอากล้องของอาตมาถ่ายรูปคืนให้บ้าง จากนั้นก็ตรงไปร่วมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ที่กำลังจะถ่ายรูปหมู่กันอยู่...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23902&stc=1&d=1448288970
รูปหมู่ครั้งนี้ขาดเพื่อนไป ๔ - ๕ รูป
บรรดาฝรั่งนอกจากรุมถ่ายทั้งที่เรายังรวมกลุ่มไม่เสร็จแล้ว ยังขอเข้ามามีส่วนร่วมในภาพถ่ายด้วย โดยเฉพาะบรรดาแหม่มทั้งหลาย หลวงพ่อพระครูชุบวิ่งเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ขาดท่านอาจารย์คณบดี พระครูด็อกเตอร์ หลวงพ่อพระครูเรือง มหากังวาล และองปลัด ซึ่งไปเดินอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ? ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐและท่านอาจารย์ตู๋ช่วยรับสารพัดกล้องเป็นสิบตัวไปถ่ายให้ "สวยมากค่ะ เดี๋ยวพอมีคลื่นหนูจะอัพลงเฟซบุ๊กให้ ใครต้องการไปโหลดเอาเลยนะคะ" "หญิงใหญ่" ว่าไปโดยลืมนึกถึงอาตมาที่เป็น "เด็กหลังเขา" ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กกับใคร...
หลังจากสลายกลุ่มที่เป็นจุดสนใจของฝรั่งสุด ๆ แล้ว ถามดูทราบว่าถ้าจะขึ้นไปบนหอเอนต้องจ่ายเงินต่างหาก ประกอบกับใกล้จะถึงเวลานัดหมาย อาตมาจึงเดินเลาะข้างโบสถ์เพื่อกลับออกไป มีเด็กฝรั่งแอบถ่ายรูป อาตมาจึงหยุดเดินหันไปหากล้องให้เต็ม ๆ หนุ่มน้อยยิ้มอาย ๆ แต่ก็รีบถ่ายเพิ่มโดยด่วน ในสนามข้างโบสถ์มีอีกาฝรั่ง (Raven) กับนกเอี้ยงลาย (Starling) เดินหาแมลงอยู่หลายตัว อาตมาถ่ายรูปแล้วเดินมาถึงหน้าโบสถ์ เจอหลวงพ่อพระครูญาเอากล้องเล็กจิ๋วของท่านถ่ายรูปโบสถ์อยู่ อาตมาจึงถ่ายรูปให้ด้วยกล้องของอาตมาเอง โดยบอกว่าเมื่อถึงเวลาจะส่งรูปให้กับพระครูกล้า ท่านจะได้โหลดไปถวายให้ที่วัด...
ถึงจะมัวแต่ถ่ายรูปอยู่ ก็ยังเดินมาทันหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ท่านขอให้ถ่ายรูปของท่านกับโบสถ์และหอเอนให้ด้วย เสร็จแล้วอาตมาจึงเดินช้า ๆ เป็นเพื่อนท่าน จนออกมาถึงร้านขายของที่ระลึกด้านนอก บริเวณร้านที่สามมีพวกเราหลายรูปและคุณโอ๋กำลังซื้อสินค้าอยู่ พวงกุญแจรูปหอเอนแบบต่าง ๆ ราคา ๕ พวง ๖ ยูโร มัคคุเทศก์รูปหล่อรับประกันว่าร้านนี้ราคาถูกที่สุด อาตมาเลือกมา ๑๐ พวง ส่งเงินไปให้ ๑๒ ยูโร เจ้าของร้านเอาใส่ถุงเล็กให้ และหยิบเพิ่มมาให้อีก ๒ พวง จึงกลายเป็นราคาพวงละ ๑ ยูโร ความจริงแล้วพวงกุญแจเป็นของฝากที่ผู้รับ "เซ็งเป็ด" ที่สุด แต่อาตมามักจะไม่มีอารมณ์จะซื้อของฝากใคร คนได้พวงกุญแจไปถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23906&stc=1&d=1448309837
ขวดเล็ก ๖๐ บาท ขวดใหญ่ ๘๐ บาท
พระครูปรีชาเห็นว่าอาตมาได้พวงกุญแจไปในราคาพวงละ ๑ ยูโร จึงขอให้ช่วยพูดกับเจ้าของร้าน จนได้ไปในราคาเดียวกัน แล้วอาตมาก็เดินออกมาก่อน รู้สึกกระหายน้ำจนคอแห้งผาก ผ่านร้านที่มีน้ำขวดวางขาย เห็นน้ำขวดเล็กราคา ๑.๕ ยูโร ขวดใหญ่ ๒ ยูโร อาตมาควักใบละยูโรส่งให้ ๒ ใบ "Aqua, The large one." แหม่มเจ้าของร้านรูปร่างอ้วนใหญ่ ที่กำลังตักไอศกรีมให้ลูกค้า เปิดตู้แช่หยิบน้ำขวดใหญ่เย็นเจี๊ยบมาส่งให้ "Normal, not cold." หล่อนจึงเก็บขวดเดิมเข้าตู้ และหยิบขวดใหม่ไม่ได้แช่เย็นออกมาจากลังส่งให้ พร้อมกับรับเงินไปหย่อนใส่กระป๋องข้างตัว...
อาตมาเปิดน้ำกรอกลงไปเกือบครึ่งขวด เดินมาทันหลวงพ่อพระครูเลิศจึงสะกิดท่านส่งน้ำไปให้ ท่านกรอกน้ำที่เหลือลงคอรวดเดียวเกือบหมด...
"ดีเหลือเกินพ่อคุณเอ๋ย..กำลังหิวน้ำแทบตาย ไปขอซื้อเขาก็สั่นหัวไม่ขายให้"
"หลวงพ่อพูดไม่ชัด เขาเลยไม่เข้าใจมั้ง ?"
"ผมก็ว่า Water ชัด ๆ แล้วนะครับ"
"ถ้าอย่างนั้นอดแน่ครับ ในยุโรปนี่ส่วนมากเขาเรียกน้ำว่า Aqua คำเดียวกับ Aquarium ที่แปลว่าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนั่นแหละครับ"
"อ้าว..ผมไม่รู้นี่ ตอนเรียนภาษาอาจารย์ท่านก็ไม่เคยบอกให้เรียกแบบนี้"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23909&stc=1&d=1448350141
มาเจอก๊อกน้ำตอนที่จ่ายเงินไปแล้ว
เดินคุยกันไปถึงจุดนัดพบ เห็นเก้าอี้ใต้ต้นไม้มีที่ว่าง อาตมาทั้งสองจึงนั่งลง แล้วเห็นอะไรรู้ไหม ? ก๊อกน้ำสาธารณะ..! ฮ่วย..มาพบไม้งามยามจ่ายเงินไปแล้ว แต่ก็ลุกไปเปิดน้ำใส่ขวดจนเต็มเหมือนเดิม กลับมานั่งได้ครู่หนึ่ง มหากังวาล หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ท่านไพฑูรย์และพระครูปรีชาก็ทยอยกันมา อาตมาส่งน้ำไปให้ ทุกคนเวียนกันดื่มแบบกระหายจัดกันทั้งนั้น จนอาตมาต้องไปเติมจากก๊อกถึงสองรอบ...
"คุณมืด" หอบผ้าพันคอสวย ๆ เต็มอ้อมแขนมาเสนอขาย อาตมาถามราคาอีกฝ่ายตอบว่า ๒ ผืน ๕ ยูโร ถามว่ามาจากไหน ? "เซเนกัล..คุณเป็นเพื่อนผมนะ ของดีราคาถูก ๒ ผืน ๕ ยูโรเท่านั้น" อาตมาไม่มีนิสัยคบเพื่อนด้วยการซื้อของ จึงชี้ไปที่มหาประโยค ๙ รูปเดียวของรุ่น "คุณมืด" รีบรี่เข้าไปเสนอขาย มหากังวาลเก่งแต่ภาษาบาลี เจอภาษาอังกฤษสำเนียงเซเนกัลเลยฟังไม่ทัน บอกให้อาตมาต่อราคา ๓ ผืน ๕ ยูโรได้ไหม ? "โอเค...โอเค...๖ ผืน ๑๐ ยูโร" โอเคบิดาคุณนะซี...ตูจะเอาไปทำซากอะไรเยอะแยะขนาดนั้น..!
"คุณมืด" อีกรายหอบร่มแบบพับได้เข้ามาเสนอขาย ๒ อัน ๕ ยูโร อะไรวะ ? ของแถวนี้ทุกอย่างราคาสองชิ้นห้ายูโรหมดเลยหรือ ? "๔ อัน ๘ ยูโร" พระครูปรีชาบอกให้ต่อราคา "เฮ้ย..เดี๋ยวเขาให้จริง ๆ ต้องซื้อนะโว้ย..!" อีกฝ่ายเลยหุบปากเงียบ พวกเราทุกคนมากันเกือบครบ แม้แต่คุณโอเล่ที่ไม่เห็นหน้าตั้งแต่ลงรถก็มาแล้ว สักครู่พระครูโจก็หอบผ้าพันคอมาหลายผืน "ราคาเท่าไร ?" พระครูกล้าถาม "๓ ผืน ๕" อีกฝ่ายเด้งดึ๋งขึ้นมาจากท่านั่ง "ร้านไหน ? พาไปที...ผมจะซื้อบ้าง"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23914&stc=1&d=1448403069
กลับไปที่ลานจอดรถตามเดิม (รูปนี้ถ่ายจากหน้าต่าง "รถเมล์ยูโร")
สรุปว่าพระครูโจโดนเพื่อนลากไปอีกจนได้ พระครูกล้าจะเอา "ว่าที่หลวงพ่อตา" ไปด้วย แต่หลวงพ่อพระครูญาคงเดินไม่ไหวแล้ว จึงควักเงินส่งให้ ๑๐ ยูโร บอกว่า "เอามา ๖ ผืนเลย" ดีที่ "คุณมืด" ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นคงประท้วงเสียงหลงว่า ๖ ผืน ๑๐ ยูโรก็ยอมขายให้แล้ว ทำไมไปซื้อจากร้านอื่น ?
พอดี "รถเมล์ยูโร" มาถึง คุณโอ๋ต้องวิ่งไปตามพระครูกล้ากับพระครูโจ ปล่อยให้คุณโอเล่ต้อนพวกเราขึ้นรถ อาตมาที่อาศัยความคล่องตัวมุดขึ้นไปเป็นคนแรก ได้ที่นั่งติดริมหน้าต่าง ท่านอื่น ๆ มัวแต่เกรงใจปล่อยให้บรรดาฝรั่งขึ้นก่อน จึงต้องดำรงตนเป็น "พระยืน" กันโดยทั่วหน้า...
พระครูกล้า พระครูโจ กับคุณโอ๋กลับมาทันขึ้นรถพอดี ได้ยินประมาณว่า "แพงกว่าที่เขาเอามาขายถึงที่อีก" แต่อาตมาไม่ได้ติดตามว่าตกลงได้ซื้อหรือไม่ ? และราคาเท่าไร ? สงสัยว่า "รถเมล์ยูโร" จะบรรทุกน้ำหนักเกิน เพราะตอนตีวงเลี้ยวกลับ ท้องรถขูดพื้นดังครืดใหญ่ เมื่อตั้งลำได้ก็วิ่งมาส่งพวกเราลงที่ข้างลานจอดรถเดิม มัคคุเทศก์รูปหล่อโทรศัพท์หานายสันโดษ แจ้งว่าพวกเรามารอกันที่เดิมแล้ว ให้วนรถกลับมารับได้ อาตมาและหลายท่านปวดปัสสาวะ แต่พอเดินไปถึงหน้าห้องน้ำข้างลานจอดรถ เจอราคา ๑ ยูโรอาตมาก็ถอยกลับ ฉี่ที ๔๐ บาทไม่ได้คุ้มกันเลย..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23918&stc=1&d=1448437750
"ท่านผู้นำ" ว่านักท่องเที่ยวเก็บลูกสนที่อยู่ข้างล่างไปหมด
คุณโอ๋ชี้ไปยังแนวต้นสนที่ขนาบสองฝั่งของถนน บอกว่านายสันโดษให้พวกเราไปรอตรงนั้น เมื่อเดินไปถึงก็เห็นว่าต้นสนที่ไม่ใหญ่นักนั้น มีลูกอยู่เฉพาะช่วงบน ๆ ขนาดต้องกระโดดจึงจะเก็บถึง ช่วงล่างมีแต่ใบล้วน ๆ ฝีมือนักท่องเที่ยวครับ เก็บเอาไปเป็นที่ระลึกจนหมด ท่านผู้นำ คงจะหายงอนแล้ว แอบย่องมาทำหน้าที่มัคคุเทศก์เถื่อนต่อ ความจริงเป็นงานที่เท่มากนะนี่ ไม่มีใครสามารถจับไปปรับโทษฐานที่ไม่มีใบอนุญาตได้เลย...
พอตากแดดกันจนหัวแดงได้ที่นายสันโดษก็นำรถมาถึง เมื่อพวกเราตะกายขึ้นไปครบคุณโอเล่ก็เอาน้ำดื่มมาแจก พร้อมกับบอกว่า เป็นชุดสุดท้ายของน้ำดื่มจากเมืองไทยแล้วนะคะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ต้องซื้อน้ำดื่มของที่นี่กันแล้ว เสียงประท้วงกันให้ขรมว่าที่นี่หาน้ำดื่มยาก ที่พอมีก็อยู่ในระดับ แพงโคตร มัคคุเทศก์รูปหล่อหัวเราะชอบใจ...
ที่นี่เขาดื่มน้ำก๊อกกันครับ น้ำประปาของยุโรปสะอาดเป็นอันดับหนึ่งของโลก น้ำขวดถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือยจึงราคาค่อนข้างแพง พระอาจารย์ทุกท่านอย่าไปคิดเป็นเงินไทยสิครับ ให้คิดว่าขวดหนึ่งสองยูโรก็แค่สองบาทเท่านั้น นี่ถ้าไปเจอน้ำแร่จะแพงกว่านี้อีกครับ ขวดหนึ่ง ๖ ๘ ยูโรทีเดียว
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23923&stc=1&d=1448491791
มารับบัตรผ่านทางที่ด่านนี้
นายสันโดษนำรถออกจากเมืองปีซ่า วิ่งข้ามลำรางเล็ก ๆ แล้วเลี้ยวขวา ไปได้หน่อยหนึ่งก็ข้ามสะพานที่มีแม่น้ำสายไม่ใหญ่นัก กว้างประมาณ ๑๐ เมตรเห็นจะได้ วิ่งไปสักสองนาทีก็เข้าสู่ถนนสายหลักกว้างหกเลน (ไปสามเลน มาสามเลน) อึดใจต่อมาก็เจอด่านนักเลงเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งต้องรับบัตรผ่านทางแบบถนนบูรพาวิถีของบ้านเรา ซึ่งน่าจะไปจ่ายเงินปลายทางเหมือนกันด้วย...
“เรายังอยู่ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) นะครับ แต่วันนี้เราจะมุ่งไปทิศตะวันออก เพื่อไปเที่ยวเมืองโบราณที่มีอายุถึง ๗๐๐ ปี อยู่ในยุคเดียวกับกรุงสุโขทัยของเรา คือ เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) หรือที่ภาษาอิตาเลียนเรียกว่าเมืองฟีเรนเซ่ (Firenze) เมืองนี้ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน (Arno River) แม้จะอยู่แคว้นเดียวกันแต่ต้องวิ่งข้ามเมือง ประมาณว่าจากปทุมธานีไปสมุทรปราการ...
แคว้นทัสคานีเป็นแคว้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ศาสนา วัฒนธรรม และอุตสาหกรรม ของประเทศอิตาลี สามารถผลิตไวน์ที่มีรสชาติอร่อยมาก เป็นเมืองต้นกำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) โดยเฉพาะเป็นบ้านเกิดของสุดยอดนักศิลปวิทยาผู้ยิ่งใหญ่คือ มิเคลันเจโล (Michelangelo)ซึ่งออกจากบ้านเกิดไปเติบโตและสร้างผลงานเอาไว้ที่เมืองฟลอเรนซ์” มัคคุเทศก์รูปหล่อทำหน้าที่อย่างแข็งขัน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23927&stc=1&d=1448522833
เลี้ยวขวาไปเมืองฟลอเรนซ์
นายสันโดษทำหน้าที่แบบไม่มีปากไม่มีเสียง อะไรจะรักสงบปานนั้น พารถวิ่งผ่านท้องนาที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว บางช่วงเป็นไร่องุ่นที่ยังปลูกไม่นาน เพราะต้นยังเล็กอยู่มาก “ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศดีมากของอิตาลี เพราะมีแดดจัดตลอดวัน พวกเราเจอแดดแล้วเดินหลบ แต่ฝรั่งจะนอนอาบแดดอย่างมีความสุข พอพวกเราเห็นหิมะก็วิ่งเข้าไปเล่น จนฝรั่งเขาสงสัยว่าเล่นไปทำไม ? หนาวจะตาย..!” แสดงว่าหนุ่มโอ๋ยังไม่เข้าถึงคำว่า “แสวงหาในสิ่งที่ตนขาด” อย่างแน่นอน...
ป้ายจราจรสีเขียวคาดขาว ระบุถนนสาย A 11 ให้เลี้ยวขวาไปทางเมือง Lucca และ Firenze นายสันโดษนำรถเลี้ยวขวา เจ้าประคุณเถอะ..เกือบจะวนเป็นวงกลมเลย ขึ้นมาบนไฮเวย์ที่เปรียบเหมือนกับทางด่วนบ้านเรา แต่พลขับก็ยังรักษาความเร็วที่ ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างคงเส้นคงวา ช่วงนี้ท้องนาเริ่มกลายเป็นภูเขา มีเมืองเล็กเมืองน้อยซุกตัวอยู่ตามหุบเขาเป็นระยะไป ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐเห็นพวกเราส่วนหนึ่งหลับไปแล้ว จึงขอไมโครโฟนมาครวญเพลงกล่อมซะเลย...
“เจื้อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงขับร้อง ดังเพลงมนต์รักแม่กลอง ล่องลอยพลิ้วหวานซ่านมา กล่อมสาวงามบ้านอัมพวา มนต์รักแม่กลองแว่วมา เหมือนสายธาราแม่กลองรำพัน ฯลฯ” เพลงมนต์รักแม่กลอง ขับร้องโดยพิเชฐ ศรีสุโขทัย แทนศรคีรี ศรีประจวบ...
“อย่างเข่าเดือนฮก ฝนก็ต๊กพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำ ระงมไปทั่วท้องนา ฝนต๊กทีไรคิดถึงขวัญใจของข้า แม่ดอกโสนบ้านนา น้องเคยเรียกข้าพ่อดอกสะเดา ฯลฯ” เพลงฝนเดือนหก ขับร้องโดย พิเชฐ แหลมฉบัง แทนต้นฉบับของรุ่งเพชร แหลมสิงห์...
“ขวัญหาย...จดหมายของแม่ส่งมา เนื้อจดหมายเขียนว่า ทุกข์ตรมเจียนบ้า นาฝนแล้ง พ่อก็ซ้ำมีอันต้องตาย เพราะมีโจรปล้นควาย ใช้อุบายเสแสร้ง ทั้งยิงแทงพ่อยับ..ดับสิ้นใจ ฯลฯ...” ไลน์ เอ๊ย..จดหมายจากแม่ โดยพิเชฐ รุ่งทั้งวัน ขับร้องแทนเสรี รุ่งสว่าง...
“โอ..โอ๊..โอละเน้อ..เออ..เอ่อ..น้องพร พรจ๋าพร..คืนนี้ขอนอนบ้านพรด้วยได้ไหม พี่คนบ้านไกล ขอมาอาศัย อย่าได้ตัดรอน ฯลฯ..” รักน้องพร แต่อย่าเขียนเป็น Porn เพราะน่าเกลียดมาก พิเชฐ รุ่งสะเดา จากบ้านทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ขับร้องแทน สดใส รุ่งโพธิ์ทองครับ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23928&stc=1&d=1448577600
มาจอดให้ลงแถวถังขยะพอดี
ขึ้นเขาลงห้วย มุดเข้าอุโมงค์สั้น ๆ อีกหลายแห่ง ประมาณชั่วโมงเศษรถก็เริ่มเข้าสู่เขตเมือง บ้านเรือนหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ใจกลางเมือง ผ่านย่านที่อยู่อาศัยลักษณะของแฟลตที่มีหลายชั้น แต่ทางเข้าเป็นประตูไม้ติดรหัสบานเดียว อย่าคิดว่าบ้านของเขาดูเก่า ๆ โทรม ๆ นะครับ ข้างนอกที่เก่าเพราะผ่านมาหลายสิบหรือเป็นร้อยปี แต่ข้างในจะตกแต่งหรูหรามาก มัคคุเทศก์รูปหล่อที่ไม่ยักหลับไปตามเสียงเพลง ขอไมโครโฟนคืนไปได้ก็บรรยายต่อ...
ผ่านสถานีรถรางที่มั่นใจว่าเป็นรถรางไฟฟ้า มีป้ายบอกว่า ALAMANNI STAZIONE มีคนรอคิวขึ้นกันแน่นทีเดียว ข้างสถานีมีรถจักรยานจอดเรียงกันเป็นตับ มาถึงสามแยกนายสันโดษเลี้ยวขวา แล้วชิดขวาจอดให้พวกเราลงตรงที่เป็นถังทิ้งขยะสเตนเลสเรียงรายเป็นแถวยาว อาตมาลงไปแล้วถ่ายรูปถังขยะที่หน้าตาดูดีมากเอาไว้ พร้อมกับลองเหยียบเปิดถังดูสภาพข้างใน เห็นเป็นหลุมลึกลงไป เงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นว่า พฤติกรรมนี้โดนท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเก็บภาพไปแล้ว...
ตรงนี้เป็นสถานีขนส่งหมอชิต เอ๊ย..สถานีขนส่งเมืองฟลอเรนซ์ นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านไปเข้าห้องน้ำที่ด้านในกันก่อนครับ เสร็จแล้วเราจะได้เดินเที่ยวเมืองนี้กัน มัคคุเทศก์รูปหล่อพาเดินยาวเลาะชานชาลาด้านนอกเข้าไป ช่วงนอกนี้เป็นท่าเทียบรถที่จะไปยังเมืองต่าง ๆ มีคนนั่งรอเวลารถออกอยู่บนม้ายาวไม่น้อยทีเดียว ด้านในที่เป็นห้องกระจกมีคนหนาแน่นกว่าข้างนอกตั้งเยอะ มีทั้งที่นั่งฟังเพลง อ่านหนังสือ กินอาหาร ฯลฯ สารพัด...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23934&stc=1&d=1448662789
เข็มกันนกที่ "โหดสลัด"
ห้องน้ำอยู่ท้ายสุดของสถานี ข้างบริเวณห้องขายตั๋ว อาตมาที่ปวดฉี่มานานพอเห็นป้าย WC ก็รี่เข้าไปหา แต่เจอ “คนติด” แถวยาวไม่น้อย มีชายวัยกลางคนใส่แว่นมีสายคล้องคอ ในเสื้อยืดคอปกสีเขียวขี้ม้า นั่งเก็บเงินค่าห้องน้ำคนละ ๖๐ เซ็นต์ ใครต้องการกระดาษชำระ ต้องจ่ายอีกห่อละ ๑ ยูโร ชอบใจแผงเก็บเงินของเขา ที่มีช่องสำหรับใส่เหรียญขนาดต่าง ๆ รับไปก็ใส่ไว้เป็นแถวได้เลย...
เมื่อถึงคิวอาตมาก็ผลุบเข้าห้องน้ำไป เมื่อเคยเจอส้วมหลุมมาแล้ว กลิ่นฉุนกึกที่ปะทะหน้าจึงพอทน จัดการปลดทุกข์เบาอยู่นานเพราะอั้นไว้ เสร็จแล้วกดน้ำราดก่อนที่จะออกมา ด้วยเหตุที่เพื่อน ๆ ยังเข้าแถวรอกันอีกหลายรูป จนกลายเป็นจุดสนใจของบรรดาฝรั่งทั้งหลาย อาตมาจึงเดินแยกออกมาไม่ไกลนัก ถ่ายรูปมุมต่าง ๆ และดูการจองตั๋วเพื่อเดินทางของพวกเขาด้วย...
ซุ้มจองตั๋วรถบัส euro lines มีตัวหนังสือแสดงสถานที่ไป ได้แก่ Roma (โรม) Milano (มิลาน) Bologna (โบโลญญา) Venezia (เวนิส) Torino (ตูริน) Napoli (นาโปลี) มีไปถึง Bermuda (เบอร์มิวดา) ด้วย เมื่อเงยหน้าขึ้นกวาดตาดูภูมิประเทศก็เจอของแปลก ตามป้ายและคานต่าง ๆ มีสิ่งที่น่าจะเป็นเข็มแหลมเปี๊ยบ ยาวบ้าง สั้นบ้าง ตามขนาดของวัสดุนั้น ๆ ติดอยู่เต็มพรืด มันคืออะไรหว่า ? "เข็มกันนกครับ ป้องกันนกต่าง ๆ เข้ามาเกาะแล้วทำสกปรก" "ท่านผู้นำ" อุตส่าห์ตามมาเฉลยถึงหน้าส้วม ไม่เหม็นบ้างหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? ของบ้านเราใช้ตาข่ายบ้าง เส้นเอ็นบ้าง ขึงกันนก ที่นี่เขาเอาเข็มที่คำนวณแล้วว่า เวลานกเกาะจะโดนทิ่มพุงพอดีมาติดไว้แทน รู้สึกว่าจะได้ผลเด็ดขาดดีมาก...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23937&stc=1&d=1448703822
พนักงานเทศบาลหนุ่มหล่อคนขยัน
"รวมพลครับ" เมื่อพรรคพวกมากันครบแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็เดินนำพวกเราออกมาที่หน้าถนน มีคุณโอเล่ปิดท้ายขบวน พาข้ามถนนไปเมื่อสัญญาณคนเดินเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เลี้ยวซ้ายเลาะข้างตึกเก่าสีเหลืองซีด ๆ ไปตามบาทวิถี สวนทางกับชาวบ้านชาวเมืองของที่นี่ ซึ่งเดินกันมาแบบตัวใครตัวมัน จะมีที่มาด้วยกันส่วนมากก็เป็นแม่กับลูก ทางซ้ายมือที่เป็นสี่แยกใหญ่มีรถม้าจอดอยู่กลางถนน คงจะให้นักท่องเที่ยวเช่าชมเมือง เยื้องมาเกือบตรงหน้าพวกเราคือ Grand Hotel อยู่กลางเมืองแบบนี้ราคาน่าจะแพงหูดับ...
พอหมดช่วงตึกคุณโอ๋ก็พาเลี้ยวขวา รู้สึกว่าเมืองนี้จะเป็นมุมไหนก็มีแต่ตึกเก่า ๆ น่าดูไปซะทั้งนั้น ตรงนี้เป็นกำแพงยาวที่มีซุ้มโค้งปลายแหลม คล้ายศิลปะของบรรดา "แขก" แต่สลับลายเป็นม้าลายไปเลย ในซุ้มทิ้งไว้ว่าง ๆ โล่ง ๆ ไม่มีอะไรตั้งอยู่แม้แต่ซุ้มเดียว พวกเราข้ามถนนไปอีกช่วงและอีกช่วง ตรงนี้ถนนเป็นหินลูกเต๋าแทบจะไม่มีรถวิ่ง สองข้างทางเป็นตึกเก่า ๆ ลักษณะของร้านค้าที่เปิดหน้าร้านอย่างเป็นทางการ ส่วนมากขายเสื้อผ้าตามแฟชั่น น่าจะรับตัดเสื้อผ้าตามสั่งด้วย แต่ละร้านคงจะมีดีไซเนอร์เป็นของตัวเอง เพราะรูปแบบการนำเสนอไม่ซ้ำกันเลย บางแห่งก็เปิดเป็นร้านกาแฟ...
ถัดไปอีกหน่อยมีผู้หญิงหมอบฟุบอยู่กับพื้นข้างถังขยะ ถือถ้วยกระดาษขอทานอยู่ตรงหน้า ดูจากลักษณะการแต่งกายแสดงว่าเป็นพวกยิปซี มี "อาหมวย" สองคนที่น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจีนหรือฮ่องกง ซึ่งไม่รู้ว่าแตกกลุ่มมาจากไหน กำลังใช้โทรศัพท์สาธารณะกันอยู่ ถัดไปเป็นพนักงานเทศบาลหนุ่มหล่อในชุดสะท้อนแสงสีส้ม กำลังกวาดพื้นซึ่งยังดูสะอาดตาอยู่ ร้านค้าหลายร้านเปิดรับแลกเงิน มีป้ายอัตราการรับแลกเงินติดตั้งไว้หน้าร้าน มีอยู่ร้านหนึ่งเป็นป้ายตัวเลขดิจิตอลเลยทีเดียว ถนนช่วงนี้คงอนุญาตให้จอดรถได้ จึงมีรถจอดกันยาวเหยียด แต่แทบจะไม่มีรถวิ่ง พวกเราส่วนใหญ่จ้ำตามมัคคุเทศก์ไปแบบไม่สนใจรอบข้างเอาเสียเลย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23944&stc=1&d=1448751334
รูปหมู่หน้ามหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์
เดินไปอีกไม่กี่ก้าว สิ่งก่อสร้างมหึมาอลังการก็โผล่มาให้เห็น นั่นคือยอดโดมสีส้มอันเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิหารแห่งเมืองฟลอเรนซ์ มองจากมุมที่พวกเราเดินมา ตัวมหาวิหารโผล่มาแต่ยอดโดมกับด้านข้างมุมหนึ่งเท่านั้น เพราะถูกบังด้วยหอรับศีลจุ่มที่ดูอ้วนใหญ่จนเหมือนกับผิดสัดส่วน ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือด้านข้างเกือบติดกับหอรับศีลจุ่ม ซึ่งมีเสาไม้กางเขนต้นใหญ่นั้น มีร้านกาแฟที่ผู้คนนั่งกันเต็มไปหมด และไม่ใช่ร้านเดียวเสียด้วย ร้านหนึ่งมีรั้วเป็นแผ่นพลาสติกใสกั้นเขตของตน ที่เหลือตั้งโต๊ะเรียงรายกันไป โดยไม่สนใจว่าจะบดบังทัศนวิสัยอย่างไรบ้าง...
"นี่คือมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ครับ มีชื่ออังกฤษว่า Florence Cathedral หรือชื่อในภาษาอิตาเลียนว่า Basilica di Santa Maria del Fiore (อาสนวิหารนักบุญหญิงมาเรีย เดล ฟิออเร่) มหาวิหารแห่งนี้ใหญ่เป็นลำดับที่ ๔ ของทวีปยุโรป รองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารเซนต์ปอล และมหาวิหารมิลาน มีความยาว ๑๕๓ เมตร ฐานของโดมกว้างถึง ๙๐ เมตร ผมจะปล่อยให้พระอาจารย์ทุกท่านเดินชมบริเวณโดยรอบนี้กันตามสบาย แล้วตอนหนึ่งทุ่มไปพบกันที่ด้านหน้ามหาวิหารที่เรียกว่าประตูสวรรค์นะครับ" มัคคุเทศก์โอ๋บรรยายโดยมีผู้ฟังแค่ ๓ - ๔ รูป ที่เหลือรี่ไปหามุมถ่ายรูปกันตั้งแต่แรกแล้ว...
พระครูปรีชาเพิ่งช่วยถ่ายรูปแรกให้อาตมา หลวงพ่อพระครูชุบก็ตะโกนให้รวมพลเพื่อถ่ายรูปหมู่ พอตั้งขบวนเสร็จคราวนี้กล้องที่ทั้งแอบถ่ายและตั้งหน้าตั้งตาถ่าย ก็ระดมมาพร้อมกันจากทุกสารทิศ ฝรั่งหลายรายโดดเข้ามามีส่วนร่วมในภาพด้วย รายหนึ่งขนาดนั่งคุกเข่าลงแล้วยังบังใบฎีกาวรัญญูไปเกือบมิด จากนั้นมัคคุเทศก์รูปหล่อก็พาพวกเราเดินอ้อมร้านกาแฟและหอรับศีลจุ่ม ไปยังด้านหน้ามหาวิหาร เพื่อให้ชมความงดงามอลังการกันให้เต็มตา พร้อมกับชี้ไปที่ประตูสีเขียวซึ่งมีแผ่นโลหะสีทองของหอรับศีลจุ่มว่า "นิมนต์ทุกรูปตามอัธยาศัย แล้วมาพบกันตรงนี้ตอนหนึ่งทุ่มตรงนะครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่อย้ำเวลานัดหมายอีกรอบ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23945&stc=1&d=1448786765
ตัวโบสถ์และหอระฆังของมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ในเมื่อมัคคุเทศก์อุตส่าห์เรียกตรงนี้ว่าประตูสวรรค์ (Gate of Paradise) อาตมาจึงตั้งใจดูหน่อย เห็นภายในรั้วที่กั้นไว้ไม่ให้คนเข้า เป็นเสาหินอ่อนกระหนาบกรอบประตูสัมฤทธิ์สีเขียวเข้ม ที่กรอบประตูมีลายดอกไม้หล่อแบบนูนต่ำ ตัวบานประตูถูกซอยออกเป็นช่อง ๆ ด้วยสัมฤทธิ์เขียว จนดูเหมือนขั้นบันไดข้างละ ๕ ช่องด้วยกัน เป็นภาพเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทางคริสตศาสนาที่สลักเสลาไว้ในแผ่นทองเหลืองขัดเงาเป็นภาพกึ่งลอยตัว ข้าง “ขั้นบันได” ที่เป็นสัมฤทธิ์เขียว เป็นแผ่นทองเหลืองขัดเงาสลักเป็นรูปศีรษะ และรูปคนเต็มตัว ไม่ทราบว่าเป็นนักบุญหรือกษัตริย์ ยาวเกือบเต็มความสูงของประตู ขอบบนล่างของประตู เป็นแผ่นทองเหลืองที่วางขวางสลักลวดลายเช่นกัน ความแยบยลอยู่ที่การวางกรอบที่ไม่ได้ขัดเงา ให้ตัดกับภาพที่ขัดเงาจนดูเด่นสะดุดตา...
แม้ว่าฝีมือในการรังสรรค์ประตูบานนี้จะยอดเยี่ยม แต่ถ้าจะให้เรียกตรงนี้ว่าประตูสวรรค์อาตมายังไม่ยอมรับนับถือ ตัวประตูสวรรค์จริง ๆ น่าจะเป็นที่โบสถ์มากกว่า อาคารมหึมาหลังนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนประกอบด้วยประตูสัมฤทธิ์บานมหึมา ซึ่งประกอบด้วยเสาหินอ่อน “ครึ่งซีก” ที่เป็นทั้งเสาเรียบสลักรูปลอยตัวและเสาเกลียว ที่หายากก็คือหินอ่อนนั้นมีทั้งสีขาว สีเขียว และสีชมพู สูงขึ้นไปจากบานประตูที่เหมือนกับเป็นชั้นที่สอง เป็นซุ้มแบบโกธิคที่มีภาพวาดสีสันสดใส ขนาบข้างด้วยซุ้มรูปสลักหินอ่อนลอยตัวของนักบุญต่าง ๆ นำไปสู่ส่วนบนที่เป็นปลายแหลมครอบซุ้มไว้ นั่นคือหน้าต่างวงกลมที่มักจะประดับกระจกสี ที่เป็นงานฝีมือเลื่องชื่อของยุคเรเนสซองส์...
ปลายแหลมของซุ้มกลางและหน้าต่างวงกลมประดับกระจกสีของซุ้มข้าง นับเป็นชั้นที่สามของตัวโบสถ์ ส่วนชั้นที่สี่นั้นเป็นซุ้มหินอ่อนสลักรูปนักบุญยืนเต็มองค์ ไม่ทราบว่าตั้งใจหรือไม่ เพราะว่ามีอยู่ทางซ้าย ๓ องค์ ทางขวา ๓ องค์ ตรงกลาง ๗ องค์ ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขที่เป็นมงคลเลย แต่ถ้านับองค์กษัตริย์และพระราชินีตรงซุ้มกลางแยกกัน ก็จะเป็น ๑๔ องค์ ตัวโบสถ์ช่วงซ้ายขวาสิ้นสุดลงเป็นหลังคาตัดเพียงเท่านี้ เหลือตรงกลางที่ยื่นสูงขึ้นไปเป็นชั้นที่ ๕ ซึ่งเป็นหน้าต่างวงกลมประดับกระจกสีขนาดใหญ่มหึมา แล้วไปสิ้นสุดลงที่เสาคู่สลักเสลาลวดลายกระหนาบหน้าบันของจั่วหลังคาโบสถ์ที่มีสายล่อฟ้าติดอยู่ จากนั้นช่วงที่ลึกถัดเข้าไปจึงเป็นโดมขนาดมโหฬาร จนได้ชื่อว่าเป็นโดมซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป ความละเอียดลออของงานฝีมือระดับสุดยอด ลายละเอียดที่ประณีตงดงาม และการจัดวางที่ลงตัวอย่างเหมาะเจาะนี่ต่างหาก ที่น่าจะเป็นประตูสวรรค์ของจริง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23950&stc=1&d=1448860230
มุมนี้กว้างยังไม่พอ เพราะท่านถ่ายไม่ถึงยอดหอระฆัง..!
ที่ขนาบอยู่ทางซ้ายของตัวโบสถ์ ก็คือหอระฆังจิออตโต (Giotto’s Bell Tower) ทรงสี่เหลี่ยม ๕ ชั้น ที่สูงลิบลิ่วถึง ๘๘ เมตร รังสรรค์จากหินอ่อนสามสีเช่นเดียวกับตัวโบสถ์ที่เรามาผิดเวลาแล้วเข้าไม่ได้ หอระฆังนี้ยังเปิดให้เข้าชมได้จนถึงเวลาทุ่มครึ่ง อาตมาไม่ได้เกี่ยงราคาตั๋ว ๖ ยูโรที่ต้องจ่ายหรอก แต่สภาพของ “ไอ้เป๋” ที่กระดูกสะโพกเคลื่อนแบบนี้ ขืนไปขึ้นบันได ๔๑๔ ขั้น มีหวังโดนผีนายจิออตโต (Giotto di Bondone) หัวเราะเยาะโทษฐานที่ไม่เจียมสังขารแน่ ๆ จึงเดินหามุมเพื่อถ่ายรูปแทน พอพ้นหอรับศีลจุ่มก็เห็นมุมที่สามารถถ่ายหอระฆังได้เต็มทั้งหลัง...
“อาจารย์พระครู...ช่วยถ่ายรูปมุมนี้ให้ผมหน่อยครับ” มหาประโยค ๙ รูปเดียวของรุ่นเอ่ยปากขอแรง อาตมาถ่ายรูปท่านกับหอระฆังและมุมหนึ่งของโบสถ์แล้ว ท่านก็ถ่ายให้กับอาตมาเป็นการตอบแทนบ้าง มองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นพรรคพวกท่านอื่นเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเดินตามมาไม่ทัน ก็คงจะเตลิดเปิดเปิงไปกับนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากแล้วแน่ ๆ ตอนนี้เพิ่งจะห้าโมงสิบเจ็ดนาทีของที่นี่ ยังมีเวลาตั้งเยอะกว่าจะหนึ่งทุ่มตามที่นัดหมาย...
เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไหลไปยังทิศใต้ที่เป็นตรอกหรือซอยค่อนข้างกว้าง อาตมาจึงกำหนดจำทิศทางของมหาวิหารแล้วเดินตามไปบ้าง เห็นสองฟากข้างเป็นตึกแถวแบบเก่าสูงห้าชั้นทาสีขาวนวล ส่วนมากเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ฯลฯ พอพ้นไปช่วงหนึ่งตัวอาคารก็ทาสีเหลืองอ่อนแทน มุมตึกบางแห่งมีอิฐเก่าสึกกร่อนโผล่ออกมา แสดงถึงอายุอันยาวนานของสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ มีรถแท็กซี่แล่นช้า ๆ ปะปนไปกับหมู่นักท่องเที่ยวด้วย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23953&stc=1&d=1448878571
รูปหล่อสัมฤทธิ์ โคสิโมที่ ๑ (มหาราช) ภาพจากอินเตอร์เน็ต
พ้นตึกช่วงนี้ไปข้างหน้าเป็นลานกว้าง สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือตัวอาคารลักษณะเดียวกับป้อมปราการโบราณ ก่ออิฐสูงขึ้นไปถึง ๕ ชั้น ด้านบนของใบเสมายังมีหอตรวจการณ์สูงลิบขึ้นไปอีกประมาณ ๒ ชั้นความสูงของตัวหอ ข้างใต้หอตรวจการณ์มีนาฬิกาบอกเวลาที่บอกเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว ด้านหน้าของหอมีรูปสลักหลายรูปที่โดดเด่นเห็นแต่ไกล ถ้านับจากมุมตึกซ้ายมือที่เห็นเป็นอย่างแรกในลานกว้างก็คือรูปหล่อสัมฤทธิ์เขียวทรงม้า ของ..ของใครวะ ?
“เป็นรูปหล่อของ โคสิโมที่ ๑ เดอ เมดิซี่ (Cosimo I de Medici) หรือ Cosimo the Great เป็นผู้ปกครองแคว้นทัสคานีซึ่งเท่ากับเป็นประเทศในยุคนั้น ถือว่าเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของตระกูลเมดิซี่ในยุคคริสตศตวรรษที่ ๑๖ ครับ” “ท่านผู้นำ” มาช่วยชีวิตเอาไว้ทันพอดี “ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ตระกูลเมดิซี่เป็นตระกูลที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองอย่างผูกขาดในแคว้นทัสคานี แต่เดิมมาจากชาวไร่ชาวนา พอค้าขายร่ำรวยขึ้นมาก็ตั้งธนาคาร บริหารจัดการจนธนาคารเมดิซี่เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป...
ในคริสตศตวรรษที่ ๑๖ สมาชิกจากตระกูลนี้ ๒ คนได้เป็นพระสันตะปาปา คือสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ ๑๐ และ สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ ๗ เรียกว่ามีอำนาจเต็มทั้งทางอาณาจักรและทางศาสนจักร “เขาเล่าว่า” ชาวเมืองฟลอเรนซ์ในยุคนั้นครึ่งเมือง ต้องทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้กับตระกูล “ชินวัตร” เอ๊ย..ตระกูลเมดิซี่นี้ หลังจากนั้นแม้ว่าจะพ้นยุครุ่งเรืองที่สุดไปแล้ว คนในตระกูลเมดิซี่ก็ยังได้เป็น สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ ๑๑ อีก ๑ พระองค์”
“นี่เป็นประวัติศาสตร์ฉบับ “ผีบอก” หรือเปล่า ?”
“เป็นประวัติศาสตร์ของแท้พิสูจน์ได้ครับ” เออ..ตูจะได้อ้างอย่างเต็มปากเต็มคำหน่อย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23958&stc=1&d=1448923911
รูปปั้นเทพสมุทรที่ยากจนถึงขนาด..!
ที่ข้างขวาของป้อมปราการ เป็นรูปเทพสมุทรโพไซดอน (Poseidon) ของกรีซ ที่ชาวโรมันเรียกว่าเนปจูน (Neptune) แกะสลักจากหินอ่อน ยืนอยู่ในอ่างน้ำพุขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นธรรมดาของเทวดาฝรั่งที่น่าสงสาร ก็คือไม่มีผ้าจะนุ่ง ยืนโชว์ ช้างน้อย โทง ๆ มีเทพบุตรตัวเล็กแก้ผ้าโชว์ ช้างน้อยกว่า ที่ งวง ค่อนข้างยาว พันแข้งพันขาอยู่อีก ๒ องค์ รูปแกะสลักนี้ตั้งอยู่บนหมู่ ม้าน้ำ ที่หน้าตาเหมือนม้าบก ๔ ตัว ส่วนรอบอ่างน้ำพุนั้น มีเทวดานางฟ้าหล่อจากสัมฤทธิ์เขียวในอิริยาบถต่าง ๆ ที่เหมือนกันก็คือหาผ้านุ่งไม่ได้ เหตุเพราะศิลปินต้องการโชว์ความแม่นยำของลักษณะกายวิภาคและความงดงามที่เป็นธรรมชาติ จึงจับเทวดานางฟ้าแก้ผ้าซะหมด..!
ถัดไปทางด้านขวาของประตูใหญ่ป้อมปราการ นั่นคือรูปสลัก เดวิด ที่ว่ากันว่าเป็นหนุ่มที่รูปหล่อที่สุดในโลก ในอิริยาบถยืนเขย่งเท้าข้างหนึ่ง ซึ่งศิลปินตั้งใจ โชว์พาว ของตัวเองว่าแม่นยำต่อศูนย์ถ่วงของรูปปั้นเพียงใด จึงสลักเสลาออกมาในลักษณะแบบนี้ รูปนี้เป็นแค่ของทำเลียนแบบเท่านั้น ของจริงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่พวกเรามาผิดเวลาจึงเข้าไปชมไม่ได้ แต่รู้สึกว่าพ่อหนุ่มหน้าตาออกจะเศร้า ๆ ไปหน่อย คงเป็นเพราะมีปมด้อยที่ ช้างน้อย ของตัวเองนั้น น้อยจนอยู่ในระดับอนุบาล อาจจะเกิดจากศิลปินแกะสลักรูปช่วงหน้าหนาวก็เป็นได้ จึง หดจู๋ ซะขนาดนั้น..!
ด้านหลังของพ่อหนุ่มหน้าเศร้า เป็นรูปปั้นแขนกุดของเทพีแห่งความงาม (Venus) ที่ทำจำลองขึ้นมาเช่นกัน เนื่องจากแขนของคุณเธอกุดไป อาตมาจึงให้อภัยที่เธอทำผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ไม่สามารถที่จะนุ่งให้เรียบร้อยได้ ถัดไปตรงมุมป้อมเป็นรูปของจอมพลังเฮอร์คิวลีส (Hercules) ยืนถือกระบองสั้น จิกหัวศัตรูที่ถูกสยบเอาไว้ ยืนอยู่บนฐานหินอ่อนที่แกะสลักเป็นรูปหัวสัตว์ ทั้งสิงห์ หมาป่า หมูป่า แต่ที่สั้นกว่ากระบองยังคงเป็น ช้างน้อย ของเฮอร์คิวลีสตามเคย รูปสลักเหล่านี้ดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ เพราะว่าแม้จะแกะสลักขึ้นมาจากหินอ่อน แต่ก็มีชีวิตชีวาเหมือนจริง ขนาดสีหน้าท่าทางยังบ่งบอกอารมณ์ต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23962&stc=1&d=1448965822
เทพเปอร์ซีอุสตัดหัวนางอสูรกอร์กอน
ตรงกับรูปสลักพ่อหนุ่มบ้าพลัง เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมหลังคาตัด แบ่งตัวอาคารออกเป็นสามช่วงด้วยซุ้มโค้ง สองข้างซุ้มโค้งที่เป็นทางขึ้นมีรูปสลักสิงห์เหยียบโลก (ลูกบอล ?) ที่เก่าแก่จนสึกกร่อนไปมากแล้ว ข้างซ้ายมือที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์เขียวของ Perseus ที่ตัดหัวนางผมงู Medusa ชูให้เลือดไหลย้อย โดยที่เปอร์ซีอุสเหยียบอยู่บนร่างของนางกอร์กอนเมดูซ่า และเป็นธรรมเนียมของช่างยุคนั้น ที่ต้องการอวดสรีระของทั้งชายและหญิง ดังนั้นเทพเปอร์ซีอุสและนางอสูรเมดูซ่าจึงเปลือยเปล่าทั้งคู่ ดูยากจนพอ ๆ กัน..! รูปหล่อนี้ตั้งอยู่บนฐานหินอ่อนที่สลักเสลาเป็นซุ้มเข้าไป มีรูปหล่อสัมฤทธิ์ทั้งชายและหญิงที่ไม่ใหญ่มากนักอยู่ข้างในฐานด้วย...
ข้างหลังของรูปสลักเปอร์ซีอุส เป็นรูปสลักหินอ่อนของทหารผู้หนึ่ง ที่อุ้มหญิงสาวเปลือยเปล่าอยู่ในมือซ้าย มือขวาถือดาบเงือดเงื้อจะฟันใส่ผู้หญิงผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ที่พยายามจะฉุดกระชากลากถูทหารซึ่งเหยียบคร่อมอยู่บนซากศพผู้ชายที่น่าจะเป็นสามีของหญิงใจเด็ดคนนั้น ทุกคนในรูปสลักนั้น เหยียดกายบิดผันไปในแง่มุมที่สามารถอวดกายวิภาคทั้งชายและหญิงได้สมจริงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผ้าผ่อนที่จีบพับยับย่นเหมือนจริงจนสงสัยว่า “ช่างเขาสลักได้อย่างไรวะ ?”
ด้านหลังที่ติดผนังเป็นรูปสลักหินอ่อนชายหญิงเรียงรายอยู่ ๖ รูป มีทั้งงามสง่า เคร่งขรึม อมยิ้ม ครุ่นคิด ฯลฯ น่าจะเป็นบุคคลสำคัญของตระกูลเมดิซี่ที่ทรงอำนาจในยุคนั้น จนบรรดาช่างต้องทำการแกะสลักให้อย่างสุดฝีมือ ถึงจะไม่ได้อวดกายวิภาคเหมือนกับรูปหล่อและรูปปั้นที่แล้ว ๆ มา แต่ก็แสดงถึงฝีมือชั้นครูที่ถ่ายแบบจากคนจริงลงมาสู่หินอ่อน จนแสดงบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนออกมาอย่างได้อารมณ์สมจริงยิ่งนัก...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23963&stc=1&d=1449018035
หนึ่งหญิง..สองชาย
ด้านหน้ารูปสลักหินอ่อนทั้ง ๖ ตรงช่วงกลางของอาคาร เป็นรูปของทหารผู้เศร้าโศกที่กำลังยกร่างเปลือยของผู้ที่น่าจะเป็นเพื่อนร่วมสมรภูมิ ซึ่งทิ้งร่างแบบหมดสภาพ น่าจะตายไปแล้วมากกว่าสลบไสล ถ้าเป็นสมัยนี้คงถูกฟันธงว่าเป็นคู่ขาเกย์แน่ ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าสมัยนั้นจะไม่มี เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยเหมือนกับยุคนี้ และจิตใจของคนที่ไปชมก็สนใจแต่ศิลปะ มากกว่าที่จะคิดอะไรไปในทางลามกเสื่อมเสีย เอ..นี่ตูกำลังว่าตัวเองอยู่หรือเปล่าหว่า ?
ถัดไปชิดผนังอาคารมีรูปสลักหินอ่อนตั้งอยู่บนฐาน ๒ รูปด้วยกัน รูปที่อยู่ด้านหน้าเป็นรูปสลักของสองชายที่ยื้อแย่งหนึ่งหญิง ทั้งสามคนต่างก็เปลือยเปล่าอยู่ในชุดวันเกิด คนที่ยืนฉวยได้แม่ยอดหญิงไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าสาวเจ้าจะยินยอมพร้อมใจ เพราะยังดิ้นรนปัดป่ายสุดชีวิต ขณะที่อีกหนึ่งชายที่ถูกหนีบอยู่ใต้หว่างขาของอีกฝ่ายก็หันไปมองด้วยความเสียใจและเสียดาย ที่ปกป้องหญิงอันเป็นที่รักของตนไม่ได้ จากสีหน้าทำให้คิดถึงพุทธภาษิตที่ว่า ปิยโต ชายเต โสโก ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ขึ้นมาทันใด...
รูปที่อยู่ด้านหลังเป็นเจ้าหนุ่มบ้าพลัง Hercules คนเดิม ถือกระบองสั้นอันเดิม แต่คราวนี้กำลังยืนไขว้คร่อมอยู่บนหลังส่วนที่เป็นม้า ใช้มือขวากดคอมนุษย์ม้า (Centaur) จนแหงนหงาย มือซ้ายเงือดเงื้อกระบองเตรียมทุบ ดูท่าแล้วมนุษย์ม้าคงต้องไปหาที่เกิดใหม่เป็นแน่ รูปนี้อวดกล้ามเนื้อทั้งของเฮอคิวลีสและของคนครึ่งม้า ที่ทั้งสวยงามและถูกต้องตามหลักกายวิภาค จนสาว ๆ บางคนเห็นแล้วอาจจะถึงกับละเมอหาเลยก็เป็นได้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23967&stc=1&d=1449053597
ถ่ายรูปหมู่ใต้ "ช้างน้อย" ของเทพสมุทร..!
“พระครูวิลาศฯ..ถ่ายรูปหมู่ด้านนี้ค่ะ” เสียงของ “หญิงใหญ่” ประจำคณะตะโกนจนบรรดาฝรั่งหันไปมองเป็นตาเดียว พรรคพวกไปรวมตัวกันบริเวณรูปน้ำพุเทพสมุทรกันแล้ว อาตมาก้าวยาว ๆ มาถึงก็นั่งลงที่แถวหน้าสุดระหว่างพระครูกุ้ยไฮ้กับท่านอาจารย์คณบดี ยังขาดพระครูวิสุทธฯ พระครูโจ และพระครูปรีชา แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็น ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย ท่านอาจารย์ตู๋ คุณโอ๋และคุณโอเล่ ก็ไม่รอแล้ว จัดการถ่ายรูปเป็นการใหญ่...
อีตอนจะลุกขึ้นนี่สิ สะโพกเจ็บแปลบจนแทบจะทรุดกลับลงไปนั่งใหม่ ต้องวางฟอร์มตีหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ เดินตามพรรคพวกไปแบบไม่มีอะไรกระโตกกระตาก “เฮ้ย..! พลั่ก..!” ที่ตะครุบกบจนพรรคพวกตกใจและฝรั่งหันมามองกันทั้งกลุ่ม กลายเป็นพระครูชินฯ ท่านเจ้าอาวาสวัดบ้านฆ้องน้อย ที่สร้างโบสถ์จตุรมุขหลังมหึมา เครียดกับงานจนเส้นเลือดในสมองตีบ เข้าโรงพยาบาลไปแล้ว ออกมาก็ยังไม่ปกติ เวลาเดินจะลากขาเหมือนเป็นคนพิการ ไม่ทราบว่าเดินอีท่าไหนถึงได้ลงไปวัดพื้นหน้าหอศิลป์อุฟฟิซี่ (Galleria degli Uffizi) จนทราบว่าขนาดกว้างยาวเท่าไร ดูท่าจะเจ็บไม่เบากว่าอาตมาเลยทีเดียว...
พรรคพวกช่วยกันหิ้วปีกขึ้นมาแล้ว หลวงพ่อพระครูญารีบช่วยนวดขาให้ นับว่าเป็นวาสนาของท่านเจ้าอาวาส ที่ท่านเจ้าคณะอำเภอท่ายางบริการให้แบบไม่ถือเนื้อถือตัว “ขอบคุณมากครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่เดินสะดุดแต่ขามันไปไม่ได้อย่างใจก็เลยล้ม” เมื่อเห็นว่าท่านเดินได้ตามปกติ ก็คือขาลากหน่อย ๆ เหมือนเดิม พวกเราก็เบาใจ เดินเกาะกลุ่มกันตามมัคคุเทศก์รูปหล่อ ตรงเข้าไปในซอยที่เป็นอาคารยาวเหยียดสองฝั่ง แล้วมีตัวอาคารลอยฟ้าสกัดเป็นรูปตัว U มีนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เดินกันค่อนข้างแน่นทีเดียว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23971&stc=1&d=1449096592
หุ่นมีชีวิตขอถ่ายรูปด้วย
“สะกู๊ซี่..โป๊สโซ่ สะกัตตาเร่ อูหนะ โฟ้โต้ ?” (Scusi...Posso scattare una foto ?) ชายสูงอายุที่แสดงเป็นหุ่นในชุดเสื้อคลุมร้อยจีบย้อนยุค ใส่หมวกจีบยกปีกที่เป็นสีทองทั้งชุดและร่างกาย เปลี่ยนจากหุ่นที่ยืนแข็งทื่อมาเป็นคนทันที ร้องถามมาด้วยเสียงค่อนข้างแหลม “เขาขอถ่ายรูปกับคณะของท่านครับ” ยังดีที่มี “เจ้าถิ่น” ช่วยแปลให้ เมื่อทุกคนทราบความก็ร้อง OK พร้อมกัน ทำเอาคุณโอ๋ต้องหันกลับมาดู แล้วตะโกนบอกว่า “ถ่ายรูปกับเขาต้องเสียเงินนะครับ”...
พระครูวิสุทธฯ ที่มาสมทบตอนพระครูชินฯ ล้ม ร้องบอกว่า “งานนี้ดูท่าว่าเขาต้องเสียเงินให้พวกเราแล้วแหละ พระครูวิลาศฯ บอกว่าเขาขอถ่ายรูปกับคณะของเราเอง” มัคคุเทศก์รูปหล่อทำท่าแปลกใจ ส่งภาษาอิตาเลียนเร็วปรื๋อถามไป หุ่นมีชีวิตยืนยันว่าเป็นฝ่ายขอถ่ายกับพวกเราเอง “น่าแปลกนะครับ ปกติมีแต่คนไปขอถ่ายรูปกับเขา และต้องจ่ายเงินด้วย นี่เขากลับมาขอถ่ายรูปกับพระอาจารย์ทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นก็นิมนต์ตามสบายครับ” พวกเราจึงชักแถวอย่างรีบด่วน...
หุ่นมีชีวิตเอามือขวาแนบอก มือซ้ายที่ถือดอกกุหลาบงอไว้เกือบกึ่งกลางอก ซึ่งเป็น “ท่าหากิน” ของเขา คุณโอ๋จัดการถ่ายรูปให้ โดยที่ขาดพวกเราซึ่งเดินล่วงหน้าไปหลายคน “เฮ้ย..! เฮ้ย..! No..! No..!” เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของพระครูกุ้ยไฮ้ดังลั่น จนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว ที่แท้พอถ่ายรูปเสร็จ หุ่นมีชีวิตก็เอื้อมมือจะจับหัวของท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำสิงห์โตทอง ทำเอาลูกศิษย์หลวงปู่โต๊ะต้องรีบร้องห้ามขึ้นมาก่อน พวกเราหัวเราะกันครืน เล่นเอานายหุ่นทำท่าไม่ถูกว่าจับได้หรือไม่ได้ ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นจับมือกันแทน นายหุ่นบอกว่า “กราเซีย (Grazie)” คำขอบคุณนี้อาตมาฟังออก พวกเราหลายคนโบกมือให้ ก่อนที่จะเดินกันต่อไป...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23976&stc=1&d=1449147560
ศิลปวัตถุรูปมือเหล็ก
ทางที่พวกเรามุ่งไปมีคนค่อนข้างหนาแน่น รถขัดพื้นของเทศบาลคันหนึ่งวิ่งชิดขอบถนน แปรงขัดพื้นแบบกลมขนาดใหญ่ปั่นจี๋ไปเรื่อย ถ้าไม่ใช่พื้นหินแบบนี้มีหวังสึกหมดในเวลาไม่นาน รถยนต์ทั้งรถส่วนตัว รถแท็กซี่ วิ่งเอื่อย ๆ ด้วยความเร็วประมาณ ๓๐ ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดูแล้วคนน่าจะเดินได้เร็วพอกัน จักรยานก็มีแทรกมาเป็นระยะ ส่วนมากเป็นหญิงชายวัยกลางคน ไม่ใช่วัยรุ่นที่ชอบสนุกเหมือนกับบ้านเรา...
เจ้าของหมาจูงหมามาเดินเล่น ในมือมี ถุงก๊อบแก๊บ สวมเอาไว้ด้วย พอหมาขี้เจ้าของก็เก็บ มิน่าล่ะ..ถึงได้มีการประชดว่า ทาสหมา หรือ ทาสแมว ริมถนนมีบรรดาศิลปินนำเอาภาพเขียนมาวางขาย ใครตาถึงก็ไปเล็งและต่อราคากันเอาเอง ถ้านานไปเกิดผู้เขียนดังขึ้นมาระดับมิเคลันเจโล คนซื้อมีหวังรวยไม่รู้เรื่อง ศิลปินรายหนึ่งมีหมาผูกอยู่ใกล้ ๆ ดูแล้วน่าจะเป็นพันธุ์ Jackal หรือ ที่บ้านเราเรียกว่าหมาไน เจ้าตัวนี้ยังเป็นวัยรุ่น ดูเชื่องน่ารักดี...
หนุ่มสาวคู่หนึ่งเห็นอาตมากำลังถ่ายรูปเจ้าหมาไน จึงเข้ามาขอถ่ายรูปกับอาตมาด้วย ทั้งสองคนผลัดกันถ่ายคนละที กว่าจะ กราเซีย ก็เล่นเอาพรรคพวกเดินไปถึงริมน้ำแล้ว ตรงนั้นเป็นซุ้มโค้งของก้นตัว U คือสุดแนวตึกพอดี เมื่ออาตมาตามไปถึง เห็นมี มือเหล็ก ที่ไม่รู้ว่า Iron man ทำหลุดไว้หรือเปล่า ? ทุกคนกำลังผลัดกันถ่ายรูป อาตมาจึงเข้าไปนั่งส่งกล้องให้พระครูปรีชาถ่ายให้ด้วย ส่วนพระครูโจขึ้นไปนั่งบนขอบกำแพงที่กั้นริมแม่น้ำอาร์โน ขอให้เพื่อน ๆ ถ่ายรูปให้ เลยโดนแซวว่าถ้าหงายหลังลงไป มีหวังคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีขาดบุคลากรสำคัญไปคนหนึ่งเป็นแน่ ท่านเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดจึงรีบลงมาอย่างไวเลย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23980&stc=1&d=1449187252
สะพานดึกดำบรรพ์ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ครั้นชะโงกข้ามกำแพงไปดู เห็นสายน้ำสีโอวัลตินของแม่น้ำอาร์โนกำลังไหลเอื่อย ๆ มีเรือกรรเชียงกำลังอยู่หนึ่งลำ ที่สองหนุ่มกำลังกรรเชียงเหมือนเพิ่งหัดใหม่ ริมแม่น้ำติดกับกำแพงมีที่ว่างค่อนข้างกว้าง ส่วนหนึ่งทางซ้ายมือกั้นตาข่ายทำเป็นสนามฟุตซอล ซึ่งคู่แข่งทั้งสองทีมกำลังวิ่งไล่เตะลูกหนังกันอย่างสนุกสนาน ส่วนที่เหลือมีทั้งรถตู้และมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ไกลออกไปมีสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ทอดข้ามแม่น้ำ พอมองมาทางขวามือก็เห็น สะพานตึก ที่มีตัวอาคารสีเหลืองสดบ้าง เหลืองซีดบ้างตั้งอยู่ข้างบน นั่นคือสะพานปอนเต เวคคิโอ (Ponte Vecchio) เป้าหมายของพวกเรา...
มัวแต่ถ่ายรูปแม่น้ำและสะพาน เมื่อหันกลับมาก็ต้องเดินตามหลังท่านอาจารย์ ดร.วันชัย ซึ่งงานนี้ทำตัวเป็นศิษย์วัดที่น่ารักมาก เพราะบริการเข็นรถเข็นให้ท่านพระครูด็อกเตอร์ตลอด ทางเดินช่วงนี้ค่อนข้างแคบ เป็นซอกริมกำแพงกั้นแม่น้ำขนานไปกับตัวตึก แบ่งออกเป็นสองช่วง ส่วนที่ติดกับตัวตึกเป็นถนนที่ให้รถวิ่งได้ด้วย ส่วนถัดมาติดกับแม่น้ำเป็นซุ้มโค้งแคบ ๆ ให้คนเดินพอที่จะตะแคงสวนกันได้ ที่เสาซุ้มหนึ่งมีจักรยาน รุ่นพระเจ้าเหา กับตะกร้าสานเก่า ๆ ที่ดูเข้ากันได้อย่างประหลาดจอดพิงอยู่...
อาตมาหลบคนในซุ้มลงไปเดินด้านที่เป็นถนน จึงแซงทุกคนขึ้นหน้าไปถึงสะพานก่อนใคร สะพานปอนเตเวคคิโอแห่งนี้ เป็นสะพานแห่งเดียวที่รอดพ้นจากการระเบิดทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นับเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองฟลอเรนซ์ สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคโรมันเรืองอำนาจ ยุคแรกเป็นสะพานไม้ ต่อมาถูกน้ำพัดพังไป จึงสร้างขึ้นใหม่ด้วยคอนกรีต โดย Giorgio Vasari ซึ่งเป็นทั้งสถาปนิกและจิตรกร ได้ออกแบบให้มีหลังคาคลุมอยู่ข้างบน ส่วนหลังคาเป็นทางเดิน (loggia) เชื่อมระหว่างวังอุฟฟิซี่ (Palazzo degli Uffizi) กับวังปิ๊ตติ (Pitti Palace) ในระยะแรกมีร้านขายเนื้อและผักผลไม้มาตั้งอยู่ แต่ทำให้สกปรกมาก จักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ ๑ แห่งจักรวรรดิโรมัน จึงสั่งให้โยกย้ายออกไป เปลี่ยนมาเป็นร้านขายทองและอัญมณีแทน มี เจ้าถิ่น บรรยายเองแบบนี้ มั่นใจได้ว่าข้อมูลไม่ มั่ว แน่นอน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23984&stc=1&d=1449220698
รูปหล่อ "อาจารย์ปู่" สุดยอดศิลปินอีกท่านหนึ่ง (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
อาตมาเลี้ยวซ้ายแทรกคนขึ้นไปบนสะพาน เห็นผู้คนส่วนมากไปยืนถ่ายรูปกันตรงช่วงกลางของสะพาน ที่ไม่มีร้านค้ามาบดบังทัศนวิสัยของแม่น้ำอาร์โน เมื่อรอจังหวะจนคนว่าง อาตมาก็รีบมุดเข้าไปทางซ้ายก่อน ถ่ายรูปแม่น้ำกับอาคารบ้านช่องทั้งสองฝั่งแม่น้ำอย่างรวดเร็ว แล้วย้ายมาฝั่งขวาที่มีรูปหล่อคนครึ่งตัว ตั้งอยู่บนฐานหินอ่อนที่มีลวดลายโลหะประดับฐานอย่างสวยงาม ล้อมด้วยรั้วลูกกรงที่มีแม่กุญแจคล้องอยู่เต็มไปหมด รอจนผู้คนที่ถ่ายรูปกับรูปหล่อหมดแล้ว ก็รีบเก็บภาพเอาไว้ก่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของรูปหล่อนี้เป็นใคร...
“นายคนนี้ชื่อ Benvenuto Cellini เป็นทั้งนักปั้น นักแกะสลัก นักวาดภาพและนักดนตรี แต่ที่มาตั้งอยู่ตรงนี้ได้ เพราะแกเป็นช่างทองระดับ Grand master บรรดาช่างทองและอัญมณีที่มาเปิดร้านค้าขายบนสะพานนี้ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ยกให้แกเป็นปรมาจารย์” โห..ถ้า “ท่านผู้นำ” ไม่บอกก็ไม่รู้นะนี่ ว่ามาเจอยอดฝีมือระดับ “อาจารย์ปู่” เข้าที่นี่ได้ “ท่านจะคุยกับแกสักหน่อยไหมครับ ?” เฮ้ย..จริงดิ..! “ แทนที่จะตอบ “ท่านผู้นำ” โบกมือครั้งหนึ่ง ก็มี “ตาเฒ่า” หนวดเคราขาวยาวรุงรังในเสื้อคลุมสีขาว มีไม้เท้าในมือโผล่มาอย่างกับเล่นกล...
“บวนนาเซรา (Buonasera) ยินดีที่ได้พบกับท่านขอรับ” อีกฝ่ายสวัสดีตอนเย็น เอ..ผีพูดอิตาเลียนตูดันฟังออก ทีคนพูดทำไมฟังไม่ออกวะ ? อีกฝ่ายหัวเราะ “ท่านได้ยินด้วยใจก็ฟังออกสิครับ ถ้าได้ยินด้วยหูถึงจะฟังไม่ออก” เมื่อถามว่าตอนนี้ “อยู่” ที่ไหน ? ด้วยอำนาจบุญอะไร ? อาจารย์ปู่ตอบว่า “ชั้นจาตุมหาราชครับท่าน เกิดจากอำนาจสมาธิในขณะสร้างสรรค์ผลงาน แต่ตอนตายจิตใจไม่มุ่งมั่นเหมือนกับตอนทำงาน สมาธิไม่เกิด จึงไปได้เพียงแค่นี้เอง” แค่นี้ก็สุดยอดแล้วปู่ อาตมาบอกให้อาจารย์ปู่แกโมทนาบุญทุกอย่างที่ทำมา “ท่านผู้นำ” ดันฉวยโอกาสโมทนาด้วย ชักจะค้ากำไรเกินควรแล้วเว้ย..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23987&stc=1&d=1449272299
แค่ตู้เดียวก็ตาลายหมดแล้ว..!
แล้วทำไมปู่ถึงโลภมากเป็นซะเยอะแยะไปหมด ไม่แบ่งคนอื่นเขาบ้างล่ะ ? อาจารย์ปู่ยิ้มฟันขาวลอดหนวดออกมา แกจัดว่าเป็นคนแก่ที่ หล่อมาก ทีเดียว ภาษิตจีนเขาว่า ชำนาญหนึ่งปรุโปร่งร้อย ผมก็แค่ชำนาญเรื่องเดียวเท่านั้นเองครับ แหม..โคตรจะถล่มตัวเลย แต่อีตอนนี้คนชักเขม่นที่อาตมายืนเกะกะไม่ยอมขยับเสียที โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่นะปู่นะ อาจารย์ปู่น้อมคารวะมือเดียวเหมือนนักบวชเส้าหลิน แล้ว หายหัว ไป ปล่อยให้อาตมาเดินต่อตามสบาย...
โอ้แม่เจ้า..ร้านขายทอง ร้านขายเพชรพลอย เป็นสิบ ๆ ร้านเลย มีทั้งทองคำ 18K สีซีด ๆ ทองคำขาว เงิน ไข่มุก และอัญมณีที่ไม่รู้จักมากจนตาลาย อาตมาสนใจเทอร์คอยส์ที่แท้แน่นอน แต่ราคาก็แท้แน่นอนไปด้วย จึงได้แต่ถอยมาด้วยความเสียดาย บางร้านมีนาฬิกาไปครึ่งตู้ "สวิสเมด" แทบทั้งนั้น ราคาต่ำสุดก็เกือบห้าร้อยยูโร ระดับ ๔,๐๐๐ ยูโรถือเป็นราคาปกติ แสลงกระเป๋าเป็นบ้าเลย...
เดินเรื่อยเปื่อยแบบซื้อของด้วยกล้อง ไม่ต้องเสียสตางค์ บางร้านมีของเก่าวางขาย แต่ดันเป็นวัตถุโบราณจากจีน ประเภท เครื่องหมิง มีทั้งจานลายคราม ชุดน้ำชาลายคราม ขวดยานัตถุ์ ฯลฯ บางร้านก็จำหน่ายภาพเขียน งานแกะสลัก รูปลอยตัวเลียนแบบของศิลปินชื่อดัง น่าจะได้ลิขสิทธิ์จากลูกหลานเจ้าของผลงาน ไม่อย่างนั้นมีหวังติดคุกหัวโต พระครูวิลาศฯ จะเดินไปถึงไหนคะ ? เสียง หญิงใหญ่ ถามขึ้น อาตมาถึงรู้ตัวว่าเดินมาไกลเกินพรรคพวกเสียแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23992&stc=1&d=1449301518
ขอกินของแพงให้สะใจหน่อยเถอะ..!
ในมือของ หญิงใหญ่ ถือไอศกรีมรสสตอเบอรี่โคนมหึมา บอกว่า ราคา ๖ ยูโรค่ะ ขอกินหน่อยเถอะ จะได้กลับไปอวดเขาว่า ของแพงขนาดนี้ก็กินมาแล้ว อือม์..ดูจากหุ่นแล้วถึงกินไปก็ไม่ได้สวยน้อยลงหรอก เชิญตามสบายเลย อาตมาว่าแล้วก็เดินดูของต่อไป แต่เพิ่งขยับไปได้ ๒ ร้าน เสียงของ หญิงใหญ่ ก็ดังมาแต่ไกล พระครูวิลาศฯ เขากลับกันหมดแล้วค่ะ เฮ้อ..มารความสุขจริง ๆ เล้ย..!
เดินย้อนกลับมาทางหัวสะพาน แล้วมุ่งตรงไปตามถนนข้างหน้าที่เห็นจีวรพรรคพวกเด่นอยู่แต่ไกล พักเดียวก็แซงรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์ เฮ้ย..หล่นจนได้ เสียง หญิงใหญ่ ที่เดินตามหลังรถที่เข็นโดยท่านอาจารย์ ดร.วันชัยบ่นแบบอารมณ์เสีย เพราะไอศกรีมโคนใหญ่ที่โปะมาจนบานเป็นดอกเห็ด ละลายหล่นไปมุมหนึ่งแล้ว ความห่วงกินมากกว่าห่วงสวย คุณเธอก็เลยงับไปคำเบ้อเริ่ม ถ้ากินแบบนี้แต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว...
ตึกแถวสองฝั่งล้วนแต่จำหน่ายสินค้าแบรนด์เนม ที่เห็นมีทั้ง Armani, Burberry, Dior, Fendi, Giorgio Armani, Gucci, Hogan, Tod's, Valentino เรื่องราคาไม่ต้องไปพูดถึง ถ้าไม่ใช่เงินถุงเงินถังจริง ๆ อย่าได้เฉียดเข้าไปใกล้เชียว เป็นอันตรายต่อสุขภาพของกระเป๋าเงินอย่างสาหัส บางร้านเปิดรับแลกเงิน อัตราแลกเปลี่ยนวันนี้อยู่ที่ ๑.๒๐๗๖ ดอลลาร์ต่อยูโร เมื่อเดินไปอีกไม่กี่นาที ก็มองเห็นอาคารลักษณะเหมือนกับอาคารที่ตั้งรูปสลัก บริเวณหน้าหอศิลป์อุฟฟิซี่ แต่ที่นี่มีข้าวของเครื่องใช้เต็มไปหมด ส่วนมากเป็นเครื่องหนังประเภทกระเป๋าต่าง ๆ สารพัดสี...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23997&stc=1&d=1449356280
"อ้ายเขี้ยวตัน" ที่มีแต่คนมา "ขอพลัง"
“เครื่องหนังบริเวณนี้ราคาถูกที่สุดครับ คุณภาพก็ดีด้วย กระเป๋าสะพายของกระผมก็ซื้อจากแถวนี้แหละครับ นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านตามสบาย ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบชั่วโมง” คุณโอ๋ว่าจบพรรคพวกก็เดินลุยไปยังร้านค้าต่าง ๆ ทันที อาตมาเดินตามไปได้หน่อยเดียวก็สะดุดกึก “เฮ้ย..อ้ายเขี้ยวตัน..!”
ตรงหน้าของอาคารติดกับร้านขายกระเป๋าหนังนั้น มีรูปหล่อหมูป่าตัวมหึมาในท่ายันสองขาหน้าลุกขึ้นจากปลักโคลน สองเท้าหลังยังพับเพียบสบายใจอยู่เลย ปากที่มีเขี้ยวยาวโง้งนั้นถูกคนลูบจนเงาวาววับเป็นสีนากสุกปลั่ง แหม่มหลายคนกำลังลูบ ๆ คลำ ๆ เพื่อ “ขอพลัง” คนหนึ่งพยายามเอาเหรียญยูโรวางให้อยู่ในปากหมูที่มีน้ำใสไหลริน ๆ แต่วางทีไรก็หล่นทุกที...
อาตมาที่เคยเกิดเป็น “อ้ายเขี้ยวตัน” อยู่ ๆ มาเห็นรูปปั้นตัวเองรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก พอบรรดาแหม่มถอยออกไปแล้ว หลวงพ่อพระครูเลิศก็ส่งไอแพดของตัวเองให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย ช่วยถ่ายรูปตัวเองกับหมูป่าให้ด้วย พระครูด็อกเตอร์กับใบฎีกาวรัญญูเข้าไปลูบ ๆ คลำ ๆ กันคนละฝั่งให้ "หญิงใหญ่" ถ่ายรูปบ้าง ถัดไปก็เป็นพระครูกล้าที่เอามือซ้ายยัดเข้าปากหมูไปเลย กับพระครูปรีชาที่แค่เอามือค้ำหัวหมูให้ท่านอาจารย์ช่วยถ่ายรูปให้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23998&stc=1&d=1449382865
มาหาซื้อ "อ้ายเขี้ยวตัน" ที่ "รถเข็น" คันนี้
มาถึงองปลัดที่จับแก้มหมูกับพระครูญาณฯ ที่คลำหูหมู อุตส่าห์ยืนฝั่งเดียวกันแล้ว กลับโดนแหม่มในเสื้อยืดลายขวางสีขาวเขียวตัดหน้า ยื่นมือคลำปากหมูบังองปลัดจนมิดไปทั้งตัว เรียกว่าบทจะซวยพระก็ช่วยไม่ได้ เมื่อถ่ายรูปให้คนอื่นตามคำเรียกร้องแล้ว ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยก็ส่งกล้องให้คุณโอ๋ แล้วไป ขอพลัง จากหมูทองแดงที่ฝรั่งเรียก Bronze Boar Statue บ้าง...
เว้ยยย..! พลั่ก..! เสียงดังฟังชัดมาจากองปลัด สงสัยว่ารับพลังจากอ้ายเขี้ยวตันมากจนเกินไปหรือโดน หมูดีด ก็ไม่รู้ ? อยู่ดี ๆ ก็ร่อนลงจากร้านขายเครื่องหนัง ซึ่งสูงเสมอแท่นอนุสาวรีย์หมูทองแดง หน้าทิ่มลงพื้นไปท่ามกลางเสียงกรี๊ดของแหม่มหลายคน กลายเป็นซวยซับซวยซ้อน คงต้องไปรดน้ำมนต์สัก ๗ วัด พวกเรารีบช่วยกันพยุงเพื่อนนักบวชอนัมนิกายขึ้นมาดูอาการ อีกฝ่ายลูบเข่าตัวเองพร้อมกับสูดปากไปด้วย แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก นอกจากเดินเขยกเล็กน้อยเท่านั้น...
วงแตกเพราะองปลัด หรือบรรดาฝรั่งแห่ห้อมมา ขอพลัง กันมากขึ้นก็ไม่รู้ ? พวกเราจึงแยกย้ายกันไปดูข้าวของเครื่องใช้ที่ผลิตจากหนังสารพัดแบบ อาตมาเดินไปที่ รถเข็น คันหนึ่งซึ่งมีสารพัดข้าวของ ทั้งหนังสือ โปสการ์ด หน้ากาก พวงกุญแจ แม็กเน็ตติดประตูตู้เย็น รูปหล่อเลียนแบบศิลปินดัง แต่ที่อาตมาเล็งอยู่ก็คือตุ๊กตา อ้ายเขี้ยวตัน ที่มีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24002&stc=1&d=1449442688
เอาไอ้ตัวเล็กมาถ่ายรูปกับไอ้ตัวใหญ่
ก๊วนโต้ ก๊อสต้า ? (Quanto costa ?) อาตมาหยิบตัวใหญ่ขึ้นมาถามราคา หนุ่มในเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์บอกว่า ตัวใหญ่ราคา ๑๒ ยูโร ตัวเล็กราคา ๖ ยูโร อาตมาต่อเหลือ ๑๐ ยูโร นายหนุ่มพยักหน้าให้ง่าย ๆ หยิบถุงมาใส่ให้ อาตมาควักกระเป๋าจ่ายไปแล้ว ถือถุงเดินกลับมาที่หมูทองแดง พอดีไม่มีใครเกะกะ จึงส่งกล้องให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย พร้อมกับล้วง อ้ายเขี้ยวตันน้อย ออกจากถุงมาถือไว้ นั่งลงบนแท่น อ้ายเขี้ยวตันใหญ่ ให้ท่านอาจารย์ช่วยถ่ายรูปให้ ท่านเลยถ่ายให้ทั้งกล้องของอาตมาและกล้องของตัวเอง...
จากนั้นอาตมาก็เดินตามรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์ ที่ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยบริการเข็นให้แบบมอบกายถวายชีวิต ตรงไปตามถนนที่มี ศิลปิน มาวาดผลงานด้วยชอล์กสีลงไป มีทั้งผลงานของตนเอง และเลียนแบบผลงานของศิลปินชื่อดัง มีคนรุมดูกันเป็นหมู่ ๆ ใครชอบใจก็โยนเงินใส่กล่องให้ เพื่อไม่ให้ ศิลปินไส้แห้ง เมื่อวาดเสร็จก็ลบทิ้ง แล้วเริ่มต้นวาดใหม่ เรียกว่าวาดจนหลับหูหลับตาก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว เป็นวิธีการหาความชำนาญที่ดีมาก...
พ้นถนนมาก็เป็นลานกว้าง ที่ด้านหนึ่งมี ม้าหมุน เหมือนงานวัดบ้านเรา บนลานนี้มีทั้งศิลปินที่เอารูปวาดมาวางขาย มีทั้งศิลปินที่ร้องเพลงด้วยชุดเครื่องเสียงที่เตรียมมา ซึ่งอย่างหลังนี้บางคนเสียงดีจนเหลือเชื่อ นอกจากรับบริจาคเงินแล้ว ยังมีแผ่น CD ผลงานของตัวเองวางจำหน่ายอีกด้วย พรรคพวกของเราหลายรูปไปยืนดูและฟังเพลง โดยที่มีฝรั่งมายืนดูและถ่ายรูปพวกเราอีกทีหนึ่ง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24006&stc=1&d=1449480710
ที่นั่งเต็มครับ โปรดบำเพ็ญตนเป็น "พระยืน" ไปก่อน
ใกล้เวลาแล้ว ไปที่จุดนัดพบเถอะ หลวงพ่อพระครูเลิศที่รู้สภาพสังขารตัวเองดี อยากจะเดินแต่เนิ่น ๆ ร้องชวนเพื่อน ๆ ขึ้นมา เดี๋ยวซิ..ผมยังไม่ได้กระเป๋าซักใบเลย พระครูกล้าทักท้วง หญิงใหญ่ เดินมาถามว่า พระครูวิลาศฯ ซื้ออะไรมาคะ ? หนูช่วยถือให้ค่ะ พออาตมาล้วง อ้ายเขี้ยวตันน้อย ออกมาโชว์ หญิงใหญ่ เห็นเข้าก็กรี๊ดกร๊าดชอบใจ ว้าย..น่ารัก เขาขายกันที่ไหน ทำไมหนูไม่เห็นเลย ? ก็เล่นไปดูแต่กระเป๋ากัน คงจะได้เห็นอยู่หรอก...
รถเข็นประจำคณะ ต้องหอบข้าวของพะรุงพะรังตามเคย ส่วนหนึ่งเคลื่อนพลตามอาตมากลับไปยังจุดนัดพบ อีกส่วนหนึ่งติดตามพระครูโจที่โดนพระครูกล้าลากไปช่วยต่อราคาของ ความจริงแล้วพวกเขาอยากได้อาตมาหรือใบฎีกาวรัญญูมากกว่า แต่ทั้งสองรูปเป็นพวก เสือปืนฝืด ไม่ค่อยจะยอมซื้อข้าวของกับใคร ยุเท่าไรก็ยุไม่ขึ้น จึงเอาคอเดียวกันไปดีกว่า...
เดินตรงไปไม่ถึงสามนาทีก็มาถึงหน้าหอศีลจุ่มด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามกับ ประตูสวรรค์ ซึ่งทางนี้ปกติตรงมุมตึกมีเสาร้อยโซ่กั้นเอาไว้ แต่ตอนนี้มี มือดี มาปลดโซ่ออก พวกเราก็เลยเดินผ่านไปแบบหน้าตาเฉย จะหาที่นั่งพักก็มีแต่บรรดาฝรั่งจับจองกันหมดแล้ว อาตมาจึงเดินหามุมใหม่เพื่อถ่ายรูปมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ และหอระฆังจิออตโต แต่ขนาดถอยจนชิดตึกแถวแล้ว ยังได้ไม่ค่อยจะเต็มหลัง ถ้าไม่เกรงใจว่าจะโดนฝรั่งที่เดินกันขวักไขว่เหยียบเอา อาตมาก็คงนอนลงกับพื้นเพื่อถ่ายรูป แบบที่เคยทำที่พระมหาเจดีย์ชเวดากองมาแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24008&stc=1&d=1449529600
จอดรถแถวนี้ชั่วโมงละ ๓๖๐ บาท..! (ภาพฝีมือท่านอาจารย์ ดร. วันชัย)
ถูกกระแทกจากข้างหลังพลั่กใหญ่ อาตมารีบก้าวหลบพร้อมกับตะครุบกระเป๋าจิงโจ้ไว้ หันไปดูนึกว่าเป็นพวก “Pickpocket” แกล้งกระแทกเพื่อล้วงกระเป๋า ที่ไหนได้...กลายเป็นฝรั่งตัวเท่าตึก ถอยหามุมเพื่อถ่ายรูปใบฎีกาวรัญญู ตาก็มองกล้อง มือก็ปรับเลนส์ เท้าก็ถอยให้ได้มุมที่ต้องการ เลยกระแทกอาตมาเข้า นี่ถ้านอนถ่ายรูปอยู่คงโดนเหยียบไปแล้วจริง ๆ...
อาตมาเดินไปดูที่จอดรถแบบหยอดเหรียญ เล็งดูว่าราคาชั่วโมงละเท่าไร ? เจอคุณโอ๋เข้าพอดี มัคคุเทศก์ของเราบอกว่า “รอบจตุรัสฟลอเรนซ์ (Firenze Piazza Del Duomo) นี้ ค่าจอดชั่วโมงละ ๙ ยูโร (๓๖๐ บาท) ครับ” ถ้าเป็นเมืองไทยคงไม่ไหวแน่ จอดรถวันหนึ่งจนไปเป็นเดือนเลย เมื่อกลับมายังที่รวมพล ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นหลังหอศีลจุ่มโดยปริยาย มัคคุเทศก์รูปหล่อก็ประกาศรวมพล แล้วพาพวกเราเดินตรงไปยังถนนสายที่เข้ามาทีแรก เจอนายสันโดษนำรถมาจอดกลางถนนเลย จึงต้องรีบขึ้นอย่างเร่งด่วน เพราะไม่แน่ใจว่าสามารถทำแบบนี้ได้หรือไม่ ? ถ้าเจอใบสั่งเข้าจะโดนเท่าไร ? คงจะจนไปอีกเดือนเป็นแน่แท้...
รถของเราวิ่งกลับออกนอกเมือง ขณะที่พรรคพวกเอา “สมบัติบ้า” ที่รับคืนมาจาก “รถเข็นประจำคณะ” ออกมาอวดกัน ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐทำลายอารมณ์ด้วยการขอให้ทำวัตรเย็น “ผมรักอาจารย์ของท่านคนนี้จังเลย ฮ่า..ฮ่า..!” “ท่านผู้นำ” ที่รออนุโมทนาหัวเราะชอบใจ พวกเราจึงต้องทำหน้าที่กันอย่างแข็งขัน เพราะท่านอาจารย์เล่นถ่ายวิดีโอไปด้วย บอกว่าจะได้เอาไปให้ “บิ๊กสุ” ดูเป็นหลักฐาน ว่าพวกเราทำตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดจริง ๆ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24012&stc=1&d=1449563711
เฮ้ย..วิ่งวนแทบตายดันกลับมาที่เดิม..!
สวดมนต์ไปก็เห็นนายสันโดษถามอะไรกับคุณโอ๋ไปด้วย สักพักมัคคุเทศก์รูปหล่อก็โทรศัพท์ถามใครก็ไม่รู้ ? แล้วนายสันโดษก็นำรถเปลี่ยนเส้นทาง น่าจะถามทางไปโรงแรมที่พักของคืนนี้ พออุทิศส่วนกุศลเสร็จ อาตมาก็ตาค้าง เฮ้ย..เรากลับมาที่เดิม..! เพราะด้านซ้ายก็คือ ALAMANNI STAZIONE สถานีรถรางแห่งเดิม ใช่หรือ..ท่านพระครู ? หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ถามขึ้น มั่นใจได้เลยครับหลวงพ่อ จากตึกแถวตรงหน้านั่น ถ้าเลี้ยวขวาก็เป็น บขส. ที่เราลงไปเข้าห้องน้ำ นั่น..เลี้ยวซ้ายแล้ว Grand Hotel นั่นเราก็ผ่านตอนเดินไปมหาวิหาร...
โอ๋..หมายความว่าอย่างไรครับ ? พระครูวิสุทธฯ ตะโกนถามมา มัคคุเทศก์รูปหล่อทำหน้าแบบที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน ผมก็ไม่ทราบครับ ปกติทุกครั้งเมื่อเที่ยวในเมืองแล้ว ก็จะไปพักกันนอกเมือง เพราะราคาที่พักถูกกว่า แต่ครั้งนี้บริษัทจองที่พักให้กับพระอาจารย์ทุกท่านที่ข้างมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์เลย ผมให้มาร์โควิ่งไปหาที่นอกเมืองแล้วไม่เจอโรงแรม จึงโทรไปถามทางบริษัท เขาบอกว่าโรงแรมอยู่ก่อนถึงมหาวิหารแค่ ๒ บล๊อกเองครับ..!...
เมื่อเห็นยอดโดมมหึมาของมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ นายสันโดษก็นำรถจอดชิดซ้าย มัคคุเทศก์รูปหล่อวิ่งเข้าซอยไปไม่ถึง ๕๐ เมตร ก็วิ่งย้อนกลับมาบอกพวกเราว่า โรงแรมอยู่ตรงนี้เองครับ พระอาจารย์ทุกท่านไม่ต้องเอากระเป๋าเดินทางลงมานะครับ เดี๋ยวทางโรงแรมเขาจะมาขนไปส่งให้ที่หน้าห้องเอง ตามผมไปรับกุญแจห้องกันก่อนครับ อาตมาสะพายกระเป๋าโน้ตบุ๊ก (๒) ลงจากรถได้ก็ก้าวยาว ๆ ตามคุณโอ๋ไปได้ไม่กี่ก้าว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็เลี้ยวซ้ายเข้าประตูที่สองข้างมีกระถางต้นไฮเดรนเยีย (Hydrangea) สีชมพูเข้าไป...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24017&stc=1&d=1449614408
รูปสลักที่ข้างบันไดหน้าห้องพัก
อาตมาแหงนดูประตูที่ด้านบนเป็นซุ้มโลหะสัมฤทธิ์โค้งเป็นรูปโดม ฐานโดมเป็นชื่อโรงแรม ASTORIA ที่ผนังตึกสองฟากข้างของฐานโดมมี “มังกรฝรั่ง” ขนาดเล็กสองตัว ผงาดปีกยื่นคอยาวออกมา คาบโคมไฟทรงสี่เหลี่ยมเอาไว้ เมื่อเดินเข้าประตูไปก็เจอกับประตูไม้ครึ่งกระจกหนาหนัก มีที่จับเป็นทองเหลืองเงาวาววับ เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เจอล็อบบี้ของโรงแรม ที่ทางขวามือมีเคาน์เตอร์รับแขกที่เป็นไม้หนาสูงประมาณหน้าอก มีชายรูปร่างล่ำสันศีรษะค่อนข้างเถิก หน้าตาเหมือน “แขกขาว” ยืนอยู่ ๑ คน ด้านหลังเป็น “ตู้ไม้” ที่มีช่องเล็ก ๆ เต็มไปหมด สำหรับใส่กุญแจห้องของโรงแรม...
พรรคพวกที่ตามเข้ามาลุยเข้าไปนั่งที่ชุดรับแขกจนเต็มเอี๊ยด ที่เหลือยืนรอมัคคุเทศก์รูปหล่อกับคุณโอเล่ “เจรจาความเมือง” กับพนักงานต้อนรับ ผ่านไปพักใหญ่ก็เอากุญแจหอบหนึ่งมาแจกพวกเรา ของอาตมาเป็นห้อง ๑๕๐ แต่รหัส Wi-Fi มีไม่พอสำหรับทุกคน อาตมาจึงใช้กล้องถ่ายรหัสไปเลย จากนั้นเดินขึ้นบันไดไม้ “หนาตึ๊บ” ไปชั้นบน ตรงข้างบันไดมีรูปสลักที่ไม่รู้ว่าเป็นของแท้หรือทำเทียม ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าหนุ่มบ้าพลังเฮอร์คิวลีส เพราะถือกระบองแบบมนุษย์หินฟลินต์สโตนอยู่ในมือด้วย รูปนี้ดีหน่อยที่มีผ้าพันแบบเสียไม่ได้อยู่ที่กลางตัว...
“ฯลฯ...เดินหาจนปวดหัว ไม่ยักกะเจอคอกวัวที่ไหนเลย เดินไปตั้งหลายแห่ง เมื่อยล้าอ่อนแรงเสียจนเหลือเอ่ย..ฯลฯ” เพื่อน ๆ เข้าห้องไปหมดแล้ว เหลืออาตมากับหลวงพ่อพระครูเรืองยังร่อนเร่เป็นสัมภเวสีหาห้องพักไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องลงไปถามที่หน้าเคาน์เตอร์ โชคดีที่คุณโอเล่ยังอยู่ คุณเธอเลยพาไปที่ห้อง โธ่เว้ย..! ขณะที่ห้องอื่น ๆ เขาต้องเดินไปตามทางเดินยาว ๆ ห้อง ๑๕๐ ดันอยู่ตรงหน้าบันไดเลย อาตมาสอดกุญแจเข้าไปไขประตู แต่..ไขไม่ออก คุณโอเล่เห็นอย่างนั้นก็ช่วยไขให้..ไม่ออกอีก ในที่สุด “คุณแม่บ้าน” ที่กำลังถือชุดทำความสะอาดผ่านมาพอดี ช่วยไขให้โดยเอามือผลักประตูจนแน่นก่อน แล้วหมุนแกร๊กเดียวก็ออกแล้ว..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24019&stc=1&d=1449665346
ห้องสวยมาก (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ตรงหน้าเลยมีบันไดลงไป ๓ ขั้น เป็นห้องแคบ ๆ พื้นที่ประมาณ ๓ X ๕ เมตร สมัยก่อนน่าจะเป็นห้องคนใช้ส่วนตัวของบรรดาเจ้าใหญ่นายโต มีเตียงตั้งชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมีราวตากผ้าแบบตั้งพื้นและชุดโต๊ะเก้าอี้เล็ก ๑ ชุด บนผนังตรงข้ามเตียงมีโทรทัศน์จอประมาณ ๒๒ นิ้ว ๑ เครื่อง ทางขวามือเป็นประตูห้องใหญ่ เปิดเข้าไปเจอประตูห้องน้ำอยู่เกือบจะตรงกับประตูนอก เบี่ยงขวานิดหนึ่งเป็นห้องใหญ่มีเตียงแบบเตียงคู่ หัวเตียงและผนังมีภาพวาดสวย ๆ มีโคมไฟโบราณที่ใช้หลอดไฟแทนเทียนอยู่กลางห้อง ด้านขวาของเตียงเป็นโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้ มีกระจกกรอบไม้ลายโบราณสวยมาก ไม่รู้ว่าดูดคนเข้าไปได้แบบเดียวกับเรื่อง “ทวิภพ” หรือเปล่า ? ถ้าอยู่ ๆ มี “มณีจันทร์” หลุดออกมาจะไม่แปลกใจเลย...
“ยกห้องใหญ่ให้หลวงพ่อเลยครับ ผมจะไปนอนที่ห้องเล็กโน่น เวลาเปิดไฟพิมพ์หนังสือจะได้ไม่รบกวนเวลานอนของหลวงพ่อ แล้วนี่หลวงพ่อจะสรงน้ำก่อนไหมครับ ?” อาตมาบอกกล่าวและสอบถามหลวงพ่อพระครูเรืองในเวลาเดียวกัน “หลวงพ่อเร็วกว่าผมเยอะ นิมนต์สรงก่อนดีกว่าครับ” ท่านตอบมาพร้อมกับทิ้งตัว “เลื้อย” บนเตียงใหญ่แบบสบายใจ อาตมาจึงเอากระเป๋าโน้ตบุ๊กไปไว้บนเตียงในห้องเล็ก แล้วมาเข้าห้องน้ำก่อน ถึงหัวก๊อกน้ำจะดูเก่าแก่คร่ำคร่า แต่ระบบน้ำร้อนเย็นดีมาก จึงปรับให้ได้อุณหภูมิปกติ จัดการสรงน้ำเปลี่ยนผ้าก่อน เสร็จแล้วเอาถุงเท้ามาซักกับสบู่โดยใช้น้ำร้อน บิดแห้งแล้วตากไว้ที่ราวตั้งพื้น...
เดินหาปลั๊กไฟรอบห้องก็หาไม่เจอ ท้ายสุดก็เลยดึงปลั๊กโทรทัศน์ออก แล้วเสียบปลั๊กของโน้ตบุ๊กแทน แต่ไฟไม่ขึ้น ลองขยับแล้วเสียบใหม่ก็ไม่ขึ้น “พ่อคุณเถอะ..อย่ายืนมองเฉย ๆ ซีโว้ย..! ถ้าช่วยได้ก็ช่วยให้ไฟติดหน่อย” โดนอาตมาบ่นเข้า “ท่านผู้นำ” ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ? ไฟติดขึ้นมาเฉยเลย เออ..อย่างน้อยก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ชัด ๆ แบบนี้ได้เหมือนกัน จัดการเอารูปออกจากแผ่นความจำ ลดขนาดเหลือ ๖๐๐ X ๘๐๐ แล้วปิดเครื่องถอดปลั๊กออก เอาเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่ของกล้องถ่ายรูปเสียบแล้วชาร์ตแบตเตอรี่ต่อ มีเสียงเคาะประตูจึงไปเปิด เจอกระเป๋าหลวงพ่อพระครูเรืองกับคุณโอเล่ที่มาเสนอขาย เอ๊ย..ถวายซองชากาแฟให้ไปชงเอง อาตมาเอาไปให้หลวงพ่อพระครูเรืองที่เปิดโทรทัศน์นอนดูทั้งที่ฟังภาษาเขาไม่รู้เรื่อง แล้วกลับมาห้องเล็ก ปิดไฟมุดเข้าใต้ผ้าห่ม ภาวนา “กรณียเมตตาสูตร” หลับไปเกือบจะทันที...
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.