View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์กล่าวสอนว่า "การที่เรากระทบกระทั่งกับใคร ถือเป็นบทเรียนให้เรานำมาพัฒนาตนเอง เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาก็มีโยมคนหนึ่ง ตั้งใจจะไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน พอไปกระทบอารมณ์เข้าก็เปลี่ยนใจว่าไม่อยู่แล้ว วัดนี้เรื่องมาก ต้องบอกว่าเขาฉลาดน้อยไปหน่อย สถานที่ใดก็ตามที่ไม่มีแรงกระทบเลย เราไม่สามารถวัดตัวเราเองได้ว่า การปฏิบัติของเราไปถึงไหนแล้ว แต่ถ้าสถานที่ใดมีแรงกระทบอยู่ตลอดเวลา แล้วเรารู้จักนำมาพัฒนาตนเอง การปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าเร็วมาก เหมือนกับมีเครื่องวัดว่าตอนนี้กำลังใจของเราเป็นอย่างไร ? ขึ้นหรือลง ? เมื่อเรารู้จักนำมาพัฒนาตนเอง ก็จะได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
บางคนไปวัดหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ เวลาท่านไปไหนจะได้แห่ตามไปด้วย ฝันไปเถอะ..! ถ้าคิดแบบนั้นแล้วกำลังใจต่ำมาก อย่าไปอยู่วัดเลย
อาตมาบวชอยู่วัดท่าซุง ๗ พรรษาเต็ม ๆ ขึ้นปีที่ ๘ ไม่เคยไปต่างประเทศกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเลยสักครั้งเดียว แม้ว่าท่านจะชวนก็ปฏิเสธ ไม่ใช่เสียดายค่าเครื่องบินเท่านั้น แต่ถ้าไปกันหมดแล้วใครจะทำงานที่วัด ? แม้กระทั่งในประเทศซึ่งจัดเวรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตามไปรับใช้ท่าน อาตมาก็เคยไปครั้งเดียว ที่เหลือไม่ไป อยู่ทำงานที่วัดดีกว่า ถึงได้ว่าพอออกจากวัดมาแล้ว หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ต้องหาพระไปแทนตั้ง ๕ รูป คราวนี้รู้หรือยังว่างานที่อมไว้เยอะขนาดไหน ? ถ้าเรายังไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่แล้วจะมีใครทำงาน ?
วันก่อนในงานของครูบาวิฑูรย์ถึงได้กล่าวว่า การที่จะทำงานถวายการรับใช้ครูบาอาจารย์ เราต้องมีความเสียสละ ไม่ใช่เอาแต่ไปเสนอหน้าอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ถ้าอย่างนั้นงานไกลงานห่างใครจะทำ ?
ดังนั้น..การที่ญาติโยมบอกว่ามาทดลองอยู่แล้วไม่สามารถที่จะอยู่ได้ คงต้องไปอยู่ที่อื่น อาตมาไม่ได้เสียดายเลย แต่ถ้าเสียดายก็คือเสียดายว่า เขาไม่รู้จักใช้วิกฤตินั้นเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง ถ้าอาตมาคิดอย่างเขา ชาตินี้พระอาจารย์เล็กไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก เพราะฉะนั้น..สู้ต่อไปไอ้มดแดง...!"
"ใครทำอะไรไม่ดีกับเราให้จำเอาไว้เป็นบทเรียน ว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นกับคนอื่น ส่วนใครทำดีกับเราให้จดจำเอาไว้ มีโอกาสก็ทดแทนเขาไป ใหม่ ๆ จะทำใจยาก แต่ทำไปเถอะ ถึงเวลาแล้วจะดีกับตัวเราเองทั้งนั้น อาตมาถึงได้ใช้คำว่า "ใครวางก่อนสบายก่อน ใครอยากแบกก็ช่างหัวมัน" โอกาสดี ๆ มาถึงแท้ ๆ แต่กลับเห็นเป็นเรื่องไม่ดี
สถานที่จะดีแค่ไหนก็ตาม ครูบาอาจารย์จะดีแค่ไหนก็ตาม คนก็ยังเป็นคนอยู่วันยันค่ำ ขึ้นชื่อว่าคนแล้วย่อมมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็มหัวเป็นปกติ อะไรพอทนได้ก็ทน อะไรพออภัยได้ก็อภัย ถ้าเหลืออดเหลือกลั้นจริง ๆ ก็พิจารณาต่อไปเลยว่า สภาพที่เราเจออย่างนี้ยังอยากได้อีกไหม ? ยังอยากเกิดอีกไหม ? ขนาดในแวดวงของผู้ปฏิบัติธรรมยังมีแต่ทุกข์แต่โทษขนาดนี้ แล้วด้านนอกจะไม่มีนั้นจะเป็นไปได้หรือ ?
อดีตแม่ชีชไมเคิลหลุดวงโคจรไปคนหนึ่งแล้ว ไม่รู้จักใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสของตนเอง ซึ่งหลัก ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็คือสักกายทิฐินั่นแหละ ...กูทำดีอยู่แล้ว ทำไมคนอื่นทำไม่ดีกับกู ?... ไปคิดอย่างนั้นก็บรรลัย ถ้าหากว่ากูดีจริง คนอื่นเขาก็ต้องดี
อะไรที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นระเบียบวินัยก็ทำไป เพราะอย่างไรเราก็ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่มากก็น้อย มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะทิ้งสังคมเลยเป็นไปได้ยาก เพียงแต่ว่าการปฏิสัมพันธ์นั้น เราต้องพยายามรักษากำลังใจของเราเอาไว้ให้ดี"
พระอาจารย์กล่าวถามโยมที่โดนรุมกระทืบมาว่า "ตกลงรอดสหบาทามาได้ใช่ไหม ? บริษัทนี้คนเยอะ เขาเรียกบริษัทสหบาทาไม่จำกัด (๒๐ คนครับ) แล้วไปตกอยู่ในเหตุการณ์ได้อย่างไร ? (เปิดประตูรถไปกระแทกถูกเขาพอดี)
คนเราสมัยนี้ต้องบอกว่าใจเร็วใจร้อน ไม่ค่อยมีการให้อภัยกัน บางอย่างก็เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เขาตีความว่าเราเจตนาที่จะไปทำเขาก่อน ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมา โดนรุมเหยียบรุมกระทืบกันขนาดนั้น ถ้าไม่มีของดีครูบาอาจารย์คุ้มครองอยู่ คงได้สิ้นชีวากันเป็นแน่
กำลังใจของคนเราแย่ไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ วันก่อนเขาส่งคลิปมาทางไลน์ ผัวเก่าขับรถชนผัวใหม่ แล้วลงไปกระทืบซ้ำ ไปกระทืบทั้ง ๆ ที่ศพเลือดนองบนถนน กำลังใจย่ำแย่ขึ้นทุกวัน ยังไม่ทันถึงช่วงปลายของพระศาสนาเลย เลยกลาง ๆ มาแค่ ๕๐ กว่าปียังแย่ขนาดนี้
คราวหน้าแขวนวัตถุมงคลหลาย ๆ วัดหน่อย หลวงพ่อหลาย ๆ องค์ท่านจะได้ช่วยกัน ไปแขวนอยู่วัดเดียว ตูเลยปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้...!"
ถาม : เวลาร่างกายมีอาการเจ็บปวด ถ้ามีสมาธิหรือมีสติก็พอจะหยุดได้ แต่พอถอยออกมาแล้วก็โดนกระหน่ำ มีเทคนิคใดไหมคะนอกจากมีสติตลอดเวลา ?
ตอบ : ไม่มี...ธรรมชาติของร่างกายเป็นอย่างนั้นเอง คันก็เกา เอาให้ถลอกไปเลย ก็รู้อยู่ว่าถ้าถอยสมาธิออกมาแล้วจะเป็น แล้วไปถอยออกมาทำอะไร ?
ถาม : คนที่เก่ง ฉลาด เป็นเพราะชาติที่แล้วภาวนา ?
ตอบ : สมาธิภาวนาทำให้ปัญญาเกิด ถ้าเก่งในยุคปัจจุบันมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คืออดีตเคยภาวนามา อย่างที่สองก็คืออดีตเคยทำอย่างนั้นมาแล้ว พอมาทำใหม่จึงมีความคล่องตัวมากกว่าคนอื่นเขา
ถาม : พ่อแม่เขาเป็นหมอ เกิดมาฉลาดมากเลย แสดงว่าชาติที่แล้วพอจะมาทางนี้บ้าง แต่ชาตินี้ไม่ค่อยจะศรัทธาศาสนา แล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : คนเราไม่ใช่ว่าจะดีทุกชาติ ถ้าดีทุกชาติป่านนี้ไปพระนิพพานกันหมดแล้ว ก็มีดีบ้างชั่วบ้างสลับกันไป ตอนนี้ผลในส่วนไม่ดีให้ผลอยู่ ผลในส่วนดีก็ถอยหลังก่อน เป็นเรื่องปกติ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ถ้ามีของเก่าแล้วไม่ได้ต่อ ชาติต่อไปหวังจะกลับมาก็ยาก เพราะส่วนใหญ่แล้วกิเลสไม่เปิดโอกาสให้เราหรอก มีแต่เราเปิดโอกาสให้กิเลสเป็นประจำ
ถาม : ถ้าไม่ได้ป่วยแล้วหัวใจเต้นช้าลง เกี่ยวกับภาวนาไหมคะ ? ไปตรวจสุขภาพวัดการเต้นของหัวใจได้ ๔๙ ค่อย ๆ ลดลงทุกปี ?
ตอบ : ของอาตมานี่ถึง ๖๐ ก็เก่งมากแล้ว ไปตรวจสุขภาพประจำปี หัวใจเต้น ๕๒ ครั้งต่อนาที หมอบอกว่า “ถ้าไม่รู้ว่าท่านปฏิบัติสมาธิมา จะโด๊ปน้ำเกลือให้ ๒ ขวดแล้ว”
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปปีนหอจ่ายน้ำประปาของวัดที่สร้างยังไม่เสร็จ ปีนขึ้นปีนลงเพื่อถ่ายรูป คราวนี้ยอดถังน้ำที่สูงอยู่แล้ว อาตมายังต้องขึ้นไปบนนั่งร้านที่สูงกว่าอีก เพื่อที่จะถ่ายรูปถังน้ำให้ได้ มองลงไปแล้ว "เออ...หวิว ๆ เหมือนกันว่ะ" ถามว่ากลัวตายไหม ? ไม่ใช่กลัวตาย แต่ทำไมความรู้สึกถึงเป็นอย่างนั้น เหมือนกับสัญชาตญาณระแวงภัย ถึงเวลาจะขึ้นจะลง ตอนนั้นจะระวังไปหมด เพราะเหลือแต่นั่งร้านเหล็กโด่เด่อยู่อันเดียว"
ถาม : เราหวิวเพราะเราไม่มั่นใจหรือเปล่า ?
ตอบ : ฝรั่งเขาทำวิจัยแล้วว่า ความสูง ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะรู้สึกเสียวทุกคน บางคนกลัวชนิดที่ขยับไม่ได้เลย
ถาม : ที่วัดหนองหญ้าปล้องรู้สึกหวิวไหมคะ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าหลวงพ่อโนรีขึ้นไปถึงสั่นแหง็ก ๆ อยู่ข้างบน อาตมาถามว่าสั่นอะไรกันนักหนา ท่านบอกว่า “ตื่นเต้นครับอาจารย์” ท่านเองไม่เคยฝึกทหาร ไม่เคยลงจากที่สูง ไม่เคยโดดร่ม ท่านก็ลำบากหน่อย สั่นชนิดที่บังคับตัวเองไม่ได้เลย หลวงปู่นริศบอกว่า “ปล่อยอาจารย์เล็กไปคนเดียวเถอะ กูไม่ไปด้วยหรอก กูกลัวโว้ย”
ก็มีอย่างที่ไหน สลิงเส้นเดียวลากขึ้นไปสูงขนาดนั้น คือถ้าอาตมาไม่ขึ้นไปให้ดูเป็นตัวอย่าง คนอื่นเขาก็ไม่กล้าขึ้นกัน พวกช่างเขาไม่กล้าขึ้น แล้วเขาจะไปประกอบเศียรพระได้อย่างไร ? ก็ต้องขึ้นไปเป็นตัวอย่างให้เขาดู
ถาม : สมาธิที่ทำให้ตัดตัวนี้ได้ จริง ๆ ก็แค่ทำให้ไม่รับรู้ ไม่ใช่ตัดความกลัว ?
ตอบ : ใช่...ทำให้กล้ากว่าเขาหน่อยเท่านั้นเอง ก็แบบเดียวกับท่านโมเช่ ท่านโมเช่มีความสามารถสารพัด แต่กลัวมาก เป็นคนขี้กลัวลักษณะว่าปลอดภัยไว้ก่อน อย่างไปเจอฝูงควายกลางป่า แกเองจะวิ่งหนีท่าเดียว พอเห็นว่าอาตมาไม่หนีจริง ๆ แกตวาดทีเดียว ควายทั้งฝูงกลายเป็นตุ๊กตาไปเลย ยืนทื่อทำอะไรไม่ได้ทั้งฝูง ปล่อยให้พวกเราเดินผ่านไปแต่โดยดี ฝีมือขนาดนั้นแต่แกจะหนีท่าเดียว อะไรที่เสี่ยงแกไม่เอา แกเอาปลอดภัยไว้ก่อน เอะอะก็ “อาจาง..หนีก่อง” แต่อาจารย์ไม่ยอมหนี พออาจารย์ไม่หนี แกก็เลยต้องสู้ไปด้วย
ถาม : ระหว่างบวชกับเป็นฆราวาส อย่างไหนจะละกิเลสได้ยากกว่ากัน ?
ตอบ : ยากพอกัน เพียงแต่ความเสี่ยงของพระมากกว่า ที่ใช้คำว่า "ยากพอกัน" เพราะว่าในชีวิตของความเป็นพระ ก็แค่เรามีความกังวลน้อยกว่า น่าจะละได้ง่ายกว่า แต่กำลังใจในการตัดละกิเลส สิ่งกระทบจะมีน้อยลงไปด้วย เพราะพระเราเป็นปูชนียบุคคล คนให้ความเคารพบูชามากกว่า ในเมื่อสิ่งกระทบมีน้อย โอกาสที่จะวัดอารมณ์ใจตนเองก็น้อยลงไปด้วย
ส่วนชีวิตฆราวาสเป็นทางคับแคบ การกระทบกระทั่งมีมาก ถ้าปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ก็ยิ่งยึดยิ่งติดหนักขึ้น แต่ถ้าตั้งใจที่จะปล่อยปละละวางจริง ๆ เอาแรงกระทบต่าง ๆ นั้นมาเป็นเครื่องวัดกำลังใจตัวเอง การปฏิบัติของเราก็จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น เพราะฉะนั้น..อยู่ที่เราตัดสินใจ แต่ชีวิตฆราวาสถ้าแต่งงานมีครอบครัวเมื่อไร เครื่องถ่วงจะมีมากมหาศาล เมื่อถึงเวลานั้นอย่าไปคิดเลยว่าจะหนีได้ คนที่ยังไม่มีภาระ ไม่มีครอบครัว มาปฏิบัติธรรมก็ยังพอไปได้สบายหน่อย
ถาม : กระผมนั่งสมาธิโดยการภาวนาพระคาถาเงินล้านบ้าง โดยการเพ่งกสิณแสงสว่างด้วยลูกแก้วบ้าง การภาวนาพระคาถาเงินล้านไม่มีปัญหานัก ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามกำลังใจ แต่การเพ่งกสิณนั้น เมื่อจับภาพลูกแก้วได้ชัดเจน และภาวนากำหนดลมหายใจไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งลูกแก้วเริ่มขาวใส และสว่างขึ้นตามลำดับ แต่พอถึงจุดที่เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาจากดวงกสิณ กระผมจะหลุดจากสมาธิทันที และเป็นแบบนี้ทุกครั้ง อยากเรียนถามพระอาจารย์ว่าควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ทำใจให้ได้ว่า สว่างวาบอย่างไรก็ไม่ตายหรอก ที่เราหลุดจากสมาธิเพราะตกใจ ที่ตกใจเพราะกลัว ที่กลัวเพราะกลัวตาย..!
ถาม : การนำรูปภาพจากอินเตอร์เน็ตที่เจ้าของเดิมใส่ลายเส้นไว้ มาตัดต่อและใส่ชื่อว่าเป็นของตัวเองลงไป หรือตัดต่อแล้วนำไปแสวงหาประโยชน์อื่น ๆ เป็นการกระทำที่ผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ รู้ว่าเขาหวงแล้วยังอุตส่าห์เอาของเขาไปหากินอีก
ถาม : การตั้งพระที่หน้ารถเรา ควรตั้งหันหน้าเข้าหาเรา หรือควรตั้งหันออกไปทางหน้ารถดีคะ ? บางท่านบอกว่า ต้องให้องค์พระหันหน้าไปด้านหน้า ให้ท่านช่วยดูทาง และปัดเป่าภยันตรายแก่เราค่ะ ?
ตอบ : เอาที่คุณสบายใจเลย...!
ถาม : "จิต" เกิดขึ้นมาจากอะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? หมายถึง จิตดวงแรกนะครับ ต้นกำเนิดหรือจุดเริ่มต้นของจิตมนุษย์และสรรพสิ่งเกิดมาจากอะไรครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้ายังไม่ตอบเลย...ตูไม่ได้เก่งขนาดนั้น...!
ถาม : เจ้าภาพประกาศชัดเจนว่า ตั้งใจนำเงินนี้มาสร้างห้องน้ำให้วัด แต่มีคนหนึ่งเข้าใจว่านำเงินมาสร้างเครื่องกรองน้ำให้วัด และก็ไม่ได้บอกเจ้าภาพว่านำเงินมาสร้างเครื่องกรองน้ำให้วัด เมื่อเงินนั้นถวายให้วัดไปแล้วผ่านไปหลายเดือน ภายหลังเมื่อเจอกันเขาสอบถามว่าเครื่องกรองน้ำของวัดเป็นอย่างไรบ้าง ? อยากทราบว่า เจ้าภาพจะมีโทษใดหรือไม่ครับ ? ถ้าไม่ทราบเลยว่าเงินที่เขาร่วมบุญมานั้นผิดวัตถุประสงค์
ตอบ : เขาเรียกว่าซวยแบบไม่รู้ตัว เงินทำบุญต้องทำตามเจตนาของเจ้าของเขา ไม่อย่างนั้นเขาปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ซึ่งเป็นสิ่งเคารพของคนหมู่มาก พวกไม่รู้ภาษามีเยอะ เพราะฉะนั้น..จะรับไปบอกบุญใครก็ระมัดระวังไว้นิดหนึ่ง ของอาตมาอยู่ ๆ โยมส่งซองมาเขียนว่า ร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก บอกโคตรแม่มึงไปทำเองเถอะ...!
ถาม : และเมื่อรู้แล้วแจ้งกับเจ้าของเงินว่านำเงินมาสร้างห้องน้ำให้วัด ไม่ได้สร้างเครื่องกรองน้ำ ผู้ร่วมบุญเขาเข้าใจ อย่างนี้เจ้าภาพจะมีโทษใดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตกลงกันได้ก็จบ ถ้าเขาไม่ยินยอมก็ไปซื้อเครื่องกรองน้ำถวายให้เขาเสียดี ๆ
ถาม : ขออนุญาตกราบเรียนถามเรื่องตะกรุดมหาระงับและธงมหาระงับครับ ว่าทั้ง ๒ อย่างนี้มีอานุภาพเด่นในทางด้านใดบ้างครับ ?
ตอบ : เด่นทางมหาระงับ...!
ถาม : ท่านเจ้าที่ผู้ดูแลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านมีนามว่าอะไรครับ ? ผมจะทำสังฆทานอุทิศถวายท่าน เพื่อขอให้ท่านสงเคราะห์ให้ลูกชายได้เข้าศึกษาต่อที่นั่นครับ กราบขอพระอาจารย์ได้กรุณาชี้แนะด้วยครับ ?
ตอบ : ไปบน "พิงคเทพบุตร" ท่านไม่ได้ดูแลแต่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านดูแลทั้งเมืองเลย
ถาม : ที่พระอาจารย์เคยมากราบพระพุทธรูปสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อนานมาแล้ว อยากขอความเมตตาแนะนำพระพุทธรูปที่สำคัญ ๆ ในเมืองเชียงใหม่ครับ เพื่อจะได้ไปกราบนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต ?
ตอบ : พระพุทธรูปไม่มีองค์ไหนไม่สำคัญ เพราะฉะนั้น..ไปกราบให้หมดทั้งเมืองเชียงใหม่เลย...!
ถาม : การที่ยังเป็นพระโสดาบันไม่ได้ เกิดจากพร่องในส่วนของสังโยชน์ ๒ ข้อแรก หรือพร่องในส่วนของศีลครับ ?
ตอบ : พร่องทั้งหมดนั่นแหละ..!
ถาม : หลังจากหนูนั่งกรรมฐาน พอคลายกำลังใจออกมา ตามองเห็นอะไร ใจก็บอกว่าเป็นสมมุติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของรอบตัว, ผู้คน หรือแม้กระทั่งร่างกายของตัวเอง เหมือนมีคำว่าสมมุติลอยอยู่รอบตัวเต็มไปหมดเลยค่ะ พอพิจารณาเห็นว่าทุกอย่างเป็นสมมุติ หนูเลยรู้สึกว่าการงานที่ทำอยู่ทุกอย่างก็เป็นการสมมุติทั้งสิ้น ทำให้ตอนทำงาน กำลังใจจะรู้สึกว่า "สักแต่ว่าทำหน้าที่ของตนให้เสร็จ ๆ ไปในแต่ละวัน" แต่หนูก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดในทุก ๆ เรื่องนะคะ อยากขอเมตตาช่วยชี้แนะว่า สิ่งที่หนูพิจารณาอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ ? และควรพิจารณาต่อจากนี้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้ารู้ว่าเป็นสมมุติแล้วไม่ไปยึด จิตใจปลดออก พร้อมที่จะละสมมุตินั้นไปทุกเวลา ก็เป็นอันว่าใช่
มีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุงครั้งหนึ่ง ปกติเวลา “พระ” ท่านสงเคราะห์ จะเหมือนกับเป็น “ม่านแก้ว” บาง ๆ ลงมาอย่างกับฝนตกอย่างนั้น คราวนี้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง พอหลับตาลงปั๊บ รู้สึกเหมือนจะหงายหลัง เพราะว่า “กระแสมาแรงมาก” เป็นพายุเลย อาตมาก็แปลกใจมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้แรงผิดปกติขนาดนี้ ?
ตอนนั้นหลวงพ่อ (ฤๅษีลิงดำ) ท่านพุทธาภิเษก “สมเด็จหางหมาก” ปรากฏว่า พอมาอีกสักครู่หนึ่งก็สว่างขึ้น ๆ ๆ สว่างจนบอกไม่ถูกนะ ว่าสว่างกันขนาดไหน แล้วอยู่ ๆ ไฟฟ้าก็ดับพรึ่บไปพร้อม ๆ กัน เล่นเอาพวกเจ้าหน้าที่ดูแลเครื่องไฟวิ่งกันตับแล่บเลย ปกติงานอย่างนี้ไม่เคยเสีย อยู่ดี ๆ ก็ดับพร้อม ๆ กัน แล้วไม่ทราบเหมือนกันว่าเบรกเกอร์ตัดอีท่าไหน อยู่ ๆ ก็ดีดมาเฉย ๆ เหมือนอย่างกับว่ามีไฟช็อต กำลังไฟเกินแล้วก็ดับอย่างนั้น ก็แค่ยกกลับขึ้นไปไฟก็ติดตามเดิม
พอพุทธาภิเษกเสร็จ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า… วันนี้ “พระ” ท่านทำสมเด็จหางหมากรุ่นนี้ให้เป็น “พิเศษ” เพื่อกันพวก “รังสีนิวเคลียร์” ภายในรัศมี ๔ เมตร นิวเคลียร์เข้าไม่ได้ ใครมีพระรุ่นนั้นก็สบายเลย อาตมาก็ไม่นึก เพราะว่ากระแสไม่เคยมา “แรง” ขนาดนั้น
เรื่องของ “พระ” หรือ “เทวดา” พุทธาภิเษกแต่ละครั้ง ถ้าท่านเคยสงเคราะห์เท่าไร ครั้งต่อไปจะไม่ต่ำกว่านั้น มีแต่ว่าถ้าท่าน “เพิ่มอะไรให้เป็นพิเศษ” ท่านก็จะบอกให้
เล่าโดย หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
............................................................
ถาม : จากข้อความด้านบน ขอกราบเรียนถามว่า เป็นพระหางหมากรุ่นไหนครับ ?
ตอบ : ให้ค้นต่ออีกนิดก็ได้คำตอบแล้ว อย่าโง่นัก..!
ถาม : กระผมอยากจะทราบวิธีฝึกกสิณที่ถูกต้องครับ พอดีผมลองฝึกโดยการเพ่งเปลวไฟที่จุดจากเทียน พอลองเพ่งดูสักพักก็เป็นภาพติดตา ลองมองไปข้าง ๆ รอบบริเวณก็จะเห็นภาพไฟติดตาไปด้วย ลองหลับตาก็เห็นเป็นแสงตกค้างของไฟ ทีนี้เวลาผมเพ่งโดยการหลับตาและใช้วิธีเพ่งภาพตกค้างที่ได้ แต่ภาพที่ติดตานั้นมักจะเลื่อนไปตามสายตาด้วย กลอกตาไปทางไหนก็เลื่อนไปด้วย แต่เหมือนกับว่าอยู่เหนือระดับสายตาไปนิดหน่อย ก็เลยพยายามเพ่งมองให้ได้แบบตรง ๆ เช่น เลื่อนขึ้นข้างบน ผมก็ตามมองไปเรื่อย ๆ ภาพก็เลื่อนขึ้นเรื่อย ๆ ผมมองจนตาเหล่ขึ้นข้างบนก็ไม่ยอมหยุด มองตามจนปวดตา ปวดหัว ผมก็เลยคิดว่าผมน่าจะฝึกผิดวิธี เลยอยากจะทราบวิธีการฝึกกสิณที่ถูกต้องครับว่าควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ยังอุตส่าห์รู้ตัวว่าผิด การฝึกกสิณทุกกองให้ลืมตามองภาพ หลับตาลงนึกถึง จะนึกภาพนั้นได้ครู่หนึ่งแล้วหายไป ก็ให้ลืมตามองแล้วหลับตาลงนึกถึงใหม่ จนกว่าภาพนั้นจะชัดเจน ทั้งลืมตาและหลับตาเห็นเหมือนกัน แล้วรักษาประคับประคองภาพนั้นไว้ไปเรื่อย ๆ ภาพนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามระดับสมาธิของเราเอง ไม่ใช่ไปนั่งเพ่ง
ถาม : ของที่เรานำมากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปที่บ้านของเราแล้ว เราสามารถนำอาหาร ขนม ผลไม้เหล่านั้นไปถวายพระภิกษุสงฆ์โดยการใส่บาตรหรือถวายภัตตาหารที่วัดได้หรือไม่คะ ? จะเป็นการสมควรหรือไม่คะ ? จะถือเป็นการถวายของเดิมซ้ำหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถวายได้ เป็นการสมควร ถวายซ้ำก็ได้บุญซ้ำอีกรอบหนึ่ง
ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อ ขอทราบประวัติครูบาศรีวิชัย ในแบบฉบับของพระอาจารย์ครับ ?
ตอบ : เกิด โต บวช แก่ ตาย จบ
ถาม : เวลาเราเดินทางไปต่างจังหวัด กระผมจะเลือกพกและอาราธนาวัตถุมงคลที่มีอานุภาพทางด้านป้องกันเป็นพิเศษ เช่น มีดหมอเพชราวุธหรือตะกรุดมหาสะท้อน กระผมเกรงว่าการอาราธนาวัตถุมงคลของเราจะเป็นการรบกวนเทวดา หรือท่านทั้งหลายที่ประจำอยู่ในสถานที่ซึ่งกระผมเดินทางผ่านหรือไป ซึ่งรวมถึงดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายในที่นั้น ๆ ด้วย กระผมกราบขอเมตตาพระอาจารย์ ชี้แนะวิธีการอาราธนาวัตถุมงคลให้ไม่เป็นทุกข์โทษเวรภัยกับท่านทั้งหลายด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องอาราธนา เอาไปถวายพระอาจารย์ซะ..!
ถาม : อย่างนี้พกไปอาราธนาไปเป็นทุกข์เป็นโทษไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่คิดไปรังแกใครก็ไม่เป็นหรอก
ถาม : การถวายปัจจัยเข้าร่วมงานบุญ แต่ไม่มีเวลาและโอกาสในการไปร่วมงานบุญนั้น ๆ กรณีเช่นนี้มีอานิสงส์เป็นอย่างไร ?
ตอบ : คิดจะทำบุญ แค่คิดก็ได้บุญแล้ว
ถาม : แล้วการไปเองกับฝากไปนี่มีผลต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ไปด้วยตัวเอง ถ้าเหนื่อย อารมณ์เสีย บุญจะน้อยกว่าฝากเขาไป
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีโยมคนหนึ่งมากราบขอบพระคุณ พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า ขับรถไปพอจอดแล้วเปิดประตู บังเอิญไปกระแทกถูกเจ้าถิ่นก็เลยโดนรุมกระทืบ ก็ไม่มากไม่มายแค่ ๒๐ ตีนเท่านั้น...! แสดงว่าเป็นคนสติดีมาก ขนาดโดนกระทืบยังนับตีนของเขาได้ เจ้าถิ่นทิ้งให้กองอยู่ตรงนั้น พอลุกขึ้นมาได้ สำรวจตัวเองไม่เป็นอะไรเลย มีแต่รอยถลอกนิดหน่อย มาเล่าให้อาตมาฟังว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวพกตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ อยู่ดอกเดียว ก็เลยมาถามว่าที่นี่ยังมีอีกหรือไม่ ? จะขอบูชาไปให้ญาติพี่น้องบ้าง ปรากฏว่าในตู้เหลือแต่พระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน ซึ่งใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไป ๓๐ ดอก คาดว่าต่อไปอาจจะถึง ๑๒๐ ตีนเป็นอย่างน้อย ขนาดพกดอกเดียวยังโดนไป ๒๐ ตีนเลย...!
ส่วนป้านุชส่งข้อความส่วนตัวมารายงานว่า เมื่อวานซืนออกจากที่นี่ไป ด้วยความที่ทำงานหนัก จึงหลับในไม่รู้ตัว ขับรถไปชนรถคันหน้าที่ติดไฟแดงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลงไปดูแล้วรถไม่มีแม้แต่รอยข่วนทั้งของเขาและของเรา ก็เลยต่างคนต่างไปแบบงง ๆ บอกว่าขอบพระคุณหลวงพ่อที่ช่วยคุ้มครอง อาตมาตอบไปว่า ที่คุ้มครองดูท่าว่าไม่ใช่อาตมาแน่ เพราะนั่งรับสังฆทานอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น..ไปขอบคุณให้ถูกที่แล้วกัน
เขาใช้คำว่า "เอารถมาเจิมที่นี่" เกิดเหตุอย่างนี้ ๒ ครั้งแล้วคือขับชนคนอื่น รถไม่เป็นอะไรทั้งของตัวเองและอีกฝ่ายหนึ่ง แต่พอคนอื่นขับมาชนกลับบุบไปทั้งแถบเลย ฉะนั้น..ต่อไปให้มีหน้าที่ชนคนอื่น แสดงว่าฝีมือดี ชนเขาแล้วไม่เป็นอะไร คาดว่าอาตมาคงเจิมรถให้เขาได้อีกไม่เกิน ๓-๔ คัน เพราะว่าแผ่นทองที่เข้าพิธีไว้และใช้เจิมมาเรื่อย ๆ บัดนี้จะหมดแล้ว ถ้าหมดเมื่อไรก็เลิกเจิม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้มีงานใหญ่ของวัดท่าขนุนอยู่ ๒ งาน คือ งานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑๗ ตุลาคม พิธีบวงสรวงเริ่ม ๐๗.๓๐ น. เป่ายันต์รอบแรก ๑๐ โมง รอบสองบ่ายโมง ยังอยู่ในช่วงกินเจหรือเปล่า ? ถ้าอยู่ในช่วงกินเจคงต้องให้โรงทานออกอาหารเจสักโรง แต่กลัวว่าจะหมดก่อนเพื่อน
ส่วนวันที่ ๒๘ ตุลาคม ช่วงเช้าเป็นงานตักบาตรเทโวฯ แล้วก็ทอดกฐินในช่วงบ่าย พระท่านสั่งให้เข้ากรรมฐานก่อนรับกฐิน ๓ วันเพื่อสงเคราะห์โยม ก็คาดว่าต้องเข้าวันที่ ๒๕-๒๖-๒๗ ตุลาคม แล้วไปออกเช้ามืดของวันที่ ๒๘ ตุลาคม ปกติเขาทำบุญกับพระออกกรรมฐานทั่ว ๆ ไป แต่ของเรานี่ถวายกฐินกับพระออกกรรมฐาน..!
เกรงอยู่อย่างเดียวว่าจะมีแรงเดินรับบาตรหรือเปล่า ? เพราะว่าตักบาตรเทโวฯ เริ่มประมาณ ๐๘.๓๐ น. กว่าจะเลิกก็ราว ๑๐.๓๐ น. ส่วนเรื่องกฐินตอนบ่ายไม่ต้องกังวล เพราะว่าอาตมานั่งเฉย ๆ อายุมาก กายสังขารเสื่อมโทรม ยังไม่รู้ว่าจะรับบาตรไหวไหม ? แต่ถ้าหากว่าพระท่านสั่งก็ต้องทำ อาตมาจะเป็นลมขายหน้าชาวบ้านก็ช่างเถอะ เพราะว่าตอนปกติร่างกายดี ๆ ไม่ได้เข้ากรรมฐาน กว่าจะรับบิณฑบาตเสร็จยังแทบจะเป็นลม
อาตมาเข้ากรรมฐานไม่เหมือนกับชาวบ้านเขาหรอก พอสมาธิทรงตัว รักษาระดับได้ก็ทำงานไปเรื่อยเปื่อย เพียงแต่จำกัดเขตไม่ได้โผล่หน้ามาให้ชาวบ้านเห็นเท่านั้น"
"โชคดีที่อาตมาเกิดมาไตรกลีเซอไรด์สูงโดยกรรมพันธุ์ หมอตรวจแล้วบอกว่าไม่มีอะไรดีเลยครับ นอกจากอดข้าวได้นานกว่าคนอื่นเขา ก็คงเอามาใช้ตอนเข้ากรรมฐานนี่แหละ ที่บ้านของอาตมาไตรกลีเซอไรด์เกิน ๒๐๐ ทุกคน เป็นกรรมพันธุ์ คาดว่ารุ่นปู่ย่าตาทวดอดอยากลำบากอยู่ที่ประเทศจีนมาหลายชั่วอายุคน ก็เลยพัฒนาจนกระทั่งดีเอ็นเอสั่งให้ตุนอาหารไว้ในเลือดโดยอัตโนมัติ
โยมพ่อเล่าให้ฟังว่า คุณย่าเอาขี้เถ้ายัดปากลูกไป ๓ คน เกิดมาแล้วเลี้ยงไม่ไหว แล้วคุณย่าเป็นคนเดียวที่ตายแบบไม่สงบ คุณตานอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณยายนอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณพ่อนอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณแม่นอนหลับตายไปเฉย ๆ แต่คุณย่าก่อนตายประมาณ ๔-๕ วัน แกถือไม้เท้าอยู่ ใครเข้าใกล้โดนฟาดกระจายเลย..!
เราควรจะเข้าใจว่าคนจีนสมัยเก่า ๆ โดยเฉพาะพวกที่เป็นต่างด้าว เข้าเมืองไทยมาแบบเสื่อผืนหมอนใบ มักจะบรรลุวิทยายุทธ์ระดับใดระดับหนึ่งเสมอ อาตมาเองเข้าไปเรียกให้ท่านกินข้าว ก็โดนตีกลิ้งไปเหมือนกัน เพราะท่านเห็นว่าจะมีคนมาเอาชีวิต ก็แปลว่าคุณย่าตายไม่ดีอยู่คนเดียว
ส่วนคุณปู่โดนลูกปืนตาย..! ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับของคนส่วนมาก รับอาสาไปไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เขา แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม รู้ว่าคุณปู่ฝึกวิทยายุทธ์มา สู้ไม่ได้แน่ จึงให้มือปืนซุ่มอยู่ชั้นบนของเหลา โดนยิงกลิ้งตั้งแต่ก่อนจะเข้าเหลาไป ฉะนั้น..พวกที่ฝึกวิทยายุทธ์รุ่นเก่า ๆ มักจะดูถูกคนรุ่นใหม่ว่าไม่มีความพากเพียร ไม่มีฝีมือที่แท้จริง อาศัยแต่อาวุธสมัยใหม่
อาตมาเองเกิดทันคนรุ่นนี้ เห็นอยู่หลายคน อย่างอาเจ็กข้างบ้านจะมีกล้องยาสูบ ทำจากเหง้าไม้ไผ่ ยาวประมาณศอกหนึ่ง เหน็บเอวอยู่เสมอ ภาษาจีนเขาเรียกว่า "กล้องยาแดง" สูบยาอยู่ทุกวัน มีพวกบรรดาจิ๊กโก๋เกเรไปรุมทำร้ายแก ๓-๔ คน ไม่เคยทำอะไรแกได้ ถืออาวุธอะไรไปโดนแกตีร่วงหมด ใช้แค่กล้องยาสูบอันเดียว หวดทีไรโดนข้อมือทุกที"
"โยมพ่อก็สอนให้อาตมาไปไล่จิ้มต้นกล้วย บอกว่าพอนิ้วแทงต้นกล้วยเข้าแล้วก็มาเปลี่ยนเป็นกะลา ทิ่มกะลาทะลุเมื่อไรแล้วค่อยมาเรียนต่อ อาตมาก็ฝึกหัดด้วยความพากเพียรอยู่ระยะหนึ่ง แต่โยมพ่อตายเสียก่อนก็เลยไม่สามารถจะฝึกให้สำเร็จได้ แต่ทุกวันนี้ถ้าโยมรู้จักสังเกตจะเห็นว่า นิ้วชี้กับนิ้วกลางของอาตมาไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา ไม่สั้นยาวเหมือนนิ้วคนอื่น แต่จะเท่ากัน..!
แล้วก็มีเฮียลิ้มจือ เฮียลิ้มจือไม่เก่งวิทยายุทธ์แต่เจ๊เหลียนเมียแกเก่งมาก ฝึกวิชาฝ่ามือทรายเหล็ก ถึงเวลาต้องคั่วทรายร้อน ๆ ด้วยมือ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามือเจ๊เหลียนแกแข็งขนาดไหน แต่แกตบกระดานแตกได้..! แล้วคนที่โดนตบประจำก็เฮียลิ้มจือนั่นแหละ บางวันเสียงดังโครม ปลิวทะลุข้างฝาออกมาพร้อมกับกระดาน ๓-๔ แผ่น..!
วันหนึ่งก็เห็นเจ๊เหลียนแกร้องไห้ร้องห่ม ต้มน้ำร้อนลวกมือตัวเอง เอามีดทื่อ ๆ ขูดหนังล่อนออกมาเป็นแผ่น ๆ เลย ถามว่าทำไม แกบอกว่า “เลิกแล้ว ไม่ฝึกอีกแล้ว” ก็คือมีเพื่อนบ้านมาปรึกษาว่าโดนผัวตี ทำร้ายร่างกายอยู่เรื่อย จะทำอย่างไรดี เจ๊เหลียนแกก็สอนวิธีให้ “ลื้อต้องใช้ ๓ นิ้วนี่นะ จิ้มไปตรงจุดนี้ ๆ แล้วผัวลื้อจะยืนแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ได้ ” อาตมาบอกไม่ได้นะ..เพราะถึงตาย ปรากฏว่าเขาไป “เลียะ” ผัวตายเลย..! เพราะด้วยความสงสารผัว กลัวว่าถ้าใช้ ๓ นิ้วผัวจะอาการหนัก เลยใช้นิ้วเดียว...ตายเลย..!
ที่เจ๊เหลียนให้ใช้ ๓ นิ้ว เพราะว่านิ้วกลางจะยื่นมานิดเดียว ถึงเวลาจิ้มถูกจุด นิ้วชี้กับนิ้วนางจะช่วยค้ำไว้ อาการจะไม่หนัก แกดันไปสงสารผัว จิ้มนิ้วเดียว ต้องบอกว่าคนเราถึงที่ตายจริง ๆ แกก็เลยโทษว่าไปทำให้คนอื่นตายเลยเลิกฝึก ต้มน้ำร้อนเอามือแช่ แล้วก็ใช้มีดขูด ๆ จนมือที่ด้านเหมือนสากกะเบือลอกเป็นแผ่น ๆ เลย เวลาที่แกอัดเฮียลิ้มจือ แกรู้ว่าหนักเบาแค่ไหน ประเภทกระเด็นทะลุข้างฝาไปคือส่วนหนาของร่างกายไปกระทบ คนอื่นอาจจะเห็นว่าน่ากลัว แต่แกรู้ว่าควรจะยั้งไว้เท่าไร แต่คนอื่นไม่รู้"
"เรื่องของวิทยายุทธ์แบบจีนก็ดี มวยแบบไทยก็ดี ท้ายสุดก็ต้องมาฝึกจิต ฝึกสมาธิกันทั้งนั้น การฝึกจิตของจีนเขาเรียกว่า วิธีเดินลมปราณ ส่วนของไทยเป็นการตั้งธาตุ ปลุกธาตุ ใช้คาถาอาคมเข้าช่วย ซึ่งต้องฝึกสมาธิภาวนาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าแต่ละคนเรียกกันไปคนละอย่าง
อาตมาฝึกเดินลมปราณแบบจีนอยู่ ๓ ปี พอมาฝึกกรรมฐานแล้วมีปัญหาใหญ่มาก เพราะการเดินลมปราณ ก็คือไล่ให้ลมปราณวิ่งไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่การฝึกกรรมฐานคือหยุดใจอยู่เฉพาะที่ ด้วยความที่เคยบังคับให้วิ่งทั่วร่างกายแล้ว ต้องมาหยุดเฉพาะที่ก็เป็นอะไรที่สาหัสมาก กว่าจะหยุดได้ แต่พอมาฝึกมโนมยิทธิแล้ว เพิ่งจะรู้ว่าการเดินลมปราณของจีนก็คือมโนมยิทธินั่นเอง เพียงแต่เป็นการเคลื่อนจิตภายในกายตัวเอง ขณะที่มโนมยิทธิเคลื่อนจิตไปข้างนอก ต่างกันแค่นั้นแหละ นอกนั้นเหมือนกันทุกอย่างเลย
ฉะนั้น..ใครที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ไปศึกษาวิธีเดินลมปราณแบบจีน จะเอาแบบไหนก็ได้ ตำราเดี๋ยวนี้มีมาก จะสามารถทำได้ง่ายกว่าคนอื่นเขา การเดินลมปราณช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วยน้อย แต่ก็อย่างว่า..ไม่ได้ช่วยให้ไม่ตาย ท้ายสุดวาระมาถึงก็ตาย
เสียดายอยู่อย่างว่าคนรุ่นเก่าล่วงลับไป คนรุ่นใหม่ไม่มีความพากเพียรอดทนพอ แม้กระทั่งมวยไทย สมัยอยู่วัดท่าซุงก็มีบรรดานักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระมาขอให้สอน พวกเด็กนักเรียนผู้ชายมัธยมก็รู้อยู่ว่ากำลังห้าว มาถึงก็จะให้เข้าท่ามวยเลย อาตมาบอกว่าไม่ได้ ต้องฝึกจากพื้นฐานก่อน วันแรกมา ๔ คน วันที่สองมา ๒๐ กว่าคน วันที่สามมา ๓๐ กว่าคน วันที่สี่หายหัวหมด ไม่มีความอดทนพอ
แต่รายแรกที่มาบอกว่า ต้องขึ้นชกมวยในงานวัดที่อำเภอลานสัก คู่ต่อสู้เป็นมวยมาจากกรุงเทพฯ เคยขึ้นเวทีมาก่อนแล้ว ถามว่าแล้วมึงเสือกไปชกกับเขาทำไม ? เขาบอกว่าเพื่อนยุ เลยเผลอรับปากไป"
"เขาถามว่า คู่ต่อสู้รัดเอว ตีเข่าเก่งมาก จะแก้ไขอย่างไร ? อาตมาบอกไปว่า ทำไมต้องไปกลัวนักมวยกอดเอวตีเข่า คนรัดเอวเรา กำปั้น ๒ ข้าง ศอก ๒ ข้างก็ใช้งานไม่ได้อยู่แล้ว กลายเป็นลดอาวุธของตัวเอง ก็เอาศอกจามหน้ามันเข้าไปสิ เขาบอกว่าแล้วถ้าจามหน้าแล้วยังดิ้นไม่หลุดล่ะ ? รอบคอบดีเหมือนกัน ก็เลยบอกว่าถ้าเมตตาก็อย่าให้หนักนัก ถ้าไม่เมตตาก็เอาให้แขนหักไปเลย
ให้ใช้ศอกแนบกับซี่โครงตัวเองแล้วรูดตัวกระแทกลงไป สถานเบาแขนจะหมดแรงใช้งานไม่ได้ ถ้าสถานหนักก็หักไปเลย เลือกเอาเอง จุดระหว่างกล้ามเนื้อแขนก่อนถึงข้อศอกสักสามนิ้ว ลองบิดตัวเองดูแขนจะหมดแรงเลย เพราะเป็นช่วงว่างระหว่างกล้ามเนื้อพอดี พวกเราถ้าไม่ได้ศึกษาจุดเส้นมา คลำไม่ค่อยถูกหรอก"
ถาม : สำเร็จจนเป็นเซียนนี่ได้อภิญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เซียนทุกคนได้อภิญญา แต่บุคคลที่ได้อภิญญาทุกคนไม่ใช่เซียน ฟังเข้าใจไหม ? ที่ว่าเซียนทุกคนได้อภิญญา ก็คือ อภิญญาลาภีบุคคล จะเป็นฌานโลกีย์ก็ดี โลกุตรฌานก็ดี คนจีนเรียกว่าเซียนทั้งนั้น แต่ว่าเซียนในความหมายที่แท้จริงก็คือผู้ที่บรรลุแล้ว ซึ่งในความหมายของเราก็คือบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า ถึงได้กล่าวเซียนทุกคนได้อภิญญา แต่ผู้ได้อภิญญาไม่แน่ว่าจะเป็นเซียน
พระอาจารย์กล่าวว่า "วิชาการของพวกเราส่วนใหญ่ถดถอยเพราะความอดทนไม่พอ ไม่มีความพากเพียร ไม่มีความอดทน แม้แต่การฝึกกรรมฐานก็ขาดวิริยบารมี ขาดขันติบารมี ก็ไปไม่รอด ดังนั้น..ต้อง "อดทนหนอ พากเพียรหนอ""
ถาม : ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงกลับมาจากอเมริกาแล้วบอกว่า ถ้าเกิดสงครามฝรั่งเศสเมื่อไร ก็ให้กลับมาเมืองไทย แล้วฝรั่งเศสก็ไปทิ้งระเบิดไอซิสเมื่อวันสองวันนี้ ผมก็คิดว่าควรจะกลับมาเดือนไหนวันไหนดีครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง คนเราถ้าถึงที่ อยู่ที่ไหนก็ตาย อันนี้อาตมาเห็นศพมากับตา เพราะว่าทางบ้านสมัยก่อนมีอาเจ็กอยู่คนหนึ่งดูโหงวเฮ้งเก่งมาก ๆ ถือเป็นอาจารย์คนแรก ๆ ของอาตมาเลย แกดูเก่งถึงขนาดที่ว่าบุคคลนี้ วันนี้ เวลานี้จะตาย แล้วก็ไปเตือนอาเจ็กอีกท่านหนึ่งบอกว่าลื้อจะตายพรุ่งนี้ เวลาเท่านี้ ๆ ก็คือก่อนเพลหน่อยหนึ่ง
อาเจ็กท่านนั้นเชื่อก็จริง แต่แกก็สู้ แกบอกว่าถ้าอั๊วไม่ออกจากบ้านให้รู้ไปว่าจะตาย พอใกล้ถึงเวลาที่เขากำหนดไว้แกก็เข้ามุ้งนอนเลย ให้รู้ไปว่านอนเฉย ๆ แล้วกูจะตาย ปรากฏว่าตำราเขาแม่นหรือกรรมแกแรงก็ไม่รู้ แม่ไก่ออกไข่ พอไข่เสร็จก็กระโดดขึ้นไปบนขื่อ ไปกระต๊ากเพื่อประกาศว่ากูไข่แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นธรรมชาติของไก่ เขาจะประกาศให้พรรคพวกรู้ว่าตัวเองไข่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานถ้าพาลูกไป พรรคพวกจะได้รับรู้ว่านี่คือลูกของเขา คราวนี้รู้แล้วหรือยังว่าทำไมไก่ไข่แล้วต้องประกาศด้วย ? ถึงเวลาจะได้พาลูกไปเข้าหมู่เข้าพวกได้
ปรากฏว่าอาเจ็กคนนี้แกเอาหลาวพาดไว้บนขื่อ ไก่ก็เจ้ากรรม กระโดดขึ้นไปเหยียบปลายหลาวพอดี พอน้ำหนักถ่วงหลาวก็ไหลปรู๊ดลงไปเสียบอกแกตายคามุ้งเลย สรุปว่าคนเราถ้าจะตายอยู่ที่ไหนก็ตาย ฝรั่งเศสหรือเมืองไทยก็ตายเหมือนกัน เห็นแผ่นดินไหวที่เนปาลไหม ? เด็กอายุ ๒๒ เดือนติดอยู่ในซากตึก ผู้ใหญ่ตายกันเกลี้ยงไม่เห็นเด็กเป็นอะไร ถ้าบอกว่าเด็กอาจจะมีพลังชีวิตแข็งแกร่งอยู่ แล้วคุณปู่อายุ ๑๐๑ ปีก็รอดเหมือนกัน
สรุปว่าถ้าไม่ได้สร้างกรรมเอาไว้ หรือว่าสร้างกรรมไว้แต่วาระยังไม่ถึงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้ากลัวมาก ๆ ก็หาวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงติดตัวไว้ ต้องเป็นรุ่นที่ทันท่านด้วยนะ
โบราณบอกว่า “คนขลาดตายหลายครั้ง คนกล้าตายครั้งเดียว” คนที่กลัวก็กลัวจนแทบจะขาดใจตาย เมื่อวันศุกร์มีโยมคนหนึ่งมาถาม บอกว่าเป็นโรคนี้ ก็คือกลัวทุกอย่าง กลัวไปหมด กลัวขนาดนั่งร้องไห้เลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ชายตัวใหญ่ตัวโต มาถามว่าจะแก้ไขอย่างไร ? อาตมาบอกว่าให้ไปฝึกกรรมฐาน ถ้าสมาธิดีขึ้นความกลัวก็จะลดน้อยลงไปตามลำดับ
ในเรื่องของความกลัวเป็นธรรมดาสามัญของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง บาลีว่า อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเปตปฺปสุภีนรานํ การกิน การนอน การกลัวภัย การเสพกาม เป็นเรื่องปกติธรรมดาของบรรดาสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ที่เราเรียกปศุสัตว์ ปสุเขาแปลว่าสัตว์เลี้ยง ธมฺโมหิ เตสํ อธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ทำให้เราทั้งหลายต่างไปจากสัตว์ ธมฺเมน วีณา ปสุภิสฺสมานา ธรรมเท่านั้นที่ทำให้แยกคนจากสัตว์ได้ ที่เขาใช้คำพูดง่าย ๆ ว่าคนกับสัตว์มีสภาพเหมือนกันคือกิน ถ่าย นอน สืบพันธุ์
ถ้าสมมุติว่าอยู่ฝรั่งเศสกลัวตายเพราะเขารบกัน มาเมืองไทยอดข้าวตายจะหนักกว่าอีก ช่วงนี้น่ากลัวมาก..ผัดกะเพราจานละ ๑๕๐ บาท ได้ยินแล้วช็อก แต่อาตมาไปเนปาลกินข้าวจานละ ๑๙๕ บาทมาแล้ว เลยรู้สึกว่า ๑๕๐ บาทยังไม่แพงนัก
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปี ๒๕๒๖ น้ำท่วมกรุงเทพฯ จำได้ว่าท่วมตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมของปี ๒๕๒๗ น้ำท่วมหนักกว่าปี ๒๕๕๔ แต่ทางกทม.จัดการได้เร็วกว่ามาก เพียงแต่ว่าบ้านอาตมาสร้างกรรมเอาไว้เยอะ อยู่ห่างจากแยกศรีนุช ก็คือแยกอ่อนนุชตัดกับถนนศรีนครินทร์แค่ป้ายรถเมล์เดียว ทางกทม.ทำคันกั้นน้ำเอาไว้ที่แยกศรีนุช แล้วสูบน้ำจากข้างในออกมา บ้านอาตมาก็เลยโดนท่วมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมของปี ๒๕๒๗
ตอนแรก ๆ ที่ท่วมก็ยังอุตส่าห์ไปซื้ออิฐบล็อกมาก่อเพื่อที่จะกันน้ำไม่ให้เข้าบ้าน พอก่อไปได้ ๓ ชั้นน้ำก็ยังขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย แต่คราวนี้อิฐบล็อก ๓ ชั้นนี่ก็สูงเป็นเมตร พอถึงเวลาน้ำลด มีแต่ปลาเต็มบ้าน เข้ามาแล้วออกไม่ได้ กลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาไปเลย ต้องเสียเวลาจับไปปล่อยอีก
ในช่วงนั้นวันแรกที่ไปส่งหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านบางโพของคุณฉวีวรรณ สรรพกิจ น้ำท่วมสูงมาก ประมาณเลยหัวเข่าแล้ว จำได้ว่าบ้านของคุณฉวีวรรณ สรรพกิจ ที่อยู่ใกล้ ๆ กับห้างบางลำพู น้ำจวนจะถึงบันไดขั้นแรก อาตมาเดินจากบางโพออกมาทางด้านประดิพัทธ์ สะพานควาย เข้าอนุสาวรีย์ชัยฯ ออกไปราชปรารภ จะกลับบ้านที่ซอยอ่อนนุช จึงต้องมาทางด้านสุขุมวิท เดินมาเกือบถึงตลาดพระโขนง น้ำก็ถึงหน้าอกแล้ว รถไม่มีวิ่ง มีแต่เรือพายส่วนตัวลำเล็ก ๆ บางคนก็ต่อแพด้วยยางในรถยนต์ ๒ เส้น เอาไม้พาด ๒-๓ แผ่นแล้วผูกเชือกไว้ ได้เห็นรถกับเรือชนกันก็วันนั้นแหละ
ในเมื่อยังไม่ทันถึงปากซอยเข้าบ้านน้ำก็มาถึงหน้าอกแล้ว ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าที่บ้านจะขนาดไหน จึงตัดสินใจเดินกลับ จากพระโขนงเดินย้อนมาทางสะพานควาย เข้าไปนอนที่บ้านสายลม บ้านสายลมเหลือแต่ชั้นบน ชั้นล่างท่วมหมดเกลี้ยงไปแล้ว"
"หลังจากนั้นทุกต้นเดือนก็ไปรับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลมเป็นปกติ ต้องลุยน้ำประมาณขาอ่อนออกจากบ้าน ซึ่งตอนนั้นหนังสือพิมพ์เขาก็แซวกัน ผู้สื่อข่าวชายบอกว่าน้ำท่วมถึงระดับ "หัวเทียน" ผู้สื่อข่าวหญิงบอกว่าน้ำท่วมถึง "จานจ่าย" เห็นคนเป็นรถยนต์ไปได้ พอถึงเวลาไปถวายการรับใช้หลวงพ่อเสร็จสรรพ ก็ต้องลุยน้ำกลับบ้านทุกวันเป็นปกติ ไปวันศุกร์กลับคืนวันจันทร์ เพราะว่าเช้าวันอังคารหลวงพ่อท่านก็เดินทางกลับวัดท่าซุงแล้ว
ที่เล่าให้ฟังก็คือ ภัยธรรมชาติหรืออุปสรรคต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะขวางกั้นการปฏิบัติธรรมของเราได้ ไม่ใช่แค่เมฆมืด ๆ ฟ้าร้องหน่อยเดียวเราก็ไม่ไปแล้ว แต่โยมไม่มาก็ดี อาตมาจะได้สบาย และครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวในชีวิต ที่อาตมานุ่งกางเกงขาสั้นไปทำบุญ
ปรากฏว่าโดนป้าหมอลัดดา จารุวัฒน์ ตักเตือน ป้าหมอแกดึงหลบเข้าไปห้องใน บอกว่า “ไอ้หนู...หลวงพ่อเรามีคนมาหาทั้งประเทศ คนมาก็อยากถ่ายรูปหลวงพ่อไว้เป็นอนุสติ แกอยู่รับใช้ข้างหลวงพ่อ นุ่งกางเกงขาสั้นดูไม่เรียบร้อย ถ้ารูปถ่ายออกไปบางคนจะหาว่าหลวงพ่อท่านไม่ให้การอบรม” ก็เรียนป้าหมอบอกว่า “บ้านผมน้ำท่วมครับป้า ยันขาอ่อนเลย ถ้าไม่ใส่ขาสั้นนี่ก็ออกจากบ้านไม่ได้”
ท่านบอกว่า “เอากางเกงขายาวใส่ถุงถือมาด้วย พ้นจากที่น้ำท่วมแล้วก็ใส่กางเกงขายาว” นั่นเป็นครั้งเดียวและวันเดียวในชีวิต ที่อาตมาใส่กางเกงขาสั้นไปทำบุญ หลังจากนั้นมาไม่เคยทำอีกเลย เพราะถือว่าผู้ใหญ่ท่านรอบคอบกว่า ท่านเมตตาเตือนแล้ว ดังนั้น..เวลาเห็นญาติโยมทั้งหญิงผู้ชายใส่กางเกงขาสั้นมาทำบุญที่นี่ อาตมาก็พยายามนึกว่าเขาต้องมีความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง พยายามช่วยนึกแต่เรื่องที่ดี ๆ ไว้ เราจะไม่ตำหนิใคร..ใช่ไหม ? ยกเว้นว่าด่าไปเลยให้หมดเรื่องหมดราว..!
ได้เห็นความเมตตาของผู้ใหญ่ และได้เห็นวิธีการที่ท่านแนะนำสั่งสอน ท่านไม่ตำหนิต่อหน้าคนหมู่มาก ดึงเข้าไปในห้องเป็นการส่วนตัวแล้วค่อยบอก นักปราชญ์ท่านถึงได้ว่า ชมคนให้ชมต่อหน้าคนมาก ๆ แต่ถ้าหากว่าจะด่าใครให้ด่าลับหลังคนอื่น เพราะว่าแต่ละคนมีสักกายทิฐิคือตัวกูของกู ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "อีโก้" ถ้าไปตำหนิต่อว่าต่อหน้าประชาชี เขารับไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ให้ช่วยเมตตาเขาหน่อย ไม่จำเป็นจริง ๆ ก็อย่าไปด่าต่อหน้า...(บ่อยนัก)..."
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขียนชื่อทศวรรษมาให้ ส่วนชื่อศตวรรษนี้ได้ยินมา ๓ คนแล้ว ทศวรรษเพิ่งได้ยินเป็นคนแรก ถัดไปจะมีสหัสวรรษไหม ?
ทศวรรษ คือ รอบ ๑๐ ปี ศตวรรษรอบ ๑๐๐ ปี สหัสวรรษรอบ ๑,๐๐๐ ปี"
ถาม : ถ้ารอบ ๑๐,๐๐๐ ?
ตอบ : รอบ ๑๐,๐๐๐ ทสสหัสสะ ถ้า ๑๐๐,๐๐๐ สตสหัสสะ แต่ขณะเดียวกันจะใช้ "ลักขัง" ก็ได้
๑๐,๐๐๐ มีศัพท์เฉพาะคำหนึ่ง คือ นหุต (นะ-หุ-ตะ) ๑๐,๐๐๐ ปีใช้นหุตวรรษก็ได้รอบ อย่างกรุงศรีสัตนาคนหุต (สัด-ตะ-นา-คะ-นะ-หุด) สต คือ ๑๐๐ นหุต คือ ๑๐,๐๐๐ เป็นร้อยหมื่นก็คือหนึ่งล้าน นาคะ คำกลางแปลว่าช้าง กรุงศรีสัตนาคนหุต ก็คือ กรุงล้านช้าง
บาลีเขาจะเอาคำศัพท์ไว้ตรงกลาง หลังจากที่แยกตัวเลขออกจากกัน อย่าง ทเวสังวัจฉรสหัสสานิ ทเว = ๒, สังวัจฉร = ปี, สหัสสา = ๑,๐๐๐ , ปัญจสตาธิกานิ = กว่าอีก ๕๐๐ รวมเป็น ๒,๕๐๐ ปี ไล่ไปเรื่อย
อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปรินิพฺพานโต ปฏฺฐาย อัฏฐปัญญาสะ ปัญญาสะ = ๕๐, อัฏฐ = ๘, อัฏฐปัญญาสะ = ๕๘, อัฏฐปัญญาสุตตร ก็คือปัญญาส +อุตตร = ยิ่งไปกว่าอีก ๕๘
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ท่านพระครูปลัดปิงเป็น 'ว่าที่เจ้าคุณ' เดี๋ยวพอ ๕ ธันวาคมก็เป็น 'เจ้าคุณ' ขอให้ได้เลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนได้ฉลองอย่างเป็นทางการ"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมไปเมืองจีนมาว่า "โยมไปเยี่ยมจิ๋นซีฮ่องเต้มา ที่น่าเวทนาก็คือ ช่างฝีมือที่ทำสุสานจำนวนมากด้วยกัน ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายไปแล้ว พวกช่างเขารู้ว่าทำเสร็จก็ตายแน่ แต่ต้องทำ เพราะว่าพ่อแม่ลูกเมียอยู่ในเงื้อมมือของฮ่องเต้หมด พูดง่าย ๆ คือรู้ว่าทำเสร็จก็ตาย แต่ตายเพื่อให้ครอบครัวรอด"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่กำลังนับลูกประคำว่า "ประคำกะลานั้นช่างฟ้อง ถ้าใช้ไปเรื่อย ๆ จะดำเงาสวย ถ้าไม่ใช้ก็ด้านอยู่อย่างนั้นแหละ เส้นที่อาตมาใช้ตอนแรกก็เป็นสีอย่างนี้ ตอนนี้ดำเงาวับ ใช้ไป ๆ ความร้อนจากมือของเรา ทำให้น้ำมันในกะลาออกมา ถูไปถูมาก็ดำจนลื่น แต่ว่ามีกะลาประเภทหนึ่ง เขาเรียกว่า "กะลาเผือก" ก็คือมะพร้าวแก่แล้ว แต่กะลายังไม่ดำ กะลาตาเดียวหายากแล้ว กะลาตาเดียวเผือกจะหายากขึ้นไปอีก"
ถาม : จีวรลายดอกพิกุล ที่มาที่ไปพอจะรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก สมัยก่อนพอถึงเวลาญาติโยมก็ตั้งใจจะถวายของที่ดีที่สุดไว้ในพระพุทธศาสนา คราวนี้ของพระจะดีแค่ไหนก็แค่บริขาร ๘ แล้วก็ไม่สามารถที่จะประดับประดาอะไรที่เป็นเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ได้เหมือนอย่างชาวบ้านทั่วไป ชาวบ้านเขาอยากทำถวายพระให้ดีที่สุด เมื่อทำจีวรแล้วมีเวลาว่างก็เลยปักลายดอกพิกุลเข้าไปด้วย
จะไปยากอะไร ก็แค่ลงเข็มไขว้ ๘ ทิศเท่านั้นเอง จึงปักเสียทั่วผืนเลย ถ้าหากว่าเป็นศิลปะการสร้างพระพุทธรูป จีวรลายดอกพิกุลจะเป็นรัตนโกสินทร์ตอนต้น ถ้าเห็นมีจีวรลายดอกพิกุลเมื่อไร ก็ให้รู้ว่าเป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นแน่นอน ไม่ได้ไกลเลย คราวนี้ก็ดูใต้ฐาน ดูความเก่า ไปกันได้ไหมกับลักษณะพุทธศิลป์ จะได้รู้ว่าปลอมหรือเปล่า คุณยังต้องอาศัยเรียนรู้ไปอีกนาน
ถาม : สังเกตว่าพระบูชายุครัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้ มักจะทำฉัตรไว้ด้วย ?
ตอบ : ฉัตรนี่สร้างเพิ่มเติมได้ไม่จำกัดยุคสมัย ขึ้นอยู่ที่คนเขามีศรัทธาหรือเปล่า ถ้ามีก็สร้างเพิ่มขึ้นมาได้
ถาม : มีคติอย่างไรในการสร้างฉัตรไหมคะ ?
ตอบ : เป็นค่านิยมอย่างหนึ่ง สร้างพระแล้วก็ถวายฉัตรด้วย ถือว่าเป็นการป้องกันภัยอย่างหนึ่ง เอาอานิสงส์ที่พระโพธิสัตว์เสด็จไปใต้ต้นไทรของยักษ์ ที่ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณว่า ถ้าคนหรือสัตว์เข้ามาในร่มเงาต้นไทรนี้ ก็อนุญาตให้จับกินได้ พระโพธิสัตว์ท่านเสด็จไปยักษ์จะจับกิน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไทร จะจับกินได้อย่างไร ? ยักษ์บอกว่าท่านเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว มาว่าไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาได้อย่างไร ? พระโพธิสัตว์บอกว่าท่านถือร่มอยู่ ยักษ์บอกว่าถ้าเหยียบแผ่นดินตรงนี้ถือว่ามีสิทธิ์จับกินเหมือนกัน พระโพธิสัตว์บอกว่า ท่านไม่ได้เหยียบแผ่นดิน ท่านยืนอยู่บนรองเท้าท่าน ชาดกเรื่องนี้ก็เลยทำให้หลวงปู่มหาอำพันท่านแนะนำในเรื่องถวายสังฆทานว่า ให้ถวายร่มกับรองเท้าด้วย จะได้ปลอดภัยเหมือนกับพระโพธิสัตว์
อย่าลืมว่ายักษ์เป็นเทวดาพวกหนึ่ง แต่พวกยักษ์ชั้นต่ำที่เป็นบริวารนั้นมักจะเป็นพวกรากษส ก็คือยักษ์พวกที่กินเนื้อ กินคน กินสัตว์อยู่ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จึงได้รับอนุญาตให้เฉพาะที่ มีสิทธิ์เฉพาะที่ของตนเอง แต่ถ้าสามารถแสดงหลักฐานได้อย่างชัดเจนแบบพระโพธิสัตว์ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปกินท่านได้
ก็เลยทำให้คนรุ่นหลังสร้างฉัตรถวายพระ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็มาจากผ้าดาดเพดานก่อน สมัยก่อนพอถึงเวลาสร้างพระพุทธรูปที่ไหน ก็จะเห็นว่าเขาทำผ้ากั้นเพดานเอาไว้ ผ้ากั้นเพดานสมัยก่อนเขาทำเพื่อป้องกันจิ้งจกตุ๊กแกมาขี้รดองค์พระ เพราะจิ้งจกตุ๊กแกเดินบนผ้าไม่ได้ ไม่สามารถจะเกาะแบบสุญญากาศได้ เสร็จแล้วก็พัฒนามาเป็นฉัตร
เพราะสมัยหลังพระเจ้าแผ่นดินก็ดี เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่ได้รับพระราชทานอนุญาตให้ใช้ฉัตรได้ก็ดี พอถึงเวลาก็ถวายฉัตรไว้เป็นพุทธบูชา หรือไม่เวลามีงานถวายพระเพลิงหรือพระราชทานเพลิง ฉัตรที่ประดับอยู่ในงานนั้น ไม่ว่าจะเป็นประดับโกศก็ดี หรือว่าประดับเหนือพระลองก็ตาม มักจะเอาไปกั้นถวายพระพุทธรูปเป็นพุทธบูชา พวกบรรดาช่างก็เห็นดีเห็นงาม ต่อมาก็เลยสร้างพระพุทธรูปให้มีฉัตรประกอบไปด้วย
มีมณฑปตั้งพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ พอถึงเวลาเคลื่อนพระศพไปพระราชทานเพลิง ก็เอามณฑปนั้นไปถวายไว้ที่วัดเทพศิรินทราวาส ปัจจุบันก็คือมณฑปที่ตั้งพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ สงสัยว่าทำไมสุดยอดฝีมือขนาดนั้นใช่ไหม ? ระดมช่างหลวงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทั้งหมดมาช่วยกันทำ ของวัดท่าขนุนไม่มีช่างหลวง เอาช่างชาวบ้านนี่แหละ เดี๋ยวไปงานเป่ายันต์ฯ งวดนี้ก็จะได้เห็น มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ น่าจะประกอบยอดมณฑปได้แล้ว
เพียงแต่เรื่องของการทำสี ประดับทองปิดกระจก ก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ตอนนี้มีช่วงแคบระหว่างหน้าบันที่ช่างต้องปิดทองประดับกระจกก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าใส่หน้าบันซ้อนเข้าไปแล้วจะปิดทองยาก ช่างเขาจึงต้องทำการปิดทองไปก่อน
เมื่อวานซืนเพิ่งจะจ่ายค่าแรงสร้างมณฑปงวดที่ ๕ แต่ความจริงแล้วเป็นงวดที่ ๖ เพราะช่างเบิกงวดที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๖ โดดข้ามงวดที่ ๕ ไปเพราะงานไม่เสร็จ มาครั้งนี้งานก็ยังไม่เสร็จ แต่ว่างานไม่ได้อยู่ในมือช่าง เพราะว่างานอยู่ในมือผู้ออกแบบ ผู้ออกแบบต้องนำงานส่วนนี้ไปส่งให้ช่างเขาทำ ก็เลยอนุโลมจ่ายเงินไปก่อน เวลาทำงานเราต้องเห็นใจกัน เพราะว่าช่างทำงานเขาต้องลงทุน ขณะเดียวกันก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล ส่วนใหญ่บรรดาช่างต่าง ๆ พอทำงานกับวัดท่าขนุนแล้ว ไม่มีใครอยากไปทำที่อื่น เพราะที่อื่นส่วนใหญ่เขาให้ทำ ๔๐-๔๕ วัน เบิกได้ ๓๐ วัน ของวัดท่าขนุนไม่มี ครบงวดงานหรือว่าครบเวลา ก็จ่ายทันที
วันก่อนช่างเจาะเสาเข็มสำหรับทำศาลาธรรมสังเวช ที่สร้างอยู่ด้านข้างของเมรุใหม่ ซึ่งจะทำไปพร้อม ๆ กัน เจาะยังไม่ทันจะเสร็จหรอก เขามาเบิกค่าเจาะเสาเข็มของตัวฌาปนสถานคือตัวเมรุงวดสุดท้าย ก็เลยจ่ายของด้านศาลาไปด้วย จะได้ไม่ต้องเดินทางมาอีกรอบหนึ่ง "ที่เหลือลูกน้องคุณเจาะให้เสร็จก็แล้วกัน" แล้วก็มีเรือนรับรองพระเถระ ๔ หลังโผล่ขึ้นมา ของเดิม ๒ ของใหม่ ๔ ไม่ใช่ของเดิม ๒ ของใหม่ ๒ นะ ของเดิม ๒ หลัง ของใหม่ ๔ หลัง
ตัวผู้รับเหมาเขาบอกว่า พวกประกอบเรือนไม้จำหน่ายที่เห็นตั้งอยู่ ๗-๘ รายใกล้ ๆ กันเจ๊งไปหมดแล้ว เหลือเขาอยู่รายเดียว เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดี เงินเลยจมอยู่ในบ้านไม้ที่ตัวเองทำ เพราะต้องไปซื้อบ้านเก่า ต้องจ่ายค่าแรงช่าง ฯลฯ แต่ว่าขายไม่ออก เขาบอกว่าโชคดีที่หลวงพ่อเรียกใช้บริการ เลยอยู่รอดมาได้ เพราะว่าเท่าที่สั่งไปก็ ๘ หลังแล้ว เหลืออีก ๒ หลังสุดท้ายกำลังทำอยู่ ถ้าไม่มีลูกค้าเลยเขาก็น่าจะยืนหยัดไปได้อีก ๒ ปีเป็นอย่างน้อย เพราะโดยปกติปีหนึ่งจะขายได้ ๕-๖ หลังก็ยังยาก
ถาม : มีวิญญาณชั่วร้ายเข้ามารังควานคนในบ้าน ถวายสังฆทานให้เขาแล้ว เขาไม่ไป ?
ตอบ : ไปประกาศบอกเขาว่า เราแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น บุญทานอะไรก็ทำให้แล้ว ถ้าหากว่าดีกันไม่ได้ก็จะไล่..! แล้วก็บูชาผ้ายันต์เกราะเพชรไป ขู่ไว้ก่อนว่า "จะอยู่ด้วยกันดี ๆ ได้ไหม ? ถ้าไม่ได้ก็จะติดแล้วนะ"
ถาม : สงสัยว่าทำไมเขาเข้าในบ้านได้ ?
ตอบ : เขาอยู่มาก่อน คือบางรายถ้าพูดดี ๆ กันไม่รู้เรื่องต้องข่มขู่กันบ้าง ถ้าแสดงแสนยานุภาพของเราว่าสูงกว่า เขาก็จะถอยไปเอง ส่วนใหญ่พวกนี้ไม่ค่อยดื้อ
ถาม : ขู่ด้วยพระขรรค์โสฬสไปครั้งหนึ่งแล้ว หายไปไม่นานเขาก็กลับมาอีก ?
ตอบ : ก็คุณไม่เอาจริง แต่อาตมาเอาจริงนี่หว่า บูชาผ้ายันต์เกราะเพชรไป สวดอิติปิ โสฯ ไปเลย จะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ได้ ถ้าอยู่ด้วยกันดี ๆ ไม่ได้ จะติดผ้ายันต์แล้วนะ เข้าไม่ได้คราวนี้ห้ามโวย
ถาม : ติดรอบบริเวณบ้านหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ติดในบ้าน แต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือก็ได้ เท่านั้นแหละ..คุ้มได้ทั้งบ้านเลย
มีโยมถวายรองเท้า พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านใส่รองเท้าเฉพาะยี่ห้อเหมือนกัน เคยกราบเรียนถามหลวงปู่มหาอำพัน ท่านบอกว่าใส่แบบไหนถนัดก็อยากจะใช้แบบนั้น แบบเดียวกับที่อาตมาถนัดรองเท้าพื้นบาง พอคุณชวงเอาที่มีส้นมาหน่อย ใส่แล้วเดินไม่เป็นเลย ของหลวงพ่อวัดท่าซุงจะเป็นตราอูฐ ที่มีห่วงคล้องหัวแม่เท้า ของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศจะเป็นยี่ห้อ Bata ของหลวงปู่มหาอำพันยี่ห้อ SCS จะเอายี่ห้ออื่นไปอย่างไรก็ไม่ใช้หรอก
อาตมาเคยขอเปลี่ยนรองเท้าของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศเอาไว้บูชา แต่ปรากฏว่าไปซื้อเอาตราอูฐแบบมีห่วงคล้องหัวแม่เท้าถวาย ท่านเดินไม่ถนัด แต่ท่านก็อุตส่าห์เมตตาให้เปลี่ยน"
ถาม : เดินอยู่และสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ สักพักขาเริ่มก้าวไม่ออกครับ พยายามฝืนตะโกนแต่ไม่มีเสียง ควรจะทำอย่างไรต่อดีครับ ?
ตอบ : ให้นั่งภาวนาแทน อาการแบบนั้นแสดงว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิแนบแน่น ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัว ประสาทร่างกายของเรากับจิตใจแยกออกเป็นคนละส่วนกัน เราจะบังคับร่างกายไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เมื่อเราเดินภาวนาไปอย่างที่ว่านี้ จนกระทั่งรู้สึกว่าเริ่มเดินไม่ออกแล้ว ก็ให้นั่งภาวนาต่อไปเลย อย่าไปฝืน ถ้าไม่ใช่ชำนาญจริง ๆ ถึงระดับมีความคล่องตัวเป็นวสี ไม่ได้รับประทานหรอก เดิน ๆ ไปเดี๋ยวล้มทั้งยืน เพราะบังคับร่างกายไม่ได้
ถาม : บางทีอาราธนาวัตถุมงคลแล้วมีอาการเข่าอ่อนหมดแรง อย่างนี้คือกำลังเราไม่พอหรือครับ ?
ตอบ : บางทีท่านก็แสดงให้เรารู้ว่าพุทธานุภาพนั้นมีจริง เพราะฉะนั้น..ยิ่งมาแรงเท่าไรก็ควรที่จะดีใจเท่านั้น
ถาม : น้ำมันชาตรีสามารถกินได้ทุกวันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่มีใครห้าม ถ้ากินมากก็อาจจะอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าน้ำมันก็คือน้ำมัน ขนาดว่าเป็นพุทธคุณอย่างน้ำมันชาตรี ก็เท่ากับว่าเรากินไขมันเข้าไปทุกวัน หลวงพี่อาจินต์ (พระครูภาวนาธรรมนิเทศ) สมัยทำน้ำมันชาตรีใหม่ ๆ ท่านเองโดนพวกลูกหลงหางแถวไสยศาสตร์ไปเหมือนกัน ท่านฉันน้ำมันชาตรีวันละครึ่งแก้ว เดือนเดียวเท่านั้นแหละกลมไปทั้งตัวเลย ความจริงหยดสองหยดก็พอแล้ว ฉันครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ท่านว่าของท่านไปเรื่อย ฉันทุกวันกันเอาไว้ก่อน
ถาม : กรณีรักษาโรคภัย ?
ตอบ : ลองทาผิวของเราดู ถ้าอธิษฐานแตะแล้วรู้สึกปกติ หรือรู้สึกเย็นรักษาได้แน่ แต่ถ้ารู้สึกร้อนถือว่ารักษาไม่หาย แสดงว่าโรคนั้นกรรมยังบังอยู่
ถาม : เราจำเป็นต้องอุทิศส่วนกุศลตลอดไหมครับ ?
ตอบ : การที่เราอุทิศส่วนกุศล ช่วยให้เราปลดใจจากกรรมตรงนั้น บางทีเจ้ากรรมนายเวรเขาก็ไม่ได้อโหสิกรรมให้เราหรอก แต่ใจเราปลดจากตรงนั้นแล้ว เพราะรู้สึกว่าได้ทำอะไรที่ดี ๆ คืนให้กับเขาไป ใจเราก็ไม่เป็นห่วง ไม่ไปพะวงกับกรรมเก่าตรงจุดนั้น ก็เหมือนอย่างกับว่าเราปลดโซ่ออกแล้ว เราจะไปไหนก็ได้ แต่บางทีเจ้ากรรมนายเวรก็ยังผูกตัวเองอยู่กับเสานั่นแหละ เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็คืออุทิศให้ทุกครั้ง
ถาม : ถ้าเรานำวัตถุมงคลไปวางบนพานรวมกับเครื่องบวงสรวงบูชาครูบาอาจารย์ จะทราบได้อย่างไรว่าท่านสงเคราะห์อะไรให้ ?
ตอบ : ถ้าหากท่านไม่โวยวายว่า "ไม่ทำให้โว้ย..!" ก็ถือว่าท่านสงเคราะห์แล้วกัน หัดตีขลุมด้วยความมั่นใจเสียบ้าง วันก่อนเดินทางกลับวัดท่าขนุน เพราะว่าสอนหนังสืออาทิตย์สุดท้าย ถึงเมืองกาญจน์แดดเปรี้ยงเลย น้องเล็กเขาบอกว่าอยากให้มีแดดถึงทองผาภูมิบ้าง เพราะพวกเราตากผ้าไม่แห้งสักอาทิตย์ ก็เลยบอกว่าวันนี้ทองผาภูมิมีแดด ปรากฏว่าวิ่งเลยท่าทุ่งนามาหน่อยหนึ่ง ฝนกระหน่ำมืดฟ้ามัวดินเลย น้องเล็กก็หันมาถามว่า "ไหนว่ามีแดด ?"
อาตมาตอบว่า “ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่าได้สูญเสียความมั่นใจในความรู้ของตนเองเป็นอันขาด ขาดความมั่นใจเมื่อไร ต่อไปความรู้นี้จะเสื่อม” ปรากฏว่าพอวิ่งเลยไปถึงเขตทองผาภูมิ ฟ้าเปิดใสแจ๋ว ไม่เห็นมีฝนสักหยด
แบบเดียวกับที่อาตมาสอนพระที่วัด ในเมื่อเขาอยากรู้ว่าห้ามฝนอย่างไรก็สอนให้ คาถาว่าอย่างนี้ วางกำลังใจอย่างนี้ แต่พอถึงเวลาเดินบิณฑบาต เขาตั้งใจภาวนาคาถาห้ามฝนเพราะว่าฝนเอาแน่ เมฆดำต่ำมาจะติดหัวอยู่แล้ว ฝนเริ่มลงเปาะแปะ ๆ แล้ว ปล่อยให้เขาทำกันเอง เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำกันหมดเลย บอกว่า "เพราะคุณขาดความมั่นใจ คุณไปคิดว่าฝนจะตกแล้ว ๆ พอคุณขาดความมั่นใจขึ้นมา คาถาก็ไม่ได้ผล"
พอรุ่งขึ้นก็อาการเดียวกัน คือฝนเริ่มลงเม็ดหนัก อาตมาบอกท่านว่า “มา...ผมทำให้คุณดู” พอเดินไปอีก ๓ ก้าวฝนก็หยุดหมด "คราวนี้คุณเห็นหรือยังว่า ความมั่นใจคืออะไร ? เราต้องมั่นคง ไม่หวั่นไหว แม้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม เพราะว่าเราหวั่นไหวเมื่อไรก็พัง สิ่งที่เรามั่นคงเกิดจากความมั่นใจในกำลังใจของเราเอง ถ้าขาดความมั่นใจเมื่อไรนี่พังทั้งขบวน"
ถาม : กรณีมั่นใจ กลัวว่าจะเป็นการทึกทักเอาเอง ?
ตอบ : โปรดทึกทักแบบนั้นบ่อย ๆ เดี๋ยวจะดีไปเอง ขอให้มั่นใจเถอะ
เมื่อเช้านี้ทันตแพทย์เพชรไพฑูรย์ จันทร์ชูเชิด พาลูกศิษย์มา อาทิตย์ที่แล้วลูกศิษย์ไปโดนสหบาทาไม่จำกัดมา คือปกติบริษัทต้องจำกัดหรือมหาชน แต่บริษัทสหบาทานี่กระทืบไม่จำกัด เจอไป ๒๐ ต่อ ๑ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? เขาบอกว่าจอดรถแล้วเปิดประตูไปกระทบคนอื่นเข้า ไอ้เจ้านั่นไม่ยอม พาพวกมาเหยียบ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาพกตะกรุดมหาสะท้อนอยู่ดอกเดียว
ตอนแรกก็คิดว่าอาการสาหัส แต่พอพวกเขาเลิกกระทืบก็ลุกเดินได้ตามปกติ ก็เลยสงสัย ไม่เป็นอะไรเลย แต่อาตมาสงสัยว่าไอ้คนกระทืบ ๒๐ คนนั่นเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ? เพราะว่ายังไม่ได้ไปติดตามข่าวคราว คราวนี้เขาจะมาหาตะกรุดมหาสะท้อน เพราะพ่อแม่พี่น้องอยากได้ ก็เลยบอกว่าเหลือแต่พระกริ่ง เอาพระกริ่งไปแทนแล้วกัน เพราะว่าใส่ตะกรุดไปตั้ง ๓๐ ดอก ก็เลยเตือนเขาไปว่า คราวหน้าพกหลวงพ่อหลายวัดหน่อย ตูจะได้แก้ตัวได้ นี่เล่นพกตะกรุดดอกเดียวบ่ายเบี่ยงไม่ได้ เลยต้องยอมรับสภาพแต่โดยดี
คนอื่นอย่าไปหาประสบการณ์แบบนี้นะ ไม่สนุกหรอก วัตถุมงคลไม่ได้มีไว้ให้ลอง วัตถุมงคลมีไว้เพื่อคุ้มครองรักษาพวกเราในเวลาฉุกเฉิน ถ้าเราไปลองแปลว่าเราขาดความมั่นใจ เมื่อเราขาดความมั่นใจ กำลังที่ส่งมาเราจะรับได้ไม่เต็มที่ ถึงเวลาอาจจะน่วมจริง ๆ
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าโยมจะเอาโมทนาบัตรงานทอดกฐิน ให้รอวันที่ ๒๘ ตุลาคม เพราะเป็นวันรับกฐิน โมทนาบัตรกฐินของวัดทุกใบในปีนี้ จะเป็นวันที่ ๒๘ ตุลาคม แล้วญาติโยมส่วนหนึ่งมักจะช่วยให้พระผิดพระวินัย เพราะแต่ละวัดแต่ละปีจะรับกฐินได้ครั้งเดียว ถ้ารับกฐินซ้ำซ้อนเมื่อไร เขาเรียกว่า "กฐินเดาะ" พระไม่มีโอกาสใช้อานิสงส์กฐินนั้นเลย แต่ว่าญาติโยมส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจ
อย่างที่วัดท่าขนุนทอดกฐินบ่ายโมงตรง ถึงเวลาเราปิดยอดเสร็จสรรพเรียบร้อย เพื่อจะแจ้งยอดให้ญาติโยมได้ทราบ โยมมาห้าโมงเย็น เอาสตางค์มาให้ พอไม่รับก็ไปโวยวายว่าทำไมไม่รับ ? โดยที่ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้นว่าพระจะเดือดร้อนแค่ไหน ? รู้อยู่อย่างเดียวว่ากูจะทำบุญมึงต้องรับ..! ประเภทนี้อาตมาด่าส่งไปหลายรายแล้ว
วันรุ่งขึ้นอาตมาไปบิณฑบาต ยังมาฟ้องอีกว่า "วันก่อนเอาสตางค์ไปให้ตอนเย็น โยมที่วัดไม่ยอมรับ บอกว่าปิดยอดไปแล้ว เขาทำอย่างนี้ไม่ถูกนะคะ" อาตมาบอกว่า "เขาทำถูกแล้ว โยมเองต่างหากที่ทำผิด" ก็เลยหน้าเหี่ยวไปเลย กลัวเจ้าอาวาสจะไม่รู้ ไปดักฟ้องตอนบิณฑบาต ยังโชคดีที่ตอนเช้า ๆ อาตมายังใจเย็นอยู่ ถ้าฟ้องสาย ๆ หน่อยอาจจะโดนคืนไปชุดใหญ่..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง กฐินหลวงจะมาพร้อมผ้าไตรพระราชทาน ก็คือปัจจัย ๒,๐๐๐ บาท ผ้าไตร ๑ ไตร แล้วก็มีสบงขาว ๑ ผืน เผื่อพวกเราจะเอามาเย็บมาย้อมอะไรกันในวันนั้น เขาบอกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ให้ขอวัดท่าซุงยกขึ้นเป็นวัดหลวง หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าไม่เอา ปกติกฐินได้ตั้งหลายล้าน นี่เหลือแค่ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น เป็นอัตราที่โหดร้ายมากเลย
อย่างที่เข้าวังสมัยนั้น ไม่รู้สมัยนี้เปลี่ยนหรือยัง ? เข้าวังสมัยก่อนปัจจัยถวาย ๒๐๐ บาท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ๒๐๐ บาทเท่ากันหมด ไม่ไปก็ไม่ได้ จริง ๆ จะว่าไปแล้ว อัตราทั้งหลายเหล่านี้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็ดี หรือว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่คราวนี้เขาไม่เปลี่ยน เพราะเขาไม่อยากจะจ่ายเยอะ
อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ ถ้าไปออกงานที่อื่น อย่างน้อย ๆ ต้องได้รับ ๒๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ บาท ไปงานหลวงเขาถวาย ๒๐๐ บาท ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ ถือว่าขัดพระบรมราชโองการ ไม่ได้จะตำหนิตรงจุดนี้ เพราะว่าอัตราที่ท่านถวายนั้น เป็นสมัยอาตมายังแก้ผ้าวิ่งอยู่ แต่คราวนี้จากกรมศาสนามาจนเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตลอดจนสำนักพระราชวัง เขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอัตรานี้ แบบเดียวกับใบอนุญาตหาของป่า รู้ไหมว่าค่าธรรมเนียม ๑ บาทเท่านั้น แล้วเขาก็ขนหินไป ๒ คันรถสิบล้อ..! เขาก็พาซื่อแกล้งโง่ไปเรื่อย ทั้งที่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ เพราะว่างบประมาณของตัวเองมีอยู่ ไม่ได้ดูโลกภายนอกว่าไปถึงไหนแล้ว
เดี๋ยวนี้เงิน ๒๐๐ บาทซื้อผัดกระเพราได้จานเดียวเท่านั้นเอง แหม...แต่คนขายผัดกระเพราจานละ ๑๕๐ บาท นี่เขาต้องมั่นใจตัวเองมากเลยนะ เขายืนยันว่าของเขาวัตถุดิบคุณภาพสมราคา อาตมาพูดมาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ว่า ต่อไปบ้านเราข้าวแกงจานละ ๑๐๐ บาท ปรากฏว่าไปแรงกว่าที่พูดไว้ ล่อไป ๑๕๐ บาทแล้ว สโมสร ทบ.มาก่อนเลย..ใช่ไหม ? ๑๕๐ บาท วันก่อนที่บอกว่าไปกินที่ไหนไม่รู้โวยวายมา ปรากฏว่าเขาติดป้ายไว้เหมือนกัน แต่ป้ายเป็น A๔ บอกรายการยาวเหยียดเลย แล้วใครจะไปเพ่งว่าจานละ ๑๕๐ บาท
สถานการณ์ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ตาม พวกเราภาวนาพระคาถาเงินล้านไว้เป็นหลัก ต่อให้เขาลำบากเลือดตากระเด็นเท่าไร ก็ให้เราไปได้สบายกว่าเขาหน่อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณประโยชน์ ตันกันภัย ถวายเงินกฐินมาหนึ่งแสนบาท กระทู้ที่เปิดให้บูชาวัตถุมงคลของตัวเล็กยอดจองอยู่ที่ประมาณ ๒ ล้านบาท ตอนนี้โอนเข้าบัญชีมาแล้วราว ๗ แสนบาท ถ้าโยมโอนมาสักครึ่งหนึ่ง ยอดกฐินก็ทะลุล้านไปแล้ว
ส่วนกระทู้ของลูกเจ้าคุณนรฯ ก็ยังเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ความจริงต้องสรุปตารางให้เขาดูวันต่อวัน แต่อาจจะเป็นเพราะภารกิจมาก เวลาที่จะทำก็เลยไม่มี กระทู้ไหนที่นิ่งหรือว่าตายไปเลย คนเขาไม่ค่อยแลกันหรอก ถ้าอยากให้กระทู้เป็นที่น่าสนใจ ก็ต้องมีการปรับกระทู้ทุกวัน แต่ก็อย่างว่า..คนเฝ้ากระทู้ก็ไม่มีเวลาจะเฝ้า อย่างที่ลงเช้ากระทู้บ่ายกระทู้ของคุณสุธรรม ก็ยังโดนประท้วงว่าลงน้อยไปอีก"
"ถ้าลงมาก ๆ นี่ก็ต้องเห็นใจคนเขียนด้วยนะ คุณสุธรรมมีหน้าที่ลง แต่คนเขียนคืออาตมาเอง ตูเขียนไม่ทันก็ตายสิวะ..! ไม่ใช่ว่าถึงเวลาจะได้ตุนให้เขามาก ๆ บางทีก็อยู่ในลักษณะ "เบี้ยต่อไส้" หรือ "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ไปวัน ๆ เท่านั้น ความจริงว่าจะรอเรื่องไปเมืองจีนก่อน ปรากฏว่าเอาบันทึกไปทิ้งไว้ที่ไหนไม่รู้ น่าจะอาการเดียวกับพระครูหน่อย ปล่อยไว้นานเลยหาไม่เจอ
เรื่องของมารเขาจะทดสอบนี่ เขากลั่นแกล้งกันสารพัด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสอบไปก็ไร้ประโยชน์ เขาก็ยังสอบ มีอยู่วันหนึ่งนั่งฉันเพลอยู่ กาน้ำร้อนหาย อาตมาติดนิสัยมาจากตอนอยู่พม่า เพราะทางพม่าวัดหนองบัวอยู่ท้ายน้ำ เกือบจะปากอ่าวเมาะตะมะเลย ความสกปรกที่มากับน้ำจึงมีมาก ก็เลยใช้น้ำร้อนล้างจาน คราวนี้พอล้างอย่างนั้นบ่อย ๆ คนที่เขาไม่รู้สาเหตุ เขาก็เอาน้ำร้อนให้อาตมาตลอด แม้กระทั่งอยู่วัดท่าขนุนก็ใช้น้ำร้อน
ปรากฏว่าวันนั้นเขาไม่ได้ตั้งกาน้ำร้อน ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร...ใช้น้ำเย็นล้างก็ได้ พอว่าไม่เป็นไรเท่านั้นแหละ กาน้ำร้อนทั้งใบเด้งดึ๋งมาอยู่ข้าง ๆ ตัว พระที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ร้อง "เฮ้ย..! มาอย่างไรวะ ?" เขาแกล้งได้ขนาดนั้น เขาจะดูว่าอาตมาจะโมโหด่าคนอื่นหรือเปล่า โอ้โฮ...แสบไส้มากเลย
หลายครั้งตอนช่วงที่ทำวิทยานิพนธ์อยู่ บางทีแก้ ๆ ไป ๘ หน้า ๑๐ หน้า พอเซฟก็หายวับไปกับตา ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ค้นอย่างไรก็ค้นไม่เจอ แต่พอคิดว่า "ช่างหัวมันวะ กูทำใหม่ก็ได้" เท่านั้นแหละ..พอเปิดใหม่แล้วเจอเลย น่าตายมาก..! เราจะไปคิดว่ามารเขาอยู่มาตั้งกี่หมื่นกี่แสนปี ทันสมัยขนาดนั้นเลยหรือ ? ขอบอกว่าเทคโนโลยีทุกอย่างเขาสร้างขึ้นมานะ เขาเก่งกว่าเราอีก เขาเป็นคนสร้างเพื่อให้พวกเรายึดติด บอกแล้วว่าตัวเราเขายังสร้างเลย ทำไมเขาจะใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ? อาตมาโง่เองที่ครั้งแรก ๆ ไปคิดว่าเขาใช้ไม่เป็น ที่ไหนได้..เขาสร้างมาเองแท้ ๆ จะไม่เป็นได้อย่างไร ?"
"พอโดนเขาทดสอบอย่างนี้ก็ช่างหัวมัน ลงข้ามไปก่อนก็ได้ ก็เลยเอาเรื่องยุโรปมาลง พอเอาเรื่องยุโรปมาลง ตายห่า...นี่ตูจะไปเนปาลรอบ ๒ แล้ว ก็เลยให้เอาเรื่องเนปาลลงไปด้วย เวลาอ่านก็พยายามทำใจหน่อยแล้วกันนะ ว่าเนื้อหาเป็นอย่างนี้ คนเขียนไม่สับสนหรอก แต่คนอ่านจะสับสนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะว่าต้องอ่าน ๒ เรื่องพร้อมกัน
นักเขียนที่เก่งที่สุดในความรู้สึกของอาตมาก็คืออรวรรณ หรือถ้าชื่อจริงก็คือคุณเลียว ศรีเสวก(สี-เส-วก) คุณเลียวเขียนนิยายทีเดียว ๔ เรื่องพร้อมกันได้ แกตั้งพิมพ์ดีด ๔ เครื่องเลย ให้คนใช้เตรียมกระดาษเตรียมเครื่องดื่มไว้ พอถึงเวลาอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จสรรพเรียบร้อย แกมาถึงรัวพรืด ๆ ไปเลย พอได้จำนวนหน้าตามที่รับปากไว้กับทางด้านสำนักพิมพ์ คุณเลียวก็ไปอีกเครื่องหนึ่ง แล้วก็พิมพ์เรื่องนั้นต่อไปเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เป็นเจ้าของเอ็นซี ทัวร์ ที่จะพาเราไปเนปาลงวดนี้ ปกติคุณนวลจันทร์ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างนี้มานานแล้ว ให้แต่ลูกน้องทำ งวดนี้ด้วยความเกรงใจท่านพระครูปลัดปิง ก็เลยลงมาดูงานด้วยตัวเอง ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ใครที่มัวแต่ตัดสินใจอยู่ก็รีบหน่อย เพราะว่าเหลือแค่ ๙ ที่นั่งเท่านั้น"
ถาม : อยากจับลมหายใจสามฐานมาก แต่รู้ลมแค่ปลายจมูก สำลักลมหายใจ เหมือนกลั้นหายใจ พยายามจะหายใจ แต่ไม่ค่อยจะยอม ?
ตอบ : กำหนดรู้เฉย ๆ ว่าเราไม่หายใจแล้ว การจับลมหายใจไม่จำเป็นต้อง ๓ ฐาน จะเป็น ๓ ฐาน ๕ ฐาน ๗ ฐาน ฐานเดียวหรือรู้ตลอดกองลมก็ได้ แล้วแต่เราถนัด พอลมหายใจเบาลงให้รู้ว่าเบาลง พอลมหายใจหายไปให้รู้ว่าหายไป กำหนดใจรับรู้นิ่ง ๆ ไว้เฉย ๆ อย่าไปดิ้นรนหายใจใหม่ เพราะตอนนั้นจิตไปกับประสาทแยกออกจากกัน จะไม่ยอมรับรู้ลมหายใจ ต่อให้คุณหายใจอยู่ก็ไม่รู้
ถาม : ตัวเกร็งครับ ?
ตอบ : ตั้งใจว่าถึงตายลงไปเราก็จะไม่ทิ้งการปฏิบัติ ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้จะได้ดีเร็ว แต่ส่วนใหญ่จะไปกลัว แล้วก็เลิกทำไปเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนใหญ่พวกเราระยะหลังมักจะขาดศรัทธา ชอบมาถามว่าของจริงหรือเปล่า ? เรื่องของพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุต่าง ๆ ไม่ได้สำคัญว่าจริงหรือเปล่า แต่สำคัญที่เราระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยหรือเปล่า ถ้าเราระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ กุศลใหญ่ก็จะเกิดแก่ตนเอง แต่ถ้าหากเราไม่ได้ระลึกถึงเลย ต่อให้เป็นของจริงก็ไม่มีประโยชน์
แล้วระยะนี้มีพวกสิ้นสติ ส่งพระบรมสารีริกธาตุไปทางไปรษณีย์ อาตมาแกะกล่องออกมา ถ้าอยู่ใกล้ ๆ นี่จะเป่ายันต์รอบพิเศษให้...! ต้อง "ยัน" ให้หนัก ๆ หน่อย ของสำคัญขนาดนั้นดันส่งทางไปรษณีย์ อะไรจะอยากได้บุญกุศลจนสิ้นสติได้ขนาดนั้น ถึงเวลาเขาก็โยนกล่องกองซ้อนทับกันไม่รู้กี่ตลบต่อกี่ตลบ ใส่ถุงใส่กระสอบเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง เดินข้ามบ้างเหยียบบ้าง นอกจากเกิดโทษแก่ผู้อื่นที่ไม่รู้ว่ามีของสำคัญ ก็ยังเกิดโทษแก่ตนเอง เพราะกำลังใจหยาบเกินไป ไม่ได้ระลึกถึงว่าอะไรเหมาะอะไรควร แต่เชื่อเถอะ..ถึงพูดไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็จะมีไอ้พวกอยากได้บุญส่งไปอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อาตมาถูกหวย ไม่รู้ว่ารางวัลอะไร อยู่ ๆ คุณจารุก็เอาล็อตเตอรี่มาให้ บอกว่าถูกหวยแต่ไม่ได้ไปเบิก ก็เลยถวายล็อตเตอรี่ให้อาตมาไปขึ้นเงินเอง ป้าจี๋รับไปแทน แต่ว่าให้มากี่สตางค์อาตมาก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน (ถูกเลขท้าย ๓ ตัวค่ะ) เคยมีคนถูกรางวัลที่ ๑ ควบเลขท้าย ๓ ตัว เพราะว่าเลขตรงกัน แต่เมื่อเอาไปขึ้นที่ร้านค้า เจ้าของร้านให้รางวัลเดียว ซึ่งความจริงต้องได้ ๒ รางวัล
สมัยเด็ก ๆ พี่ก้องเกียรติวิ่งจากโรงเรียนรวดเดียวถึงบ้านเลย ซื้อล็อตเตอรี่เอาไว้ ปรากฏว่าพอเขาประกาศผล จำได้ว่าตัวเองถูก อารามดีใจเกิดปีติขึ้นมาอีท่าไหนไม่รู้ วิ่งจากโรงเรียนรวดเดียวถึงบ้านเลย ปรากฏว่าพอไปดูแล้วไม่ถูก สลับกันเลขเดียว จำได้เพราะว่าตอนเขาประกาศรางวัลฟังดูตรงหมดทุกตัว คิดว่าใช่..เลยวิ่งกลับบ้าน อารามปีติจึงไม่เหนื่อย คาดว่าพอตรวจดูแล้วผิดนี่คงเหี่ยวไปเลย
สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็ไม่เข้าใจที่เขาเดินขายกัน “เรียงเบอร์ครับ เรียงเบอร์” คืออะไรวะ ? จะว่าเด็กก็ไม่เด็กมากหรอก เข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ นี่เรียนจบ มศ. ๓ แล้ว แต่ไม่รู้หรอกว่าเรียงเบอร์คืออะไร มารู้ทีหลังว่าใบตรวจหวย ต้องบอกว่าทางโรงพิมพ์เขาฉลาด เปิดเสียงคนขานเลขพร้อมกับเรียงตัวเลขไปด้วย พอเขาประกาศเสร็จ ก็เรียงจบพิมพ์ได้เลย ต้องบอกว่าเก่งมาก ๆ เพราะเขาอ่านแค่ ๒ ครั้งเท่านั้น เพราะว่าอ่านซ้ำทางนี้ก็เรียงเสร็จพอดี
คนเรียงพิมพ์สมัยก่อนเก่งมาก เพราะไม่ใช่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่เป็นตัวอักษรตะกั่ว ต้องจับมาเรียงแถว ๆ เขาถึงได้ใช้คำว่าเรียงพิมพ์ จัดเรียงเป็นบรรทัด ต้องจัดอะไรให้พอดี ไม่เหมือนกับสมัยนี้ คอมพิวเตอร์สั่งจัดหน้าได้หมด เพราะฉะนั้น..คนสมัยก่อนเก่ง ที่เก่งมากเลยก็คือต้องเรียงกลับด้าน พอถึงเวลาเขาพิมพ์จะได้ตรงพอดี"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนบอกว่าประเทศไทยเราล้าหลังอาเซียนทั้งหมด ไม่น่าจะจริง เพราะตอนนี้เราเป็นผู้นำอาเซียนแล้ว ขนาดมาเลเซียยังเลียนแบบสีเหลืองสีแดงไปใช้เลย เพียงแต่อาตมาไม่ได้ติดตามข่าวว่าของเขาสีแดงฝ่ายไหน สีเหลืองฝ่ายไหน จะภูมิใจดีหรือเปล่าว่าเราเป็นผู้นำอาเซียนในสิ่งที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวสักเรื่อง ส่วนเรื่องดี ๆ กลับอวดชาวบ้านเขาไม่ได้ ไม่สามารถเป็นผู้นำเขา
ตอนบ้านเราเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ฝรั่งเรียกต้มยำกุ้งไครซิส คือวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง แล้วก็ลามไปทั่วโลก ประเทศเราเป็นประเทศเล็ก ๆ ยังทำเอาหลายประเทศเอียงกะเท่เร่ล้มตามไป ต้องให้ IMF มาช่วยดูแล ซึ่งการดูแลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในลักษณะบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าดี ทำให้ประเทศชาติเราเสียหายเป็นแสน ๆ ล้านบาท ที่อาตมาพูดนี่ก็คือว่า หากประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมา จะมีผลกระทบขนาดไหน ? โดยเฉพาะยุโรปกับอเมริกาผูกขาติดกันโดยตรง แล้วเวลายักษ์ล้ม ประเทศเล็ก ๆ อย่างพวกเราจะพลอยแบนไปด้วยหรือเปล่า ?
สถานการณ์ประเทศชาติไม่ค่อยจะดี ช่วยกันสวดมนต์ภาวนาให้มาก ๆ เข้าไว้ โดยเฉพาะภาวนาคาถาเงินล้านให้เป็นปกติ อย่างน้อยจะได้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา เรื่องเบาจะได้หาย ถ้าหากว่าเรื่องดีจะได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป"
https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xtp1/v/t1.0-9/s720x720/1546221_10204577671630586_6079074608172466976_n.jpg?oh=227bfd4a841bc5e49143fed34ffeb212&oe=56939A22&__gda__=1451785991_67198fa196e3e58e9fc032781af27ca8
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสื้อกระโถนข้างธรรมาสน์รุ่นนี้ อาตมาเลือกสีเอง หมอดูเขาบอกว่าสีนี้ถูกโฉลกกับวันเกิดอาตมา ลองดูว่าใส่กันเยอะ ๆ แล้วจะช่วยอะไรได้บ้าง
อาตมาไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ เชื่อบุญเก่า กรรมเก่าที่เราทำมา ถ้าเราทำบุญเอาไว้ดี เรื่องดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง ตำราพรหมชาติท่านดูเอาไว้ค่อนข้างจะแม่นยำ ท่านว่า
สิทธิการิยะ หญิงชายใดเกิดวันอาทิตย์ จิตนั้นพลันมักง่าย ทำบุญแก่ใครเหมือนไฟตกน้ำ สร้างบุญคุณไปเถอะ คนเขาไม่เห็นความดีหรอก
เจรจาเลิศล้ำ ไม่มีความผิด จะได้ดีเพราะคำพูด
น้ำใจซื่อตรง คงสัตย์ต่อมิตร รักง่ายใจจิต ไม่คิดเสียดาย เป็นคนรักเพื่อนฝูงมีน้ำใจซื่อสัตย์
ถ้อยความมาต้อง ถึงสองสามราย ร้ายแล้วกลับกลายคืนดีภายหลัง จะเกิดคดีความ เกิดเรื่องเกิดราวอย่างน้อย ๒-๓ ครั้งในชีวิต แต่ว่าจะเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีทุกที
เมื่อน้อยไร้ทรัพย์ เมื่อโตกลับมั่งคั่งสมบูรณ์ แสดงว่าโตขึ้นแล้วถึงจะรวย เด็ก ๆ จะยากจน
แต่ถ้านับพื้นฐานดวงแล้ว คนเกิดวันอาทิตย์ที่อยู่ไม่ถึง ๘๐ ปีไม่รวยหรอก เพราะดาวศุกร์ที่เป็นดาวเงินมาทีหลังสุด ต้องเป็นอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เสาร์ ราหู แล้วถึงจะศุกร์ ดาวศุกร์ที่เป็นดาวเงินมาช้าที่สุด คนที่เกิดมาแล้วรวยง่ายที่สุดคือวันศุกร์ เกิดมาดาวเงินก็เข้าเลย"
"เรื่องของโหราศาสตร์อย่าเชื่อถือมากนัก ในขณะเดียวกันก็อย่าลบหลู่ เพราะว่าทางพราหมณ์เขาเก็บสถิติต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี ว่าคนที่เกิดในวันเดือนปีอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาถึงวาระอายุเท่านั้นเท่านี้ จะมีเรื่องอย่างนี้ ๆ ขึ้น ซึ่งก็คือเรื่องของบุญของกรรมที่เคยทำไว้ส่งผลนั่นแหละ คนที่เกิดมาใกล้เคียงกัน ก็ทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงคล้าย ๆ กัน
ในเมื่อสถิติที่เขาเก็บต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี สรุปลงมาเป็นศาสตร์ก็คือโหราศาสตร์แล้ว ก็เป็นเรื่องที่พอจะเชื่อถือได้ แต่ว่าเต็มที่ก็ได้สัก ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าใช้ทิพจักขุญาณ มีความสามารถจริง ๆ ก็จะได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าถามว่าขนาดทิพจักขุญาณทำไมไม่ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ? ก็เพราะว่ามี ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่กำลังใจเกินมนุษย์มนาทั่วไป เรื่องของคำทำนายทายทักไม่มีประโยชน์ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้บ้า ๆ บอ ๆ กำลังใจเกินมนุษย์มนา ต่อให้ใครบอกว่าไม่ดีก็จะเอาให้ดีให้ได้
ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาสายพุทธภูมิ ปรารถนาจะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต กำลังใจจะมากล้นเกินคนปกติ วิชาโหราศาสตร์จึงใช้กับท่านเหล่านี้ไม่ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปหลวงพ่อวัดท่าซุงรูปนี้เกิดจากหลวงพี่อาจินต์ อาตมาก็ทำรูปลักษณะนี้แหละ เป็นกล่องไฟเล็ก ๆ โตประมาณกระเป๋าเอกสาร พอช่างมาส่ง หลวงพี่อาจินต์ก็บอกว่า "เฮ้ยเล็ก...สวยจังว่ะ ขอพี่เถอะ" อาตมาก็ "อ้าว...ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะ ?" "เออน่ะ...แกเอาของพี่ไป" แล้วท่านเอารูปที่ม้วนอยู่ส่งมาให้ ด้วยความซื่ออาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านม้วนทางด้านกว้าง เห็นว่าใหญ่กว่าของเราไม่เท่าไร ก็ส่งให้ช่างเขาไปทำให้ใหม่
สรุปว่าช่างต้องเอารถกระบะขนรูปนี้มาให้ อาตมาเห็นก็ตกใจ เพราะว่าบรรทุกมารูปเดียวล้นคันเลย ถามทำไมใหญ่อย่างนี้ ? ช่างเขาบอกว่าก็ใหญ่เท่านี้แหละครับ ยังโชคดีที่อาตมาภาวนาคาถาเงินล้านขึ้นตั้งแต่แรก ก็เลยมีเงินจ่าย คิดดูว่าปลายปี ๒๕๓๕ ต้นปี ๒๕๓๖ รูปนี้ราคา ๓๐,๐๐๐ บาท ปัจจุบันนี้ ๕๐,๐๐๐ บาท ทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
นาน ๆ จะเปิดไฟเสียทีหนึ่ง ชมกันให้ชื่นใจ เพราะว่าข้างในมีหลอดสั้นตั้ง ๘ หลอด ขืนเปิดทุกวันจ่ายค่าไฟตายเลย"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ให้ลูกกินนมเยอะ ๆ แม่จะได้ผอมลง ส่วนใหญ่ที่ท้องแล้วอ้วนเพราะไม่ให้ลูกกินนม เขาอ้วนเพราะว่าเตรียมให้ลูกกิน พูดง่าย ๆ คือธรรมชาติให้ร่างกายสะสมไว้เผื่อเด็ก แต่ปรากฏว่าคนเป็นแม่กลับไม่ให้ลูกกินนม ไปกินนมกระป๋องนี่บรรลัยเลย เด็กคลอดใหม่ ๆ มาอย่าให้กินนมกระป๋องเด็ดขาด เพราะถ้ากินนมกระป๋องแล้ว น้อยคนจะยอมกินนมแม่ เพราะนมกระป๋องหวานกว่า เด็กติดรสหวานไปแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคลต่อไปที่จะสร้างว่า "บาตรน้ำมนต์ฉลองอายุ ๕ รอบที่จะสร้าง เอาขนาดปากบาตร ๖ นิ้ว จะได้ใหญ่สะใจหน่อย ทำสัก ๖๐ ใบเท่าอายุก็พอ ให้แย่งจนเหยียบกันตายไปเลย ครอบน้ำมนต์วัดอื่นเขาทำเล็ก ๆ ของเราจะไปขี้เหนียวทำไม ? ทำใบใหญ่ ๆ ไปเลย ใครอยากได้ก็เก็บเงินไว้ ราคาน่าจะเป็นแสนเพราะนวโลหะมีทองคำผสมเยอะ แล้วของมีน้อย ถึงเวลาแย่งกันจองให้หัวทิ่มอยู่ตรงนั้นแหละ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าปีนี้คุณเต้ยรับเป็นเจ้าภาพผ้ากฐินปลดหนี้ที่เนปาลกัน ใครจะร่วมบุญด้วยไปทำที่คุณเต้ย อาตมาจะได้ไม่ต้องเอาผ้าไปเอง ถ้าหากว่าลืมก็จะจับพวกเราที่ไปด้วยนั่นแหละ สละผ้าคนละชิ้นแล้วเย็บกันตรงนั้นเลย...!
งานนี้คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของเอ็นซี ทัวร์ ไปสำรวจพื้นที่มาแล้ว แจ้งให้ทราบว่าเขาบูรณะจวนจะสมบูรณ์แล้วสำหรับสิ่งที่พัง ๆ ไปตอนแผ่นดินไหว ก็แปลว่าถ้าไปก็มีให้ดู"
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวัดท่าขนุนเดือนนี้ก็มีเป่ายันต์เกราะเพชรวันที่ ๑๗ ตุลาคม บวงสรวงตอน ๐๗.๓๐ น. เป่ายันต์รอบแรก ๑๐.๐๐ น. รอบบ่าย ๑๓.๐๐ น. คาดว่ารอบบ่ายคงแทบไม่มีใครเหลือ แต่ก็ต้องทำเพราะว่าท่านที่ไม่ได้มา เขารอรับกันตามเวลาอยู่ทางบ้าน
วันที่ ๒๘ ตุลาคม มีกฐินกับตักบาตรเทโวฯ ตักบาตรเทโวฯ ช่วงเช้า ทอดกฐินตอนบ่ายโมง อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อนกฐิน ๓ วัน ก็คงจะเป็นวัน ๑๓ –๑๕ ค่ำ ออกมารับบาตรเทโวฯ พอดี จะเดินไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ไม่เป็นไรหรอก...พระท่านสั่งก็ทำไป ถ้าตกเขาตายก็จบ ...(หัวเราะ)...
ต้องเริ่มเข้ากรรมฐานวันที่ ๒๕ ไปออกเช้ามืดวันที่ ๒๘ ที่อื่นเขาทำบุญถวายทานกับพระออกกรรมฐาน ของเราถวายกฐินกับพระออกกรรมฐาน จะเก็งกำไรเยอะไปหรือเปล่า ? กลัวอย่างเดียวว่าจะไปเป็นลมขายหน้าเขาตอนเดินรับบาตร ถ้ารับกฐินไม่กลัวหรอกเพราะนั่งอยู่กับที่ ตอนรับบาตรเดิน ๆ แล้วล้มตึงไปนี่ขายหน้าชาวบ้านเขา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฉบับหน้าจะมี "อีหรอบเดียวกัน" ลงในกระโถนข้างธรรมาสน์ จนป่านนี้แล้วหลายคนยังไม่รู้เลยว่าอีหรอบคืออะไร ? ก็คือยุโรปนั่นแหละ แต่รุ่นปู่ย่าตาทวดเราสมัยรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ อ่านว่าอีหรอบ สมัยก่อนเขาออกเสียงไม่เหมือนเรา อย่างโทรเลข เทเลกราฟ เขาเรียก ตะแล็บแก๊บ สถานี สเตชั่น เขาเรียก กะเตชั่น แล้วสมัยนี้เขาเป็นอียู รวมกันเป็นประชาคมยุโรป ก็เลยเป็นอีหรอบเดียวกัน"
ถาม : อ่านอีหรอบเดียวกันไม่ทันใจเลย ?
ตอบ : คนเขียนก็เขียนปางตาย หนักแรงมาก เพราะต้องนึกภาพย้อนหลังไปว่าตอนนั้นมีอะไรเกิดขึ้น หลายคนบอกว่าใส่รายละเอียดได้เหมือนกับไปเห็นด้วยตนเองเลย ถ้าหากคุณเขียนอย่างผม คุณก็เห็นด้วยตัวเองเหมือนกันแหละ เรื่องพวกนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ บอกว่าเป็นการซักซ้อมอตีตังสญาณ ซักซ้อมทิพจักขุญาณ ให้หมั่นทำเอาไว้ จะได้แจ่มใสชัดเจน ก็ไม่เห็นลูกศิษย์ท่านจะทำสักกี่คนเลย
ไปนึกถึงปลัดน้อย (พระอภิชัย สุธมฺมธมฺโม) คือนายอภิชัย นุตาลัย ในปัจจุบันนี้ มาถึงก็ "เฮ้ยเล็ก...ยืมหนังสือเล่มนี้หน่อย" "มึงยืมไปแล้วกูจำได้" "นั่นแหละกูจะอ่านอีก" "แล้วอ่านไปทำไม ?" "กูลืมไปแล้ว กูอ่านแล้วไม่ได้จำ กูอ่านเมื่อไรก็สนุกเมื่อนั้น มึงอ่านแล้วจำได้ ไม่สนุกหรอก"
ถาม : หนูอ่านเพชรพระอุมาสามรอบแล้วค่ะ ?
ตอบ : สมัยอาตมาทำงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม พอหลังอาหารกลางวัน มีหน้าที่เล่าเพชรพระอุมาให้เพื่อนฟัง โอ้โห...ล้อมวงกันดีแท้ ถ้าเก็บเงินนี่รวยเลย คนงาน ๗๐-๘๐ คนนั่งฟัง อาตมาก็เล่าให้เขาฟังเหมือนกับอ่านหนังสือ เขาถามจำได้ขนาดนี้เลยหรือ ? ก็จำได้นี่หว่าจะให้ทำอย่างไรเล่า ?
เพราะว่าอ่านเพชรพระอุมาเป็นตอน ๆ ในจักรวาลรายสัปดาห์ อ่านเป็นเล่มเล็ก ๆ ขนาดใส่กระเป๋าเสื้อได้ เล่มละ ๖ สลึง ๒ บาท แล้วก็มาอ่านปกแข็งรวมเล่ม ๑๘ เล่ม ปกแข็งรวมเล่ม ๒๒ เล่ม ปกแข็งรวมเล่ม ๒๔ เล่ม อ่านทุกชุด ตอนช่วงนั้นปกแข็งรวมเล่มราคาหน้าปก ๓๕ บาท แล้วลดครึ่งราคาเหลือ ๑๗.๕๐ บาท ต้องเก็บเงินได้ค่าแรงวันละ ๒๕ บาท ถึงเวลาค่าแรงออกอาทิตย์หนึ่งก็ซื้อเล่มหนึ่ง บอกเจ้าของร้านไว้เลยว่า เล่มต่อไปห้ามขายให้ใครนะ อาทิตย์ต่อไปจะมาซื้อ เขาเห็นว่าติดตามจริงก็เลยเก็บไว้ให้ เพราะปกติถ้าเล่มไหนโดนดึงออกจากชุด คนซื้อยกชุดก็ไม่ซื้ออยู่แล้ว อ่านมากขนาดนั้นจะไม่ให้จำได้ทุกตัวอักษรได้อย่างไร
ถาม : วัดอยู่ทองผาภูมิหรือครับ ?
ตอบ : อยู่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ไกลหน่อย วิ่งมาที่นี่อย่างเร็ว ๆ ก็ ๓ ชั่วโมงครึ่ง อย่างช้าก็ ๔ ชั่วโมงกว่า ประมาณ ๒๘๐ กิโลเมตร
สมัยก่อนธุดงค์ไปที่นั่นก็ชอบใจพื้นที่ แล้วไปศึกษาความรู้จากหลวงพ่ออุตตมะบ้าง หลวงปู่สายบ้าง หลวงพ่อลำใยบ้าง ท่านก็เมตตาสอนให้ ใครจะนึกว่าไป ๆ มา ๆ จะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงปู่สาย หลวงปู่สายมรณภาพปีเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเลย และก่อนเดือนครึ่งด้วย ท่านมรณภาพ ๑๔ กันยายน ช่วง ๑๐๐ วันของท่านอาตมาก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ ๒ วัด สวดพระอภิธรรมถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเสร็จตอน ๒ ทุ่มครึ่ง ก็วิ่งจากวัดท่าซุงมาวัดท่าขนุน ทำบุญเช้าวัดท่าขนุนเสร็จก็วิ่งกลับวัดท่าซุง คนจะไม่รู้เพราะว่าวิ่งตอนกลางคืน พอเจ้าอาวาสผ่านไป ๒ รูป ลูกศิษย์ที่ทันบวชกับหลวงปู่สายไม่มีเหลือแล้ว พอถามไปถามมา เออ...อาจารย์เล็กยังอยู่ เคยเรียนวิชากับหลวงปู่ เขาก็เลยมานิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาส
ถาม : ที่วัดเป่ายันต์เกราะเพชรด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ก็ไม่นึกว่าจะได้ทำ เพราะตอนที่ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรมีตั้ง ๙ รูป แล้วอาตมาอาวุโสเกือบน้อยที่สุด ตอนครอบครูเพิ่งจะ ๗ พรรษา มีรุ่นน้องอีกรูปหนึ่ง ๒ พรรษาเอง ปรากฏว่ารุ่นน้อง ๒ พรรษาสึกไปแล้ว รุ่นพี่ก็สึกไปหลายคน ที่อยู่ส่วนใหญ่ออกมาข้างนอกหมด อย่างหลวงพี่วิรัชออกมา อาตมาออกมา หลวงตาวัชรชัยออกมา ก็ ๓ รูปแล้ว ท่านน้อยก็สึก ท่านชาติชายก็สึก ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เหลือมีใครบ้าง ?
ถาม : หลวงพี่วัชรชัย ?
ตอบ : ท่านออกมาแล้ว ออกมาหลังอาตมาปีเดียว ท่านไปอยู่สระบุรีจนกระทั่งเป็นเจ้าคณะอำเภอ เพิ่งจะลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ อาตมาก็ลาออกจากเจ้าคณะตำบลมาทีหนึ่ง นี่โดนจับยัดให้เป็นใหม่อีกแล้ว
หลวงตาท่านลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลเขาวง เจ้าคณะจังหวัดเซ็นให้ทันทีเลย นึกว่าใจดีปล่อยให้พัก ที่ไหนได้..ตั้งให้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอต่อ ท้ายสุดก็ขึ้นเป็นเจ้าคณะอำเภอ
กลายเป็นว่าที่เหลืออยู่ในวัดแทบจะไม่มีตัวแล้ว อาตมาก็อาวุโสน้อยมาก แต่ทำไมท่านสั่งให้เป่ายันต์ฯ ? มาตอนนี้เลิกสงสัยแล้ว หลังจากที่เคยคุย ๆ กับบรรดาพี่ ๆ เขาบอกว่า คนที่หลวงพ่อจะใช้งานต้องติดต่อกับท่านได้ พวกที่ไม่ค่อยมั่นใจตัวเองท่านก็เลิกใช้
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นใหม่รู้หรือไม่ว่าสารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ ? โบราณเขาว่า "ตรุษ ๔ สงกรานต์ ๕ สารท ๑๐" ก็คือวันตรุษไทยจะตรงกับสิ้นเดือน ๔ สงกรานต์ตรงกับกลางเดือน ๕ สารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ คราวนี้คนฟังไปตีความเพี้ยน ไปตีความว่าวันตรุษไทยให้ทำบุญ ๔ วัน สงกรานต์ให้ทำบุญ ๕ วัน สารทไทยทำบุญ ๑๐ วัน
หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "โคตรแม่มึงทำไปคนเดียวเถอะ กูไม่ทำกับมึงหรอก ทำบุญตั้ง ๑๐ วัน พระไม่ต้องทำอะไรกันพอดี" คนที่ตีความผิดคืออดีตมัคคนายกวัดท่าซุง อาจารย์สง่า สาโรจน์ อะไรที่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อ เสียเวลาทำมาหากินชาวบ้านเขา จะทำบุญตั้ง ๑๐ วัน ก็ทำไปคนเดียวเถอะ การทำบุญนะดี แต่ถ้าทำลักษณะนั้นเดือดร้อนชาวบ้านเขา
สารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสารทไทยก็คือกระยาสารท ที่ดังมาก ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นกำแพงเพชรหรือเปล่า ? เพราะว่าต้องคู่กับกล้วยไข่ กระยาสารทมักจะหวานมาก กินคู่กับกล้วยไข่จะตัดรสหวานได้ ส่วนตรุษไทยนั้นจะเป็นข้าวเหนียวแดง ถ้าสงกรานต์จะเป็นกาละแม เดี๋ยวนี้พวกขนมประจำสารทพวกเราจำกันไม่ได้แล้ว ที่อาตมาจำแม่นเพราะตอนเด็ก ๆ ต้องรอ ถ้าไม่มีตรุษ ไม่มีสารท ก็ไม่มีขนมกิน บ้านที่ฐานะไม่ดี ปีหนึ่งทำขนม ๒-๓ ครั้งก็ถือว่ามากแล้ว กว่าจะได้กินอีกทีก็โน่น หน้าลงแขกเกี่ยวข้าว ทำขนมเลี้ยงแขก ส่วนใหญ่ก็เป็นลอดช่องน้ำกะทิ ก็กินกันได้กินกันดีเหมือนกัน เพราะไม่มีอะไรจะกิน
ลงแขกเกี่ยวข้าวเป็นประเพณีที่ดีงาม แสดงออกถึงความสามัคคีของชาวบ้าน ไม่ว่าจะหมู่บ้านเดียวกัน หรือหมู่บ้านอื่น สมัยก่อนเขาใช้คำว่า "เอาแรงกัน" เวลาบ้านเขาเกี่ยวข้าวเราก็ไปช่วย ถึงเวลาเวลาบ้านเราเกี่ยวข้าวบ้านเขาก็มาช่วยคืน ถึงได้เรียกว่า "ลงแขก" คือเรียกแขกช่วยกันลงนาเกี่ยวข้าว มะรุมมะตุ้มพักเดียวก็เสร็จ แต่ความหมายของคำว่าลงแขกสมัยหลัง กลายเป็นรุมข่มขืนผู้หญิงไป อะไรที่เก่า ๆ หลัง ๆ ก็กลายเป็นเพี้ยนไป โบราณถึงบอกว่า ของกินถ้าไม่ได้กินก็เน่า เรื่องเล่าถ้าไม่ได้เล่าก็ลืม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยปกติถ้าเป็นเดือนตุลาคมก่อนหน้านี้ ลมหนาวจะเริ่มมาแล้ว โบราณเขาเรียกว่าลมข้าวเบา ก็คือ ถ้าลมเย็นพัดมาข้าวจะเริ่มสุก ข้าวเบาคือข้าวที่มีอายุน้อย โตเร็ว สุกง่ายกว่า กระทบลมหนาวที่ยังไม่หนาวจริงก็เริ่มสุกแล้ว
สมัยเด็ก ๆ ชาวกรุงเทพฯ พอถึงเดือนตุลาคมก็ไปสักการะพระบรมรูปทรงม้าของในหลวงรัชกาลที่ ๕ ต้องใส่เสื้อกันหนาวไป งานพระบรมรูปฯ จึงเป็นงานอวดเสื้อกันหนาวของปี"
ถาม : หลวงพ่อถาวร วัดปทุมวนาราม ท่านเส้นโลหิตในสมองแตกนอนอยู่โรงพยาบาลครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นมีข่าวบ้างเลย ตอนปี ๒๕๓๒ ท่านยังเป็นพระมหาถาวร จิตฺตถาวโร ท่านไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุงในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่มหาอำพัน พอท่านกราบลงหลวงพ่อวัดท่าซุงก็บอกว่า “มาถูกทางแล้ว ไปตามทางนั้นแหละ” รู้สึกว่าท่านดีใจมาก ท่านกราบแล้วก็ไปนั่งข้างหลังเลย ท่านคงตั้งใจมาจากวัดเลยเพื่อที่จะมาถาม พอกราบลงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็บอกเลยว่ามาถูกทางแล้ว พอหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพ ท่านเป็นพระเถระรูปแรก ๆ ที่ไปคารวะศพ
พออาตมาเจอหน้าท่าน รื้อฟื้นความหลังท่านก็จำได้ทันที แต่ก็อย่างว่า..อาตมาเดินคู่กับท่านแล้วน่าเกลียด เพราะท่านสูงไม่ถึงไหล่ ถ้าท่านนั่งอยู่จะรู้สึกว่าองค์ท่านใหญ่ แต่พอยืนแล้วเหลือนิดเดียว
ตอนนี้ท่านเส้นโลหิตในสมองแตก นอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาเป็นเดือนแล้ว ข่าวคราวก็ไม่ออกเลย ท่านไปสร้างวัดถวายในหลวงอยู่ที่สระบุรี ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อวัดมงคลชัยพัฒนา อยู่ที่ ต.ห้วยบง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี เคยแวะเยี่ยมท่านที่โน่นครั้งหนึ่ง ครูบาอาจารย์ก็เจ็บไข้ได้ป่วยล่วงลับกันไปเรื่อย ๆ ที่เหลืออยู่ก็โตไม่ทันใช้ โดยเฉพาะทางกาญจนบุรี
ที่กาญจนบุรีเดี๋ยวนี้พระเกจิอาจารย์เด่น ๆ แทบจะไม่มีเลย พอสิ้นหลวงพ่อลำใย หลวงพ่ออุตตมะแล้วก็เงียบสนิท ที่ดังขึ้นมาก็ดังเฉพาะพื้นที่อย่างหลวงปู่ทองศุข วัดท่าตะคร้อก็เพิ่งมรณภาพไป พระอาจารย์วัชระ วัดถ้ำแฝดก็โดนอธิกรณ์จนต้องลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสไป พระอาจารย์วัชระนั่นอบรมเจ้าอาวาสรุ่นเดียวกับอาตมา
เรื่องของผู้หญิง ถ้าพระเราไม่รู้จักระมัดระวังจะเสียหายง่ายมาก เพราะคนมักจะจ้องจับผิดอยู่แล้ว ท่านเองไปเที่ยวต่างประเทศ ที่เขาถ่ายรูป คนถ่ายอ้างว่าเดินจับมือกันไป แต่จากรูปที่ออกมาเป็นรูปที่ถ่ายทางผู้หญิงซึ่งบังองค์ท่านอยู่ เห็นแต่ศีรษะ แล้วจะรู้หรือว่าจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ? แต่ท่านก็ดี..พอมีเรื่องขึ้นมา เจ้าคณะอำเภอบอกให้ลาออกเสียก่อน พอเรื่องซาแล้วค่อยว่ากันเรื่องตำแหน่งใหม่ ท่านก็ลาออก ไม่อย่างนั้นวัน ๆ คนก็แห่ไปหาท่านเยอะแยะ เพราะว่าท่านสาวน้ำตาเทียนดูโชคชะตาให้
รู้สึกว่าถ้าเป็นพระหมอดูนี่คนจะขึ้นเยอะ เพราะต้องการที่พึ่ง อาตมาเลิกดูหมอได้นี่โล่งใจไปเลย ตอนนี้วัดใกล้ ๆ กันก็คือวัดอู่ล่อง แต่เดิมก็คือสำนักสงฆ์โชคผาสุกิจ ต้องบอกว่าเป็นคู่เขยกัน ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุนเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุนเขต ๒ ตำบลอื่นอิจฉาเพราะว่าในอำเภอทองผาภูมิแล้ว ๒ รูปนี้มีโยมไปหามากที่สุด ทางด้านโน้นเขาจะดูหมอ พอดูแล้วท่านจะให้โยมมาแก้บนที่วัดท่าขนุน น่าฆ่าให้ตาย...!
ที่มาแก้บนวัดท่าขนุนก็คือต้องมาจุดเทียนบูชาพระที่วัดท่าขนุน แล้วน่าจะประมาณเทียนเท่าอายุ เขาก็จะปักเต็มถาดแล้วจุดไปวางไว้บนพรมในโบสถ์ อาตมาเห็นแล้วร้องจ๊ากเลย บอกพระที่วัดว่าคุณอย่าไปคิดว่าอยู่บนถาดแล้วจะไม่ไหม้นะ เพราะพรมส่วนใหญ่สมัยนี้เป็นพวกใยสังเคราะห์ โดนความร้อนหน่อยก็ไหม้เหมือนกัน ท่านก็ประหลาดคนดีเหมือนกัน ดูหมอที่วัดแต่ให้เขามาแก้บนที่วัดท่าขนุน แต่ละวันทางเราก็เก็บเศษเทียนไปเถอะ
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่จะไปเป็นอาจารย์สอนพระนิสิตว่า "ถ้าไปเป็นอาจารย์สอนก็ให้ใช้หลักแบบผม เรื่องวิชาการใครก็ยัดให้เขาได้ แต่เรื่องของคุณธรรมเราจะทิ้งไม่ได้เลย คุณจะสังเกตว่าทำไมถึงเวลาแล้วเขาเรียกร้องให้ผมไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ก็เพราะว่าเวลาผมสอนในชั่วโมง ผมจะไม่ลืมตบท้ายเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นพระหรือพระธรรมวินัย จะเตือนสติพวกเขาไว้บ่อย ๆ เพราะว่าบางคนพอเรียนแล้วก็เหลิง เตลิดเปิดเปิงตามเพื่อนตามฝูง หรือไม่ก็ที่วัดตัวเองครูบาอาจารย์ไม่ได้อบรมเลย
ในเมื่อไม่ได้อบรมเลย พอถึงเวลาผมบอกว่าอะไรถูกอะไรควร อะไรไม่ถูกไม่ควร จะต้องปฏิบัติอย่างไร เขาเองได้ประโยชน์กันเยอะ ถึงเวลาก็ไม่อยากได้พระอาจารย์ท่านอื่น ถึงได้บอกว่าเวลาผมไปนี่ เรื่องสอนผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไรหรอก เพราะว่าวิชาการต่อให้ผมไม่สอนเขาก็ค้นคว้ากันเองได้ สำคัญที่สุดก็คือเน้นย้ำเรื่องความเป็นพระของเรา แต่ว่าถ้าไปเน้นมากก็กลายเป็นว่ายัดเยียดให้เขาจนเกินไป ทำอย่างไรที่จะพอเหมาะพอดีจึงจะสมควร"
ถาม : ผมอ่านในธรรมบท สำรับกับข้าวที่จัดไว้ถวายพระแล้วมีแมวแอบคาบไปกิน จะมีโทษแบบกากเปรตไหมครับ ?
ตอบ : ก็เป็นวิฬารเปรต เขามีกากเปรตอันนี้ก็ต้องเป็นวิฬารเปรต ดูท่าจะหนักกว่ากากเปรตนะ กากเปรตเขายังไม่ถวายพระ แต่กรณีนี้ถวายแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละ..เรื่องของสัตว์โทษไม่หนักเท่าคน ถ้าเป็นคนก็ลงอเวจีมหานรกเลย สัตว์ไปแค่เปรต ถ้าเมตตาก็ช่วยกันให้เขาหน่อย เอาฝาชีอะไรมาครอบไว้
สัตว์เขาถือว่าสิ่งที่เขาเจอเป็นของเขา ซึ่งหลักการเป็นคนละเรื่องกับคนเรา ในเมื่อเขาเจอเขาเป็นเจ้าของเขาก็จัดการสิ กลายเป็นว่าไปกินของสงฆ์เข้า
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนกำลังฉันอยู่ โยมที่ดูแลเรื่องอาหารก็ยกพรวดออกไป อะไรวะ ? ถึงจะเป็นส่วนเกิน อาตมาไม่ได้ฉันก็เถอะ แต่พระยังฉันไม่เสร็จก็ไม่ใช่ของเหลือนะ ไม่ใช่ไปตีความว่า ไหน ๆ พระก็ไม่ได้ฉันแล้วจึงยกออกไปก่อน แบบนั้นก็หาเรื่องซวย ต้องฉันเสร็จแล้วจึงถือว่าเป็นวิทาสาโท คือเป็นของเหลือ แต่ถ้าฉันไม่เสร็จ เห็นว่าอย่างไรพระก็เอื้อมไม่ถึงแล้วยกออกเลย คนกินต่อก็ซวยไป
ทำอะไรไม่ค่อยจะถาม ตัดสินใจเอาเองโดยพลการ ตัดสินใจทีไรโดนทุกทีแหละ..!"
ถาม : พระที่โดนอาบัติสังฆาทิเสสมาแล้วมาบอกเรา จะถือว่ายังปกปิดอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาบอกเรา เราก็รายงานต่อสิครับ จริง ๆ แล้วมาบอกเราไม่ได้ ต้องบอกท่านที่รับผิดชอบคือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ถ้าท่านไม่ใช่เจ้าอาวาสก็ต้องรายงานเจ้าอาวาส
ถาม : ถ้าโดนอาบัติสังฆาทิเสสแล้วระหว่างที่อยู่ปริวาสไปโดนซ้ำอีก ?
ตอบ : ปุนัปปุนัง เริ่มต้นนับใหม่
ถาม : บวชรอบหลังจะเป็นพระหรือครับ ?
ตอบ : ยังไม่ทันที่จะเก็บของเก่าเสร็จเลยก็ไปผิดซ้ำแล้ว เขาเรียกว่าปุนัปปุนัง คือโดนแล้วโดนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักเข็ด ท่านก็ปรับหนักกว่าเดิมอีก ถ้าสึกไปแล้วบวชใหม่ก็ราคาดีกว่าเณรหน่อยเดียว บวชแล้วต้องรีบไปเข้าปริวาส ครบตามโทษที่ได้รับแล้ว คณะสงฆ์จะสวดอัพภานคืนความเป็นพระให้
ถาม : แล้วถ้านับใหม่ ก็คือ เอาโทษเก่ากับโทษใหม่รวมกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ของเก่าเท่าไรบวกกับของใหม่อีก ๖ วัน ๖ คืน
ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้านแบบ ๑๐๘ จบ กับนั่งภาวนาสักครึ่งชั่วโมงแบบไหนจะดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าแบบไหนสมาธิดีกว่ากัน คาถาไม่ใช่สักแต่ว่าท่องให้คล่อง ๆ ปากเท่านั้น ต้องได้สมาธิด้วยผลถึงจะเกิด
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้เดือนหนึ่งอาตมามีรายจ่ายเกี่ยวกับพระนิสิตประมาณ ๘-๙ หมื่นบาท เดือนหน้านี่ค่าเทอมออกจะตกประมาณ ๘ แสนบาท ไปหนักตรงปริญญาเอกค่าเทอม ๙ หมื่นบาท แล้วของวัดท่าขนุนเรียนอยู่ตั้ง ๓-๔ คน มีปริญญาโทอีกตั้งเยอะ
ที่วัดอื่น ๆ เขาไม่ค่อยส่งพระเรียน มักจะไปยัดเยียดให้วัดที่มีกำลังเพราะอย่างนี้แหละ..รายจ่ายมาก มีบางท่านบอกว่ากฐินผมทั้งปียังได้ไม่ถึงแปดหมื่นบาทเลย อาจารย์เล็กจ่ายลูกน้องเดือนหนึ่ง ๘-๙ หมื่นบาท ไม่ได้คิดจะไปคุยอวดเขาหรอก เขาถามเองว่าส่งพระเรียนรายจ่ายเยอะไหม ? บอกว่าตั้งเงินเดือนให้ท่านไป อะไรเล็กน้อยท่านก็จ่ายเอง ถ้าค่าเทอมท่านก็มาเอาที่ผม ถามว่าประมาณเดือนละเท่าไร ? ก็เลยตอบท่านไป เล่นเอาทำท่าจะเป็นลมไปตาม ๆ กัน
แต่น่าเสียดายว่าพระภิกษุสามเณรของทองผาภูมิส่วนใหญ่แล้วขาดความพยายาม อาตมาตั้งทุนการศึกษาให้พระวัดอื่น ๑๐ ทุน ไม่มีใครมารับเลย คือจะจ่ายให้ทุกเดือน ขอให้ไปเรียนเท่านั้น แต่ไม่เอากันเลย จนกระทั่งท้ายสุด พระวัดท่าขนุนรำคาญ ก็เลยไปเรียนกันเอง อุตส่าห์ตั้งให้แล้วไม่เรียนกัน เรียนเองก็ได้วะ..!
ปีนี้มีท่านวิชาญ สิริสมฺปนฺโน มาจากวัดท่ามะเดื่อ ของพระครูสมจิตร พระอุปัชฌาย์ขาประจำของวัดท่าขนุน ไปเรียน ปปส. อยู่ที่วัดใต้ มักจะเข้าเรียนสาย เพื่อน ๆ ก็ถามว่าจะเช็คขาดไหม ? อาตมาบอกว่าเอ็งไม่ต้องเช็คหรอก เพราะข้ารู้ว่าท่านมาไกลแค่ไหน วัดท่านอยู่ไกลกว่าข้าอีก วัดท่านยังเลยวัดท่าขนุนไปอีก ๒๐ กว่ากิโลเมตร จากวัดท่าขนุนลงมาถึงวัดใต้ก็ ๑๔๐ กิโลเมตรแล้ว ท่านเอง ๑๖๐ กว่ากิโลเมตร เลยขึ้นไปทางด้านปิล็อก ขอให้มาเรียนเท่านั้นแหละ ไม่เช็คขาดหรอก มาสายหน่อยก็ได้ เพราะชั่วโมงแรกส่วนใหญ่ท่านมาไม่ทัน
ขอให้มีความเพียรในการเรียนเท่านั้นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านสนับสนุนอยู่แล้ว จะไปบีบคั้นอะไรกันนักหนา ให้มาตรงเวลาตลอดได้ที่ไหน ไม่ใช่นักเรียนประจำนี่ครับ ขนาดนักเรียนประจำอยู่หอข้างห้องเรียน บางทียังป่วยมาไม่ไหวเลย"
พระอาจารย์สนทนากับพระลูกวัดที่ไปเรียนบาลี "เรื่องเก็งข้อสอบนั้นดูได้ แต่อย่าไปใส่ใจมาก คือเรียนแล้วควรจะรู้ให้ครบ ไม่ใช่ไปเลือกท่องเฉพาะที่เก็งไว้ เลือกท่องเฉพาะที่เก็ง ถ้าไม่ออกก็เจ๊งทุกราย
ปีแรกที่มหาเอท่านสอบ ตอนช่วงเช้าวันสอบผมก็โทรไปหาท่าน เพื่อจะบอกว่าออกตรงไหน แต่ว่าเป็นเรื่องของเวรของกรรม เพราะว่าท่านไม่รับโทรศัพท์ คือท่านปิดโทรศัพท์เพื่อที่จะตั้งหน้าตั้งตาท่องหนังสือ ผมก็เลยฝากข้อความไว้ แล้วท่านมาเปิดหลังจากสอบเสร็จแล้ว โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตั้งแต่นั้นมาผมเลิกบอกข้อสอบเลย"
ถาม : ตอนนี้บอกใหม่ได้นะครับ
ตอบ :...(หัวเราะ)... ไม่เอาแล้ว ได้ด้วยความสามารถตัวเองภูมิใจกว่า เป็นห่วงท่าน อุตส่าห์บอกไป ปรากฏว่าท่านก็ดีจริง ๆ ปิดโทรศัพท์ท่องหนังสือ
ความจริงพระวัดท่าขนุนของเรา ส่วนใหญ่แล้วจะมีการศึกษาทางโลกมาก่อน อย่างไม่มีเลยในปัจจุบันนี้ก็จบ ม.๖ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงพอไปแข่งกับบรรดาเด็กต่างด้าวได้ อาตมาใช้คำว่า "ไปตบเด็ก" บางคนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ส่วนเด็กพม่า เด็กกะเหรี่ยง บางทีกว่าจะปั้นหนังสือไทยได้สักบรรทัดหนึ่งปาไปครึ่งชั่วโมง กลายเป็นว่าคุณภาพต่างกัน วัดอื่นเขาจะมาว่าวัดท่าขนุนก็ไม่ถูก
ท่านปัญญาเป็นอย่างไรบ้าง ? อักขระเลขยันต์นี่เข้าใจขึ้นเยอะเลยว่ามาจากไหน..ใช่ไหม ? คุณไม่ได้เจตนาเรียนบาลี แค่จะหนีคนเท่านั้นเอง แต่ไหน ๆ เรียนแล้วก็เอาให้เต็มที่ เขามาก็ปฏิเสธเขาได้ แหม...ไม่ใช่ประเภทปฏิเสธคนไม่เป็น ท้ายสุดก็ต้องหนีเขา ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องหนีไปทั้งชาติ ผมเองนั่งรับสังฆทาน ถ้าหมดเวลาผมก็ลุกเลย ประเภทเพิ่งมา "เดี๋ยวก่อน ๆ" นี่ผมไม่ได้ยินหรอก จะเจริญศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบด้วย ดูว่าอะไรเหมาะอะไรควร ไม่ใช่เรียกใช้ตูก็ไปกับเขาเรื่อย ไม่มีเวลาจะภาวนา ไม่มีเวลาจะพักผ่อน ท้ายสุดต้องหนีมาเรียนหนังสือ
ผมนึกถึงตัวเองเหมือนกัน ช่วงเรียนหนังสือเป็นช่วงพักผ่อน อยู่กับวัดนี่งานสารพัด บางคนบอกว่าอาจารย์ขยันเรียนจริง ๆ ไม่เคยขาดเลย บอกไปว่านี่แหละเวลาพักผ่อนของผม
ถาม : กราบเรียนถามหลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต ว่าหลวงพ่อไม่เรียนเอกต่อหรือครับ ท่านบอกว่า "โอ๊ย..ไม่เอาหรอก ไม่ใช่อาจารย์เล็ก..ท่านพระนักเรียน" ?
ตอบ : ชวนท่านตั้งแต่แรกแล้ว ท่านบอกว่า “อาจารย์เล็กไปเรียนคนเดียวเถอะ ผมไม่ไหวหรอก” อาตมาเองก็ไม่ใช่พระนักเรียนนะ มาสายปฏิบัติเหมือนกัน เพียงแต่ทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ทำอะไรไม่คั่งค้างจึงจะเป็นอุดมมงคล ไปเรียนให้ค้าง ๆ คา ๆ ทำไม ? ก็ลุยให้จบไปเลย
เรื่องการเรียนสำคัญที่สุดตรงสมาธิ ทิ้งสมาธิไม่ได้เด็ดขาดเลย ทิ้งเมื่อไรนี่จะท้อ ฉะนั้น..ต้องภาวนาสู้กันเลย
สมัยที่ผมเรียนบาลี ตอนแรกผมก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ตอนบิณฑบาตก็ท่องบาลีไปด้วยทุกเช้า ถึงเวลาก็เขียนใส่ซองปัจจัย โยมเขาถวายปัจจัยใส่ซองมา ซองเปล่าเหลือก็เสียดาย เก็บ ๆ ไว้ ถึงเวลาเขียนศัพท์ใส่แล้วก็เดินไปท่องไป เดี๋ยว ๆ ก็ล้วงขึ้นมาดู ญาติโยมคงคิดว่าพระรูปนี้มีสาวส่งจดหมายมาทุกวัน
ท่องไป ๆ แล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรแตกโป๊ะข้างในหัว แล้วเข้าใจหมดเลย เข้าท่าดีเหมือนกัน ค่อย ๆ เรียนไป อย่างน้อย ๆ ก็เป็นมหาให้ได้ เอามากไม่ได้ สัก ๓-๔ ประโยคก็ยังดี แต่ที่ยากที่สุดก็ ๓-๔ ประโยคนั่นแหละ เพราะเป็นพื้นฐานที่ต้องหากินไปยันประโยค ๙ เลย แล้วประโยค ๗-๙ จะศึกษาเรื่องฉันท์ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้คนเก่งจริง ๆ มีน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว
หลวงพ่อบุญมา ท่านเจ้าคุณพระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตร ก็มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อวัดราชโอรสตอนนี้เป็นพระมหาโพธิวงศาจารย์ ก็อายุกาลผ่านวัยไปเยอะแยะขนาดนั้นแล้ว คนเก่ง ๆ ล่วงลับไปเรื่อย คนใหม่ไม่หมั่นฝึกฝน ก็หาที่เก่งจริงได้ยาก
ถาม : การพกตะกรุดมหาสะท้อน ?
ตอบ : อย่าให้ต่ำกว่าเอวก็พอ ถ้าอยู่กับตัวอย่าให้ต่ำกว่าเอว
ถาม : ถ้าอยู่ในกระเป๋า ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในกระเป๋าก็ไม่เป็นไร
พระอาจารย์เล่าว่า "เพื่อนพระเขาบอกว่าอาจารย์เล็กบ้า มีรถดี ๆ ไม่ขี่ เที่ยวไปไล่แจกวัดอื่นเขา มีใครขี่รถทีละ ๕ คันได้บ้างล่ะ ? ก็ได้ทีละคันเท่านั้น เหลือแล้วจะเอาไว้ทำอะไร ก็เอาไปแจกวัดอื่นเขา"
ถาม : แก้วจักรพรรดิของวัดท่าซุง องค์เล็กของท่านปู่ องค์ใหญ่ของท่านย่าหรือครับ ?
ตอบ : องค์ใหญ่ของท่านปู่ องค์เล็กของท่านย่า อย่าสลับกันสิวะ..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อช่วงเข้าพรรษาใหม่ ๆ แม่ชีขนบรรดาผ้าไตรและเครื่องสังฆทานไปถวายวัดไกล ๆ หลายคันรถ หลายวัดก็น่าสงสารเพราะว่าไทยธรรมต่าง ๆ ไม่ค่อยจะมี บางทีผ้าจีวรก็เก่าจนเปื่อยเลย ถามว่าทำไมท่านไม่ไปอยู่วัดที่เจริญ ? บางท่านก็ติดที่ติดถิ่น ก็บ้านอยู่ตรงนั้น บวชก็ต้องอยู่ใกล้บ้านตัวเอง คราวนี้พอเป็นที่กันดาร ญาติโยมไปทำบุญกันลำบาก จึงไม่ค่อยมีอะไร
วัดท่าขนุนมีหน้าที่ไล่แจกปีละครั้ง ที่ขำ ๆ ก็คือตั้งความหวังไว้สูง ถวายอาสนะวัดละ ๕ ที่ แต่หาพระครบ ๕ รูปยากมากเลย บางวัดมี ๒-๓ รูปนี่เยอะมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นหลวงปู่หลวงตาอายุมาก ๆ บวชเฝ้าวัด แบบเดียวกับวัดหนองบัวสมัยก่อน พอพระอาจารย์แสงหนีมาอยู่เมืองไทย ทางด้านโน้นไม่ใครดูแลวัดก็จับสลากกัน ปรากฏว่าหลวงตาอินทร์พานจับได้ก็ต้องบวชเฝ้าวัด
หลวงตาอินทร์พานมรณภาพไปแล้ว หลวงตาเย็นก็มรณภาพไปแล้ว ครูบาญาณก็มรณภาพไปแล้ว บรรดาตัวละครในบันทึกเที่ยวพม่า ล่วงลับกันไปเป็นแถว ๆ "
ถาม : ตกลงว่าหลวงตาเย็นท่านได้สึกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้สึก...มรณภาพในผ้าเหลือง อาตมาถวายปัจจัยสร้างเมรุลอยให้วัดของครูบาญาณ เขาทำโมทนาบัตรมาให้ใหญ่มาก
คนบ้านหนองบัว สองแคว บ้านใหม่สามพระยา บอกว่าครูบาอาจารย์ใหญ่ของเรา ถ้าทำให้น้อยหน้าก็อายบ้านอื่นเขา อาตมาถามว่าแล้วเมรุลอยราคาเท่าไร ? เขาบอกว่า “สี่แสนบาท” เออ...เอาไป สี่แสนบาทถ้าเป็นเงินพม่าก็เอา ๒๗ คูณเข้าไป อาตมาเป็นเจ้าภาพเขาก็เลยทำโมทนาบัตรมาให้ เป็นสี่สีใบใหญ่เกือบเท่าเตียงนอน ใส่กรอบมาเสร็จสรรพ แต่ความจริงมีรายจ่ายหลายอย่างที่ไม่มีความจำเป็นต้องจ่าย แต่เขาก็ไปจ่าย อย่างเช่นทำซองบอกบุญพิมพ์สี่สี แล้วฎีกาข้างในเป็นกระดาษแข็งเดินทอง แพงเปล่า ๆ ต้องบอกว่าคุณทำได้อลังการสมเกียรติครูบาอาจารย์มาก แต่จ่ายมากไปโดยใช่เหตุ พอถึงเวลาคนก็เอาไปทิ้ง ซองใส่เงินกลับมาพอฉีกก็ต้องทิ้งอีก
จะไปว่าอะไรได้ ในเมื่อเขามีความคิดแต่ไม่มีสตางค์ ถึงเวลาได้สตางค์ไปก็ทำกันบรรลัยวายวอดหมด เมรุลอยทำสวย ๆ เป็นวิมาน ๙ ยอดสี่แสนกว่าบาท วันสุดท้ายก็เผาไปพร้อมศพ
ครูบาญาณเป็นพระผู้ใหญ่ใจดีมาก ๆ ไม่ถือเนื้อถือตัวกับใครเลย ที่ขำที่สุดคือตอนที่ถวายเครื่องตัดหญ้าให้ท่าน ท่านเก็บไว้ห้องนอนข้างเตียงเลย เพราะว่าของวัดหนองบัวพอถวายไปแล้ว พวกทหารขอยืมเอาไปตัดหญ้าที่ค่ายแล้วทำพัง ครูบาญาณท่านกลัวเขาจะมายืม ก็เลยเอาซ่อนไว้ข้างเตียงเลย
ด้วยความที่ค่านิยมเปลี่ยน จากที่แต่เดิมโยมเป็นคนสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญถวายวัด ก็กลายเป็นพระต้องมาสร้างกันเอง ครูบาญาณท่านทำแทงค์น้ำ ฉาบปูนไปฉาบปูนมาก็ขว้างเกรียงทิ้ง บ่น “บักห่าเอ๊ย..กูหนีมาบวชเพราะขี้คร้านทำงาน ต้องมาทำหนักกว่าเก่าอีก” ...(หัวเราะ)...
ถาม : เวลาคนเหาะกับหายตัว ที่จริงก็เป็นการทำให้ธาตุสี่ที่ประกอบขึ้นแบบไม่ใช่แท่งทึบ แทรกไปไหน ๆ เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้าเราอธิษฐานให้ลอยไปช้า ๆ จะเป็นเหาะ แต่ถ้าเราตั้งใจไปถึงปลายทางเลยจะเหมือนกับหายตัว เพราะไปเร็วจนตามองไม่ทัน ยกเว้นว่าหายตัวด้วยอำนาจของนีลกสิณ อันนั้นต้องเรียกว่ากำบังตัว เพราะว่าอยู่ตรงนั้นแหละ แต่จะมองไม่เห็น ส่วนที่ทำให้ธาตุ ๔ เป็นช่องแล้วลอดไปได้ นั่นเป็นอากาสกสิณ
ถาม : หนูฝึกอาโลกกสิณแล้วรู้สึกว่าในอกมีสายใยอยู่กับดวงกสิณ แล้วพอเราทำไปเรื่อย ๆ นั่งสมาธินิ่ง ๆ แล้วก็ยิ่งมารวมกันเป็นดวง สว่างขึ้นเรื่อย ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสว่างจ้าเหมือนกับเรามองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า ไปบรรเลงต่อ กำลังจะดีแล้ว
ถาม : เวลาไปในที่มืดแม้ว่าเราไม่ได้เปิดไฟก็สว่าง ไปในที่ไม่มีแสงสว่างก็สว่าง ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติจ้ะ
ถาม : แล้วแยกออกเป็นผู้ดูกับจิต มีผู้ดูแล้วก็มีจิต แม้ว่าจิตวุ่นวายสับสนแต่ก็ไม่ใช่เรา ?
ตอบ : อันนั้นเป็นอาการทำงานของจิต ตัวจิตจริง ๆ ก็คือที่ดูอยู่นั่นแหละ
ถาม : แล้วทำสมาธิแล้วมีไฟลุกขึ้นมา ?
ตอบ : เอาอย่างเดียวก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจกับไฟ จับแสงสว่างในอกของเราให้สว่างเต็มที่ก่อน เอาให้ได้ขนาดเหมือนกับมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า
ถาม : หนูไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น อะไรมาพักเอาไว้ก่อน ไปนอนรอก่อน เดี๋ยวถึงคิวแล้วค่อยมา
ถาม : ถ้าทำสมาธิแล้วพอเห็นดวงนี้ แล้วก็มีสิ่งแปลกปลอมนั้นทำให้รู้สึกอึดอัด ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจ อยู่กับการภาวนาของเราไป ถ้าหากว่าต้องการให้สิ่งเหล่านั้นหมดไปเร็ว ก็ไปศึกษาเรื่องของสังโยชน์ ๑๐ แล้วพยายามตัดละกิเลสตามนั้น ถ้าหากว่าหมดกิเลส สิ่งแปลกปลอมก็จะหมดไปเอง
ถาม : แม้แต่ครอบครัวพี่น้องต้องวางให้หมดใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด รักแต่ไม่ต้องผูกพัน ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป ไม่ใช่ไปตัดเขาทิ้ง ยังต้องทำหน้าที่ของเราอยู่
ถาม : หนูขอลาไปภาวนาต่อนะคะ ?
ตอบ : เชิญจ้ะ ขอให้ประสบความสำเร็จมาก ๆ เวลาได้ยินโยมที่ปฏิบัติแล้วเริ่มได้ผลดีมาเล่าผลการปฏิบัติให้ฟังก็ชื่นใจหน่อย อย่างน้อยที่สอน ๆ ไปก็ไม่หายไปไหน ยังมีคนทำได้อยู่
มีโยมเอาภัตตาหารมาถวาย "ไอ้เจ้าไก่ตัวนี้มาจากไหนหว่า ? เล่นมาทวงส่วนกุศลเลย กลัวจะไม่ได้บุญ เอาลงไปให้แม่ครัวเขาจัดลงสำรับ เดี๋ยวจะลงไปงับหัวมัน ...(หัวเราะ)...
ต้องบอกว่าคนกับสัตว์เหมือนกัน คือบางคนก็มีความกล้าที่จะเรียกร้องสิทธิของตัวเอง บางคนก็ไม่กล้า ไอ้เจ้านี่ก็เหมือนกัน ถึงเวลาโผล่หน้ามา “กูจะเอา” เลย โมทนาความดีไป ได้ไปเป็นเทวดาก็บุญโขแล้ว
สัตว์เลี้ยงถ้ากำลังเกาะคนจะไปเกิดเป็นคน ถ้าหากว่าเกาะพระจะไปเกิดเป็นเทวดา เจ้าของเลี้ยงอยู่ทุกวัน เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเลี้ยงตัวเองเอาไว้ขาย"
ถาม : มโนมยิทธิตรงนี้แก้อย่างไรครับ ถ้าแวบขึ้นมา แต่ตอบไม่ถูก ?
ตอบ : ให้เชื่อความรู้สึกแรก ส่วนใหญ่จะไปเอ๊ะ พอเอ๊ะก็เจ๊งเลย ตูก็เอ๊ะมาเยอะแล้ว อีกทีก็ไปใช้ตรรกะแบบทั่ว ๆ ของเราไปคิดเอาเองว่าไม่น่าจะใช่ ต้องเชื่อความรู้สึกแรกอย่างเดียวเลย
ถาม : เอาอันแรกเลยหรือครับ ?
ตอบ : อันแรกไว้ก่อน ถ้าเถียงขึ้นมาเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น
ถาม : เวลาผมบอกบุญ บอกว่าหมดเวลาปิดวันนี้ ถ้ามีคนโอนเงินมาไม่บอกที่มาที่ไปให้ผม...?
ตอบ : ก็เป็นความซวยของคุณเอง ต้องไปสืบหาให้ได้ว่าเป็นใคร แล้วตั้งใจทำบุญเรื่องอะไร แล้วไปจัดการให้เขาตามนั้น
ถาม : ผมบอกว่าให้โอนก่อน ๑๑ โมงครับ ?
ตอบ : ไปคุยกับท่านปู่นายบัญชีข้างล่างแล้วกัน ไปร้องทุกข์ตรงนั้น ไม่ต้องมาร้องทุกข์กับอาตมา..!
ถาม : ปกติจะดูแลคุณแม่อยู่ที่บ้าน ตอนนี้คุณแม่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล แกขาดสติ มีอาการโวยวายลูกคนที่ดูแลแก ขี้ระแวงลูก ลูกคนอื่นแกรับไม่ได้ แกยอมรับลูกชายได้คนเดียว แต่ว่าต้องทำงาน ไม่มีเวลาค่ะ ไม่ทราบว่าคุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ส่งถึงมือหมอแล้วไม่ต้องถาม เป็นเรื่องธรรมดาถ้าวาระกรรมมาถึง บางคนจำคนในบ้านไม่ได้สักคน นี่ยังอุตส่าห์จำได้คนหนึ่ง
ถาม : เข้าหน้าแกไม่ได้เลยค่ะ แกเห็นหน้าแล้วจะระแวงเลยค่ะ ?
ตอบ : เรื่องปกติ ให้หมอเขาจัดการไป
ถาม : แล้วเราจะทำอย่างไรคะให้ท่านมีสติกลับมาดีขึ้น ?
ตอบ : นั่นเป็นหน้าที่หมอรักษา ถามพระจะช่วยอะไรได้เล่า ? คนเราถ้าต้องการรักษาสติไว้ ต้องมีการภาวนาเป็นปกติ พอภาวนาสติมั่นคง ต่อไปก็หลงลืมได้ยาก แต่คราวนี้แม่ของคุณไม่มีพื้นฐานทางนี้มา สติขาดไปแล้วกลายเป็นจำใครไม่ได้ แล้วจะไปแก้อีท่าไหน ? จะไปสอนให้แกภาวนาตอนนี้ก็ไม่ทันรับประทาน ปล่อยหมอเขารักษาตามอาการไป ช่วยได้แค่ไหนก็แค่นั้น คนทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง ถึงเวลาแล้วเราอาจจะแย่กว่าท่านก็ได้ ฉะนั้น..อะไรที่ทำเพื่อท่านได้ก็ทำให้เต็มที่ไป
เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวเรื่องโน่นเดี๋ยวเรื่องนี้ประเดประดังเข้ามา ให้รู้ว่าชาติก่อนเราเล่นเขาไว้เยอะทีเดียว ถึงเวลาเขาเลยตามมาเอาคืน
ถาม : จะไปฝึกอภิญญาค่ะ จะทำได้ไหม ?
ตอบ : ถ้ารักจะฝึกอภิญญาแล้วมัวแต่สงสัยว่าจะทำได้ไหม อย่าไปฝึกให้เสียเวลาเลย กำลังใจยังไม่พอ
ถาม : ทำไปเลยหรือคะ ?
ตอบ : ทำไปเลยไม่ต้องถาม
ถาม : แล้วขั้นตอนในการทำ ?
ตอบ : ไปดูคู่มือกรรมฐาน ๔๐ ของวัดท่าซุง ชอบใจตรงไหนก็ทำไปเลย
ถาม : แล้วของเก่า ?
ตอบ : ค่อย ๆ ภาวนาไป ถ้ากำลังใจเพียงพอ ทุกอย่างที่เคยทำได้จะกลับมาเอง แต่ถ้าของเก่ากลับมาแล้ว กำลังใจของเรายังยอมรับกฎของกรรมไม่ได้ก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี เพราะเดี๋ยวก็ไปฝืนกฎของกรรม ทำให้ยุ่งไปหมด
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะยอมรับกฎของกรรม ?
ตอบ : พิจารณาเยอะ ๆ ยอมรับให้ได้ว่าเราเกิดมาต้องทุกข์อย่างนี้ ธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้าเห็นธรรมดาไม่ได้ ก็ยอมรับกฎของกรรมไม่ได้
ถาม : หนูปรารถนาครูบาอาจารย์สอนกสิณค่ะ ?
ตอบ : ทำ...ติดขัดตรงไหนแล้วมาถาม
ถาม : ไม่ได้ติดขัดค่ะ แต่กำลังเยอะ จนเกิดความกลัวในกำลัง ?
ตอบ : จงกลัวต่อไป กลัวแล้วฝึกไปทำอะไรวะ ?
ถาม : ไม่ได้ฝึกค่ะ เป็นขึ้นมาเอง ลองเพ่งกระดาษทิชชู่เป็นความรู้สึกว่าไฟลุกที่กระดาษทิชชู่จริง ๆ ค่ะ แล้ววิญญาณก็ปรากฏตัวต่อหน้า รู้สึกว่ากำลังแรงมาก โยมต้องทำอย่างไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ถ้าเราทำได้จริง ๆ สั่งแค่ไหนก็เป็นแค่นั้น สั่งให้เผาเสื้อผ้าคน แค่ขนสักเส้นหนึ่งก็ยังไม่ไหม้เลย แล้วกลัวไปทำซากอะไร ?
ถาม : อยากฝึกเจ้าค่ะ รับเป็นศิษย์ได้ไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไปทำ ติดขัดตรงไหนแล้วค่อยมาถาม
หลักใหญ่ของการปฏิบัติธรรมก็คือลงมือทำ พอลงมือทำแล้วติดขัดตรงไหนแล้วค่อยมาถาม ไม่ใช่คิดฟุ้งซ่านไปก่อนว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แล้วมาถาม การฝึกกสิณ ถึงเวลาใช้อานุภาพกสิณ เราสามารถคุมได้ทุกอย่าง ต้องการแค่ไหนก็เป็นแค่นั้นแล้วจะกลัวไปทำไม ? หรือกลัวจะเก่ง ?
อย่างพระอุปคุตเถระแสดงอานุภาพให้พระเจ้าอโศกมหาราชดู บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชบอกว่าไม่เชื่อ เพราะแผ่นดินอาจจะไหวพอดีก็ได้ พระอุปคุตขอให้พระเจ้าอโศกนำน้ำมา ๑ ขัน ตั้งเอาไว้ บอกว่าจะบันดาลให้แผ่นดินไหวโดยทำให้น้ำสะเทือนแค่ครึ่งขัน (ซีกเดียว) แล้วทำให้ดู พระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้เชื่อว่าท่านบันดาลได้จริง ๆ สั่งได้ขนาดนั้น แล้วเราดันไปกลัว ?
ถ้าเล่นกสิณไฟ สั่งให้เผาคน เอาแค่เฉพาะขนตา รับประกันว่าดวงตาไม่เป็นอันตราย ถ้าเผาแค่เสื้อผ้า ขนสักเส้นก็ไม่ไหม้ สั่งได้ตามใจเรา ดันไปกลัว ?
แต่สมัยอาตมายังเด็ก แถวบ้านมีพระลูกศิษย์หลวงพ่ออินทร์ วัดสระพัง ๒ รูป ฝึกกสิณน้ำกับกสิณไฟ มีอยู่ท่านหนึ่งพอขยายปฏิภาคนิมิต เป็นเปลวไฟลุกท่วมโบสถ์แล้วตกใจ กระโดดหน้าต่างหนี อีกท่านหนึ่งขยายปฏิภาคนิมิตของกสิณน้ำ เห็นน้ำท่วมมาทุกหนทุกแห่งก็เลยพลอยบ้าจี้ ว่ายน้ำหนีเป็นการใหญ่ กว่าหลวงพ่ออินทร์จะมาเจอ ก็ตะกายบก อกถลอกปอกเปิกไปหมด ก็ของตัวเองบันดาลขึ้นมา สั่งอย่างไรก็ได้ ดันไปตกใจ ก็คงพอ ๆ กับลิงเห็นเงาตัวเองในกระจกแล้วตกใจ
จำไว้ว่า "ถ้าได้กสิณจริงต้องสั่งได้ ถ้าสั่งไม่ได้ แสดงว่าไม่ใช่ของเรา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประมาณ ๒ อาทิตย์กว่าที่ผ่านมา ทางโรงเรียนบ้านจันเดย์มาขอพวกข้าวสารอาหารแห้ง น้ำพริก น้ำปลา เหล่านี้ มอบให้ไป ๑ คันรถ โดยปกติแล้วแต่ละโรงเรียนจะได้ค่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียนหรือที่เรียกว่าค่าหัว ประมาณ ๓๐ บาทต่อคนต่อวัน แต่ให้เฉพาะเด็กไทย ก็คือเด็กที่มีหมายเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก โรงเรียนบ้านจันเดย์มีเด็กไทยอยู่ประมาณร้อยละ ๓๐ นอกนั้นเป็นเด็กต่างด้าว เป็นมอญ กะเหรี่ยง พม่า ก็แปลว่าต้องไปนั่งดูเด็กไทยกินอาหารกลางวันกัน
ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงใช้วิธีขอความร่วมมือจากสถานที่ต่าง ๆ ที่ง่ายที่สุดก็คือวัด โดยเฉพาะบรรดาโรงเรียนต่าง ๆ ในทองผาภูมิรู้ว่า ถ้ามาวัดท่าขนุนแล้วจะไม่ผิดหวัง
ตอนนี้ที่ทางวัดต้องให้เป็นประจำอยู่ก็คือหน่วยป่าไม้ต่าง ๆ ในอำเภอโดยเฉพาะทุ่งใหญ่ หน่วย ตชด. โรงเรียนต่าง ๆ ข้าวของที่ญาติโยมถวายไป แม้กระทั่งบรรดาข้าวของในถังสังฆทาน หลังจากที่แกะออกมาถวายพระ ให้ท่านเลือกกันตามความพอใจแล้ว ส่วนที่เหลือจากพระ แม่ชีกับเด็กวัดก็ได้ใช้บ้าง แล้วก็รวบรวมที่เหลือไปมอบให้กับสถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
บางสถานที่มีความจำเป็นมาก พอมีเจ้าภาพแจ้งความจำนงจะถวายผ้าป่า อาตมาก็ขอให้เขาถวายเป็นผ้าป่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียน แล้วก็นำไปทอดที่โรงเรียน มอบเงินให้กับทางโรงเรียนไปเลย คือให้เจ้าภาพกับทางโรงเรียนเจอหน้ากันเอง โดยที่อาตมานั่งเป็นประธานเท่านั้น
โรงเรียนหลายแห่งจัดโครงการอาหารกลางวันเด็กประจำ อย่างโรงเรียนบ้านดินโส จัดโครงการสนับสนุนให้เด็กบ้านไกลได้เรียนชั้นมัธยมศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ไกล ๆ อย่างอยู่แถวทุ่งเสือโทน กว่าจะเข้ามาถึงอำเภอทองผาภูมิก็ ๘๐ กว่ากิโลเมตร เด็กที่อยู่บ้านปิล็อก กว่าจะถึงทองผาภูมิก็ ๗๐ กิโลเมตร แล้วขึ้นเขาลงห้วย ซึ่งถ้าหากว่าญาติโยมเคยได้ยินข่าวผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านจะแก โดนเสือลากไปรับประทาน ก็จะหายสงสัยว่าทำไมถึงต้องช่วยให้เด็กบ้านไกลได้เรียนชั้นมัธยม เพราะว่าถ้าโรงเรียนไม่มีที่พักประจำ ไม่มีอาหารให้ เด็กก็ไม่มีโอกาสได้เรียน
แม้ว่ารัฐบาลของเราจะจัดโครงการเรียนฟรีก็ตาม แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างต้องมีหลักฐาน ในเมื่อเด็กทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหลักฐานที่ไหนมา แปลว่าส่วนใหญ่แล้วก็พระเรานั่นแหละ..ช่วยไปเถอะ..!"
"แม้กระทั่งวัดท่าขนุนเองก็ยังส่งเด็กวัดเรียนทั้งหมด ปัจจุบันนี้เด็กวัดที่เรียนมัธยมก็มีหลายคน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่เริ่มโตเป็นสาวแล้ว อยู่ ป.๖ บ้าง ม.๑ ถึง ม.๔ บ้าง เป็นต้น ต้องบอกว่าแต่ละคนด้วยความที่อยากเรียนก็ต้องทนอยู่วัด เพราะว่างานวัดหนักมาก แค่เลี้ยงหมาวัดอย่างเดียวก็รู้แล้วงานหนักแค่ไหน หมาวัด ๒๐๐ - ๓๐๐ ตัว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นงานในครัว งานทำความสะอาด สารพัดจิปาถะ แม้กระทั่งแยกขยะเพื่อเอาไปจำหน่าย
เรื่องของการศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่น่าเสียดายว่าเด็ก ๆ ที่พ่อแม่มีความพร้อมทุกอย่าง มีฐานะดี มีโอกาสเรียนในโรงเรียนดี ๆ แต่กลับไม่ค่อยตั้งใจเรียน เด็กที่เขาลำบากยากจน ก็พยายามขวนขวายทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้เรียน ทนลำบากแค่ไหนก็ยอมขอให้ได้เรียนเท่านั้น แล้วส่วนใหญ่แล้วผลการเรียนจะดี เพราะว่าทุ่มเทจริงจัง ดังนั้น..ถ้าลูกใครไม่ค่อยสนใจเรื่องการเรียน ปิดเทอมเอาไปทิ้งไว้ในป่าหรือบ้านชนบทสักเดือนหนึ่ง เห็นความลำบากของเด็กบ้านนอกแล้ว เขาก็คงอยากจะเรียนไปเอง"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่ออาทิตย์ก่อนนำหนังสือสำหรับแจกงานศพไปให้โยมที่เชียงใหม่ แวะเข้าห้องน้ำกลางทางยังไม่ทันจะสว่างดี มีหมาอยู่ ๒ ตัววิ่งรี่เข้ามากอด แล้วก็พาไปห้องน้ำ จากนั้นกลับมาส่งที่รถ ท้ายสุดไม่รู้จะหาอะไรให้ มีหมูสวรรค์อยู่ในรถกล่องหนึ่ง จึงตัดใจเลี้ยงหมาไปเลย เหมือนอย่างกับรู้จักกันมาหลายชาติ เป็นหมารุ่น ๆ วิ่งมาถึงก็กอดซ้ายตัวหนึ่งกอดขวาตัวหนึ่ง ปกติหมาเห็นคนแปลกหน้าจะไม่เข้าใกล้ หรือไม่ก็เห่าใส่ ไอ้เจ้าสองตัวนี่วิ่งรี่เข้าหาเลย พาไปห้องน้ำยังไม่พอ พากลับมาส่งที่รถอีกต่างหาก
มีอยู่เที่ยวหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เดินทางสายในจากหนองปรือไปด่านช้าง จากด่านช้างไปบ้านไร่ จากบ้านไร่ไปหนองฉางเพื่อเข้าอุทัยธานี ช่วงประมาณบ้านไร่ - หนองฉาง ก็แวะปั๊มเหมือนกัน เดินไปเข้าห้องน้ำ พอเดินลับห้องผู้จัดการ โผล่ไปเจอหมาอยู่ตัวหนึ่ง ไอ้เจ้านี่ทันทีที่เจอ ความรู้สึกของเขาไหลออกมาชัด ๆ เลยว่า “นั่นแน่..เราได้กินแล้ว” แล้วก็วิ่งตามมาเลย ท้ายสุดก็ต้องไปเข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้อขนมเลี้ยงหมาอยู่ตรงนั้นแหละ หมาหลายตัวเขามีความสามารถพิเศษมากกว่าคน รู้ว่าอะไรควรไม่ควร"
"เมื่อปี ๒๕๔๔ หลวงพ่อพระราชธรรมโสภณ รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี สั่งให้อาตมาไปช่วยพัฒนาวัดท่าขนุน ไปถึงแล้วหมาวัดท่าขนุนเป็นขี้เรื้อนไปเกินครึ่ง จึงต้องช่วยรักษาด้วยการเอากำมะถันผงผสมกับน้ำมันพืชไปทาให้ วิธีทาก็คือละเลงให้แฉะไปทั้งตัวเลย รับประกันว่าครั้งเดียวหาย แต่ขอโทษเถอะ กลิ่นกำมะถันจะติดมือเหม็นไปเป็นอาทิตย์ ๆ ถ้าไม่รู้ว่ากำมะถันกลิ่นแบบไหน ก็ที่เขาเรียกว่าก๊าซไข่เน่า กลิ่นแบบนั้นแหละ
ปรากฏว่าบรรดาหมาต่าง ๆ ไม่ยอมให้ทา ก็ต้องไล่จับกัน โดนกัดบ้างอะไรบ้าง อาตมาเป็นคนหน้าด้าน โดนกัดก็กัดไป อาตมาก็ทาไปเรื่อย ปรากฏว่ามีหมาอยู่ตัวหนึ่งลายเสือ เขาเรียกไอ้เสือ พอจับก็หันมากัดอาตมา กัดโดนนิ้วชี้ เห็นเลือดไหลท่วม อาตมาก็ไม่ได้ใส่ใจ ก็ทายาให้จนเสร็จ ไปล้างมือเสร็จสรรพเรียบร้อย อ้าว...มีแต่รอยบุบ ๆ แล้วเลือดมาจากไหนเยอะแยะ ? ท่านอาจารย์สมพงษ์ตอนนั้นเป็นเจ้าอาวาสอยู่ตามไปดู ปรากฏว่าไอ้เสือกัดท่าไหนไม่รู้ ฟันหักเลย เลือดที่ไหลออกมาเพราะฟันหัก...!
วัดท่าขนุนสมัยก่อนมีหมานักเลงโตอยู่ตัวหนึ่งคือเจ้าดอกรัก ไอ้เจ้านี่กัดทุกคนที่ขวางหน้า กัดจนญาติโยมไม่กล้าไปวัดกัน เป็นหมาเลี้ยงของแม่ชีวิชชุดาภรณ์ ซึ่งแม่ชีแกก็ค่อนข้างจะล้นเกินบาท บอกว่าให้ตีหมาสั่งสอนบ้าง แกก็ไม่ตี เวลาหมากัดคนลงไปกองกับพื้น แกก็ไปกอดหมา “โอ๋..ลูก..โอ๋..ลูก” คนโดนกัดนอนเลือดท่วมอยู่ไม่ยักจะไปดู
ท้ายสุดอาตมาก็เลยต้องตีเอง แต่เจ้าดอกรักเป็นหมาสู้ไม้..ไม่หนี ใครตีก็โดดกัดสวนเลย ทำให้เจ้าอาวาสอย่างท่านอาจารย์สมพงษ์ก็โดน อาจารย์สมพงษ์โดนกัดน่องแหว่งเลือดไหลโกรก แม่ชียังมีหน้ามาบอกอีกว่า “อาจารย์สมพงษ์ยังออกเหรียญไม่ได้หรอก หมายังกัดเข้าอยู่” พอตีแล้วเจ้าดอกรักโดดสวนมา ท่านอาจารย์สมพงษ์ก็เตะ ปรากฏว่าหมาไวกว่า แว้งงับน่องเลือดสาดเลย ถ้าเป็นอาตมาจะเปลี่ยนไปเตะแม่ชีแทน มีเยี่ยงอย่างที่ไหน แทนที่จะห้ามหมาตัวเอง กลับมาบอกว่าโดนหมากัดเข้ายังออกเหรียญไม่ได้หรอก..!"
"วันที่ตบะแตก ก็คือ เจ้าดอกรักนึกจะไปไหนก็ไป เพราะแม่ชีให้ท้าย ก็โดดขึ้นอาสนะสงฆ์ที่ตั้งสำรับกับข้าวไว้ แล้วก็ยกขาเยี่ยวรด อาตมาก็เลยเอาไม้เรียวตี เจ้าดอกรักก็สันดานเหมือนเดิม ใครตีก็โดดกัด อาตมาก็ปล่อยให้กัด ตีไปเรื่อย พอกัดจนเหนื่อยเห็นว่าอาตมาไม่เลิกตีแน่ก็เลยวิ่งหนี ถึงวิ่งหนีอาตมาก็ตามตีไปเรื่อย มุดเข้าไปอยู่ใต้เตียงก็มุดตามตีไป เอ็งอยากจะกัดก็กัดไปข้าก็ตีไป จำได้ว่าวันนั้นใช้ไม้ติดกัณฑ์เทศน์ตีหักไปเกือบ ๑๐ อัน
เจ้าดอกรักนี่ใช้ไม้ใหญ่ตีไม่ได้ ไม้ใหญ่ตีหมาไม่เจ็บ ได้แค่ช้ำ อาตมาต้องใช้ไม้เรียวเล็ก ๆ แบบไม้ติดกัณฑ์เทศน์นั่นแหละ ตีไปเรื่อย ไม้เล็ก ๆ ตีเจ็บนี่ เล่นเอามุดหนีจนไม่มีที่จะไป เข้าใต้เตียงก็ตามไปตีใต้เตียง หนีไปซอกตู้ก็ตามไปตีในซอกตู้ มีปัญญากัดก็กัดไป จนกระทั่งท้ายสุดหมาก็ยอมรับว่ามีคนบ้ากว่า ตั้งแต่นั้นมาถ้าอาตมาตวาดทีเดียวเจ้าดอกรักก็วิ่งหางจุกตูด แล้วดันไปวิ่งให้ญาติโยมเห็น เขาก็เลยลือว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุกว่าหมาอีก...!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาภัยธรรมชาติต่าง ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะโลกเราเสียสมดุลมาก ความจริงมนุษย์เราเป็นตัวทำลายล้างที่ดุเดือดมาก สร้างถนนขึ้นมาสายหนึ่ง โดยปกติถ้าเป็นพื้นดิน เราทิ้งไว้ประมาณ ๒-๓ ปีก็จะกลายสภาพเป็นป่าละเมาะ ถ้านานกว่านั้นต้นไม้ใหญ่ขึ้นได้ ก็จะปรับสภาพกลายเป็นป่าสมบูรณ์ แต่ถ้าเราไปสร้างถนนเทคอนกรีต ไม่รู้กี่พันปีกว่าต้นไม้จะโผล่ขึ้นมาได้ ต่อให้คลุมไปจนมิด ก็ต้องยื่นมาจากทางอื่น ไม่ได้มาจากตรงนั้น
กลายเป็นว่ามนุษย์เราเหมือนกับสร้างความเจริญ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการอำนวยความสะดวกให้เฉพาะตน แต่ไปทำลายตลอดจนกระทั่งขัดขวางธรรมชาติ หลักการของธรรมชาติต้องคล้อยตาม ถ้าขวางเมื่อไรก็พังกันไปข้างหนึ่ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้อาตมาไม่กังวล เพราะว่ายอดกฐินวัดท่าขนุนทะลุล้านไปแล้ว ใครบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ? ภาวนาพระคาถาเงินล้านไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นไปเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่พันไส้เทียนผางประทีป หัวท้ายอย่าบีบแน่นมาก ให้หลวม ๆ ไว้หน่อย เท่าที่สังเกตดู ถ้าบีบแน่นมาก บางทีน้ำเทียนเดินไม่สะดวก น้ำเทียนขึ้นไม่ทัน ไฟไหม้จนไส้ขาดดับไปก็มี แสดงว่าตั้งอกตั้งใจทำ จึงบีบเสียแน่นเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เจ้าอาวาสต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีครุภัณฑ์ ลหุภัณฑ์ ยุ่งไปหมด อาคารสถานที่กว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ก็ต้องลงรายละเอียดไว้ โดยเฉพาะว่าต้องรายงานกฐินทุกปี รายงานบัญชีรับจ่ายทุกปี ถ้าไม่ทำก็ถือเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่..ซวยอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดตอนนี้มีลูกหมาอยู่ ๒ ครอก แต่ละครอกมีอยู่ ๘ ตัว ครอกที่สามกำลังจะตามมา ดูท่าก็ใกล้เคียงกันเพราะว่าท้องแม่หมาใหญ่มาก ที่พูดเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรหรอก แม่หมาโดนลูกกินนมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็ไม่เห็นว่าจะเอาลูกไปทิ้งถังขยะเลย..!
ตอนนี้อาตมามีนโยบายเลี้ยงลูกหมาให้สวยทุกตัว ชาวบ้านอยากได้เดี๋ยวก็มาอุ้มไปเลี้ยงเอง ครอกไหนที่เจ้าอาวาสเลี้ยง แม้กระทั่งตัวเมียเขาก็เอาไปจนหมด อาจจะต้องสร้างคอกอนุบาลสุนัขไว้หน้ากุฏิเจ้าอาวาส ตัวไหนคลอดมาก็กวาดเข้าครอกให้หมด ถ้าทำตะกรุดผูกคอให้ด้วย สงสัยหมดเกลี้ยงในทันที...!"
ถาม : ปฏิบัติธรรมถึงระดับไหน จึงจะมีครูบาอาจารย์มาสอนธรรมทางจิต ?
ตอบ : ต้องได้ทิพจักขุญาณ พูดภาษาชาวบ้านคือต้องได้ตาทิพย์
ถาม : ถ้ามาสอนทางฝัน ?
ตอบ : ลักษณะคล้ายกันนั่นแหละ มาในฝันก็เป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอคนอายุมากเข้า ธาตุต่าง ๆ ในร่างกายก็เริ่มพร่อง โดยเฉพาะธาตุลมกับธาตุไฟ ไม่มีธาตุลมหนุนเสริม ธาตุไฟก็เฉา จะดับท่าเดียว โบราณถึงได้มียาลมประเภทต่าง ๆ คนแก่พอขาดธาตุลมจะเคลื่อนไหวช้าลง บางทีธาตุลมเกินก็เป็นลม มีทางแก้ก็คือทั้งเพิ่มและระบายออก"
ถาม : สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ควรจะต้องระวังเรื่องอะไรครับ ?
ตอบ : ระวังอย่าตายก่อน..! ถ้าตายก่อนเดี๋ยวจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร...! ความจริงโยมถามเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองว่าควรจะต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง จะว่าไปแล้วถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ก็ไม่ต้องไปใส่ใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร มีหน้าที่ภาวนาก็ภาวนาของเราไป รักษากำลังใจให้มั่นคงไว้ ต่อให้เป็นหลักให้คนอื่นเขายึดเขาเกาะไม่ได้ อย่างน้อย ๆ เราไม่ต้องไปยึดไปเกาะใครก็ยังดี ยังแบ่งเบาภาระครูบาอาจารย์ไปได้บ้าง
เรื่องของบ้านเมืองต้องอยู่ในลักษณะรับรู้ มองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าทำใจไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ ก็จะร้อนหู ร้อนตา ร้อนใจ และทำให้ตัวเองวุ่นวาย เครียดไปเอง
ถาม : พี่ชายตายเมื่อวันก่อน ผมต้องทำอย่างไรเขาจึงจะได้บุญ ?
ตอบ : สังฆทานก็ได้ บุญอะไรก็ได้ ส่วนใหญ่ถ้าตายก่อนอายุ ทำอะไรไปเขาก็ได้รับ พี่ชายตายเราทำบุญให้ ถ้าเราตายใครจะทำให้ ? ฉะนั้น...ต้องเร่งทำเองให้เยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องไปรอให้ใครเขาทำให้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงการเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ถือเป็นการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลไปในตัวอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เอาไปวางเอาไว้ในจุดที่จัดไว้ให้ กำลังใจก็ไม่ถึงกัน
อาตมาโดนเองเต็ม ๆ มาทีหนึ่ง ก็คือ งานพุทธาภิเษกที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ตั้งใจว่าจะไม่ไปยุ่งกับวัตถุมงคลของวัด คิดว่าเราจะวางวัตถุมงคลไว้ในที่ซึ่งอนุญาตให้พระอาคันตุกะหรือญาติโยมเขาเอาของมาร่วมพิธีได้ พอแบกลังวัตถุมงคลไป จะถึงจุดที่เขาจัดไว้สำหรับคนนอก ก้มลงจะวางวัตถุมงคล อ้าว...ทำไมมาอยู่กับกองของวัดได้วะ ? คือหนึ่งช่วงต้นเสาที่เขาวางวัตถุมงคลไว้เต็มเลย อาตมาเดินเข้าไปตรง ๆ โดยไม่ได้หลีกเลย เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่ากองวัตถุมงคลไปถึงข้างใน แต่ก็เป็นไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปได้อย่างไร พอวางลงยังงง อ้าว...ตูมาถึงนี่ได้อย่างไร ? หันไปข้างหลังวัตถุมงคลก็วางเต็มทั้งช่อง แล้วเราเดินผ่านมาได้อย่างไร ?
เรื่องอย่างนี้บางทีก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ถ้าญาติโยมเห็นก็เป็นเรื่องอีก ถ้าวันไหนมักน้อยสันโดษท่านก็ให้เยอะ ถ้าวันไหนโลภมากท่านก็ไม่ให้เลย ของวางเต็มช่องทางเลย ผ่านไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ของเป็นคันรถ ๑๐ ล้อ ก็รู้สึกว่าเดินไปถึงกองนั้นปกติ แต่พอจะวางของลง อ้าว...นี่กองของวัด เรื่องพวกนี้แหละที่พอมีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ความมั่นใจในคุณพระรัตนตรัยของเรามีมากขึ้นไปตามลำดับ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ไปงานเป่ายันต์เกราะเพชรรอบนี้ จะเห็นมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำเกือบเต็มองค์แล้ว ยังขาดลวดลายไม่มาก ส่วนการปิดทองประดับกระจก พระครูหน่อยไปดูงานแล้วบอกว่า “หลวงพ่อเล่นทำไม่ให้คนตามเลย” อาตมาก็ไม่ได้ห้ามให้ตามนี่หว่า คุณมี ๑๒ ล้าน ๕ แสนบาทก็ทำไปสิ อยากจะตามก็ไม่ได้หวงห้ามสักหน่อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้มีงานบวงสรวงไหว้ครูเป่ายันต์เกราะเพชรวันที่ ๑๗ ตุลาคมนี้ แล้ววันที่ ๒๘ ตุลาคม ก็เป็นการตักบาตรเทโวฯ และกฐินสามัคคี พระท่านว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะฝืดเคืองมาก ไม่รู้ว่าฝืดแค่ไหน ท่านให้เข้ากรรมฐานก่อนงานกฐินสงเคราะห์ญาติโยมสัก ๓ วัน อาตมายังหาวันไม่ได้เลย กะว่าจะเข้าสักขึ้น ๑๓ - ๑๕ ค่ำ พอแรม ๑ ค่ำ ก็ออกมารับกฐินเลย เพราะฉะนั้น..หากใครอยากจะทำบุญกับพระออกกรรมฐาน ก็ไปทำบุญกฐินกัน เอาให้รวย ๓ เด้ง ๕ เด้งไปเลย
เกรงอยู่อย่างเดียวว่าอาตมาชราแล้ว กำลังไม่ดี เมื่อวานก็ไข้จับ มองโยมดูไม่รู้เรื่อง ตาลายไปหมด ไปเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ออกมาแล้วต้องเดินบิณฑบาตวันตักบาตรเทโวฯ จะคลานไหวไหม ? ถ้าตักบาตรเทโวฯ เริ่ม ๐๘.๓๐ น. จะเสร็จประมาณ ๑๐.๐๐ น. เป็นอย่างเร็ว ไม่เป็นไร รีบออกกรรมฐานแต่เช้า กินตั้งแต่ก่อน ๖ โมง แล้วก็นอนยัน ๘ โมง น่าจะมีแรงพอเดินได้ น่าจะต้องทำอย่างนั้นแหละ ดูว่าจะสะสมพลังงานทันไหม ?
ปกติอาตมาก็เข้ากรรมฐานไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา ชาวบ้านชาวเมืองเขาเข้ากรรมฐานกันนั่งเงียบนอนเงียบ อาตมาทำงานก๊อกแก๊กไปเรื่อย ทำงานทั้งวัน เราถือว่าเราหากินทางการเคลื่อนไหวมาตลอด ตั้งแต่สมัยเป็นทหารก็วิ่งไปภาวนาไป หกคะเมนตีลังกาไปก็ภาวนาไป สามารถเดินด้วยมือแทนเท้าเป็นกิโล ๆ ถึงได้ยืนยันว่าตีลังกาก็ภาวนาได้"
"งานไหว้ครูเป่ายันต์เกราะเพชรห่างจากงานทอดกฐินแค่ ๑๑ วัน ญาติโยมอาจจะลำบากในเรื่องการเดินทาง ขอยืนยันว่าการรับยันต์เกราะเพชรไม่จำเป็นต้องไปที่วัดก็ได้ แต่ญาติโยมหลายท่านเมื่ออธิษฐานขอรับที่บ้าน แล้วเกิดผลอย่างเห็นได้ชัด ก็ดันตะกายไปวัดเสียอีก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาตมาเองก็งงอยู่เหมือนกัน ในเมื่อรับที่บ้านได้แล้วทำไมต้องไปวัด ?
ก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าทำไมหลวงพ่อวัดท่าซุงถึงสั่งให้อาตมาเป่ายันต์เกราะเพชร ทั้ง ๆ ที่รุ่นพี่ที่อาวุโสกว่า แม้ว่าจะมีสึกหาลาเพศไปบ้าง ออกจากวัดมาบ้าง แต่ในวัดก็ยังมี นอกวัดก็ยังมี แล้วทำไมต้องมาเริ่มที่อาตมา ? มาตอนนี้รู้แล้วว่าท่านต้องการประเภท ระบบ HD ก็คือเอาชัด ๆ หน่อย พวก analog เก่า ๆ ท่านไม่อยากได้
ความชัดเจนแจ่มใสของทิพยจักขุญาณเกิดจากการขยัน หมั่นฝึกซ้อม ถ้าขยันหมั่นฝึกซ้อมก็ทำได้ทุกคน อย่างที่อาตมาเคยบอกกับโยมว่า แค่เรื่องของพระคาถาเงินล้าน อาตมาใช้ภาวนาเป็นกรรมฐานทั้งวันอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ มีใครทำบ้าง ? ถึงขนาดนับจำนวนได้ว่าถ้าเอาจริง ๆ จัง ๆ ภาวนาช้า ๆ แบบคุณภาพ วันหนึ่งจะได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ เริ่มตีสาม เลิกหนึ่งทุ่ม กี่ชั่วโมงต่อวันก็ไม่รู้ ? แต่ญาติโยมก็ไม่มีกำลังใจที่จะทำกัน
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งให้ไปนั่งข้างถนน เพื่อซักซ้อมมโนมยิทธิ พอรถวิ่งมาให้กำหนดใจว่ารถที่วิ่งมาสีอะไร พอตอบถูกประมาณ ๘ คันใน ๑๐ คันก็เพิ่มรายละเอียดว่า รถที่วิ่งมาสีอะไร มีคนมาด้วยกี่คน พอถูกประมาณ ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มไปอีกว่า ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน พอถูกประมาณ ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มไปว่าแต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร จนกระทั่งท้าย ๆ เลขทะเบียนอะไรก็บอกได้ถูก
เพราะฉะนั้น..พวกเราต้องมีการซักซ้อมอยู่เสมอ ส่วนใหญ่พวกเราทำในลักษณะเหมือนอย่างกับ "แก้บน" ศึกษาเรียนรู้แล้วไม่มีการซักซ้อมใช้งานจริง ก็เลยทำให้เสื่อม เรื่องของโลกียฌาน เก่งแค่ไหนถ้าหากขาดการซักซ้อม ขาดการชำระกำลังใจของเราให้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเรื่องของศีลกับสมาธิถ้าไม่ทรงตัวก็เสื่อมทุกราย"
"ตอนเด็ก ๆ อาตมาก็สงสัยว่าทำไมผีชอบหลอกเราเสียจริง พอโตขึ้นมาถึงได้หายสงสัย เพราะว่าเขาหลอกคนอื่นไม่ได้ คนอื่นไม่รู้เรื่อง เล่นเอาตูกลัวฉี่ราดอยู่คนเดียว..! ตอนเด็ก ๆ นี่อาตมากลัวผีขนาดไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะว่าบ้านที่ต่างจังหวัดเป็นส้วมหลุม ต้องไปสร้างไว้ไกล ๆ ไม่อย่างนั้นกลิ่นเหม็น แล้วกลางคืนให้เดินไป จ้างก็ไม่ไปหรอก อั้นอึอั้นฉี่จนสว่าง เป็นอย่างนั้นอยู่ทุกวัน เพราะกลัวผีจริง ๆ
พอไปอ่านประวัติหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็เป็นแบบนั้น ตอนขึ้นบันไดบ้านหันหน้าขึ้นได้ แต่ตอนลงต้องถอยหลังลง ท่านบอกว่ากลัวผีคว้าคอทางด้านหลัง สรุปว่าท่านทั้งหลายที่มีปฏิปทาแบบนี้ เพราะว่าระบบของตัวเองชัดเจนเกินไป รับของเขาได้ง่าย ก็เลยโดนผีหลอกจนกลัวไปตาม ๆ กัน
อาตมาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเลิกกลัวผีตอนไหน หลังจากที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วที่ผีมาเพราะว่าเขาลำบาก ด้วยกำลังบุญของเขาที่มี เขาทำให้สวยที่สุดเท่าที่เราเห็นแล้ววิ่งตับแลบนั่นแหละ เหมือนอย่างกับขอทานหรือคนบ้า แต่งตัวสวยอย่างไรเราก็รู้ว่านี่คือขอทานหรือว่าคนบ้า กะรุ่งกะริ่งดูไม่ได้ ลักษณะเดียวกัน ในเมื่อเข้าใจว่าเขาลำบาก เขาเดือดร้อน เขาถึงมาหา เขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา ก็เกิดความรู้สึกว่า ในเมื่อเราเป็นเศรษฐีทำไมต้องไปกลัวขอทานด้วย ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองเลิกกลัวผีตอนไหน
ในปัจจุบันนี้แม้จะบอกว่าเลิกกลัวผีแล้ว แต่จากการสังเกตตัวเองดู เวลาเจอก็ยังรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ๆ แสดงว่าก็ยังกลัวอยู่ เพียงแต่ไม่หนีเท่านั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่มาได้คำตอบหลังจากเนิ่นนานเหลือเกิน ว่าทำไมผีถึงหลอกเราเสียจริง ทำไมหลวงพ่อถึงสั่งให้อาตมาเป่ายันต์ฯ ทั้ง ๆ ที่พี่ ๆ น้อง ๆ ก็ครอบครูรวมกันตั้ง ๙ รูป ถึงหลวงพี่บัญชา ท่านน้อย ท่านชาติชายสึกไป ก็ยังเหลืออีก ๖ รูป ที่ออกมาสร้างวัดข้างนอกก็มี หลวงพี่วิรัช หลวงตาวัชรชัย มีอาตมา ยังเหลือในวัดตั้งสามรูป เอ๊ะ...ได้ยินว่าหลวงพี่อาจินต์ไปเยอรมัน ก็ยังมีอยู่ในวัดอีก ๒ รูป"
ถาม : อาการเย็นวาบ ๆ นี่ ไม่ใช่เพราะเขาดึงเอาธาตุรอบ ๆ ไปเพื่อทำให้เรามองเห็นเขา กระทั่งเสียสมดุลหรือ ?
ตอบ : ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนั้นหรอก คิดไว้ก่อนว่าเรากลัว ปลอดภัยดี ความกลัวไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย ความกลัวทำให้เรารู้จักระมัดระวังและไม่ประมาท ถ้าเกิดมาแล้วไม่กลัวก็คนบ้าเท่านั้น คนบ้าไม่กลัวอะไรเลยเพราะไม่มีสติ
มีอยู่ปีหนึ่งมีโยมถามว่า พระอาจารย์ครับ พระอรหันต์กับคนบ้าปล่อยวางได้เหมือน ๆ กันใช่ไหมครับ ?เข้าใจถามนะ ตอบว่า ไม่เหมือนกันหรอก พระอรหันต์ท่านปล่อยวางแบบมีสติ แต่คนบ้าปล่อยวางเพราะไม่มีสติ ต่างกันลิบโลกเลย ในเมื่อมีสติมา ปัญญาเกิด เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์เป็นโทษ ท่านก็ไม่ไปแตะต้อง ท่านปล่อยวางอย่างมีสติ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งปล่อยวางเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไร สติไม่มี ทำไปโดยสัญชาตญาณเท่านั้น วัน ๆ ก็เอาแต่นั่งยิ้ม
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาแกะลูกประคำส่วนตัวออกมาร้อยใหม่ เอาของเสริมเข้าไป มีทั้งที่ท่านพระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณหามาให้ ก็คือประคำเขาจามรี มีทั้งกะลาตาเดียวที่เป็นกะลาเผือก มีทั้งไม้พญางิ้วดำ ใส่เสริม ๆ ไป ของเก่าที่ใช้มานานก็เลยเหลือ เมื่อคืนจึงร้อยเป็นประคำสองพวง บอกให้เอามาเข้าตู้จำหน่าย ไม่เห็นเลย ไม่รู้อยู่ไหน ใครเอาไปก็ไม่รู้ ? ...(หมดแล้ว)... คำว่าหมดแล้วไม่รู้ว่าหมดตั้งแต่ยังไม่ลงตู้หรือเปล่า ?
อาตมาทำตัวเป็นภิกขุ คือผู้ขออย่างชัดเจน คนอื่นเขาหาลูกประคำดี ๆ มาใช้ ส่วนอาตมาใช้ประคำกะลา ออกแนวถือกะลาขอทาน..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เลี้ยงลูกอย่ารักลูกจนเกินไป รักลูกจนเกินไป เด็กจะไม่คิดพึ่งพาตัวเอง ในเมื่อไม่คิดพึ่งพาตัวเอง ถ้าเกิดไม่มีเราเดี๋ยวเขาจะเอาตัวไม่รอด ต้องให้เขาทำอะไร ๆ ได้ด้วยตัวเองตั้งแต่แรก เลี้ยงลูกแบบลำบากหน่อย อย่าตามบริการมากนัก บางคนลูกไม่กินข้าวแม่นั่งร้องไห้เลย มาถามว่าทำอย่างไรดี ปล่อยให้อดไปสิ ไม่เกิน ๒ วัน รับรองว่าตะกายมาหากินเองแหละ
ที่วัดอาตมาเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง ตอนแรกก็เรียก "คุณนายแสบ" ความแสบซ่ามีตั้งแต่เล็ก ๆ เดินกร่างไปทั่ววัด ท้ายสุดเป็นขี้เรื้อนจนขนแทบจะไม่เหลือสักเส้น จึงหายาไปทาให้ พอหายขึ้นมาก็พอดีเกาะพระฤๅษีไม่มีหมา เลยเอาไปทิ้งไว้ที่นั่น ปรากฏว่าอยู่ไปอยู่มาแม่ชีปุ๊กเขาเอาหมามาเลี้ยงเพิ่ม ตัวมาใหม่เก่งกว่า ไล่กัด ก็เลยอยู่ในเกาะไม่ได้ ต้องหนีมาอยู่ข้างนอก อาตมาไปเจอเข้า จึงอุ้มกลับมาวัดท่าขนุน
คราวนี้เขามาอีกทีโตแล้ว เลยเข้ากับใครไม่ได้ ต้องอยู่หน้ากุฏิเจ้าอาวาสนั่นแหละ แล้วยายนี่กินอะไรก็กินช้ามาก ๆ คาบไปแล้วก็นั่งหมอบค่อย ๆ แทะ มารยาทดีเหลือเกิน ตัวอื่นกินหมดเป็นกาละมังแล้วแม่เจ้าประคุณเพิ่งจะกินไปได้ชิ้นหนึ่ง ก็เลยเรียกว่าคุณนาย พอตอนหลังคงรู้ว่าตัวเองเป็นหมาเจ้าอาวาส ตอนนี้ชักจะยืด ได้อะไรมา ประเภทต้องนั่งคุม ไม่ค่อยยอมกิน อวดตัวอื่นว่ามีของดี ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น "คุณนายลีลาจัง" ลีลาเยอะจัด
ในเมื่อคุณนายแกลีลาจัง จึงต้องดัดสันดาน โดยการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สัก ๒ วัน เดี๋ยวหิวไส้ขาดก็วิ่งมาหาเอง ก็ลักษณะเดียวกับการเลี้ยงลูก ถ้ามัวแต่ไปง้อลูกตอนอิ่มเขาไม่กินหรอก ปล่อยหิวซะให้เข็ด ถึงเวลาก็วิ่งตามมาหากินเอง"
:4672615:เก็บตกเดือนตุลาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.