เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘


เถรี
10-08-2015, 20:53
ถาม : หากเราเกิดนึกเห็นภาพว่าร่างกายตัวเองต้องกลายเป็นของคนอื่น ท้ายสุดต้องกลายเป็นขี้เถ้าไม่เหลืออะไรเลย ลักษณะนี้ถือว่ายังอยู่ในขอบเขตของอสุภกรรมฐานหรือไม่คะ ?
ตอบ : ที่ว่าเห็นร่างตัวเองเป็นของคนอื่น เห็นเป็นของหนุ่มคนไหนล่ะ ? ...(หัวเราะ)... ในส่วนนี้ควรจะเป็นปัญญาในกายคตาสติและอสุภกรรมฐานรวมกัน

เถรี
10-08-2015, 20:54
ถาม : ถ้าเราหยอดเงินในกระปุกแล้วอธิษฐานว่า จะเอาเงินไปสร้างสมเด็จองค์ปฐมพร้อมเครื่องอัฐบริขารแบบนี้ แล้วถ้าเราเอาเงินไปทำบุญซ่อมองค์ปฐมแทนจะได้ไหมครับ จะผิดจุดประสงค์ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งใจไว้ ถ้าเปลี่ยนใจก็ผิดวัตถุประสงค์แน่ ๆ อยู่แล้ว

ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้าเอาไปทำจะมีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้..แต่หาของใหม่ไปใช้แทนของเดิมด้วย

เถรี
10-08-2015, 20:56
ถาม : หนูเป็นคนชอบสวดมนต์ แต่หลายครั้งมักสวดในที่ทำงาน ช่วงพักหรือช่วงที่ต้องการสมาธิก่อนการคิดวางแผนงาน แต่ไม่ได้พนมมือเพราะเกรงว่าเพื่อนร่วมงานจะหาว่า "บ้า..นั่งไหว้จอคอมพิวเตอร์" หลายครั้งก็ไม่ต้องการให้เพื่อนร่วมงานทราบว่าเรากำลังสวดมนต์ เพราะเกรงว่าเขาจะเห็นว่าเคร่งศาสนาค่ะ ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า การสวดมนต์แบบไม่พนมมือบาปไหมคะ ?
ตอบ : พนมในใจสิ..ทำความดีจะเอาอะไรมาบาป ? ความจริงเป็นคนฉลาดและมีปัญญาด้วยซ้ำไปที่รู้จักหลีกเลี่ยง เพราะไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นโทษกับคนอื่นเขา

เถรี
10-08-2015, 20:57
ถาม : การขอความเมตตาจากพระสงฆ์ ขอท่านช่วยอธิษฐานจิตสิ่งต่าง ๆ เช่น ทองคำ มวลสารเพื่อนำไปหล่อพระ หรือให้ท่านจารอักขระให้ อย่างนี้ถือเป็นการใช้งานพระหรือไม่ ? และหากมีความจำเป็นต้องกระทำการดังกล่าว ควรทำอย่างไรให้ถูกต้องและเหมาะสม ?
ตอบ : ถือเป็นการใช้ทุกกรณี วิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คืออย่าใช้..!

เถรี
10-08-2015, 20:59
ถาม : ในการทำบุญที่เป็นทานนั้น จิตของผู้ให้ทานอาจมีลักษณะที่ต่างกันคือ
๑) ขณะให้ทานจิตนั้นมีตัณหาเป็นที่ตั้ง เช่น ทำบุญเพราะปรารถนาที่จะร่ำรวย ปรารถนาที่จะพ้นจากทุกขเวทนา ทำบุญเพราะอยากได้วัตถุมงคล เป็นต้น
๒) ขณะให้ทานจิตนั้นมีศรัทธาเป็นที่ตั้ง เช่น มีศรัทธาในพระศาสดาเจ้า จึงทำบุญเพื่อเทิดทูนพระองค์ ทำบุญเพื่อรักษาพระศาสนา เป็นต้น
๓) ขณะให้ทานจิตนั้นมีพรหมวิหาร ๔ เป็นที่ตั้ง เช่น มีคนมาบอกบุญ ก็ทำบุญด้วยความรู้สึกว่า การให้เป็นสิ่งที่ดี คนอื่นลำบากกว่าเรา ถ้าเราให้ เขาก็จะมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ก็มิได้ปรารถนาสิ่งใดเป็นการตอบแทน ให้แล้วก็จบกันไป เป็นต้น
๔) ขณะให้ทานจิตนั้นมีความกตัญญูกตเวทิตาเป็นที่ตั้ง เช่น ถวายปัจจัยแด่พระภิกษุผู้เคยอบรมกรรมฐานให้ แม้จะทำให้ตนลำบากอยู่บ้าง ก็มิได้หวั่นเกรง เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ต่างก็เป็นการสละทรัพย์ภายนอกออก จึงอยากกราบเรียนถามถึงผลของการให้ทานทั้ง ๔ ลักษณะว่า แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไรครับ ?

ตอบ : ไม่นึกว่าจะฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้..! การให้ทานนั้น ๑.วัตถุทานบริสุทธิ์ ๒.เจตนาในการให้บริสุทธิ์ ๓.ผู้ให้คือตัวเองมีศีลบริสุทธิ์ ๔.ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ ถือว่าได้บุญเต็ม ๑๐๐ ส่วน ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งพร่องก็ตัดไป ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น..ดูเอาก็แล้วกันว่า ที่ถามมาทั้ง ๔ ลักษณะนั้นเข้ากับข้อใดบ้าง

เถรี
10-08-2015, 21:02
ถาม : ผมไม่ค่อยจะขยันภาวนา เพราะว่าพอถึงจุดหนึ่งจะรู้สึกกลัวทุกทีและหยุดภาวนาไปเลย กลัวว่าออกไปแล้วจิตไม่เข้าร่าง กลัวมีคนมาเสียบแทน และถ้าผมจะตัดร่างกาย ไม่เข้าใจว่าต้องตัดร่างกายอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไปเขียงหมูขอเขาช่วยหั่นให้..! การภาวนาถ้ายังกลัวอยู่ แปลว่ายังตัดร่างกายไม่ได้ ชีวิตนี้ไม่ต้องเอาดีอะไรกับใคร

ส่วนการภาวนาหลุดออกไปแล้วกลัวจะกลับไม่ได้ ข้อนี้ถือว่าเหลวไหลมาก อาตมาลองมาแล้วทุกรูปแบบ ทันทีที่เราออกไปจิตก็จะกลับท่าเดียว ไม่ใช่กลับไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นแม้แต่นิดเดียวจิตจะกลับมาสู่ร่างกายทันที สภาพจิตนี้ผูกพันกับร่างกายนี้เป็นพิเศษ ฉะนั้น..ไม่ต้องห่วงว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ แต่จงกลัวว่าจะไปไม่ได้ดีกว่า

ถาม : ถ้าจะตัดร่างกายให้ได้จริง ๆ นี่มีวิธีอย่างไรครับ ?
ตอบ : พิจารณาแยกแยะให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับเสื้อผ้าชุดหนึ่งหรือเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ถึงเวลาแล้วเสื้อผ้าย่อมไม่ใช่ตัวเรา หรือรถยนต์ก็ย่อมไม่ใช่คนขับ พยายามเห็นให้ได้อย่างชัดเจน แล้วจิตใจก็จะค่อย ๆ คลายการยึดในร่างกายลงไปเอง

ต้องพิจารณาทบทวน ย้ำบ่อย ๆ ซ้ำบ่อย ๆ จะเบื่อไม่ได้ จนกว่าเมื่อบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วจิตใจยอมรับอย่างแท้จริง

เถรี
10-08-2015, 21:07
ถาม : ถ้าพระสงฆ์ไปเที่ยวในต่างประเทศแล้วเข้าไปเที่ยวในป่า เห็นดินอุดมสมบูรณ์ดี ได้ใช้โยมที่ไปด้วยกันเก็บดินนั้นมาหวังเพื่อจะมาปลูกต้นไม้ในวัด การกระทำแบบนี้พระสงฆ์รูปนั้นจะต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ครับ ? ถ้าพระสงฆ์ไปเอาทรายจากน้ำตกในป่าเขา เพื่อนำมาก่อสร้างพระพุทธรูปหรือสร้างวิหารทานต่าง ๆ จะมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าอาจจะต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแบบเหลวไหลที่สุด ไปเที่ยวต่างประเทศแล้วเก็บดินกลับมาปลูกต้นไม้บ้านเรา ใครจะมีอารมณ์ขนาดนั้น ?

ถาม : ท่านอาจจะเป็นชาวไร่เก่าก็ได้ครับ เห็นว่าดินอุดมสมบูรณ์ปลูกต้นไม้น่าจะดีเลยเอามา
ตอบ : อาตมารับประกันว่าร้อยละร้อย..ไม่มีหรอก เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นจะซื้อแต่ของฝาก ถึงเวลาถ้ากระเป๋าไม่พอใส่ของฝากก็ทิ้งดินไปเอง

ถ้าของนั้นมีเจ้าของและเจ้าของไม่ได้อนุญาต ของนั้นมีราคา ๑ บาทขึ้นไปจะขาดจากความเป็นพระทันที เพราะฉะนั้น..อย่าเสี่ยงเป็นอันขาด

ส่วนการที่เอาทรายจากธรรมชาติมาเพื่อการก่อสร้าง ปกติแล้วทำได้ แต่ต้องดูด้วยว่าสถานที่นั้นเป็นอุทยานหรือเปล่า ? ถ้าเป็นอุทยานเขามีกฎหมายห้ามอยู่แล้ว ขืนไปทำเข้า ไม่ได้แต่ผิดศีลอย่างเดียว กฎหมายก็ผิดด้วย ส่วนถ้าเป็นในแม่น้ำลำคลอง แล้วเราไปงมทรายในจำนวนที่มากจนเกินไป ข้อนี้อาตมาไม่แน่ใจว่าต้องเสียภาษีหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าต้องเสียภาษีแล้วไปเอามาเฉย ๆ ก็โดนอาบัติปาราชิกเหมือนกัน

เถรี
10-08-2015, 21:10
ถาม : ช่วงนี้เวลาเจอคนที่คุ้นหน้าหรือรู้จัก ผมจะไม่ค่อยอยากสบตา เพราะสบตาแล้วต้องมีการพูดคุยกัน ผมรู้สึกว่าไม่อยากคุยด้วย แต่ถ้าจะคุยก็คุยได้ และจะหาทางปลีกตัวเร็วที่สุด โดยเลือกที่จะไม่คุยดีกว่า ชอบที่จะอยู่คนเดียวในพื้นที่ซึ่งผมรู้สึกสบาย โดยไม่ค่อยอยากให้ใครที่มาคุยด้วยรบกวน แต่ก็ไปอยู่ในที่คนเยอะได้ โดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้จักกัน ไม่ต้องมีการสื่อสารกัน

บ่อยครั้งมีเหตุการณ์ที่บางคนเข้าใจผมผิดไปจากความจริง โดยที่คิดไปเอง และก็เอาความเข้าใจผิดไปเล่ากับคนอื่น ๆ ผมก็ดันรู้และเห็นตลอด แต่ทำไมไม่อยากไปแก้ข่าวหรือไปปรับข้อมูลที่แท้จริงกับคนอื่น ๆ และก็สบายใจได้เองกับสิ่งที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงวุ่นวาย โกรธ และร้อนที่จะไปโต้ตอบและบอกความจริงให้สะใจ

ช่วงนี้เห็นใคร ๆ บางทีเห็นเขาก็มีความสุข หรือดีใจมากกับการกระทำและการดำเนินชีวิตของเขา เช่น ได้แฟน ได้ทรัพย์สินที่ขวนขวายหามา และอื่น ๆ ทำไมผมรู้สึกทวนไปเองจากสิ่งที่เขาขวนขวายมาตั้งแต่ต้น แล้วรู้สึกสลด หดหู่ ทุกข์เวลาเห็นเขาดิ้นรนเพื่อให้ได้มา ไม่ได้รู้สึกยินดีไปในเรื่องราวของเขาเหล่านั้นเลย ทั้งหมดนี้ผมไปติดอะไรไหมครับ ? ดูเหมือนจะดี แต่ไม่กลมกลืน ไม่กลมกล่อมในการมีชีวิตอย่างไรก็ไม่รู้ครับ ?

ตอบ : ใกล้บ้าแล้ว..! ลองถามเพื่อนรอบข้างทุกคนดู..เขาว่าบ้าไหม ? การปฏิบัติของเราถ้าห่างโลกไปเรื่อย ๆ ก็เป็นการดี แต่อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม การที่อยู่ร่วมกับคนอื่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทำอย่างไรที่เราจะปรับตัวเองให้โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ในลักษณะของน้ำกลิ้งบนใบบอน ก็คือไม่ติดอยู่กับใบบอนหรือไม่ติดอยู่กับโลกนี้ แต่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้

แสดงว่าโยมที่ถามมาเริ่มจะอยู่ในลักษณะของการเข้าถึงความสันโดษ ต้องการความวิเวก ปรารถนาการอยู่คนเดียว แต่ยังไม่สามารถที่จะปรับตัวให้กลมกลืนได้ เขาก็สามารถวิเคราะห์ตัวเองได้อยู่แล้ว พยายามปรับตัวหน่อยก็แล้วกัน

เถรี
10-08-2015, 21:12
ถาม : เวลาที่ดูลมหายใจแล้วภาวนาสัมปฏิจฉามิ จะมีอาการปวดบริเวณกรามทั้งสองข้างและมักจะมีน้ำลาย ทำให้ต้องกลืนน้ำลายบ่อย ๆ กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าต้องแก้อย่างไรบ้างครับ ? ขอพระอาจารย์ชี้แนะด้วยครับ
ตอบ : ตัดกรามออกแล้วจะไม่มีกรามให้ปวด..! เป็นเพียงอาการที่ร่างกายมารบกวน เขาเรียกว่าขันธมาร ไปสนใจก็ไม่ต้องภาวนากันพอดี ทำไม่รู้ไม่ชี้ภาวนาของเราไป เพื่อแลกกับการเข้าถึงธรรมแม้แต่ตายเราก็ยอม กับแค่ปวดนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป

เถรี
10-08-2015, 21:13
ถาม : การทำถึงซึ่งพระนิพพานนั้นเป็นเรื่องที่ต้องสั่งสมมาหลายภพชาติ มิได้ง่ายเหมือนอย่างที่บอกกล่าวกัน เลยคิดว่าอยากทำให้ศีลบริสุทธิ์ คงพอเหมาะกับตัวเรา เพราะไม่คุ้นเคยกับการนั่งสมาธิ การทำวิปัสสนา เหมือนที่คนที่มีบารมีสะสมมาตั้งแต่ชาติที่ผ่านมา กราบเรียนถามว่า การทำให้ศีลบริสุทธิ์นั้นต้องทำอย่างไรครับ ? ผมขอแค่นี้พอแล้วครับสำหรับชาตินี้
ตอบ : รับประกันว่าอีกหลายกัป..!

ถาม : หลายกัปอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็เขายินดีแค่นั้น ศีล สมาธิ แล้วยังต้องมีปัญญาอีก แต่ละอย่างต้องผ่านการสั่งสมมาหลายกัป ถึงจะเพียงพอในการตัดกิเลส ในเมื่อตั้งใจแค่ก้าวแรก ก็ยังเหลืออีกหลายกัปกว่าจะไปได้ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ก็คือ การรักษาศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นละเมิดศีล ก็แค่นั้นเอง

เถรี
10-08-2015, 21:17
ถาม : ตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานกล่าวถึงพระที่มีลาภมาก ได้แก่ สมเด็จพระพุทธกัสสโป (ปางพุทธลีลา) และสมเด็จพระพุทธทีปังกร (พระพุทธโสธร) มีลาภมหาศาลมาก และหลวงพ่อเล็กเคยกล่าวถึงพระพุทธรูปหยกวัดท่าขนุนว่า เป็นรูปลักษณะของสมเด็จพระพุทธกัสสโป เป็นปางพุทธลีลา สมเด็จพระพุทธกัสสโปและสมเด็จพระพุทธทีปังกร ทั้งสองพระองค์บารมีหนักในด้านลาภมาก

รบกวนถามว่า ๑. สมเด็จพระกกุสันโธ มีรูปลักษณะเป็นพระปางอะไร ? และมีบารมีหนักในด้านใดครับ ? ๒. สมเด็จพระโกนาคมโน มีรูปลักษณะเป็นพระปางอะไร ? และมีบารมีหนักในด้านใดครับ ?

ตอบ : ขอแก้ข้อเข้าใจผิดก่อน เรื่องนี้ยืนยันว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่เคยพูดไว้ ท่านพูดไว้แค่ครึ่งเดียว ก็คือ พระพุทธกัสสปะกับพระพุทธทีปังกรเป็นพระพุทธเจ้าที่มากด้วยลาภ เพราะว่าสร้างบารมีเริ่มต้นด้วยการให้ทาน ส่วนอาตมาเองพูดว่า ได้รับพรจากสมเด็จพระพุทธกัสสปะว่า ถ้าพระองค์ท่านมา จะมาในลักษณะของพระพุทธลีลาประทานพร ส่วนพระพุทธทีปังกรให้พรว่า ถ้าพระองค์ท่านมา จะมาในลักษณะพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน มีสภาพค่อนข้างอ้วนท้วนสมบูรณ์ นี่เป็นเรื่องที่พระองค์ให้เฉพาะตัว ดันเสือกเอาไปยำรวมกัน...! แล้วเสือกยำผิดด้วย ส่วนที่เหลือถ้าอยากรู้ให้ไปถามพระองค์ท่านเอง

เถรี
10-08-2015, 21:20
ถาม : เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมตื่นลืมตาก็ลุกขึ้นมานั่งสวด อิติปิ โส ฯ ๓ ห้อง ๓ จบ เสร็จแล้วก็หันไปจัดหมอนและที่นอน วางหมอนเข้าที่ หัวปักหมอนดิ่งหลับ แล้วก็เหมือนฝันว่าจะเข้าไปกราบพระในห้อง ๆ หนึ่ง พอเปิดประตูเข้าไป เหมือนเดินหลับตา จะลืมตาก็ไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกถึงตัวที่หลับอยู่บนที่นอนด้วย จะฝืนลืมตาให้ได้เพราะอึดอัดมาก ฝืนจนในฝันลืมตาได้ ก็เห็นคนชุดขาวนั่งอยู่ในห้องไม่มาก แล้วก็มีพระรูปร่างสูงโปร่ง จะหนุ่มก็ไม่หนุ่ม แต่ไม่ถึงกับอายุมาก นั่งอยู่พื้นยกระดับ ผมก็เข้าไปนั่งข้าง ๆ ท่าน ท่านก็หันมาบอกผมว่า "ให้ภาวนาพุทโธถี่ ๆ"

ในฝันผมก็ถามกลับไปทันทีว่า "บริกรรมคาถาเงินล้านได้ไหมครับ ?" ท่านก็นิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วก็บอกว่า "ได้" ผมมาหาข้อมูลในภายหลัง ปรากฏว่าท่านคือ หลวงพ่อเกษม เขมโก จะขอโอกาสถามหลวงพ่อว่า ผมไม่ทำตามที่ท่านสั่งแบบนั้น จะเป็นอะไรไหมครับ ? ถ้าจะท่องพุทโธถี่ ๆ ก็เสียดายคาถาเงินล้าน จะท่องคาถาเงินล้าน ก็รู้สึกว่าถ้าไม่สำคัญท่านก็ไม่สั่ง ขอความเมตตาหลวงพ่อด้วยครับ

ตอบ : แบ่งกัน..ภาวนาอย่างละครึ่งวัน

เถรี
10-08-2015, 21:21
ถาม : ระหว่างพระองค์ที่ ๑๑ กับสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ พระเครื่องสองรุ่นนี้ ถ้าใช้กำลังใจทรงตัวในระดับเดียวกันอาราธนา รุ่นไหนจะมีอานุภาพในทางมหาลาภมากกว่ากันครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจเท่ากันอานุภาพก็เท่ากัน

เถรี
10-08-2015, 21:24
ถาม : ถ้าบนหลวงพ่อขอสิ่งหนึ่งไว้ และยังไม่ได้ตามที่ขอ แต่กลัวว่าจะทำไม่ได้ตามที่บนไว้ เลยจะขอเปลี่ยนคำบนใหม่ เพื่อให้ได้สิ่งเดิมที่ต้องการได้ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าคงจะหวังยาก ขนาดความตั้งใจยังไม่แน่นอน แล้วจะไปเอาอะไรแน่นอน ตอนอยากได้นี่อะไรก็ได้ใช่ไหม ? จะให้แก้บนวันนี้ก็ยอม พอถึงเวลาแล้วก็เปลี่ยนใจ

เถรี
10-08-2015, 21:26
ถาม : สมควรไหม ที่จะพาสุนัขที่เราเลี้ยงไว้ไปบริจาคเลือด ? ไม่แน่ใจว่าสุนัขจะเต็มใจหรือไม่ ถ้าไม่สมควรเราจะปฏิเสธคนที่มาขอความช่วยเหลืออย่างไรดี ?
ตอบ : ให้ไปถามหมาตัวนั้น ถ้าเขาไม่เต็มใจก็มีปัญหาแน่ ๆ

เถรี
10-08-2015, 21:27
ถาม : การที่ตัวเราเจตนาทำอาหารเพื่อกินเอง และได้ชิมในอาหารนั้นด้วย แต่สามีได้นำไปถวายพระโดยไม่ได้สอบถามเสียก่อน กรณีเช่นนี้ใครบาป ถ้าบาปจะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ยินดีตามสามีไปจะได้บุญทั้งคู่ ทำอาหารถ้าไม่ชิมแล้วจะรู้หรือว่ารสเป็นอย่างไร ?

ถาม : อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นของเดนไปถวายพระใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น..ของเดนก็คือเรากินในสำรับนั้นเลย นี่ตักออกมาชิมเท่านั้น มีใครเป็นสุดยอดแม่ครัวที่ทำอาหารโดยไม่ชิมบ้าง ? ช่วยยกมือขึ้นหน่อย ...(มีโยมยกมือ)... แล้วคนกินบ่นไหม ? ...(หัวเราะ)...

เถรี
10-08-2015, 21:29
ถาม : พระอรหันต์กับผู้ทรงศีลที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ถ้าได้มีการทำพุทธาภิเษกวัตถุมงคล วัตถุมงคลที่ออกมานั้นจะแตกต่างกันหรือไม่ ?
ตอบ : แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ต้องถึงพระอรหันต์หรอก แค่พระโสดาบันกับผู้ทรงศีลธรรมดาก็เปรียบกันไม่ได้อยู่แล้ว

เถรี
10-08-2015, 21:30
ถาม : วัตถุที่นำไปแช่ในน้ำมนต์ จะเป็นวัตถุมงคลและศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพุทธาภิเษกเลยหรือไม่ ?
ตอบ : ยาก..ส่วนมากเอาไปแช่เท่ ๆ อย่างนั้นแหละ ถ้าน้ำมนต์ไม่ซึมเข้าไปในวัตถุ ก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย

ถาม : ไม่ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้นิดหนึ่ง

เถรี
11-08-2015, 11:38
ถาม : เมื่อได้ยินว่าโลกมีแต่ความทุกข์ แต่คิดว่ามีความสุข แต่เป็นความสุขที่มีแล้วก็หมด ไม่ยั่งยืน ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้..แค่พยายามเห็นความสุขให้เป็นความทุกข์ให้ได้ก็แล้วกัน

เถรี
11-08-2015, 11:38
พระอาจารย์กล่าวว่า “การถามปัญหาในการปฏิบัติธรรม บางท่านไม่ได้ตั้งใจเอาคำตอบ แค่เจตนาจะอวดว่าตัวเองทำอะไรได้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก ปัจจุบันนี้คนประเภทนี้มีเยอะ แล้วชอบเข้าไปแสดงความคิดในเว็บต่าง ๆ ต้องบอกว่ามีโทษมากกว่าประโยชน์”

เถรี
11-08-2015, 11:42
พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมที่ฟังอยู่ทางบ้านโปรดทราบ การตั้งคำถามในเว็บให้ตั้งเป็นกระทู้ใหม่ทุกครั้ง อยู่ ๆ ไปแปะคำถามตามตูดชาวบ้านแล้วข้อความจะหายไปถือเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าจะโดนผู้ดูแลลบทิ้งทันที กติกาเขาบอกไว้ละเอียดแล้วแต่ไม่ค่อยจะอ่านกัน

ประการที่ ๒ ก็คือ เมื่อแจ้งเตือนแล้วกรุณาเข้าไปแก้ไขให้ถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้นอยู่ ๆ โดนเชิญเข้าศาลาพักใจแล้วจะสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร

ส่วนเมื่อเช้านี้อาตมาท้องเสียตั้งแต่ตีหนึ่ง ไม่สามารถจะนอนได้เพราะไม่รู้ว่าจะถ่ายอีกเมื่อไร ก็เลยนั่งตรวจสอบกระทู้ ปรากฏว่าบรรดากระทู้บูชาวัตถุมงคล มีญาติโยมอยู่หลายสิบคนที่ทำผิดกติกาแล้วไม่ไปแก้ไข อาตมาก็เลยทำการแบนไป วิธีการแบนนี้อาตมาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าจะออกมาลักษณะไหน อาจจะใช้งานเว็บไม่ได้เลยตลอดชีวิตก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าอยู่ ๆ ใครเข้าเว็บไม่ได้ก็ให้สมัครใหม่เลย เพราะของเก่าโดนแบนไปแล้ว

มีหลายคนด้วยกัน อย่างเช่น เดือนตุลา นายกาญจน์กัญ ชัยวัฒน์ ชคัตตรัย เป็นต้น สารพัดราว ๓๐ กว่ารายชื่อ ส่วนใหญ่แล้วก็คือใช้เลขอารบิก เขาเตือนแล้วก็ไม่กลับไปแก้ไข เพราะเห็นว่าบัญชีขึ้นการจองให้แล้ว อาตมาเองก็เตือนด้วยอักษรขนาดใหญ่ ๆ ไว้แล้วว่าถ้าไม่มาแก้ไขคุณจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต แต่ก็ไม่เข้ามาแก้กัน ตั้งแต่เปิดกระทู้จนเขาปิดกระทู้แล้วยังไม่ยอมมาแก้อีก ถ้าโดนก็ถือว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ ตามพระพุทธวจนะที่กล่าวไว้ด้วยประการฉะนี้แล”

เถรี
11-08-2015, 12:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "รายการเด็ดข่าวเด่น ของช่อง ๗ สี ไปถ่ายทำรายการที่วัดอยู่ ๒ วัน ตัดไปลงให้ตั้ง ๔ นาที"

ถาม : ลงชื่อพระอาจารย์ผิดด้วย
ตอบ : อะไรก็ช่างเถอะ จะไปหวังอะไรมากมาย อย่าให้ชื่อวัดผิดก็พอ ญาติโยมส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องราชทินนาม อย่างของอาตมา ถ้าให้เขียนคนส่วนใหญ่ก็เขียนพระครูวิลาศ กาญจนธรรม เขาจะเว้นวรรคเป็นนามสกุลให้ ตอนที่ไปเนปาล เจ้าหน้าที่เขาปล้ำแทบตายเพราะข้อมูลไม่ขึ้นให้ผ่าน ไปเรียกหัวหน้าเขามา หัวหน้าเคาะวรรคทีเดียวผ่านเลย เขาบอกว่าไม่มีนามสกุล มีแค่ชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรม หัวหน้าเขาต้องมาเคาะวรรค ให้เหมือนกับมีนามสกุล เครื่องถึงจะยอมผ่านให้ ไม่อย่างนั้นเครื่องฉลาดเกินไป เลยไม่ยอมให้ผ่าน

เถรี
11-08-2015, 12:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ว่าจะตัดหางท่านอาจารย์ชาติ (พระอาจารย์วันชาติ วํสธมฺโม) แล้ว ถวายท่านอีกรอบหนึ่ง แล้วปีถัดไปก็อาจจะเป็นท่านอาจารย์นิลแทน รายโน้นเพิ่งจะสร้างวัด ส่วนท่านอาจารย์ชาตินั้นประเภทวัดวาอารามสวยงามแข็งแรงดีแล้ว"

เถรี
11-08-2015, 12:17
พระอาจารย์พูดกับโยมที่มาขอดอกบัวครรภ์รักษา "คุณเห็นว่าเขียนเวลานิดเดียว แต่เวลาเสก ๒ ชั่วโมงครึ่ง คุณคิดว่าง่าย ๆ ใช่ไหม ? ลองไปเปิดตำราดูสิ อาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร มหาสมัยสูตร แค่ ๔ บทก็ปาไป ๒ ชั่วโมงเศษแล้ว แล้วยังมีอย่างอื่นอีกตั้งเยอะ

ส่วนใหญ่เห็นเขาขอก็ขอไปเรื่อย ไม่ได้รู้หรอกว่าคนทำเหนื่อยแค่ไหน อาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร มหาสมัยสูตร เฉลี่ยแล้วบทหนึ่ง ๓๐ นาที แล้วยังอีกตั้งเยอะ นี่แค่หลัก ๆ ก็ล่อไป ๒ ชั่วโมง"

เถรี
11-08-2015, 17:58
ถาม : ท่านท้าวจาตุมหาราชชุดปัจจุบัน กว่าท่านจะหมดวาระนี่อีกนานแค่ไหนคะ ?
ตอบ : เราตายไปก่อนแล้ว ไม่ต้องกังวล เราอยู่ไม่ถึงท่านหมดวาระหรอก

เถรี
11-08-2015, 18:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานทำบุญวันแม่ทุกปี อาตมาใช้เงินส่วนตัวมาจัดงาน เพราะฉะนั้น..ใครร่วมบุญมาด้วย อาตมาจะเอาลงบัญชีส่วนตัว ถ้าใครคัดค้านก็มาเอาคืนไป ต้องบอกว่าแม่ของอาตมาแท้ ๆ ดันมายุ่งด้วย ถ้าอยากกะเกณฑ์มากนักก็มาเอาคืนไป"

เถรี
11-08-2015, 19:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "การสร้างวัตถุมงคลในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เขานิยมนิมนต์พระเกจิอาจารย์หลาย ๆ รูปมาช่วยกันปลุกเสก ไปนึกถึงพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ท่านบอกว่า "คนเดียวยกไม่ไหว ก็หลาย ๆ คนสิวะ" ฉะนั้น..ถ้าใครเสกเดี่ยวก็แปลว่าจะต้องดีจริง ต้องแน่จริง"

เถรี
13-08-2015, 07:10
ถาม : สงสัยเรื่องการสื่อสารค่ะ ที่ว่าทุกอย่างในโลกมีแต่ธาตุสี่ แล้วการสื่อสารจัดเป็นธาตุอะไร หรือเป็นส่วนผสมของธาตุอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก่อนที่จะสื่อสารได้ ก็มีการสมมติมาก่อนหน้านั้นอีก ว่าแต่ละสิ่งแต่ละอย่างเรียกว่าอะไร ไม่อย่างนั้นก็สื่อไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น..ก่อนจะถึงการสื่อสาร การสมมติว่าเสียยาวมาแล้ว การสื่อสารถ้าเป็นภาพ เป็นเสียง จัดเป็นการผสมผสานของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าเป็นคลื่น อย่างคลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ ก็เป็นอากาศธาตุด้วย

ถาม : เวลาที่เราสื่อสารกัน ก็แค่เป็นไปตามสัญญา ที่มีแต่สมมติที่สั่งสมมา ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นสมมติซ้อนสมมติ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ

ถาม : อย่างสื่อสารด้วยคำพูด เข้าใจว่าคำพูดเป็นอากาศ แล้วเราก็เอาสมมติไปจับเอาความหมาย ถูกไหมคะ ?
ตอบ : จะมีอากาศธาตุกับวิญญาณด้วย มีดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นเพียงแค่ ๔ แต่ถ้าจะเอาสมบูรณ์ต้องเพิ่มอากาศกับวิญญาณ ตัวความรู้สึกเข้าไปอีก

ถาม : แสดงว่าความรู้สึกเป็นสมมติที่มีมาก่อน ?
ตอบ : ทุกอย่างเป็นสมมติอยู่แล้ว เพียงแต่เราไปเรียกว่าเป็นอะไร ก็เป็นการเพิ่มสมมติเข้าไปอีกชั้น

ถาม : แสดงว่าการสื่อสารก็ไม่มีอะไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วมีแค่นั้น และไม่ทรงตัว แต่ส่วนใหญ่พอเรารับเข้ามาแล้วเราไปปรุงต่อ พอไปปรุงต่อก็เป็นรัก โลภ โกรธ หลงขึ้นมาอีก ซับซ้อนไปมากขึ้นเรื่อย

เถรี
13-08-2015, 07:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าเรื่องเสาตกน้ำมัน ที่คุณเฉลิม คงทอง ไปซื้อบ้านมา ท่านบอกว่าตกน้ำมันขนาดนองพื้นเลย ในชีวิตอาตมาก็เจออยู่ครั้งเดียว แต่ไม่ใช่เสา เป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ ซื้อมาจากทางพม่า เป็นพระพุทธรูปนาคปรก บูชาเอาไว้ ตกน้ำมันนองพื้นเลยเหมือนกัน

การตกน้ำมันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่า รุกขเทวดาที่รักษาต้นไม้ยังตามรักษาอยู่ วันดีคืนดีท่านน่าจะไปปรากฏอยู่ในกระทู้คนมีเงินฯ กลัวอยู่อย่างเดียวว่าตกน้ำมันเสียจนหมด พอถึงเวลาน้ำมันเลยแพง..!"

เถรี
13-08-2015, 11:02
พระอาจารย์เล่าว่า "มีหมาอยู่ตัวหนึ่ง เขาทำสาแหรกไว้ใส่อิฐบนหลัง หมาก็ช่วยขนอิฐขึ้นเขาไป เจ้านี่ต้องไปเกิดเป็นเทวดาแน่ ขนอิฐไปสร้างพระธาตุ ทั้งพระ เณร หมา ขนอิฐกันวันละ ๓-๔ เที่ยว"

เถรี
13-08-2015, 11:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเข้าร่วมโครงการปั่นเพื่อแม่บ้าง ? อาตมาอยากจะเรียกว่า "โครงการปั่นแค่วันแม่" บางคนลงทุนซื้อจักรยานไป ๒๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ บาท ปั่นวันเดียวนั่นแหละ แล้วที่เหลือก็เก็บไว้ตากผ้า ทำอะไรต้องทำให้ต่อเนื่องตามกัน จึงจะเกิดผลดีจริง ๆ ไม่ใช่ปีทั้งปีมาปั่นกันแค่วันเดียว

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงอุตส่าห์คิดโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนขึ้นมา แต่คาดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนน้อย เพราะพวกเรามักจะทำอะไรกันไม่จริงไม่จัง ก็เลยกลายเป็นประโยชน์กับร้านขายจักรยาน ซื้อแล้วเอาไปขายคืนเขาก็คงจะไม่รับ น่าจะรวม ๆ กันสัก ๘-๑๐ คนที่มีจักรยานแล้วเอาไปเปิดร้านให้เขาเช่า ตามสวนสาธารณะอะไรก็ได้ ชั่วโมงละเท่าไรก็ว่าไป จะได้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ากับที่ซื้อมา

ของต่างประเทศเขาก็มี ถึงเวลาก็เอาพาสปอร์ตไปให้เขา ลงเวลาเอาไว้ รับบัตรไป เบิกจักรยานไปขี่ พอถึงเวลาก็กลับมาคืน จ่ายสตางค์แล้วก็รับบัตรหรือพาสปอร์ตของตัวเองคืนไป ทางบ้านเขาส่วนใหญ่จะขี่จักรยานไปจอดตามสถานีรถไฟเป็นหมื่น ๆ คัน แล้วก็ขึ้นรถไฟเข้าเมืองไปทำงานกัน บ้านเขาทำอะไรทำจริงจัง ทำทั้งชีวิต ลักษณะอย่างนั้นถ้าปฏิบัติธรรมจะได้ผลดีมาก เพราะเป็นการปฏิบัติที่ต่อเนื่องตามกันโดยตลอด แต่บ้านเรานี่เห่อกันเป็นพัก ๆ รักกันเป็นเทอม ๆ"

เถรี
13-08-2015, 11:50
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ระบบกันเสียงสะท้อนของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายมีปัญหา มีปัญหาตรงที่ช่างเขาไม่เชื่ออาตมา เอาแผ่นอะคูสติกสำหรับซับเสียงไปติด อาตมาถามแล้วถามอีกว่าขึ้นราหรือเปล่า ? เขาก็ยืนยันว่าไม่ขึ้น ตอนนี้ขึ้นราทุกแผ่น กำลังจะแก้ไขด้วยการถอดไปที่บริษัท แล้วก็ใช้น้ำยากำจัดเชื้อรา แต่คาดว่าคงต้องรอให้หลังงานวันแม่ไปก่อน เชื้อราคงจะงอกงามได้อีกเยอะ

ที่ทองผาภูมิความชื้นสูงมาก อาตมาไปทองผาภูมิปีแรก ฝนตกตั้งแต่วันที่ ๑๒ มิถุนายน ไปหยุดเอาวันที่ ๒๐ ตุลาคม ตกตลอดไม่มีหยุดเลย ตกทั้งวันทั้งคืน ๆ พื้นไม่แห้งยังไม่พอ ผ้าก็ไม่แห้งด้วย ซักไปตากก็ไม่แห้ง"

เถรี
13-08-2015, 12:29
ถาม : คนข้างบ้านเขาหาเรื่อง ไม่ยอมเลิกรา พอจะมีวิธีทำให้เขาเลิกยุ่งไหมครับ ?
ตอบ : เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ท่องเข้าไปสิวะ เกิดอะไรขึ้นก็เรื่องของเขาแล้ว เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว

เถรี
13-08-2015, 12:34
ถาม : ถ้าเราปรามาสพระรัตนตรัย ขอขมาต่อพระพุทธรูปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..เพราะว่าถ้าเราล่วงเกินพระสงฆ์แล้วเราไปขอขมาโดยตรงกับท่าน ก็ยังต้องไปขอขมากับพระพุทธอีก

เถรี
13-08-2015, 12:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้คณะสงฆ์นัดไปสักการะพระผู้ใหญ่ในจังหวัดกาญจนบุรี อาตมาก็ไม่ได้ไป การทำวัตรพระเถระ บางคนก็เรียกว่า ทำสามีจิกรรม บางคนก็ว่า ถวายสักการะพระเถระ แต่เดิมเป็นการที่ลูกศิษย์เมื่อเข้าพรรษาไปกราบรายงานตัวต่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ว่าปีนี้จำพรรษาอยู่ที่ไหน ? อยู่กับใคร ? เพื่อที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะได้รับรู้เอาไว้ ถึงเวลามีอะไรลำบาก มาขอความช่วยเหลือ จะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหน อีกอย่างหนึ่ง จะได้ทราบว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล ไปมาหาสู่ ศึกษาเล่าเรียนก็จะได้สะดวกขึ้น

ตอนหลังนิยมเพิ่มเติมพระมหาเถระที่เป็นเจ้าคณะปกครองเข้าไปด้วย แล้วก็เลยกลายเป็นอย่างปัจจุบันนี้ พอถึงเวลาลูกคณะก็ต้องไปสักการะเจ้าคณะของตนเอง ก็เลยมีการนัดแนะวันเวลาเพื่อให้พร้อมเพรียงกัน ถ้าต่างจังหวัดไกล ๆ เหนือสุดใต้สุด บางทีถึงขนาดต้องขอสัตตาหะฯ เพื่อที่จะมาทำวัตรครูบาอาจารย์หรือพระเถระฝ่ายปกครอง ถามว่ากรณีอย่างนี้ขอสัตตาหกรณียะตามพุทธานุญาตได้หรือไม่ ?

สัตตาหกรณียะ ก็คือ ถ้ามีเหตุจำเป็นในช่วงเข้าพรรษาสามารถที่จะไปที่อื่นได้ แต่ต้องไม่เกิน ๗ วัน พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ว่า ถ้าพ่อป่วย แม่ป่วย พระอุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย ไปเพื่อช่วยรักษาพยาบาลได้อย่างพระครูไพศาลสุตาคม วัดดอนแก้ว ไปดูแลแม่ที่เป็นอัมพาต เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อช่วยห้ามปรามได้ วัดพังไปหาทัพพสัมภาระมาเพื่อซ่อมวัดได้ สมัยนี้ยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียว ร้านวัสดุก็มาส่งแล้ว ได้รับกิจนิมนต์ไปเพื่อเจริญศรัทธาได้ การมาบ้านวิริยบารมีนี้ถือว่ามาเพื่อเจริญศรัทธาให้ญาติโยม

คราวนี้ไม่มีกรณีว่าไปสักการะพระผู้ใหญ่ ถามว่าทำไมไปกันได้ ? ท่านบอกว่าต้องพิจารณาจากมหาปเทส ๔ ก็คือข้ออ้างในการตีความพระธรรมวินัย ตีความพระธรรมวินัยในมหาปเทสท่านมีหลักอยู่ ๔ ประการ มีอยู่ประการหนึ่งคือ เรื่องที่ไม่สมควรแต่พิจารณาแล้วว่าสมควร เรื่องนั้นย่อมสมควร คำว่า ไม่สมควร ในที่นี้เราถือว่าไม่ได้บัญญัติไว้ ในเมื่อพระองค์ท่านไม่ได้บัญญัติไว้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่พิจารณาดูแล้วว่า การไปสักการะพระอุปัชฌาย์อาจารย์ตลอดจนพระเถระเจ้าคณะปกครอง เป็นการทำสามีจิกรรมตามแบบของกิจวัตร วิธีวัตร อุปัชฌาย์อาจาริยวัตร ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สัตตาหะฯ กันไปได้

การตีความต้องดูว่าเป็นไปตามหลักมหาปเทสจริง ๆ ไม่ใช่ตีความเข้าข้างตัวเอง ในปัจจุบันนี้ที่อาตมาเห็นว่าไม่ได้บัญญัติไว้ แต่ถึงเวลาแล้วสมควรไปได้ อย่างเช่นว่า พระท่านไปศึกษาเล่าเรียน เดินทางไปไกลจะให้ไปกลับก็ไม่ไหว บางทีต้องไปค้าง แล้วก็เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านไม่สามารถบอกได้ว่าต้องรอออกพรรษาแล้วค่อยป่วย ในเมื่อป่วยก็ต้องไปโรงพยาบาล อาการหนักหมอต้องให้นอนโรงพยาบาลเลย เรื่องเหล่านี้ถือว่าไม่สมควรเพราะไม่ได้บัญญัติไว้ แต่พิจารณาแล้วถือว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร

อย่างบางท่านที่อ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามเรื่องเฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ก็น่าจะสูบได้ อันนั้นเห็นชัด ๆ ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร เรื่องนั้นย่อมไม่สมควร"

เถรี
13-08-2015, 20:07
"เรื่องของบุหรี่แต่ดั้งแต่เดิมมา ต้องบอกว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ปู่ย่าตายายเราถวายพระเป็นปกติ ในเมื่อถวายเป็นปกติก็แสดงว่าไม่ใช่โลกวัชชะ คือโลกไม่ได้ติเตียน แต่พอมาระยะหลัง วิทยาการสมัยใหม่ทำให้เขารู้ว่าบุหรี่เป็นต้นเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วยมาก ก็เลยมีการรณรงค์กันว่าห้ามสูบบุหรี่ โดยเฉพาะตอนนี้พื้นที่หลายส่วน เช่น สวนสาธารณะก็ดี โรงภาพยนตร์ก็ดี รวมทั้งวัดวาอารามด้วย เป็นสถานที่ห้ามสูบบุรี่โดยอัตโนมัติ พระเณรเราจึงควรที่จะพยายามเลิกให้ได้ ที่ลงทุนไปมากแล้วเลิกไม่ได้ก็หลบ ๆ ไปสูบคนเดียวในห้องตัวเอง จะได้นั่งดมเองให้สะใจ"

ถาม : บุหรี่ไม่ถือว่าเป็นสารเสพติดหรือครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาไม่ถือเป็นสารเสพติด ในเมื่อชาวบ้านเขาถวาย พระก็ฉลองศรัทธาไปเรื่อย ไม่ว่าจะบุหรี่ ไม่ว่าจะหมาก ไม่ว่าจะยานัตถุ์

ถาม : กาแฟละครับ ?
ตอบ : รอดูว่าเขาจะหาเจอหรือเปล่าว่ากาแฟทำให้เกิดโรคร้าย ถ้าเจอเดี๋ยวก็รณรงค์กันต่อไป

ถาม : กาแฟทำให้ติด ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยเสพ เลยไม่รู้ว่าติดหรือเปล่า ? บางทีขึ้นอยู่กับคน เพราะว่าสมัยก่อนอาตมาทำงานเป็นช่างสี พ่นสีรถแต่ละคันกว่าจะเสร็จ ๒ ชั่วโมงครึ่งถึง ๓ ชั่วโมง เมาน้ำลายยืดทุกครั้ง ทำอยู่ตั้งหลายปีไม่เห็นจะติด แต่พวกดมทินเนอร์ดันติด เดี๋ยวก็มา “พี่ ๆ ขอซื้อ ๒ บาท” เอาสำลีมาให้อาตมาเทให้ จนรำคาญยกให้ไปขวดหนึ่ง “มึงเอาไปเลย” “ไม่เอาพี่ เดี๋ยวอดใจไม่ได้..ตาย” กลัวตายแล้วเสือกจะดม..! ก็เลยสงสัยว่าตกลงว่าติดเพราะอะไร เพราะอาตมาเองก็น่าติด ทำงานเป็นอาชีพเลย แต่ปรากฏว่าไม่เห็นจะติดอะไร

อีกคน ก็คือ พระครูแสง พระน้องชาย ไอ้นั่นเหล้าก็กิน เบียร์ก็กิน บุหรี่ก็สูบ กัญชาก็เล่น เอาทุกอย่าง พอถึงเวลาจะเลิกก็เลิกโครมเดียวเลย ไม่เห็นจะไปติดไปอะไร ก็ไม่เห็นจะลงแดงกับใคร บางทีคิดว่าอยู่ที่กำลังใจคน ในเมื่อสำคัญที่กำลังใจ ตกลงว่าสารเสพติดนี่เขาวัดกันตรงไหน ? ถ้าวัดตรงคนติด แล้วทำไมบางคนไม่ติด ?

เถรี
13-08-2015, 20:17
ถาม : น้ำปานะ ๘ อย่าง ที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ?
ตอบ : ตอนหลังท่านมีอนุญาตเพิ่มเติมว่า ผลไม้อื่นนอกจากมหาผล คราวนี้มหาผลนั้น อรรถกถาจารย์ท่านว่าห้ามโตเกินกว่าลูกมะตูม ก็แปลว่าทุกอย่างนั่นแหละ เพียงแต่เรื่องปานะนั้นมีข้อห้ามอยู่หลายอย่าง อย่างแรก ก็คือ ค้างคืนไม่ได้ อย่างที่ ๒ ก็คือ ห้ามทำให้สุก เหตุที่ห้ามทำให้สุกคิดว่า คงเพราะความร้อนเข้าไปทำลายวิตามินหมด พระพุทธเจ้าท่านทราบท่านก็เลยห้าม แปลว่าต้องคั้นกันสด ๆ

ถาม : น้ำเฮลซ์บลูบอย ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..จัดอยู่ในประเภทน้ำตาล ท่านอนุญาตน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยใส เนยข้น จัดอยู่ในพวกน้ำอ้อยน้ำตาล

เถรี
13-08-2015, 20:24
ถาม : น้ำผลไม้พาสเจอร์ไรส์จัดเป็นน้ำปานะหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ดูดี ๆ พระโดนอาบัติมาเยอะแล้ว เพราะน้ำผลไม้ปัจจุบัน มักง่าย ใช้น้ำผลไม้ที่หาง่ายแล้วราคาถูกอย่างสับปะรดซึ่งเป็นมหาผล ถึงเวลาพระจะฉันแต่ละทีต้องพลิกดูข้างกล่อง บางทีใส่ไป ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะสับปะรดหาง่าย ราคาถูก คั้นน้ำได้เยอะ

ถาม : ทำไมมหาผล พระพุทธเจ้าจึงห้าม ?
ตอบ : วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เขาไปพิสูจน์ทราบแล้วว่า มหาผลมีฮอร์โมนเยอะ กินแล้วคึก..! พระพุทธเจ้าท่านห้ามมา ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว เริ่มจากน้ำมะพร้าวก่อนเลย

ถาม : แล้วพวกน้ำผัก ?
ตอบ : ผักเป็นอาหาร อะไรที่เป็นอาหาร ท่านบอกว่าถึงทำเป็นปานะแล้วก็ไม่ควร

ถาม : น้ำข้าวบรรจุกล่องก็ไม่ได้ ?
ตอบ : อาหารอย่างประเภทพวกข้าว พวกถั่ว พวกงานี่เต็ม ๆ เลย ธัญพืชคือพืชที่เป็นอาหาร

ถาม : ยาคูถือว่าเป็นอาหาร ?
ตอบ : ชื่อว่ายา แต่มาจากภาษาบาลี ยาคูแปลว่าข้าวต้ม แล้วเราก็ดันไปได้ยินคำว่ายา เราก็เอาเป็นยา ขืนฉันเข้าก็ซวย..!

ถาม : ควรจะถวายก่อนเพลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยจะได้มีเวลาใช้ไปในระหว่างวัน ไม่ต้องไปเดือดร้อนตอนกลางคืน ไม่ใช่ถึงเวลาจะนั่งกรรมฐานหรือจะนอนภาวนา ดันคึกตลอดเวลาจนทำอะไรไม่ถูก

เถรี
13-08-2015, 20:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "การบอกบุญเรี่ยไรของพระต้องมีหนังสืออนุญาต ถ้าจะให้ถูกต้องจริง ๆ นอกจากมีหนังสืออนุญาตของเจ้าคณะปกครองแล้ว ยังต้องมีหนังสืออนุญาตของตำรวจท้องที่ด้วย ถ้าไม่มีหนังสืออนุญาตของตำรวจท้องที่ อนุโลมว่าอย่างน้อยต้องมีหนังสืออนุญาตของเจ้าคณะปกครอง

ถ้าเจ้าคณะตำบลอนุญาต..เรี่ยไรได้เฉพาะตำบลนั้น เจ้าคณะอำเภออนุญาต..เรี่ยไรได้เฉพาะอำเภอนั้น เจ้าคณะจังหวัดอนุญาต..เรี่ยไรได้เฉพาะจังหวัดนั้น เจ้าคณะภาคอนุญาต..เรี่ยไรได้เฉพาะเขตภาคนั้น ไม่สามารถที่จะไปเกินอำนาจของผู้อนุญาตได้ ถ้าของที่อื่นข้ามมากรุงเทพฯ ไม่น่าจะใช่ เพราะฉะนั้น..พระแจ้งวินยาธิการให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย

แบบเดียวกับที่เขาไปชนตอที่วัดท่าขนุน มีหนังสือขอความร่วมมือจากเจ้าคณะตำบล... มีนามบัตรเสร็จสรรพเรียบร้อย มาขอเทียนพรรษา เดี๋ยวนี้เทียนพรรษาราคาแพงมาก ขี้ผึ้งกิโลหนึ่งหลายสตางค์ ขนาดเศษขี้ผึ้งยังกิโลกรัมละ ๓๐ กว่าบาท อาตมาสงสัยจึงโทรศัพท์ถามเพื่อน ก็เรียนมาด้วยกันนี่ เขาก็บอก “เฮ้ย...เปล่านะ อะไรจะไปไกลขนาดนั้น ผมเป็นเจ้าคณะตำบล มีสิทธิ์ขอได้เฉพาะในตำบลตัวเองเท่านั้น” นี่ไปถึงทองผาภูมิ ทั้งนามบัตร ทั้งหนังสือทุกอย่าง จัดการทำมาเองเสร็จสรรพหมดเลย

ส่วนใหญ่เขาเอาเทียนไปขายกัน จะว่าไปแล้วกรุงเทพฯ นี่แหละเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ถึงเวลาได้ผ้าไตรจีวร ได้เครื่องสังฆทานมา เรียกเข้ามาขนไปเป็นคันรถ สมัยที่ผมอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันนั่นแหละ เห็นเขาขายกันบ่อย ผมเห็นหลวงปู่ท่านทำท่าแปลก ๆ เหมือนกัน คือท่านเองไม่เห็นด้วย แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าจะห้ามเขาอย่างไร"

เถรี
14-08-2015, 10:43
ถาม : ในระหว่างวัน มีจังหวะหนึ่งที่เรารู้สึกว่าแยกตัวออกมาจากคนข้าง ๆ หรือสภาพแวดล้อมที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ จังหวะนั้นจะมีความรู้สึกสงบเย็นแบบหนึ่ง เป็นพักเดียวก็กลับมามีอาการกังวลข้างในลึก ๆ ค่ะ ตกลงว่าดีหรือไม่ดีคะ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ดี สงบได้แค่ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นก็พอแล้ว

เถรี
14-08-2015, 11:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันแม่ปีนี้ครูบาเหนือชัยคงมาไม่ได้ ท่านบอกว่าแขนขาเริ่มใช้งานได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องอาศัยไม้เท้าค้ำอยู่ ขอรักษาตัวให้ดีกว่านี้ก่อน ส่วนหลวงป๋าวิวัฒน์เป็นมะเร็งกระดูก นั่งนานไม่ได้ นั่งรถไกล ๆ เดี๋ยวแย่ ก็คงไม่ได้มาแล้ว ๒ รูป

มีใหม่อยู่รูปหนึ่ง ก็คือ ท่านเอกลักษณ์ วัดปากน้ำโจ้โล้ รายนี้เป็นพระหมอดู คาดว่าจะเป็นขวัญใจของญาติโยม เพราะนิยมดูหมอกันเหลือเกิน เห็นท่านตั้งใจทำงาน ก็เลยว่าจะช่วยสนับสนุนท่านหน่อย ท่านอื่น ๆ ก็แล้วแต่ภารกิจ เพราะส่วนใหญ่เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล ถึงวันแม่แม้จะไม่มีงานก็ต้องพยายามทำให้มีเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเจ้านายจะหาว่าไม่สนองนโยบาย"

เถรี
14-08-2015, 11:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางต้นสังกัดจะให้อาตมาขอผู้ช่วยศาสตราจารย์ปีนี้ บอกไปว่ายังไม่มีอารมณ์ ได้หลายอย่างแล้ว เซ็งโลกมากเลย คนที่ไม่อยากได้ก็ยัดเยียดมาจริง ปีนี้อาตมารับตำแหน่งเจ้าคณะตำบล รับปริญญาเอก แล้วก็กำลังจะสอบพระอุปัชฌาย์ แค่นี้ก็ปวดกบาลพอแล้ว

วันก่อนไปสอบพระอุปัชฌาย์รอบอำเภอ อุตส่าห์อ่านตำราอย่างคร่ำเคร่งอยู่ ๓ วัน ตำราเล่มนั้น ชื่อ จาเหวินปิน นักพรตเต๋าคนสุดท้าย อ่านเสร็จแล้วก็ไปสอบพระอุปัชฌาย์ จะทำอย่างไรได้ คนสอบรู้ดีกว่ากรรมการ ท้ายสุดรองเจ้าคณะอำเภอก็ว่า “นิมนต์กลับเถอะ สอบไปก็เท่านั้นแหละ” ว่าอย่างนั้น รู้มากกว่ากรรมการก็ลำบาก กรรมการเขาเกรงใจ

พระอุปัชฌาย์เขาสอบกัน ๔ รอบ รอบที่ผ่านไปเป็นรอบอำเภอ เดี๋ยวมีรอบของจังหวัด รอบของภาค แล้วก็เข้าส่วนกลาง มีแต่คนยุให้ไปขอพระอุปัชฌาย์วิสามัญ สอบเองเมื่อไรก็ได้ จะไปขอให้เสียชื่อทำไม"

เถรี
14-08-2015, 11:22
ถาม : ก่อนที่รับจะยอมจำนนต่อกฎของกรรม เราต้องสู้ ถ้าสู้ไม่ได้ต้องหนีไปที่อื่นก่อนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส้นตีนแน่ะ..! จะหนีไปไหนกฎของกรรมก็อยู่กับเรา ต้องบอกว่ามั่วไปเรื่อย เรื่องทุกข์เรื่องกรรมจะหนีไปไหนพ้น เพราะอยู่กับตัวเรา ให้สู้ไปเรื่อย อย่ายอมจำนนแล้วกัน ชาตินี้สู้ไม่ได้ ชาติหน้าก็สู้ต่อ

ถาม : สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมหลาย ๆ อย่าง ดูเหมือนจะเป็นกรรมที่บังคับให้ผมเป็นกะเทยครับ ถ้าผมจะหนีกรรมตรงนี้ได้ ต้องอาศัยศีล สมาธิ ปัญญาที่ทรงตัวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่เป็นใครจะบังคับให้เป็นได้อย่างไร ? ยังไม่เคยเจอเรื่องบังคับให้เป็นเลย ยกเว้นเข้าคุกไปแล้วโดนนักโทษบังคับให้เป็น..!

เถรี
14-08-2015, 11:23
ถาม : คนที่เจอข้อสอบที่หนักกว่าชาวบ้านเขา อุปสรรคที่หนักกว่าชาวบ้านเขาเป็น ๒ เท่า แสดงว่าบารมียังอ่อนอยู่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บารมีมากกว่าเขาอย่างน้อย ๒ เท่า ถ้านักเรียนความรู้ในการเรียนยังไม่ถึง เขาจะออกข้อสอบมาให้ทำไมเล่า ? เด็กจบ ป.๔ จะออกข้อสอบปริญญาตรีให้แล้วจะทำได้ไหม ? ในเมื่อออกมาหนักกว่าคนอื่น แปลว่ากำลังเราต้องมากกว่าคนอื่น ควรที่จะภูมิใจเสียด้วยซ้ำไป

เถรี
14-08-2015, 13:33
ถาม : ถ้ามีน้ำผลไม้เป็นน้ำกล่อง เป็นน้ำผลไม้รวม แต่ว่าไม่มีสัปปะรด ฉันได้ไหมครับ ?
ตอบ : เขาอนุโลมให้ก็ฉันไปเถอะ ถ้าไม่ถึงกับขนาดฟาดทีละครึ่งโหล..! ต้องดูโภชเนมัตตัญญุตา (ความรู้จักประมาณในการกิน) ด้วย แต่ว่าปัจจุบันนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวมากเลยก็คือเรื่องของน้ำตาล คนไทยบริโภคน้ำตาลมากกว่าชาวโลกประมาณ ๓ เท่า จนกระทั่งติดหวานกันทั้งประเทศแล้ว เดี๋ยวนี้น้ำพริกก็หวาน แกงส้มก็หวาน ต้มยำก็หวาน ส้มก็บอกชัด ๆ ว่าเปรี้ยว แต่ดันกลายเป็นหวาน ตักใส่ปากอาตมาต้องวางทุกที แล้วก็บรรดาน้ำผลไม้อะไรที่ว่านั่น เขาก็ต้องผสมน้ำตาลทีละมาก ๆ ปรุงแต่งรสให้หวานถูกปากถูกใจเขา แล้วจะไม่ให้เบาหวานจงเจริญได้อย่างไร

ถาม : ถ้าผ่านความร้อนถือว่าผิดวินัยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราจะเอาตามพระวินัยทุกอย่าง บางทีก็ไม่ต้องหาอะไรไปถวายพระเลย ที่ท่านไม่ให้ผ่านความร้อนเพราะว่าเกรงว่าจะเสียวิตามินไปหมด ในเมื่อปัจจุบันนี้เขาไม่สนใจวิตามินก็แล้วกันไปเถอะ

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือนมเปรี้ยว นมเปรี้ยวเป็นเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลมากที่สุด เพราะต้องการปรุงรสไม่ให้เปรี้ยวมาก ถ้าใครเคยกินนมเปรี้ยวที่ยังไม่แต่งรส จะรู้ว่าเปรี้ยวจนกลืนไม่ลง พระนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่อินเดีย เจอนมเปรี้ยวขนานแท้บางทีถ่ายท้องไป ๓ วัน แต่แขกเขากินกันอย่างนั้น เขากินพวกนมเปรี้ยวกันเป็นปกติ นมเปรี้ยวของเขาแค่รีดใส่หม้อดิน เอาผ้าปิดวางไว้มุมห้องนั่นแหละ พอขึ้นฟองฟอดแล้วก็เอามากินกัน

เถรี
14-08-2015, 14:40
ถาม : ที่ว่าอุบาสกไม่ควรค้าขาย ๕ อย่าง ค้าอาวุธ ค้าน้ำเมา ปวัตตมังสะถือว่าเป็นการค้าเนื้อสัตว์ ไม่ควรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่ว่าไม่ควรเพราะพระพุทธเจ้าท่านเกรงพวกปากหอยปากปูจะก่อกรรมกันเยอะ ไปนินทาว่า "ไหนเอ็งถือศีลแล้วมาขายของอย่างนี้ ? ไหนบอกว่าเอ็งเป็นพุทธมามกะไม่เบียดเบียนใคร ทำไมไปขายอาวุธ ?" ก็เขาไม่ได้สั่งนี่ว่าให้เอ็งเอาไปยิงกบาลคนอื่น..!

ในเมื่ออาจจะเกิดเรื่องอย่างนี้พระพุทธเจ้าถึงได้ห้ามไว้ เพราะถ้าหากไม่ห้ามไว้ บางท่านเป็นพระโสดาบันแล้วขายอยู่ ก็เท่ากับนินทาพระ ด่าว่าพระอยู่ตลอดเวลา จะสร้างความเดือดร้อนให้เขามากกว่าที่คิด พระองค์ท่านเลยห้ามทำเลยจะได้หมดเรื่อง ขายสุราเรามีหน้าที่ขาย เราไม่ได้ไปบีบปากแล้วกรอกใส่ปากเขาไปนี่หว่า..!

ถาม : คนที่ไปซื้อเนื้อสัตว์ถือว่าไปสนับสนุนมิจฉาวณิชชาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าสนับสนุนก็ได้ แต่ถึงคุณไม่ซื้อเขาก็ขายอยู่ดี ปวัตตมังสะ คนเราขายกันมากี่ชาติแล้วก็ไม่รู้ ต่อให้คุณไม่ซื้อเขาก็ขายกันเต็มตลาด

ถาม : เขาแปลมาว่า มีชีวิตแล้วทำให้ตายเพื่อเอามาขาย ?
ตอบ : คุณไปดูสิ จะมีชีวิตทำให้ตายเอามาขาย หรือว่าตัวเป็น ๆ ไปทำให้ตายทีหลังก็ราคาเดียวกัน ทำให้ชีวิตสัตว์นั้นตกล่วงไป แต่คราวนี้เขาไม่เข้าใจในเรื่องของยถากัมมุตาญาณ ก็คือว่าใครทำก็เป็นกรรมของคนนั้น เพราะฉะนั้น..คนฆ่ารับไปเต็ม ๆ ส่วนคนกินถ้าไม่รู้ว่าเขาทำเพื่อเรา ไม่เห็นว่าเขาทำเพื่อเรา ไม่รังเกียจว่าเขาทำเพื่อเรา พูดง่าย ๆ คือไม่ติดใจ ก็กินไปเถอะ

เพียงแต่ว่าคนที่ไม่รู้จะตำหนิเอาได้ว่า เป็นพุทธมามกะแล้วไปทำลักษณะอย่างนี้ เท่ากับสนับสนุนให้เขาฆ่า คนที่เขาไม่เข้าใจตรงนี้ก็จะพูดแบบคุณ ก็คือว่าไปสนับสนุนให้เขาฆ่า ลองเลิกกินเนื้อทั้งกรุงเทพฯ ดูซิว่าเขาจะขายได้ไหม ? ก็ขายได้อยู่ดี เลิกทั้งประเทศไทยเขาก็ยังขายกันทั่วโลก

เรื่องบางอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พระพุทธเจ้าทรงรู้จริง เพราะเข้าถึงยถากัมมุตาญาณอย่างลึกซึ้ง ท่านเห็นว่าใครทำก็เป็นกรรมของคนนั้น ยกเว้นอย่างเดียวว่า “เจ๊...พรุ่งนี้เอาไก่ ๕ ตัว ช่วยจัดให้ด้วยนะ” ถ้าอย่างนี้เรียบร้อยแน่ อย่างนี้ก็คือเราสนับสนุนเขาให้ฆ่าแน่ ๆ

ถาม : จะเข้าข่ายกตัตตากรรม ?
ตอบ : ไม่ใช่...กตัตตากรรมก็คือสิ่งที่เราทำไปด้วยการขาดเจตนา อย่างเช่นว่า เด็ก ๆ ยังไม่รู้ภาษา แม่บอกว่าไหว้พระนะลูก ก็ยกมือขึ้นไหว้ ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าพระคืออะไร อันนั้นเรียกกตัตตากรรม

ถาม : เจตนาเป็นตัวกรรม ?
ตอบ : เจตนาเป็นตัวกรรม แต่กตัตตากรรมถึงไม่มีเจตนาการกระทำก็เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าผลของการกระทำตัวนี้ผลเกิดน้อยมาก กรรมทุกหมวดทุกประเภทถ้าไม่ให้ผล กตัตตากรรมจึงจะให้ผล ในเมื่อไม่ได้เจตนาทำ เขาก็ไม่ได้เจตนาที่จะสนอง

เถรี
14-08-2015, 14:48
ถาม : ในกายคตาสติ เช่น นิมิตผม ปฏิภาคนิมิตเขาเป็นอย่างไร ?
ตอบ : อาตมาทำไม่ถึง แต่คาดว่าคงจะลักษณะเดียวกันก็คือ พอเป็นปฏิภาคนิมิตที่ติดตาก็คงจะเห็นเหมือนของจริงเลย เพียงแต่ว่าเป็นของจริงที่นิ่งอยู่ ไม่ได้เคลื่อนไหวเท่านั้น

ถาม : ที่เขาบอกว่า ถึงกายคตาสติย่อมได้อภิญญาด้วย ?
ตอบ : ความจริงคำว่า "อภิญญา" อาตมาอยากจะตีความว่าเป็นการได้มรรคได้ผล อภิคือยิ่งกว่า อัญญาคือความรู้ ไม่มีอะไรรู้เกินกว่าการเข้าถึงมรรคผล

ดังนั้น..การที่เราจะได้มรรคได้ผล เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป อาตมาถือว่ายิ่งกว่าอภิญญาเสียอีก ในเมื่อท่านว่าถึงกายคตาสติ ซึ่งท่านหมายเอาพระอนาคามีกับพระอรหันต์ คิดว่าใช้คำว่าอภิญญาเป็นเรื่องที่น้อยไปเสียด้วยซ้ำ

เถรี
14-08-2015, 14:53
ถาม : ในการเข้าสมาบัติ ถ้าได้ปฐมฌานก็ได้ยินเสียง ?
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดจริง ๆ แม้กระทั้งฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ได้ยิน เพียงแต่ว่าจิตที่ละเอียดถึงระดับนั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าจะสนใจไหม ? ถ้าไม่สนใจก็นิ่งอยู่ข้างใน แต่ถ้าเป็นอย่างหยาบจะไม่รับรู้อาการภายนอกเลย

ฌาน ๔ มีหยาบกับละเอียด ถ้าอย่างหยาบจะไม่รับรู้อาการภายนอก แต่ถ้าละเอียดจริง ๆ สามารถรับรู้ได้ แบบเดียวกับที่บอกว่าถึงเวลาแล้วไม่มีลมหายใจ ถ้าสภาพจิตละเอียดจริง ๆ จะมีลมละเอียดอยู่นิดหนึ่ง ต้องบอกว่าบางอย่างกับใยแมงมุม แต่ด้วยความที่สภาพจิตละเอียด และลมละเอียดที่บางอย่างกับเส้นของใยแมงมุม ก็เลยรู้สึกว่าใหญ่เหมือนกับต้นเสา ทำให้สามารถเกาะได้แน่วแน่และมั่นคง

เรื่องพวกนี้บางทีเป็นสมาธิในการฝึก หรือว่าเป็นสมาธิในการใช้งาน สมาธิในการใช้งานต้องรับรู้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นก็ใช้งานไม่ได้

เถรี
15-08-2015, 10:18
ถาม : การถอดจิตอยู่ในวิชชาใด ?
ตอบ : อยู่ในหมวดของอภิญญา จัดอยู่ในส่วนของมโนมยิทธิ เพียงแต่ว่าในส่วนของการถอดจิตนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า การรู้เห็นไม่ใช่การถอดจิต การรู้เห็นเป็นแค่ทิพจักขุญาณ การถอดจิตก็คือสมมติว่าเราเห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ นั่นเป็นแค่ทิพจักขุญาณ แต่ถ้าเราสามารถไปที่นั่นได้คือการถอดจิต ก็คือการยกกายในไป

ถาม : ในอภิธรรมไม่ได้มีกล่าวไว้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่ารอให้ท่านปฏิบัติมากกว่านี้หน่อยแล้วจะอธิบายให้ฟัง อาตมาเองระยะหลัง ๆ จะมีวิชาหนึ่งที่สอนพระนิสิต ก็คือธรรมะภาคปฏิบัติ เห็นจุดที่ผิดเยอะมากเลย ในเมื่อเห็นที่ผิดเยอะ ถึงเวลาก็ต้องบอกลูกศิษย์ว่าตำราเขาว่ามาอย่างนั้น พอถึงเวลาเขาออกข้อสอบมาก็ตอบตามตำราไป แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ ต้องอธิบายให้เขาฟังอีกแบบหนึ่ง

อย่างที่เรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาบอกว่ามี ๒ อย่างเท่านั้นที่เป็นวิปัสสนาญาณ ก็คือ รูป เปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดเจน เวทนาเป็นความทุกข์อย่างชัดเจน แล้วเขาก็บอกว่าตัวอื่นเป็นวิปัสสนาญาณไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ? สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงไหม ? เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์..ใช่ไหม ? ในเมื่อเป็นทุกข์แสดงว่าบังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นอนัตตา..ใช่ไหม ?

ส่วนใหญ่ท่านที่เขียนตำรา ท่านไปตีความเอาตามที่อ่าน ท่านไม่ได้ทำ ในเมื่อท่านไม่ได้ทำ ถึงเวลาอาตมาไปเจอที่ผิดเข้า ก็ต้องอธิบายให้ลูกศิษย์รู้ว่าเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ถ้าเขาถามมาคุณต้องตอบอย่างนั้น ถ้าตอบอย่างนี้ก็สอบตก เป็นอะไรที่เครียดมากเลย

ขนาดอาตมาดันเอามโนมยิทธิเข้าไปในธรรมะภาคปฏิบัติได้ แต่เขาก็ไม่ให้เขียน เขาไปเอาบรรดาอาจารย์จาก มจร.ของหน่วยอื่นมาช่วยกันเขียน แล้วออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ มีแต่ชื่อมโนมยิทธิ แต่ของจริงเกือบจะไม่ใช่เลย

เถรี
15-08-2015, 10:23
ถาม : ในพระไตรปิฎกบอกว่า มโนมยิทธิคือเนรมิตกายอื่นนอกจากกายนี้ ?
ตอบ : อันนั้นก็คือคำอธิบายที่แปลออกมาตรง ๆ แบบที่เราเรียกว่าถอดจิตนั่นแหละ ก็คือมโนมยิทธิ แปลตรง ๆ ตามรากศัพท์ จนมาถึงยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง สิ่งที่เราแปลตามรากศัพท์ความหมายอาจจะไม่ใช่

แบบเดียวกับในสังคหวัตถุ สมานัตตตาเขาแปลว่ามีความเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งอาตมายืนยันว่าแปลผิดมาตั้งแต่ต้น สมานัตตตาควรจะแปลว่าเสมอด้วยตนเอง ก็คือเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราไม่ชอบอย่างไรเราก็อย่าทำอย่างนั้นกับเขา เราชอบอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้นกับเขา คนถึงได้รักเรา เพราะว่าสังคหวัตถุคือสิ่งที่เราสงเคราะห์ จะเป็นเครื่องโยงให้เกิดความรักความสามัคคีกัน ถ้าชั่วเสมอต้นเสมอปลายแล้วใครจะไปรัก ?

ถาม : แต่มโนมยิทธิเต็มกำลังก็ถอดจิตนี่คะ ?
ตอบ : จะเต็มกำลังหรือครึ่งกำลังก็เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่คนที่ไม่เข้าใจก็ไปแยกอีกว่านี่เต็มกำลัง นี่ครึ่งกำลัง ถ้าไปได้ก็เหมือนกัน เพียงแต่มโนมยิทธิเต็มกำลังจะมีความคล่องตัวกว่า มีความชัดเจนกว่าเท่านั้น

เถรี
15-08-2015, 10:28
ถาม : อย่างพระจูฬปันถกะ เป็นเอตทัคคะด้านมโนมยิทธิ ?
ตอบ : ต้องยกให้ท่านคนหนึ่ง เพราะว่าท่านเป็นเอตทัคคะจริง ๆ ก็คือสามารถสร้างตัวตนอื่น ๆ อีกเป็นพันให้คนอื่นเขาเห็นพร้อม ๆ กัน แต่ละคนยังทำงานต่าง ๆ กันไปด้วย ถ้าอย่างนี้สบาย วัดวาอารามไม่รกหรอก ช่วยกันกวาดช่วยกันถู

ถาม : ที่ว่าเป็นมโนมยิทธิจริง ก็คือ เนรมิตกายอื่นนอกจากกายนี้ ?
ตอบ : นั่นแหละของแท้เลย ของพวกเรานี่ยังไม่แท้หรอก ของพวกเรานี้น่าจะเรียกว่ามโนมยิทธิไม่ถึงครึ่งกำลัง ถ้าเต็มกำลังจริง ๆ ต้องเป็นตัว ๆ อย่างนั้นเลย

ถาม : ต้องได้รูปฌานสี่ อรูปฌานสี่ หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ทราบว่าท่านได้อะไรบ้าง แต่ท่านทำได้

ถาม : ผลของมโนมยิทธิก็คือตัดร่างกาย ?
ตอบ : ผลที่เห็นชัดที่สุด ก็คือ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา จริง ๆ เป็นแค่เปลือกที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น สภาพจิตที่จะยึดติดร่างกายก็เลยมีน้อยลง ส่วนอีกอย่างก็คือ เมื่อรู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง เอากายในไปอยู่ที่นั่นเลย หมดเรื่องหมดราว ไม่ต้องเสียเวลาไปที่ไหนอีก

เถรี
15-08-2015, 10:49
ถาม : ทำไมจึงมีคำว่า สุญญตนิพพาน ?
ตอบ : อาตมาไม่ค่อยได้ศึกษาตำรา จึงไม่ค่อยเข้าใจ สุญตา คือสภาวะจิตที่ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากเข้าถึงสุญตาจริง ๆ คือการเข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง ถามว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหน ? อยู่กับคุณนั่นแหละ เพียงแต่คุณจะเข้าถึงไหม ?

เถรี
15-08-2015, 11:05
ถาม : เมตตากรรมฐาน ต้องได้ถึงฌาน ?
ตอบ : เมตตาโดยทั่ว ๆ ไปได้แค่อุปจารสมาธิ ถ้าจะให้ถึงฌาน เมื่อแผ่เมตตาแล้วต้องจับอานาปานสติต่อ

เถรี
15-08-2015, 11:23
ถาม : หุ่นพยนต์มีการสร้างขึ้นมา เป็นจริงไหมครับ ?
ตอบ : เขาทำกันมาทุกยุคทุกสมัย

ถาม : ท่านจะทำไหมครับ ?
ตอบ : เดี๋ยวรอดูก่อนว่ามีฤกษ์ไหม ? สำคัญตรงฤกษ์ อาตมาศึกษาตำรามาแล้ว ปรากฏว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพรท่านเคยลองสร้างดู แต่ไม่มีฤกษ์ตรงตำรา ท่านก็เลยเสกแค่กระดิกได้ แต่ว่าเป็นตัวไม่ได้

ถาม : เสกไว้ก่อน พอถึงฤกษ์แล้วค่อยปลุก ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ทีเดียวจบ ถึงเวลาก็ปลุกขึ้นมาใช้งาน

ถาม : ถ้าคนเสกตายไปแล้ว ?
ตอบ : เป็นการบังคับไว้ด้วยพลังจิต จะตายก็ตายไป ไม่เกี่ยวกัน

ถาม : แล้วหุ่นพยนต์ใครจะคุมคะ ?
ตอบ : ก็ถ้าเราคิดจะใช้ก็คุมเองสิวะ

ถาม : ถ้าคนคุมตาย ?
ตอบ : ให้ดูอย่างตามแหล่งสำคัญต่าง ๆ บางที ๔๐๐-๕๐๐ ปีแล้วก็ยังใช้งานได้อยู่ คนทำตายไปตั้งกี่ชาติแล้ว

ถาม : เขารับคำสั่งไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าเขาอธิษฐานสำทับไว้ด้วยกำลังของอภิญญา คนทำจะตายก็ตายไป ไม่ได้เกี่ยวกับเวลา

ถาม : ควายธนูไม่ต้องดูฤกษ์ยามไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องดูฤกษ์ยาม แต่ก็ใช้วัสดุเฉพาะเหมือนกัน

เถรี
15-08-2015, 14:18
พระอาจารย์ถามเจ้าหน้าที่ผลิตวัตถุมงคลว่า "บล็อกตะกรุดมหาสะท้อนยังอยู่ไหม ? จะได้ทำเนื้อทองคำสักชุดหนึ่ง เมื่อเช้าไปเขี่ย ๆ ดูในกระทู้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่ามีคนอยากได้เยอะ ทำเนื้อทองคำสัก ๓๐๐ ดอกก็พอ"

เถรี
15-08-2015, 14:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อคืนอาตมาท้องเสีย ตื่นมาถ่ายตั้งแต่ตีหนึ่ง รู้สึกว่ายังปวดท้องจะถ่ายอีก ก็เลยนอนไม่ได้ ต้องมานั่งตรวจดูกระทู้จองวัตถุมงคลเก่า ๆ จัดการ "แบน" ไป ๓๐ กว่ารายชื่อ ประเภทไม่ยอมมาแก้ไขที่ผิด เพราะเห็นว่าชื่อตัวเองขึ้นบัญชีแล้ว ส่วนใหญ่แล้วก็คือพิมพ์ผิดบ้าง ใช้เลขอารบิกบ้าง แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ยอมมาแก้ ทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่เขาแจกใบแดงไปแล้ว

บางคนก็โดนแบบไม่น่าโดน คือแทนที่จะไปแก้ข้อความเก่าดันมาพิมพ์ใหม่เลย ฉะนั้น..ถ้าอยู่ ๆ รายชื่อหายไปแล้วมีใครถามมา ให้บอกว่าไปหาชื่อใหม่มาสมัครเลยนะ เพราะว่าแบนรายชื่อไปแล้ว คาดว่าคงกลับไปใช้ใหม่ไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ก็เขียนเอาไว้ว่า ถ้าหากไม่มาแก้ไขจะต้องจำไปตลอดชีวิต แล้วก็ลงเอาไว้ตั้ง ๒-๓ กระทู้ให้ดูเป็นตัวอย่าง แสดงว่าเขาอยากจำไปตลอดชีวิต"

ถาม : แล้วตะกรุดมหาสะท้อนที่เหลือ ?
ตอบ : เหลือเอาคืนมา เดี๋ยวจะขึ้นเป็นดอกละหมื่น…! เรื่องตะกรุดทองคำต้องมีคนไปบนพระหรือว่าไปบ่นกับพระแน่เลย ไม่รู้ว่าบนหรือบ่น

ส่วนรายชื่อที่โดนแบน ถ้ามีใครเขาสอบถามมาให้มัคคนายกตอบไปนะว่า ที่โดนแบนไปเพราะอาจารย์ขี้แตกก็เลยหงุดหงิด..! โดนไป ๓๐ กว่าราย ไม่นึกเลยว่าจะมักง่ายกันขนาดนั้น พยายามจะสอนให้ทำอะไรละเอียดขึ้น สภาพจิตจะได้ละเอียดขึ้น ที่ไหนได้..ประเภทลงกระทู้แล้วทิ้งเลย ขนาดแจกใบแดงยังไม่กลับมาแก้ เพราะว่ากระทู้ของทิดซัน (ลูกเจ้าคุณนรฯ) เขาเมตตามาก คนจองก็ลงให้ เห็นมีชื่อในบัญชีแล้วก็เลยไม่มาแก้

เถรี
15-08-2015, 14:26
พระอาจารย์กล่าวว่า “การได้ทำอะไรที่ชอบแล้วจะมีความสุข โดยเฉพาะถ้าเป็นงานที่เราชอบแล้วจะมีความสุขมากเลย บางคนก็สงสัยว่าคนโน้นเขาทำงานหนักมาก แต่ทำไมดูเขามีความสุขจัง เพราะเขาได้ทำในสิ่งที่เขารักนั่นเอง”

เถรี
15-08-2015, 14:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระครูหน่อยท่านจัดงานวันที่ ๑๒ สิงหาคม ตอนเย็น จัดงานอย่างกับว่าพระอาจารย์ยังไม่แก่ ท่านบอกว่า “เดี๋ยวเสร็จงานแล้วหลวงพ่อรีบวิ่งไปงานผมเลยนะครับ” กลัวอยู่อย่างเดียวว่าเสร็จงานก็หมอบกระแตไปแล้วนะสิ"

เถรี
15-08-2015, 14:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานเลิกกรรมฐาน พวกเรากลับกันหมดแล้วมีโยมมาคณะหนึ่ง บอกว่าเกิดอุบัติเหตุเลยมาช้า อาตมาก็ว่าทำไมตูขึ้นไปแล้วถึงต้องลงมาใหม่ ต้องมานั่งรับพวกเขานี่เอง แต่ก็โชคดีว่าทั้งครอบครัว ๕ คนไม่มีใครเป็นอะไร คาดว่ารถก็คงมีประกันซ่อมให้"

เถรี
15-08-2015, 14:45
ถาม : นิมิตกสิณที่เป็นกสิณไฟ จะปรากฏเฉพาะตรงหน้าคนทำหรือเปล่า ?
ตอบ : ปฏิภาคนิมิตสามารถปรากฏให้คนอื่นเห็นได้ สามารถใช้งานจริงได้ แต่ถ้าอุคหนิมิตยังเห็นอยู่คนเดียว

เถรี
15-08-2015, 14:55
ถาม : ถ้าเราออกจากบ้าน ขอให้ภุมมเทวดาดูแลปกปักรักษาเรา ควรจะบอกอย่างไร ?
ตอบ : บอกแบบเด็กขอให้ผู้ใหญ่ช่วย

ถาม : ต้องกำกับด้วยคาถาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยใช้ จะใช้คาถาหลวงพ่อโอภาสีก็ได้ "อิติ สุคโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง"

เถรี
15-08-2015, 14:59
ถาม : เทวดาชั้นสาม จะขึ้นไปชั้นพรหมได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าได้รับอนุญาตก็ไปได้ แต่อยู่ไม่ได้

ถาม : แล้วที่เป็นรูปพรหม จะไปอยู่ชั้นอรูปพรหมได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้สร้างเหตุมาอย่างนั้น

เถรี
15-08-2015, 15:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาทำอาคารต้อนรับพระเถระเสร็จไม่ทัน เพราะว่าในส่วนของห้องน้ำต้องมาต่อเพิ่มทีหลัง แล้วช่างเขาก็ติดงานอยู่ เขาเพิ่งจะปูพื้นชั้น ๒ ของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายเสร็จ แล้วก็ติดม่านให้ ม่านที่ติดไปก็ยังไม่เรียบร้อย ต้องให้เขาถอดออกก่อน ๓ ชุด ช่วงที่ถอดออกก็คือจุดที่จะตั้งมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ เนื่องจากว่าพอประกอบแล้วยังต้องมีการขัดแต่งอีก ถ้าติดม่านเอาไว้แล้วต้องอมฝุ่นแน่ ๆ

อาตมากำลังจะจ่ายเงินงวดที่ ๔ ของการสร้างมณฑปให้เขาอยู่ เพราะว่างานงวดที่ ๓ ยังไม่เรียบร้อย แต่ว่างวดที่ ๔ เรียบร้อยแล้ว งวดที่ ๔ เป็นรายละเอียด ช่างแกะลายแกะเร็วกว่า แต่ว่าช่างที่ประกอบชิ้นส่วนใหญ่ทำไม่ทัน พอเขาขอเบิกงวดที่ ๔ มา ก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ เบิกงานงวดที่ ๓ ไปก่อน แล้วพองานงวดที่ ๓ เสร็จแล้วค่อยเบิกงานงวดที่ ๔ เพราะถ้าว่ากันตามสัญญาก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเบิกเลย เนื่องจากงานไม่เสร็จตามงวด แต่ก็เห็นใจว่าเขาทำงานได้มากแล้ว

อาตมาสั่งช่างให้เขาทำเรือนไทยในศาลา ๑๐๐ ปีฯ อีกหลังหนึ่ง จะเอาไว้ตั้งสังขารหลวงปู่สาย ก็เท่ากับว่าเป็นเรือนไทยที่มีแต่พื้น ไม่มีเสา ก็คือแปะกับพื้นเลย ยกสูงขึ้นมาสัก ๖ นิ้ว เอาไว้ตั้งโลงแก้วกับโต๊ะหมู่บูชา

เมื่อวันเข้าพรรษาที่ไปเปลี่ยนผ้าครองให้หลวงปู่สาย พระท่านยกของย้ายของกันครื้นเครง อาตมาต้องเตือนท่านให้ระวังพัดยศของหลวงปู่สาย พัดยศทั้ง ๒ ด้ามนั้น เป็นด้ามงาทั้งคู่ สมัยหลวงปู่เป็นพระครูยังได้ด้ามงาเลย สมัยของอาตมา ขนาดเจ้าคุณยังไม่ได้ด้ามงาเลย"

เถรี
15-08-2015, 15:22
ถาม : เวลาเรามีปัญหา อยู่ดี ๆ เราก็แวบขึ้นมา อย่างนี้เป็นอาการลักษณะของปัญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องถามว่าแวบเรื่องอะไร ?

ถาม : แวบเป็นวิธีการ ?
ตอบ : ลักษณะนั้น แสดงว่าพอหยุดคิดแล้วใจสงบ ในเมื่อใจสงบปัญญาจึงเกิด เป็นลักษณะของจินตามยปัญญา ยังไม่ถึงภาวนามยปัญญา เพราะภาวนามยปัญญา เป็นการเห็นทางพ้นทุกข์

ถาม : ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา ก็จะแวบขึ้นมา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องหยุดคิดบ่อย ๆ ถ้าใจเราไม่ปรุง สภาพจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน การรู้เห็นก็จะชัดขึ้น

ถาม : บางอย่างก็ใช้ได้ บางอย่างก็ใช้ไม่ได้ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าได้อย่างใจทุกอย่างแล้วเราจะทุกข์หรือ ?

เถรี
15-08-2015, 15:24
ถาม : ถ้าเป็นวิบากกรรมก็คงไม่ปรากฏนิมิตแน่ ๆ ?
ตอบ : รับ ๆ ไปเถอะ อาตมาบวชมา ๓๐ ปี เพิ่งจะทำฝาบาตรหล่นวันก่อนนี้เอง หล่นอย่างไรก็ไม่รู้ด้วย เหมือนกับตอนช่วงวิบากเข้ามา เพราะสติไม่มี อยู่ ๆ มารู้ตัวตอนฝาบาตรหล่นลงไปแล้ว ทุกครั้งที่เกิดเหตุขึ้น จะเป็นอุบัติเหตุหรือจะเป็นอะไรก็ตาม จะเกิดในลักษณะอย่างนี้ คืออยู่ ๆ สติจะขาดหายไปเฉย ๆ นี่แค่ฝาบาตรหล่น ยังโชคดีว่าฝาบาตรมีด้ายถัก พลิกแล้วก็หล่นครอบลงไปก็เลยไม่ดัง

ปกติเวลาญาติโยมเขาใส่ข้าว อาตมาก็จะเปิดบาตรให้เขาใส่ แต่พอใส่กับข้าว ใส่พวกดอกไม้ อาตมาก็จะพลิกฝาบาตรรับไว้ แล้วก็ส่งต่อให้ลูกศิษย์เขารับไปใส่กระป๋อง รู้ตัวว่าพลิกฝาบาตรรับของเขา แล้วมารู้ตัวอีกทีตอนฝาบาตรหล่นลงไปอยู่กับพื้นแล้ว ประมาณ ๒-๓ วินาทีนั้นสติหายไปไหน ? ในช่วงวาระกรรมเข้า เป็นไปได้ขนาดนั้น อาตมาสังเกตมาหลายทีแล้ว บางทีอยู่ดี ๆ มารู้ตัวตอนล้มตึงลงไปแล้ว

ปกติเรื่องฝาบาตรอาตมาจะระมัดระวังมาก พูดง่าย ๆ ว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำฝาบาตรหล่น ดันมาหล่นเอาตอนนี้เอง มาหล่นตอนเป็นมหาเถระด้วย ถึงเวลาวิบากเข้านี้สามารถตัดเราได้ขนาดนั้น สังเกตดูตอนที่เกิดอุบัติเหตุก็ลักษณะอย่างนี้ เหมือนกับว่าสติหายไปวูบหนึ่ง แล้วเขาก็เอาเราตีลังกาจนได้

ไปนึกถึงที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านเสด็จไปออสเตรเลีย ทางด้านภรรยาผู้ว่าฯ น่าจะลักษณะแบบผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ของเรา ก็เอาช่อดอกไม้มาต้อนรับ พระองค์ท่านรับช่อดอกไม้ ดึงแล้วดึงอีก ดึงเขาเข้ามาด้วย เพราะว่าภรรยาลอร์ดแมร์เขาผูกเนคไทอยู่ พระองค์ท่านไปรวบเอาเนคไทเขามากับช่อดอกไม้ด้วย เลยยื้อแย่งกันใหญ่

เถรี
16-08-2015, 07:00
ถาม : ในวิปัสสนาญาณ ที่บอกว่าเห็นรูปนามโดยความเป็นโทษ เห็นรูปนามโดยความเป็นภัย ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : อันแรกก็คือสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับหิวกระหาย ร้อนหนาว เจ็บไข้ได้ป่วย มีแต่โทษไม่มีประโยชน์ ส่วนที่เป็นภัยก็คือ ทุกข์ภัยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวัฏสงสารนี้ เป็นเพราะรูปนามนี้นำมาให้ ไม่ว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แม้กระทั่งภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากคน จากสัตว์ จากโรคภัยไข้เจ็บ จากดินฟ้าอากาศ ล้วนแต่มีสาเหตุมาจากรูปนามนี้

ถาม : เป็นความรู้สึก หรือเป็นนิมิต ?
ตอบ : ถ้าปัญญามองเห็นจะเห็นแจ้งตลอดไปเลย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นโทษ สิ่งเหล่านี้เป็นภัย สิ่งเหล่านี้เป็นของน่ากลัว สิ่งเหล่านี้ไม่ควรที่จะอยู่ด้วย ควรที่จะหลีกหนีไปให้พ้น

ถาม : ในญาณ ๑๖ มีบางอย่างที่กล่าวถึงแล้วผมไปดูในตำรานามรูปไม่มีกล่าว ?
ตอบ : เอาแค่วิปัสสนาญาณ ๙ ก็พอ เพราะถึงสังขารุเปกขาญาณจริง ๆ ก็จบแล้ว แต่คราวนี้เขาไปอธิบายเพิ่มเติมไปถึงมรรคญาณ ผลญาณ อะไรให้ยุ่งไปหมด

ถาม : นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ?
ตอบ : แค่เรารู้เห็นว่ารูปนามนี้ไม่ใช่ของเรา ก็เป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว

เถรี
16-08-2015, 07:00
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า วิปัสสนาญาณ ๙ ท่านสนใจแค่นิพพิทาญาณกับสังขารุเปกขาญาณเท่านั้น อย่างอื่นตามดูตามรู้ไป ก็จะมาลง ๒ อย่างนี้ ก็คือพอเห็นการเกิดดับ เห็นการดับ เห็นเป็นโทษ เห็นเป็นภัย เห็นเป็นของน่ากลัว ก็เบื่อ พอเบื่อก็จัดเป็นนิพพิทาญาณ ก้าวข้ามความเบื่อได้ก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ ในเมื่อปล่อยวางหมดกระทั่งร่างกายนี้ยังไม่ใช่ของเราแล้ว แล้วจะเหลืออะไร ? จบแล้ว ท่านถึงได้บอกว่าอาจารย์บางท่านอธิบายมากจนเฝือ

ถาม : สังขารุเปกขาญาณ กำลังต้องเป็นปฐมฌานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป ถึงจะวางได้สักระดับหนึ่ง

เถรี
16-08-2015, 07:02
ถาม : ที่จริงแล้ว ถ้าไม่นับอริยบุคคลที่มีปัญญาเข้าถึงแล้ว คนทั่วไปต้องฝึกให้คล่องการเข้าออกฌานสลับกับวิปัสสนาให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเกิดปัญญาเห็นทุกข์ขนาดตัดร่างกายไปพระนิพพานได้ทันตอนตายเลย ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จะบอกว่าไปไม่ได้ก็ไม่ใช่ เพราะว่าบางทีเราก็ไปเห็นเอาช่วงสุดท้าย ร่างกายป่วยจะแย่อยู่แล้ว เห็นทุกข์เห็นโทษทุกอย่าง เราไม่เอาอีกแล้ว ก็ไปเอาวินาทีสุดท้ายเหมือนกัน เพียงแต่ว่าช่วงที่เราร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ก็พยายามทำให้เต็มที่ของเราไป ไม่อย่างนั้นแล้วจะทรมานนานมาก ที่ทรมานนานมากเพราะเราตั้งใจจะหลุดพ้น ในเมื่อยังไม่หลุดพ้นก็ทนไปเถอะ

เป็นลักษณะของมโนสัญเจตนา ก็คือความมุ่งมั่นของใจ เมื่อใจมุ่งมั่นที่จะไปพระนิพพาน คราวนี้การตัด การละ ของตัวเองยังไม่ถึง ก็ต้องทนทรมานไปเรื่อย ก็ใจมุ่งที่จะไปอยู่นั่นแหละ ในเมื่องานยังไม่หมดก็ไปไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่า ทำไมบางคนตั้งใจปฏิบัติธรรมแล้ว ถึงมีสารพัดเรื่องเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เห็นโทษแล้วจะได้หมดอยาก จะได้ปล่อยได้วางได้ หลายคนเลิกปฏิบัติไปเลย เพราะคิดว่าพอหันมาปฏิบัติธรรมแล้วถึงเป็นอย่างนี้

เถรี
16-08-2015, 07:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือบางอย่างก็ว่ามั่วไปหมด ไปเอาสารพัดกรรมมาอธิบาย แต่ไม่มีคำอธิบายในลักษณะของพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา อย่างเช่น บอกว่าการเป็นเมียน้อยเมียเก็บ เพราะเคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน เคยอธิษฐานร่วมใจว่า กี่ภพกี่ชาติก็ขอให้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน การลบกรรมต้องถวายทองคู่ ธูปคู่ เทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดอย่างหนึ่ง อธิษฐานขอชีวิตที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ปีละครั้ง เขาว่าเองทั้งนั้นเลย

แต่อย่างน้อยที่เขาว่ามาก็เป็นการทำความดี เพียงแต่ว่าถ้าเราไปยึดว่าสิ่งที่เขาว่ามานั้นใช่เลย ก็เจ๊งอีกเหมือนกัน"

เถรี
16-08-2015, 07:06
ถาม : เห็นความวุ่นวายทั้งหลายในโลกนี้ว่าเกิดขึ้นเพราะสมมติ เช่น คำพูด เวลามีสงครามกันหรือทะเลาะกัน ก็มาจากเรื่องสมมตินี้เท่านั้น มีความรู้สึกว่าวุ่นวายมากค่ะ ?
ตอบ : เป็นพวกเดียวกับพระยสะ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ

ถาม : ได้ฟังคำสอนที่ว่า อย่าตัดสินใครว่าดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด เพราะเราสมมติขึ้นมาเอง การไปตัดสินก็มีแต่จะทำให้เกิดข้อขัดแย้ง ก่อปฏิฆะขึ้น ซึ่งพาลงนรกได้ พอคิดได้อย่างนี้ก็ไม่ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น ?
ตอบ : อาตมาเคยบอกหลายครั้งแล้ว แต่พวกเราฟังแล้วก็ผ่านเลยไป ก็คือ ให้ตั้งใจอยู่เสมอว่า อย่าให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเลย

ถาม : บางทีเหตุอันนี้เกิดจากสิ่งที่เราคิดว่านี่เป็นเจตนาดี เราทำอย่างนี้ถูกแล้ว แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะเขาไม่ได้คิดแบบเรา ?
ตอบ : ถูกอีกแล้ว แต่เสียท่าไปแล้ว คราวนี้เห็นหรือยังว่าการยึดติดน่ากลัวแค่ไหน ?

เถรี
16-08-2015, 07:07
ถาม : ระหว่างการพูดคุยสนทนากัน สภาวธรรมที่เกิดขึ้นนั้นเกิดต่ออย่างไร ?
ตอบ : พูดจบแล้วก็เลยไปแล้ว ถ้าเราเข้าถึงได้จริง ๆ ก็จะเป็นของเรา ถ้าเข้าถึงไม่ได้จริง ๆ ก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป พูดง่าย ๆ ว่าแม้แต่ความจำของเราก็อาจจะไม่เหลือไว้

ถาม : ขณะที่พูดคำนี้ออกไป มีอะไรที่สืบต่อออกไป ?
ตอบ : ต้องบอกว่าใจของเราบันทึกไว้เอง เพียงแต่ว่าบางทีบันทึกไว้โดยที่ตัวเราเองก็ไม่ได้เจตนา หรือว่าบางทีไม่ได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป

ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับสมอง ?
ตอบ : ถ้าเกี่ยวกับที่สมองก็ดี ถ้าความจำเสื่อมจะได้เลิกแล้วต่อกัน

เถรี
16-08-2015, 07:08
ถาม : ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ จะเอาไปปฏิบัติหมวดไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : หมวดใดหมวดหนึ่งก็พอแล้ว

ถาม : ไม่จำเป็นต้องขึ้นด้วยสติปัฏฐาน ๔ ?
ตอบ : ถ้าทำหมวดหนึ่งที่เหลือก็จะตามมาเอง

ถาม : แสดงว่าเกี่ยวเนื่องกัน ?
ตอบ : เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด

เถรี
16-08-2015, 07:09
ถาม : ลางสังหรณ์ เป็นทิพจักขุญาณหรือครับ ?
ตอบ : เป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน คือคนเคยได้ทิพจักขุญาณมาในอดีต ชาตินี้ไม่ได้รับการฟื้นฟู แต่ว่ายังพอมีพื้นฐานเดิมอยู่ ถึงเวลาก็เกิดลางสังหรณ์ คือรู้ล่วงหน้าได้บ้างแม้จะไม่ชัดเจนนัก

เถรี
16-08-2015, 07:10
ถาม : พระโสดาบัน ท่านเห็นพระนิพพานได้ทุกครั้งหรือครับ ?
ตอบ : การเห็น..เราต้องแยกให้ออกนะ เห็นเฉย ๆ ส่วนประเภทได้เลยเป็นคนละเรื่องกัน "มรรค" คือลักษณะของการเห็นหรือการไป ต้องเป็น "ผล" ถึงจะเป็นของเรา

เถรี
16-08-2015, 10:29
ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อน หากมีคนสละสิทธิ์หนูขอบูชาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้...ที่เหลือจะเอาไว้ขึ้นราคา..! ถ้าอยากได้ต้องรีบจองตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องของการจองวัตถุมงคลเห็นชัดถึงบารมีของคนจอง ประเภทบารมีน้อยก็จะลังเล ตัดสินใจไม่ได้สักที การปฏิบัติธรรมก็เป็นแบบเดียวกัน

เถรี
16-08-2015, 11:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "เศรษฐกิจไม่ดี ให้ทุกคนภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานไปเลย กำหนดไว้สักครั้งละชั่วโมงก็ได้ ไม่ต้องนับจบ ให้นับเวลาแทน สมาธิลึกก็อาจจะได้สักจบหนึ่ง สมาธิตื้นชั่วโมงหนึ่งก็อาจจะได้เป็นร้อยจบ อาตมาเคยภาวนาตอน ๐๒.๕๕ น. ได้ ๑ จบ ๖ โมงเช้าพอดีเลย คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน สมาธิเผลอลึกไปหน่อย สมาธิลึกมากเวลาก็ผ่านไปไม่รู้ตัว

ดังนั้น เราจะเห็นว่าเวลาของเทวดาหรือพรหมชั้นยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไรก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่น เวลาของชั้นจาตุมหาราช ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ ถ้าชั้นดาวดึงส์ ๑ วันก็ ๑๐๐ ปี ไล่ไป ๒๐๐ ปี ๔๐๐ ปี ๘๐๐ ปี ถ้าไปอรูปพรหมก็ลืมโลกไปเลย ๒๐,๐๐๐ มหากัป ๔๐,๐๐๐ มหากัป เป็นต้น

กติกาของพระโพธิสัตว์คือผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จึงมีอยู่อย่างหนึ่งว่า จะไม่เกิดเป็นอรูปพรหม เพราะว่าเวลายาวนานเกินไป เสียเวลาในการสร้างบารมี ไม่ลงโลกันตนรก เพราะว่าเวลายาวนานหาจำกัดไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าลงอเวจีบ่อย ๆ เดี๋ยวก็นานเท่าโลกันต์ไปเอง..! ถ้าเกิดเป็นคนหรือสัตว์มีอัตภาพไม่เล็กกว่านกกระจาบ และไม่ใหญ่กว่าช้าง ไมโซซอรัสจึงเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ดูมาหรือยัง ? อยู่ในจูราสสิกเวิลด์..!"

เถรี
16-08-2015, 14:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่อย่างหนึ่งยังพิสูจน์ของโบราณเขาไม่ได้ เขาบอกว่า เด็กผู้หญิงที่คลอดออกมาแล้วคว่ำหน้าจะเป็นหมัน อาตมายังไม่เคยเจอ เพราะว่าถึงผู้ใหญ่เจอเขาก็ไม่บอกหรอก ก็เลยยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นหมันจริงหรือเปล่า เอาไว้ถ้าใครถ้าคลอดธรรมชาติ แล้วมีลูกผู้หญิงนอนคว่ำออกมาก็บอกด้วยนะ จะขอพิสูจน์หน่อยว่าเป็นหมันจริงหรือเปล่า ?"

เถรี
16-08-2015, 20:08
ถาม : ได้เรี่ยไรเงินเพื่อร่วมสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่อินเดีย แต่ว่าเงินบางส่วนได้มาตอนที่เขาปิดโครงการไปแล้ว เราจะเอาไปร่วมสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่อื่นแทนได้ไหมคะ ?
ตอบ : ส่งไปให้เขา เพราะว่าต่อให้เขาสร้างเสร็จแล้วก็ตาม แต่ว่าเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือหรือบุคลากรก็ยังต้องใช้เงินอีก อย่าไปย้ายศรัทธาเขาเลย

เถรี
16-08-2015, 20:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งคลองตะเคียน เป็นพระกริ่งที่ประหลาดที่สุด เคยมีคนพยายามแกะออกมา จะดูว่าเม็ดกริ่งทำด้วยอะไร แล้วหาไม่เจอสักองค์ เขาสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะครูบาอาจารย์ที่สร้างท่านอธิษฐานวาโยธาตุใส่เข้าไป พอเขย่าก็จะดังกรุก ๆ แต่พอแกะออกมากลับไม่มีอะไร

พระกริ่งคลองตะเคียนไปอยู่กับพวกอิสลามเสียมากเลย เพราะพวกอิสลามแถวคลองตะเคียนจะเข้าวัดกษัตราธิราชของหลวงปู่เทียมเป็นประจำ หลวงปู่เทียมสร้างตะกรุด พวกอิสลามพกได้ เพราะเขาไม่เอารูปพระ จึงพกตะกรุดของหลวงปู่เทียมแทน

พวกอิสลามแถวคลองตะเคียนช่วยราชการไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เทคนิคการก่อสร้างต่าง ๆ มาจากช่างอิสลามก่อน ที่สร้างสะพานมีฐานเป็นวงกลม ๆ ก็ดี ลักษณะโค้ง ๆ ตามขอบหน้าต่างก็ดี ฝีมือช่างอิสลามพวกนี้ทั้งนั้น"

เถรี
16-08-2015, 20:26
"ตอนหลังเชื้อสายตระกูลบุนนาครับราชการเป็นใหญ่เป็นโต เป็นสมเด็จเจ้าพระยาถึง ๒ – ๓ องค์ พูดง่าย ๆ ว่าตระกูลนี้ถ้าจะยึดอำนาจก็เป็นกษัตริย์ไปนานแล้ว แต่ติดตรงที่ว่าได้ให้สัจจะไว้ ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาไว้ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ มีอำนาจอยู่ในมือแท้ ๆ ใหญ่ถึงขนาดในสมัยราชการที่ ๕ ได้เป็นผู้สำเร็จราชการ ที่เขาเรียกสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย เป็นถึงระดับสมเด็จเจ้าพระยาทั้งพี่ทั้งน้อง

สำหรับยศที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาถือว่าใหญ่สุดแล้ว รองลงมาก็เป็น เจ้าพระยา พระยา พระ หลวงขุน หมื่น พัน"

ถาม : จมื่นเทียบเท่าอะไรคะ ?
ตอบ : จมื่นจริง ๆ เท่ากับคุณพระ แต่ว่าบางท่านอย่างจมื่นไวยวรนาถ ได้รับการโปรดปรานเป็นพิเศษ พระราชทานพานทองให้ ยศจึงเท่าเจ้าคุณเลย เทียบเท่าพระยาที่เขาเรียกพระยาพานทอง ไปไหนต้องนั่งคานหามไป ห้ามเท้าแตะพื้น

เถรี
16-08-2015, 20:46
ยศช้าง ขุนนางพระ ตั้งยศให้ช้าง ช้างก็ยังกินอ้อยกินหญ้าอยู่เหมือนเดิม ตั้งยศให้พระ ถ้าท่านรู้ตัวว่าเป็นพระ ท่านก็ยังเป็นหลวงปู่หลวงพ่อเหมือนเดิม ถ้าท่านไม่รู้ตัวว่าเป็นพระ กูเป็นพระครู กูเป็นเจ้าคุณ ก็ปล่อยท่านไปเถอะ เพียงแต่ว่าได้ยศมาแล้วต้องใช้ ยิ่งเป็นสัญญาบัตรแล้ว ถ้าทำเป็นสมถะยอมไม่ใช้ ระวังจะซวย ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ..!

เรื่องยศนี่ต้องดูหลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง ท่านเป็นพระครูสันติวรญาน ทิ้งตำแหน่งไปอยู่ป่าอยู่ถ้ำ จนกระทั่งได้รับพระราชทานตั้งเป็นเจ้าคุณพระญานสิทธาจารย์ ท่านรับพัดเสร็จ รุ่งขึ้นท่านก็มรณภาพเลย คราวนี้หนีไกล ใครก็ตามไม่ได้ ท่านจะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เลยใช้วิธีหนีไปพระนิพพาน หมดเรื่องไปเลย ๑๒ สิงหาคมไปรับพัด ๑๓ สิงหาคมก็มรณภาพ ไปดีกว่า ขืนอยู่เดี๋ยวท่านให้เยอะกว่านี้

เถรี
17-08-2015, 12:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบไหม ? สมัยก่อนพระแถวภาคกลาง ไม่ใช่เฉพาะอยุธยานะ ก่อนออกธุดงค์ต้องไปขึ้นครูกับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ แม้กระทั่งหลวงพ่อฤๅษีของเราก็ไปขึ้นครูธุดงค์ที่นั่น"

เถรี
17-08-2015, 12:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ของบางชิ้นในเว็บถ้าเก็บกลับมา อาตมาก็พกติดตัวต่อ เพราะคนไม่รู้จัก คิดว่าทำไมแพงจัง ? ไม่รู้จักก็เรื่องของเขา หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด ๔-๕ องค์ ออกเกลี้ยงไปแล้ว

หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ๓ เสืออยุธยา มีหลวงปู่จงไม่เอายศตำแหน่งกับใคร ไปเรื่อย ไปนึกถึงสมัยโน้น หลวงปู่ปานรับพัดพระครู ชื่อเสียงกิตติคุณของท่านดังคับประเทศ สมัยนี้เป็นเจ้าคุณเทพ เจ้าคุณธรรม ยังดังน้อยกว่าหลวงปู่ปานตั้งเยอะ แสดงว่าพระครูสมัยก่อนราคาสูงมาก

วันก่อนไปเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สาย พระท่านก็ช่วยกันยกอัฐบริขารออกมาก่อน อาตมาต้องเตือนให้ระวัง เพราะพัดยศของหลวงปู่ทั้ง ๒ เล่มเป็นด้ามงาทั้งคู่ นั่นพัดพระครูนะ พระครูสมัยก่อนราคาแพงมาก เป็นด้ามงา สมัยนี้ขนาดเจ้าคุณยังแค่ด้ามพลาสติก"

เถรี
17-08-2015, 15:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระนิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน พระนิพพานเป็นภาษาใจ ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย คนเราจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนหนึ่งจะทำให้อีกคนหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่ แปลว่าอยากจะไปพระนิพพานต้องลงทุนลงแรงทำเอง ถ้าติดขัดตรงไหนมาถามก็แล้วกัน"

เถรี
17-08-2015, 15:55
ถาม : หนูขายพวกเสื้อผ้า เครื่องสำอาง จะเป็นการทำงานยั่วกิเลสเหมือนดารานักร้องไหมคะ ?
ตอบ : ขายไปเถอะ..เราไม่ได้บังคับให้เขาแต่ง เขาเอาเงินมาซื้อเอง ในเมื่อมาซื้อเองก็กรรมของเขาเอง ของตั้งอยู่เฉย ๆ ไม่ยั่วกิเลสใคร ยกเว้นว่าเขาแต่งแล้วไปยั่วกิเลสเสียเอง

ถาม : เวลาขายเราก็แนะนำว่าเครื่องสำอางนี้ดีอย่างนี้ ๆ ?
ตอบ : ถ้ากังวลมากก็ไปขายอย่างอื่นแทน เวลาที่เรารักษาศีลปฏิบัติธรรมมีตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่ใช่ว่าเราจะนั่งขายอยู่ทั้งวันทั้งคืนเมื่อไร เรียกว่ากังวลจนเกินเหตุ อะไรที่พอปล่อยได้ก็ปล่อย พอวางได้ก็วาง ไม่ใช่แบกไว้ทุกเรื่อง มารหลอกให้เราคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย เรื่องความสงบของใจจริง ๆ ก็เลยไม่มี อยากจะขายอะไรก็ขายไป ถึงเวลาเลิกขายก็มานั่งภาวนาจะไปพระนิพพานของเรา

เถรี
17-08-2015, 18:49
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่กำลังจะเปิดกิจการใหม่เพิ่มว่า “อย่าเปิดศึกหลายด้าน เปิดศึกหลายด้านจะบริหารให้ดีก็เหนื่อยมาก ถึงได้เตือนว่า ถ้าเราทำงานเก็บเงิน ได้เงินมาเยอะ ๆ แล้วสุขภาพชำรุดก็ต้องเอาเงินเก็บนั่นแหละไปรักษาตัว แล้วจะคุ้มหรือ ? เงินเป็นของดี แต่ค่อนข้างจะทะเยอทะยาน เพราะฉะนั้น..ต้องให้เงินเป็นผู้ตาม อย่าให้เงินเป็นผู้นำ

มีบริษัทหนึ่งที่ผลิตน้ำผลไม้สกัดรวม เคยกินกันหรือยัง ? ที่เขาว่าอย่างโน้นดีอย่างนี้ดีแล้วก็เอาหลาย ๆ อย่างมาสกัดรวมกัน ระวัง..บางคนกินเข้าไปคันปางตายเลย สำหรับบางคน พอหลายอย่างลงไปแล้วหักล้างกันก็มี หนุนเสริมกันก็มี ก็จะทำอันตรายกับคนกิน แต่คนทำไม่รู้ รู้อยู่อย่างเดียวว่ามีประโยชน์

การแพทย์โบราณเขาศึกษาลึกซึ้งกว่า ไม่ว่าจะเป็นอายุรเวชโบราณแบบของอินเดีย แพทย์แผนโบราณแบบจีนหรือแพทย์แผนโบราณแบบไทย ในเมื่อเขาศึกษาลึกซึ้งกว่า เขารู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร การจัดยาให้คนไข้จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ไม่ใช่ว่าอะไรดีก็ตั้งหน้าตั้งตาให้กินเข้าไป พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ไม่ผิดหรอก ต้องมัชฌิมาปฏิปทา พอดี ๆ เป็นทางสายกลางจึงจะก่อประโยชน์ มากเกินไปก็เป็นโทษ น้อยเกินไปก็ไม่พอที่จะเข้าถึงประโยชน์นั้น

ถ้าใครอยากรู้ว่า เวลาพวกธาตุอาหารต่าง ๆ หักล้างหรือว่าหนุนเสริมกันว่าเป็นอย่างไร ก็ลองไปกินหอมหัวใหญ่กับน้ำผึ้ง หรือไม่ก็ลูกพลับกับปูทะเล แล้วจะรู้รสชาติของชีวิต รับรองว่าหามส่งโรงพยาบาลแน่นอน ที่บางคนบอกว่าอาหารเป็นพิษ เรารู้จักแต่กิน ไม่รู้ว่าอย่างไหนหนุนเสริมกัน อย่างไหนหักล้างกัน คราวนี้ถ้าเข้าไปหักล้างกันก็เอาร่างกายเราเป็นสนามรบ กว่าจะรบกันเสร็จเราก็เละ..!”

เถรี
17-08-2015, 19:04
ถาม : เขาบอกว่าแหวนจักรพรรดิให้ใส่นิ้วชี้ข้างขวา ?
ตอบ : จะใส่นิ้วไหนก็ได้ คราวนี้มีคนประเภทที่คิดว่าพระเจ้าจักรพรรดิต้องบัญชาคนก็เลยใส่นิ้วชี้ กะว่าจะชี้สั่งอย่างเดียว ขอบอกว่าใครสั่งอย่างเดียวแล้วไม่ลงไปดูด้วยนี่งานเละทุกราย..!

ถาม : หนูใช้คู่กับคาถาเงินล้าน ?
ตอบ : เรื่องของคาถามีอานิสงส์อยู่แล้ว ขอให้ทำจริง ๆ เท่านั้น

เถรี
19-08-2015, 10:27
ถาม : เรียนไม่เก่ง สอบตก ?
ตอบ : เขาบอกว่าสอบได้เป็นของตลก สอบตกเป็นของธรรมดา ให้นั่งสมาธิภาวนา ใช้คาถา "สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสทายิ" ท่องไว้บ่อย ๆ เล่นเกมให้น้อย ๆ ลง ก็สอบได้เอง ทำไปเถอะ จะมากจะน้อยผลต้องมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ยังไม่ทันทำก็กลัวโน่นกลัวนี่ เล่นไลน์ให้น้อย ๆ หน่อย ภาวนาให้เยอะขึ้นก็จะสอบได้เอง

เวลาได้ยินว่าเด็กเรียนไม่เก่ง หรือมีปัญหากับการเรียนแล้วเครียด อาตมาเกิดมาไม่เคยมีปัญหาอย่างนี้ สอบทีไรก็ลุ้นอยู่อย่างเดียวว่าจะได้ที่ ๑ หรือเปล่า แสดงว่าผลของการปฏิบัติสมาธิภาวนามาในอดีตมีผลมหาศาล

เรื่องของการเรียนของเด็กสมัยนี้ ที่ว่าไม่เก่ง ไม่ดี มีอยู่ ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุหนึ่ง...อยู่ที่ตัวเอง สาเหตุที่สอง...อยู่ที่อาจารย์ สาเหตุแรกพ่อแม่ต้องเคี่ยวเข็ญหน่อย เพราะว่าพอวัยรุ่นขึ้นมามักมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการเรียน สมัยนี้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ตก็ดี พวกเครื่องไม้เครื่องมือ ไอโฟน ไอแพ็ด ต่าง ๆ ทำให้เด็กไปทุ่มเทความสนใจตรงนั้นมากกว่า ต้องสอนให้เด็กมีวินัยให้ได้ ถ้าทุ่มเทความสนใจในการเรียนได้เท่าที่ไปนั่งเขี่ยไลน์ก็พอแล้ว

ส่วนประการที่ ๒ อยู่ที่อาจารย์ เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยนี้หาเก่งยาก ไม่ต้องอะไรหรอก รุ่นของอาตมานี่แหละ สอบเข้าเรียนอะไรไม่ได้ ก็เข้าเรียนครู แทนที่คนเก่งที่สุดจะไปเรียนครู เพื่อที่จะได้สอนเขาต่อ กลายเป็นว่าคนที่ไม่เอาไหนเลยไปเรียนครู ในเมื่อตัวเองไม่เก่ง ไปสอนเด็กเก่งได้ก็ประหลาดแล้ว

เถรี
19-08-2015, 10:31
ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ บรรดาครูที่ born to be เกิดมาเก่ง ไปเปิดโรงเรียนสอนพิเศษ ความจริงบรรดาติวเตอร์เก่ง ๆ ต้องจับเข้ามาในโรงเรียน ให้สอนเด็กให้หมด ให้เป็นศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์หมดเรื่องหมดราวไปเลย ต้องบอกว่าในเมื่อโครงสร้างการศึกษาของเราบิด ๆ เบี้ยว ๆ มาแต่แรกแล้ว ก็ต้องทน ๆ กันไป

อีกประการหนึ่ง คือ ปัจจุบันนี้เขาต้องการให้ครูโกหกมากเป็นพิเศษ เอะอะก็ต้องทำผลงานทางวิชาการ ทำแผนการสอน ปรากฏว่าคนที่เก่งคือคนที่เขียนรายงานออกมาได้สวยที่สุด แต่ในความเป็นจริง จะสอนได้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในเมื่อถึงเวลาแล้วครูต้องไปทำเรื่องพวกนี้อยู่ แล้วใครจะมีอารมณ์มาสอนเด็ก

จะว่าไปแล้วเรื่องพวกนี้ควรจะมีเจ้าหน้าที่สักแผนกหนึ่งทำแทนเลย ถึงเวลาก็เอาข้อมูลไปให้เขาทำ ไม่อย่างนั้นก็กินเวลาคุณครูไปหมด ประการสุดท้าย ตั้งเงินเดือนครูให้สูงลิบโลกไปเลย ไม่อย่างนั้นไม่พอใช้สักที ร้อยละ ๙๙.๙๙ ของครูบาอาจารย์ในประเทศไทย ติดหนี้หมด

แล้วก็อย่าไปถามนะว่าเด็กจะเก่งได้อย่างไร เพราะเด็กบ้านเราไม่ได้ฝึกให้อ่านหนังสือ ต่างประเทศเทคโนโลยีเขาดีขนาดไหนก็ตาม ค้นอินเตอร์เน็ตเก่งกว่าเราหลายเท่าก็ตาม แต่เขาบังคับเด็กให้เข้าห้องสมุด เราลองไปยุโรป อเมริกาดู บรรดาเด็กที่เรียนมหาวิทยาลัยดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไอวี่ลีกก็ดี อะไรก็ดี ต้องเข้าคิวยาวเป็นไมล์เพื่อเข้าห้องสมุด เนื่องจากคุณครูไม่ยอมรับข้อมูลที่เอามาจากอินเตอร์เน็ต คุณจะต้องอ้างได้ว่าเอามาจากหนังสือเล่มไหน หน้าไหน ข้อไหน ไม่อย่างนั้นครูไม่เอา ก็เท่ากับบังคับให้เด็กต้องอ่านหนังสือโดยปริยาย

ส่วนบ้านเราต้องบอกว่าราคาหนังสือแพง เล่มขนาดนี้ (ยกหนังสือให้ดู) ราคาหลายร้อย ถ้าไม่ใช่ว่าแจกฟรี ต่ำ ๆ ก็ ๒๐๐ บาท ค่าแรงขั้นต่ำของเราวันละ ๓๐๐ บาท แต่อย่างของอเมริกา ชั่วโมงละ ๘ ดอลลาร์ ซื้อแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นละ ๙๙ เซ็นต์ แถมโค้กอีกกระป๋องหนึ่ง ๒ ดอลลาร์ ก็เท่ากับหมดไป ๓ ดอลลาร์ ยังเหลืออีกตั้ง ๕ ดอลลาร์ หนังสือเล่มหนึ่ง ๓.๙๙ ดอลลาร์ แปลว่าเขาว่าทำงานชั่วโมงหนึ่ง กินอิ่มไม่พอ มีหนังสืออ่านอีกเล่มหนึ่ง เขาทำงานวันละ ๘ ชั่วโมง เหลือที่จะพอ แต่บ้านเราทำงานทั้งวันซื้อหนังสือได้ ๑ เล่ม ข้าวไม่ต้องกิน แล้วจะให้เด็กเราเก่งเหมือนเขาได้อย่างไร ถ้าจะแก้ต้องแก้ตั้งแต่ระดับนโยบายการศึกษาของประเทศเลย

เถรี
19-08-2015, 10:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "ซื้อจักรยานมาแล้วต้องใช้ให้ครบอย่างน้อย ๓ เดือนนะ ไม่ใช่ใช้ ๓ วันแล้วเอาไว้ตากผ้า บ้านเราส่วนใหญ่แล้วมักจะทำอะไรฉาบฉวยแบบไฟไหม้ฟาง ถึงเวลาก็เห่อตามกัน พวกบรรดาสินค้าที่ขายตรงถึงขายได้ดี แต่ดีพักเดียวแล้วก็เลิก ต้องไปหาของอื่นมาขายใหม่ เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าเป็นไฟไหม้ฟาง โปรดทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ แล้วเราจะประสบความสำเร็จเอง

แต่ก็อย่าจริงจังกับชีวิตมากเกินไป ถ้าหาเงินมามาก ๆ แล้วสุขภาพชำรุด เงินที่ได้มาก็ไม่พอซ่อมสุขภาพ หัดพักเสียบ้างจะได้อ้วนท้วนสมบูรณ์"

เถรี
19-08-2015, 11:11
ถาม : หนูเลี้ยงแมวไว้แล้วเขาสร้างความเดือดร้อนให้เยอะมาก ต้องการจะเอาไปปล่อย ?
ตอบ : แปลกดีนะ..หนูเลี้ยงแมว ปกติมีแต่หนูเป็นอาหารของแมว..! แมวเขาเลือกที่อยู่ของเขาเอง ถึงเวลาเขาก็ไปหาของเขาได้ แต่ต้องบอกว่าเราความเมตตาบกพร่องไปหน่อย แต่อาตมาก็เป็นคนเบื่อแมวที่สุดเลย สมัยอยู่วัดท่าซุง ป้าศุอดีตภรรยาหลวงตาวัชรชัย เก็บแมวทุกตัวมาเลี้ยง คราวนี้แมวมีกลิ่นแรง อาตมาเดินผ่านบ้านป้าศุทีไรจะสลบให้ได้..!

ถ้าใครเลี้ยงแมวไว้โปรดระมัดระวัง อันดับแรกก็คือข้าวของเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่าง รับประกันว่าเขาเล่นกระจาย อันดับที่ ๒ ก็คือกลิ่น ไม่รู้ฝรั่งเขาคิดสเปรย์ดับกลิ่นได้หรือเปล่าไม่รู้ จะว่าไปแล้วกลิ่นนั้นเขาทำเครื่องหมายว่าเขตนั้นเป็นของเขา แต่แหม..กลิ่นประทับใจจริง ๆ

ถาม : แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ยังไม่เจอวิธีเลย ยกเว้นว่าไม่เลี้ยง

ถาม : หนูเปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วเขาฉี่ใส่สินค้า เลยเดือดร้อนมาก ?
ตอบ : แน่นอน ที่วัดท่าขนุนแมวมาฉี่ใส่พรมที่นั่ง มาฉี่ใส่กระดาษทิชชู่ที่ใช้ แล้วกลิ่นฉี่นี่ต้องทิ้งกระดาษไปทั้งกล่อง ไม่สามารถจะเหลือไว้ใช้งานได้ครึ่ง ๆ แล้วเราจะไปปล่อยที่ไหน ? เดี๋ยวนี้เห็นเขามีสมาคมช่วยหมาช่วยแมว เอาไปไว้ที่นั่นก็ได้เขาจะได้เลี้ยงต่อให้ ลอง ๆ ไปหาข้อมูลดู

เถรี
19-08-2015, 12:31
ถาม : กำลังใจตก แก้อย่างไร ?
ตอบ : ไม่มีทางแก้ ต้องมีสติอย่างเดียวเลย เพราะว่าทันทีที่เราใกล้ความดีมากเท่าไร มารเขารู้ว่าเราจะพ้นมือแล้ว ก็เลยหาทางกวนเราให้ขุ่น แล้วตอนที่กวนเราให้ขุ่นได้ เพราะใจเราหลุดจากลมหายใจเข้าออก เพราะฉะนั้น..เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก อย่าเผลอให้หลุดได้

พอเราภาวนาอารมณ์ดี ๆ แล้วเราก็มักจะนั่งดูไปเรื่อย ไม่ได้คิดที่จะดูจะแลเพิ่มเติมอะไร พอถึงเวลากำลังน้อยกว่าก็โดนเขางัดหงายท้อง ไปทำให้ต่อเนื่องมากกว่านี้ เริ่มจะดีแล้ว อาตมาเคยหกล้มหกลุกวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้งเลย

ถาม : เวลาภาวนาไปรู้สึกว่าร่างกายเรา....(ไม่ชัด)
ตอบ : ความชั่วเกิดทางไหน ? ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เมื่อเรานั่งอยู่ตรงนั้น กายกับวาจาเราชั่วตรงไหน ? ก็เหลือแต่ใจ ก็ปล่อยไปบ้างสิ เราชนะไปตั้ง ๒ แล้ว ให้เขาชนะไปสักอย่างหนึ่งก็ได้

เถรี
19-08-2015, 12:32
ถาม : ถ้าเราภาวนาแล้วฟุ้งซ่านเอาไม่อยู่ แล้วไปปั่นจักรยาน ?
ตอบ : ปั่นจักรยานเพื่อแม่ เวลาออกกำลังรู้สึกเหนื่อย ร่างกายไม่ไหว รู้สึกว่าใกล้ตาย ใจจะสงบไปเอง

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ศีล..ของท่านตัวตายดีกว่าศีลขาด ของปุถุชนพร้อมที่จะศีลขาดถ้าตัวจะตาย..!

วิธีนี้เอาไปใช้ได้ทุกคนนะ ถ้าฟุ้งซ่านมาก ๆ รัก โลภ โกรธ หลงมาแบบฟ้าถล่มดินทลาย ไปวิ่งรอบสนามหลวงสัก ๓ รอบก็หายเอง พอเหนื่อยลิ้นห้อยจะขาดใจตายลงไป จิตจะสงบ เพราะรู้ว่าจะตายแล้ว ต้องเอาตัวเองนะ เชื่อกิเลสไม่ได้แล้ว

มีบางสายท่านให้กลั้นลมหายใจ แต่ไม่ดี เพราะว่าถ้าเผลอจะชิน อย่างของโบราณ คาถาจำนวนมากให้กลั้นใจภาวนา ๗ คาบ ๙ คาบ พอเราไม่หายใจ ร่างกายรู้ว่าตัวเองจะตายแล้ว จิตจะนิ่งอยู่ข้างใน ทำให้เกิดกำลังมากกว่าตอนปกติที่ฟุ้งซ่านอยู่ ท่านต้องการให้จิตนิ่งและมีกำลัง ท่านถึงได้ให้กลั้นใจ ลักษณะของการฟุ้งซ่านก็เหมือนกัน ถ้าเรากลั้นใจร่างกายจะไปไม่รอด จิตจะนิ่งอยู่เฉพาะหน้า แต่ว่าอย่าไปทำ ให้ใช้วิธีอื่น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเคยชินแล้วจะกลั้นไปเรื่อย

เถรี
19-08-2015, 13:07
พระอาจารย์กล่าวว่า “สังสารันตา ภวาภเว สังสารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิดตามภพต่าง ๆ มีมาก เนิ่นนานจนนับชาติไม่ถ้วน คราวนี้เกิดเมื่อไรก็ทุกข์อีก ท่านบอกว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง เกิดเมื่อไรก็สร้างทุกข์ให้จนนับไม่ได้ ทุกข์แล้วทุกข์อีก ก็อยู่ที่พวกเราว่ายังอยากจะเกิดมาทุกข์อีกไหม ?”

เถรี
19-08-2015, 13:42
พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนใหญ่คนสมัยใหม่เราทำอะไรฉาบฉวย รู้ว่าอะไรดีก็ทำออกมาขาย โดยที่ไม่ได้ดูว่าความพอดีแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างเมื่อวานน้ำย่านางที่เอามาถวาย ถ้าอาตมาฉันไปสักแก้วก็ปางตายเลย เย็นอย่าบอกใครเชียว ถ้าไม่ใช่ไฟธาตุดี ๆ ฉันลงไปก็ไข้จับหรือไม่ก็เป็นหวัดไปเลย ถามว่าดีไหม ? ดี..แต่ว่าเหมาะสำหรับบางคน

โบราณถึงได้บอกว่าลางเนื้อชอบลางยา คนบางคนเหมาะกับยาบางตัว ขนาดคนป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บอย่างเดียวกัน คนโบราณจ่ายยาให้ยังไม่เท่ากัน เพราะว่าขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ขึ้นอยู่กับอายุ ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทาน”

เถรี
19-08-2015, 13:56
ถาม : เรียนโยคะ ?
ตอบ : โยคะเรียนไว้แหละดี แต่ว่าต้องทำสม่ำเสมอจะช่วยได้เยอะมาก โรคภัยไข้เจ็บเกิดไม่ได้เพราะเลือดลมดี เรียนจนเก่งแล้วก็ไปถ่ายทอดต่อ รู้สึกชั่วโมงเรียนเดี๋ยวนี้แพงด้วยนะ

ลองทำท่าสุริยนมัสการคาอยู่อย่างนั้น แล้วจะรู้รสชาติของชีวิต อยู่เฉย ๆ แท้ ๆ ทำไมร่างกายเผาผลาญได้ขนาดนั้น ก็คือการที่เราต้องตั้งสติทรงตัวให้ได้โดยใช้กำลังทางร่างกาย ตอนไปที่เนปาลเจอครูสอนโยคะผู้หญิง น้ำหนักน่าจะเกิน ๘๐ แต่แม่เจ้าประคุณพลิ้วไปทั้งตัวเลย ยอมรับว่าเขาเก่งจริง ๆ บอกกับเขาว่า “I make meditation only, I don’t know about Yoga.” แกหัวเราะก๊ากเลย น้ำหนักน่าจะเกิน ๘๐ แน่นอน แต่ว่าเดินเหินอะไรคล่องตัวไปหมด ความสูงก็ใกล้เคียงอาตมา อย่าลืมว่าแขกเขาตัวใหญ่อยู่แล้ว

เขาเปิดเป็นลักษณะกึ่งสถานบำบัดกึ่งรีสอร์ท คนก็ไปพักแล้วก็ไปฝึกกับเขา จัดเป็นคอร์ส คอร์สหนึ่ง ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ตอนแรกไม่ได้จะไปหรอก เกิดจากตากฤษณ์ เขาเป็นมัคคุเทศก์อยู่ และแม่ป๋อมที่ไปด้วยเขาเล่นโยคะ จึงถามหาว่าที่นี่มีครูโยคะเก่ง ๆ ไหม ? คุยไปคุยมาเขาก็บอกว่าเขาก็มีครูอยู่ แล้วเขาก็ถามว่าทางเรามีใครเป็นครู ? แม่ป๋อมก็ชี้มาที่อาตมา ฉะนั้น..อาตมาก็เลยกลายเป็น "กูรู" ไปเลย การรู้อะไรหลาย ๆ อย่างก็ดีนะ แบบที่โบราณเขาบอกว่า “เรียนรู้ไว้เขาก็ไม่ขออะไรเรากินหรอก แต่อาจจะช่วยให้เรามีกินได้”

เถรี
19-08-2015, 14:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำงานก็ให้มีเวลาพักผ่อนเป็นของตัวเองบ้าง ไม่ทุ่มจนขนาดเอาเงินที่ได้มาไปรักษาตัวหมด ทำงานให้เมตตาต่อตัวเองบ้าง ถ้าคิดว่าอยู่ตัวแล้วก็ไม่ต้องไปหาเรื่องเหนื่อยมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้นความทุกข์ก็มากขึ้น"

เถรี
19-08-2015, 14:45
ถาม : (จะเข้าผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังทับเส้นประสาท)
ตอบ : ไปหาพวกหมอนวดดีกว่า หมอจัดกระดูก ที่อาตมาเคยไป หมอไฉ้..พญาเวชคลินิก ไปถูกไหม ? เขาใช้เวลาประมาณ ๒-๓ นาที กด ๆ ดัด ๆ ดึง ๆ ลั่นเกรียวกราวไปทั้งตัวก็หาย ร้านเขาอยู่ซอยประชาอุทิศ ๑๙/๑ อยู่ปากซอยเลย

อายุแค่นี้เองหมอนรองกระดูกทับเส้นแล้ว เดี๋ยวเขาดันให้ก็เข้าที่แล้ว ถ้าเราไปทำอะไรคล้าย ๆ เดิมก็จะเป็นอีก แต่ก็ดีกว่าผ่า จ่ายแค่ ๕๐๐ บาท ๓ ทีก็เสร็จแล้ว

เถรี
20-08-2015, 10:48
ถาม : (จะเปลี่ยนชื่อ)
ตอบ : เปลี่ยนแล้วได้อะไร นอกจากเสียเงินค่าธรรมเนียม คนรู้จักก็เรียกแต่ชื่อเก่า จำไว้ว่าถ้าจะเปลี่ยน ให้เปลี่ยนแนวคิดและความประพฤติจะมีผลแน่นอน เปลี่ยนชื่อไม่มีประโยชน์หรอก

เถรี
20-08-2015, 10:48
ถาม : มีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ทั้งผู้ชายและไม่ใช่ทั้งผู้หญิง ?
ตอบ : ให้เป็นอย่างนั้นแหละดีแล้ว เพราะจริง ๆ แล้วถ้าสักแต่เห็นว่าเป็นรูป สักเห็นว่าเป็นธาตุ ก็จะรู้สึกชัดว่าไม่ใช่ของเรา ในเมื่อไม่ใช่ของเรา เรื่องของผู้หญิงผู้ชายเขาก็ไม่ใส่ใจกันแล้ว

เถรี
20-08-2015, 10:51
ถาม : เวลาปฏิบัติแล้วสงสัยหมดทุกอย่าง สงสัยบุญบาป สงสัยครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่าวิจิกิจฉา เป็นเครื่องกั้นการปฏิบัติธรรมของเรา พูดง่าย ๆ คือเป็นอุปสรรค ต้องพยายามภาวนาให้จริง ๆ จัง ๆ ถ้าเข้าถึงสมาธิสักระดับหนึ่งความสงสัยจะหมดไปเอง แต่ถ้าตราบใดที่เข้าไม่ถึง เราก็จะสงสัยไปเรื่อย เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงหรือเปล่า ทำให้ถูก ถ้าทำดี ทำถูก เข้าถึงจริง ๆ ก็จะเลิกสงสัยไปเอง

สำหรับโยมที่เป็นคนช่างสงสัยนับว่ายังดี เพราะว่าโยมสงสัยแล้วยังทำ เจอบางคนสงสัยแล้วไม่ทำ ในเมื่อสงสัยแล้วไม่ทำ ก็อยู่ในลักษณะคิดว่า คาดว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ ก็เลยไม่เกิดผลกับตัวเองสักที ในเมื่อสิ่งที่ตัวเองทำไม่เกิดผล ก็กลายเป็นว่าของดีอยู่ตรงหน้าแล้วไม่รู้จัก ดีไม่ดีก็เกิดการปรามาสพระรัตนตรัยไปด้วย

พวกลังเลสงสัยนี่บางทีจัดอยู่ในพวกวิตกจริต ไม่ถึงระดับของวิตกจริตแต่ต้องบอกว่าอยู่ในพวกเดียวกัน เพราะวิตกจริตนี่ประเภทย้ำคิดย้ำทำ ในเมื่อย้ำคิดย้ำทำอยู่ ท่านบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากใช้อานาปานสติอย่างเดียว

ถ้าถามว่าพระอริยเจ้ายังมีพวกจริตต่าง ๆ อยู่หรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าแม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังมีอยู่ เพราะว่าจริตคือความเป็นไปของจิตที่เคยชินมานับชาติไม่ถ้วน สภาพจิตถึงแม้ว่าจะบริสุทธิ์แล้ว แต่ว่าความเคยชินนั้นมีอยู่ ถึงเวลาก็อดที่จะทำอย่างเดิมไม่ได้ แต่ว่าเป็นการกระทำที่เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น ไม่ได้สร้างกรรมให้เกิด หลวงพ่อวัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านต้องแต่งตัวเรียบร้อยทุกครั้ง จัดแล้วจัดอีก ขยับแล้วขยับอีก แม้แต่ท่านอนท่านก็นอนเรียบร้อยสุด ๆ ลักษณะนั้นถ้าเป็นคนทั่วไปก็คือราคะจริต คือทำอะไรจะต้องดีที่สุด

เถรี
20-08-2015, 16:58
ถาม : แม่เพิ่งไปตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ?
ตอบ : รักษาไปตามปกติ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่ต้องคิดว่าคาดว่า จะรักษาแบบไหนก็ทำไป

ถาม : เขาให้อาหารทางสายยาง ไม่แน่ใจว่ายาจะเข้าไปติดในหลอดหรือเปล่า ?
ตอบ : พวกเราส่วนใหญ่มักวิตกกังวลเกินเหตุ มักจะคิดปรุงแต่งล่วงหน้าไปไกล ๆ คนป่วยก็รักษาไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่หมอ ถ้าไม่รักษาแผนปัจจุบันจะรักษาแผนโบราณก็ทำไป ตัดสินใจให้เด็ดขาดสักข้างหนึ่ง คนแก่ขนาดนั้นแล้ว แผลเป็นมะเร็ง รักษาอย่างไรก็ตายแน่ แต่ขอให้ได้ทำเท่านั้น ไม่ใช่ไปคาดเสียก่อนว่าผลการรักษาจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ท้ายสุดก็ไม่ได้ทำอะไร

เถรี
20-08-2015, 18:28
พระอาจารย์กล่าวว่า “การใช้วัตถุมงคลสำคัญตรงสมาธิต้องไม่เคลื่อน เพราะฉะนั้น..ห้ามกลัวเด็ดขาด ถ้ากลัวใจหายวาบนี่เสร็จทุกราย..!”

เถรี
20-08-2015, 18:34
ถาม : ฝ่ายชายมีภรรยาน้อยอีกคน โดยหลอกภรรยาน้อยว่าภรรยาหลวงยินยอม แต่จริง ๆ แล้วภรรยาหลวงไม่ได้ยินยอม ผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : ผิดทั้งคู่ ฝ่ายผู้หญิงก็ละเมิดของรักของหวงเขา ฝ่ายผู้ชายก็เจตนาหลอกลวงเขา

ถาม : คือผู้หญิงไม่รู้ เพราะว่าโดนหลอก ?
ตอบ : ไม่รู้แต่โทษเกิดเพราะทำไปแล้ว เหมือนกับกินยาพิษโดยไม่เจตนา แล้วตายไหมเล่า ? จะอ้างว่าฝ่ายหญิงไม่รู้ไม่ได้ เพราะคุณก็ลักลอบได้เสียกับเขา..!

เอาอย่างอาตมาสิ มองไปเห็นสาวหน้าตาพอไปวัดได้ ก็เหมาไว้ก่อนว่า "เมียเขา" จบเลย ฉะนั้น..เรามองไปเห็นหนุ่มเริ่มโตขึ้นมาสัก ๑๐ ขวบก็เหมาไว้ก่อนว่า "ผัวเขา" จบ ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ถ้าเป็นโกวเล้งหนักกว่านั้นอีก อาตมายังให้ตั้ง ๑๐ ขวบ โกวเล้งบอกตั้งแต่ ๘ ขวบถึง ๘๐ ปี..!

เถรี
20-08-2015, 18:55
การแต่งงาน สมัยก่อนที่เชิญแขกมาร่วมงาน เขาไม่ได้หวังว่าจะให้เอาเงินมาช่วย แต่เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าคนนี้มีเจ้าของแล้ว จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา สมัยหลังนี้การแต่งงานรู้สึกว่าจุดมุ่งหมายผิดพลาดไปเยอะเลย โดยเฉพาะพวกที่เอาเงินไปละลายน้ำ จัดงานใหญ่โต เช่าโรงแรมหมดไปเท่าไรไม่รู้ มีแกะสลักน้ำแข็งด้วย จริง ๆ แล้วก็แค่ประกาศให้รู้ว่าตนเองมีคู่แล้ว คนจะได้ไม่ไปยุ่งด้วย

เดือนที่แล้วอาตมาลงไปงานแต่งงานที่สุไหงโกลก ปรากฏว่าพระต้องฉันเพลตั้งแต่ประมาณ ๑๐ โมง เพราะว่าเขามารับไปโรงแรมตั้งแต่ ๙ โมง แล้วเริ่มพิธีสงฆ์เลย เจ้าบ่าวเจ้าสาวใส่บาตรเสร็จสรรพเรียบร้อย จึงฉันไปเลย

พระครูสว่าง วัดรัตนานุภาพ พาโยมชาวโคกโกมาหมดหมู่บ้าน ทำบุญมาห้าหมื่นกว่าบาท อาตมาไม่ทันจะออกจากโกลก วัตถุมงคลก็ไม่เหลือสักชิ้นแล้ว เล่นมากันหมดหมู่บ้าน ญาติโยมทางด้านโน้นทำอะไรก็ลำบาก เป็นชนกลุ่มน้อย แต่ความจริงน่าจะประพฤติตัวแบบพวกเขา ชนกลุ่มน้อยก็จริงแต่โวยทุกเรื่องก็หมดเรื่อง แต่คราวนี้เรารักสงบเกินไป ในเมื่อรักสงบเกินไปไม่มีการตอบโต้อะไรเลย ก็กลายเป็นว่าอยู่ไม่ได้หรืออยู่ยาก ผู้คนก็น้อยลง ๆ เขาบอกว่า ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนนี้เหงา ๆ ซึม ๆ เศรษฐกิจไปไม่ได้ ชาวจีนที่ค่อนข้างจะมีฐานะก็ต้องปิดร้าน เพราะว่าถ้าเปิดร้านจะโดนวางระเบิด

เถรี
20-08-2015, 19:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกคิดว่าคนเราเสื่อมสมรรถภาพลงไปเรื่อย ๆ เพราะความสบาย กลายเป็นว่าตอนนี้แม้แต่หมาก็เสื่อมสมรรถภาพไปด้วย สมัยอาตมายังเด็กจนถึงวัยรุ่น หมาขึ้นต้นไม้ได้ ไปหากินกันเอง กล้วยสุกคาต้น หมาตะกายขึ้นไปกินบนต้นเลย ถ้าไม่ได้เห็นคาตาก็ไม่รู้ว่าหมาขึ้นได้

อาตมาชอบที่สุดคือวิ่งให้หมาไล่ พอหมาไล่เราก็วิ่งไปถึงต้นมะพร้าวแล้วก็ตะกายพรวดขึ้นไปเกือบครึ่งต้น หมาก็ตะกายไปเกินครึ่งต้นเหมือนกัน แล้วไม่รู้เป็นอะไร ที่บ้านหมาจะเกลียดมอเตอร์ไซค์มากที่สุด มอเตอร์ไซค์ฮอนด้ารุ่นแรก ๆ ที่แฮนด์สูง ๆ ที่เขาเรียกรุ่นม้ามีเขา หมาที่บ้านโดดกัดยันหัวคนขี่เลย ถ้าหากว่าคนขี่มอเตอร์ไซค์เตะ หมาก็งับขาลากลงมาทั้งอย่างนั้นแหละ..!"

ถาม : ตัวใหญ่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ไม่ค่อยตัวใหญ่หรอก หมาไทยธรรมดาค่อนข้างจะปราดเปรียว เพราะไม่ค่อยมีอะไรกินนอกจากน้ำข้าว ที่เหลือไปหากินเอง บางทีตรุษสารทมีไก่ อาตมากินไก่เสร็จเหลือแต่กระดูก ยกให้หมาดูแล้วขว้างเข้าไปในดงหญ้าคา หมาพรวดเข้าไปไม่ถึงนาทีเอาออกมากินแล้ว หมาสมัยนี้โยนเลยหัวไปศอกหนึ่งหาไม่เจอแล้ว

สมัยก่อนพวกโจรผู้ร้ายเยอะ ถ้าหมาไม่ดุนี่เขาไม่เกรงใจ ถ้าหากว่าใครจะมาบ้าน ต้องยืนตะโกนตั้งแต่ถนนใหญ่ แล้วพวกเราคนใดคนหนึ่งออกไปพาเขาเข้ามา ไม่อย่างนั้นหมากัดตาย

ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเวลาหมากัดแล้วผู้ใหญ่ถึงต้องเอารองเท้าตบให้เลือดออก มารู้ตอนหลังว่าถ้าเลือดระบายออกไม่ได้จะปวดสาหัสมาก พอตบจนเลือดออกแล้ว เอาสารส้มตำละเอียดแล้วอุดแผล โห..แสบเข้าไส้เลย

ถาม : โรคพิษสุนัขบ้าละคะ ?
ตอบ : ไม่เห็นเขาจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า สมัยนี้กลัวกันจัง สมัยอยู่วัดท่าซุงมีหมาบ้าเหมือนกัน แล้วก็แปลก..หมาด้วยกันรู้ ปกติถ้าหมาแปลกหน้าเข้ามานี่รุมกัดตายเลย แต่นี่หมาบ้าเดินหลังแข็งทื่อเข้ามา หมาทุกตัววิ่งหนีหมด หมาเขาก็รู้ว่าไอ้นี่ไม่ควรที่จะเข้าใกล้

เถรี
20-08-2015, 19:38
ถาม : เลี้ยงหมาอย่างไรให้ดุครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่า เอาข้าวเหนียวคลุกน้ำตาลให้กิน คุณลองกินเองดูก็ได้ ข้าวเหนียวพลังงานสูง น้ำตาลทำให้ความดันขึ้น หมาจะหงุดหงิด เจอใครก็กัดแหลก

เถรี
21-08-2015, 19:04
พระอาจารย์กล่าวเตือนสามเณรอธิวัฒน์ ฉ่ำคำ ว่า "รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงพวกคุณมาก เรื่องการสร้างวัตถุมงคลนั้นสร้างง่าย แต่การสร้างตัวเองนั้นสร้างยาก คุณควรที่จะสร้างตัวเองก่อน การไปเที่ยวสร้างวัตถุมงคล ประโยชน์ก็ตกแก่คนอื่น ถ้ายังอยากที่จะอยู่มั่นคงในพระพุทธศาสนา ให้รีบสร้างตัวเองด้วยศีล สมาธิ ปัญญาให้มากไว้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"

เถรี
21-08-2015, 19:06
พระอาจารย์กล่าวกับสามเณรอธิวัฒน์ ฉ่ำคำ ว่า "อาตมาจำโอวาทของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านขึ้นใจ ต้องสร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน การไปทำอย่างอื่นถึงจะได้ผล ถ้าตัวเองยังไม่มั่นคง จะไปทำอะไรให้ดีได้"

เถรี
21-08-2015, 19:07
พระอาจารย์กล่าวเตือนสามเณรอธิวัฒน์ ฉ่ำคำ ว่า "คนบูชาวัตถุมงคลไปเขาจะใจร้อนทุกคน สร้างเสร็จก็ต้องรีบส่งให้เขา ไม่ใช่ว่าถึงเวลารับเงินมาแล้วก็สบายใจ ของเก่ายังไม่ทันจะส่ง ก็ทำของใหม่อีกแล้ว"

เถรี
21-08-2015, 19:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำน่าจะได้ถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่ชิ้นส่วนต่าง ๆ จะเสร็จแล้ว เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้ประกอบกันเข้าไป หลังวันที่ ๑๕ ช่างจะเอาไปประกอบไว้ในสถานที่จริง แล้วค่อยตกแต่งตรงนั้น ถามว่าทำไมต้องรอถึง ๑๕ ? เขาบอกว่า ส่วนงานที่ต้องขัดแต่ง เขาจะเหลือให้น้อยที่สุด จะได้ไม่ไปทำข้างในศาลาให้สกปรก แล้วอาตมาต้องเอาผ้าม่านออกก่อนด้วย เพราะเขากลัวขัดไม้แล้วม่านจะเละ พอเห็นเป็นของจริงแล้วจะรู้ว่าใหญ่เป็นลำเรือ แค่ช่วงแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ ก็สูงเกือบ ๆ ถึงไหล่ของอาตมาแล้ว"

เถรี
21-08-2015, 19:38
ถาม : มีครูบาอาจารย์บอกว่า แม่ผู้เลี้ยงดูเรามามีพระคุณสูงสุด ไม่ใช่แม่ที่คลอดเรามาแล้วทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนอื่นจะเลี้ยงดูเรามาอย่างไร เมตตาเรามามากแค่ไหน ก็ไม่อาจทดแทนพระคุณของแม่ได้ เพราะว่าอย่างน้อยเราต้องอาศัยท้องแม่มาตลอดระยะเวลา ๙ เดือน ๑๐ เดือน ถ้าท่านไม่ระมัดระวังรักษามาเราก็ตาย คลอดออกมาแล้วไม่เลี้ยงดูเราก็ตาย ก่อนจะถึงมือคนอื่นต้องผ่านมือแม่มาแล้วทั้งนั้น คนอื่นไม่ว่าจะดีกับเราขนาดไหนก็ตาม พระคุณแม่ต้องมาก่อน

เถรี
21-08-2015, 19:41
ถาม : ทำบารมี ๑๐ อย่างไรถึงเต็ม ?
ตอบ : ทำสักอย่างหนึ่งไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างจะเต็มเองโดยอัตโนมัติ เราทำตัวใดตัวหนึ่ง ตัวอื่นจะมาด้วย ถ้าเราจะเริ่มด้วยอธิษฐานบารมี เราต้องมีปัญญาว่าสิ่งนี้ดีอย่างไร ผู้ที่มีปัญญาก็ย่อมเห็นว่าคุณของพระรัตนตรัยเป็นอย่างไร เรื่องของทาน ศีล ภาวนาเป็นอย่างไร ไล่ไปเรื่อย จะเห็นว่ามาครบ แม้ว่าเราจะขึ้นว่าเราใช้อธิษฐานบารมี แต่ความจริงบารมีอื่นก็มาด้วยทั้งหมด

ฉะนั้นสิ่งที่เราทำ อย่างเช่นว่า เราถวายสังฆทาน เราอธิษฐานต้องการพระนิพพาน เป็นอธิษฐานบารมีก็จริง แต่ก็เป็นทานบารมีด้วย เป็นปัญญาบารมีด้วย อย่างนี้เป็นต้น

ถาม : จะใช้บารมีได้เมื่อไร ?
ตอบ : สร้างกำลังใจของเราให้ดีก่อน เหมือนกับเราขุดสมบัติ มีความสามารถขุดคุ้ยได้ลึกเท่าไร ก็ได้มามากเท่านั้น เลื่อมใสศรัทธาในคุณของพระรัตนตรัยจริง ๆ เมื่อไร ก็ใช้ได้เต็มเมื่อนั้น

เถรี
21-08-2015, 20:25
ถาม : การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมกับไม่มีส่วนร่วม แตกต่างกันอย่างไร ? (วิธีทำวิทยานิพนธ์)
ตอบ : การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม เราต้องเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย มีผลดีอยู่ตรงที่ว่า พอเขาไว้ใจเราแล้ว เราจะได้ข้อมูลที่ลึกกว่า การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม เราได้แต่สังเกตอยู่ห่าง ๆ แต่ถ้าเขารู้ตัวว่าเราไปสังเกตการณ์ เขาก็อาจจะตั้งใจทำให้ดูแต่เรื่องที่ดี ๆ สิ่งที่เราได้มาอาจจะไม่ใช่ความจริง ต่างมีผลดีและไม่ดีด้วยกัน

การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมนั้นเสียเวลา ต้องไปคลุกคลีตีโมง อาศัยความสนิทสนมคุ้นเคยที่ค่อย ๆ สร้างขึ้น ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่า แต่ใช้เวลานาน การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ใช้เวลาไม่นานแต่ว่าสิ่งที่ได้มานั้นไม่แน่ว่าจะเป็นข้อมูลที่แท้จริง

ถาม : การไปร่วมปฏิบัติธรรมตามกำหนด ๓ - ๕ วัน ?
ตอบ : ยังไม่เรียกว่ามีส่วนร่วม เพราะเราไม่ได้ไปอยู่กับเขานานพอ ต้องบอกว่าแค่ฉาบฉวย วันสองวันเขาไม่นับ ต้องเข้าไปฝังตัวอยู่เป็นเดือนเป็นปี นั่นแหละถึงเรียกได้ว่ามีส่วนร่วม

เถรี
21-08-2015, 21:04
ถาม : ชำระหนี้สงฆ์แทนคนอื่น ?
ตอบ : เรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าต้องทำแทนกัน ทำแล้วต้องบอกให้เขายินดีโมทนาด้วย แปลว่าทำได้เฉพาะตอนเป็น ๆ เท่านั้น ถ้าล่วงลับไปแล้ว โน่น..ชาติหน้าค่อยว่ากันใหม่

วันก่อนนิสิต มจร.ห้องเรียนวัดไชยชุมพลชนะสงคราม จัดบอร์ดเกี่ยวกับวิชาพระพุทธศาสนา ก็มีรูปพระประธานจากวัดต่าง ๆ มา อาตมาเห็นแล้วดีใจว่า มีหลายวัดที่เขาตั้งตู้ชำระหนี้สงฆ์เอาไว้ด้วย แสดงว่าคนเริ่มรู้มากขึ้น เพราะว่าคำว่าชำระหนี้สงฆ์นั้น มั่นใจได้เลยว่าเริ่มจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ไม่ได้มาจากที่อื่นหรอก

สมัยก่อนอาตมาไปทำบุญวัดอื่นมาตลอดก็ไม่เห็นมี เริ่มมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกกล่าวให้ทราบว่า พระยายมราชท่านบอกมา ว่าการเป็นหนี้สงฆ์เขาปรับลงอเวจีอย่างเดียว พอสอบถามถึงวิธีการแก้ไข ท่านว่าต้องสร้างพระพุทธรูปอย่างน้อยหน้าตัก ๔ ศอก ถึงจะทดแทนกันได้ คราวนี้การสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ถ้าไม่ปิดทองอานิสงส์จะได้กับเจ้าภาพคนเดียว ถ้าปิดทอง ไม่ว่าจะร่วมกันกี่ร้อย กี่พันคน ก็มีอานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์ได้ทั้งคณะ

แล้ววัดท่าซุงก็เริ่มสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ขึ้นมาก่อน ตอนแรกก็สร้างที่ด้านข้างศาลา ๒ ไร่ ๒๘ องค์ ต่อมาก็ขยายเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่นาของตาสมัคร ๑๒๐ องค์ เสร็จแล้วไปด้านหน้าวิหารร้อยเมตร ๖๘ องค์ ไปรอบศาลา ๑๒ ไร่ ไปที่อาคาร ๒๕ ไร่ ไม่แน่ใจว่ามีเท่าไร แม้กระทั่งรอบธุดงค์ร้อยไร่ก็มี เยอะแยะไปหมด

อย่างที่วัดท่าขนุนแค่ ๓๐ กว่าองค์เอง เพราะว่าไม่มีที่จะให้ทำ ถามว่าไม่มีที่จริง ๆ หรือ ? ก็ไม่ใช่ แต่อาตมาอยากจะรักษาสภาพป่าเอาไว้ เลยไม่ไปบุกเบิกหักล้างถางพง เมื่อ ๒ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีโยมอยากจะสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ จึงแนะนำให้ไปหาพระครูหน่อย บอกว่าวัดหนองบ้านเก่าเขาทำอยู่ ถามว่าจองทันไหม ? เขาบอกว่ายังต้องการเจ้าภาพอยู่ ก็เลยโชคดีไป

มีบางคนยังเจาะจงกับการทำบุญมา อาตมาก็หนักใจเหมือนกัน มีอยู่คณะหนึ่งตั้งใจทำบุญเรื่องส้วมอย่างเดียวเลย "วัดไหนสร้างห้องน้ำให้บอกด้วย" ถึงเวลาอาตมารู้ว่าพรรคพวกทำห้องน้ำ ก็จะโทรไปบอกเขา

เถรี
22-08-2015, 09:51
ถาม : เมื่อครู่คุยกับคนหนึ่งเรื่องกรรมฐานที่หลวงพ่อและครูบาอาจารย์เคยสอนไว้ เพื่อมาเปรียบดูที่พระอาจารย์นำกรรมฐานแล้วถามว่า จะเป็นอรูปฌานได้อย่างไร การตั้งภาพพระไว้ข้างในที่ศูนย์กลางกายนี่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ายังมีภาพพระอยู่ก็ไม่ใช่

ถาม : ที่กำหนดจับลมหายใจเข้า-ออก ข้างในตัวเรา ?
ตอบ : ถ้าใจจับอยู่ข้างในก็คล้ายคลึงกับส่วนของอรูปฌาน ถ้าเอาไว้ข้างนอกนี่เป็นรูปฌานแน่ ๆ

ถาม : แล้วที่เราพิจารณาให้เป็นสีลานุสติ ?
ตอบ : พอถึงเวลาพิจารณาเสร็จก็ภาวนาต่อไปเลยก็เท่านั้นเอง

ถาม : เรื่องอรูปฌานนี้ จำได้ว่าตอนที่พระอาจารย์สอนถึงความไม่มีอะไร แล้วนึกขึ้นว่าเคยพิจารณาอนิจจัง แล้วเห็นรอบ ๆ ตัวกลายเป็นพายุหมุนขมวดถึงตัวเราว่า ที่แท้ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไร ?
ตอบ : ถ้าสามารถเห็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรจริง ๆ ก็ใช่เลย

เถรี
22-08-2015, 09:53
ถาม : เคยเห็นเพื่อนคุยกัน แม้กระทั่งเพื่อนต่างศาสนาก็ยังมีมรณานุสติ นึกได้ว่าวันหนึ่งเขาก็ต้องตาย แล้วก็ตั้งใจจะทำความดีตอนที่ยังไม่ตาย เป็นความดีตามความเข้าใจของแต่ละคนนะคะ ?
ตอบ : รู้ว่าต้องตาย แต่..ตายแล้วจะไปไหน ?

ถาม : เป็นแค่เพราะเขาไม่รู้จักพระนิพพาน ?
ตอบ : ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้อย่างแท้จริง ต้องบอกว่าเขารู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น

เถรี
22-08-2015, 18:57
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเห็นพระธาตุเสด็จชัดที่สุดตอนเป็นฆราวาส มาในลักษณะเหมือนกับเม็ดข้าวสารเกือบเต็มเม็ด หักไปมุมหนึ่ง แต่คราวนี้ท่านใหญ่มาแบบเครื่องบินโดยสารเลย สว่างโร่มาทั้งฟ้า แล้วก็ลงที่หิ้งพระ อาตมารีบวิ่งไปดูด้วยความดีใจ เห็นคา ๆ ตาอย่างนี้ต้องเป็นของเราแน่เลย ปรากฏว่าไม่มี ไล่เปิดภาชนะบรรจุเปิดไปเปิดมา ไปอยู่ในผอบบรรจุของพี่ชาย

สรุปแล้วอาตมานั่งกรรมฐานเอย สวดมนต์เอย ทำความสะอาดหิ้งพระเอย กลับไม่ได้ สงสัยท่านจะเสด็จเข้าผิดผอบ ไปอยู่ในผอบของพี่ชาย หน้าตาเหมือนกับองค์ใหญ่ที่เห็นเลย จำภาพได้แม่นมาก เพราะสว่างเต็มฟ้ามาเลย

เรื่องของพุทธานุภาพเป็นอัปปมาโณจริง ๆ องค์จริงเล็กนิดเดียวประมาณเม็ดข้าวสารไม่เต็มเม็ด แหว่งไปมุมหนึ่ง แต่ปรากฏว่าตอนเสด็จมาใหญ่อย่างกับเครื่องบินทั้งลำ"

เถรี
22-08-2015, 19:04
"คุณบุญถึง ลูกศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นเจ้าของสถานีบริการน้ำมันที่มโนรมย์ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเปลี่ยนอาชีพหรือยัง ได้ยินเสียงพระธาตุเสด็จวี้ด ๆ อยู่ตลอด เจอลงมาอยู่บนผ้าขาว เก็บเอาไว้บูชาองค์หนึ่งก็แล้ว สององค์ก็แล้ว สามองค์ก็แล้ว ไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านว่า "เอ็งมันดีแต่หู ตาไม่ดี" คือได้ยินแต่ไม่เห็น แสดงว่าอย่างนี้มีพื้นฐานของทิพโสตมา แต่ไม่มีพื้นฐานของทิพจักขุ

พอไปงานวัดโพธิ์นางดำ เอาเรือหางยาวไป ได้ยินเสียงหลวงพ่อฤๅษีสวดมนต์ออกลำโพงชัดแจ๋ว แต่พอขึ้นศาลาไปแล้วไม่เจอ เจอหลวงพ่อรักษ์ วัดศรีรัตนาราม หลวงพ่อรักษ์บอกว่า "โน่น..อาจารย์คุณนั่งเคี้ยวหมากอยู่นั่น" แกเห็นแต่อาสนะเปล่า ๆ แต่หลวงพ่อรักษ์ท่านรู้ ท่านปูอาสนะไว้ให้เลย

เสียดายหลวงพ่อรักษ์มรณภาพไปแล้ว ไม่อย่างนั้นพูดแบบนี้พวกเราได้แห่กันไปอีกบาน เรื่องอย่างนี้ถ้าท่านยังอยู่ ก็ไม่ควรพูด เพราะคนไปกันเยอะ"

ถาม : ถ้าท่านพร้อมที่จะสงเคราะห์ล่ะครับ ?
ตอบ : พร้อมอยู่ แต่กลายเป็นการเพิ่มภาระให้ท่าน ถ้าเราไม่พูดงานก็ไม่มากขึ้น

เถรี
22-08-2015, 19:11
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่อาตมาฝึกกสิณอยู่ที่วัดท่าซุง ป้าศุแกเห็น เพราะว่ากุฏิของอาตมาคือตึกกองทุนกับเรือนเป๊ปซี่ของป้าศุอยู่ติดกัน บ้านบายศรีชื่อจริงชื่อเรือนเป๊ปซี่ อาตมากำลังฝึกเดินทะลุกำแพง ป้าศุรู้แกก็แซวว่า "หลวงพี่ระวังนะ ถ้าสมาธิคลายตอนอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ" ไม่ทักไม่ว่า ตอนทักชักเสียว ๆ ตอนนั้นที่ทำเป็นส่วนของอากาศกสิณ ทำให้เป็นช่องว่างได้ เห็นพวกเล่นกลทำได้ ประเภทล้วงของข้ามกำแพง ล้วงของในตู้ พวกนี้จะมีพื้นฐานอภิญญาเก่าทั้งนั้น เอาไปแหกตาชาวบ้านเขา"

ถาม : ต่างประเทศเขาทำกันได้เยอะ..!
ตอบ : ของฆราวาสเขาอ้างว่าเล่นกลได้ ของพระเราจะไปเล่นอย่างนั้นไม่ได้ มีคลิปอยู่คลิปหนึ่งที่พระท่านฉีกกระดาษทิ้ง แล้วลอยกลับมาติดอย่างเดิมทีละแผ่น ๆ แสดงว่าพวกเรายังไม่ได้ดูกัน

เถรี
22-08-2015, 19:20
ถาม : ....(ไม่ชัด).... ภาวนามาหลายปี ก็ไม่ได้เจอเลย ?
ตอบ : แสดงว่าไม่ได้สร้างบุญมาร่วมกัน แบบเดียวกับหลวงปู่ใหญ่โลกอุดร อาตมาตามหวุดหวิด ๆ อยู่ ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง ท้ายสุดท่านบอกว่าไม่ต้องตามหรอก เพราะไม่เคยสร้างบุญมาร่วมกันมา ท่านไม่มีอารมณ์ที่จะมาสงเคราะห์ แค่บริวารที่ท่านต้องไปตามเก็บก็เยอะแล้ว

ถาม : ถ้าเรานึกถึงท่าน ?
ตอบ : นึกถึงท่านก็ใช้ได้ บารมีท่านก็คลุมมาถึง อาตมาคิดจะไปเรียนอภิญญากับท่าน โดยเฉพาะวิชาตัดเหล็กไหล ไม่ได้นึกอยากได้เหล็กไหลหรอก แต่อยากได้วิชา ปัจจุบันมีแต่เหล็กเหลวไหลเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

ถาม : ใช้คาถาบังคับหรือคะ ?
ตอบ : จะเรียกว่าบังคับก็ได้ แต่ลักษณะคาถาเหมือนกับขอเทวดาที่ท่านรักษาอยู่ แล้วแต่ท่านให้ จะชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กก็ได้

เถรี
22-08-2015, 19:38
พระอาจารย์กล่าวถึงพระกริ่งปลดหนี้สองแผ่นดินว่า "พระกริ่งปลดหนี้สองแผ่นดินพระโพธิสัตว์ท่านมาช่วยสงเคราะห์กันเยอะ เป็นที่ชอบใจว่าสำหรับพระโพธิสัตว์ท่านแล้ว การช่วยคนอื่นได้เป็นความสุขของท่าน บางทีท่านก็เลยฝืนกฎของกรรม ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ท่านยอมรับกฎของกรรม"

เถรี
22-08-2015, 20:23
ถาม : ถ้าเข้าฌานสี่ฟุ้งซ่านไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเข้าฌานอยู่ไม่ฟุ้ง หลุดออกมานี่ฟุ้งฉิบหา..เลย ฉะนั้น..ห้ามหลุดเด็ดขาด คนที่มีความคล่องตัวเขาถึงใช้กำลังของฌาน ๔ คลุมตัวเองไว้ เวลาถอนออกมาอุปจารสมาธิหรือปฐมฌาน ก็ยังอาศัยกำลังของฌาน ๔ คลุมเอาไว้อีกชั้น กิเลสจึงได้กินไม่ได้

ถาม : ผมนั่งสมาธิไปนาน ๆ เป็นฌานด้วย และคิดฟุ้งซ่านด้วย ?
ถาม : ลักษณะนั้นเป็นการแยกจิตเป็นหลายส่วนโดยที่เราไม่รู้ตัว ถ้ารู้ตัวให้รีบดึงเข้ามาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว

ถาม : การที่เราแยกจิต ดีไหมครับ ?
ตอบ : ดีตรงที่ว่ามีความคล่องตัวในกีฬาสมาธิ แต่ถ้าหากต้องการความสงบจริง ๆ ก็จะเกิดอย่างที่เจอ ก็คือ ใจหนึ่งภาวนา อีกใจหนึ่งคิดได้ ให้รีบดึงความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจที่เดียว ไม่อย่างนั้นจะฟุ้งซ่านมันมาก

เถรี
22-08-2015, 20:28
ถาม : ต้องสร้างบุญอะไรถึงจะลดกรรมเรื่องเพศตรงข้ามได้ครับ มาเยอะเหลือเกิน ?
ตอบ : เนกขัมมะบารมี ถือศีล ๘ ตลอดชีวิตลดได้แน่นอน คุณต้องการจะลดกรรมตัวนี้ ศีล ๕ จะไปลดที่ไหน ? ไม่พอรับประทาน แค่ตั้งใจถือศีล ๘ ตลอดชีวิต แล้วทำให้ได้จริง ๆ เท่านั้น

ความจริงกรรมประเภทนี้อยู่ที่คน ๒ คน ถ้าไม่ยุ่งด้วยเสียอย่าง กรรมจะไปทำอะไรได้ อาตมาทำตัวเป็นแมวเฝ้าปลาย่างตั้งแต่ฆราวาสไม่รู้กี่ยกแล้ว ไม่ไปยุ่งกับเขาเสียอย่างก็ไม่เห็นมีปัญหา บรรดาว่าที่พ่อตาแม่ยายก็สนับสนุนเหลือเกิน ถึงเวลาก็จับยัดไปอยู่ห้องเดียวกับลูกสาวเขา เขาอาจจะอยากได้ไปเป็นลูกเขยมาก ดันไปเจอว่าที่ลูกเขยโง่ฉิบ... ไม่ยอมทำอะไรสักที

บรรดาลุงป้าน้าอาคงเห็นว่าเด็กที่เข้าวัดเข้าวาน่าจะดี แต่ท่านหารู้ไม่ว่าที่อาตมาไปวัดเพื่อที่จะลดความชั่วของตัวเอง ในเมื่อท่านคิดว่าดี ท่านก็อยากได้ไปเป็นลูกเขย แล้วก็เจ้ากรรมจริง ๆ แต่ละบ้านมีแต่ลูกสาว สองคนบ้าง คนเดียวบ้าง ไม่มีลูกชายเลย จึงต้องไปเป็นลูกชายให้เขา สมัยนั้นทำตัวเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง แล้วมีกติกาว่าห้ามกินด้วยนี่ แหม..ทรมานใจ เขาก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะ เขาเต็มใจให้กิน แต่แมวไม่กินเอง

ถาม : แล้วสาวเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : อันนั้นไม่รับรู้ ต้องรักษากำลังของเราอย่างเดียว ขืนไปสนใจคนอื่นเดี๋ยวพัง ประเภทตั้งเกราะป้องกันสุดชีวิต ขืนคลายกำลังใจไปสนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวเราก็หงายเก๋ง..!

เถรี
22-08-2015, 20:50
พระอาจารย์กล่าวถึงประคำหวายถักของหลวงพ่ออุตตะมะ ว่า "สมัยแรกที่ท่านมอบให้มา จะมีเม็ดเดียวเป็นประคำโทน ติดอยู่ในพวงที่ท่านนกเอาไป มาตอนหลังพอมีลูกศิษย์ที่ถักได้เยอะ ๆ ก็เลยมีออกมาทั้งสาย ๑๐๘ เม็ด แต่คนเขาบ่นกันว่าหลวงพ่อขายแพง ๒,๕๐๐ บาท แพงมากเลย ลองคิดดูว่าเขาถักกันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้สักเม็ดสองเม็ด"

ถาม : ตะกรุดแม่รักษ์ลูกมีพุทธคุณด้านไหนครับ ?
ตอบ : รักษาเราเหมือนแม่ที่มีลูกคนเดียว

ถาม : ใส่ที่ไหนบ้าง ?
ตอบ : พระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาเล่มใหญ่ แล้วก็มีดหมอเพชราวุธ ตะกรุดหลวงปู่เดิมก็ลงไป ตะกรุดหลวงพ่อทาก็ลงไป ตะกรุดหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ทิดจิตรบูชาไปเสียก่อนไม่อย่างนั้นก็ลงไปด้วย ตอนนี้ที่คนไม่รู้จักอยู่ในเว็บก็คือตะกรุดหลวงพ่อทบ เดี๋ยวถ้าได้คืนมาก็พกติดตัวต่อไป

เถรี
23-08-2015, 12:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของอภิญญาสมาบัติ เวลาฝึกใหม่ ๆ จะอยากได้กันทุกคน แต่พอทำไป ๆ ถึงระยะหนึ่ง เหมือนเรากำลังจะเข้าสู่ระดับของโลกุตระ ก็จะรู้สึกเบื่อไปเอง เพราะว่า อภิ คือยิ่งกว่า อัญญา คือความรู้ ความรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการรู้ตัดกิเลส"

ถาม : ถ้าเราได้อภิญญา แล้วนำไปใช้ตัดกิเลส ?
ตอบ : การตัดกิเลสจะง่ายขึ้น เพราะว่ากำลังของอภิญญาจะปรากฏชัดต่อเมื่อฌาน ๔ คล่องตัวแล้ว เมื่อฌาน ๔ คล่องตัว การสู้กับกิเลสก็จะง่ายขึ้น

ถาม : ได้อภิญญาแล้ว เราก็จะได้ประโยชน์จากที่รู้เห็นอะไรเกินปกติ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเก่า ถ้าของเก่าทำมาก็อาจได้รู้เห็น

วันก่อนมีคนส่งคลิปมายากลให้น้องเล็กทางไลน์ ดู ๆ ไปสักพักหนึ่งจับได้ว่าเขาล้วงของออกมาจากไหน บอกว่าเขาหยิบจากตรงนี้ เดี๋ยวขึ้นมาทางมือขวา เดี๋ยวขึ้นมาทางมือซ้าย ส่วนที่เขาใช้ปิดบังก็คือ สิ่งที่เขาหยิบออกมาจะสีเดียวกับผ้า ใช้ผ้าบังอยู่ ตอนที่เขาใช้ผ้าแดง กลายเป็นร่มสีแดง เป็นไพ่สีแดง ใช้บังสายตา อันนั้นก็คือเล่นกลจริง ๆ อาศัยความเร็วและการหลอกให้คนเผลอไปมองทางอื่น

เรื่องจับคนเล่นกล อาตมารู้สึกจะเก่งมาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยเด็ก ๆ เขาเล่นกลอมลูกปิงปอง อยู่ในปากดันไปซ้ายดันไปขวา พออ้าปากก็หายไปแล้ว ที่อาตมาเห็นคือเขาเหวี่ยงเข้าไปในรถข้างหลังของเขาตั้งแต่แรก พวกนี้ต้องยอมรับว่ามือเขาไวมาก

กลก็คือกล อย่างไรก็จับได้ แบบเดียวกับที่เขาไปเล่นกลที่วัดท่าขนุน ถึงเวลาดึงผ้าเช็ดหน้า นกพิราบก็หลุดออกมา อาตมาบอกกับท่านนายกเทศมนตรีว่าเขาต้องรีบปล่อยนก เพราะผูกขานกไว้กับนิ้ว จริง ๆ ด้วย..เขาให้นกเกาะที่นิ้วไม่ถึง ๒๐ วินาที ก็รูดห่วงนกออกให้นกบิน ไม่อย่างนั้นคนอาจจะเห็นเส้นเอ็นใส ๆ ที่เขาผูกนกเอาไว้

เถรี
23-08-2015, 12:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคำที่คนส่วนใหญ่เขาสวดผิด แต่หนังสือสวดมนต์ถูก อย่างเช่นว่า วิพุธัง มะหิทธิง เราจะเผลอเป็นวิพุทธัง ในบทของพาหุงฯ อย่างเช่นว่า อิวะ คัพภินียา ออกเสียงอีเป็นเสียงยาวเป็นทีฆสระ แต่ออกเป็น คัพภินิยา อยู่เรื่อย

อิวะ คัพภินียา เหมือนอย่างกับผู้หญิงท้อง อิวะ แปลว่า คล้ายกับ เหมือนกับ แต่เขาแปลบาลีเป็นไทยว่า เพียงดัง เพียงดังสตรีที่มีครรภ์ ฟังแล้วกลุ้มใจ"

ถาม : กิเลสัง กับ กะเลสัง ความหมายเหมือนกันหรือไม่คะ ?
ตอบ : แปลอย่างเดียวกัน กิเลสังหรือกะเลสัง อยู่ที่เราจะใช้คำไหน ถ้าเป็นภาษาไทยได้ แต่ถ้าเป็นภาษาบาลีไม่ได้ เพราะว่าถ้าใช้ผิดวิภัตติผิดคำ ความหมายจะเปลี่ยนไปเลย ให้สังเกตว่าที่ท่านใช้กะเลศ จะใช้ ศ จะออกไปทางสันสกฤต แต่กิเลส เป็นบาลี ใช้ ส แต่บรรดาท่านที่แต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน ท่านก็จะใช้ไม่เหมือนชาวบ้าน บางอย่างที่เขาเรียกว่ากวีตานุมัติ ในเมื่อกวีเขาว่าใช้ได้ก็ต้องปล่อยไปตามนั้น

เถรี
23-08-2015, 12:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต้องขออนุโมทนา ขอบคุณ ขอบใจ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ตลอดจนฆราวาส ที่ไปช่วยกันหลอมผางประทีป ช่วยกันออกแบบ ช่วยกันวาง จนเด็ดข่าวเด่นช่อง ๗ สีไปถ่ายทำอยู่ ๒ วัน แล้วตัดมาลงให้ตั้ง ๔ นาที ดีกว่าครั้งก่อนที่อยู่เกาะพระฤๅษี ถ่ายทำ ๑ วันเต็ม ๆ ลงให้ ๑ นาทีกว่า ๆ แต่ไปนึกถึงค่าโฆษณานาทีละเป็นแสน ๆ แล้วก็คุ้มนะ เพราะเราไม่ได้จ้าง เขามาเอง แค่นี้ก็ไม่มีที่ให้คนจอดรถแล้ว ตอนนี้ด้านข้างโบสถ์วางผางประทีปไม่ได้เลย ต้องปล่อยให้เขาจอดรถกัน"

เถรี
23-08-2015, 15:43
ถาม : มีคนตามมา ?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ไม่ต้องไปใส่ใจมาก ตามมาถือว่าเป็นองครักษ์..!

เถรี
23-08-2015, 15:45
ถาม : ทำไมเวลาที่ทำสมาธิจับลมหายใจไปถึงตอนที่ลมหายใจหายไป จะรู้สึกอึดอัด หัวใจบีบมาก เหมือนรูจมูกมันตันหรือเจตนากลั้นลมหายใจ พอไปต่อไม่ได้ เราก็คลายออกมาหายใจ ?
ตอบ : ก็ไม่เป็นอะไรหรอก เป็นปกตินั่นแหละ ส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รู้ตัวว่าเรากลัวตาย เมื่อเราคิดว่าไม่หายใจ เราก็ต้องหายใจให้ได้ บางทีก็เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วถ้าทำใจสบาย ๆ ตามรู้ไป เดี๋ยวจะเข้าไปลึกมากกว่านั้นเอง พอเข้าไม่ได้ก็ถอยกลับ ถอยกลับมาก็ต้องนับ ๑ ใหม่ ก็เฮ้อ..อีกแล้ว ไม่เคยจำ

ถาม : หลังจากนั้น จะรู้สึกหงุดหงิดมาก ?
ตอบ : หงุดหงิดตัวเอง เหมือนกับรู้ทั้งรู้ แต่เสียท่าทุกที ต้องทำให้ได้สักครั้งหนึ่ง ต่อไปจะรู้ว่าวางกำลังใจอย่างไร แล้วจะทำได้ตลอดไป แต่ถ้ายังทำไม่ได้ ก็จะคลำผิดคลำถูกไปเรื่อยแบบนี้แหละ

เถรี
23-08-2015, 18:03
พระอาจารย์เล่าว่า "ปีนี้อาตมาตั้งใจเลี้ยงลูกหมา ๕ ตัว ปรากฏว่าโดนคนอุ้มไปเกลี้ยงเลย ตั้งแต่แม่หมาคลอดใหม่ ๆ ต้องเอาสังกะสีไปทำหลังคาให้เพื่อกันฝน หาข้าวหาปลาไปให้กิน เพราะว่าแม่หมาผอมมาก ลูก ๆ กินนมจนแม่ผอมกะหร่องเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

อาตมาลงทุนไปซื้อพวกตับ พวกเครื่องในปิ้งในตลาดมาเลี้ยง พอลูกเริ่มอ้วนท้วนสมบูรณ์น่ารัก ตัวผู้ก็หายไปก่อน ตัวผู้หายไป ๒ ตัว เหลือตัวเมีย ๓ ตัว ดันไปเล่นกับงูกะปะเลยตายไป ๑ ตัว เหลืออีก ๒ ตัว กำลังอ้วนน่ารัก ก็หายอีก ตอนนี้พระเณรในวัดเลยมีหน้าที่ช่วยกันขุนลูกหมาให้อ้วน เผื่อเขาจะอุ้มไปเลี้ยงอีก แต่คาดว่าที่เอาครอกนั้นไปเพราะเจ้าอาวาสเลี้ยง ตกลงว่าอาตมาจับอะไรก็ขลังไปหมดแม้กระทั่งหมา..! ต้องบอกว่าสร้างวัวธนู สร้างควายธนู สร้างไม่เป็น ถ้าจะให้ทำคงต้องทำหมาธนู..!

เรื่องของสัตว์ จะมีลูกตามสภาพอากาศและอาหาร อาจจะเป็นเพราะปีนี้อากาศเปลี่ยนแปลง หมาที่อื่นจึงไม่ค่อยมีลูกกัน หรือเป็นเพราะแล้งด้วย จึงหาอาหารกินยาก แต่หมาในวัดยังคงอยู่ดีกินดีเหมือนเดิม จึงยังมีลูกเหมือนเดิม

เจ้าหน้าที่สถานีโทรทัศน์ Thai PBS อัญเชิญเทียนพรรษาของทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ไปถวาย เขาไปยืนเล็งหมาทีละตัว อาตมาถามว่าชอบใจตัวไหนจะอุ้มไปไหม ? เขาบอกว่าไม่ใช่ มาดูเพราะเคยได้ยินครูบาอาจารย์สอนว่า ถ้าวัดไหนหมาผอม อย่าไปคบหากับเจ้าอาวาสวัดนั้น เขาพยายามจะหาตัวผอมให้ได้ แล้วจะไปหาที่ไหน หมาวัดท่าขนุนอยู่ดีกินดีขนาดเลือกกิน ไม่ได้ของที่ถูกใจก็ไม่กินอีกด้วย"

เถรี
23-08-2015, 18:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาไปงานศพให้นึกว่าต่อไปเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าความดีเราไม่พอ ต้องลงอบายภูมิ ก็จะลำบากเดือดร้อนสาหัสยิ่งกว่าตอนเป็นมนุษย์ ดังนั้น..เมื่อรู้ตัวว่าความตายจะมาถึง ก็เร่งปฏิบัติความดีในศีล สมาธิ ปัญญา ให้ยิ่ง ๆ ขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วไปงานศพเหมือนกับไปงานแฟชั่น ขนาดชุดไปงานศพ เขายังแข่งกันแต่งบางราย ก็ไม่ได้ไว้หน้าคนตายเลย ใส่ชะเวิกชะวาก ประเภทสั้นเสมอหูก็มี ลำบากลำบนขนาดนี้แล้วจะแต่งไปทำไม ?

เห็นอยู่งานหนึ่ง งานนี้ผู้ตายคือพระครูเจ้าอาวาส แล้วลูกสาวที่ถือกระถางธูป เดินนำหน้าพระทั้งวัด นุ่งสั้นจนแก้มก้นโผล่ อย่ารู้เลยนะว่าวัดไหน ถ้าไม่มีชุดจริง ๆ ใส่กางเกงขายาวมาสักตัวก็ได้ เอาสีสุภาพ ๆ หน่อย คือถ้าใส่งานศพทั่ว ๆ ไปก็พอทน คนชอบมองมีอยู่ แต่นี่งานศพพ่อตัวเองที่เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระครูสัญญาบัตร พระที่ร่วมงานเป็นร้อย ๆ ต้องเดินตามแม่เจ้าพระคุณที่โชว์แก้มก้นเดินอยู่ข้างหน้า ต้องบอกว่าไม่รู้กาลเทศะอย่างแรง เสียทีที่มีพ่อเป็นถึงพระครูเจ้าอาวาส"

เถรี
23-08-2015, 18:13
ถาม : ตาลปัตรมีประโยชน์อะไรครับ ?
ตอบ : หมั่นไส้ใครก็ใช้ตีกบาล..! ตาลปัตรของพระบวชใหม่เป็นของจำเป็นที่สุด เพราะว่าเอาไว้บังหน้าตัวเอง ไม่ให้ไปสบสายตาปิ๊ง ๆ กับสาวข้างล่าง ไม่อย่างนั้นพระใหม่อยู่ไม่ได้..สึกหมด เจตนาแรกเริ่มเลยเป็นอย่างนั้น ลำดับต่อไปคือป้องกันการเก้อเขิน เพราะว่าบางทีพระใหม่ยังไม่เคยชิน สวดมนต์ไปมองหน้าโยมไป เดี๋ยวก็สวดผิดสวดถูก ก็เลยต้องหาตาลปัตรมาบังหน้า แล้วต่อมาก็ดัดแปลงเป็นพัดยศขึ้นมา

เถรี
23-08-2015, 18:13
:4672615:เก็บตกเดือนสิงหาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ