เถรี
22-07-2015, 15:32
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติเอาไว้เฉพาะหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึก คือ สติของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม จะกำหนดการสัมผัส ๗ ฐาน ๓ ฐาน ฐานเดียวหรือรู้ตลอดกองลมก็ได้
วันนี้เป็น วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ก่อนเจริญกรรมฐานได้คุยกันถึงเรื่องสิ่งที่มาขวางการปฏิบัติทั้งหลาย ก็ขอกล่าวให้ชัด ๆ ว่าสิ่งที่มาขวางนั้นเราเรียกกันว่า มาร , มาระ ศัพท์นี้แปลว่า ผู้ฆ่า คือ ฆ่าเราเสียจากความดีทั้งปวง
มารมีหน้าที่ขัดขวางการทำความดีทั้งหลายทั้งปวงของเรา ถ้าถามว่าเขาขวางในการทำความดี เขาจะมีเวรกรรมหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าไม่มี เพราะว่านั่นเป็นหน้าที่ และการขวางของเขานั้น ก็ไม่ใช่ว่าขวางไม่ให้เราสร้างความดี แต่เป็นการขวางในลักษณะทดสอบว่า ความดีของเราได้ระดับเพียงพอที่จะก้าวข้ามไปสูงกว่าเดิมหรือยัง
มารนั้นทั้งหมด ๕ อย่าง ได้แก่ กิเลสมาร ก็คือรัก โลภ โกรธ หลง ทุกประการที่อยู่ในจิตในใจของเรา ขันธมาร ก็คือร่างกายของเรานี่เอง ถึงเวลาถ้าจะทำความดีก็เจ็บโน่น ปวดนี่ เมื่อยนั่น บางท่านสมัยก่อนกินเหล้าเมาหัวราน้ำ นอนตากน้ำค้างทั้งคืนก็ไม่เป็นอะไร แต่พอเลิกราในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง หันมาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาก็เจ็บโน่นปวดนี่ไปเรื่อย
ลำดับที่ ๓ เทวปุตตมาร เป็นพรหมหรือเทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่มาลองใจของเรา มากันเป็นตัว ๆ ให้เห็น ๆ ลำดับ ๔ เรียก อภิสังขารมาร คือ บุญบาปที่มาขวางเรา ในส่วนของบุญนั้น ก็คือ ฌานสมาบัติ ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน เพราะว่ารูปฌานนั้นมีความสุขเยือกเย็นประณีตมากเป็นพิเศษ ถ้าเราไปติดอยู่แค่นั้นก็ไม่สามารถเข้าถึงมรรคถึงผลที่ต้องการได้ ในส่วนของอรูปฌานนั้น ถ้าเผลอไปเกิดเป็นอรูปพรหมก็จะมีอายุขัยหนึ่งหมื่นมหากัป สองหมื่นมหากัป สี่หมื่นมหากัป แปดหมื่นมหากัป เป็นต้น ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปสร้างเสริมความดีต่อบารมีอื่น ๆ ได้
ดังนั้น ในส่วนของบุญบาปที่มาขวางเรานั้น ส่วนของบุญให้พึงเข้าใจตามนี้ ในส่วนของบาป ถ้าเราทำความชั่วก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งห่างไกลความดีไปเป็นปกติอยู่แล้ว พวกเรามีความเข้าใจกันอยู่
ตัวสุดท้าย คือ มัจจุมาร คือความตายมาขวาง บางท่านกำลังใจเข้มแข็ง กล้าแข็งมากเป็นพิเศษ มีปัญญามาก ถ้าหันมาปฏิบัติธรรมจะสามารถบรรลุมรรคผลได้ในระยะเวลาอันใกล้ เขาไม่สามารถที่จะขวางด้วยวิธีใด ๆ แล้ว ก็จะฉวยโอกาสในวาระของอุปฆาตกรรมมาถึง ทำให้เราต้องตายลงไปด้วยอำนาจของกรรมเก่าที่เคยสร้างมา จึงเรียกว่ามัจจุมาร คือความตายมาขวาง
วันนี้เป็น วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ก่อนเจริญกรรมฐานได้คุยกันถึงเรื่องสิ่งที่มาขวางการปฏิบัติทั้งหลาย ก็ขอกล่าวให้ชัด ๆ ว่าสิ่งที่มาขวางนั้นเราเรียกกันว่า มาร , มาระ ศัพท์นี้แปลว่า ผู้ฆ่า คือ ฆ่าเราเสียจากความดีทั้งปวง
มารมีหน้าที่ขัดขวางการทำความดีทั้งหลายทั้งปวงของเรา ถ้าถามว่าเขาขวางในการทำความดี เขาจะมีเวรกรรมหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าไม่มี เพราะว่านั่นเป็นหน้าที่ และการขวางของเขานั้น ก็ไม่ใช่ว่าขวางไม่ให้เราสร้างความดี แต่เป็นการขวางในลักษณะทดสอบว่า ความดีของเราได้ระดับเพียงพอที่จะก้าวข้ามไปสูงกว่าเดิมหรือยัง
มารนั้นทั้งหมด ๕ อย่าง ได้แก่ กิเลสมาร ก็คือรัก โลภ โกรธ หลง ทุกประการที่อยู่ในจิตในใจของเรา ขันธมาร ก็คือร่างกายของเรานี่เอง ถึงเวลาถ้าจะทำความดีก็เจ็บโน่น ปวดนี่ เมื่อยนั่น บางท่านสมัยก่อนกินเหล้าเมาหัวราน้ำ นอนตากน้ำค้างทั้งคืนก็ไม่เป็นอะไร แต่พอเลิกราในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง หันมาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาก็เจ็บโน่นปวดนี่ไปเรื่อย
ลำดับที่ ๓ เทวปุตตมาร เป็นพรหมหรือเทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่มาลองใจของเรา มากันเป็นตัว ๆ ให้เห็น ๆ ลำดับ ๔ เรียก อภิสังขารมาร คือ บุญบาปที่มาขวางเรา ในส่วนของบุญนั้น ก็คือ ฌานสมาบัติ ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน เพราะว่ารูปฌานนั้นมีความสุขเยือกเย็นประณีตมากเป็นพิเศษ ถ้าเราไปติดอยู่แค่นั้นก็ไม่สามารถเข้าถึงมรรคถึงผลที่ต้องการได้ ในส่วนของอรูปฌานนั้น ถ้าเผลอไปเกิดเป็นอรูปพรหมก็จะมีอายุขัยหนึ่งหมื่นมหากัป สองหมื่นมหากัป สี่หมื่นมหากัป แปดหมื่นมหากัป เป็นต้น ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปสร้างเสริมความดีต่อบารมีอื่น ๆ ได้
ดังนั้น ในส่วนของบุญบาปที่มาขวางเรานั้น ส่วนของบุญให้พึงเข้าใจตามนี้ ในส่วนของบาป ถ้าเราทำความชั่วก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งห่างไกลความดีไปเป็นปกติอยู่แล้ว พวกเรามีความเข้าใจกันอยู่
ตัวสุดท้าย คือ มัจจุมาร คือความตายมาขวาง บางท่านกำลังใจเข้มแข็ง กล้าแข็งมากเป็นพิเศษ มีปัญญามาก ถ้าหันมาปฏิบัติธรรมจะสามารถบรรลุมรรคผลได้ในระยะเวลาอันใกล้ เขาไม่สามารถที่จะขวางด้วยวิธีใด ๆ แล้ว ก็จะฉวยโอกาสในวาระของอุปฆาตกรรมมาถึง ทำให้เราต้องตายลงไปด้วยอำนาจของกรรมเก่าที่เคยสร้างมา จึงเรียกว่ามัจจุมาร คือความตายมาขวาง