View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘
ถาม : เมื่อดิฉันนั่งภาวนาดูลมหายใจ ดิฉันจะมีวิธีการเฉพาะตัว คือ มองคลื่นม่วงพื้นหลังสีดำในตาควบคู่ไปด้วย เมื่อนั่งไปเรื่อย ๆ คลื่นม่วงจะหายไป พื้นหลังจะกลายเป็นสีเทาและสีขาวตามลำดับ เมื่อจิตรวมดีแล้ว จะเริ่มมีอาการหน่วงที่ศีรษะ ตัวเบา รู้สึกเหมือนโดนผลักจิตให้หลุดออกจากร่างกายเสมอ แต่ว่าออกไปไม่ได้ เหมือนกับติดประตู เมื่อถอนสมาธิออกมารู้สึกเหนื่อยมาก อาการที่ดิฉันพบเจอคืออะไร ? ดิฉันควรทำอย่างไรต่อไปคะ ?
ตอบ : เป็นลักษณะของสภาพจิตที่จะออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ให้ตั้งใจภาวนาแบบนั้นไปเรื่อย ๆ ถ้ากำลังพอจะออกไปได้เอง
อาการออกแบบมโนมยิทธิเต็มกำลังมีลักษณะอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ สภาพจิตจะควบแน่นเข้า หัวใจจะเต้นเร็วกว่าปกติ อัตราน่าจะเกิน ๑๒๐ ครั้งต่อนาที มีแต่เกินไม่มีขาด หลังจากนั้นถ้ากำลังพอ ก็จะโดนเหวี่ยงหลุดออกไปเลย แต่ถ้ากำลังไม่พอ หลุดออกมาก็เหนื่อยแฮ่ก ๆ แบบที่ว่ามา พยายามซักซ้อมต่อไป โดยเฉพาะให้พิจารณาตัดร่างกายบ่อย ๆ เดี๋ยวกำลังพอก็จะไปได้เอง
ถาม : ช่วงหลัง ๆ มาเวลาทำสมาธิทีไร มักจะมีอาการตึง ๆ ระหว่างคิ้ว บางทีก็อยู่แถว ๆ สันจมูก บางทีก็ตึงทั้งใบหน้าและบริเวณปาก แรก ๆ จะเป็นเฉพาะเวลาทำสมาธิ หลัง ๆ มาไม่ว่าจะเดินไปไหน เวลานึกถึงลมหายใจก็จะมีอาการอย่างนี้เสมอ อยากทราบว่าอาการอย่างนี้คืออะไรครับ ? เป็นฌานหรือเปล่า ? และถ้าสวดคาถาเงินล้านระหว่างที่อาการอย่างนี้ปรากฏ จะมีผลมากน้อยเพียงไรครับ ?
ตอบ : เอาคำถามแรกก่อน เป็นอาการของสมาธิที่เริ่มทรงตัวตั้งมั่นแล้ว ส่วนจะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌาน ไปเปิดหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ดูบทที่ ๗ หน้า ๔๐ พอดี อ่านดู..ถ้าหากว่าตรงกับฌานระดับไหนก็ระดับนั้นแหละ ส่วนถ้าภาวนาคาถาเงินล้านในขณะที่ทรงอารมณ์แบบนี้ ก็ต้องบอกว่ามีผลมากกว่าปกติ เพราะสมาธิเริ่มทรงตัวแล้ว
ถาม : แม่พระธรณีเป็นตำแหน่งหรือไม่ครับ ? ท่านเป็นเทวดาหรืออริยบุคคลครับ ?
ตอบ : แม่ธรณีเป็นตำแหน่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น แล้วเทวดาก็ต้องจัดสรรบุคคลกับที่บารมีใกล้เคียงกับที่เขาสมมติไว้มารับหน้าที่นั้น ๆ ตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนางฟ้าชั้นจาตุมหาราช โหดสุด ๆ..! ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่เป็นบุคคลทั่วไป ภาระหน้าที่ของท่านคือเป็นที่รองรับของมนุษย์และสัตว์ตลอดจนวัตถุธาตุทั้งมวล ต้องบอกว่าอารมณ์ใจของท่านคล้ายคลึงกับพรหมเลย ดังนั้น..อาตมาไม่กล้าที่จะพยากรณ์ว่าท่านเป็นอะไร รู้ว่าท่านเป็นแค่นี้ก็แล้วกัน
ถาม : หากต้องการบูชาระลึกถึงท่านควรวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : ก็นึกถึงท่านเป็นปกติในฐานะเทวดา ว่าทรงคุณความดีอะไรบ้าง หรือจะเรียก “แม่จ๋าช่วยด้วย” ก็ว่าไป
ถาม : เวลาผมขับรถไปตามเส้นทางต่าง ๆ ผมมักจะเห็นด้วยหางตาว่า มีบางอย่างยืนอยู่หน้าบ้านคนข้างทาง บางบ้านก็รู้สึกว่าท่านที่ผมเห็นยิ้มแย้ม มายืนทักทาย บางท่านยืนหน้าบ้านแบบไม่สนใจผม และรู้สึกว่ารันทด มีความทุกข์ เห็นด้วยหางตาเสี้ยวเวลานิดเดียว แต่เหมือนกับรู้หมดว่าลักษณะแบบไหน แต่งกายลักษณะอย่างไร และอีกแบบหนึ่งที่ผมมักจะเห็นข้างถนน แต่อยู่ใกล้ ๆ เสาบ้าง กองขยะบ้าง ไม่ค่อยเห็นอยู่ที่โล่ง ๆ ที่จะกราบเรียนสอบถามทั้งหมดคือว่า อุปาทานกินไหมครับ ? กลัวว่าไปเห็นเสาบ้าง กองขยะบ้าง แล้วจิตปรุงไปเอง แต่ถ้าจริง ทำไมเขาชอบไปอยู่แถวเสา หรือกองขยะ แม้กระทั่งตู้โทรศัพท์ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าใกล้บ้าแล้ว..! เป็นลักษณะที่สภาพจิตอยู่ช่วงอุปจารสมาธิพอดี จะสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ แต่ถ้าเราตั้งใจมองเมื่อไร สมาธิจะเกินช่วงนั้น ภาพนั้นก็จะหายไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เขาไม่ได้ชอบอยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่สามารถจะไปอยู่ที่อื่นได้ เหมือนอย่างกับว่าเขามีขอบมีเขตของเขาอยู่ บางคนก็เรียกว่าผีบ้านผีเรือน บางคนก็เรียกว่าสัมภเวสี
บางท่านก็ตายก่อนหมดอายุขัย บางท่านถึงหมดอายุขัยแล้วตาย แต่ว่าความดีที่ตัวเองทำมามีน้อยมาก ก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพอย่างนั้น ถ้าญาติตัวเองไม่รู้จักทำบุญไปให้ก็รันทดหน่อย ถ้าญาติตัวเองรู้จักทำบุญไปให้ก็หน้าบานเป็นจานเชิง ไปเที่ยวทักคนโน้นคนนี้
ถาม : กระผมอยากเรียนถามถึงข้อสงสัย ที่ได้อ่านเทศนาธรรมของหลวงพ่อสดมาครับ ท่านพูดถึงการติดสุขในขั้นต่าง ๆ ไล่ไปตั้งแต่สุขในกาม สุขในฌาณ สุขในอรูปฌาณ จนถึงสุขในนิพพาน ท่านบอกว่าต้องไม่ติดสุขแค่นี้ หาสุขที่ละเอียดขึ้นไป กระผมจึงอยากทราบว่า สุขที่ละเอียดขึ้นไปกว่าสุขในพระนิพพานที่ท่านกล่าวถึง หมายถึงอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากรู้จริง ๆ ก็ทำให้ได้เหมือนหลวงพ่อสดแล้วจะรู้เอง ถ้าหากว่าไม่ทำ เรื่องของนกบนฟ้าไปบอกปลาในน้ำ บอกให้ตายปลาก็ไม่เข้าใจ
ถาม : เนื่องจากมีเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งหนึ่งใช้ให้ลูกศิษย์ตำพระผงองค์เล็ก ๆ ที่ชำรุดแตกหัก เพื่อนำผงที่ได้ไปผสมหล่อเป็นพระผงองค์ใหม่ขึ้นมา ในกรณีนี้ เจ้าอาวาสผู้ใช้ให้ตำพระผง กับลูกศิษย์ที่ตำบดพระตามคำสั่ง ใครโทษหนักกว่ากันครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนถ้าใครฆ่าไก่ ผู้ใหญ่เขาบอกว่า "บาปคนทำ กรรมคนกิน" อันนี้ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่งแล้วกัน ยุติธรรมดี
ถาม : อานิสงส์ที่ได้สร้างพระผงขึ้นมาใหม่นี้ จะสามารถลบล้างโทษ จากการตำพระผงที่ชำรุดได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : การตำพระเป็นการทำลายพระพุทธรูป เป็นโทษที่เป็นอกุศลกรรม การสร้างพระเป็นการสร้างพระพุทธรูป เป็นบุญที่เป็นกุศลกรรม ไม่สามารถที่จะกลบหักล้างกันได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ดีส่วนดี ชั่วส่วนชั่ว ถ้าถึงเวลากำลังด้านไหนหนักกว่าก็เสร็จด้านนั้นแหละ..!
ถาม : เราสามารถสร้างพระองค์ใหญ่ ๆ ถวายวัด เพื่อหนีกรรมจากการบดตำพระที่ชำรุดได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ทดแทนกันไม่ได้
ถาม : มีวิธีแก้ผลกรรมจากการบดตำพระผงเพื่อนำมาหล่อสร้างพระขึ้นมาใหม่ได้อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : เท่าที่ทราบมายังไม่ปรากฏวิธี ยกเว้นว่าตั้งใจกราบขอขมาพระรัตนตรัยไปเรื่อย ๆ อาจจะบรรเทาได้สักหน่อยหนึ่ง
ถาม : แต่ถ้าสมมติเขาตำมา แต่เราบูชาโดยไม่ทราบ ก็ไม่เป็นโทษใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ ไม่เห็น คนบูชาไม่เป็นไร แต่ว่าเท่าที่พบมา จำนวนมากด้วยกันที่ตั้งใจอยากได้มวลสารประเภทนั้น ถือว่าโมทนาร่วมกัน ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน..!
ถาม : อยากทราบว่าถ้าเราให้พระผง, พระพุทธรูป, เหรียญพระ, รูปพระ, ตะกรุด แก่บุคคลอื่น เราจะได้อานิสงส์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรกก็คือทานบารมี อันดับสองได้จาคานุสติ ถ้าสิ่งที่ให้ไปเป็นรูปพระพุทธก็ได้พุทธานุสติ ถ้าเป็นรูปพระสงฆ์ก็ได้สังฆานุสติ ถือเป็นบุญใหญ่มาก
ถาม : เลี้ยงสัตว์ไว้ในห้องแต่ไม่ได้ปล่อยออกมาวิ่งเล่นข้างนอก แต่พามาเล่นบางครั้ง ถือว่าบาปไหมครับ ? เป็นการกักขังสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าครับ ? ผมเก็บแมวจรจัดที่กระโดดมาอาศัยอยู่หลังห้องมาเลี้ยงครับ
ตอบ : ได้บุญที่เลี้ยงเขา แต่ขณะเดียวกันก็ได้บาปที่ไปจำกัดเขตเขา ถ้าไม่เคยสร้างผลบุญอื่นมาก่อนเลย จะไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต มีความสุขเหมือนเทวดาหรือนางฟ้าหมดทุกอย่าง แต่ออกจากวิมานไม่ได้..!
ถาม : แล้วประเภทเอากระต่ายมาเลี้ยง มีเจตนาว่าถ้าออกไปเดี๋ยวจะเกิดอันตราย สัตว์ร้ายจะกัด ด้วยเจตนาแบบนี้จะมีผลอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่สามารถจะแก้ไขกรรมในการกักขังสัตว์ได้
ถาม : โดยปกติพระสามารถบิณฑบาตได้เป็นเวลาไม่เกินกี่โมง ? ในกรณีที่เลยเวลาบิณฑบาต สามารถขอบิณฑบาตสิ่งใดได้บ้าง ?
ตอบ : ถ้าในกรุงเทพฯ มีคำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานครตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อพระสุเมธาธิบดี วัดมหาธาตุฯ เป็นเจ้าคณะฯ ระบุไว้ชัดเลยว่า พระในกรุงเทพฯ ห้ามบิณฑบาตเกิน ๘ นาฬิกา เพราะส่วนใหญ่พวกที่บิณฑบาตแล้วอยู่สาย ๆ มักจะเป็นการหากินเสียส่วนมาก แล้วยังมีข้อห้ามพระเดินห้าง ห้ามพระปักกลดในกรุงเทพฯ ห้ามพระพักในบ้าน จะมีข้อห้ามเอาไว้ชัดเจนมาก ส่วนกรณีที่เลยเวลาบิณฑบาตแล้วก็ไม่ควรที่จะไปขออะไรเขาอีก
ถาม : การขอบิณฑบาตจากผู้ที่ไม่ใช่พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติ และไม่ใช่ผู้ที่ปวารณาตัวขอเป็นผู้อุปัฏฐาก โดยมีการโน้มน้าวหรือชักจูงให้ผู้นั้นถวายวัตถุสิ่งของที่ตนต้องการ และวัตถุสิ่งของสิ่งนั้นไม่ใช่ปัจจัย ๔ มีโทษประการใด ?
ตอบ : ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านปรับว่าไม่ใช่พระไปเลย..!
ถาม : การกล่าวอ้างลอย ๆ ถึงวัตถุสิ่งของว่าควรจะเป็นของตน โดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน สามารถทำได้หรือไม่ ? หากมีโทษ จะเป็นโทษหนักหรือเบาประการใด ?
ตอบ : ถ้าเป็นของเขาจริงก็กล่าวอ้างได้ ถ้าไม่เป็นของเขาจริงก็อยู่ในลักษณะของการฉ้อโกง เจ้าของเดิมมาก็ตัวใครตัวมัน..!
ถาม : เราสามารถกล่าวฝากบุญกุศลที่อุทิศไปให้นั้น ฝากท่านพญายมราชว่า ถ้าได้พบเห็นชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดของผู้ตายนี้ ขอให้ผู้ตายอนุโมทนาบุญจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : ก็คงต้องเป็นวันเดือนปีตาย วันเดือนปีเกิดท่านคงไม่รับรู้ด้วยหรอก ...(หัวเราะ)...
ถาม : ตกลงได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าผ่านการตัดสินของท่านก็ได้ ถ้าไม่ผ่าน ประเภทขึ้นตรงลงตรง ท่านก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร
ถาม : เวลาก่อนนอนของทุกวัน ตัวลูกและสามีจะสวดมนต์และนั่งสมาธิ ปัญหามีอยู่ว่าสามีนั่งสมาธิทุกครั้งก็หลับทุกครั้ง อดไม่ได้ที่ลูกเห็นแล้วต้องเตือน การที่ลูกเตือนนั้นเป็นบาปหรือไม่ ? หรือควรปล่อยให้หลับไปแบบนั้น ?
ตอบ : น่าจะบาป เพราะลูกกับสามีเขาทำความดี ตัวเองไม่ทำอะไรแถมไปว่าเขา ก็โยมใช้คำว่า “ตัวลูกกับสามี” ...(หัวเราะ)... แสดงว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไร
ถาม : คือตัวเองก็ทำครับ แต่ตัวสามีนั่งสมาธิแล้วหลับ ?
ตอบ : การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ระดับความสามารถของใครของมัน ถ้าเราตักเตือนเขาโดยเมตตาก็ดี แต่ถ้าตักเตือนในลักษณะที่คิดว่ากูดีกว่า หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะที่เห็นเขาแล้วหงุดหงิด เกิดโทสะ เราจะขาดทุนมากกว่า
ถาม : ถ้าเป็นบาป จะใช้วิธีขอขมาพระรัตนตรัยได้ไหมครับ ?
ตอบ : การทำความดีไม่ใช่บาป เพียงแต่สภาพจิตที่หยาบจะตัดหลับไปเสียก่อน
ถาม : จะมีโอกาสหรือไม่ที่ท่านจะทำวัตถุมงคลที่เป็นวัวธนูไว้เฝ้าบ้าน ?
ตอบ : จะเอาวัวไว้เฝ้าบ้านซึ่งผิดประเภท ต้องทำหมาไว้เฝ้าบ้าน แล้วหมาธนูอาตมายังไม่เคยเจอ..!
วิชานี้ไม่ได้ศึกษาเอาไว้ เพราะฉะนั้น..อาตมาทำแล้วไม่เป็นวัวหรอก เป็นเทวดาหมด สมัยก่อนหลวงปู่คำแสน คุณาลงฺกาโร ท่านศึกษาวิชานี้ในลักษณะที่เข้าถึงจริง ๆ แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นยังเล่าเรียนสารพัดวิชาการจากหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ อาตมาจึงไม่มีเวลาที่จะไปกราบขอเรียน ขอศึกษาจากท่าน จนท่านมรณภาพไปก่อน วิชานี้ก็เลยไม่ได้ศึกษามา ถึงเวลาใครเอารูปวัวมาให้เสก ก็กลายเป็นขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ถ้าเทวดารักษาก็ไม่ใช่วัวแล้ว กลายเป็นเทวดาไปหมด
ถาม : การบนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าประสบผลสำเร็จตามที่บนไว้ จะแก้ด้วยการบวชเนกขัมมะ ๓ วัน ขอสอบถามว่าระยะเวลาที่บวชเนกขัมมะนั้น ถ้าไม่ติดต่อกัน ๓ วันจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าตั้งใจบนไว้อย่างไร แต่ควรจะตรงไปตรงมา ถ้าไม่ได้บอกท่านไว้ว่าจะทำไม่ติดต่อกันก็อย่าไปทำแบบนั้น
ถาม : ถ้าหากเราปฏิบัติไป แล้วเกิดอารมณ์มีคำถามมากมายล้นทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก หลังจากนั้นสักระยะเราจึงรู้สึกตัวว่าโดนกิเลสเล่นงานแล้ว เราควรวางกำลังใจในการปฏิบัติต่อไป และควรใช้หลักธรรมข้อใดเป็นหลักยึด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมอีกครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...พยายามหักห้ามกำลังใจตัวเอง นักปฏิบัติจะมีอยู่ ๒ ส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งพอปฏิบัติไปแล้วจะเจอคำถามมากมายมหาศาลอย่างที่ว่า จะอยู่ในลักษณะของวิจิกิจฉาสังโยชน์
อีกส่วนหนึ่งก็คืออยากจะสอนคนอื่นเขา บางคนแทบจะไม่สามารถหักห้ามตนเองได้เลย โดยที่ลืมไปว่าถ้าเรามัวแต่สอนคนอื่นโดยที่ตัวเราเองยังไม่รู้จริง ประโยชน์ที่แท้จริงก็จะไม่มีทั้งเขาและเรา ต้องระวังตรงนี้ให้หนัก เพราะจะกลายเป็นมานะสังโยชน์
ส่วนวิธีแก้ไข ท่องคาถาไว้ว่า “กูไม่เชื่อ” ให้สังเกตดู นักปฏิบัติแถว ๆ นี้ก็มี ถ้าวันไหนเจอหน้ากันแล้วไม่พูด เขาอาจจะขาดใจตาย เสร็จตรงนี้หมด
ถาม : ก็ต้องใช้คาถาว่า “กูไม่เชื่อ” อันนี้ลงในหลักธรรมข้อไหนครับ ?
ตอบ : มีสติ ไม่ประมาท
ถาม : หลวงพ่อบอกว่า “สามัคคีมีสุข” ก็อยากทำความดีแบบสามัคคี แต่เราเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ค่อยชอบพูดชอบคุย แบบนี้เราจะทำความสามัคคีได้หรือไม่คะ ? และควรแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ให้ปฏิบัติในสังคหวัตถุ ๔ ไม่ชอบพูดไม่ชอบคุยก็ให้เขาเยอะ ๆ (ทาน) ถ้าชอบพูดชอบคุยก็ใช้ปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ แต่ว่าอัตถจริยา คือการสร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่นนั้นเว้นไม่ได้ ส่วนสมานัตตา เห็นอกเขาอกเราเหมือนกัน เรารักดีเกลียดชั่วอย่างไร คนอื่นก็เป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น..อะไรที่เป็นของดี เราชอบ เราก็ทำสิ่งนั้นกับคนอื่น อะไรที่เป็นของไม่ดี เราไม่ชอบก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ก็แก้ตก ถ้าไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ก็จงมีความเป็นส่วนตัวต่อไป
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอตักเตือนญาติโยมทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งว่า การปฏิบัติของเรานั้นจะมีสิ่งขวางอยู่ตลอดเวลา คอยขวางไม่ให้เราเข้าถึงความดีอย่างแท้จริง การที่เราอยากพูด อยากคุย อยากบอก อยากสอนคนอื่น ก็เป็นลีลาหนึ่งที่มารใช้ขวางความดีของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วว่า อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ต้องเถียงกัน วาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลผู้พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ
ฉะนั้น..ถ้าเห็นใครพูดคนเดียวก็หลีกไปห่าง ๆ คือเขาไม่ได้พูดมาก เขาพูดคนเดียว ปล่อยเขาพูดต่อไป เราก็ไปภาวนาของเรา ระดับของการปฏิบัติ ถ้ามาถึงช่วงนี้แล้วจะเป็นทุกคน คือถ้าไม่ใช่สงสัยไปทุกเรื่องก็จะเป็นอยากจะสอนเขาทุกเรื่อง
หรือว่ามีความเป็นส่วนตัวสูงจนหาเพื่อนไม่ได้ อาตมาสมัยก่อนก็เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังประมาณอายุ ๑๖ ปี เริ่มต้นทุ่มเทให้กับการปฏิบัติจนถึงอายุ ๒๕ ระยะเวลา ๙ ปีเต็ม ๆ ไม่พูดกับใครเลย แต่งานไม่เสียนะ เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เวลาที่เหลือก็ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ไม่มีเวลาพูดคุยกับใคร
มาปลายปี ๒๕๒๖-๒๕๒๗ ช่วงนั้นก็เป็นครูฝึกมโนมยิทธิอยู่ที่บ้านสายลมได้ระยะหนึ่งแล้ว เห็นบรรดาท่านที่ไปฝึก พอสงสัยอะไรก็สอบถามบรรดาครูฝึก อาตมาเองได้ยินบางท่านตอบผิด แล้วไม่ใช่ผิดครั้งเดียว ผิดหลายครั้ง ก็เกิดความรู้สึกว่า “ดูท่าเราจะต้องยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัวแล้ว” เพราะไม่อย่างนั้นแล้วบรรดาผู้ที่มาฝึกก็จะเสียประโยชน์ เพราะว่าครูฝึกบางท่านก็ไม่รู้จริง จึงหาโอกาสที่จะพูดคุยกับบรรดาพี่ป้าน้าอาในฐานะลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกันนั่นแหละ คุ้นเคยกันมาหลายปีแล้ว แต่อาตมาพูดน้อยจนนับคำได้
เวลาเห็นท่านนั่งคุยกันอยู่ก็เข้าไป “ขออนุญาตครับ ขอผมคุยด้วยได้ไหม ?” ท่านอื่นรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เห็นเขาอึ้งกันไปทั้งวง มีป้าชอ(อัญชัน ศุทธรัตน์) ถอนหายใจดังเฮือก..! บอกว่า “โล่งใจไปที ป้าคิดว่าชาตินี้แกจะไม่พูดกับใครแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาถ้าเห็นว่าใครคุยผิดก็จะอ้อม ๆ ไปใกล้ ๆ ใช้วิธีจูงให้กลับมาถูกทาง
บางทีในเรื่องของการปฏิบัติก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปโอ้อวดบอกคนอื่นเขาว่าเรารู้อะไร ยกเว้นว่าจำเป็นจริง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเก็บกดมาหลายปี มาระยะหลังนี้พออาตมาได้พูดก็เลยไม่ค่อยอยากจะหยุด..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลวัดท่าขนุนนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่า คนบูชาไปจะต้องมีใครสักคนโดนตัดสิทธิ์เป็นประจำ ไม่ช้าก็เร็ว เป็นเพราะอะไร เงินก็จ่ายแล้วแต่ไม่มาเอา ถ้าตัวเองมารับไม่ได้ก็แจ้งทางด้านเจ้าหน้าที่ว่าจะให้ใครมารับแทน แล้วก็ให้คนนั้นเขาแสดงบัตรมารับไปก็ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่อยากได้วัวธนู อาตมาขอเปลี่ยนเป็นเสือได้ไหม ? ...(หัวเราะ)... แต่คราวนี้เคล็ดการสร้างเสือของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านให้สร้างปีขาล ถ้าได้ปีขาล เดือนสาม วันอังคาร ยิ่งดี ตอนนี้ก็เลยปีขาลมาเยอะแล้ว
คาดว่าวิชาการเหล่านี้ ถ้าไม่ทำเอาไว้ต่อไปก็สูญ เพราะช่วงก่อนนั้นอาตมาทุ่มเทศึกษาทุกอย่าง ไม่รังเกียจว่าจะเป็นวิชาทางโลกทางธรรม หลวงพ่อท่านก็เหมือนกับตั้งใจให้ ขณะเดียวกัน พี่ ๆ บางท่านอยู่กับหลวงพ่อมา ๑๐ ปี ๒๐ ท่านไม่เอาอะไรเลย โดยใช้คำว่าพูดว่า “เป็นแล้วเหนื่อย” อาตมาก็แปลกใจ
อย่างที่ไม่กี่วันก่อนที่ลงภาพให้ดูว่ามีผ้ายันต์แผ่นใหญ่เกือบเท่าผ้าห่ม ที่เป็นลายมือหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเขียนยันต์ เขียนคาถาและประสิทธิ์ประสาทให้ มั่นใจว่าคงไม่มีใครได้รับลักษณะอย่างนั้น จนกระทั่งหลวงน้ามีชัยซึ่งพักอยู่กุฏิเดียวกันแต่คนละห้อง ท่านออกปากว่า “ท่านเล็ก ผมว่าท่านต้องโดนเขาวางยาตายสักวัน” “ทำไมครับหลวงน้า ?” “ไม่เห็นหลวงพ่อท่านสอนวิธีทำตะกรุดแก้ยาพิษยาสั่งกับใคร มีแต่สอนท่าน ท่านต้องโดนแน่เลย” หลวงน้าคิดดีมากเลย แกไม่คิดว่าเราเอาไปช่วยคนอื่นได้"
"จะมีอาตมากับหลวงลุงสุนทรที่มักจะได้วิชาอะไรจากหลวงพ่อท่านอยู่บ่อย ๆ แล้วอีกท่านหนึ่งนี่ต้องบอกว่าพระค้างคาว คือหลวงพี่ไพบูลย์ เพราะว่าตื่นกลางคืนนอนกลางวัน กลางคืนท่านจะเหมาเวรกลางคืนทั้งคืน ส่วนกลางวันอาตมากับหลวงลุงสุนทรแบ่งกันคนละครึ่งวัน ก่อนหน้านั้นเวรที่เฝ้าหน้าตึกหลวงพ่อมีหลวงพี่ชัยวัฒน์ หลวงน้าอมร หลวงน้าสัมฤทธิ์ แล้วก็หลวงน้ามีชัย ปรากฏว่าพอโดนหลวงพ่ออัดหนัก ๆ เข้า ก็เตลิดเปิดเปิงกันหมด..อยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะหลวงพี่ชัยวัฒน์กลัวที่สุด ถึงขนาดย้ายหนีไปอยู่สวนไผ่เลย
อาตมาเองหน้าด้าน อยู่ได้ทนที่สุด เมื่อพี่ ๆ เขาหนีกันหมด จึงต้องชักชวนรุ่นน้อง ๆ มาช่วยงาน ก็มีหลวงลุงสุนทร อาจารย์สมปอง เป็นต้น แต่ว่าหลัง ๆ อาจารย์สมปองท่านบอกว่าไม่มีเวลาภาวนา ขอให้หาคนอื่นมาแทน เลยกลายเป็นว่าต้องเหมาจนหลวงพ่อท่านมรณภาพ แต่ว่าในความที่หน้าด้านหน้าทน โดนด่าเท่าไรก็ไม่ยุบ หลวงพ่อท่านอาจจะชอบใจ ท่านก็เลยให้อะไรไว้มากมาย หลวงลุงสุนทรท่านก็ปรารภว่า “เอ..หลวงพี่ ?” ท่านอายุมากกว่าเยอะนะ ปีนี้ท่าน ๘๘ แล้ว แต่ท่านบวชทีหลัง ท่านเลยเรียกหลวงพี่
“เอ...หลวงพี่ ? ทำไมเรา ๒ คน จำเพาะเจาะจงว่าถึงเวลาแล้วหลวงพ่อต้องให้โน่นให้นี่อยู่เรื่อย” บอกว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ตอนนี้อย่าไปกวนหลวงลุงท่านเลย ๘๘ ปีแล้ว เดินยังไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว ท่านบวชตอนอายุ ๕๙ เมื่อเดือนก่อนไปเจอกันที่จันทบุรี กลายเป็นคนแก่หลังค่อมแล้ว นอกจากกระดูกเสื่อมแล้วยังหมดกำลัง คาดว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ท่านเองก็บอกว่าไม่เอาอะไรแล้ว รอเวลาไปพระนิพพานอย่างเดียว แปลว่าอาตมาคงโดนทิ้งให้รับเละอยู่คนเดียว"
"มีอยู่ครั้งหนึ่งเข้าไปในกุฏิหลวงลุงสุนทรก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ คือหลวงลุงสุนทรจับพระพุทธรูปแขวนคอ ..(หัวเราะ)... อาตมาก็บอกว่า “หลวงลุง...ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ ?” คือหลวงลุงสุนทรท่านตั้งใจเพ่งกสิณภาพพระพุทธรูป คราวนี้หลอดไฟของท่านที่ตั้งใจจะเอาไว้หลังพระพุทธรูปแก้วอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ถ้าตั้งพระพุทธรูปจะอยู่ต่ำกว่า แทนที่ท่านจะหาอะไรหนุนพระพุทธรูปให้ได้ระดับ ท่านกลับเอาเชือกแขวนคอพระพุทธรูปไว้เลย แขวนแล้วก็ผูกให้ได้ระดับ ต้องบอกว่าหลวงลุงท่านเอาง่ายเข้าว่า "แต่ผมว่าอยู่ในแนวปรามาสพระรัตนตรัย ให้เปลี่ยนใหม่เถอะครับ"
พอโดนทักท้วงท่านก็เปลี่ยน ไม่อย่างนั้นท่านก็เพ่งอยู่ทุกวันด้วยความสบายใจของท่าน คนไม่รู้นี่ก็ไม่รู้จริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าโทษเป็นอย่างไร ตั้งหน้าตั้งตาจะฝึก ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอื่น ถึงเวลาเห็นว่าวิธีนี้สะดวกที่สุดก็จับพระแขวนคอเลย ถ้าใครเคยแขวนแบบนั้นก็กราบขอขมาพระรัตนตรัยด้วยนะ ยังโชคดีว่าท่านเอาแค่พระพุทธรูป ๓ นิ้ว ๕ นิ้ว ถ้าเป็น ๙ นิ้วนี่คาดว่าเชือกคงจะรับไม่ไหว จะฟังวีรกรรมของรุ่นเก่า ๆ เขามีเยอะแยะไปหมด แต่ถ้าหากว่าเล่ามาก ๆ กลายเป็นเอาท่านมาขาย..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน ใส่ตะกรุดมหาสะท้อนไป ๓๐ ดอก ใส่กันทีให้รวยไปเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากได้ตะกรุด แล้วก็อยากได้พระกริ่งด้วย จะพกพระกริ่งอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้าใครได้พระกริ่งแล้วรู้สึกว่าอยากได้ตะกรุดมากกว่า ในตู้ก็มี..ราคาเท่ากัน ก็คือมาตรฐาน ๖,๐๐๐ บาทเท่ากัน เอาไปออกตัวในเว็บได้อีกเยอะ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มหาเอกับคณะขอเป็นเจ้าภาพสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔๙ นิ้ว กับรูปหล่อหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีฯ เท่าครึ่งขององค์จริง ปีหน้าจะเป็นปีที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านครบ ๑๐๐ ปีเกิด อาตมาปรารภสร้างถวายครูบาอาจารย์ มหาเอท่านทราบเข้าก็ขอเป็นเจ้าภาพ จ่ายค่าปั้นแบบไปแล้ว ๔๖๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน งวดนี้จะหล่อประมาณมาฆบูชาปีหน้า ท่านถวายค่าหล่อมาแล้ว หนึ่งล้านเจ็ดแสนบาท ให้ทุกท่านโมทนาด้วยกัน งานนี้ไม่รบกวนใคร เพราะได้พอแล้ว..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นพ่อเป็นแม่มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ก็คือไม่เคยเห็นลูกตัวเองโตเลย ในเมื่อไม่เคยเห็นลูกตัวเองโตก็ยังคงห่วงใยอยู่ตลอดเวลา คราวนี้ความห่วงของบางคนก็กลายเป็นห่วงเกิน พอลูกเริ่มเป็นวัยรุ่น ลูกก็จะรู้สึกรำคาญ พ่อแม่โปรดระมัดระวังอย่าให้เป็นอย่างนั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเปิดกระทู้คนมีเงินฯ จุดที่ต้องการให้ทุกคนสังเกตก็คือ ของบางอย่างหายากมาก หลายต่อหลายอย่างมีชิ้นเดียวในโลก แต่พระอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของก็สละออกได้หน้าตาเฉย ขอให้ทุกคนหัดทำให้ได้แบบนั้นบ้าง หัดทำให้ได้แล้วต่อไปจะสบาย เพราะว่าถ้าตัดใจได้อย่างหนึ่งก็ตัดได้ทั้งหมด ถ้าหากว่าตัดไม่ได้สักอย่างหนึ่ง อย่างอื่นก็ตัดยากเท่ากันหมด
เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า ครูบาอาจารย์บางทีก็ทำให้ดู อยู่ให้เห็น ต้องรู้จักเก็บให้เป็นประโยชน์ของตัวเอง บางอย่างลงประชดชีวิตไปแท้ ๆ ก็ยังอุตส่าห์มีคนบูชา แสดงว่าคนรวยมีเยอะจริง ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รอยเท้าหลวงปู่มหาอำพัน ท่านปั๊มให้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ รอยเท้าท่านอื่นอาตมาได้ตอนมรณภาพแล้วทั้งนั้น"
มีโยมกราบเรียนถามว่า พ่อตายแล้วไปไหน ? พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องตายแล้วไปไหน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งอาตมาไว้ว่า อย่าไปเที่ยวบอกชาวบ้านเขา เพราะมีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไรเลย ถ้าเขาทำความดีมาตลอดชีวิต แต่ก่อนตายจิตเศร้าหมอง ตกอบายภูมิ เราไปบอกเขาว่าตกนรก แล้วใครจะไปมีอารมณ์ทำความดีต่อ ขณะเดียวกันบางคนทำความชั่วมาทั้งชีวิต ก่อนตายจิตเกาะความดีได้ แล้วดันขึ้นสวรรค์ ก็จะมีคนว่าไม่ยุติธรรม เพราะฉะนั้น..เรื่องอย่างนี้ถ้าอยากรู้ต้องปฏิบัติเอง"
มีพระมากราบเรียนปรึกษาถึงปัญหาที่วัด "เรื่องของวัดที่มักจะมีปัญหาก็เพราะ ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือพระท่านทำไม่ดีจริง ๆ ส่วนสาเหตุที่ ๒ โยมมักอยากจะมีอำนาจในการควบคุมวัด พอพระไม่ให้อำนาจ โยมก็จะไม่พอใจ ซึ่งลักษณะนี้จะเจอกันเป็นส่วนมากเลย ที่น่าสงสารมากก็คือก่อนหน้านี้ วัด......ที่ไทรโยค มาขอหลวงตาเย็นไปเป็นเจ้าอาวาส เอารถมาแห่ไป ๓๐ กว่าคัน อาตมาก็ให้ไป ปรากฏว่าหลวงตาเย็นไปไม่ถึง ๒ เดือนก็กลับมา
อาตมาถามว่าทำไม ? "ไม่ไหวหรอกครับหลวงพ่อ เทศน์อยู่บนธรรมาสน์ยังไม่ทันจบเลย เขาแบ่งเงินกันเสร็จแล้ว มิน่าล่ะ..ว่าวัดไม่เจริญสักที เพราะว่าบรรดากรรมการวัดเล่นแบ่งเงินกันต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เอง ไม่มีถึงมือพระเลย"
สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า “ต่อไปถ้าแกไปเป็นเจ้าอาวาสที่ไหน เวลาตั้งกรรมการวัด ให้ตั้งพระให้มากกว่าโยมเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะคานโยมเขาไม่ไหว” ท่านบอกว่า “โยมใกล้วัดส่วนหนึ่งมักจะเข้ามาอยู่ในวัด ต้องการมีอำนาจเหนือพระ ถ้ามีอำนาจดั่งใจ ต่อไปเขาก็ขี่คอแล้วก็ชี้นิ้วสั่งพระ..!” ท่านสั่งไว้ตั้งแต่อาตมายังเป็นพระใหม่ ๆ เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนอสุภกรรมฐานให้กับอาตมา ตั้งแต่อาตมายังไม่ได้บวช"
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/a524j1436447503.jpg
พระอาจารย์พูดถึงหนังสือสวดมนต์เล่มใหม่ "อาตมาทำถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ค่าพิมพ์เล่มนี้ร้อยกว่าบาท คราวนี้คุณเมตตา อุทกพันธุ์ เจ้าของบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งลดให้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ยังราคาแพงอยู่ดี แต่ที่วางจำหน่ายแค่ ๒๐๐ บาท เพราะว่าคนอยากจะสวดมนต์ เขาจะทำความดีแล้วเรายังไปขายแพงอีกก็เกินไป
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ เป็นวันพระใหญ่ โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ทางวัดท่าขนุนเริ่มขับเคลื่อนเข้าไปในสถานศึกษา ตอนนี้ทำโครงการร่วมกับโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ ทางโรงเรียนทำโครงการ “แต่งชุดขาว รับศีล กินมังสวิรัติ” ทุกวันพระ ก็เลยเอาหนังสือสวดมนต์ไปแจกเด็ก เล่นเอาบรรดาครูบาอาจารย์ร้องกรี๊ดเลย บอกว่า “เมื่อวันก่อนทำบุญ ๕๐๐ ให้ ๑ เล่ม นี่เอามาแจกเด็กฟรี ๆ ครูขอรับบ้างได้ไหม ?” ท้ายสุดก็เลยหมดไป ๕๐๐ เล่ม ไม่พอแจกหรอก
ชอบใจตรงที่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนก็คือ ผอ.สนิท ทรัพย์วารี ท่านทำโครงการดีมากเลย วันพระแต่งชุดขาวไปโรงเรียน มีใครกล้าทำบ้าง ? เด็ก ๆ ทำของเปื้อนง่ายจะตาย แล้วเด็กเขาจะมีแต่งชุดขาววันหนึ่ง แต่งชุดไทยวันหนึ่ง ก็จะนุ่งโจงกระเบนกันไป เพื่อรักษาวัฒนธรรมไทย ท่านทำโครงการเข้าท่ามาก"
"ตอนนี้เรื่องโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ในกาญจนบุรี ถ้าในระดับอำเภอ ทองผาภูมิก็อยู่ในระดับที่ ๒ ของ ๑๓ อำเภอ แต่ที่อยู่ในระดับที่ ๒ นั้นจะไปวัดจากจำนวนคนไม่ได้ เราต้องวัดจากเปอร์เซ็นต์ เพราะจำนวนประชากรทองผาภูมิที่เขาขึ้นตัวเลขมาให้แค่ ๒๐,๐๐๐ กว่าคน อย่างของอำเภอท่ามะกามี ๘๐,๐๐๐ กว่าคน ถ้าเราไปวัดจำนวนคน เราสู้เขาไม่ได้หรอก แต่ถ้าวัดเปอร์เซ็นต์เราอยู่ที่ ๒ ก็คือจำนวนยอดของคนที่สมัครเข้าโครงการหมู่บ้านศีล ๕ แล้วทั้งจังหวัดก็ประมาณ ๖๐๐ วัด วัดท่าขนุนอยู่ที่ ๒ เป็นรองเฉพาะวัดใต้วัดเดียว
ไปแอบดูไลน์เจ้าคณะอำเภอ เขาบอกว่า “คืนนี้ต้องแซงทองผาภูมิให้ได้ ทองผาภูมิมีวัดท่าขนุนทำอยู่วัดเดียว ไม่น่ากลัวหรอก” ทำยอดอยู่วัดเดียว วัดอื่นบางวัดมียอดแค่ ๑ คน แล้ว ๑ คนไม่ใช่เขาทำนะ เกิดจากของเราคีย์ข้อมูลไปแล้วไปขึ้นที่วัดเขา เนื่องจากจะมีระบุว่าอยู่หมู่ที่เท่าไร ? ตำบลอะไร ? ไปทำบุญประจำที่วัดไหน ? พอคีย์ข้อมูลแล้วก็ไปขึ้นให้วัดเขา ถึงเวลาคีย์ข้อมูลทั่วประเทศได้เลย จะไปขึ้นให้จังหวัดนั้นเอง ถึงมาทำบุญวัดเราก็จะไปขึ้นให้จังหวัดนั้น แต่ว่าเราจะได้ยอดของวัด แต่ยอดหมู่บ้านจะไปขึ้นให้หมู่บ้านของตัวเอง ยอดตำบลไปขึ้นให้ตำบลตัวเอง ยอดอำเภอไปขึ้นให้อำเภอของตัวเอง ยอดจังหวัดไปขึ้นให้จังหวัดตัวเอง
สรุปแล้วทองผาภูมิ ถึงจะคีย์เข้าไปเป็นอันดับ ๒ ของจังหวัดก็จริง แต่ยอดที่เป็นของอำเภอจริง ๆ มีแค่ประมาณ ๑,๓๐๐ คน ก็แปลว่าคนในพื้นที่ที่มาวัดท่าขนุนประจำ ๆ มีแค่นั้น ประมาณ ๑,๓๐๐ คน นอกนั้นคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดล้วน ๆ คือที่อยู่จะไปขึ้นให้จังหวัดของตน แล้วก็จะมีวัดที่ไปประจำ ก็จะไปขึ้นให้วัดนั้น ของวัดท่าขนุนคีย์แล้วเด้งกลับอยู่ ๒ ชื่อ พอไปดูไปปรากฏว่าเขาไปลงชื่อไว้ที่วัดเทวราชกุญชรแล้ว ใบสมัครอยู่กับเรา แต่ว่าเขาไปลงชื่อทางด้านนั้น แล้วทางนั้นคีย์เข้าไปแล้ว ต้องบอกว่าคนทำระบบฐานข้อมูลหมู่บ้านศีล ๕ นี่เขาเก่งมากเลย สามารถแยกแยะให้ทั่วประเทศ คุณคีย์อะไรเข้าไปก็ตาม ระบบสามารถจัดการให้ทั้งหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐม ๙.๙ นิ้ว ช่างปั้นทำต้นแบบไว้ ๕ องค์ โดยการลงสีแบบต่าง ๆ ไว้ มีทั้งสีเข้มกว่านี้ มีทั้งสีแบบสนิมหยกเขียว ท้ายสุดมาสรุปตรงสีที่เห็นในปัจจุบัน พอเขายกต้นแบบมาให้ ก็บอกว่า "เอาไปลงกระทู้คนมีเงินฯ ดีกว่า" พอเขาถามว่าราคาเท่าไร ? บอกว่า ๓๕,๐๐๐ บาทเท่ากับต้นฉบับ ก็หมดตรงนั้นเลย ไม่ต้องลงกระทู้ ท้ายสุดจึงต้องเอาองค์หมายเลข ๑ ของตัวเองไปลงแทนก็หมดอีก
ตอนนี้ในส่วนที่เสียดายอยู่ก็คือว่า วัดใหญ่ของเราขยับตัวช้า เหมือนกับรอว่าอาตมาจะทำอะไร พอเห็นว่าได้เรื่อง แล้วท่านค่อยขยับตาม ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มทำสมเด็จองค์ปฐม ๙ นิ้ว กำลังให้ช่างออกแบบอยู่ ดูแล้วออกมาเหมือนพระสุโขทัยหน้านาง ส่วนบางอย่างพอทำแล้วดูเหมือนจะสิ้นเปลืองมาก ท่านก็ลดวัสดุ อย่างที่ทำเหรียญมหาสะท้อน น้ำหนักไม่ถึงสลึง ในเมื่อทำไม่ถูกต้อง จะเอาให้เหมือนกันก็ยากนะ แบบเดียวกับที่ช่างคนเดียวกัน หล่อพระให้วัดท่าขนุนแล้วไม่มีปัญหาเลย เสร็จสรรพเรียบร้อย ปิดทองประดับเพชรขึ้นแท่นไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันอีกวัดหนึ่งแก้มา ๕ เที่ยวแล้วยังไม่เสร็จ มีอยู่ ๒ อย่างที่คาดไว้ อย่างแรกก็คือ น่าจะไม่รู้จักว่าสมเด็จองค์ปฐมท่านคือใคร ได้ยินเขาบอก เกิดศรัทธาก็หล่อไปเรื่อย อีกอย่างหนึ่งได้ยินว่าวัดท่านฉันมังสวิรัติ พอถึงเวลาทำบวงสรวงก็เลยเอาหัวหมูกับไก่ออกหมด ตรงนี้น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ จนป่านนี้ก็เลยยังทำไม่เสร็จ
วันก่อนไปโรงงานจึงไปสงเคราะห์เขาหน่อย ขอให้ทำได้สำเร็จ แต่พระท่านบอกว่า ถึงหล่อออกมาก็ต้องแต่งมาก ที่เป็นห่วงไม่ได้เป็นห่วงทางวัดหรอก เป็นห่วงช่าง เพราะว่าช่างทำงานหลาย ๆ ที เดี๋ยวกำไรจะไม่เหลือ หล่อแล้วหล่ออีก แต่ละครั้งวัสดุไม่ใช่น้อย ๆ ไหนจะสิ้นเปลืองพวกแก๊ส พวกฟืนอะไรอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "นโยบายของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ต้องถือว่าสุดยอดมาก ท่านบอกว่าถ้าถือศีล ๕ ข้อไม่ครบ ก็เอาแค่ ๔ ถ้า ๔ ไม่ครบก็เอา ๓ ถ้า ๓ ไม่ครบก็เอา ๒ ถ้า ๒ ไม่ครบก็เอา ๑ ถ้า ๑ ไม่ได้ก็ให้พยายามรักษา นโยบายนี้ก็คือลักษณะของคนทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว ที่ศีลจะต้องไม่ครบ จึงบอกว่า ในเรื่องโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ นี่แปลว่าเราต้องพยายามลงมือกระทำ ไม่ใช่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้แล้วไม่ทำ ให้รักษาศีลไม่ได้แปลว่าต้องประสบความสำเร็จ แต่แปลว่าให้ตั้งใจรักษา คนที่ไม่เข้าใจนโยบายตรงนี้ก็จะคิดว่า ท่านจะให้คนเป็นพระโสดาบันทั้งประเทศ"
พระอาจารย์พูดถึงมีดพับศิลป์บ้านจ่าตุ่มว่า "หนอนน้อยชาเขียวเล่มนี้อาตมาพกมา ๑๐ กว่าปี พกเสียเก่าแล้ว เป็นมีดพับศิลป์เล่มแรกที่ทางด้านโน้นเขาทำเสร็จ อาตมาไปตื๊อเขามา ซื้อมาตอนนั้น ๕๐,๐๐๐ บาท เพราะเจ้าของเขาไม่ขาย ไปตื๊อเขาเอามาจนได้ จากที่สีเขียว ๆ พกจนกระทั่งหายเขียวแล้ว คือเขาตั้งราคาแบบไม่ขาย พวกเราคงจะเข้าใจนะ แต่เขาคงไม่คิดว่าจะมีคนบ้าอยากได้ ประเภทตั้งราคาแบบไม่ขายแล้วมีคนสู้นี่จุกมาเยอะแล้ว
ต้องบอกว่าที่นึกไม่ถึงก็คือ อย่างพระกริ่งปลดหนี้สองแผ่นดินเนื้อทองคำ ราคาแพงมาก แต่คนก็ยังอุตส่าห์สละมา เพื่อให้คนอื่นเขาได้บูชาต่อ เอาเงินมาทำงานพระพุทธศาสนา ต้องบอกว่ากำลังใจของเขาเหลือล้นจริง ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ปัจจัยที่โยมบูชาพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน เพียงพอแล้ว เพราะว่าเราจะให้เขาประมาณ ๔.๒ ล้านบาท ตอนนี้ได้มา ๕.๘ ล้านบาท เหลือเข้าสร้างพระพุทธรูปทองคำประมาณล้านเศษ ๆ หลังจากนี้ไม่ง้อแล้ว จะขึ้นราคาหูดับตับไหม้ไปเรื่อย ๆ ใครขยับตัวช้าก็ถือว่าเป็นลูกคนรวย..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดิน เนื้อทองคำ สร้างปัญหาให้กับช่างมากเป็นพิเศษ สั่งเขาสร้าง ๑๐๐ องค์ ช่างเขาทำแบบเผื่อไว้ ๒๕๐ องค์ เหลือที่สวยใช้ได้แค่ ๗๗ องค์ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาทะลุตรงระหว่างพระหัตถ์ ก็คือบอกไปว่ามีตำหนินิดหน่อยก็ไม่เอา จึงกลายเป็นว่าสั่งมากได้น้อย ช่างก็หล่อจนหมดอารมณ์ ๒๕๐ องค์ได้แค่ ๗๗ องค์ ช่างก็หมดกำลังใจเหมือนกัน ก็เลยบอกว่า ในเมื่อหมดกำลังใจก็เอาแค่นั้นแหละ ถ้าขืนให้ทำอีก สงสัยต้องหล่ออีกเป็นร้อยถึงจะทำได้ครบตามที่สั่ง"
ถาม : การพิจารณาวิปัสสนาญาณ ดูเฉพาะแยกรูปแยกนามใช่ไหม ?
ตอบ : ไม่จำเป็น เพราะวิปัสสนากรรมฐานนั้น เราจะพิจารณาไตรลักษณ์ก็ได้ จะพิจารณาอริยสัจ ๔ ก็ได้ ดูอาการ ๓๒ ก็ได้ อยู่ที่ความชำนาญ ความถนัดของเรา จะดูตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ อย่างก็ได้ หรือจะพิจารณาอายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อะไรพวกนั้นก็ได้ ให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา สรุปตรงไตรลักษณ์หมด
ถาม : ถ้าแยกรูปแยกนามต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : นามรูปมีอะไรเที่ยงไหมเล่า ? ท้ายสุดก็ลงตรงนั้นทั้งหมด เพียงแต่ว่าการเห็นรูปเห็นนาม ถ้าหากเราเห็นไม่ตลอด เราก็แค่สามารถแยกออกเท่านั้นว่าอะไรคือรูป อะไรคือนาม แต่ว่าจิตไปยึดอยู่ รู้ว่าอันนี้เป็นรูป แต่สวย..ก็เสร็จเขาใช่ไหม ? จึงต้องมีปัญญามากกว่านั้น รู้จักแต่เห็นรูปนามเฉย ๆ ยังไปไม่รอด ทำอย่างไรจะทิ้งความเป็นรูปเป็นนามได้ ซึ่งท้ายสุดก็คือต้องมาลงไตรลักษณ์ คือ อนัตตา ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้
ค่อย ๆ ทำไป นี่เป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมขั้นสูง ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจกันง่าย ๆ เราทำไปถึงระดับหนึ่งแล้วคิดว่าใช่ พอคลำ ๆ ไปจะมีละเอียดมากกว่านั้นขึ้นไปเรื่อย ๆ
ถาม : เรื่องการพิจารณากายคตาสติจะต้องไล่ทีละอย่างหรือเปล่า ?
ตอบ : จะพิจารณาทีเดียวทั้งหมดก็ได้ แต่ต้องแยกแยะให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ เพื่อให้สภาพจิตของเราเห็นแล้วยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าหากว่าพิจารณาไม่ครบถ้วน สภาพจิตอาจจะคัดค้านได้
ถาม : ใจไม่ยอมรับ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตคัดค้านไม่ยอมรับขึ้นมา เราก็ไม่สามารถจะเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
ถาม : หมายถึงว่าต้องพิจารณาให้ละเอียด ?
ตอบ : เหมือนอย่างกับตีอวนเอาปลาทั้งทะเล เรียกว่าไม่มีตัวไหนรอดไปได้ถึงจะยอมรับ แต่หลังจากสภาพจิตยอมรับแล้ว เราแค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตก็จะเชื่อเลย แต่ก่อนหน้านี้บอกอย่างไร ก็หาช่องมาเถียงจนได้
เหมือนกับเมื่อครู่ที่มีโยมถามปัญหา ว่าการพิจารณาวิปัสสนาญาณนี่ ดูเฉพาะแยกรูปแยกนามใช่ไหม ก็บอกว่าถ้าคุณแยกรูปแยกนามได้ ก็ได้แค่นั้นแหละ เพราะถึงเวลาเรารู้ว่าอันนี้เป็นรูป แต่ใจเสือกบอกว่าสวยถูกใจ แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ไปแยกรูปแยกนาม ต้องมองข้ามขั้นนั้นไปให้ได้ ว่าไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร
ลักษณะการพิจารณากายคตานุสติก็เหมือนกัน สภาพจิตของเราดื้อเป็นปกติ เพราะอวิชชาปกคลุมอยู่ จึงต้องเปิดเผยให้สว่างที่สุดเท่าที่จะสว่างได้ คือต้องดูให้ครบทุกรายละเอียด จนสภาพจิตยอมรับจริง ๆ ในเมื่อยอมรับจริง ๆ แล้ว ต่อไปเราแค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตก็จะไม่เถียง จะยอมรับ
ดูตัวเอง เสร็จแล้วก็กระจายออกว่าคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ ต้องกลับไปกลับมา อนุโลม ปฏิโลม จนกระทั่งสภาพจิตยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ ทั้งที่เป็นของเราและของเขา ไม่มีอะไรที่เป็นของสวยงามอย่างแท้จริง
ถาม : ต้องใช้สมาธิตัดหรือเปล่า ?
ตอบ : แรก ๆ พิจารณาไปเรื่อย สมาธิจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เอง แต่ถ้าหากว่าเราหยุดการพิจารณา บางทีตัวสมาธิก็สลายไป เพราะฉะนั้น..เราควรที่จะมีกำลังสมาธิมาสนับสนุน ด้วยการที่เราตั้งหน้าตั้งตาภาวนาให้กำลังทรงตัว แล้วค่อยมาพิจารณา
ถาม : สภาวธรรมนั้นมีอยู่จริงหรือไม่จริง ?
ตอบ : มีอยู่จริงในส่วนของสมมติ และมีอยู่จริงในส่วนของปรมัตถ์ ถ้าที่มีอยู่จริงในส่วนของสมมตินั้น เมื่อถึงปรมัตถ์แล้วเขาถือว่าไม่มี
ถาม : หมายถึงมี แต่เรารู้ว่าไม่มี ?
ตอบ : ใช่..เราไปสมมติว่าเป็นก็เป็น แต่พอไปถึงความเป็นปรมัตถ์แล้ว สิ่งเหล่านั้นก็แค่สมมติ เลยไม่มี จะคุยเรื่องพวกนี้ต้องสงสารคนอื่นบ้าง ถ้าโหนไม่ถึงเขาก็จะหาว่าเราบ้า หรือไม่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง
ถาม : มีโดยปรมัตถ์ ในขณะที่จิตจับก็คือไม่มี ?
ตอบ : ใช่..ถ้าหากว่าเขาถึงความดับจริง ๆ ก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ แต่คราวนี้การที่เข้าถึงอย่างแท้จริงนั้น เป็นการเข้าใจทุกอย่างโดยถ่องแท้ ดังนั้น..ก็จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นสมมติหรือปรมัตถ์ มีความเป็นสัจจะของตนเองอยู่ บุคคลที่เข้าถึงปรมัตถ์แล้ว ก็ยังเคารพสมมติเป็นปกติ ยกเว้นว่าท่านที่เข้าไม่ถึงอย่างแท้จริง เห็นด้านเดียวก็จะเป็นอย่างที่ว่า พระพุทธรูปไม่มีอะไรสำคัญ ก็เหมือนอย่างกับอิฐ หิน ดิน ทรายทั่ว ๆ ไป เอาไปหลอมชั่งกิโลขาย พวกนั้นต้องบอกว่ามองโลกด้านเดียว
ถาม : อย่างอสุภกรรมฐานที่เราเอารูปมาเพ่ง ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ใช่มีของเก่าอยู่จริง ๆ รูปถ่ายช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะของจริงนี่ทั้งสีทั้งกลิ่นมาพร้อมเลย เราเห็นในรูปถ่าย เราก็อาจจะรู้สึกว่าน่าเกลียด แต่เข้าไม่ถึงความเป็นอสุภะ คือความไม่สวยงามอย่างแท้จริง
ถาม : ในขณะที่เราพิจารณาอสุภกรรมฐาน แบบสมถะกับสติปัฏฐานจะแตกต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ในส่วนของอสุภกรรมฐานแบบสมถะภาพจะติดตาเรา แล้วก็คอยย้ำเตือนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา แต่ขณะเดียวกัน ถ้าปัญญาไม่ยอมรับ ก็จะได้เฉพาะช่วงที่สมาธิทรงตัว พอสมาธิคลายออกก็กำเริบใหม่ว่า ไปยึดถือมั่นหมายอีกว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ถ้าในส่วนของการเป็นวิปัสสนาเป็นมหาสติ ก็จะจดจ่ออยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนี้ไม่สวยงามอย่างแท้จริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อย่างแท้จริง ถ้าหากว่าเป็นวิปัสสนากรรมฐานแล้วเข้าถึงได้ สภาพจิตยอมรับทีเดียวจบไปเลย แต่ในส่วนมหาสติยังต้องดำเนินอยู่ต่อไป
ถาม : สติปัฏฐานต้องมีสติต่อเนื่อง ?
ตอบ :ต้องต่อเนื่องโดยไม่ขาดช่วง ถ้าขาดช่วงเมื่อไร โอกาสที่กิเลสกำเริบยังมี ต้องต่อเนื่อง ขาดช่วงเมื่อไรกิเลสตีกลับ
ถาม : ในสมถกรรมฐานต้องต่อเนื่อง ก็คือ วิตก ส่วนสติปัฏฐานต้องต่อเนื่อง ก็คือวิตกเหมือนกัน ?
ตอบ : ในส่วนของวิตกนั้นก็คือคิดอยู่ว่าเราจะทำอย่างไร ในส่วนของสติปัฏฐานนั้นเลยวิตกไปแล้ว
สำหรับโยมที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่าวิตก วิตกก็คือการที่เรายกเอาสิ่งที่เราจำได้ขึ้นมา เอามาคิดในลักษณะที่ให้เข้าใจ ตอนช่วงที่คิดให้เข้าใจ เขาเรียกว่าวิจาร จนกระทั่งสภาพจิตยอมรับได้ถึงจะเป็นปัญญา ก็แปลว่าเรายกเอาสัญญาขึ้นมาพิจารณา จนกว่าสัญญานั้นจะเป็นปัญญา ก็คือ เอาความจำที่เราศึกษามา ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้อ่านมา เอามาพินิจพิจารณา จนกระทั่งจากสิ่งที่จำได้ กลายเป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าเป็นสิ่งที่ทำได้เมื่อไร จิตเราจะยอมรับ แล้วเราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปจำอีก เพราะฝังอยู่ในใจของเราเลย
เฮ้อ...อธิบายแล้วเหนื่อย แต่ถ้าไม่อธิบายตรงนี้ หลายท่านก็จะสงสัยว่าวิตกคืออะไร ?
ถาม : ผมจะเอาพระนิพพานครับ ?
ตอบ : ของอย่างนี้ต้องลงมือทำ ไม่ใช่ดีแต่ปากพูด
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกคุณจะทราบหรือไม่ทราบก็บอกให้รู้ว่า วัตถุมงคลของวัดท่าขนุน อาตมาก็ต้องควักเงินส่วนตัวบูชาเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเองแล้วรับฟรี เพราะฉะนั้น..ถ้าช่วงไหนมีเงินส่วนตัวเหลือมากก็บูชาได้หลายองค์ ถ้าช่วงไหนมีน้อยก็อาจจะได้องค์เดียว ถ้าช่วงไหนไม่มีก็ไม่ได้เลย บางคนอาจจะคิดว่าเจ้าอาวาสเก็บเอาเองก็ได้ อาตมาไม่เคยใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าอาวาส"
ถาม : เมื่อครู่มองที่พระพุทธรูปแล้วเห็นว่า วัตถุในโลกมีเพียงเท่านั้น สร้างเป็นพระพุทธรูปได้ดีที่สุดก็เท่านั้น แบบนี้เรียกว่าเห็นอะไรคะ ?
ตอบ : ลักษณะของการกระจายออกก็ต้องรวมเข้ามาอีกทีหนึ่ง ในเมื่อถึงที่สุด เห็นความเป็นจริงแล้ว แล้วก็ย้อนกลับมาอีกทีหนึ่ง เพราะว่าสมมติทั้งหลายจริง ๆ ก็ยังเป็นประโยชน์ สมมติที่เป็นประโยชน์อยู่ อย่างเช่นรูปพระ จัดเป็นพุทธานุสติ
ถ้าหากว่าเราเอาจิตเกาะท่านไว้ก็เป็นการไม่ประมาท เราจะได้ไม่พลาดจากความดี อยู่ในลักษณะของคนที่ถึงพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ แต่ถ้าหากว่าเราไปเห็นเฉย ๆ ว่าสิ่งนี้ไม่มีอะไรเลย เดี๋ยวจะออกอาการแบบเดียวกับวัดสามแยก ถึงเวลาก็เหยียบพระพุทธรูปได้ ตบพระพุทธรูปได้ หลอมพระพุทธรูปไปชั่งกิโลขายได้ เพราะเห็นว่าไม่มีอะไร
ถาม : ไม่ได้เห็นว่าไม่มีอะไร แต่เห็นว่าพระพุทธรูปแม้จะสร้างด้วยวัตถุชั้นดีอะไรในโลก ก็เทียบไม่ได้เลยกับความเคารพพระที่มีอยู่ในใจค่ะ ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าสิ่งภายนอกเป็นแค่วัตถุเท่านั้น ความมั่นคงใจจริง ๆ อยู่ในใจของเรา
พระอาจารย์กล่าวว่า “ท่านใดที่บูชาสมเด็จองค์ปฐม ๙.๙ นิ้วไปก็ดี หรือสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ไปก็ดี ให้ตั้งใจสวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบทุกเช้า ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ อานุภาพที่เด่นที่สุดก็คือถ้าใครคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง คำว่าใครในที่นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะมนุษย์ จะเป็นอมนุษย์ เทวดา มาร พรหมอะไรก็ตาม ถ้าคิดไม่ดีกับเราซึ่งบูชาท่านอยู่ ตัวเขาจะเดือดร้อนเอง ต้องบอกว่าอานุภาพครอบจักรวาลแบบนี้อยากได้มานานแล้ว
แต่ถ้าจะเอาอานุภาพแบบมหาสะท้อนก็ต้องพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดิน เนื้อทองคำอาตมาใส่ชนวนเหรียญพุทธบารมีทองคำลงไป ๑๓ บาทเศษ เนื้อเงินใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไป ๓๐ ดอก มีคนถามว่าทำไมต้อง ๓๐ ดอก ? อ๋อ..พอดีมีอยู่แค่นั้น ถ้ามีเยอะกว่านั้นก็จะใส่อีก..!
ตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ เนื่องจากจ้างทางโรงงานเขาปั๊มให้ จึงต้องมาตอกโค้ดของเราเอง ฝีมือม้วนของคุณมะลิแก้ว ดังนั้น..ถ้าหากใครคิดจะปลอมก็ต้องปลอมโค้ดด้วย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าโค้ดเล็กจิ๋วเดียว การสร้างวัตถุมงคลรุ่นหลัง ๆ มา ๓-๔ รุ่นมักจะมีโค้ดซ่อนอยู่ ถ้าท่านใดตาดี ๆ ก็จะเห็น เหรียญพุทธบารมีก็มีคนมาถามว่าจุด ๆ นี้คืออะไร แสดงว่าตาดีมองเห็นเหมือนกัน ก็เอาแว่นขยายส่องดูหน่อยสิ"
ถาม : ในขณะทุติยฌานละวิตก วิจาร แล้วเป็นฌานโดยไม่มีวิตกได้อย่างไร ?
ตอบ : สภาพจิตจะก้าวข้ามไปเอง เราไม่ต้องเสียเวลาไปตัดไปละอะไรทั้งนั้น พอสมาธิดิ่งลึกขึ้นไป ก็จะทิ้งวิตกวิจารไปโดยอัตโนมัติ เหมือนเราก้าวพ้นจากบันไดขั้นนี้ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เราไม่ต้องไปรื้อบันไดทิ้งหรอก แค่ไม่ไปยุ่งกับขั้นนั้นเท่านั้นเอง
ถาม : คือทรงอยู่ตรงนั้น แต่ไม่สนใจ ?
ตอบ :ลักษณะเหมือนกับที่เราเดินจงกรมยกย่างเหยียบ พอเรายกก็สมมติว่าเป็นวิตก เราย่างนี่เป็นวิจาร เราเหยียบนี่สมมติว่าเป็นปีติก็แล้วกันนะ พอเราย่างขั้นตอนในการยกก็จะหายไปเอง ไม่ต้องไปทิ้ง พอเราเหยียบ ขั้นตอนการย่างก็จะหายไป เราก็ไม่ต้องไปทิ้งขั้นตอนนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ว่าสภาพจิตดำเนินดิ่งลึกไปเรื่อย ๆ ตามระดับสมาธินั้น ๆ เอง เสียเวลาที่จะไปทิ้ง บางคนพยายามจะไปทิ้ง แล้วเมื่อไรจะทิ้งได้ ไม่ต้อง...จะเป็นไปเอง
ถาม : ผู้ที่ได้ฌาน ต้องจำเป็นไหมว่าต้องรู้ว่าตนได้ฌานอะไร ?
ตอบ : ถ้าสามารถศึกษาขั้นตอนไว้ก่อน ถึงเวลาเข้าถึงก็จะรู้เลยว่าตัวเองอยู่ในขั้นไหน แต่ถ้าไม่ศึกษาไว้ก่อน เท่าที่พบมา หลายท่านทำได้เยอะมากเลย แต่ไม่รู้ว่านั่นคืออะไร
ถาม : จำเป็นต้องรู้ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นที่จะต้องไปรู้ ขอให้ทำได้ เพราะว่าทันทีที่ตัวเองทำได้ ก็จะมีอำนาจไปกดรัก โลภ โกรธ หลงให้ดับลงได้ชั่วคราว
ถาม : เรานึกถึงดวงกสิณ ถ้าเป็นฌานที่สอง ไม่ต้องนึกหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ถ้าใจเรายังจดจ่ออยู่ สภาพดวงกสิณที่เปลี่ยนแปลงนั่นแหละ คือสภาพจิตที่ดิ่งลึกเป็นสมาธิสูงไปเรื่อย ๆ เอง
ถาม : แสดงว่าผู้ที่คล่องในฌานสองแล้ว เป็นผู้ที่มีดวงกสิณอยู่ตลอดเวลา ?
ตอบ : สามารถที่จะทรงเองได้ อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นปฏิภาคนิมิต
ถาม : ในทุกอิริยาบถเลย ?
ตอบ : ใช่..แต่คราวนี้ถ้าเผลอก็ลืม ต้องมาตั้งต้นใหม่ ยกขึ้นมาใหม่ เผลอขาดสติเมื่อไรก็ลืม สมมติว่าเผลอหลับก็ลืม ถ้าสภาพจิตหลับกับตื่นรู้ไม่เท่ากัน ดวงกสิณก็จะหาย ก็ต้องเสียเวลายกขึ้นมาใหม่
ถาม : ต้องยกขึ้นฌานหนึ่งใหม่ ?
ตอบ : ใช่...การที่ยกขึ้นมาต้องเริ่มตั้งแต่อุคหนิมิตเลย นั่นเป็นส่วนของแค่ปีติ หรือว่าแค่วิตกวิจารก็ได้ แล้วแต่ความหยาบละเอียดของสภาพจิตของเราในตอนนั้น
ถาม : แล้วที่บอกว่าเข้าฌานสี่ได้ทันทีเลย ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัว บาลีเรียกว่า สมาปัชชนวสี ก็คือมีความคล่องที่จะเข้าสมาธิทุกระดับที่ต้องการได้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นบางทียังไม่ทันคิดอะไรก็ไปแล้ว
อาตมามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง ก็คือหลวงพ่อพระครูสุวรรณจันทนิวิฐ ท่านเป็นลูกศิษย์เรียนปริญญาโท แต่อายุท่านมากกว่า พรรษาท่านมากกว่า ท่านมีความสามารถในการเข้าฌาน แต่ไม่มีความคล่องตัวในการออก บางทีพอหมดเวลา เพื่อนต้องช่วยกันยกท่านที่แข็งทื่อเอาไปไว้ที่อื่น จะได้ไม่เกะกะเขา เขาจะได้เก็บกวาดสถานที่ได้ บอกหลวงพ่อท่านให้ตั้งเวลาไว้ ท่านไม่เข้าใจคำว่าตั้งเวลา ในเมื่อไม่เข้าใจคำว่าตั้งเวลาแล้วตูจะไปทำอะไรได้ ? บอกว่า "หลวงพ่อตั้งใจไว้สิ..ว่าอีก ๑ ชั่วโมงเราจะเลิก" หรือจะเอากี่ชั่วโมงก็ว่าไป
คราวนี้ท่านขาดวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากฌาน มีแต่สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าฌาน ในเมื่อขาดวุฏฐานวสี ไม่สามารถที่จะออกได้ตามที่ตนเองต้องการ ก็ต้องรอจนกว่าสมาธิจะคลายเอง เขาอุ้มท่านไปตั้งไว้ที่อื่นเสียนานเลย
ถาม : ท่านได้สมาบัติที่คล่องในการเข้า ?
ตอบ : นั่งพักเดียวก็เข้าได้เลย แต่คราวนี้ท่านตั้งเวลาออกไม่เป็น เขาถึงได้แยกวสีออกเป็น ๕ แบบ ท่านเองไม่สามารถที่จะกำหนดเวลาได้ แล้วขำที่สุดก็คือ เขามีพุทธาภิเษกจนกระทั่งเลิกแล้ว หลวงพ่อท่านก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น จนท้ายสุดท่านเจ้าคุณแย้ม (พระราชวิริยาลังการ) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงก็บอกให้ช่วยกันยกเอาไปตั้งไว้ที่อื่นก่อนก็แล้วกัน ทำอย่างกับยกหุ่นหรือรูปปั้น
ถาม : ตัวท่านไม่มีปัญหา ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา เพราะสมาธิท่านอยู่ข้างใน ไม่รับรู้อาการภายนอกอยู่แล้ว ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่รู้สึก
ถาม : ถ้าเข้าปฐมฌานจะไม่รู้สึก ไม่ได้ยิน หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ปฐมฌานยังรู้สึกอยู่ ความรู้สึกยังอยู่ที่ตัวครบถ้วน แต่ว่าไม่สนใจ มีความรู้สึกอยู่ ใครจะสัมผัส ใครจะพูดอะไร ยังรู้ ยังได้ยินอยู่ทุกอย่าง แต่ว่าไม่ไปสนใจเท่านั้น ก็คือไม่สามารถไปทำให้ท่านสะเทือนจนกระทั่งออกมารับรู้ข้างนอกได้ ยกเว้นว่าท่านจะตั้งใจรู้เอง
ถาม : ถ้าคล่องตัวในสมาบัติมาก จะไม่ได้ยินเสียงเลย ?
ตอบ : ถ้าเข้าถึงจริง ๆ รู้ทุกอย่างแต่ไม่สนใจ ที่บอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลยจริง ๆ ก็ได้ยิน ไม่รู้ลมหายใจเลยจริง ๆ ก็รู้ แต่ว่ารู้ในลักษณะที่สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ซึ่งขั้นตอนนี้เกินจากที่เราอ่านตำราไป
ต้องบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปิดทางสายใหม่ให้พวกเราก็คือมโนมยิทธิ โดยปกติแล้วยกจิตออกไปก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับร่างกายนี้ได้เลย แต่ท่านขอบารมีพระ ขอบารมีครูบาอาจารย์ให้สงเคราะห์ว่า ให้สามารถตอบโต้ได้ เพื่อคนที่ไปไม่ได้จะได้รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ตรงจุดนี้จึงกลายเป็นทางสายใหม่ เพราะปกติสมาธิในระดับนั้นจะไม่สามารถรับรู้เรื่องภายนอกได้ แต่อาศัยที่พระหรือว่าครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ ทำให้เราสามารถรู้ได้
แรก ๆ อาตมาก็แปลกใจ เอ๊ะ..ปกติสมาธิระดับนี้ต้องไม่รู้เรื่องภายนอก ทำไมเรารู้วะ ? ปกติต้องพูดไม่ได้ ทำไมเราพูดได้ ? แต่กว่าจะบังคับให้ตัวเองพูดได้ ต้องขยับแล้วขยับอีก กว่าที่สมาธิจะตรงล็อกให้เราพูดได้
ถาม : ไม่ใช่เราเลื่อนสมาธิให้มารับรู้ ?
ตอบ : แรก ๆ กว่าจะบังคับตัวเองได้ บางทีก็แข็งทื่ออยู่ตั้งนาน มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่ลูกศิษย์เขาโทรศัพท์มาตอนตี ๒ กว่า แล้วอาตมาเฝ้าหลวงปู่มหาอำพันที่ท่านป่วยอยู่ ด้วยความที่กลัวว่าเสียงโทรศัพท์จะไปกวนหลวงปู่ พอโทรศัพท์ดัง อาตมาก็ปราดไปถึง ยกหูขึ้นมา แล้วก็ยืนแข็งทื่ออยู่ท่าอย่างนั้น แล้วก็รู้ตัวว่า นี่ตูยังหลับอยู่นะ ยังหลับอยู่ สมาธิยังลึกมากเลย บังคับร่างกายให้ไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ยังพูดไม่ได้ ยังต้องขยับอีกตั้งนานกว่าที่จะพูดกับเขาได้
ถาม : อันนั้น คือ เราคลายสมาธิออกมารับรู้แล้วรีบกลับเข้าไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เป็นการเข้าออกสมาธิเร็วเกินไป ตอนนั้นยังไม่มีความชำนาญ ยังบังคับไม่ได้อย่างใจ
ถาม : เข้าออกเร็วมาก ?
ตอบ : ใช่..เข้าออกเร็วมาก วิ่งไปถึงเครื่องแล้วพอยกโทรศัพท์ขึ้นมา ดันกลับเข้าไปสู่สมาธิเดิม เลยทำให้พูดไม่ได้
ถาม : ลักษณะที่เรามีสมาธิต่อเนื่องแล้วทำอะไรได้นี่ แสดงว่าเราเข้า-ออกได้เร็ว ?
ตอบ : เราต้องเข้าออกได้เร็วพอ ก็คือมีความชำนาญในการเข้าและการออก แต่การต่อสู้ส่วนใหญ่จะเป็นการถอยออกมาจากสมาธิระดับสูง โดยที่กำลังของสมาธิระดับนั้นยังคุมเราอยู่
ถาม : การเจริญอนิจจสัญญาจำเป็นต้องมีสติปัฏฐานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี เพราะถ้าหากขาดสติเมื่อไร ก็จะกลายเป็นนิจจัง แล้วไม่เป็นอนัตตา คือปัญญาจะไม่ยอมรับทันทีเลย เพราะว่าสภาพจิตมีความดื้อเป็นปกติ ในเมื่อเราเห็นว่าไม่เที่ยง เผลอเมื่อไรก็จะมาเถียง ที่พระพุทธเจ้าเตือนไว้ว่า การเมาวัย ก็คือเมาว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ แล้วก็เมาชีวิต ก็คือถึงเวลาไม่ไปคิดว่าอนิจจัง ไม่คิดว่าแก่แล้ว ไม่คิดว่าจะตาย
ถาม : อย่างนี้ความเข้าใจชั่วครั้งชั่วคราวเราเรียกว่าปัญญา ?
ตอบ : เป็นปัญญาชั่วคราวเหมือนกัน อาจจะเป็นแค่จินตามยปัญญา ก็คือคิดได้ แต่ว่ายังไม่เป็นภาวนามยปัญญา ก็คือใจยังไม่ยอมรับจริง ๆ แต่ว่าให้ได้เอาไว้ก่อน เพราะถ้าไม่ได้นี่เท่ากับเรายังห่างอีกมากเลย
ถาม : ที่ท่านบอกว่า เข้าถึงอนิจจสัญญาจะสามารถละอสมิมานะได้ ?
ตอบ : ก็ถ้าเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ก็ไม่รู้จะไปยึดถือมั่นหมายทำอะไร ตัวกูของกูก็เลยไม่มี ในเมื่อตัวเองไม่เที่ยงอย่างนี้ ในฐานะอื่น ๆ โดยเฉพาะทางโลกที่เขายกให้ จะมียศ มีตำแหน่งอะไร ก็ยิ่งไม่เที่ยงเข้าไปใหญ่
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครูบาอาจารย์บางท่านกล่าวว่า สภาพจิตของเรามีความกลับกลอกเป็นปกติ แต่ความจริงก็คือต้องบอกว่ากิเลสเก่งกว่า ในเมื่อกิเลสเก่งกว่าถ้าเราก้าวพ้นไม่ได้จริง ๆ ถึงเวลาก็โดนดึงกลับ ก็เลยเป็นประเภทเบื่อ ๆ อยาก ๆ"
ถาม : ในเรื่องจับภาพพระ เราควรกำหนดภาพพระปางพระนิพพานหรือเปล่า ? มีพี่คนหนึ่งบอกว่า เราควรกำหนดภาพพระพุทธชินราช ?
ตอบ : ในเรื่องของภาพพระ ให้เอาที่เรารักเราชอบมากที่สุด เพราะว่าจิตจะได้ยึดเกาะได้ง่าย เขาชอบ..ไม่ใช่เราชอบ เพราะฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องไปตามเขา
ถ้าเรากำหนดภาพพระปางพระนิพพานก็จะได้อุปสมานุสติด้วย ก็คือพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากที่พระนิพพาน ในเมื่อเราเห็นท่านก็คือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ถึงเวลาเราก็แปะตัวเองอยู่บนนั้นเลย ตายก็จบ..ไม่ต้องเสียเวลาทำอะไรอีก
ถาม : บางท่านเจริญอนิจจสัญญา บางท่านเจริญทุกขสัญญา ?
ตอบ : แล้วแต่ความถนัดความชำนาญของแต่ละคน บางคนดูทุกข์แล้วเห็นง่าย แต่บางคนบอกว่าดูทุกข์แล้วเศร้าหมอง ก็หันไปดูความไม่เที่ยงแทน
ถาม : ก็ทุกข์เหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน..ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทั้ง ๓ อย่าง มีอย่างใดอย่างหนึ่งก็มีครบ ๓ อย่างเลย ก็คือในเมื่อเห็นว่าไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยงก็ต้องเป็นทุกข์ ในเมื่อไม่เที่ยง แล้วเป็นทุกข์ เราจะไปยึดถือมั่นหมายได้อย่างไร ?
เรื่องความทุกข์กับอนัตตาก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนที่ยังไม่เข้าถึงจริง ๆ ก็จะเห็นทีละอย่างไปก่อน พอเห็นจนคล่องตัวจริง ๆ แล้วถึงจะอ๋อ..ที่แท้ ๓ อย่างก็รวมกันอยู่ในอย่างเดียวนั่นแหละ
ถาม : การเจริญอนิจจสัญญาใช้การจำเอา นึกเอา ?
ตอบ : แรก ๆ เป็นการจำ แต่พอดูไปเรื่อย ๆ ใจยอมรับแล้ว คราวนี้ไม่ใช่จำแล้ว เป็นปัญญา ก็คือจากจำได้กลายเป็นทำได้ จากสัญญากลายเป็นปัญญา
ถาม : พิจารณากายคตานุสติ แต่ใจไม่ยอมรับเสียที ?
ตอบ : สภาพจิตของเราต้องพยายามยกขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อน พิจารณาไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะยอมรับ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถาม : ทำผิดด้วยครับ ?
ตอบ : มีหลายคนทำผิด ในเมื่อเห็นว่าทุกข์จึงพยายามปรนเปรอกายให้มีความสุข เลยยุ่งกันใหญ่ ยิ่งยึดหนักเข้าไปอีก
ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วความรู้สึกหายไป ?
ตอบ : สติขาด แสดงว่าสภาพของจิตหยาบไปนิดหนึ่ง พอเริ่มเข้าสู่สมาธิขั้นสูง จิตกับประสาทต้องแยกออกจากกัน เราเองก็ไปเข้าใจผิดว่าหายไป แต่ความจริงไม่ใช่ สภาพจิตละเอียดไม่พอ ก็เลยตามสมาธิไม่ทัน
ถาม : ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องเอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจี้ติดกับลมหายใจเข้าออก ให้สังเกตว่าทันทีที่หลุดจากลมเมื่อไรก็หายไปเมื่อนั้น ต้องเอาใจจี้ติด ๆ ไปเลย แรก ๆ ก็จะหลุดอยู่เรื่อย พยายามแล้วพยายามอีก เดี๋ยวความคล่องตัวดีขึ้น สภาพจิตก็จะตามทันได้เอง ถ้าตามทันได้ก็จะก้าวข้ามตรงนั้นไป ต่อไปก็จะไม่ต้องมาเสียเวลาในขั้นตอนนี้อีก
มีโยมเอาพระกริ่งเนื้อทองคำมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าถ้าไม่เปิดกระทู้คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ให้เขาบูชาไป อาตมาจะมีพระกริ่งทองคำมากที่สุด นี่เพิ่งได้มาอีก ๑ องค์ แสดงว่าคนรวยมีเยอะมาก"
ถาม : พยายามคิดหาวิธีตัดโทสะ แต่พอครั้งหนึ่งตอนนั่งสมาธิก็รู้สึกขึ้นมาเองว่า จนป่านนี้แล้วไม่รู้หรือว่าโทสะไม่ดีอย่างไร ? คอยเผาใจเราอยู่ตลอดเวลายังไม่รู้ว่าไม่ดีอีกหรือ ? แล้วถ้ารู้ว่าไม่ดีแล้วการจะตัดยังยากอีกหรือ ? แต่แม้ว่าเรารู้แล้ว พอถึงเวลามีเหตุมากระทบ โทสะก็ยังคงเกิดอยู่ดี ?
ตอบ : ถ้าสติยังไม่ทันโทสะก็จะเกิด เหตุที่โทสะเกิด ก็เพราะเข้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เข้ามาแล้วเราไม่ชอบใจก็จะเป็นโทสะ ถ้าเข้ามาแล้วชอบใจก็เป็นราคะ แสดงว่าสติของเราไม่ทัน ในเมื่อสติไม่ทัน ทั้งราคะ โลภะ โทสะ โมหะ สามารถกำเริบได้ทุกเวลา ก็แปลว่าต้องสร้างสมาธิให้มากกว่านี้ เพื่อสติจะได้มั่นคงและแหลมคมว่องไวขึ้น
ถาม : ระหว่างวันพยายามทรงสมาธิไว้ แล้วก็คอยดูอยู่ค่ะ แต่บางครั้งพอมีเรื่องกระทบนี่เห็นเลยว่าโทสะขึ้น แต่ก็ขึ้นแบบไม่เต็มที่ค่ะ ขึ้นเหมือนโดนล็อกคอเอาไว้ แบบนี้ก็คือสมาธิยังไม่พอใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่พอ เพราะว่าเราจะต้องเห็นโทษ พอเห็นโทษแล้วก็เบื่อหน่าย แล้วก็วางลง ยังเหลืออีกหลายขั้นตอน ตอนนี้เราเห็นโทษแล้ว รู้หน้าตาของโทสะแล้ว แต่ยังวางไม่ลง ว่าแล้วก็สู้ต่อไป
ถาม : ผมจะทำบุญบ้าน ถ้าพื้นที่เราไม่พอ นิมนต์พระมา ๕ รูปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำบุญจะเป็น ๕ รูป ๗ รูป ๙ รูปก็ได้ ปกติแล้วบางบ้านเอาแค่ ๓ รูปเท่านั้น แต่อาตมาเห็นว่าไม่ครบองค์สงฆ์ ไม่เป็นสังฆทาน เพราะฉะนั้น..ถ้าคิดจะทำบุญ แค่ ๕ รูปก็ได้แล้ว ทำไปเถอะ
ถาม : มีข่าวลือว่าท่านจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ ครับ ?
ตอบ : ในเมื่อเป็นข่าวลือ..แล้วคุณจะไปกังวลอะไรกับข่าวลือ ?
ถาม : ผมต้องการข้อมูลจริงครับ ?
ตอบ : ถึงมีข้อมูลจริงก็ไม่บอก เพราะว่าทุกวันนี้เผลอไม่ได้หรอก ขนาดอุตส่าห์ประกาศให้บูชาวัตถุมงคลก่อนเวลาแค่ ๓-๕ วัน ก็ยังเอาไปลงเว็บ จำหน่ายของได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีของในมือ พออาตมาประกาศว่า มีพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินจำหน่ายวันที่ ๒๐ มิถุนายน ประกาศล่วงหน้าแค่ ๕ วัน ประกาศวันนั้น เขาก็ไปออกเว็บวันนั้นเลยว่าเชิญจองพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน ราคา ๖,๙๐๐ บาท โอนแล้วรับวันที่ ๒๐ เขาสามารถจับเสือมือเปล่าได้ทุกเวลา ต้องบอกว่าเป็นความสามารถที่เราตามไม่ทัน..! เพราะฉะนั้น..อย่าถามให้เสียเวลา เก็บเงินไว้ก็แล้วกัน ถ้ามีก็จองได้เอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมาจ่ายค่าเล่าเรียนของพระเณรเดือนละประมาณ ๑ แสนบาท ถ้าเดือนไหนค่าเทอมออกก็ราว ๆ ๘ แสนบาท ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าจะเรียนก็ไปบวชชี เดี๋ยวจะส่งให้ เรียนเสร็จก็สึกได้ ถ้าอยู่ที่วัดท่าขนุน อาตมาส่งพระเณรเรียนโดยไม่มีข้อแม้ เรียนจบจะสึกไปทำงานก็ไม่ได้ว่าอะไร"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีโควตาฉันทุเรียนได้ปีละเม็ดเดียว แล้วปีนี้ก็ฉันไปแล้ว คราวนี้เขาเอา "ทุเรียนหลินลับแล" มาถวาย บอกว่าอร่อยนักหนา ก็เลยลองชิมดู เม็ดโตประมาณ ๒ นิ้วมือ ไม่นึกว่าจะเจ็บเพดานปากขนาดนี้ แสดงว่าร้อนใน ถ้าถามว่ารสชาติเป็นอย่างไร ขอยืนยันว่ายังสู้ทุเรียนนนท์ไม่ได้ แต่สำหรับทุเรียนทั่ว ๆ ไปนี่เขาทิ้งขาดเลย เพราะรุ่นเก่า ๆ อย่างอาตมายังทันทุเรียนนนทบุรีอยู่
ขอยืนยันว่าถ้าเป็นทุเรียนนนท์แท้ ยังไม่มีทุเรียนอะไรที่สู้ได้ พื้นดินแต่ละแห่งมีแร่ธาตุอาหารที่ไม่เหมือนกัน พื้นดินของนนทบุรีเหมาะกับทุเรียน ที่อื่นเอาพันธุ์ไปปลูกอย่างไรก็ไม่ได้รสนั้น สมัยก่อนเขาถึงได้มี "ลิ้นจี่ตรอกจันทน์" สมัยนี้ตรอกจันทน์มีแต่ตึก แล้วก็ "ส้มบางมด" เดี๋ยวนี้บางมดก็ไม่มีแล้ว ไปปลูกแถวรังสิตหรือนครนายกโน่น "แตงโมบางเบิด" ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว แตงโมรังสิตก็หายหมดแล้ว ตอนนี้มีแต่แตงโมเจียไต๋ ปลูกกันทั่วประเทศไทย อย่าซื้อเม็ดไปปลูกนะ เพราะเม็ดเขาฉายรังสี ปลูกได้รุ่นเดียว รุ่นต่อไปจะฝ่อหมด เขาไม่ต้องการให้เราไปปลูกแข่งกับเขา
"สับปะรดศรีราชา" ตอนนี้ก็แทบไม่มีแล้ว ต้องไปเอาจากที่อื่นมา ปัจจุบันนี้มี "เงาะทองผาภูมิ" ที่อื่นเลียนแบบอย่างไรก็เลียนแบบไม่ได้ ลูกแคระ ๆ แกร็น ๆ เขียว ๆ เหลือง ๆ หาแดงยาก แต่ทั้งหวาน ทั้งร่อน ทั้งกรอบ พื้นที่ไม่เหมือนกัน พืชผลออกมาก็ไม่เหมือนกัน
ทุเรียนทั้งเมืองนนท์ ทั้งของฝั่งธนฯ สมัยก่อนที่อร่อย เกิดจากเขาลอกโคลนจากท้องร่องสวนไปโปะโคนต้นอยู่ทุกปี สมัยนี้ก็ไม่มีอย่างนั้น ถึงเวลาเขาก็ช่วยกันลอกโคลนจากท้องร่องขึ้นไปโปะโคน ก็เท่ากับใส่ปุ๋ยอยู่ทุกปี แล้วเป็นปุ๋ยธรรมชาติ เพราะว่าส่วนใหญ่ก็คือพวกใบไม้ที่ตกลงไป แล้วก็เน่าเปื่อยผุพัง กลายเป็นปุ๋ยชั้นดี"
ถาม : ความจำที่มีการยึดจะเป็นอุปทาน ?
ตอบ : ทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้น คืออะไรก็ตาม ถ้าเราไปยึดจะเป็นอุปาทานทั้งหมด เพราะอุปาทานที่เราไปยึดก็ต้องมีที่ให้เรายึด ในเมื่อมีที่ให้เรายึด ที่นั้นเขาเรียกว่าที่เกิด ก็คือภพ บาลีเรียกว่าภวะ ในเมื่อมีภพก็มีการเกิดก็คือชาติ หลังจากนั้นชรา มรณะ ก็ตามมาเป็นพรวนเลย
ถาม : ของทุกอย่างเลย ?
ตอบ : ทุกอย่าง แค่เห็นว่าสวยนี่ก็ยึดแล้ว สวยนี่คืออุปาทาน เพราะว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่ของสวย เพราะเสื่อมสลายได้ เขาถึงได้บอกว่าอวิชชาคือความไม่รู้ ซึ่งเป็นตัวร้อยรัดเราอยู่ในวัฏฏะที่ร้ายแรงที่สุด หนักหน่วงที่สุด ก็คือฉันทะ ความยินดีและพอใจ กับราคะ ในเมื่อเราเกิดความยินดี ก็อยากมีอยากได้ ก็เหมือนกับเห็นดอกไม้นี้สวย..อยากได้..ก็เสร็จ พริบตาเดียวที่ได้ยิน ที่ได้เห็น ที่ได้กลิ่น ที่ได้รส ที่สัมผัส ที่คิด ถ้าหากสติปัญญาไม่ทันก็เสร็จเขาหมด
เมื่อเช้าที่โยมเขาถามเรื่องพิจารณาวิปัสสนาญาณว่าแค่เห็นนามรูปก็ใช้ได้แล้วหรือเปล่า ? บอกว่าถ้าเห็นแค่นั้นก็เจ๊ง คุณแยกรูปแยกนามได้แล้วก็จริง แต่เห็นรูปแล้วยังคิดว่าสวยก็เจ๊งสิ แยกนามได้ว่าเสียงเป็นนาม แต่เสียงคนนั้นไพเราะจังเลย ก็เรียบร้อยอีก เพราะฉะนั้น..ทำอย่างไรที่จะเห็นทุกข์เห็นโทษแล้วปล่อยวางได้ต่างหาก ถึงจะเป็นวิปัสสนาญาณที่แท้จริง
เห็นแล้วต้องปล่อย ไม่ใช่เห็นแล้วแบก ถ้าเห็นแล้วแบกก็ยังกลุ้มอยู่นั่นแหละ ไม่เป็นไร..ค่อย ๆ ทำไป ชอบใจเพลงที่ว่า "ต้องมีสักวัน..ต้องมีสักวัน เดินตามความฝัน ไม่ท้อไม่หวั่นสุดแรงที่มี ฯลฯ" แต่ของเราไม่ใช่เนื้อหาแบบนั้น ของเราต้องมีสักวันที่จะพ้นไปได้สิ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านไม่อธิบายปฏิจจสมุปบาทหรอก เพราะละเอียดลึกซึ้งมาก ยากที่คนทั่วไปจะทำความเข้าใจได้ อาตมาเองก็ต้องค่อย ๆ ไปพิจารณา ปรากฏว่าเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ ในแต่ละระดับความรู้ที่เข้าถึง ก็จะเข้าถึงปฏิจจสมุปบาทในระดับนั้น ๆ แล้วก็จะเข้าลึกไปเรื่อย ๆ มิน่าเล่า..ถ้าเป็นแบบที่ท่านเข้าถึงเลย ถ้าพูดมานี่เรารับกันไม่ได้หรอก
ถาม : ตอนพุทธาภิเษกสมเด็จองค์ปฐม ท่านให้พรว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : รู้ไหมว่าทำไมระยะหลังถึงบอกอะไรไม่ได้ ? ขนาดไม่บอกเขายังเอาไปแต่งเรื่องขายกัน ตูบอกเมื่อไรเอาคำพูดตูไปปั่นราคาทุกที เพราะฉะนั้น..อย่าเสียเวลามาถาม ไม่บอกหรอก ยกเว้นว่ามีอารมณ์หรือหลุด
ให้รู้ว่างานนี้พระโพธิสัตว์มามากเป็นพิเศษ เพราะว่ามีพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินอยู่ ในเรื่องของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ท่านปล่อยวางแล้ว ท่านยอมรับกฎของกรรม สงเคราะห์แค่ไม่เกินกฎของกรรม แต่พระโพธิสัตว์ ด้วยความที่ท่านมีเมตตาเป็นปกติ ถ้าช่วยเหลือผู้อื่นได้เป็นความสุขของท่าน ท่านก็ฝืนกฎของกรรม ถือว่าวัตถุมงคลรุ่นนี้เป็นรุ่นฝืนกฎของกรรมก็แล้วกัน
มีโยมเอาพระกริ่งเนื้อทองคำมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "โยมเอาพระกริ่งเนื้อทองคำมาถวายอีกองค์หนึ่งแล้ว สรุปว่าถ้าไม่เปิดกระทู้คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ อาตมาจะมีพระกริ่งทองคำมากที่สุด แสดงว่าคนรวยมีเยอะมาก"
พระอาจารย์กล่าวถึงพระกริ่งปลดหนี้ว่า "มีชนวนเหลือจากหล่อเหรียญพุทธบารมีทองคำอยู่ ๑๓ บาทกว่า ๆ อาตมาเอาใส่ลงในพระกริ่งเนื้อทองคำหมดเลย อย่าลืมว่าเหรียญพุทธบารมีนั้น มีทั้งยันต์มหาสะท้อน และยันต์ทำน้ำมนต์ด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากได้ตะกรุดมหาสะท้อนทองคำ หาไม่ได้ก็หาพระกริ่งปลดหนี้แทน แต่รู้สึกว่าจะแพงโคตรแล้ว เห็นในเว็บยังหลงอยู่องค์หนึ่ง ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีคนถวายมา อาตมาก็เอาลงไปเรื่อย ๆ เพราะกระทู้ชื่อคนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ ถ้าใครเข้าไปแสดงว่าต้องเหลือกินเหลือใช้จริง ๆ
ความจริงยังมีวัตถุมงคลเป็นจำนวนมากที่จะลงในกระทู้ แต่พวกเราส่วนใหญ่แล้วไม่รู้จักของ แล้วราคาท้องตลาดก็สูงมาก ส่วนที่จะเอาไปข้างนอกให้เซียนเขาฟาดกำไรต่อ อาตมาก็ทำใจไม่ได้ เพราะมีอยู่เที่ยวหนึ่ง เห็นตัวนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่อง เปิดให้บูชาพระหลวงปู่ทวดพิมพ์ใหญ่เนื้อว่านปี ๒๔๙๗ ราคา ๒ ล้าน ๕ แสนบาท อาตมาเห็นว่าของเราสวยกว่าตั้งเยอะ ก็เลยให้ลูกศิษย์ลองเอาไปแหย่ดู เขาให้มาตั้งแสนหนึ่ง..! จึงทำใจไม่ได้ที่จะให้เขาเอาไปทำกำไรกันข้างนอกขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องสร้างวัดอาตมาไม่มีอะไรหนักใจหรอก เพราะแค่สมเด็จวัดระฆังก็มีอยู่ตั้ง ๑๑ องค์..!
กว่าจะได้สมเด็จวัดระฆังองค์แรกมา อาตมาใช้เวลาภาวนาพระคาถาชินบัญชรอยู่ ๑๑ ปี ตอนช่วงนั้นภาวนาเพราะอยากได้ ภาวนาไปภาวนามาจนกระทั่งกลายเป็นงานปกติประจำทุกวัน ความอยากได้ก็ค่อย ๆ หายไป ในเมื่อความอยากหายไปกลายเป็นตัวอุเบกขาแทน คราวนี้พระคาถาถึงจะได้ผลจริง ๆ พอองค์แรกมา องค์ต่อไปก็ง่ายแล้ว เพราะรู้วิธีแล้วนี่ องค์แรกได้มาจากคุณมนตรี เชียงอารีย์ ป่าไม้จังหวัดอ่างทอง ท่านได้รับคำแนะนำจากอาตมาไปหลาย ๆ อย่าง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นอาตมาก็เพิ่งบวชพระได้แค่ ๓ - ๔ พรรษา ท่านเห็นว่าเป็นบุญเป็นคุณ ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ก็เลยถวายสมเด็จวัดระฆังมา ๑ องค์
คุณมนตรี เชียงอารีย์ เล่นพวกพระเครื่องพระบูชาและของเก่า จนทั้งบ้านไม่มีที่จะเก็บ เคยมอบของเก่าให้แก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ๗๐๐ กว่าชิ้น หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวกันยกใหญ่ ประเภทชิ้นที่เด็ดจริง ๆ ก็คงไม่ให้หรอก อาตมาไปบ้าน เห็นเขาวางของจนไม่มีที่จะวาง ขนาดริมประตูริมบันไดยังมีแต่เทวรูปเต็มไปหมด คือคนชอบก็ชอบจริง ๆ คนที่ชอบแล้วสะสมในระยะแรก ๆ มักจะได้เปรียบ เพราะว่าคนยังไม่รู้จักของ ของยังไม่แพง สมัยหลัง ๆ นี่แพงหูดับหมดแล้ว ไม่ทราบว่าปัจจุบันคุณมนตรีเกษียณแล้วไปทำอะไร แล้วตำแหน่งสุดท้ายเป็นอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนแวะไปเยี่ยมท่านอาจารย์สุชาติ ให้ท่านปั้นรูปสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔๙ นิ้ว กับหลวงปู่ปานและหลวงพ่อวัดท่าซุงขนาด ๒ เท่าครึ่ง จะสร้างถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ปีหน้าท่านจะครบ ๑๐๐ ปีเกิด ท่านอาจารย์สุชาติบอกว่า ถึงจะเป็นคนปั้นสมเด็จองค์ปฐมเอง แต่ก็จ่ายเงินบูชาตามปกตินะครับ อาตมาก็เลยบอกท่านอาจารย์สุชาติว่า อาตมาเองก็จ่ายเงินตามปกติเหมือนกัน วัตถุมงคลวัดท่าขนุน เจ้าอาวาสอยากได้ก็ต้องจ่ายเอง
ไปนึกถึงพี่อรรณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ตอนนั้นแกเป็นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจบางคล้า ถ้าจำไม่ผิดนะ ไปทำวัตถุมงคลรุ่นสังฆาฏิพระสุปฏิปันโน อาตมาบอกไปว่า “พี่ณพ..ทำอะไรก็แบ่งกันบ้างสิวะ” แกบอกว่า “แพงนะหลวงพี่ ตั้ง ๙๙๙ บาท” เลยบอกไปว่า “ไอ้ห่..แค่นี้ให้กันไม่ได้หรือ ?” แกเลยบอกว่า “ผมไปทำเรื่องให้เป็นของสถานีตำรวจ ถ้าผมจะเอาผมก็ต้องควัก ๙๙๙ บาทเหมือนกัน” ถึงบอกว่า เออ..ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ตรงเกินเหตุ อาตมาเองอยากได้ของตัวเองก็ต้องควักเงินเองเหมือนกัน
พี่ณพแกเป็นคนสร้างเองก็ต้องควักเงินเอง ท้ายสุดแกก็บอกว่าเดี๋ยวผมถวายหลวงพี่องค์หนึ่งก็ได้ จนป่านนี้มายังไม่ได้เจอกันเลย แกตามไปถึงวัดท่าขนุน ๒ ครั้งอาตมาก็ไปสอนหนังสือพอดี ไม่ได้เจอกัน ใครจะไปเชื่อว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อยากได้วัตถุมงคลวัดท่าขนุนยังต้องจ่ายสตางค์เอง จะเป็นตีกันชาวบ้านที่เขามาขอหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่อาตมาก็ทำอย่างนี้มาตลอด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือสวดมนต์เล่มใหม่นี้ อาตมาทำถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ค่าพิมพ์ร้อยกว่าบาทต่อเล่ม แต่อาตมาจำหน่ายแค่ ๒๐๐ บาท เพราะตั้งใจให้คนไปสวดมนต์กัน ไปขายแพงไม่ได้หรอก
แบบเดียวกับหนังสือประวัติวัดท่าขนุน ทางด้านอมรินทร์เห็นตั้งราคา ๓๐๐ บาทนี่แทบกระโดดเลย บอกว่าหนังสือขนาดนี้ปกติเขาขายกัน ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ บาท จะเอาอะไรล่ะ ? ขาย ๓๐๐ ก็ได้กำไรตั้ง ๑๐๐ บาทแล้ว"
ถาม : ผู้มีวาจาสิทธิ์จะต้องบำเพ็ญบารมีอะไร ?
ตอบ : เป็นผู้มีสัจจะเป็นปกติ ถ้าสร้างสัจจบารมีมาเป็นปกติจะมีวาจาสิทธิ์ ประการที่สอง เป็นผู้สามารถสร้างอภิญญาสมาบัติให้เกิดขึ้นกับตนเองได้ ก็จะเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ ประการที่สาม มีคาถาบางบท เรียกว่า คาถาวาจาสิทธิ์พระร่วง ถ้าตั้งใจบำเพ็ญภาวนา ทำจนขึ้นได้ก็กลายเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์เหมือนกัน แต่ข้อห้ามมีเยอะมาก เพราะถ้าทำได้ก็เป็นอันตรายต่อผู้อื่น จึงต้องมีสติสมบูรณ์
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ถวายทองคำเพื่อร่วมสร้างพระ ตอนนี้จากเป้าหมายเดิมที่เตรียมทองไว้ ๔๐ กิโลกรัม เจอฐานพระด้วย เจอเครื่องทรงด้วย เจอฉัตรด้วย คงต้องเตรียมไว้เป็นร้อยกิโลกรัม..!"
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราทำอยู่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไปสำหรับเรา เพราะบางทีก็โดนหลอก ?
ตอบ : ถ้าภาวนาได้วันละ ๒๔ ชั่วโมงถือว่าพอดี ถ้าเกินนั้นถือว่าตึงเกินไป..! มีใครทำได้เกินบ้างไหม ? เรื่องของการตึงการหย่อนต้องพิจารณา แล้วทดลองผ่อนทดลองเพิ่มด้วยตัวเอง ไปถามคนอื่นไม่ได้หรอก เท่าที่พบมาในโลกมีพระโสณโกฬิวิสะท่านเดียวที่ปฏิบัติตึงเกิน ส่วนใหญ่แล้วที่บอกว่าตึงเกินนั้นไม่ใช่ตึงเกินหรอก แต่ทำผิด ดังนั้น..ที่ตึงเกินในความหมายของอาตมา ถ้าทำถูกแล้วตึงเกินไปมีพระโสณโกฬิวิสะอยู่รูปเดียว
ต้องทดลองด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูกไปเรื่อย แต่จำไว้ว่า..ถ้าเผลอให้นิวรณ์กินเราได้เมื่อไรก็แปลว่าเจ๊งแล้ว..ทำขาดแล้ว
ถาม : ความรู้สึกรักแยกเป็นรักด้วยราคะกับรักด้วยโมหะ ?
ตอบ : ความรักมีรักด้วยเมตตา ส่วนรักด้วยความหลงนั้นเพราะเราไม่รู้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นท้ายสุดก็ยึดถือมั่นหมายอะไรเป็นเรา เป็นของเราไม่ได้ แต่เราก็ไปยึด แล้วเราเรียกว่ารัก อันนี้เป็นความหลงหรืออวิชชา ส่วนอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่ารัก แต่จริง ๆ ไม่ใช่ นั่นคือราคะ ต้องแยกให้ออกด้วย
ถ้าความรักที่ปลอดภัยจริง ๆ ก็รักด้วยเมตตา คือเห็นเขาเสมอกับตัวเรา เราต้องการอย่างไรผู้อื่นก็ต้องการอย่างนั้น เราไม่ต้องการอย่างไร ผู้อื่นก็ไม่ต้องการอย่างนั้น ฉะนั้น..ให้เลือกทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ต่อคนอื่น และโดยเฉพาะรักเมตตาตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะตกไปในทางที่ชั่ว ก็ต้องเร่งรัดกำลังใจตัวเองให้ผ่องใส ให้สะอาดขึ้น เพื่อยกจิตไปสู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าเผลอไปเมตตาแต่คนอื่นจนลืมตัวเอง
ถาม : ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งแต่ไม่ได้ต้องการตัวเขา พยายามฆ่าด้วยอสุภกรรมฐานแต่ฆ่าไม่ตาย ฆ่าความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ เป็นเพราะอสุภกรรมฐานเป็นยาไม่ถูกกับโรคกันหรือครับ ?
ตอบ : คนละโรคกัน ของคุณปวดท้องแล้วไปกินยาแก้ปวดหัว อสุภกรรมฐานเขาเอาไว้ต่อต้านอำนาจของราคะ ในเมื่อจิตของเราไม่ได้คิดอยากได้เขาในด้านราคะ แล้วคุณไปแก้ด้วยราคะก็เจ๊ง ไม่สำเร็จหรอก
ถาม : ผมอยากให้เขามีความสุข รู้สึกเป็นห่วง แก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ลักษณะนั้นต้องใช้ปัญญาเข้าไปช่วยแล้ว หลังจากที่พิจารณาจนเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้ปัญญาเข้าไปดูด้วย ว่า เราเองอยู่ของเราอย่างนี้เรามีความทุกข์เท่าไร เขาเองอยู่อย่างนั้นมีความทุกข์เท่าไร ท้ายสุดก็ต่างคนต่างตายจากกันไป ถ้ายังไม่พ้นกองทุกข์ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้จบ เรายังอยากให้เขามาเวียนว่ายตายเกิดทุกข์พร้อมกับเราอีกไหม ? ท้ายสุดเรายังอยากจะเวียนว่ายตายเกิดไปทุกข์กับเขาอีกไหม ? พยายามคิด พยายามพิจารณาบ่อย ๆ ค่อย ๆ เลาะทิ้งไปทีละนิดละหน่อย อะไรที่ฝังรากลึกเราจะไปโละทีเดียวออกหมดก็เป็นไปไม่ได้
ถาม : อย่างกำลังของท่านภิกษุณีทั้งหลายที่ท่านสำเร็จอรหันต์เป็นกำลังใจของผู้หญิง เราจะนำมาใช้บ้างได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมไม่ใช้กำลังใจของภิกษุ ?
ถาม : กำลังใจของภิกษุณีท่านยิ่งใหญ่แค่ไหนครับ ?
ตอบ : ยิ่งใหญ่แค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าท่านสามารถชนะมารได้ จนกระทั่งเห็นมารกลายเป็นเศษฝุ่นใต้เท้าไปได้ “ปาปิมะ..ดูก่อนมารผู้มีบาป เธอไม่มีอำนาจในการครอบงำเราแล้ว จงหลีกไปเถอะ..เธอไม่สามารถทำให้เราหวั่นไหวและหวาดกลัวได้หรอก” ตูเป็นพญามารนี่..ตูนั่งร้องไห้เลย..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสมเด็จนางพญาองค์ที่ประมูลกันในกระทู้ ท่านไม่ยอมไป วันก่อนไปเจออยู่ที่วัดก็ อ้าว..ให้เจ้าของกระทู้ไปแล้ว ทำไมมาอยู่ที่นี่ ? สอบถามเสร็จเจ้าของกระทู้เขายืนยัน “โอ๊ย..อยู่ที่คอนโดฯ หนูค่ะ” ปรากฏว่าหนีกลับไปนอนอยู่วัดหลายวันแล้ว อาตมาจึงเอามาที่นี่ ใส่ไว้ในย่ามใบที่ถือติดมือทุกวัน เมื่อเช้าไปค้นพระปิดตา ๔ สี ปรากฏว่าหนีไปอยู่ในย่ามอีกใบหนึ่ง ซ่อนเก่งจริง ๆ เจอเข้าก็ อ้าว..ทำไมมาอยู่ตรงนี้หว่า ? หันมาดูในย่ามที่ใส่ไว้..หายไปแล้ว เมื่อเช้าก็เลยย้ายมาไว้ในย่ามใบนี้ ตอนนี้ไปอีกแล้ว ดูท่าท่านไม่อยากไปจริง ๆ อาจจะรู้สึกว่าโดนดูถูกก็ได้ เป็นถึงหนึ่งในเบญจภาคีประมูลกูราคาแค่นี้เอง..! เดี๋ยวต้องกลับไปเกลี้ยกล่อมว่าคนประมูลเขาจ่ายเงินแล้ว ได้โปรดไปกับเขาเถอะ...!
มีสมเด็จองค์ปฐมเหรียญเล็ก ๆ ที่เป็นเหรียญเม็ดแตง นั่นก็หนีกลับไปหาอาตมาเป็นกำมือเลย ชักสงสัยว่าโยมรักษากันท่าไหน เอาไปเก็บไว้เฉย ๆ ไม่เคยบูชาหรืออย่างไร ?
ในกระทู้ของวัดท่าขนุนนี่โยมบางท่านก็โชคดี อย่างพระกรอบทองคำองค์ละ ๑๐๐ บาท ตั้งใจออกราคานั้นเลยนะ ไม่ใช่ว่าลงผิด เพราะว่าอาตมาตั้งใจแล้วว่า คนอื่นเขาถวายมาร่วมบุญจะคิดแค่ชิ้นละร้อยบาท ในเมื่อคุณดันทะลึ่งเลี่ยมกรอบทองมาด้วยก็ร้อยเดียวนั่นแหละ ต้องบอกว่าเจ้าของกระทู้ของเราซื่อสัตย์ไปหน่อย ถ้าเป็นอาตมานี่..ร้อยเดียวตูเก็บขึ้นหมดเลย ดีไม่ดีก็ให้ ๒๐๐ ไปเลย อย่างไรแค่แกะกรอบไปขายก็กำไรแล้ว"
ถาม : จะไปสัมภาษณ์งานค่ะ แต่คราวนี้กลัวว่าคนอื่นจะมีการใช้เส้นสาย
ตอบ : เหลืออีกกี่วัน ?
ถาม : ๑๒ วันค่ะ
ตอบ : อันดับแรก..ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ เพื่อความคล่องตัวในการสัมภาษณ์ อันดับที่สอง..คาถาเมตตา เพื่อผู้สัมภาษณ์จะได้เมตตาเรา อันดับที่สาม..คาถาสำเร็จ ภาวนาอย่างละชั่วโมงต่อวันไปเลย แปลว่าต้องภาวนาเต็ม ๆ วันละ ๓ ชั่วโมง ถ้าไม่ได้แปลว่าฝีมือเราห่วยเอง..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเอาปลาทูมาถวายเพลบ้าง ? ตอนนี้ตัวละเท่าไรแล้ว ? เห็นว่าขึ้นราคาไปหูดับแล้วใช่ไหม ? การที่สมาคมประมงเขาประท้วงกัน จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่เรื้อรังมานานแสนนานแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่กองเรือประมงมีศักยภาพเป็นอันดับ ๔ ของโลก..! ล้างผลาญทรัพยากรสัตว์น้ำไปปีละนับไม่ถ้วน พวกปลาตัวเล็กจิ๋วก็เอามากินกัน ถ้าอวนไม่ถี่ขนาดนั้นแล้วจะเอามากินได้อย่างไร ? กลายเป็นพวกเรากินล้างกินผลาญตั้งแต่ยังเป็นลูกหลานเหลนของปลา โอกาสโตแทบจะไม่มี
คราวนี้ทางรัฐบาลพยายามจะทำให้สิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการที่จะต้องมีอาชญาบัตรหรือใบอนุญาตในการทำประมง เพราะปล่อยปละละเลยมานาน พอจะทำสิ่งที่ถูกต้องก็โดนประท้วง ความแสบของประมงไทยต้องถามเวียดนามหรือกัมพูชา เขาจำขึ้นใจเลย ประมงไทยไปขออนุญาตทำประมงในเขตเวียดนาม ก็ปรากฏว่าไปขออนุญาตถูกต้องทุกอย่าง กว่าเวียดนามจะจับได้ไล่ทัน ประมงไทยเกือบจะกวาดทรัพยากรของเขาหมดทะเล..!
ใบอนุญาต ๑ ใบถ่ายเอกสารแจกกัน ๗-๘ ใบ เสร็จแล้วก็เอาเรือชนิดเดียวกัน ขนาดเดียวกัน ทาสีเดียวกัน ติดหมายเลขเดียวกัน ออกไปที ๗ - ๘ ลำ แปลว่าขออนุญาตใบเดียว แต่เรือออกไปทำ ๗ - ๘ ลำ แล้วพยายามอยู่ห่าง ๆ กัน วิทยุบอกกันให้แต่ละลำอยู่ห่างกันประมาณ ๔๐ - ๕๐ กิโลเมตร ถึงเวลาเขามาตรวจก็เห็นมีใบอนุญาตถูกต้อง เลขหมายเรือถูกต้อง สีเรือถูกต้อง ระวางน้ำถูกต้องก็ปล่อยไป กว่าเขาจะจับได้ไล่ทัน ทั้งเวียดนามทั้งเขมรโดนเรากวาดมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จนกระทั่งตอนหลังเขาต้องใช้วิธีเด็ดขาดว่า ถ้าเห็นเรือประมงไทยให้ระเบิดทิ้งเลย..!
ในเมื่อต่างประเทศยังทำกับเขาแสบขนาดนั้น ลองคิดดูว่าในบ้านเราจะเกิดอะไรขึ้น ? เพราะฉะนั้น..ที่เรือประมงประท้วงอาตมาไม่ค่อยที่จะสงสารหรอก เขาได้มาเยอะจนเกินไป ถึงเวลาจะเสียบ้างแล้วไม่ยอมเสีย คำว่าได้มาเยอะก็คือกินฟรีมาไม่รู้เท่าไรแล้ว ถึงเวลาจะเสียค่าใบอนุญาต เสียค่าใบอาชญาบัตรกลับไม่ยอมจ่าย ต้องบอกว่าอยู่แบบเอาเปรียบสังคมไม่พอ ยังเอาเปรียบธรรมชาติอีกด้วย"
"ในส่วนนี้หากเรายอมกินอาหารทะเลแพงไปสักพักหนึ่ง คนที่เคยได้เงินแล้วไม่ได้เงิน ท้ายสุดเขาก็จะอยู่ไม่ได้ แล้วก็จะออกทะเลไปเอง ถ้าจะออกทะเลงวดนี้ก็แปลว่าต้องมีอาชญาบัตรที่ถูกต้อง แต่จะทำแบบเดียวกับต่างประเทศอีกหรือเปล่ายังไม่รู้ ? ประเภทขอ ๑ ใบแล้วออกไป ๘ ลำ เรื่องนี้ก็ต้องไปจับได้ไล่ทันกันเอง ไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยว่าใครจะยอมรับ
ในช่วงนี้ถ้าหากเราลำบาก หาอาหารทะเลกินยาก อาตมาแนะนำน้ำปลา..! รับประกันว่าเป็นอาหารทะเลแน่นอน ทน ๆ กินไปก่อน ถึงเวลาก็เอาปลาน้ำจืดก็ได้ แล้วใส่น้ำปลาพริกลงไปก็เป็นปลาทะเลไปเอง
บางอย่างเรามีข้อมูลน้อย เราก็ไปคิดว่ารัฐบาลไปบีบบังคับจนกระทั่งชาวบ้านทั่วไปต้องกินอาหารทะเลแพง ๆ เดี๋ยวนี้เรือประมงที่วิ่งมาจากทางด้านอินโดนีเซีย ด้านเวียดนาม ด้านเขมร พอจะเข้าอ่าวไทยเขาวิทยุถามราคาที่แพปลาหมดแล้ว ถ้าสมมติว่าแพปลาสงขลาให้ราคาต่ำ แต่แพปลามหาชัยให้ราคาสูง เขายอมวิ่งมาขายที่มหาชัย เขาไม่กลัวของเสียเพราะดองน้ำแข็งมา พวกบรรดาเรือประมงเล็ก ประมงชายฝั่งของเราถึงน่าเห็นใจ เพราะว่าเขาหากินกันวันต่อวัน แล้วก็เป็นชาวบ้านจริง ๆ ไม่ใช่นายทุน
แต่อาตมาดูแล้วก็แปลก ๆ ออกทะเลไปหาปลาทั้งคืน ได้ปลามาเอาไปขายในตลาด แล้วซื้อปลากระป๋องให้ลูกกิน..! บ้าหรือเปล่า ? นี่คือสภาพความจริงที่เป็นอยู่ แล้วทำไมปลาที่ตัวเองหาได้ไม่แบ่งให้ลูกกิน..?
โยมรู้ไหมว่าปลากระป๋องแบบที่เราต้องเปิดเอง กับแบบฝาดึงราคาต่างกัน ต่ำ ๆ ก็ ๓ บาทต่อกระป๋อง แค่ความสะดวกดึงฝาโดนไป ๓ บาทต่อกระป๋อง ตอนนี้ไม่รู้เพิ่มไปเท่าไรแล้ว ถ้าใช้ที่เปิดไม่เป็น ยอมลำบากใช้ขวานผ่าเอาก็ได้ อย่างน้อยก็ประหยัดไปกระป๋องละ ๓ บาท
ทุกอย่างถ้าเราช่วยกันประหยัด นอกจากเศรษฐกิจส่วนตัวจะดีขึ้นแล้ว เงินทองต่าง ๆ ยังไม่ต้องรั่วไหล สภาพของครอบครัวก็มั่นคง เพราะมีเงินออมเหลือไว้ ถ้าหากว่าทุกครอบครัวมั่นคง สภาพของประเทศชาติเราก็จะมั่นคงไปด้วย"
"พูดถึงประมงไทยแล้วก็ไปนึกถึงความแสบของบรรดาประมงน้ำจืดแถววัดท่าซุง เอาอวนตีปลาหน้าวัดไปเป็นคันรถเลย แล้วขายในตลาดอุทัยธานีไม่ได้ เพราะทุกคนรู้ว่าเป็นปลาหน้าวัดท่าซุง เขาก็ไม่ซื้อ ต้องวิ่งไปขายถึงนครสวรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร อาตมาไม่ได้คิดจะรบราฆ่าฟันกับเขาหรอก วันนั้นบังเอิญหูไปหาเรื่อง ไปได้ยินเขาคุยกันพอดี เขาบอกว่า“พระวัดนี้โง่ว่ะ เลี้ยงปลาไว้ให้เราขาย..!”อาตมาได้ยินนี่ฟิวส์ขาดเลย เอาเรือลงไปพร้อมกับโทรโข่งประกาศตลอดคุ้งน้ำ “ให้เวลาพวกเอ็ง ๑ เดือน ไปหาอาชีพใหม่ทำมาหากินซะ” แล้วไปติดต่อประมงจังหวัดอุทัยธานี ให้ช่วยติดป้ายเขตอภัยทานให้บริเวณหน้าวัดด้วย ปรากฏว่าประมงยอมไม่โผล่หัวมา
ครบ ๑ เดือนลงไป ปรากฏว่าเรือหาปลาทุกลำยังอยู่กันครบถ้วน เครื่องมือหลัก ๆ ก็คือตาข่าย ตาข่ายไนล่อนกว้าง ๒ เมตรยาว ๑๐๐ เมตรลำละ ๓ ผืน ขึงตรง ๒ ผืน ทแยง ๑ ผืนเป็นรูปตัว Z แล้วปลาที่ไหนจะรอดได้ อาตมาต้องประกาศซ้ำอีกรอบหนึ่งว่าให้เวลา ๒ ชั่วโมงเก็บขึ้นให้หมด ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมาจะเก็บเอง ผ่านไป ๒ ชั่วโมงลงไป ทุกผืนยังอยู่เหมือนเดิม เพราะไม่เคยมีใครกล้าทำ อาตมาก็จัดการสาวเลย เก็บขึ้นมาได้ ๖-๗ ผืน พวกที่เหลือเห็นท่าไม่ดีว่าเอาแน่ ก็เลยช่วยกันเก็บ
อาตมาก็ไม่ว่า..สาวไปเรื่อย เจอกันกลางทางก็เอาคนละครึ่ง เอามีดตัดให้ เอ็งเก็บครึ่งนั้นเอ็งเอาไป ครึ่งนี้ข้าเก็บข้าเอามา ปรากฏว่ารุ่งขึ้นนรกแตก มีแต่คนแห่มาประท้วง ไม่มีโอกาสได้พบหลวงพ่อวัดท่าซุงหรอก พบท่านรองเจ้าอาวาส ก็คือท่านเจ้าคุณอนันต์ในปัจจุบัน ท่านเจ้าคุณฟังข้อมูลไปเต็ม ๒ รูหู พอตอนฉันเพลก็บอก “เล็ก..อย่าไปยุ่งกับเขาเลย” อาตมาก็ “ครับ” แต่อาตมาถือหลักทางทหาร “แม่ทัพอยู่แนวหน้า ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งจากแนวหลัง”
กลางคืนลงไปลุยใหม่ จัดการกวาดขึ้นมาอีก ๑๐ กว่าผืน ปรากฏว่าตำรวจวัดทนแรงกดดันมวลชนไม่ได้ มาเก็บเอาตาข่ายไปคืน คืนต่อมาอาตมาลงไปกวาดขึ้นมาใหม่อีก ไปหาป้าลำไย ป้าลำไยปกติแกจะหุงข้าวกระทะใบบัวใหญ่ บอกว่า “ป้า..ก่อไฟแล้วอย่าเพิ่งเอากระทะลงนะ” พอป้าก่อไฟเสร็จอาตมาก็หย่อนตาข่ายเผาเกลี้ยงเลย..!"
"ปรากฏว่าวันถัดมาหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า “แกอย่าไปเผาทิ้งอย่างนั้น ถ้าเขามาโวยวายแล้วเราจะไม่มีหลักฐาน จะกลายเป็นเรารังแกชาวบ้านไป แกเก็บขึ้นมาแล้วรักษาเอาไว้ ข้าจะสร้างพิพิธภัณฑ์คนชั่วให้” ฉะนั้น..ถ้าโยมไปแล้วเห็นที่ใต้ศาลาท้าวมหาราชทั้งสี่ มีพิพิธภัณฑ์เครื่องมือจับสัตว์น้ำ ให้รู้ว่าเป็นฝีมือของอาตมาเอง และเหลืออยู่แค่นั้นเพราะเผาไปเยอะแล้ว
ปรากฏว่าชาวบ้านก็ด่ากระจาย อาตมาก็ไป บ้านไหนด่าขึ้นถึงบ้าน ยังไม่ทันทำอะไร เขาโดดหน้าต่างหนีเอง จนเขาลือกันไปทั้งคุ้งว่าอาตมาถือปืนขึ้นบ้าน เขาต้องไปพูดเพราะหนีพระทั้ง ๆ ที่เขาท้าทายเอง ก็เลยต้องบอกว่าพระถือปืนมา ไม่อย่างนั้นจะอายเขา ลุงเอี๊ยงที่เป็นคนขับรถของวัดและดูแลหลวงพ่อมาตั้งแต่แรกที่ท่านมาอยู่วัดท่าซุง ฟังคำลือจนทนไม่ไหว มีโอกาสก็จับแขนดึงหลบมุมไปถาม “ถามจริง ๆ เถอะหลวงพี่..หลวงพี่ถือปืนขึ้นบ้านเขาหรือ ?” บอกว่า “อาตมาจะไปเอาอะไรมา มีติดตัวอยู่แค่จุดสองห้อยนี่แหละ ที่ถือขึ้นไปก็มีพายอยู่อันเดียว” ลุงเอี๊ยงแกก็บอก “หลวงพี่บอกอย่างนี้ผมเชื่อ แต่ชาวบ้านไปลือกันเสียหมดเลย” บอกว่า “เรื่องของเขา อยากลือ ก็ลือไป”
บรรดาหลวงพี่ต่าง ๆ ก็เครียด โดยท่านที่ต้องบิณฑบาตสายหน้าวัด เพราะต้องพายเรือข้ามไปในเกาะ นั่นถิ่นของเขา เกรงว่าจะเกิดอันตราย อาตมาก็เลยบอกว่า “ถ้าพี่ไม่ไปเดี๋ยวผมไปเอง ถ้าใครรับกิจนิมนต์ในเกาะแล้วกลัว ผมไปแทนได้” จำไว้ว่าถ้าเราเป็นฝ่ายถือเหตุผลก็ไม่ต้องไปกลัวคนชั่ว อาตมาทำเอาพวกนั้นประเภทหงายหลังตึงมาหลายทีแล้ว คุยใหญ่คุยโตหนักหนา ถึงเวลาจะจัดการอย่างนั้นอย่างนี้ ก้าวขึ้นบันไดบ้านมาอาตมาก็ถาม “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ?” เกือบจะหงายหลังตกบันได ไม่นึกว่าพระจะกล้าไป"
"มีอยู่รายหนึ่ง ด่าตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงสองทุ่ม ให้ “กล้วย” มาเป็นลำเรือเลย เขาบอกว่าหากินมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ไม่มีใครกล้าทำกับเขาอย่างนี้ แน่จริงข้ามมาสิ พ่อจะยิงให้กลิ้งเป็นหมาเลย อาตมารอคำนี้อยู่ เพราะพระเราเขาไม่นิมนต์ก็ไปไม่ได้ เขาบอกว่า “แน่จริงให้ข้ามมา” ถือว่านิมนต์แล้ว..อาตมาก็ไป ปรากฏว่าเขาคว้าปืนลูกซองมาขึ้นลำกร้วม..! อาตมาก็เดินทื่อเข้าหา เขาโยนปืนทิ้งวิ่งหนีเอาดื้อ ๆ คาดว่ายิงแล้วแต่ยิงไม่ออก เลยต้องทิ้งปืนแล้ววิ่งหนี เพราะที่เดินเข้ามาไม่น่าจะเป็นพระหรอก น่าจะคนบ้า เพราะไม่กลัวปืน..!
เสร็จแล้วก็มีการโวยวาย ไปฟ้องร้องท่านเจ้าคุณอนันต์อีก บอกว่าจะขายที่ขายนามาเพื่อเอาพระสึกให้ได้ อาตมาก็เลยฝากไปบอกว่า “กูเป็นพระ กูทำได้แค่นี้ ถ้ากูสึกวันไหน มึงเจอหนักกว่านี้หลายเท่า..!” ก็เลยเงียบกันไปหมด สงบเรียบร้อยดีมาก แต่ก็ยังไม่เลิกนะ ยังเอาอีก อาตมาเจอเบ็ดราวยาวที่สุดในโลกก็ที่วัดท่าซุง เขาขึงกับต้นไผ่ที่เลยโรงพระสุธรรมยานเถระไป แล้วก็พายเรือกลับไปฝั่งเขา โรยเบ็ดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหน้าวัดยาง ยาวกิโลเมตรกว่า"
... (ไฟล์เสียงขาด)...
ถาม : เรื่องเกี่ยวกับสีลัพพตปรามาสค่ะ คือ เรามีอุปาทานเกี่ยวกับศีล ?
ตอบ : อุปาทานเกี่ยวกับอะไร ? สีลัพพตปรามาสเกิดจากความที่เรายังไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ในเมื่อเรายังไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง เราก็ยังรักษาศีลแบบไม่จริงไม่จัง การที่รักษาศีลแบบไม่จริงไม่จัง เขาเรียกว่ารักษาศีลแบบสีลัพพตปรามาส คือยังลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่ ยังไม่เอาจริง ไม่ได้อยู่กับตัวอุปาทานหรอก อยู่ที่ตัวขาดศรัทธา
ถาม : อย่างพวกที่เชื่อโหราศาสตร์ ตัวเลข ดูดวง เป็นอุปาทานหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตราบใดที่เรายังไม่ใช่พระโสดาบันขึ้นไป ต้องเป็นทุกคน เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นไปเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง คราวนี้พระโสดาบันท่านมีพระรัตนตรัยแน่นแฟ้นอยู่ในใจ มีความมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านก็ละเว้นเรื่องพวกนี้ได้ ถ้าคุณถามในลักษณะนี้ ทุกคนต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไปถึงจะเว้นได้ทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างนั้น โลกนี้คงมีความสุขมาก
ถาม : เกี่ยวกับสมาธิค่ะ อย่างเวลานับลมหายใจ แล้วก็จะมีตัวเลขวิ่งมารอบที่หน้าผาก จังหวะที่เรารู้สึกตัวแล้ว เราไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ สักพักก็เหมือนกับหาลมหายใจไม่เจอ
ตอบ : แสดงว่าในอดีตเราอาจเคยได้ทิพจักขุญาณมาก่อน หรืออาจเป็นปัจจุบันนี้แหละ พอสภาพจิตเริ่มเข้าสู่ระดับของอุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์เริ่มเกิด ก็จะเห็นโน่นเห็นนี่ได้ เราตั้งใจนับลมหายใจเข้าออก ก็เลยเห็นเป็นตัวเลขได้
แต่ลักษณะอย่างนั้น แสดงว่าใจของเราบางทียังไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างแท้จริง ในเมื่อไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างแท้จริง พอหลุดจากลมหายใจเข้าออกไป เราจะไปไหนไม่ถูก โดยเฉพาะพอภาพความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมา แทนที่เราจะสนใจลมหายใจ เราก็ไปสนใจภาพนั้นแทน พอจิตหลุดจากลมหายใจเข้าออกเมื่อไรก็ไปไม่เป็น
รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมาที่ลมใหม่ แล้วก็อย่าไปสนใจว่าจะเห็นหรือไม่เห็น ถ้าหากภาวนาแล้วอยากเห็นอีกจะฟุ้งซ่าน แล้วจะไม่เห็นอะไรเลย เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นอย่างไรช่างมัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในบรรดาพระพุทธรูปปางต่าง ๆ อาตมาติดใจพระปางนาคปรกมาตั้งแต่เด็ก สมัยเด็ก ๆ พี่ชายเล่นพระเครื่อง มีพระนาคปรกลพบุรีอยู่องค์หนึ่ง หน้าตักประมาณนิ้วหนึ่ง เห็นแล้วอยากได้ใจจะขาด ตอนหลังได้เหรียญหลวงปู่ท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ที่เขาเรียก เหรียญจเรตำรวจ ถูกใจมาก..เพราะว่าเป็นพระพุทธรูปนาคปรกเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าทำไมถึงชอบพระพุทธรูปปางนาคปรก พอฝึกกรรมฐานถึงได้รู้ว่าเคยเกิดเป็นพญานาคบ่อยมาก
ในช่วงฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี ถึงได้สร้างพระนาคปรก โดยเฉพาะพระนาคปรกขอม เนื้อเรซิ่นองค์สีขาว ๆ องค์นั้นขลังสุด ๆ เพราะว่าท่านเลือกสีของท่านเอง ทางร้านทำตัวอย่างมาให้หลายสี พอเห็นสีขาวก็สะดุดตา ตั้งใจจะถ่ายรูปท่าน ปรากฏว่ากล้องถ่ายเอง ถ่ายเองจนกระทั่งคนอื่นสงสัยว่าทำไมถ่ายเร็วขนาดนั้น โชคดีที่มีพยาน ตาเอ๋ (มะลิแก้ว) อยู่ใกล้ ๆ ยกให้เขาดูว่าอาตมาตั้งกล้องไว้เฉย ๆ นิ้วยังไม่ได้แตะชัตเตอร์เลย กล้องลั่นเองได้ สรุปว่าท่านเลือกเอาสีนั้นของท่านเอง สีอื่นไม่ต้องมาเลย ถ่ายไป ๘ รูปไม่ต้องกดชัตเตอร์เลย แค่หันกล้องตรงก็ถ่ายรูปเองได้
หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านประทานพระนาคปรกขอมให้องค์หนึ่ง บอกว่า "องค์นี้เหมาะกับคุณ" คำว่าเหมาะของท่าน ท่านเองก็คงใช้คำพูดที่เหมาะสมที่สุดในช่วงนั้นแล้ว ที่เหลือให้ไปรู้กันเองว่าเหมาะเพราะอะไร
คราวนี้ทำพระขึ้นมาด้วยความที่เป็นวาระสำคัญก็คือครบ ๒,๖๐๐ ปี การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ทำพระนาคปรกมีอีกความหมายหนึ่งก็คือ การปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา การพิทักษ์พระพุทธศาสนา แล้วขณะเดียวกันองค์เล็กก็อยู่ในลักษณะที่ว่า นอกจากรักษาพระพุทธศาสนาแล้วยังรักษาตัวเราด้วย
พระนาคปรกองค์ที่เป็นนาคไทยองค์เล็กสร้างยากที่สุด เพราะว่าเศียรนาคแหลม ๆ พลาดหน่อยเดียว ถ้าไม่หักก็งอ ช่างต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง"
ถาม : คนสมัยก่อนเวลาใส่บาตร ใส่แค่ข้าวกับไข่ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วสมัยโน้นกับข้าวที่หาได้ง่ายที่สุดก็คือไข่ ขณะเดียวกันกล้วยน้ำว้าแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวันไปเลย เป็นของที่หาง่ายแล้วก็ใส่ง่าย ตอนสมัยผมเด็ก ๆ จะมีความนิยมอย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่มีกับข้าวหรือหากับข้าวไม่ทัน จะตักข้าวสวยขึ้นมา โรยเกลือลงไป แล้วก็ใส่บาตร พูดง่าย ๆ ว่าโรยเกลือพอให้มีรสพอฉันได้ มักง่ายยิ่งกว่ากล้วยน้ำว้ากับไข่ต้มอีก
รุ่นผมโตมาด้วยกล้วย ไม่มีของอย่างอื่นกิน ก็เอากล้วยน้ำว้าเผา ถึงเวลาขูดใส่ปากเด็ก เอาข้าวสวยผสมกับกล้วยน้ำว้า บางทีก็มีไข่แดงหน่อยหนึ่งบี้ให้เข้ากันแล้วป้อนเด็ก เราจะเห็นว่าเด็กรุ่นหลัง ๆ พลังงานเหลือเฟือ สารพัดของที่ไปบำรุง บำรุงมาก ๆ จนพลังงานล้นเกิน แต่สติสมาธิของเขาก็ยังเป็นเด็กทารก เราจะเห็นว่าเด็กรุ่นหลังอยู่ในลักษณะไฮเปอร์แอกทีฟ พลังงานล้นเกินก็ซนฉิบหายวายป่วง รุ่นผมนี่ไม่มี เพราะที่กินเข้าไปสารอาหารเลี้ยงตัวยังไม่พอเลย จะเอาไปซนอย่างไรไหว
ทุกวันนี้ที่เด็กโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วก็ดี หรือว่าไฮเปอร์แอกทีฟหยุดนิ่งไม่ได้ กลายเป็นสมาธิสั้น เกิดจากอาหารบำรุงทั้งนั้น คือวิทยาศาสตร์ของเราอยู่ในลักษณะที่ว่า พอรู้ว่าอะไรดีก็ใส่ลงไปตะบันราดเลย โดยไม่รู้ว่าทุกอย่างต้องใช้สายกลางของพระพุทธเจ้า ถึงจะใช้ได้ เกินเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น ขาดเมื่อไรก็ไม่พอ
ถาม : สมัยก่อนไม่ค่อยมีอะไรสมัยนี้ คนสมัยก่อนจะอายุยืนมากกว่า ?
ตอบ : มีส่วนที่ว่าทำให้จิตใจของผู้คนสงบเยือกเย็นง่ายกว่า รุ่นผมอายุ ๑๒ – ๑๓ ปี ยังแก้ผ้าโดดน้ำกันอยู่เลย ไม่รู้เรื่องผู้หญิงผู้ชายเลย เพราะอัตราการเจริญเติบโตของร่างกายช้า ผู้หญิงบางที ๑๗-๑๘ ปี เพิ่งจะมีประจำเดือน สมัยนี้บางที ๘-๙ ขวบ ก็มีกันแล้ว เพราะไปกระตุ้นร่างกายมากเกินไปแล้วสติสมาธิเท่าเดิมก็แย่ ส่วนคนสมัยก่อนในเมื่อเป็นไปตามสภาพ ไม่มีสิ่งกระตุ้นเร้า โอกาสที่จิตสงบในขณะปฏิบัติธรรมก็มีมากกว่า มีส่วนเกี่ยวเนื่องกันอยู่มากทีเดียว
ถาม : มีทฤษฎีออกมาจากญี่ปุ่นว่า ให้กินวันละมื้อ ร่างกายจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง สภาพร่างกายจะรักษาตัวเองเวลาที่หิวแล้วน้ำย่อยออกมามาก ๆ
ตอบ : ดูว่าหลวงปู่ หลวงพ่อของเราที่มาสายวัดป่าท่านกลับเป็นเด็กไหมเล่า ? ถ้ากลับไปเป็นเด็กท่านกลับก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายที่ไม่หนักด้วยอาหาร การปฏิบัติธรรมจะสะดวกกว่า ในขณะเดียวกันความกังวลในการหากินก็น้อยลง ที่แน่ ๆ คือประหยัดทรัพยากรไป ๒ ใน ๓ เลย
เคยกินอาหารญี่ปุ่นบ่อยไหม ? แต่ละชุดที่จัดมา เรากินให้ตายอย่างไรก็ไม่อิ่ม นั่นแหละคือลักษณะอย่างนั้น มีค่านิยมของทางด้านเซ็น เขาว่าถ้าปล่อยให้ร่างกายกึ่งหิว จิตจะมีสภาพตื่นรู้ได้ง่าย คำว่ากึ่งหิวก็คือไม่อิ่ม ให้กินบ้างแต่ไม่เต็มที่ พวกเราถ้าไปญี่ปุ่น บางทีสั่งอาหารจนเจ้าของร้านมองค้อน ของเขาชุดเดียวก็จบ ของเราสั่งแล้วสั่งอีก อยู่ในลักษณะที่ว่ากระบือกินดอกโบตั๋น ไปนึกถึงควายกินดอกโบตั๋น ไม่ได้เข้าถึงสุนทรียภาพเลย ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ สีสัน ตั้งหน้าตั้งตาจะกินให้อิ่ม
ผมฉันอาหารญี่ปุ่นครั้งแรก เซ็งมากเลย รสชาติไม่เค็ม แต่เห็นซีอิ๊วก็เลยใส่ลงไป ก็ไม่เค็ม ใส่อีกก็ไม่เค็ม ใส่ซีอิ๊วลงไปเป็นช้อน ๆ ก็ไม่เค็ม ตกลงซีอิ๊วเขามีรสเดียว จืดสม่ำเสมอกันทั้งขวด ซีอิ๊วบ้านเราถ้าเติมมากจะเค็มขึ้น คนญี่ปุ่นอายุยืนเพราะกินอาหารรสจืด ขณะเดียวกันอาหารเขาเป็นธรรมชาติมาก
ถาม : เรื่องของเซ็นเขาเอาถึงมรรคถึงผลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีถึงเหมือนกัน แล้วแต่บารมีของบุคคลที่สั่งสมมา การที่เขาบอกว่าซาโตริ หรือการตื่นรู้ของเขา บางคนก็แค่ระดับสมาธิที่ลึกขึ้น แต่บางคนเป็นการเข้าใจในหลักธรรมจริง ๆ ขึ้นอยู่กับการสั่งสมของเขามาเหมือนกัน
ถ้าหากว่าศีล สมาธิ ปัญญา บ่มเพาะมาจนได้ที่ ถึงเวลาสะกิดนิดเดียวก็ได้เลย แต่ขณะเดียวกันบางคนก็แค่เข้าถึงอุปจารสมาธิขั้นปลาย ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน หยาบ กลาง ละเอียด จนถึงจตุตถฌานไล่ขึ้นไปตามลำดับ ฉะนั้น..บางคนถึงได้บอกว่าซาโตริเป็นไปได้หลายครั้งหลายหน บางคนก็ยืนยันว่าได้ครั้งเดียว พวกที่ไปเป็นตามลำดับขั้น เขาก็ยืนยันว่ามีหลายขั้น
ถาม : ถ้าผมบวชที่วัดอื่น แล้วย้ายไปอยู่อีกวัดหนึ่ง ?
ตอบ : ต้องให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านอนุญาตก่อน เพราะว่าเราบวชพระกับใคร พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะเป็นคนรับผิดชอบเรา ถ้าท่านไม่อนุญาตเราก็โยกย้ายไม่ได้ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อนว่า บวชแล้วผมไม่ได้อยู่กับท่าน ขออนุญาตไปอยู่ที่อื่นได้ไหม ? เสร็จแล้วถ้าท่านตกลง ก็ให้ทำหนังสือส่งตัวไป จะได้ไปเข้าสังกัดวัดโน้นได้ ไม่อย่างนั้นเราจะต้องสังกัดที่วัดเก่า
พระเราต้องมีสังกัด ในเมื่อต้องมีสังกัด เราบวชที่ไหนก็สังกัดที่นั่น แต่ถ้าท่านทำหนังสือส่งตัวไป เขาก็รับเข้าสังกัดวัดเขาได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพิธีบวชก็มักจะมีการเจริญพุทธมนต์แล้วเลี้ยงเพลฉลองพระใหม่ ที่วัดใหม่ยายนุ้ยบวชเสร็จก็คงจะเลี้ยงเพลฉลองพระใหม่ กว่าจะเสร็จก็หลังเที่ยง แล้วช่วงบ่ายก็บวชอีกรูปหนึ่ง ต้องบอกว่าบางอย่างก็เป็นเรื่องของทิฐิมานะ
อย่างวัดท่าขนุนจัดบวชฟรีปีละ ๔ ครั้ง มีญาติโยมหลายคนที่ลูกมาสมัครแล้วเขามาถอนชื่อออก บอกว่าขอจัดงานบวชเอง เพราะว่าพอวัดจัดแล้วตัวเองไม่ได้เลี้ยงแขกอะไร รู้สึกว่าเหมือนกับไม่ได้จัดลูกบวช อย่างคราวก่อนโน้นผู้ใหญ่พลกับอบต.ทุ่ง ผู้ใหญ่บ้านคลิตี้บนหรือบ้านทุ่งเสือโทนจัดบวชลูก สั่งโต๊ะจีน ๕๐ ตัวเลี้ยงลูกบ้าน ตั้งเต็มถนนจากหน้าโรงรถไปถึงโรงครัว สรุปแล้วก็คือขนลูกบ้านมาทั้งหมู่บ้านเลย แถมหมู่บ้านอื่นด้วย เอามาบวชลูกชาย
จะว่าไปแล้วก็คือคิดถึงมวลชน คือคนที่สนับสนุนเขา ตัวเองเป็นผู้ใหญ่บ้าน บวชลูกทั้งทีก็ควรที่จะบอกลูกบ้านทั้งหมด บอกก็ไม่ได้หวังให้เขาช่วยอะไรหรอก ให้มาช่วยกินนั่นแหละ เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านมีช่องทางทำกินมากกว่า เปิดร้านขายวัสดุก่อสร้างด้วยใหญ่ ๆ โต ๆ ก็เลยไม่คิดจะพึ่งพาลูกบ้าน กลายเป็นคืนกำไรให้ลูกบ้านไป จัดโต๊ะจีนเลี้ยง ก็ดี..แต่เสียดายว่าบวชแล้วไม่คุ้ม อยู่ได้ ๒ อาทิตย์ พ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน แม่เป็นอบต. บวชลูกทีก็เลยต้องจัดกันใหญ่หน่อย แต่ว่ารายนี้รู้ฤทธิ์ของอาจารย์เล็กดี เพราะฉะนั้น..บอกว่า ๗ โมงครึ่งต้องพร้อม เขาก็พร้อม ท่านที่ยังไม่รู้ฤทธิ์ มาผิดเวลาโดนด่ากระจายมาเยอะแล้ว
พระอุปัชฌาย์มานั่งรออยู่ นาคยังจะแห่อีก บอกให้มา ๗ โมงครึ่ง ย้ำ ๓ ครั้งทุกคนรู้กัน แต่ ๘ โมงครึ่งเสียงแห่เพิ่งจะมาถึงหน้าวัด พระอุปัชฌาย์มานั่งรอตั้งแต่ ๐๘.๑๕ น. ที่ให้เขามา ๗ โมงครึ่งเพราะให้เขามีเวลาแห่กัน คราวนี้เกือบ ๙ โมงแล้วค่อยโผล่มายังจะแห่อีก ก็เลยบอกว่าถ้าจะแห่ก็แห่ไปบวชวัดอื่นเลย เขารู้สึกว่าไม่ครบ มีการมากระซิบถามอีกว่า ไม่ได้แห่แล้วจะได้บุญไหม ? ถ้าบุญอยู่ตรงแห่ก็ดีสินะ..!
สมัยก่อนที่เขาแห่นาค โดยเฉพาะบางคนแห่ข้ามตำบลเลย นอกจากไปกราบขอขมาพระผู้ใหญ่และท่านที่เคารพนับถือแล้ว ก็ยังให้คนอื่นได้รู้เห็นและโมทนาด้วย แต่สมัยนี้การแห่นาคเป็นเพื่อความสนุกครึกครื้นโดยส่วนเดียว บางทีเมากันหัวทิ่ม เคยเจอประเภทให้นาคขี่คอ แต่คนให้ขี่ก็เมา..พานาคหัวทิ่มพื้นเลยก็มี"
ถาม : เห็นพวกผีอยู่ตลอด ก็เลยกลัวครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก วันนี้เราทำบุญก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาทั้งหมดที่เราเห็น เพราะว่าจริง ๆ แล้วเขามีอยู่ทั่วไป แต่ถ้าแสดงให้เราเห็นอาจจะเป็นเพราะมีความผูกพันกันมาบ้าง ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วบอกว่าไม่ต้องมาให้เห็นหรอก..กลัว
ถาม : ..(ไม่ชัด)...แต่งตัวสวยเชียว ?
ตอบ : เอาอย่างนี้ ที่บ้านมีพวกโมบายที่แขวนแล้วกระทบกันเป็นเสียงดังบ้างไหม ? ถ้ามีเอาออกให้หมดเลย เพราะเขาชอบเสียงพวกนี้ ถึงเวลาเขาจะมากันเยอะ เอาที่แขวน ๆ โมบายพวกนั้นออก เดี๋ยวเขาก็ไป เวลาเขาได้ยินเสียงก็วน ๆ เข้ามาดู เหมือนกับเราเชิญแขก เอาพวกนั้นออก เดี๋ยวเขาไม่มีอะไรให้เล่น เขาก็ไปเอง
ถาม : ข้างบ้านนึกว่าเราเป็นอัลไซเมอร์ ?
ตอบ : ยังดีเขาถามว่าอัลไซเมอร์หรือเปล่า ? ของอาตมาเขาถามว่าบ้าหรือเปล่า..!? คนที่เห็นอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน ส่วนใหญ่เขาก็คิดว่าบ้า ไม่มีอะไรหรอก กลับไปเอาออกให้หมด เดี๋ยวเขาก็ไปกันเอง พวกเราไม่รู้ว่าเสียงพวกนั้นทำให้พวกที่เร่ร่อนอยู่มีจุดหมายให้ยึด เหมือนคนหลงทางได้ยินเสียงเรียก ก็ไปตามเสียงนั้น
ถาม : มีนกพิราบมาเกาะตามหน้าบ้านแล้วขี้เลอะเทอะ คิดว่าจะไปซื้อกระดิ่งมาแขวน จะเป็นการเรียกแขกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พวกเสียงกระดิ่ง เสียงระฆังโมบาย เขาชอบ เขาได้ยินก็มักจะแวะมา เพราะว่าพวกนี้ถึงเวลาแล้วร่อนเร่ไม่มีจุดหมาย พอได้ยินเสียงเขาถือว่าเป็นจุดหมาย เป็นเป้าหมายอย่างหนึ่ง ก็ตรงไปหา
ถาม : พระภูมิเจ้าที่กันไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : กันได้ แต่หมายความว่าเราบูชาท่านเป็นประจำ ขอให้ท่านช่วย ส่วนที่กันไม่ได้เพราะเราไม่เคยนึกถึงท่าน กลายเป็นเจ้าของบ้านเชิญแขก แล้วท่านจะไปห้ามอะไรได้
ถาม : แก้อย่างไรกับนกพิราบที่มาเกาะเป็นประจำครับ ?
ตอบ : เอารูปแกะสลักนกฮูก ไปตั้ง ๆ ไว้บนหลังคา
ถาม : เป็นรูปภาพได้ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเป็นตัว เป็นนกฮูกหรือเหยี่ยวอะไรก็ได้ ที่เป็นนกนักล่า เหมือนกับที่วัดพระพุทธฉาย นั่นก็เอารูปจระเข้ไปมัดไว้ตามหลังคา กันลิงขึ้นไปซน จระเข้ตัวใหญ่ ๆ อ้าปากแดง ๆ ลิงไม่กล้าเข้าใกล้ สัตว์อย่างไรก็เป็นสัตว์ พอเห็นเป็นสัตว์นักล่าก็ไม่เข้าไปยุ่งเลย
ถาม : ทำบุญแต่ทำไมยังได้รับความทุกข์อยู่ ?
ตอบ : กรรมส่วนกรรม บุญส่วนบุญ ถ้าเราสร้างบุญกุศลต่อเนื่องไป กรรมเข้าแทรกไม่ได้ ความทุกข์ก็น้อยลง ถ้าบุญกุศลขาดช่วงความทุกข์ก็เข้ามาได้อีก ถ้าจะทำบุญต้องทำต่อเนื่องกันไป แล้วเรื่องของศีลเป็นแค่ปานกลางเท่านั้น จะเอาบุญใหญ่กว่านั้นคือภาวนา ถ้าสามารถภาวนาได้ กำลังบุญสูงกว่า ก็จะห่างความชั่วออกไปได้มากกว่า
ถาม : จะซื้อหนังสือคู่มือคาถาเงินล้านไปแจกโยมที่ใส่บาตรประจำ ควรไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็สมควร แต่การที่เราแจกไปก็ต้องดูด้วย ถ้าอยู่นอกสายเขาก็จะไม่เกิดความศรัทธาเท่าไร
ถาม : ทำไมบทรัตนสูตรถึงอ้างคุณพระโสดาบันเยอะจังครับ ?
ตอบ : แล้วอ้างไม่ได้หรือ ?
ถาม : อ้างได้ครับ แต่ส่วนใหญ่บทอื่นจะอ้างคุณพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ แค่แปลกใจว่าทำไมบทนี้อ้างพระโสดาบันเยอะมาก ?
ตอบ : ใกล้ตัวที่สุด
ถาม : เป็นเพราะพระอานนท์เป็นคนทำใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พระอานนท์แล้วใครจะเป็นพระโสดาบัน ? ลักษณะการอ้างก็เหมือนกับการตั้งสัตยาธิษฐาน ต้องอ้างตามความเป็นจริง
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=23426&stc=1&d=1437292904
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระองค์นี้เขาสร้างแบบพระมหามุนีของพม่า แต่ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าเป็นพระทรงเครื่องเหมือนกัน แสดงว่าท่านที่สามารถเห็นพระพุทธเจ้าได้ ล้วนแล้วแต่เห็นอยู่ในลักษณะมีทรงเครื่องเหมือนกัน เพียงแต่ว่าในลักษณะของการทรงเครื่องก็เป็นไปตามอุปาทาน คือการยึดถือของแต่ละชนชาติ ลักษณะของบุคคลที่มีศักดิ์มีอำนาจมากที่สุดนิยมการทรงเครื่องแบบไหน ก็จะทรงเครื่องให้พระแบบนั้น
ไปดูพระแก้วที่ราชวังเขมรินทร์ของกัมพูชาแล้วน่าสงสารที่สุด ทั้งเนื้อทั้งตัวมีสังวาลย์อยู่เส้นเดียว จะบอกว่าไม่มีเงินก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาหล่อพระพุทธรูปทองคำทั้งองค์ แสดงว่าไม่ได้ไปเห็นของจริง"
ถาม : เขาบอกว่าพระแก้วมรกตยังมีส่วนที่ฐานยาวลงไปอีก ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ เฉพาะแก้วแกะสลักองค์พระก็ใหญ่โตมโหฬารแล้ว คุณยังคิดว่าจะมีได้มากกว่านั้นอีกหรือ ? หน้าตัก ๑๖ นิ้วนะพ่อคุณ ถ้ายังมีลงไปถึงข้างล่างอีกก็ต้องประเภทภูเขาทั้งลูกแล้ว..!
ถาม : กระผมปฏิบัติแล้วมักจะโดนมนต์ดำเล่นงานครับ ?
ตอบ : พุทธคุณดีที่สุด อำนาจพุทธคุณไม่มีอะไรที่จะประมาณได้ ถ้าภาวนาจนสามารถทรงฌานได้ พวกมนต์ดำเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เป็นเรื่องแปลกว่า บางคนบุคลิกภาพอะไรบางอย่างไปสะดุดตาชาวบ้าน ทำให้เขาอยากลอง พระครูแสงน้องชายผมก็แบบนี้แหละ ผมถึงได้บอกว่า “สงสัยเอ็งจะเกิดราศีตีน ไปไหนก็เรียกตีนได้เรื่อย..!”
ถาม : การที่หน้าตาหรือบุคลิกภาพเราทำให้คนอื่นที่เห็นไม่ชอบใจ เป็นเพราะกรรมเก่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำมาในอดีต เราไปแก้ไม่ได้ แก้ปัจจุบันเราให้ดีก็แล้วกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครไปโพสต์เรื่องนักศึกษาโดนจับบ้างไหม ? ประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนกับกาน้ำเดือด ต้องมีช่องทางให้เขาระบายได้ ไม่อย่างนั้นก็จะระเบิด การแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษา ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศชาติและประชาชน แล้ววิธีที่ดีที่สุด ก็คือทหารตำรวจไปช่วยดูแลการจัดกิจกรรมของเขา ภาพที่ออกมาจะสวยงามมาก
แต่ทุกวันนี้ต้องบอกว่า บางทีทหารตำรวจก็ทำงานเกินกว่าที่เจ้านายต้องการ บางทีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แต่ลูกน้องเกรงว่าเจ้านายจะไม่ชอบใจ เลยชิงไปจัดการเสียก่อน เรื่องของเรื่องแทนที่จะกลายเป็นว่ามีช่องทางให้เขาแสดงออก ก็ไปปิดกั้น เมื่อไปปิดกั้น โอกาสที่จะระเบิดจึงเกิดขึ้น กลายเป็นสร้างปัญหาขึ้นมาเอง รักจะเป็นใหญ่ ต้องใจกว้าง หูหนัก
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ทหารไปพังบ้าน คุณชายคึกฤทธ์ก็นั่งหัวเราะ คนด่าท่าน ท่านบอกว่า หมายกขาเยี่ยวรดภูเขาทอง ภูเขาทองจะไปรู้สึกอะไร ต้องทำใจให้ได้อย่างนั้น ในเรื่องของการเมืองถ้าไม่มีเวทีให้แสดงออก ทุกอย่างเก็บกดไปเรื่อย ความไม่พอใจจะคุกรุ่นไปเรื่อย ถึงเวลาถ้าระเบิดออกมาจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราขนาดมีรถไฟฟ้ายังเอารถมากันอีก อาตมาอุตส่าห์ยอมเสียเงิน ๓๐ กว่าล้านบาท หาที่ตรงนี้ไว้สร้างบ้าน ไว้อาศัยรถไฟฟ้าให้พวกเรามา ก็ไม่นึกว่ายังอุตส่าห์เอารถมากันอีก ถ้ารู้ว่าไม่ต้องมีรถไฟฟ้าก็มาได้ ก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อที่แพง ๆ ต้องบอกว่าพวกเราขาดจิตสาธารณะในการที่ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง
อาตมาไปยุโรป ฝรั่งตัวเท่าบ้านเท่าตึกยังยัดเข้าไปในรถเล็ก ๆ คันนิดเดียว ที่นั่งเดียวบ้าง สองที่นั่งบ้าง เขาทำเพื่อประเทศชาติของเขา เพื่อให้อากาศไม่มีมลพิษ ถึงเวลาจะจอดก็เสียบหัวเข้าข้างทาง กินเนื้อที่เท่ากับรถมอเตอร์ไซต์ ๒ คัน ต้องบอกว่าฝรั่งตัวเล็กกว่าควายนิดเดียว ยังยอมลำบากเพื่อประเทศชาติตัวเอง แต่พวกเราใช้รถกันอย่างครึกครื้น ไม่ได้ดูว่าสิ้นเปลืองเท่าไร
จะว่าไปแล้วระบบขนส่งมวลชนของเราก็ยังไม่ดีพอ เพราะว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แก้ไขปัญหาการจราจรด้วยการสร้างถนน ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ผิด ยิ่งสร้างถนน คนก็ยิ่งเอารถขึ้นมาบนถนนกันมากขึ้น ปัจจุบันนี้บ้านเราถ้าเอารถทุกคันออกมา จะไม่มีแม้แต่ที่ให้จอด รถใหม่แค่ไหน แพงแค่ไหน พอมีโฆษณา อีกไม่กี่วันบ้านเราต้องมีออกมาวิ่ง ฉะนั้น..ในจุดที่รัฐบาลควรจะแก้ไขคือ การสร้างระบบขนส่งมวลชนให้ดี อย่างประเทศญี่ปุ่น รถไฟเขาช้าอย่างมากที่สุดไม่เกิน ๓ วินาที ขอยืนยันว่า ๓ วินาที ถ้าอย่างนั้นทุกคนจะสามารถกำหนดได้ว่า จะไปถึงที่ทำงานกี่โมงกี่ยาม จึงไม่จำเป็นต้องมีรถ
คนญี่ปุ่นจะซื้อรถ คนขายต้องไปสำรวจบ้านก่อนว่ามีที่จอดหรือไม่ ถ้าขายรถไปโดยที่คนซื้อไม่มีที่จอด คนขายติดคุกหัวโต ญี่ปุ่นอนุญาตให้ใช้รถยนต์บนท้องถนนได้แค่ ๓ ปี ปีแรกเสียภาษีปกติ ปีที่ ๒ เสียเพิ่มเป็นเท่าตัว ปีที่ ๓ เกือบเท่ารถใหม่ เท่ากับบังคับให้เปลี่ยนรถโดยปริยาย รถยนต์ห้ามวิ่งเกิน ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต้องทิ้งช่วงห่างกัน ๑ เสาไฟฟ้า ใครวิ่งเร็วกว่านั้น หรือจี้ติดมากกว่านั้น โดนจับยึดใบขับขี่ ดังนั้น..ถ้าอยากเดินทางช้าในญี่ปุ่นให้เดินทางด้วยรถส่วนตัว แต่ถ้าอยากเดินทางเร็วให้ใช้ขนส่งมวลชน
ที่บ้านเขาทำอย่างนั้นได้เพราะว่าเขาคุมราคารถไว้ที่ ๑๐ เท่าของเงินเดือนขั้นต่ำ อย่างของบ้านเรา ถ้าเงินเดือนขั้นต่ำคือ ๑๕,๐๐๐ บาท ราคารถยนต์จะไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท อย่างฮ่องกง คุณซื้อรถได้เสรี แต่ค่าจอดแพงหูดับตับไหม้ จึงไม่มีใครอยากมีรถยนต์ ออสเตรเลีย ถ้าจะซื้อคันใหม่ ต้องเอาคันเก่าไปให้เขาบี้เป็นเศษเหล็กก่อน แล้วถอดทะเบียนคันเก่า ไปให้เขาลงประวัติใหม่แล้วเอาไปใช้ต่อ ถ้าคุณมั่นใจว่าไม่ได้ใช้รถเดือนนี้ ถอดป้ายทะเบียนไปฝากตำรวจไว้ ก็ไม่ต้องเสียภาษีเฉพาะเดือนนั้นได้
แต่บ้านเราส่วนใหญ่แล้วบริษัทจำหน่ายรถจะสนับสนุนพรรคการเมือง จึงต้องหาทางช่วยเขาขายรถให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมปล่อยให้ค่าน้ำมันลอยตัวเป็นไปตามตลาด เราจึงใช้รถกันแบบไม่รู้สึกรู้สา สังเกตได้ว่า ตอนน้ำมันขึ้นจาก ๑๓ บาทกว่ากลายเป็น ๒๔ บาท รถหายจากท้องถนนไปเกินครึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็ออกมาเต็มถนนเหมือนเดิม เพราะเริ่มตายด้านอีกแล้ว
ตอนที่อาตมาไปเขมรเมื่อปีก่อนโน้น น้ำมันลิตรละ ๕๗.๕๐ บาท บังเอิญว่าญาติโยมที่ไปสามารถเข้านอกออกในบ้านท่านนายกฯ ฮุนเซนได้ เมื่อฝากคำถามว่าทำไมถึงปล่อยให้น้ำมันแพงอย่างนั้น ชาวบ้านจะอยู่ได้อย่างไร ท่านนายกฯ ฮุนเซนที่ใคร ๆ บอกว่าไม่จบ ป.๔ ตอบง่ายมากว่า "ถ้าเขามีปัญญาซื้อรถ เขาก็ต้องมีปัญญาเติมน้ำมันรถ" บ้านเรามีนายกฯ คนไหนกล้าทำอย่างนี้ไหม ? ทุกวันนี้ส่วนที่สิ้นเปลืองที่สุดก็คือรถ ซื้อมาก็ "ลด" ทันที ไม่มีเพิ่ม"
:4672615:เก็บตกเดือนกรกฎาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.