สิรวิชย์๑๙
27-06-2015, 23:24
กราบนมัสการหลวงพ่อครับ
กระผมอยากเรียนถามถึงข้อสงสัยที่ได้อ่านเทศนาธรรมของหลวงพ่อสดมาครับ. ท่านพูดถึงการติดสุขในขั้นต่าง ๆ ไล่ไปตั้งแต่สุขในกาม สุขในฌาณ สุขในอรูปฌาณ จนถึงสุขในนิพพานและท่านบอกว่าต้องไม่ติดสุขแค่นี้ หาสุขที่ละเอียดขึ้นไป กระผมจึงอยากทราบว่าสุขที่ละเอียดขึ้นไปกว่าสุขในพระนิพพานที่ท่านกล่าวถึงคือความหมายอย่างไรหรือครับ
ทั้งนี้กระผมขออนุญาตแนบข้อความที่หลวงพ่อท่านเทศน์ไว้ด้วยเพื่ออ้างอิงครับ
อ้างอิงจาก ปกิณกธรรม หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
กัณฑ์ที่ ๕๐
ปกิณกะ
วันที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๗
..
คัดลอกมาเฉพาะส่วนที่สงสัยครับ
" เรานึกถึงความสุข ไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั่นมันซากของศพ นั้นไม่ใช่สุขจริง ไม่ใช่เนื้อหนังของสุข มันซากของสุขนะ
เมื่อหลุดขึ้น พอพ้นจากกามไปแล้ว ถึงรูปภพเข้าไปถึงรูปฌานทั้งสี่เข้า นึกถึงสุขของกาม ไอ้สุขของกามนั้นมันเศษสุข ไม่ใช่สุขจริง ๆ
เมื่อไปถึงอรูปฌานเข้า ไอ้สุขของรูปฌานนั่นนะ มันสุขอย่างหยาบนะ ไม่สุขละเอียดนุ่มนวล ชวนให้สบายอกสบายใจเหมือนอรูปฌาน
เมื่อได้รับความสุขในอรูปฌานแล้ว สุขในอรูปฌานนี่มันสุขในภพ ไม่ใช่สุขนอกภพ นี่มันสุขต่ำทรามนะ
พอไปถึงนิพพานเข้าก็ อ้อ! นี่มันสุขนุ่มนวล ชวนติดนัก นี่มันสุขจริง จะได้เล่าถึงสุขในพระนิพพานให้ฟังอีก
เรื่องสุขในพระนิพพานนั้นมันสุขลึกซึ้งนัก พระพุทธเจ้ามีเท่าไร ๆ ไปติดอยู่ในนั้นหมด
พอติดเสียเช่นนั้น เหลวอีกเหมือนกัน ไปติดแต่นิพพานนั้น
ต้องไม่ติดสุขแค่นี้ แล้วหาสุขต่อขึ้นไป ใคร่ที่จะหาสุขต่อขึ้นไป
เขาเรียกว่า อปฺปสุขํ ไป
ปหาย ละสุขอันน้อยเสีย
ไปหาสุข สุขํ อาทาย ถือเอาสุขใหญ่
ปล่อยสุขขึ้นไป ไม่หยุดอยู่ในสุขแค่นั้น
ถ้าไปหยุดแค่นั้น โง่ ไม่ฉลาด ถ้าปล่อยสุขขึ้นไปไม่มีที่สุดกันละก็ นั่นฉลาดละ
อย่างพระพุทธเจ้าผู้เป็นต้นธาตุ นี้ฉลาดเต็มที่. "
กระผมอยากเรียนถามถึงข้อสงสัยที่ได้อ่านเทศนาธรรมของหลวงพ่อสดมาครับ. ท่านพูดถึงการติดสุขในขั้นต่าง ๆ ไล่ไปตั้งแต่สุขในกาม สุขในฌาณ สุขในอรูปฌาณ จนถึงสุขในนิพพานและท่านบอกว่าต้องไม่ติดสุขแค่นี้ หาสุขที่ละเอียดขึ้นไป กระผมจึงอยากทราบว่าสุขที่ละเอียดขึ้นไปกว่าสุขในพระนิพพานที่ท่านกล่าวถึงคือความหมายอย่างไรหรือครับ
ทั้งนี้กระผมขออนุญาตแนบข้อความที่หลวงพ่อท่านเทศน์ไว้ด้วยเพื่ออ้างอิงครับ
อ้างอิงจาก ปกิณกธรรม หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
กัณฑ์ที่ ๕๐
ปกิณกะ
วันที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๗
..
คัดลอกมาเฉพาะส่วนที่สงสัยครับ
" เรานึกถึงความสุข ไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั่นมันซากของศพ นั้นไม่ใช่สุขจริง ไม่ใช่เนื้อหนังของสุข มันซากของสุขนะ
เมื่อหลุดขึ้น พอพ้นจากกามไปแล้ว ถึงรูปภพเข้าไปถึงรูปฌานทั้งสี่เข้า นึกถึงสุขของกาม ไอ้สุขของกามนั้นมันเศษสุข ไม่ใช่สุขจริง ๆ
เมื่อไปถึงอรูปฌานเข้า ไอ้สุขของรูปฌานนั่นนะ มันสุขอย่างหยาบนะ ไม่สุขละเอียดนุ่มนวล ชวนให้สบายอกสบายใจเหมือนอรูปฌาน
เมื่อได้รับความสุขในอรูปฌานแล้ว สุขในอรูปฌานนี่มันสุขในภพ ไม่ใช่สุขนอกภพ นี่มันสุขต่ำทรามนะ
พอไปถึงนิพพานเข้าก็ อ้อ! นี่มันสุขนุ่มนวล ชวนติดนัก นี่มันสุขจริง จะได้เล่าถึงสุขในพระนิพพานให้ฟังอีก
เรื่องสุขในพระนิพพานนั้นมันสุขลึกซึ้งนัก พระพุทธเจ้ามีเท่าไร ๆ ไปติดอยู่ในนั้นหมด
พอติดเสียเช่นนั้น เหลวอีกเหมือนกัน ไปติดแต่นิพพานนั้น
ต้องไม่ติดสุขแค่นี้ แล้วหาสุขต่อขึ้นไป ใคร่ที่จะหาสุขต่อขึ้นไป
เขาเรียกว่า อปฺปสุขํ ไป
ปหาย ละสุขอันน้อยเสีย
ไปหาสุข สุขํ อาทาย ถือเอาสุขใหญ่
ปล่อยสุขขึ้นไป ไม่หยุดอยู่ในสุขแค่นั้น
ถ้าไปหยุดแค่นั้น โง่ ไม่ฉลาด ถ้าปล่อยสุขขึ้นไปไม่มีที่สุดกันละก็ นั่นฉลาดละ
อย่างพระพุทธเจ้าผู้เป็นต้นธาตุ นี้ฉลาดเต็มที่. "