เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘


เถรี
08-06-2015, 11:31
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อตอนบ่ายมีหน่วยกล้าตาย มาถามว่าเปิดเฟซบุ๊กจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ แล้วก็มีคำสั่งของอาตมาแจ้งไปว่า การทำอย่างนั้นเป็นการแอบอ้างชื่ออาตมาไปขาย ก็เลยต้องหยุด ต้องการจะทราบว่าดำเนินการอย่างไรถึงจะถูกต้อง ?

อาตมาขอบอกว่า "โคตรพ่อโคตรแม่มึ...จะดำเนินการอย่างไรก็ทำไปเถอะ ที่มีคำสั่งไปนั้นเพราะเสือกบอกว่าอาตมาอนุญาตให้ทำ ถ้าจะเอาชัด ๆ เลยก็คือพาดหัวเฟซบุ๊กไปเลยว่าดำเนินการกันเองโดยพลการ วัดและพระอาจารย์ไม่เกี่ยว เปิดมาเพราะหวังรวย อะไรก็ว่าไป"

มีพวกหัวหมอแต่อ่านหนังสือไม่แตก ถามว่า “จำหน่ายวัตถุมงคลวัดท่าขนุนของพระครูวิลาศกาญจนธรรม ถ้าเป็นการแอบอ้าง ผมจำหน่ายสมเด็จวัดระฆังผมก็แอบอ้างสมเด็จฯ โตสิ ?” อาตมาบอกไปว่า “แล้วโคตรแม่มึ..บอกหรือเปล่าว่าสมเด็จฯ โตอนุญาตให้มึงทำ ? ถ้าบอกว่าท่านอนุญาต ก็แปลว่าเอ็งแอบอ้างเหมือนกัน”

อาตมาบอกตั้งแต่แรกที่มีคนนำวัตถุมงคลไปจำหน่ายในเว็บแล้วว่า ใครทำได้ถือเป็นความสามารถ จะทำมาหากินอย่างไรก็เชิญ เพราะว่าคุณบูชาไปก็เป็นสิทธิ์ของคุณแล้ว แต่อย่าไปอ้างว่าทางวัดอนุญาตให้ทำ เพราะทางวัดไม่เคยมีส่วนร่วมได้เสียกับคุณด้วย"

เถรี
08-06-2015, 12:17
มีโยมถวายชานหมากหลวงปู่ทิม วัดพระขาว พระอาจารย์จึงให้คุณตัวเล็กนำไปขึ้นบัญชีกระทู้วัตถุมงคล "วันก่อนเห็นมีคนตามหาชานหมากหลวงปู่ทิมอยู่ ส่วนชิ้นนี้รอยเท้าหลวงปู่ครูบาผัด นี่ก็ตะกรุดหนังช้าง เขาถวายมา อาตมาก็มีหน้าที่เอาออกให้บูชาจนหมด เพื่อเอาปัจจัยเข้าร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ"

เถรี
08-06-2015, 12:38
พระอาจารย์กล่าวกับคุณตัวเล็กว่า "พระกริ่งล้มลุกในเว็บ ถ้าไม่มีใครเอาให้เก็บขึ้นมาด้วยนะ ก่อนหน้านี้อาตมาตั้งใจจะเลี่ยมทองเอาไว้ใช้เอง อุตส่าห์เลี่ยมกันน้ำไว้อย่างดี

ต้นตำรับพระกริ่งล้มลุก เป็นของหลวงปู่มา วัดสามปลื้ม ตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ไม่มีคำว่าสมเด็จนำหน้า

พุฒา , พฤฒา แปลว่าแบบอย่าง ความประพฤติ , พระพุฒาจารย์ คือ อาจารย์ผู้เป็นแบบอย่างอันประเสริฐ เพราะมีคำว่าพระอยู่ด้วย

หลวงปู่มา วัดสามปลื้ม เรียกง่าย ๆ ว่าจักรวรรดิราชาวาส ท่านมีชื่อเสียงทางพระกริ่งล้มลุก ใครมีวัตถุมงคลของท่านอยู่ รับประกันได้ ต่อให้ชั่วเจ็ดทีก็ต้องดีเกินเจ็ดหน เพราะว่าของท่านล้มแล้วต้องลุกได้"

เถรี
08-06-2015, 13:44
ถาม : หากบริษัทส่งพนักงานไปอบรมที่โรงแรมหรือสถานที่จัดอบรม แล้วทางเจ้าของสถานที่หรือโครงการ จัดเตรียมสิ่งของและอาหารว่างพร้อมเครื่องดื่มไว้บริการ โดยให้เราบริการตนเอง การที่เราหยิบของที่วางไว้บริการในปริมาณมาก เช่น หยิบปากกาเกิน ๑ ด้าม หรือ หยิบกาแฟซองกลับมาเพื่อบริโภคที่บ้านเรา (เกินกว่าปริมาณที่เราบริโภคที่สถานที่นั้น) จัดว่าผิดศีลข้อ ๒ ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเขาเรียกว่า ฉายาปาราชิก มีแนวโน้มว่าจะขาดความเป็นพระแน่ในกาลข้างหน้า เพราะสิ่งที่เขาจัดไว้ให้ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาไปอย่างเหลือเฟือ เขาจัดไว้ให้แค่พอใช้งาน อย่างเช่นคนละชิ้น เป็นต้น

ดังนั้น ถือว่าเบียดบังแล้วยักยอกเสียด้วยซ้ำไป ถ้าหากเป็นพระแล้วทำอย่างนั้น โอกาสขาดจากความเป็นพระมีสูงมาก โปรดระมัดระวังไว้ด้วย

ถาม : แล้วกรณีเป็นโยมละคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเท่ากับยักยอกเขา

เถรี
08-06-2015, 13:46
ถาม : กระผมได้บูชา ตะกรุดมหาสะท้อน รุ่น ๕ และในขณะเดียวกันตัวผมเองนั้นก็มีพระปิดตารุ่น ๑ เนื้อเงินอยู่แล้ว ด้วยข้อจำกัดเรื่องสร้อยคอ ผมจำเป็นต้องเลือกห้อยระหว่างวัตถุมงคลสองสิ่งนี้
อยากถามพระอาจารย์ ว่า

๑. การห้อยพระปิดตาเนื้อเงิน รุ่น ๑ จะมีอานุภาพความเป็นมหาสะท้อนเข้มข้นเท่าตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ ไหมครับ ?

๒. การห้อยพระปิดตาเนื้อเงิน รุ่น ๑ จะต้องท่องคาถามหาสะท้อน เพื่ออาราธนาก่อนสวมสร้อยทุกครั้งไหมครับ หรือใช้คาถาปลุกพระ อิทธิ ฤทธิ ฯ ก็เพียงพอแล้วครับ ?

ตอบ : เอาเป็นว่า ถ้ายุ่งยากนักก็ถวายวัดไปอย่างหนึ่ง

เถรี
08-06-2015, 13:47
ถาม : ถ้าคลี่ตะกรุดมหาสะท้อนออก เพื่อดูอักขระยันต์ด้านใน ไม่ทราบว่าตะกรุดจะเสื่อมอานุภาพหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ตะกรุดไม่เสื่อมหรอก แต่ว่าคนคลี่ออกมาดูคงจะขาดความมั่นใจไปเอง ก็ขี้สงสัยถึงขนาดทำอย่างนั้น ก็คงจะสงสัยต่อไปว่าตะกรุดจะศักดิ์สิทธิ์อีกไหม ?

เถรี
08-06-2015, 13:49
ถาม : แขวนตะกรุดมหาสะท้อน ๑๐ ดอก กับแขวนเพียง ๑ ดอก จะมีผลหรืออานุภาพแตกต่างกันหรือไม่ ? อย่างไรครับ ?
ตอบ : แขวน ๑๐ ดอกมีผลทำให้สตางค์หมดมากกว่า..!

ถาม : เรื่องนี้เกี่ยวกับการวางกำลังใจไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าใครแขวน ๑๐ ดอกได้แสดงว่ากำลังใจต้องบ้าพอ..!

เถรี
08-06-2015, 13:51
ถาม : พระคาถาและวิชาการต่าง ๆ ที่เผยแพร่ในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ ถ้าบรรดาผู้อ่านชอบใจหัวข้อไหน จะขอนำไปใช้ไปปฏิบัติ ต้องแต่งขันครูไปขอกับหลวงพ่อใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเผยแพร่เป็นสาธารณะ แปลว่าเราสามารถนำไปใช้ได้เลย ถ้าจะทำให้ถูกต้อง ก็คือ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาพระที่หน้าหิ้งพระ กราบขอบารมีพระ ตลอดจนครูบาอาจารย์ สงเคราะห์ให้เราใช้พระคาถานั้นให้ได้ผลเต็มที่ด้วย เสร็จแล้วก็หมั่นภาวนาของเราไป

เถรี
08-06-2015, 14:01
ถาม : การเก็บรูปพระพุทธรูป หรือรูปพระสงฆ์ที่เราเคารพไว้ในโทรศัพท์ เพื่อไว้ดูเป็นอนุสติ แต่เราพกไว้ที่กระเป๋ากางเกงจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ครับ ? ผมเป็นตำรวจชายแดน เวลาอยู่ป่าหรือในเมืองนึกภาพพระไม่ออก เลยเก็บภาพไว้ในมือถือ เอาไว้เปิดดู แต่เวลาพกจะพกต่ำกว่าเอวครับ กลัวปรามาสพระรัตนตรัยครับ ?
ตอบ : ถ้าเจอข้าศึกก็ตายเปล่า เพราะขาดความมั่นใจ เวลาเราพกโทรศัพท์อยู่ โทรศัพท์จะปิดตัวเองอยู่แล้วนี่ ปัจจุบันก็มีเซฟโหมดทุกเครื่องใช่ไหม ? พอเราล้วงออกมากดเปิด ภาพพระถึงจะปรากฏ พอเครื่องปิดหน้าจอเองเราค่อยเอาใส่กระเป๋ากางเกง ดังนั้น..ก็พกไปเถอะ

เถรี
08-06-2015, 14:03
ถาม : ผมขอถามในตอนที่ผมภาวนากรรมฐาน นะมะพะธะ แล้วกลายเป็นภาวนาพระคาถาเงินล้านเอง ผมควรดึงจิตกลับมาภาวนา นะมะพะธะ หรือไม่ ? หรือให้ภาวนาคาถาเงินล้านไปเลยครับ ?
ตอบ : ให้ดูเจตนาตอนแรกของเรา ถ้าต้องการฝึกมโนมยิทธิ ภาวนานะมะพะธะอยู่ ก็ให้กลับมาภาวนาใหม่ แต่ถ้าเราภาวนาเพื่อความสงบ กำลังใจเกาะพระคาถาไหนถนัดกว่า ถึงเวลาเลื่อนไปใช้พระคาถานั้นเอง เราก็สามารถภาวนาต่อไปเลยได้

ถาม : ถ้าฝึกมโนมยิทธิ ครูฝึกให้ภาวนา นะมะพะธะ แล้วเราภาวนาคาถาเงินล้านได้เลยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไปพระนิพพานได้ คาถาอะไรก็ใช้ได้ อาตมาเองก็ภาวนานะมะพะธะแค่ไม่กี่ครั้ง เพราะหลังจากนั้นไม่ทันภาวนาก็ไปแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองใช้พระคาถาอะไร

เถรี
08-06-2015, 14:11
ถาม : จับลมที่จมูกแล้วเกร็งไม่เป็นธรรมชาติ รู้สึกว่าเราบังคับลมให้แรงให้เบา ผมเลยจะจับที่ท้องจุดเดียว โดยจับอาการท้องพองออกภาวนาพุท ท้องยุบภาวนาโธ ทำแบบนี้ได้หรือไม่ครับ ? แล้วการทำแบบนี้ จะเป็นการปฏิบัติแบบอานาปานสติ หรือสติปัฏฐานครับ ?
ตอบ : การที่เราภาวนา จะจับลมกี่จุดก็ได้ จับไว้ตรงส่วนไหนของร่างกายก็ได้ ฟังดี ๆ นะ จับไว้ตรงส่วนไหนของร่างกายก็ได้ เพราะถ้ามีความชำนาญจริง ๆ เราสามารถใช้ร่ายกายทุกส่วนหายใจได้ การที่เราจับจุดเดียวที่ท้องก็ต้องดูด้วยว่า เราจับลมหายใจเข้าออกหรือว่าจับอาการพองยุบ ถ้าจับลมหายใจเข้าออกคืออานาปานสติ แต่ถ้าหากว่าจับอาการพองยุบก็เป็นการกำหนดสติแบบมหาสติอย่างที่สายนั้นเขาว่ามา

เถรี
08-06-2015, 14:16
ถาม : ในการอุปสมบทจะต้องมีพระอันดับไม่น้อยกว่ากี่รูป การอุปสมบทถึงจะสมบูรณ์ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าอนุญาตว่า ในปัจจันตชนบท ใช้พระสงฆ์ปัญจวรรค คือ ๕ รูปก็เพียงพอ แต่คราวนี้ปัจจันตชนบทในสมัยโน้น หมายถึงส่วนอื่นที่ไม่ใช่ภาคกลางของอินเดีย ถ้าหมายเอาประเทศไทยในปัจจุบันนี้ ก็จัดว่าเป็นปัจจันตชนบทได้ แต่พระมหาเถระหลายรูปกล่าวว่า “คำว่าปัจจันตชนบท ควรจะแปลว่าบ้านนอก ประเภทไกลปืนเที่ยงไปเลย”

ดังนั้น..เราจะไปอ้างว่าประเทศเราเป็นปัจจันตชนบทก็ไม่ชัดเจน เนื่องจากว่าสมัยนั้นประเทศไทยยังไม่มี ถ้าเป็นในเมืองของบ้านเรา ถึงจะเป็นต่างจังหวัดก็ตาม ก็ควรจะมีสงฆ์อย่างน้อย ๑๐ รูปขึ้นไป เรียกว่า ทสวรรค

เถรี
08-06-2015, 14:19
ถาม : ถ้าทำสมาธิในวันที่ดื่มกาแฟ ฤทธิ์ของกาแฟที่ดื่มไปจะทำให้จิตสร้างอารมณ์สมาธิที่ปลอมขึ้นมาในสมาธิระดับต้น ๆ ซึ่งไม่ใช่อารมณ์สมาธิที่แท้จริงของจิตใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : รู้ขนาดนั้นเชียวหรือ ? สมาธิที่เกิดขึ้นจัดเป็นสมาธิที่แท้จริง แต่เนื่องจากว่าได้รับสารกระตุ้นจากภายนอกเข้ามาช่วยด้วย จึงไม่ยั่งยืน พอถึงเวลาขาดสารกระตุ้นก็เหี่ยว ดังนั้น..ควรที่จะภาวนาให้เกิดความมั่นคงขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องใช้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาช่วยมากกว่า

เถรี
08-06-2015, 14:20
ถาม : เมื่อก่อนเคยสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นไว้ ตอนนี้พยายามทำความดี แต่ก็มีเรื่องเดือดร้อนที่คนอื่นก่อให้ อาจจะเป็นเพราะผลกรรมที่เคยทำไว้ อยากถามว่า กรรมที่เราได้สร้างไว้สามารถส่งผลเลยในชาตินี้หรือไม่ ? และเมื่อชดใช้กรรมไปเรื่อย ๆ จะมีวันหมดไหมคะ ? จะติดตัวไปถึงภพภูมิหน้าหรือเปล่า ?
ตอบ : กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันส่วนใหญ่เกิดจากอดีตชาติ แสดงว่ารายนี้สันดานเดิมก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ดังนั้น..ถึงได้สร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับคนอื่นอยู่เนือง ๆ ต่อให้ชาตินี้ตั้งใจที่จะละเว้นแล้ว กรรมเก่าที่เคยทำมาก็ยังส่งผลอยู่ดี ถ้าใช้ไม่หมดก็ติดตัวไปอีกหลายชาติ

เถรี
08-06-2015, 14:22
ถาม : ถ้าเรามีพระธาตุของพระอรหันต์ เช่น พระสีวลี ได้มาจากต่างที่กัน สามารถบรรจุรวมในผอบเดียวกันได้หรือไม่ หรือควรที่จะแบ่งแยกของแต่ละองค์ไป จึงจะเหมาะสมกว่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเราสามารถรู้ได้ชัดเจนว่าพระธาตุแบบไหนเป็นขององค์ไหน แยกและติดชื่อท่านให้ชัดเจนได้จะเป็นการดี เพื่ออนุเคราะห์แก่คนที่เขาบูชาต่อไป

เถรี
08-06-2015, 14:24
ถาม : ถ้าเราเป็นนักเขียน แต่งนิยายรัก ๆ ใคร่ ๆ ไม่ทราบว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อการขัดธรรมะของพระพุทธองค์หรือไม่ ? ถ้ามีบทเลิฟซีนจะเป็นการยั่วยุกิเลสตัณหาของผู้อ่านหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องเรียกว่ามีเจตนาเลย ถ้าไม่เจตนาจะเขียนไปทำไม ?

ถาม : ถ้าผมนำเนื้อหาบางส่วนของพระไตรปิฎก หรือธรรมะของพระอาจารย์มาใส่ลงในหนังสือที่ผมเขียนด้วย จะเป็นการปรามาสด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจที่จะใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น สั่งสอนบุคคลที่มาอ่านโดยผ่านตัวละคร ก็ถือว่าเป็นเจตนาที่ดี ไม่ได้มีกรรมชั่วอะไร แต่ถ้าสักแต่ใส่เอาไว้เท่ ๆ ก็อาจจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยเหมือนกัน

ถาม : การที่มีคนเขียนหนังสือมากมาย โดยคัดลอกเนื้อหาในพระไตรปิฎกมา แบบนี้ผิดไหมครับ ? เพราะนำเนื้อหาในพระไตรปิฎกมาหาเงินดำรงชีพครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจขายเพื่อให้ได้เงินก็มีสิทธิ์ แต่ถ้าตั้งใจทำเพื่อเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้กว้างไกลยิ่ง ๆ ขึ้นไปก็เป็นบุญในส่วนของธรรมทาน

เถรี
08-06-2015, 14:25
ถาม : ปีนี้จะมีการเป่ายันต์เกราะเพชรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ตอนนี้ยังไม่มี..ต้องรอคำสั่งก่อน

เถรี
08-06-2015, 14:26
ถาม : ตอนที่เราถวายสังฆทาน เรานึกน้อมเกล้าฯ ถวายกุศลที่เราทำในครั้งนี้แด่พ่อหลวงแม่หลวงของประเทศเรา โดยนึกถึงพระพักตร์ของพระองค์ท่าน จะเป็นการสมควรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : สมควรที่จะทำบ่อย ๆ

เถรี
08-06-2015, 14:28
ถาม : หากอยากร่วมบุญกับพระอาจารย์ โดยนำวัตถุมงคลมาถวายเพื่อร่วมบุญ จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสมเด็จวัดระฆังของแท้ให้รีบเอามา..!

เถรี
08-06-2015, 14:30
ถาม : ตอนนั่งสมาธิรู้สึกว่าจิตใจสงบ แต่จิตใจดิ่งไปในที่โล่งกว้างสีดำไร้ขอบเขต ล่องลอยไป อาการแบบนี้กระผมปฏิบัติถูกต้องไหมครับ ? แล้วควรวางกำลังใจอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : ถ้าไปสนใจอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็ถือว่าทำผิด ถ้าต้องการทำให้ถูก ก็คือ ดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกและการภาวนาของเรา ตามดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราไป สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นอย่าไปสนใจ อย่าไปใส่ใจ

และเป็นเรื่องแปลกที่ว่า ยิ่งเราไม่สนใจ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นการวัดใจกันว่า เราจะมั่นคงต่อการกระทำของเราดี หรือว่าจะไหลตามสิ่งที่มายั่วอยู่ตรงหน้าดี ไหลตามแปลว่าแพ้เขา ถ้ารักษาลมหายใจเข้าออกกับการภาวนาไว้ได้ ก็แปลว่ากำลังใจของเราเข้มแข็งพอ

เถรี
08-06-2015, 17:09
ถาม : ที่มีการนำพุทธประวัติมาทำเป็นซีรีย์ ละคร ภาพยนตร์ ควรจะดูอย่างไรให้มีประโยชน์เจ้าคะ ?
ตอบ : ดูแบบที่เห็นว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน แล้วเราจะรอดไปได้อย่างไร ? พระองค์ท่านไปพระนิพพานพ้นทุกข์ไปแล้ว แต่เราตายแล้วเราอาจจะทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน เราควรที่จะพอแล้วหรือยัง ?

เถรี
08-06-2015, 17:39
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนสั่งแก้ไขระบบเสียงสะท้อนในศาลาใหญ่ บริษัทคิดค่าใช้จ่าย ๑,๘๙๐,๐๐๐ บาท เขายืนยันว่าทันวันที่ ๒๐ มิถุนายนนี้ ตอนนี้กำลังติดตั้งกันอุตลุด แล้วก็ทำหนังสือสวดมนต์เล่มใหม่ ปรากฏว่าโชคดี พระครูปลัดปิงติดต่อให้ เขาลดให้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ราคายัง ๕ แสนกว่าบาทอยู่ แต่ได้ลดเยอะ แล้วก็จ่ายค่าหน้าต่างบานเลื่อนเรือนไทยชั้นบนทั้งหมด เผลอ ๒ วัน ช่างทำเสร็จแล้ว พวกนี้ แหม..ทำงานน่ารวยจริง ๆ อาตมาไม่อยู่ ๒ วัน พอกลับไปเขาทำเสร็จแล้วส่งใบเสร็จเก็บเงิน อะไรวะ..ทำเร็วขนาดนี้เลย ?

บรรดาช่างที่ทำงานจนอยู่มือก็มักจะวัยเลยเกษียณแล้วทั้งนั้น ช่างทำมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำเขามีแนวคิดว่า จะขอฝากผลงานไว้ในแผ่นดิน ถ้าลักษณะนี้เขาจะรับผิดชอบงานดี เพราะว่างานที่ทำชิ้นหนึ่งจะเรียกลูกค้าเพิ่มได้เอง แต่ก็ต้องเจอลูกค้าบวม ๆ อย่างอาตมา ประเภทไม่กลัวของแพงด้วย กำลังรอว่า ถ้างานนี้เสร็จแล้วจะเอาธรรมาสน์อีกสักหลังหนึ่ง เพราะว่าธรรมาสน์เก่าของรัชกาลที่ ๗ ถ้าเอาไปตั้งข้างในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย จะน้ำหนักเอียงไปข้างเดียว ต้องทำอีกข้างหนึ่งเพื่อความสมดุล ต้องยอมเสียเงินอีกหลายล้าน เพื่อที่จะอวดธรรมาสน์ของในหลวงรัชกาลที่ ๗"

เถรี
08-06-2015, 17:43
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปงานฉลองพระอารามหลวง ๒๓๒ ปี วัดสระเกศ ไปถึงทั้งโยมทั้งพระก็แห่กันมากราบ ทำให้งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ตกลงคนเขารู้จักอาตมาเยอะขนาดนี้เลยหรือ ? บรรดาพระที่รับนิมนต์ไป สารพัดท่านเจ้าคุณ แต่คนไม่รู้จัก มารู้จักพระอาจารย์เล็ก พระต่างจังหวัด บ้านนอกอีกต่างหาก"

เถรี
08-06-2015, 17:59
ถาม : การมีชื่อเสียงกับการดำรงตำแหน่งชั้นสูง เป็นคนละอานิสงส์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าคนละอานิสงส์กัน การมีชื่อเสียงเพราะสร้างคุณความดีไว้แต่เดิม ส่วนดำรงตำแหน่งชั้นสูงเพราะอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นปกติ เป็นผู้มีศีลเป็นปกติ

มีศีลเป็นปกติพระบาลีท่านว่า กิตติสัทโท ชื่อเสียงจะโด่งดังขจรไปไกล อสัมมุฬโห แม้ตายก็ไม่หลง คำว่าหลงก็คือไปอบายภูมินั่นแหละ ถ้าขาดสติก็จะลงอบายภูมิ

เถรี
09-06-2015, 12:46
พระอาจารย์กล่าวว่า “ความจริงตามตำราที่ศึกษามา มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ให้สร้างตะกรุดชุด ๑๐๘ ดอก คราวนี้เขาให้ทำเป็นดอกเล็ก ๆ อาตมาได้ยินคำถามเกี่ยวกับการแขวนตะกรุดมหาสะท้อน ๑๐ ดอก ก็เลยคิดว่าถ้าเขาสามารถบูชาได้ครบ ๑๐๘ ดอกก็น่าจะลองทำตะกรุดชุดดู..!”

เถรี
09-06-2015, 12:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัตถุมงคล เจตนาอันดับแรก ก็คือ เป็นเครื่องระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะเป็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ตาม ลำดับที่สอง ก็คือ สร้างศีลและการภาวนาให้เกิดแก่เรา เพราะว่าการที่เราจะใช้วัตถุมงคลให้ได้ผล ถ้าตัวเรายิ่งมีศีลบริสุทธิ์เท่าไร ก็จะได้รับผลมากขึ้นเท่านั้น และขณะเดียวกันก็มีคำภาวนาที่เป็นคำอาราธนาหรือการปลุกวัตถุมงคลทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งก็คือการภาวนา ส่วนผลอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่แล้วต้องเรียกว่าเป็นผลพลอยได้เท่านั้น แต่พวกเรามักจะลืมว่าเจตนาในการที่เราสร้างวัตถุมงคลขึ้นมานั้นคืออะไร แล้วก็ไปสนใจแต่ผลพลอยได้ซึ่งเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

การใช้วัตถุมงคลให้ได้ผลนั้น นอกจากศีลต้องบริสุทธิ์แล้ว อารมณ์ใจยังต้องทรงตัวตั้งมั่นด้วย ยิ่งมีความศรัทธาแน่นแฟ้น กำลังใจทรงตัวตั้งมั่นมากเท่าไร อานุภาพวัตถุมงคลก็จะเกิดขึ้นมากเท่านั้น แต่พวกเราทั้งหลายมักจะเกิดความลังเล ขณะเดียวกันก็ขี้สงสัย อาจจะมีการรื้อตะกรุดดูอย่างที่กล่าวมา ถ้าหากถึงขนาดรื้อดู เพื่อที่จะศึกษาและทำตามก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหากรื้อดูด้วยความลังเลสงสัยว่าใช่หรือไม่ใช่ ? จริงหรือปลอม ? ท้ายที่สุดต่อให้อานุภาพของวัตถุมงคลยังมีเหมือนเดิม แต่กำลังใจของเราอาจจะไม่เหมือนเดิม ก็เท่ากับว่าเราเองทำให้วัตถุมงคลนั้นเสื่อมเอง ก็คือใจเราไม่ได้เคารพนับถือแน่นแฟ้นเหมือนเดิมแล้ว

ฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็คือ พวกเรายังขาดศรัทธาที่มั่นคง ศาสนาทุกศาสนาเกิดขึ้นจากศรัทธา ถ้าศรัทธาไม่มั่นคง โอกาสที่จะก้าวเข้าไปสู่หลักธรรมชั้นสูงก็เป็นไปได้ยาก"

เถรี
09-06-2015, 13:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสร้างพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดิน ก็คือตั้งใจเอากฐินปลดหนี้ไปให้ที่วัดมุนิวิหาร ที่เมืองภักตรปุระ (ปักตะปูร์) ประเทศเนปาล รับปากเขาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ถึงปีนี้โดนแผ่นดินไหวทลายราบไปเลย อาตมาจะนำเอาพระกริ่งรุ่นนี้เข้าพิธีวันที่ ๒๐ มิถุนายนนี้

ทำเป็นพระกริ่งเนื้อเงิน ลักษณะแบบพระพุทธรูปเนปาล ไว้มีโอกาสจะนำรูปลงหน้าเว็บวัดท่าขนุนให้ชม ท่านใดต้องการพกเงินไป ๕,๐๐๐ บาท ไปจองที่วัดท่าขนุน ต้องเรียกว่าบูชาเลยไม่ใช่จอง เพราะว่าอาตมารับปากว่าจะถวายปัจจัยร่วมซื้อที่สร้างวัดให้เขา ๒๐๐ ตารางวา ซึ่งคิดเป็นเงินสิบล้านเนปาล ถ้าคิดเป็นเงินไทยประมาณสี่ล้านบาท ถ้าปัจจัยเหลือจากสี่ล้านบาท ซึ่งคาดว่าต้องเกิน เพราะตั้งใจจะซื้อเป็นดอลลาร์ไปให้เขา สี่ล้านเป๊ะ ๆ คงไม่ลงตัวแน่ ก็คงจะเกินสักเล็กน้อย ส่วนที่เหลือก็จะเอาลงร่วมในการหล่อพระพุทธรูปทองคำต่อไป

พระกริ่งเนื้อเงิน สร้างแค่ ๒,๐๐๐ องค์ ใครมีความสามารถจะบูชาหมดทั้ง ๒,๐๐๐ องค์อาตมาก็ยินดี..! คาดว่าวันงานมีโยมหลายท่านไม่ได้หันหน้าไปทางพระ แต่หันหน้าไปเข้าแถวรอบูชากันเลย ซึ่งเป็นอย่างนั้นมาตลอด

วัดของเขาประสบเหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัสกว่าที่คิด แม้ว่าตัววัดจะไม่มีอะไรชำรุดเสียหายจากแผ่นดินไหว เนื่องจากว่าเป็นอาคารสร้างแบบใหม่ แต่เมืองทั้งเมืองรอบข้างพังทลาย ชาวบ้านไปอาศัยวัดจนวัดไม่มีที่ให้นอน ต้องกางเต็นท์กันรอบ ๆ วัด ฉะนั้น..ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องห้องส้วมกับน้ำกินน้ำใช้ เพราะว่าในเนปาลหาน้ำยากมาก บ่อที่เขาขุดไว้แต่ละบ่อลึกอย่างน้อย ๗-๘ เมตร แล้วก็มีน้ำอยู่หน่อยเดียว ถึงเวลาต้องหย่อนถังผูกเชือกลงไปตัก ได้มานิดหน่อยก็เทใส่หม้อทองเหลืองไว้ แล้วก็นั่งรอตักต่อไป

ถึงได้เข้าใจที่ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงนางภุมภทาสี ซึ่งมีหน้าที่ตักน้ำใส่หม้อเพื่อเอาไปให้กับเจ้านาย ก็คงอยู่ในลักษณะเดียวกัน เพราะเห็นเขาไปเข้าแถวรุมล้อมเพื่อรอตักน้ำกันทั้งวัน ทางบ้านเขาคนรวยจะให้ทานด้วยน้ำ จะมีลักษณะเหมือนอย่างกับเป็นอ่างน้ำสาธารณะ คนรวยซื้อน้ำแล้วไปเทใส่ คนจนก็ไปเปิดใช้เอา บ้านเรายังไม่ลำบากถึงขนาดนั้น ได้โปรดทราบว่าเราเกิดมาโชคดีมากแล้ว ลองคิดดูว่าในสภาพปกติของเขายังหาน้ำยากขนาดนั้น ถ้าเกิดอุบัติภัยขึ้นมา อย่างเช่นแผ่นดินไหว เครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหมดพังทลายลง สูญหายไป สิ่งที่หายากอยู่แล้วจะยิ่งหายากขึ้นอีกกี่เท่าก็ไม่ทราบได้

อาตมาเองก็แค่เตรียมการเตรียมปัจจัยเอาไว้ กะว่าจะซื้อเป็นเงินดอลลาร์สักแสนสองหมื่นดอลลาร์ เพื่อที่จะเอาไปร่วมซื้อที่ดินให้เขา แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าทางวัดจะได้ซื้อที่ดินเลยหรือเปล่า ถ้าต้องไปทำอย่างอื่นก่อนก็ไม่เป็นไร เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะช่วยเขา คำแนะนำของอาตมาก็คือฝาก ๆ กันไปบูชาสักคนละ ๑๐-๒๐ องค์ จะได้ไม่ต้องไปเข้าแถวกันยาวยืด"

เถรี
09-06-2015, 13:06
ถาม : ติดธรรมศาสตร์ ๒ คณะไม่ทราบว่าจะเลือกคณะอะไรดี ?
ตอบ : ตัดสินใจไม่ถูกก็หลับตาจิ้มเอา ได้เยอะไปก็อย่างนี้แหละ ไม่เหมือนกับเจนนี่ลูกสาวอาตมา ติด ๔ คณะทั้งจุฬาและธรรมศาสตร์ เขาฟันธงโชะเลย เอาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬา (อินเตอร์) คนตัดสินใจเด็ดขาดแสดงว่ากำลังใจสูง

เถรี
09-06-2015, 13:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกวันนี้ที่อาตมาติดนิสัยเขียนบันทึกประจำวัน ก็เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำไว้ว่า เป็นการทบทวนอตีตังสญาณได้ นึกย้อนไปในอดีต เกิดเหตุอะไรขึ้นมาบ้าง ตั้งแต่เช้ามาเราทำอะไร เสร็จแล้วถ้าจะเอามากกว่านั้นก็คือ ก่อนตื่น ก่อนนอน ไล่ไปเรื่อยก็ข้ามไปถึงวันที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔"

ถาม : แล้วถ้าตอนนอนเราไม่มีความจำนั้นไว้ ?
ตอบ : ก็จะข้ามไปตรงก่อนนอน แต่ถ้านอนแบบมีสติตอนนอนก็จะได้ด้วย

เถรี
09-06-2015, 14:04
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/wtm961433606189.jpg https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/ln8px1433606189.jpg https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/pu59t1433606189.jpg


พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นพระงาช้างที่ลงในกระทู้ของตัวเล็กไหม ? มีคนเขากลัวโดนปรับ ๓ ล้านบาท เขาเลยเอาไปทิ้งไว้ที่วัดท่าขนุน พระทุกรูปบอกว่าเป็นพระเรซิ่น อาตมาไปพลิกซ้ายพลิกขวา เห็นลายงา "เฮ้ย..ไม่ใช่เรซิ่น" ๓ องค์นี้คาดว่าจะแกะจากขนาย คืองาช้างตัวเมีย หรือไม่ก็งาช้างสีดอที่บางตัวมีงาเล็ก ๆ เพราะว่าด้านข้างไม่มีลาย ต้องพลิกตะแคงดู มองย้อนขึ้นถึงจะเห็นลายงา ช่างเขาแกะไม่พ้นผิวงา พอไม่พ้นผิวงาก็ไม่เห็นลาย ทีนี้พอตะแคงดูจากด้านพระบาทขึ้นไป "อ๋อ..ลายงาอยู่นี่เอง"

ที่เซียนที่สุดก็ต้องพระครูปลัดปิง ท่านเลือกจองวันพุธเลย อาตมาก็ว่าทำไมต้องวันพุธ ดูไปดูมา อ๋อ..พระท่านอุ้มบาตร น้ำหนักจึงมากกว่าองค์อื่น สงสารเจ้าของเขา น่าจะกลัวมากจนเกินเหตุ ก็เลยเอามาทิ้งไว้ที่วัด

ด้วยความที่ไม่มี ๓ ล้านให้ปรับ เขาก็เลยต้องเอามาทิ้งไว้ในวัด เอาไปไว้ที่ฐานสมเด็จองค์ปฐม ๘ ศอกบนยอดเขาโน่น พระท่านขึ้นไปเห็นก็ถ่ายรูปมาให้ดู ท่านดูไม่รู้เรื่อง อาตมาบอกว่า "คุณช่วยเอาลงมาให้ผมดูก็แล้วกัน" ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นงา เพราะเขาเอาวางทิ้งไว้อย่างนั้น พระทุกรูปบอกว่าเป็นเรซิ่น ปลัดตั้มกับท่านเบสต์พนันกัน ปลัดตั้มบอกว่า “ถ้าหากว่าเป็นเรซิ่น คุณห้ามสึกนะ แต่ถ้าเป็นงาช้าง ผมจะไม่สึก” พออาตมาบอกว่างาแท้ พวกหันไปมองปลัดตั้มกันเป็นตาเดียว “ไม่มีสิทธิ์สึกแล้วเอ็ง..!”

พอท่านเอาลงมา อันดับแรกอาตมาก็เอายาสีฟันพอกก่อน เสร็จแล้วก็เอาแปรงขัด งาก็คือฟัน เพราะฉะนั้น..ต้องอาศัยยาสีฟันช่วย พอเห็นว่าเป็นงาแท้ อาตมาก็เลยเอา ๓ องค์เล็กมาร่วมบุญสร้างพระทองคำให้กับเจ้าของเดิมเขา ส่วนองค์ใหญ่เก็บไว้เอง องค์ใหญ่นั่นกระทั่งฐานไม้ยังแกะเสียละเอียดยิบเลย คาดว่าองค์ใหญ่องค์เดียวน้ำหนักก็น่าจะเกิน ๓๐๐ กรัมแล้ว บวกองค์เล็กไปอีก เกินครึ่งกิโลกรัมแน่ ๆ เจ้าของเขากลัวก็เลยต้องเอาออกจากบ้าน

คนที่กลัวเขาก็กลัวจริง ๆ ถ้าเป็นอาตมาหรือ ? ถ้าเจ้าหน้าที่มาก็ "เอาหมายค้นมาก่อน" หมายค้นมีแล้วก็ "ขอดูบัตรด้วย" ดูกันทีละคน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีสิทธิ์ค้นบ้านเรา เพราะเจ้าหน้าที่นี่ระเบียบบังคับเลยว่าต้องพกบัตรประจำตัว ถ้าไม่พกบัตรมาก็ขู่ได้แค่ชาวบ้านที่เขากลัวเท่านั้น"

เถรี
09-06-2015, 16:46
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนงานศพหลวงปู่มหาอำพันปี ๒๕๓๒ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ท่านก็ไปงาน คราวนี้ท่านเดินลากเท้าไปกับพื้น แล้วช่วงที่ตั้งศพเป็นชั้นสูงขึ้นมา อาตมาเห็นว่าไม่มีใครดูแลท่านเลยก็ปราดไปจับแขนท่าน “พระเดชพระคุณครับ ตรงนี้เป็นขั้นอยู่ขั้นหนึ่ง ต้องก้าวขึ้นนิดหนึ่งครับ” ท่านก็บอกว่า “ขอบใจนะ” แล้วก็จับแขนอาตมาก้าวขึ้นไป พอส่งท่านเสร็จสรรพเรียบร้อยกราบท่านแล้วก็กลับที่นั่ง

มีเสียงพระท่านถามว่า “พระรูปนั้นมาจากวัดไหน ? ไม่เห็นกลัวสมเด็จฯ ท่านเลย” อาตมาไม่เห็นท่านเป็นสมเด็จฯ แต่เห็นท่านเป็นหลวงปู่หลวงตาที่ต้องอนุเคราะห์ เพราะว่าท่านก็คือคนแก่ แต่คนอื่นเห็นท่านเป็นสมเด็จฯ ก็กลัวกันหมด ไม่กล้าทำอะไรกันเลย จนทุกวันนี้อาตมาก็ยังติดนิสัย พอถึงเวลาเห็นพระแก่ก็ต้องช่วยไว้ก่อน อานิสงส์นี้พอถึงเวลาตัวเองแก่คงจะมีคนช่วยดูแลบ้าง

บางคนเขาไม่ชอบดูแลคนแก่เพราะรำคาญ คนแก่ทำอะไรช้า เขาคงไม่ได้นึกว่าถึงเวลาตัวเองก็จะเป็นอย่างนั้น อย่างหลวงพ่อราชรัตนวิมล เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวานนี้อาตมาก็ประคองท่านไปถึงที่นั่ง ท่านอายุ ๗๙ ปีแล้ว และก็เป็นอัมพฤกษ์ซีกหนึ่ง เดินไม่ถนัด คนไปเห็นท่านช้าก็ไม่ไปยุ่งกับท่าน ส่วนอาตมากลัวว่าท่านจะล้ม ถึงเวลาก็ต้องให้ท่านเกาะแขนประคองไป"

เถรี
09-06-2015, 17:18
ถาม : ถ้าเอาตะกรุดไปแขวนที่กางเกง ?
ตอบ : เอาเป็นว่าอย่าให้ต่ำกว่าเอวก็แล้วกัน ใช้คลิปเหน็บกับกระเป๋าเสื้อก็ได้ ผู้หญิงหลาย ๆ คนเหน็บกับยกทรงไปเลย

เถรี
09-06-2015, 17:19
ถาม : เทวดาหรือพรหมจะพิจารณาตัดอย่างไรคะ ?
ตอบ : พิจารณาตามปกตินี่แหละ เทวดาหรือพรหมมีขันธ์เป็นขันธ์ทิพย์ ความละเอียดของจิตมีมาก เห็นธรรมได้ชัดกว่า แต่ว่าสภาพจิตที่จะยอมรับในเรื่องของการตัดละก็ยากขึ้น เพราะในความเป็นทิพย์ ความสุขมีมากกว่า ก็มักจะติดสุขได้ง่าย

เถรี
09-06-2015, 17:44
ถาม : มีคนญี่ปุ่นเขาวาดการ์ตูน วาดพระพุทธเจ้าว่าเป็นเพื่อนกับพระเยซู ลางานจากสวรรค์ลงมา วาดพระพุทธเจ้าใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เขาบอกว่าถ้าเราทำการ์ตูนพุทธประวัติทั่วไป แลดูน่าเบื่อ จึงต้องแหวกแนวออกไป เป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เต็ม ๆ..!

ถาม : แล้วคนที่เห็นด้วย ?
ตอบ : โมทนากับเขาด้วยก็ซวยไปด้วย..!

เถรี
10-06-2015, 17:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๐-๒๑ มิถุนายนนี้ ใครไปวัดก็จะเห็นสมเด็จองค์ปฐมประธานในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ประดับเพชรเสร็จเรียบร้อย เหลืองอร่ามงามตา สิ่งที่ไม่อยากทำเลย แต่ต้องทำก็คือต้องสร้างห้องกระจก เพราะว่าเวลาเราสร้างห้องกระจกจะมีรอยต่อ แล้วก็จะไปบังองค์พระ ถ่ายรูปอย่างไรก็ไม่สวย แต่ไม่สร้างก็ไม่ได้ เพราะถ้าฝุ่นเกาะก็เรียบร้อย เดี๋ยวปัดฝุ่นไปปัดฝุ่นมาทองก็ลอกหมด สร้างห้องกระจกมาก็มีภาระให้คนทำความสะอาดอีก ปีนขึ้นปีนลง ความสูง ๘ เมตรนี่ตกลงมามีสิทธิ์เดี้ยงเลย

การยกพระเข้าที่ตอนแรกใช้แผ่นอะลูมิเนียมแบบที่เขาปูสนามบินรองรับ แล้วค่อย ๆ ไป ค่อย ๆ ไป กว่าจะเอาฐานขึ้นได้ก็เพลพอดี เพราะว่าฐานอย่างเดียวหนัก ๓ ตัน คราวนี้พอพระไปฉันเพล ที่เหลือคนงานเขาทำกันเองก็มักง่าย เขาบอกว่าองค์พระเบากว่าตั้งเยอะ เข็นไปเลย เข็นไปก็กระเบื้องแตกเปรี๊ยะ ๆ ไป น่าจะถึง ๒๐ แผ่น ไอ้พวกมักง่าย..! ประเภทโง่แล้วขยันนี่ ถ้าเป็นสมัยก่อนโดนประหารทิ้งหมด..!

องค์พระน่าจะเกินตัน เขาเห็นว่าเบากว่าฐาน แต่ลืมไปว่าฐานไปบนแผ่นอะลูมิเนียม เฉลี่ยน้ำหนักได้ เหล็กฉากที่หนาประมาณ ๒ หุนครึ่ง ที่เขาทำเป็นรถเข็น โดนกดเสียแอ่นไปเลย แล้วคิดดูว่าพื้นจะรับได้อย่างไร ? แทนที่จะรู้สึกว่าตัวเองทำผิด กลับบอกว่า “ไอ้คนปูกระเบื้องมันปูไม่ดี” คงต้องเสียเวลาให้ช่างเขาซ่อมอีกสัก ๒ วัน ข้างล่างคงซ่อมได้ แต่ข้างบนตรงฐานพระคงซ่อมไม่ได้ เพราะว่าฐานพระท่านหนักตั้ง ๓ ตัน ยกกันไม่ไหว

ราคายังไม่รวมค่าปิดทองประดับเพชรหมดไป ๕ ล้านบาทแล้ว ตอนนี้ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ยอดค่าใช้จ่ายจะ ๗๐ ล้านบาทแล้ว ช่วงนี้กำลังรอชั้นบนที่เขากรุฝ้าอยู่ เป็นฝ้าไม้ซึ่งจะแพงมาก ยังไม่รู้ว่าเสร็จงานแล้วจะเบิกอีกกี่ล้าน แล้วก็จะตามมาด้วยค่าวัสดุซับเสียงอีก ๙ แสนกว่าบาท"

เถรี
10-06-2015, 18:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณ (พระครูปลัดปิง) เป็นเจ้าภาพผ้าไตรไทยธรรมวันที่ ๒๐ มิถุนายนนี้ ๖๐ ชุด ไม่แพงหรอก ชุดละ ๑,๐๕๐ บาทเท่านั้นเอง..! ว่าที่เจ้าคุณท่านสร้างบุญใหญ่ เดี๋ยวพอขึ้นเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสเมื่อไรก็เป็นเจ้าคุณได้เลย ตอนนี้ที่ยังเป็นไม่ได้เพราะว่างานยังไม่ครบ ๖ ด้าน

ผลงานคณะสงฆ์ต้องมีด้านการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ การสาธารณสงเคราะห์ และการศึกษาสงเคราะห์ คราวนี้ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสหรือผู้ช่วยเจ้าอาวาส งานด้านการปกครองจะไม่มี ก็เลยจำเป็นต้องมีตำแหน่งก่อน"

เถรี
10-06-2015, 18:07
พระอาจารย์กล่าวสอนว่า "พวกเราพออยู่ใกล้พระกิเลสหงอยไปหน่อย ก็รู้สึกว่าสบายดี แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ต้องดูว่าเราทำอะไร คิดอะไร พูดอะไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ถ้าคิดแบบนั้น พูดแบบนั้น ทำแบบนั้น อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น โอกาสที่จะชนะกิเลสก็มี

ส่วนใหญ่ของพวกเรานั้นมักจะปล่อยตามเวรตามกรรม ได้มาก็คว้าไว้ ไม่ได้มาก็หาไม่เป็น เหมือนกับอยู่ในร่มเย็นสบาย พอร่มหายไปก็ร้อนอีก สร้างร่มของตัวเองขึ้นมาสิ เอาอันใหญ่ ๆ ไปเลย"

เถรี
10-06-2015, 18:08
https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfp1/v/t1.0-9/p180x540/11180625_375298012679204_8251740454803528962_n.jpg?oh=1ebb0cf0536d28f8256a41d2ce20eb92&oe=55FA787B&__gda__=1445805643_0c854d37d15f76e5ee32fd3d31cfef77

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาแกล้งขู่ไว้ว่า ตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ นี้ ถ้าไม่มีสติ๊กเกอร์ก็เป็นของปลอม พวกเอาไปเลี่ยมยังอุตส่าห์เอาสติ๊กเกอร์ใส่เข้าไปด้วย..!"

เถรี
10-06-2015, 18:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีตุ๊กตาอินเดีย เป็นตุ๊กตาดินเผา ๓๐ กว่าตัว เดี๋ยวค่อยเอาให้ตัวเล็กไปลงเว็บ หลวงปู่มหาอำพันท่านซื้อมาฝากลูกศิษย์ตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ ไปอินเดียกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ๓๐ กว่าปีแล้ว หลวงปู่ท่านไปไหนไม่เคยลืมลูกศิษย์เลย ลูกศิษย์คนไหนเคยอุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิด ถึงเวลาท่านก็อุตส่าห์หาของฝากมาให้ เป็นตุ๊กตาอินเดียผู้หญิงผู้ชาย แต่งตัวแบบเผ่าต่าง ๆ"

เถรี
10-06-2015, 18:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมถามว่าต้นบัญญัติที่พระพุทธเจ้าห้ามรับเงินรับทอง เกิดจากอะไร ? เกิดจากพระอุปนันทศากยบุตร ท่านมีโยมอุปัฏฐากที่ท่านต้องไปรับบาตรทุกวัน วันนั้นไปถึง โยมบอกว่าไม่มีอาหาร เพราะเมื่อวานเตรียมเนื้อเอาไว้ทำอาหารใส่บาตรตอนเช้า ปรากฏว่าลูกร้องจะกิน จะเป็นจะตายขึ้นมา ก็เลยต้องให้ลูกกินไปก่อน ถ้าพระคุณเจ้าไม่รังเกียจก็ให้รับกหาปณะนี้ไปแทน แล้วเอาเงินถวายแทน

เมื่อพระอุปนันทศากยบุตรรับเอาเงินนั้นมา บาลีท่านว่ามนุษย์ทั้งหลายติเตียนเป็นอันมาก แปลว่าชาวบ้านรู้ดีกว่าพระ บอกว่าพระต้องเสียภาษี เอ๊ย..ไม่ใช่ คนละเรื่องกัน ชาวบ้านก็ช่วยกันติ ช่วยกันโพนทะนาจนเรื่องไปถึงพระพุทธเจ้า สอบถามแล้วว่าเป็นเรื่องจริง พระองค์ท่านก็ตำหนิว่า ”ดูกร..โมฆบุรุษ สิ่งที่เธอทำนั้นไม่ได้ช่วยให้กิเลสลดลงเลย มีแต่ช่วยให้อาสวะนั้นเจริญขึ้น” ท่านก็ว่าของท่านไป แล้วก็บัญญัติห้ามภิกษุรับเงินหรือทองที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย

พระอุปนันทศากยบุตรถือว่าเป็นตระกูลใกล้ชิดพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เป็นต้นบัญญัติสิกขาบทหลายต่อหลายข้อ แล้วก็มีภิกษุฉัพพัคคีย์ ก็คือพวกหก มีพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ เป็นต้น แล้วก็ยังมีประเภทสุดยอดเลย ก็คือพระโลลุทายี ท่านโลลุทายีนี่ต้องบอกว่า สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ ท่านโลลุทายีเหมาคนเดียวเกือบหมด ประเภทโดนแล้วขาดความเป็นพระแทบทั้งนั้น"

เถรี
10-06-2015, 18:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาวะสงครามร้อนกรุ่น ๆ วันก่อนลูกศิษย์ทางวัดหนองหญ้าปล้องถามมา คงถามแบบประเภททดสอบ ว่าเรื่องของภัยพิบัติกับภาวะสงครามจ่อคอหอยอยู่แล้ว คิดว่ามีเวลาเตรียมตัวนานเท่าไร ? อาตมาก็บอกว่า “ผมไม่คิด” แล้ววัดท่าขนุนเตรียมตัวอะไรบ้าง ? “ไม่เตรียม” อะไรที่เลยวันนี้วัดท่าขนุนไม่ทำ เอาแค่วันเดียว วันนี้มีอะไรก็ทำ ๆ ไป พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะได้ทำหรือเปล่า ดังนั้น..รีบทำวันนี้เสียให้เสร็จ แล้วเขาถามอย่างสุดท้ายว่า “แล้วท่านมีเวลาทำกี่เดือน?” บอกไปว่าเหลือเฟือเลย

นี่เขากำลังเตรียมการเรื่องระบบไฟฟ้าอยู่ ว่าจะใช้โซลาร์เซลล์ หรือจะใช้ไบโอดีเซล อยู่ในลักษณะว่าถ้าหากเครื่องชำรุดให้มีคนซ่อมได้ อย่างโซลาร์เซลล์ถ้าชำรุดแล้วมีคนซ่อมได้ก็เก่งเกินไป

เรื่องของภัยพิบัติไม่ต้องเสียเวลาเตรียมการหรอก คือถ้าเราสร้างกรรมเอาไว้ เตรียมขนาดไหนก็ตาย ถ้าไม่สร้างกรรมเอาไว้ คุณปู่อายุ ๑๐๐ ปีไม่เป็นไร ไอ้หนุ่ม ๆ สาว ๆ ตายกันเป็นแถวเลย หรือไม่ก็เด็กทารก ๔ เดือน โดนฝังอยู่ ๒๐ กว่าชั่วโมง ขุดขึ้นมาไม่เห็นจะเป็นอะไร"

เถรี
10-06-2015, 18:32
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/yuios1433992587.jpg

https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/8nayu1433992588.jpg

พระอาจารย์กล่าวว่า "แผ่นดินไหวครั้งนี้คนไทยได้ใจคนเนปาลไปเยอะเลย เพราะว่าไปทุ่มเทช่วยเหลือทั้งพระทั้งโยม แม้แต่ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไป ท่านไปเช้าเย็นกลับด้วยนะ ออกเดินทาง ๗ โมงครึ่ง ไปถึงโน่น ๑๐ โมงครึ่ง ฉันเพลเสร็จก็ตระเวนออกเยี่ยมเขา เปิดงานที่นั่นที่นี่ เสร็จสรรพเรียบร้อยบินกลับถึงเมืองไทยทุ่มครึ่ง เอาคนอายุ ๙๐ ปีไปตะลอนแบบนั้น

ต้องบอกว่าเจ้าคุณพรหมสิทธิท่านเก่ง คือยังไม่มีใครทำเรื่องอย่างนี้ได้ เอาพระสังฆราชไปเกี่ยวกับงานการต่างประเทศของคณะสงฆ์ เห็นมีแต่ท่านนี่แหละ คราวนี้พระไทยเราที่ได้ใจคนเนปาลเยอะเพราะว่า นักบวชฮินดูเขาอาศัยชาวบ้านอย่างเดียว ของเรานี่ไปให้ชาวบ้านได้อาศัย เราแจกทั้งข้าวปลาอาหาร ทั้งเต็นท์นอน ทั้งน้ำดื่ม ทั้งยารักษาโรค"

เถรี
10-06-2015, 18:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทองผาภูมิมีพระจบด็อกเตอร์รูปแรก ปีหน้าจะมีแม่ชีจบด็อกเตอร์รูปแรก วัดท่าขนุนทั้งนั้น"

เถรี
11-06-2015, 13:04
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนอาตมาเป็นฆราวาส เจอผีกี่ตัวอัดกระจายหมด สมัยเป็นฆราวาสอยู่วัดท่าซุง อาตมามีอาชีพไล่ผี เพราะเขาส่งผีไปเยอะ เพื่อที่จะไปเล่นงานหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่นหลวงพ่อไม่ได้ก็เล่นพวกที่อยู่วัดแล้วเผลอ คนไหนโดนผีเข้า อาตมาย่องไปถึงนี่ออกทุกราย นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก กะว่าจะฝากรักให้ชัด ๆ เลย แต่ว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย อัดตูม..ร่วงสลบคามือ เข้าไปดูปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไม่เขียวไม่ช้ำ ไปช้ำอยู่ที่ผี แล้วพวกนั้นก็แปลก หลังจากที่โดนไปแล้ว ผีไม่เคยเข้าคนนั้นอีกเลย

ผีแท้ ๆ เลย เขาส่งมาเพื่อเล่นงานโดยเฉพาะ เพราะช่วงนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นเป้าใหญ่ อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ เขาคิดว่าถ้าไม่มีหลวงพ่อแล้ว คนจะได้ไปวัดเขา อาตมาเลยมีอาชีพเล่นงานพวกผี เพราะจะให้พระไปลงไม้ลงมือก็ไม่ได้ คนอื่น ๆ ก็กลัว

เขาเห็นว่าวัดเขาไม่มีลาภผลอะไรเลย เพราะคนแห่ไปวัดท่าซุงหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดด้วยอวัยวะส่วนไหน ปัจจุบันนี้อาตมาก็โดนเหมือนกัน วันดีคืนดีก็มา มีอยู่ ๒ พวก พวกหนึ่งคืออยากรู้ว่าเก่งแค่ไหน ส่วนอีกพวกหนึ่งก็คิดแบบเดียวกันว่า ถ้าไม่มีอาจารย์เล็กเสีย คนจะได้ไปวัดเขาบ้าง"

เถรี
11-06-2015, 13:13
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งซึ่งเพิ่งได้วัตถุมงคลที่อยากได้ไปว่า "ลองไปจับความรู้สึกตัวเองดู ว่าตอนที่อยากได้กับตอนนี้ต่างกันแค่ไหน ถ้าเราแยกแยะไม่ออก เราจะแก้ไขตัวเราเองไม่ได้ ต่อไปถ้าอารมณ์ใจของเรารับสิ่งดีหรือไม่ดีเข้ามา จะต้องแยกให้ออก

แล้วส่วนที่พึงจำไว้เลยก็คือว่า การแก้ไขต้องแก้ที่ตนเอง ไม่สามารถแก้คนอื่นได้ เราจะไปมองว่า คนอื่นทำอย่างนั้นกับเรา คนนี้ทำอย่างนี้กับเรา เราทำดีแล้ว ทำไมเขาทำกับเราอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้บรรลัยแน่ ต้องกล่าวโทษโจทย์ตัวเองไว้ก่อน อะไรเกิดขึ้นเราแก้ได้เฉพาะตัวเรา เราแก้คนอื่นไม่ได้หรอก ไม่ใช่ไปถึงก็..เธอต้องทำอย่างนั้นกับฉัน เธอต้องทำอย่างนี้กับฉัน ใครจะทำให้ ? ก็มีอย่างเดียวคือเราต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง

การที่จะแก้ไขตัวเราเองได้ ความรู้สึกต้องไวพอ ตามอารมณ์ใจตัวเองได้ทัน เมื่อเราตามทัน สิ่งไหนดีก็รักษาไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็ขับไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก โอกาสก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมี ไม่ใช่ถึงเวลาอยากได้ก็อยากสุดชีวิต พอได้มาก็พองแทบจะลอยลม ระวังจะลอยไปจนกู่ไม่กลับ..!"

เถรี
11-06-2015, 13:20
ถาม : เป็นโรคกระเพาะอักเสบครับ ?
ตอบ : กระเพาะอักเสบไปหาขมิ้นชัน ขมิ้นผงก็ได้ เดี๋ยวนี้เขามีแคปซูลเป็นผง ๆ กินก่อนอาหาร มื้อหนึ่ง ๒-๓ แคปซูล แล้วก็ไปหาพวกยาขับลมมาด้วย หัดใช้สมุนไพรไทยเสียบ้าง ไม่ใช่ใช้แต่ยาต่างประเทศ ลองดู ถ้าไม่ดีขึ้นเดี๋ยวมาเตะอาตมาได้..!

สมุนไพรขับลมนี่บ้านเรามีเยอะมากเลย แต่อย่าลืมขมิ้นชันนะ ของจำเป็นเลย กินก่อนอาหารสักครึ่งชั่วโมง จะลงไปเคลือบกระเพาะให้ ไม่อย่างนั้นถ้าคุณเป็นไปนาน ๆ มะเร็งจะรับประทาน ขมิ้นชันต่อให้คุณไม่เป็นแผลในกระเพาะ กินลงไปก็มีประโยชน์ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระมีมาก เพียงแต่พวกเราไม่ใช่พม่า ไม่ใช่คนใต้ ก็จะไม่ชิน เจอขมิ้นเข้าก็ตีหน้าประหลาด ๆ พวกพม่าพวกแขกนี่เขาคลุกข้าวกินกันเลย

เถรี
11-06-2015, 13:49
พระอาจารย์กล่าวถึงการออกใบอนุโมทนาบัตรว่า "เรื่องเงิน..พระเราจำเป็นต้องรอบคอบ โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เขาจะตรวจสอบบัญชีทุกวัด จะเอากระทั่งพระเสียภาษี ถ้าอยู่ ๆ มีตัวเลขแล้วเงินไม่มี แล้วเอาที่ไหนไปให้เขาตรวจ ?

บรรดา สปช.ชุดนี้ ต้องบอกว่าสร้างเวรสร้างกรรมกับคณะสงฆ์ใหญ่หลวงมาก เนื่องจากเหมารวมว่าพระเณรทั้งหมดไม่ดี แล้วก็ด่ากันมันปากตอนที่ตัวเองอภิปราย สรุปก็คือจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เขาด่าพระไปเรียบร้อยแล้ว ยังไม่รู้ว่ากรรมส่วนนี้จะทันตาเห็นหรือเปล่า ? แต่ต้องบอกว่าวจีกรรม มโนกรรมสำเร็จไปแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือกายกรรม จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม ? ถ้าสามารถเปลี่ยนกฎหมายได้อย่างที่ตัวเองต้องการจริง ๆ กรรมก็สำเร็จทั้ง ๓ สถาน อาตมาหนักใจว่าแผ่นดินจะรับไหวไหม แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เขาก็ด่าพระฟรีไปแล้ว"

ถาม : แต่เขาก็อยู่ในหน้าที่การปกครอง ?
ตอบ : นั่นเป็นการแสดงความคิดของเขาออกมาเองเลย ในเมื่อเป็นความคิดของตัวเองก็เป็นมโนกรรมของตัวเองเต็ม ๆ เลย ก็ในเมื่อพูดออกมาก็เป็นวจีกรรม จะบอกว่ามาโดยคำสั่งก็ไม่ใช่ เพราะคำสั่งคือให้ปฏิรูป ซึ่งแปลว่าเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น

เถรี
11-06-2015, 13:55
ถาม : ไม่อยากออกไปหาความทุกข์ค่ะ
ตอบ : ไม่ต้องออก อยู่กับทุกข์นั่นแหละ เพียงแต่อย่าแบกทุกข์เอาไว้

ถาม : วางไม่เป็นค่ะ ?
ตอบ : วางไม่เป็นก็อย่าแบกสิ จะได้ไม่ต้องวาง ใช้คำว่า "ธรรมดา" ธรรมดาการเกิดมาต้องมีทุกข์เช่นนั้น เพราะฉะนั้น..ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีทุกข์เช่นนี้จะไม่มีกับเราอีก ถ้าเราสามารถออกจากกองทุกข์ได้ในชาตินี้ ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดเพื่อมาทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน การที่เราทุกข์ชาตินี้ก็แค่พักเดียวเท่านั้น ทำไมเราจะอยู่กับทุกข์นี้ไมได้ ก็แค่อย่าไปแบกเอาไว้เท่านั้น

ธรรมดา..ทำไม่ถูกใจเขาก็ต้องด่าเรา ธรรมดา..มีครอบครัวก็ต้องปวดหัว ธรรมดา..มีงานก็ต้องเครียด ให้เห็นธรรมดาให้ได้ พอเห็นธรรมดาก็แบกน้อยแล้ว

เถรี
11-06-2015, 13:57
ถาม : การปฏิบัติควรเพ่งอะไร ?
ตอบ : การปฏิบัติธรรมหลัก ๆ ก็คือลมหายใจเข้าออก ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก สติจะอยู่กับปัจจุบัน เมื่อไม่ไปโหยหาอาลัยในอดีต ไม่ฟุ้งซ่านไปในอนาคต ความทุกข์ก็จะเหลือน้อยแล้ว ดังนั้น..ถ้าจะเพ่งก็คือเพ่งลมหายใจเข้าออกตัวเอง แต่อย่าไปเพ่งอย่างอื่น บางทีคุณใช้ศัพท์ที่เข้าใจคนเดียว พอพูดมาคนอื่นฟังแล้วก็งง ๆ

เถรี
11-06-2015, 14:03
พระอาจารย์ท่องกลอนของหลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ที่ระยอง ให้ฟัง พร้อมกับอธิบาย

"เราเนาว์สราญสุข................นิรทุกข์เกษมศานต์
เฉกเช่นลดาวัลย์.................สะพรั่งติด ณ แผ่นผา
ความครุ่นและกำหนัด............ก็สลัดไม่นำพา
วิเวกและเอกา....................ดุจะทิพย์ที่ลอยลม
ผิว์แม้นจักลอยล่อง...............ก็มิต้องอาลัยสม
บ่คิด บ่ปรารมภ์....................บ่มิห่วงอาลัยมี

สบายจะตาย

สถิตย์เหนือ ณ อาสน์เอี่ยม.....กระจ่างเยี่ยมจรัสศรี
ครั้นรัตติกาลมี....................ศศิส่อง ณ แนวไพร

อยู่กับธรรมชาติ ทำตัวสบาย ๆ

แม้พาหิรชน.......................จราจลและบรรลัย
เรามั่นสถิตย์ใน...................สุขธรรม บ่มิคลอน

ภายนอกจะทำอะไรก็เรื่องของเขา เรามีความสุขอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา ของเราก็แล้วกัน

แม้นใครมาพบเรา...............ก็จุ่งเนาว์จะสั่งสอน

ถ้าใครมาอยู่ด้วยก็จะสอนให้

ชี้ทางอันบวร.....................เสถียรสุขนิรันดร์เทอญ"

เถรี
11-06-2015, 14:08
"ใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ อย่าทำตัวเป็นคนท้อแท้ง่าย เผชิญอุปสรรคเล็กน้อยก็ไม่ไหวแล้ว การจะก้าวข้ามกองทุกข์ต้องทุ่มเท ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ อย่างชนิดเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นเราไม่สามารถที่จะสู้กระแสแรงกิเลสได้ ไม่สามารถจะต้านกำลังของวัฏสงสารได้ เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่ทำแบบคนทั่ว ๆ ไป คนที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นต้องบ้าเลย..!

คนบ้ามักจะทำอะไรแบบไม่อาลัยไยดีกับชีวิต การไม่อาลัยไยดีกับชีวิตก็คือการตัดร่างกาย ซึ่งเป็นสังโยชน์ตัวใหญ่ คือสักกายทิฐิ ซึ่งเป็นที่อาศัยของกิเลสทุกประเภท ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อาศัยร่างกายนี้ทั้งนั้นถึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อเราเห็นแล้วแค่อย่าไปยุ่งด้วย กิเลสก็ไปไหนไม่รอดแล้ว นั่งดูเฉย ๆ ดูว่าจะทำอย่างไร ? โลภอยากได้ เราไม่ไปเอาเสียอย่าง กิเลสจะทำอะไรได้ ? รัก..ต้องการ เราไม่ตะเกียกตะกายไปหา กิเลสจะทำอะไรเราได้ ? โกรธก็นั่งมอง อยากโกรธก็โกรธไป ยิ่งเส้นเลือดในสมองแตกตายไปได้ยิ่งดี จะได้จบกันแค่นี้

เพราะฉะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นคุณสมบัติของร่างกาย ในเมื่อเป็นคุณสมบัติของร่างกาย เราปฏิเสธเขาไม่ได้หรอก แต่อย่าไปปรุงแต่งให้เขา การปรุงแต่งคือไปคิดเพิ่ม คนนี้สวย ไม่สวย หล่อ ไม่หล่อ เป็นแฟนเราดีไหม ? ควงไปดูหนังฟังเพลงต้องมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้แน่เลย ปรุงเท่าไรก็ยิ่งยึดติดมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ถ้าเราหยุดปรุง สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ก็แค่คนเหมือนกัน ดีไม่ดีไม่ได้นึกเสียด้วยซ้ำว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ถ้าเจอหน้ากันก็แสดงว่ากระแสกรรมยังไม่พ้นกัน ก็สงเคราะห์กันไปตามหน้าที่ แต่พยายามระมัดระวังกาย วาจา ใจของเราไว้ แล้วอย่าไปสร้างกรรมอะไรที่ไปผูกพันกันขึ้นมา ถ้าเราทำอย่างนี้ ของใหม่ไม่มี กรรมเก่าก็ค่อย ๆ เช็ด ค่อย ๆ ล้างไป เดี๋ยวก็หมด เหมือนกับเก็บบ้าน สมมติหลังนี้เป็นบ้าน ใหญ่เบ้อเร่อเลย เก็บทีเดียวไม่เสร็จหรอก ต้องเก็บกวาดไปทีละมุม ถูไปทีละแผ่น เดี๋ยวก็ทั่วทั้งหลัง

เหมือนกับเราจะพิมพ์หนังสือ ก่อนที่จะเป็นหน้า ต้องพิมพ์ทีละตัว ประสมสระ ใส่วรรณยุกต์ มีตัวสะกด ออกมาถึงจะเป็นคำ จากคำก็เป็นประโยค จากประโยคก็เป็นบรรทัด จากบรรทัดก็เป็นย่อหน้า จากย่อหน้าก็เป็นครึ่งหน้า เป็นหนึ่งหน้า ไปจากอักษรตัวเดียวทั้งนั้น

อย่ารีบ..ค่อย ๆ ไป ใจเย็น ๆ แต่อย่าหยุด เลียนแบบเต่า เต่าเดินไปเรื่อย ก๊อกแก๊ก ๆ ไปเรื่อย เคยเห็นเต่าถอยหลังไหม ? ไม่มีหรอก ต่อให้ไปชนอุปสรรคก็เดินอ้อม เต่าไม่มีเกียร์ถอย ถึงเวลาเจอศัตรูปุ๊บหดปั๊บ ใครจะไปทำอะไรได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เก็บเกลี้ยงเลย ในเมื่อเก็บเกลี้ยง ไม่ยอมรับอารมณ์ภายนอกเข้ามา ใจตัวเองก็ผ่องใส พอพ้นภาวะนั้นขึ้นมา ยืดหัวยืดขาออกมาได้ก็เดินต่อ เพราะฉะนั้น..ให้เอาอย่างเต่า ไปช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่หยุด ขึ้นหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอยหลัง"

เถรี
13-06-2015, 17:56
"ตกลงว่าเห็นทางหรือยัง ? ต้องเจาะไปเรื่อย พวกเราติดคุกด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เป็นคุกที่กำแพงหนามากเลย ค่อย ๆ เจาะ ค่อย ๆ เคาะ ค่อย ๆ แคะไปเรื่อย เดี๋ยวก็ออกไปได้เอง แต่อย่าหยุดเสียก่อนแล้วกัน มัวไปท้อแท้วางมือ โอ๊ย..ไม่ไหวแล้ว ที่ไหนได้..กำแพงหนาหลายวา เราเจาะมาเหลือแค่คืบเดียว บอกว่าไม่ไหวแล้ว แล้วเราก็ไปวางมือ เป็นที่น่าเสียดายมาก

เห็นทุกข์ชัดขึ้น ก็ต้องทำอะไรได้ดีขึ้น ไขว่คว้าหามาแทบตาย เอาเข้าจริง ๆ แล้วเหมือนกับไม่ได้อะไรเลย แถมยังเพิ่มภาระขึ้นไปอีก

แค่มองดู แค่ชื่นชม อย่าคิดไปไขว่คว้าเป็นเจ้าของ ภาระจะไม่มี เบากว่ากันเยอะเลย ใครทำดีก็ยินดีด้วย ใครทำไม่ดีก็ เออหนอ..หนทางเขายังอีกยาวไกล ถ้ามีโอกาสเราจะแนะนำทางที่สั้น ๆ ให้เขาเสียหน่อย

การไขว่คว้าหามาคือการยึดติด คนที่ยึดที่เกาะไปไหนไม่ได้หรอก ก็ติดอยู่ตรงนั้น ถามว่าปล่อยวางแล้วการดำรงชีวิตเราจะอยู่อย่างไร ? ต้องปล่อยวางอย่างคนมีปัญญา วางออกจากใจก่อน ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ ก็ต้องกินต้องใช้เป็นปกติ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เป็นลูกก็ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด เป็นสามีภรรยา ทำหน้าที่สามีภรรยาให้ดีที่สุด เป็นพ่อเป็นแม่ ทำหน้าที่พ่อแม่ให้ดีที่สุด เป็นลูกน้อง ทำหน้าที่ลูกน้องให้ดีที่สุด เป็นเจ้านาย ทำหน้าที่เจ้านายให้ดีที่สุด

แต่เราทำแค่วันนี้เท่านั้น หลังจากวันนี้ไม่มีสำหรับเรา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วันนี้เท่ากับเป็นวันสุดท้ายในชีวิต เราก็ทำให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด ตอบตัวเองได้ทุกกรณี เพราะเราทำเต็มที่ในทุกหน้าที่แล้ว เราไม่มีอะไรต้องห่วงต้องใยแล้ว ถ้าถึงเวลาเขาไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ก็แสดงว่าเขามีเวรมีกรรมเฉพาะของตัวเอง เราก็..บ๊าย..บาย..ไปแล้ว มีโอกาสจะช่วย รักนะจุ๊บ ๆ รีบเผ่นไปเลย

ส่วนใหญ่แล้วเราไปแบกเขา เหมือนกับว่าถ้าไม่มีเราแล้วเขาอยู่ไม่ได้ คนเรามีบุญรักษา มีกรรมรักษา ต่อให้ไม่มีใครเลยเขาก็ต้องอยู่ได้ เอ้า..พอแล้ว กินเยอะไปเดี๋ยวย่อยไม่ไหว ถ้าให้พูดก็พูดไปได้เรื่อยแหละ"

เถรี
13-06-2015, 17:57
ถาม : ศีลที่บอกว่าพระรับเงินแล้วเป็นอาบัติ ทำไมหรือคะ ?
ตอบ : เกิดจากทางด้านพระท่านรับแล้วไปติด ดูในวินีตวัตถุของวินัยปิฎกก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่าเหมือนกับอสรพิษ เพราะว่าส่วนใหญ่รับไปแล้วถ้าไม่รู้จักประมาณตัวเอง ก็จะกลายเป็นไปยึดติดในวัตถุแทน คราวนี้ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนก็คือว่า ให้เอาลงเป็นกองกลาง ไปทำบุญทำกุศลให้กับเจ้าของเดิม

ถาม : คือรับก็ได้ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วรับเมื่อไรก็ผิดเมื่อนั้น เพียงแต่ว่าต้องทำให้ถูก คือรับมาแล้วก็อย่าคิดว่าเป็นของตัวเรา

เถรี
13-06-2015, 18:00
คุณเต้ยเห็นหลวงพี่เอจึงรีบเข้าไปร่วมทำบุญปิดทองประดับเพชรสมเด็จองค์ปฐมวัดท่าขนุน

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไปปิดเองเลย เขาเรียกพวกฉวยโอกาส เป็นการกระทำที่น่าสรรเสริญ ไม่ได้ตำหนิ แต่บอกว่าน่าสรรเสริญ เห็นบุญให้ทำไว้ก่อน ถ้าตามมติของหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ วัดสระเกศ ท่านบอกว่า ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ บุญเป็นสิ่งจำเป็น ต้องเร่งขวนขวายให้มากไว้ เพราะบุญส่งผลในด้านดีเพียงส่วนเดียว แต่คราวนี้เราไม่ได้ทำบุญตลอด เราทำบาปด้วย ถึงเวลาเจอบาปสนองก็ร้องโอดโอยกัน แต่ตอนทำบาปไม่คิด พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ตราบใดที่ความชั่วยังไม่ส่งผล คนพาลก็คิดว่าเป็นสิ่งหอมหวานที่ควรแก่การกระทำ ส่งผลเมื่อไรเป็นร้องจ๊าก"

เถรี
13-06-2015, 18:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตลอดสังสารวัฏอันยาวไกลที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ เราก็เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ถ้าเห็นข้อบกพร่องของเขา โปรดทราบว่านั่นคือทายาทที่เราทิ้งเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็จงอนุเคราะห์สงเคราะห์เขาเถิด ไปไข่ทิ้งไว้เองแล้วไปโทษใครได้ เขาเป็นคนรับช่วงกรรมของเรา ก็เท่ากับคือทายาทของเรา กัมมะทายาโท ทายาทของการกระทำ

ทายาท แปลว่า ผู้ควรแก่การรับมรดก เพราะฉะนั้น..กรรมทายาท เป็นผู้รับมรดกของกรรม เราเคยทำอะไรไม่ดีไว้ ถึงเวลาเขามาทำตาม ก็เท่ากับเขารับช่วงไปจากเรา จะไปโกรธไปเกลียดลูกหลานทำไม ? สงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ไป ถ้าสงเคราะห์ไม่ได้ จะตีลูกตีหลานบ้างก็คงไม่มีใครว่า"

เถรี
13-06-2015, 18:06
พระอาจารย์สนทนากับผู้สูงอายุ "เราดีตรงที่ว่า เมาวัยไม่มีแล้ว เมาว่าร่างกายไม่เจ็บป่วยก็ไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า ถ้ายังมีการเมาแบบนี้อยู่ โอกาสที่จะไปพระนิพพานก็ไม่มี

เมาวัย เห็นว่าร่างกายเป็นหนุ่มเป็นสาว แข็งแรงยินดีและพอใจ เมาว่าร่างกายไม่มีโรค ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แข็งแรง อันนี้ของเรานั้นเห็นชัด วัยก็ล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยก็ป่วยมาพอแรงแล้ว ถ้ายังเห็นว่าดีอีก ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรแล้ว

ในเมื่อไม่มีความเมาพวกนี้ มัทนิมมัทนัสสะ ตัดเสียซึ่งความเมา ในเมื่อตัดเสียซึ่งความเมาได้ โอกาสจะไปนิพพานก็มี มัทนิมมัทนัสสะ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ ในเมื่อละเสียซึ่งความเมา ก็ย่อมทำพระนิพพานให้แจ้งได้"

เถรี
13-06-2015, 18:09
ถาม : เวลาเป็นที จำอะไรไม่ได้เลย ?
ตอบ : อย่าไปกังวลกับเรื่องพวกนั้น เพราะยังมาไม่ถึง หน้าที่ของเราก็คือรักษาสภาพจิตปัจจุบันของเราให้ผ่องใสที่สุด เกาะพระไว้เป็นปกติ หลังจากนั้นแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด

ถาม : เวลามา ก็มาสนั่นเลย ?
ตอบ : เรื่องปกติ เวลาเราทำเขา เราก็ทำแบบนั้นแหละ ตอนนี้รับกลับมา ก็ต้องมาอย่างนี้แหละ จะได้รู้ว่ากรรมเป็นของน่ากลัว เกิดเมื่อไรก็เจอแบบนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดแบบนี้จะเอาอีกไหม? ถามตัวเองได้ตลอดเวลาเลย

ถาม : ฉันนี่ไม่เอาเด็ดขาด ชีช้ำกะหล่ำปลี เดี๋ยวคนนี้ตาย คนนี้ตาย ?
ตอบ : เขาเรียกว่าวัยวิกฤต ลูกหลานก็วัยรุ่น คุมไม่อยู่ กำลังแหกคอกระเบิดเถิดเทิง ส่วนคนรุ่นเดียวกันหรือคนแก่ก็ตายเอา ๆ เด็กเขามีวิกฤตวัยรุ่น ผู้ใหญ่ก็วิกฤตวัยทอง เห็นเขาตายเดี๋ยวเราก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ เราตายแล้วเราจะไม่เกิดแล้วนะ ให้ตั้งใจไว้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็รักษาไปตามแผน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ทำเต็มที่แล้ว ถ้าหากว่าเอาไม่อยู่ ท่านก็ไปของท่านเถอะ เราก็ไปของเรา ไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนด้วยซ้ำไป ไปนึกถึงหลวงปู่ทองเทศ อายุ ๘๐ ปีแล้วมาขอบวช ปี ๒๕๒๑ มาขอบวชกับหลวงพ่อวัดท่าซุง เอาเงินถวายหลวงพ่อไว้ ๓,๐๐๐ บาท ยุคนั้นถือว่าเยอะนะ เพราะทองบาทหนึ่ง ๒,๐๐๐ กว่าบาทเอง กราบเรียนหลวงพ่อว่า “ถ้าผมตายช่วยเผาผมด้วยนะครับ” เพราะท่าน ๘๐ แล้ว หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ “ไม่รู้ใครจะเผาใคร” แล้วก็จริง ๆ หลวงพ่อมรณภาพตั้งหลายปี หลวงปู่ทองเทศถึงจะไป ท่านอยู่เสีย ๑๐๓ ปี

ถาม : เมื่อเช้าฝันว่าหลวงปู่บุดดามาที่นี่ ?
ตอบ : มีอยู่วันหนึ่งอาตมากำลังธุดงค์อยู่ หลวงปู่ท่านมาสว่างเชียว แล้วท่านก็บอกว่า "ภาระที่ฝากไว้ช่วยรับด้วยนะ หลวงปู่ไปแล้ว" อาตมาก็อ้าว..แล้วตูจะไปงานอย่างไรวะ ? ยังอยู่กลางป่าอยู่เลย แล้วก็เหมือนกับท่านขอขี่หลัง อาตมาก็แบกท่านเดิน เท่ากับว่าภาระส่วนหนึ่งของท่านอาตมาก็รับไปแล้วกัน

เถรี
13-06-2015, 18:10
ถาม : ถ้าจะนึกถึงพญานาค จะเป็นเทวตานุสติหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้านาคที่เป็นลูกน้องของท้าวมหาราชก็เป็นเทวดา แต่ถ้านาคทั่วไปก็เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ ไปนึกถึงท่านเดี๋ยวก็ได้ไปเกิดเป็นนาคเท่านั้น

ถาม : ถ้าใจนึกถึงภาพพระ แต่ภาพไม่ใช่องค์เดิมที่นึก ?
ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะนึกถึงพระ ต่อให้ไม่ใช่องค์เดิมก็เป็นอนุสติเหมือนกัน

เถรี
13-06-2015, 18:12
ถาม : ทำอย่างไรอวัยวะภายในจึงจะแข็งแรง ?
ตอบ : ต้องสวดมนต์อย่างเดียว เวลาสวดมนต์เป็นการบริหารอวัยวะภายในไปด้วย คนที่อวัยวะภายในแข็งแรงมักจะอายุยืน

เถรี
13-06-2015, 18:13
ถาม : เงินที่เราเสียภาษีแต่ละปี ถือว่าเป็นกุศลไหมครับ ?
ตอบ : เป็นการสร้างกุศลทางอ้อม ส่วนใหญ่เราจะไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้ ในเมื่อไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้ เจตนาในการที่เราจะทำประโยชน์นั้นไม่มี ก็เลยไม่มีอานิสงส์ไปด้วย

ถาม : ถ้าผมคิดว่าผมได้บุญ ?
ตอบ : ได้..เพราะอย่างน้อยก็เอามาพัฒนาประเทศเราเอง เราก็ได้อานิสงส์ไปด้วย

ถาม : ส่วนใหญ่เขาจะคิดว่าเสียประโยชน์ ผมเลยมาคิดใหม่ ?
ตอบ : คิดใหม่ เราเต็มใจจะเสียเพื่อช่วยพัฒนาประเทศ ถ้าอย่างนั้นได้บุญแน่ ไหน ๆ จะเสียแล้วก็ต้องเอาคืนบ้าง

เถรี
13-06-2015, 18:46
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/xggqj1440340183.jpg

ชมรมพรหมเมตตาถวายพระพุทธรูปเงินแท้หน้าตัก ๕ นิ้วพร้อมปทุมบัลลังก์

"สมัยก่อนคนเรามีความเคารพในพุทธศาสนามาก เมื่อทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองก็มักจะสร้างพระประจำบ้าน เท่าที่เห็นมากที่สุดก็คือหล่อด้วยเงิน โดยเฉพาะบรรดาพ่อเลี้ยงทางภาคเหนือนิยมทำกันมาก บางองค์หนักตั้ง ๒-๓ กิโลกรัม ที่เจอน้อยลงมาหน่อยคือทำด้วยนาก อาตมาก็มีพระนากองค์หนึ่งของครอบครัวแสงคู่วงศ์ บอกว่ารักษากันมา ๒ ชั่วคนแล้วจึงเอามาถวายวัด ที่เจอน้อยก็คือสร้างด้วยทองคำ สร้างด้วยทองคำนี่ส่วนใหญ่เนื่องจากวัสดุแพง ก็จะสร้างหน้าตักประมาณ ๑-๒ นิ้ว น้อยนักที่จะเจอถึง ๓ นิ้ว

ต้องบอกว่าด้วยความที่เคารพในพระรัตนตรัย ถึงเวลาก็เลยสร้างพระเอาไว้เคารพกราบไหว้ในบ้านตัวเอง คณะญาติโยมที่ถวายพระเงินองค์นี้มา บอกว่ามูลค่าประมาณห้าหมื่นกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่ารวมค่าหล่อด้วยหรือเปล่า ? พลิกดูข้างใต้แล้ว เงินแท้ ๆ (น้ำหนักประมาณ ๓ กิโลกรัม) ตอนนี้กิโลกรัมหนึ่งประมาณหมื่นแปด ๓ กิโลกรัมก็ตกห้าหมื่นสี่ รวมค่าหล่อก็คงประมาณหกหมื่นบาท องค์พระหนัก ๓ กิโลกรัมนี่อาจจะต้องใช้เงินประมาณ ๕-๖ กิโลกรัม เพราะว่าต้องมีชนวนด้วย

ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยกล่าวไว้ว่า วัตถุมงคล วัตถุบูชา สร้างด้วยวัสดุมีราคาสูงเท่าไร เทวดาพรหมที่รักษาก็ต้องมีศักดานุภาพมากเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเสียท่าคนโลภ ประเทศพม่าถ้าสร้างพระไม่ว่าองค์ใหญ่องค์เล็กจะมีบัลลังก์ ให้สังเกตดู..เขาเรียกปทุมบัลลังก์ จะมีดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ ถ้าเป็นบัลลังก์ของพระเจ้าแผ่นดินเรียกว่า สีหาสนบัลลังก์"

เถรี
13-06-2015, 18:47
https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xat1/v/t1.0-9/11392906_984474478250637_4496218795882767584_n.jpg?oh=fe0d6b8edb2c5d787efdbe7af5b17d7f&oe=562B1D00&__gda__=1442423263_f6bb94876ccb1cbc2732ecc983e80cbd

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครสนใจหลวงปู่ทวดองค์นี้ไหม ? ถ้าสนใจเดี๋ยวจะหาลูกแก้วมาถวายท่านลูกหนึ่ง

หลวงปู่ทวด เป็นพระมหาเถระที่ปรากฏนามในประวัติพุทธศาสนาของเรามาหลายร้อยปี ไม่เคยเสื่อมความนิยมจากคนไทยเลย โดยเฉพาะมีนายดาบตำรวจท่านหนึ่ง เป็นตำรวจมาจนจะเกษียณอยู่แล้ว บอกว่าตลอดระยะเวลาจะ ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมา ชันสูตรพลิกศพมานับไม่ถ้วน ไม่เคยเจอใครที่แขวนหลวงปู่ทวดแล้วตายเลย

หลวงปู่ทวดองค์นี้ท่านเอเป็นคนถวายมา เขาแจ้งว่าราคาห้าหมื่นบาท ผลงานของท่านอาจารย์สุชาติ ถ้าใครบูชาเดี๋ยวอาตมาแถมลูกแก้วให้ลูกหนึ่ง"

เถรี
14-06-2015, 09:04
ถาม : พระพุทธรูปที่สร้าง ถ้าไม่มีการพุทธาภิเษก จะมีเทวดารักษาไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าสร้างมาแล้วไม่ผ่านพุทธาภิเษก มีเทวดารักษา แต่เหมือนอย่างกับว่า คนผ่านไปผ่านมาเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งก็เข้าไปช่วยดูแล แต่ถ้าผ่านพิธีพุทธาภิเษกเหมือนอย่างกับเจาะจงว่าใครต้องทำหน้าที่ดูแล ก็เลยต่างกันอยู่หน่อยหนึ่ง

ถาม : แล้วถ้าเข้าพิธีเพิ่มจากเดิมอีก เทวดาที่รักษาจะเพิ่มอีกไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าองค์เก่าบารมีมากกว่า เพิ่มเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

เถรี
14-06-2015, 09:11
ถาม : ...ไม่สบายใจเรื่องครอบครัว และได้ไปขายของที่หนึ่ง...
ตอบ : เอาไว้ถามคนอื่น ถ้าจะถามวิธีแก้ไข ให้ไปภาวนาพระคาถาเงินล้านแทน อาตมาไม่ใช่หมอดู เรื่องเหล่านี้ไม่ตอบ แล้วถ้าไปหาหมอดูก็อาจจะเดือดร้อนกว่าที่คิด

เรื่องไม่ดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละครอบครัว ถ้าภาษาเก่าเรียกว่าดวงตก ถ้าภาษาพระเรียกบุญหมด ต้องสร้างบุญเพิ่มเติมให้ทุกอย่างดีเหมือนเดิม คราวนี้การสร้างบุญมีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา

ทานทำ ๑ ได้ประมาณ ๑๐๐
ศีลทำ ๑ ได้ ๑๐,๐๐๐
ภาวนาทำ ๑ ได้ ๑,๐๐๐,๐๐๐

อาตมาก็มักจะแนะนำให้ไปภาวนาคาถาเงินล้าน เพราะว่าไหน ๆ จะภาวนาแล้ว พระคาถานี้ช่วยให้มีความคล่องตัว มีความร่ำรวยด้วย ดังนั้น..พวกเราก็ควรที่จะไปภาวนา อย่าหวังให้คนอื่นช่วยเรา เพราะว่าทุกอย่างเกิดจากตัวเราเอง เราตกหลุม รอให้คนอื่นช่วย บางทีอาจจะไม่ได้ขึ้นจากหลุมตลอดชีวิต ต้องตะเกียกตะกายใช้กำลังของเราเอง ถ้าไปถามที่อื่น ซึ่งเป็นที่ที่เขาไม่มีศีลไม่มีธรรม มีเจตนาที่จะคดโกง เขาจะหลอกให้เราเสียเงินเสียทองมาก ๆ

ถ้ารู้สึกว่าอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ให้ตั้งใจรักษาศีลแล้วภาวนาไป ถ้าหากว่าสามารถทำได้ต่อเนื่องยาวนานสักไม่เกิน ๒ เดือน ทุกอย่างจะดีขึ้นทันตา เพียงแต่ว่าพวกเรามักจะไม่มีความอดทน เห็นคนอื่นเป็นผู้วิเศษ จะให้เสกเราหายจากสิ่งเหล่านั้นทันทีทันใด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ กลับไปถ้ามีโอกาสไปหาหนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้าน หรือหาโหลดเอาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็มี ไปภาวนาให้เป็นล่ำเป็นสันไปเลย ถ้าทำจริง ๆ เดี๋ยวเงินก็หล่นทับตายไปเอง

เถรี
14-06-2015, 09:13
ถาม : ไม่สบายใจ ลูกชายจะไปเกณฑ์ทหารปีหน้าค่ะ ?
ตอบ : สมัครไปเลย ชีวิตหนึ่งถ้าได้เป็นทหารแล้ว ต่อไปก็จะดีขึ้นทุกอย่าง เพราะเขาสอนให้เราหมด การเป็นทหาร สิ่งที่เขาฝึกหรือสิ่งที่เขาให้เราทำ ไม่ได้ลำบากถึงตายหรอก แต่สร้างความเข้มแข็งให้ทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้ารู้จักกอบโกยมา จะใช้ประโยชน์ได้ตลอดชีวิต แต่ส่วนใหญ่ไปกลัวเหนื่อย

สมัยนี้เกณฑ์ทหาร ถ้าบ้านอยู่แถว ๆ ลพบุรี สระบุรี กรุงเทพฯ แถวนี้ นั่งรอเฉย ๆ โอกาสได้เป็นนั้นยากเต็มที เพราะเขาสมัครกันจนล้นทุกที

อาตมาเรียนแทบเป็นแทบตาย สมัยนั้นจบมาเป็นนายสิบ เงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท สมัยนี้พลทหารเงินเดือน ๙,๐๐๐ บาท นี่เฉพาะเงินเดือนล้วน ๆ กินอยู่เสื้อผ้าอาภรณ์เขาให้หมด ยุคสมัยต่างกัน สมัยนั้นจบมานักเรียนนายสิบ เงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท เพิ่มค่าครองชีพ ๒๗๐ บาท เป็น ๒,๒๕๐ บาท แต่ว่าทองสมัยนั้นบาทหนึ่ง ๑,๘๐๐ - ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น เงินเดือนซื้อทองได้บาทกว่า สมัยนี้ ๙,๐๐๐ บาท ซื้อทองได้ไม่เต็ม ๕๐ สตางค์

เถรี
14-06-2015, 14:19
ถาม : ถ้าเอาท่านขันติวาทีเป็นตัวอย่าง แล้วพวกเขาไม่ยอมหยุดรังแก ยิ่งได้ใจ เขาก็รังแกจนตายเลยสิครับ ?
ตอบ : ท่านขันติวาทีก็ตาย แต่ว่าท่านตายพร้อมกับสภาพจิตที่ผ่องใส ปราศจากความคิดอาฆาตแค้นแม้แต่นิดเดียว โดยความรู้สึกของท่านก็คือ ในเมื่อคนเขาไม่รู้เขาก็ต้องทำอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาเป็นอย่างนั้น เรารับไปก็แล้วกัน อย่างไรเสียชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว ถ้าเขาด่าก็ดีกว่าเขาตี ถ้าเขาตีก็ยังดีกว่าเขาฆ่า ถ้าเขาฆ่าเราก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ต้องลงทุนทำเองก็ตายได้สมใจ..ง่ายดี

เถรี
14-06-2015, 14:19
ถาม : ผมห่างจากศีล ๘ ทีไรแล้วมีแต่ความซวยทุกที ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็รักษาศีล ๘ สิวะ..! รู้อยู่ว่าห่างแล้วซวยก็อย่าห่างสิ

เถรี
14-06-2015, 14:21
ถาม : พอคิดอยากมีคู่ครองทีไร ก็มักจะเจอความทุกข์ใหญ่ ๆ ทุกที ?
ตอบ : เรียกว่าคนมีบุญ ควรจะรีบมีบ่อย ๆ จะได้เข็ดสักที คนอื่นขนาดทุกข์ท่วมหัว ยังไม่รู้ตัวเลย ส่วนเรายังไม่ทันจะเข้าใกล้ ยังทุกข์ขนาดนี้ ถ้าไม่เข็ดก็ให้มันรู้ไป

เถรี
14-06-2015, 14:29
ถาม : ผมพยายามจะเป็นคนปกติเหมือนคนอื่นเขา พยายามลดพระที่ห้อยคอเท่าไร กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ?
ตอบ : อย่าให้เกิน ๑๐๘ องค์ ไม่อย่างนั้นก็จะหนักมาก..! คุณรู้จักพระครูแสงไหม ? รอบตัวท่านนี่ถ้าปลดออกมาก็หลายกิโลกรัมเลย คงรู้จักหลวงพ่อจำเนียรนะ ประมาณ ๓๐ กิโลกรัมเป็นอย่างต่ำ

ถาม : ท่านเดินได้อย่างไร ?
ตอบ : เดินตัวปลิวเพราะเคยชิน ท่านก็เพิ่มตรงโน้นองค์ ตรงนี้องค์ กว่าจะได้อย่างนั้นก็หลายปี ไม่รู้สึกหรอกว่าหนัก ถ้าไปปลดออก ดีไม่ดีท่านลอยได้ หลวงพ่อทวน วัดตีนตก ถึงเวลาเอาย่ามลงแล้วจะเดินจงกรม ต้องถือแกลลอนน้ำ ๕ ลิตร ๒ ใบ ถามว่าหลวงพ่อทำไมต้องถือแกลลอนด้วย ? "เฮ้ย..ไม่ถือเดินไม่ได้เว้ย" ย่ามท่านใบหนึ่งประมาณ ๓๐ กิโลกรัม ๒ ใบก็ ๖๐ กิโลกรัม พอเอาย่ามลงตัวจะลอย ต้องเอาแกลลอนน้ำ ๒ ใบ ถ่วงตัวเองไว้ถึงจะเดินจงกรมได้

ถาม : มีคนบอกว่า วัตถุมงคลเอาไว้ที่บ้านก็ได้แล้วก็นึกถึงเอา ผมว่ากำลังใจผมยังไม่ได้สูงขนาดนั้นที่จะนึกถึงได้ตลอดเวลา ?
ตอบ : ต้องบอกว่า "กูยังไม่เก่งเท่ามึง แขวนก็หนักคอกู หนักหัวกู ไม่ได้หนักหัวมึงซะหน่อย..!" แล้วก็วางมวยกันอีก คุณเกิดราศีเดียวกับพระครูแสง คือเกิดราศีตีน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เรียกตีนได้เสมอ ฉะนั้น..มีอะไรก็ไปปรึกษาท่านแล้วกัน

ตอนสมัยฆราวาส ท่านช่วยหาตีนมาให้ผมเป็นประจำ เดี๋ยว ๓ คน เดี๋ยว ๕ คน ไม่เคยมาเดี่ยวเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่งมา ๓๐ กว่าคน บังเอิญอาตมาก็ถอยไม่เป็นเสียด้วย มาถึงก็มองหน้า "มึงจะเอาหรือ ?" กะว่าคนข้างหน้าสัก ๒ – ๓ คน จะซัดให้ร่วงแล้ววิ่ง ไม่ใช่เสือกไปเก่ง อาตมาไม่ใช่พระเอกนี่หว่า ปรากฏว่าพวกนั้นโดนมือโดนตีนกันจนเคยแล้ว พออาตมาดาหน้าเข้าใส่ ก็ผลักกันอุตลุด ผลักกันไป รวนกันมา ท้ายสุดมีคนได้สติบอกว่า "พี่ ๆ ผมมาปรับความเข้าใจ" มาปรับความเข้าใจ มึงมาทีขนาดนี้เลยหรือ ? ถ้าวันนั้นกูไม่สู้ กูก็ตาย..!

เถรี
15-06-2015, 16:55
ถาม : หลวงพ่อท่านพระครู ท่านอยากจะทำบุญวัด ทีนี้มีศาลหลังหนึ่งเก่าแก่มาก และมีหลายคนบอกกล่าว ไม่ทราบว่าควรไปรื้อศาลหรือเปล่า ?
ตอบ : ปรึกษาชาวบ้านสำคัญที่สุด ฟังเสียงชาวบ้าน ถ้าเราไม่ฟังเดี๋ยวเป็นเรื่อง ถ้าชาวบ้านเขาไม่เอาด้วยอย่าไปแตะ ถ้าชาวบ้านเขาเอาด้วย ยังโบ้ยไปได้ บอกผีว่าชาวบ้านเขาต้องการอย่างนี้..!

เถรี
15-06-2015, 17:07
มีพระที่เรียนบาลีมากราบทำบุญกับพระอาจารย์ "การเรียนบาลีต้องอาศัยสมาธิและกำลังใจเป็นอย่างสูง สมัยที่อาตมาเรียนอยู่ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เมตตาบอกว่า “ท่านเล็ก..อย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาดนะ ทิ้งเมื่อไรจะท้อ” ท่านเองลุยมาจนถึงประโยค ๙ เรื่องที่ท่านแนะนำมาจะต้องใช่แน่

ตอนเรียนปริญญาเอกก็เหมือนกัน คนอื่นเขาท้อ อาตมาไม่ท้อหรอก ลุยไปอย่างเดียวเลย ท่านอาจารย์จะสั่งแก้กี่ครั้งก็ให้สั่งมาเถอะ มีปัญญาสั่งผมก็มีปัญญาแก้ วันก่อนแม่ชีตุ๊ขอตัวอย่างวิทยานิพนธ์ไปดู บอกว่า “โอ้โห..หลวงพ่อทำได้ขนาดนี้เลยหรือ ? ต้องได้วิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยมแน่เลย” ไม่ได้หรอก เขาให้แค่บีบวก เกิดมีคนทำดีกว่านี้เดี๋ยวไม่มีเอจะให้

ไปนึกถึงท่านอาจารย์ปู่ (ดร.ทรงวิทย์ แก้วศรี) เรียนปริญญาเอกตอนอายุ ๖๘ ปี ใช้เวลาในการค้นคว้าวิทยานิพนธ์ ๖ เดือน เขียนอีก ๒ เดือน เขียนเสร็จก็เข้าโรงพยาบาลไปเลย มานึก ๆ ดูน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะอาตมาก็ใช้เวลาประมาณ ๒ เดือนกว่า ตอนที่ทำอยู่จัดเป็นมโนสัญเจตนา คือ ความมุ่งมั่น ทำให้ไปได้เรื่อย คราวนี้พองานเสร็จความมุ่งมั่นหมด ถึงได้รู้ว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว ท่านก็เข้าโรงพยาบาลเลย"

ถาม : แรก ๆ ก็มุ่งมั่น แต่ต่อมาก็ท้อ ?
ตอบ : เขามีความมุ่งมั่น แต่ว่ากำลังสมาธิไม่พอที่จะหนุน ในเมื่อกำลังสมาธิไม่พอที่หนุนก็ท้อ หมดกำลังใจ

เถรี
15-06-2015, 17:12
ถาม : อาจารย์เขาให้ท่องก่อน ?
ตอบ : เรื่องของการท่องจำบาลีนั้นจำเป็นมาก ๆ เพราะเป็นพื้นฐานที่ใช้ได้ยันประโยค ๙ เพราะฉะนั้น..ประโยค ๑-๒ นี่เป็นประโยคที่สำคัญที่สุด ถ้าคุณผ่านได้ก็มีพื้นฐานทั้งหมด พอ ๑-๓ ผ่านแล้ว ประโยค ๔-๖ ก็ใช้จาก ๑-๓ นี่แหละ แล้วไปเรียนรู้เพิ่มตอนประโยค ๗-๙ ว่าวิธีการแต่งฉันท์มีวิธีการเป็นอย่างไร หลักการเดียวกัน คราวนี้คุณสวดมนต์ไปก็จะสงสัยว่าทำไมถึงเป็น “ชรา ธัมมาหิ” ทำไมถึงไม่เป็น “ชรา ธัมเมหิ” เพราะเริ่มรู้แล้ว รู้ว่าอันนั้นผิดแน่

ถาม : จริง ๆ ตอนเรียนไม่หนักใจครับ หนักใจตรงท่องมากกว่า ?
ตอบ : จำเป็น..เราต้องท่องหนีอาจารย์ให้ได้ ถ้าท่องหนีอาจารย์ไม่ได้จะไล่อาจารย์ไม่ทัน แล้วจะเหนื่อย ผมถึงยืนยันตั้งแต่แรกว่าพวกคุณต้องท่องหนีอาจารย์ไปไกล ๆ เลย ๘ หน้า ๑๐ หน้าได้ยิ่งดี

ถาม : ท่องได้นี่ผมว่าเก่งเลย ?
ตอบ : ผมยืนยันว่าถ้าจบประโยค ๙ นี่เท่ากับจบ ดร. ๓ ใบเลย พวกคุณไม่ค่อยเชื่อผม ใครมีพื้นฐานบาลีมานี่เรียนทางโลกสบายทั้งนั้น

เถรี
15-06-2015, 17:19
ถาม : ...(ธงมหาพิชัยสงคราม)...
ตอบ : ผืนนี้นะใช่เลย คราวนี้เห็นหรือยังว่าเนื้อผ้าต่างจากเมื่อวานขนาดไหน ผืนนี้เป็นแบบขนาดเล็ก ลองเอาไปเปรียบกันว่าเนื้อผ้าต่างกันอย่างไร

ถาม : ที่ไหนมีคะ ?
ตอบ : ถ้าที่บ้านสายลมน่าจะพอมีบ้าง จำลักษณะผ้าไว้ ถ้าผิดไปจากนี้ไม่ใช่ เมื่อวานเปิดหนังสือพระเครื่องดู หมวยนี้อยู่ใกล้ ๆ อาตมาบอกไปว่าพระองค์โน้นสวยกว่า เขาถามว่าสวยกว่าอย่างไร ก็เลยเปิดกลับไปให้ดู เขาบอกว่า “โห..หลวงพ่อมองแวบเดียวเองหรือ ?” ก็จะเอาอะไรนักหนา คนจำแม่นก็ได้เปรียบ

เถรี
15-06-2015, 17:21
การดูพระเครื่อง อันดับแรกพิมพ์ทรง อันดับที่สองเนื้อหา คราวนี้พิมพ์ทรงก็มีหลายพิมพ์..ต้องจำแม่น แล้วก็เนื้อหามวลสารเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเป็นโลหะก็จะต้องจดจำได้ว่าโลหะเก่ามีลักษณะอย่างไร โลหะใหม่มีลักษณะอย่างไร เหรียญรุ่นนี้ใช้วิธีทำแบบไหน หล่อแบบไหน เป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ถ้ารุ่นใหม่จะใช้หินเจียรตัดแต่ง ถ้ารุ่นเก่ามักจะใช้ตะไบ ตะไบรอยจะตรง ๆ หินเจียรรอยจะโค้ง ๆ เหรียญรุ่นเก่าบางรุ่นเขาปั๊มแล้วมีปีกมาก็ต้องตัดขอบ การตัดขอบมีลักษณะอย่างไรต้องจำให้แม่น

เดี๋ยวว่าจะทำเหรียญสักรุ่นหนึ่งที่เป็นขอบสตางค์ ปลอมยากดีแท้เลย เป็นร่อง ๆ ต้องปั๊มจากแม่พิมพ์เลย แล้วคนทำจะท้อไปเอง แต่ละเส้นกว่าจะทำได้

ถาม : เหรียญปลอมนี่รุ่นกี่ปีมาแล้ว ?
ตอบ : มีปลอมเก่า ประเภท ๔๐-๕๐ ปีเริ่มมีปลอมเพราะของหายาก มารุ่นหลัง ๆ ก็แขวนเหรียญปลอมเก่า แขวนพระปลอมเก่าด้วยความปลื้มใจ หารู้ไม่ว่าเป็นของเก่าเขาปลอมกันมานาน

หลวงพ่อฤๅษีท่านเคยทำพระสมเด็จวัดระฆังปลอม ศึกษาเนื้อหามวลสารเสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วก็จัดการผสมให้ได้อย่างนั้น แกะพิมพ์แล้วผสมผง ทำออกมา ทำเสร็จตากแห้งแล้วก็เอาไปแช่น้ำชาแก่ ๆ ให้สีได้ พอตากแห้งอีกรอบก็เอาใบตองแห้งขัด เพราะถ้าหากว่าใช้อย่างอื่นขัดจะกินเนื้อ คราวนี้ใบตองไม่มีความสาก ขัดเพื่อให้เนื้อหาสึกแล้วดูเก่า เสร็จแล้วก็เอาไปให้เซียนดู โอ๊ย..รีบตีราคาให้ ท่านบอกว่าโง่ฉิบหายเลย ของน้ำหนักขนาดนี้เห็นเป็นของเก่าได้อย่างไร ของเก่าต้องเบาสิ ท่านบอกว่าแค่ลองทำดูว่าจะเหมือนไหม

เถรี
15-06-2015, 17:24
สมัยนี้บรรดาวัดที่จัดปริวาสเขาจะมีแก๊งปลอมพระเข้าไปอาศัย จัดการทำกันในป่าปริวาสนั่นแหละ ๙ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ผลิตกันครึกครื้น วิธีทำให้เก่าแตกลายงาของเขานี่ใช้วิธีทอดน้ำมันเลย พวกนี้ได้ลงกระทะพิเศษแน่นอน เล่นเอาพระไปทอดน้ำมัน..!

ถาม : เขาทอดทำไมคะ ?
ตอบ : ให้ผิวแตกลายงา แล้วก็ดูฉ่ำเพราะอมน้ำมัน แต่คราวนี้ถ้าคนดูเป็นจะดูออกว่าฉ่ำแบบเกรียม ๆ ถ้าคนดูไม่ออกอย่างพวกรุ่นใหม่ประสบการณ์ยังน้อย ก็อาจจะโดนหลอกได้ ขอให้ตั้งใจไว้ว่าของดีมาไม่ถึงมือเราหรอก ถ้าอย่างนั้นจะปลอดภัย ดูไปเรื่อย อันไหนถูกตาก็เวียนดูสัก ๓ รอบ ๘ รอบ

ถาม : ยกเว้นที่พระอาจารย์ให้บูชาทำบุญสร้างพระทองคำ ?
ตอบ : อันนั้นจะจริงจะปลอมนี่เขาบูชาด้วยศรัทธา ไม่ต้องไปกังวล เขาตั้งใจทำบุญ วัตถุมงคลเป็นเพียงของแถม

เถรี
15-06-2015, 17:32
ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง วิสัยเดิมท่านมาสายพุทธภูมิ เวลาท่านอยากรู้ท่านก็ลงมือทำเลย แล้วก็จะทำได้แบบประสบความสำเร็จด้วย ท่านบอกว่าตอนที่ท่านเป็นเภสัชกรทหารเรือ ท่านผสมยาตัวหนึ่ง ถึงเวลาแล้วฉีดล้างโพรงมดลูกผู้หญิงไม่ให้ตั้งท้องได้ แต่ได้เป็นครั้งนะ ท่านผสมน้ำเกลือกับอะไรก็ไม่รู้ ฉีดล้างทำให้ไม่ท้อง ท่านบอกว่าท่านมีประเภทคู่รักคู่เล่นชั่วคราวเยอะ แต่ไม่เคยท้อง ก็อาศัยวิธีนี้แหละ

ถาม : แบบเดียวกับที่สัตวบาลฉีดคุมกำเนิดสัตว์หรือคะ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกัน ท่านเองท่านเรียนเภสัชกรแผนโบราณ แต่ที่ท่านบอกมานี่เป็นวิธีการของหมอสมัยใหม่เลย เพียงแต่ว่าท่านไปศึกษาเพิ่มเติมตอนไหนไม่รู้ เพราะว่าน้าท่านก็คือคุณหลวงสุวิชานแพทย์เป็นเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ

ท่านบอกว่าท่านไม่อยากรับราชการ เพราะว่าบรรดาญาติ ๆ ไม่เป็นทหารก็เป็นตำรวจ ท่านก็เลยหนีไปเป็นเภสัชกรแผนโบราณ กะว่าจะเป็นหมอแก่ ๆ อยู่ต่างจังหวัด ที่ไหนได้..พอได้รับวุฒิบัตรวันนั้นคุณน้าก็มาถึงเลย มาถึงก็ “ไอ้เล็ก..เก็บผ้า ข้าบรรจุให้เอ็งแล้ว” จบเลย เพราะท่านเป็นเจ้ากรมแพทย์นี่ ท่านมีสิทธิ์บรรจุคนไม่รู้ตั้งเท่าไร เอาชื่อหลานใส่คนเดียวจะยากตรงไหน วิสัยที่เป็นทหารมาทุกชาติ อย่างไรก็ต้องเป็น มีเหตุบังคับให้เป็นจนได้

เถรี
15-06-2015, 17:36
อาตมาเองก็เหมือนกัน ไม่ได้คิดจะเป็นทหาร ถึงเวลาสถานการณ์บังคับ ถ้าอาตมาอยู่คนอื่นจะเดือดร้อน เพราะว่าช่วงนั้นจะเป็นการสืบทอดกิจการ อาตมาไปทีหลัง พระครูแสงเขาไปก่อนตั้ง ๓ ปี เพียงแต่ว่าการคิดงานทำงานของท่านสู้อาตมาไม่ได้ แล้วกลายเป็นว่ากิจการจะมาตกอยู่ในมือของอาตมา ก็มาคิดว่า “เอ..ถ้าเป็นเรามาก่อน ๓ ปี แล้วเขาบอกว่าจะให้เราสืบต่อกิจการ แล้วอยู่ ๆ กลายเป็นคนอื่น ถ้าเป็นเราจะยอมไหม ?” เลยคิดว่าถ้าเป็นเราก็คงไม่ยอมเหมือนกัน ถ้าเราอยู่ไปแล้วกลายเป็นของเรา น้องเขาคงต้องคิดเหมือนกัน

พอดีได้จังหวะเกณฑ์ทหารจึงสมัครไปเลย ไปให้พ้นไปเสีย พอไม่มีอาตมาพี่เขาจะได้ยกให้พระครูแสง แต่ที่ไหนได้..พระครูแสงก็เผ่นตาม เขาไม่ได้สมัครหรอก เขาจับได้ใบแดง

ช่วงก่อนเป็นทหารพระครูแสงเกเรมาก ก็คือเมาหัวราน้ำ เหล้า บุหรี่ กัญชา เอาหมดทุกอย่าง ทางบ้านก็อยากให้โดนดัดสันดานประเภทส่งไปไกล ๆ เลย ปรากฏว่าเจ้าประคุณเอ๋ย พอแยกหน่วยเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาลงข้างบ้านเอง บ้านอยู่ปากทางสนามบินกำแพงแสน แล้วเขาไปลงสนามบินกำแพงแสน คนอื่นนี่กว่าจะตะเกียกตะกายถึงบ้าน บางคนอยู่ตาพระยา บางคนอยู่สุราษฎร์ธานี เขาเองบอกว่ามีสตางค์ ๒ บาทก็กลับบ้านได้ แต่คนอื่นเขาเดินทาง ๒ วัน ลา ๑๐ วันเหลือ ๖ วัน เขาเองเสาร์อาทิตย์กลับบ้านได้ มีสตางค์ ๒ บาทก็ถึงบ้านแล้ว

เถรี
16-06-2015, 17:15
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนบอกว่า “เล็ก...ถ้าแกลาพุทธภูมิกำลังจะตกนะ” อาตมาก็พิจารณาตัวเอง สมาธิก็เท่าเดิม ความคล่องตัวทุกอย่างก็มีอยู่ กำลังใจก็บ้าเหมือนเดิม ตกตรงไหนหว่า ? พอผ่านไประยะหนึ่งถึง อ๋อ..ใช่..ตกจริง ๆ ก่อนหน้านี้เห็นคนอื่นเดือดร้อนไม่ได้ ต้องวิ่งเข้าไปช่วยเขา แต่ตอนนี้ถ้าไม่ได้มาล้มทับตีนจนเดินไม่ได้ จ้างก็ไม่ช่วยหรอก..!

แต่พระครูแสงนี่เห็นชัดเลยว่ากำลังตก ท่านออกปากเลยว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คำว่ายากกูไม่ทำ” ก่อนนั้นยากแค่ไหนก็สู้ พอลาพุทธภูมินี่คำว่ายากกูไม่ทำ กูเหนื่อยมาเยอะแล้ว จะเอาสบายบ้าง

เถรี
16-06-2015, 17:21
ถาม : ตอนที่แบกถังน้ำมัน ๔๐ ลิตร ๒ ถังเดินเข้าป่านั้นลาพุทธภูมิแล้วยังครับ ?
ตอบ : ลาตั้งชาติแล้ว

ถาม : ลาแล้วยังช่วยเขาขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : อาศัยรถเขา ถึงเวลาเขาลำบากแล้วเราจะไม่ช่วยเขาได้อย่างไรเล่า ? กตัญญู (รู้คุณ) แล้วต้องมีกตเวที (ตอบแทน) ด้วย

ถาม : ช่วยเยอะไปไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าเยอะก็เยอะในความรู้สึกของคนอื่น ในความรู้สึกของอาตมานั้นไม่ใช่ แค่แบกน้ำมัน ๔๐ ลิตรเดินผ่านทุ่งใหญ่ ๙๐ กว่ากิโลเมตร มากตรงไหน ?

ตอนนั้นโยมเขาไม่รู้ เขาสอบติดมหาวิทยาลัยก็ไปฉลองกัน เอารถโฟร์วีลจากบ้านได้ก็วิ่งไป ปรากฏว่าไม่รู้จักทุ่งใหญ่ พวกบอก “เฮ้ย..รถเราโฟร์วีล..เข้าทุ่งใหญ่ได้” เขาก็ไปเลย เขาไม่รู้ว่าทุ่งใหญ่มีบ้านเฉพาะหัวกับท้าย แล้วรถตัวเองก็ดันเป็นเครื่องเบนซิน ในป่าเขาใช้ดีเซลกันทั้งนั้น พอน้ำมันหมดก็เดี้ยงนะสิ อาตมาซวยเองแหละที่เขาให้อาศัยรถแล้วก็ดันไปกับเขา พอรถพังก็เลยต้องช่วยกันเข็น เข็นจนไม่มีแรงจะเข็นแล้ว ท้ายสุดเจอรถคนอื่นก็อาศัยออกมาซื้อน้ำมันกลับเข้าไปให้เขา

เป็นการทดสอบกำลังใจว่า ลำบากแค่นี้สู้ไหม ถ้าไม่สู้ก็เสียทีเคยเป็นพุทธภูมิ เข็นรถแค่ ๖๐-๗๐ กิโลเมตร เข็นไม่ได้หรืออย่างไรวะ ? เวลาเข็นขึ้นเนินนี่รสชาติของชีวิตเลย ช่วยกันยัน ช่วยกันดันขึ้นไปทีละนิ้ว เอาไม้รองไล่ไป

ถาม : ยังดีที่ไม่ไหลกลับนะคะ ?
ตอบ : ไหลคืนนะสิ อาตมาโดนทับมือแบนแต๋เลย พอชักมือออกมา มือดิ้นเองเลย เจ็บจนดิ้นเอง

ถาม : แล้วเขาไม่มีโทษใช้พระหรือครับ ?
ตอบ : เขาไม่ได้ใช้ อาตมาไปช่วยเขาเอง เขาไม่ได้คิดว่าพระจะช่วยหรอก เพราะปกติถ้าเป็นพระอื่นก็ยืนดู ยังคบหากันมาจนทุกวันนี้ ว่างเขาก็แวะไปหา เมื่อปีก่อนคิดถึงทนไม่ไหวก็โผล่ไปที ปีก่อนมาก็ถาม “หลวงพี่..มียาจินดามณีหลวงปู่บุญ..เอาไหม ?” อาตมาว่า “เฮ้ย ยังมีหรือ?” “มีครับ..บ้านผมเก็บไว้เยอะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งมา” เขาก็แบ่งมาให้ ๒ เม็ด กลายเป็นสีขาวมอ ๆ หมดแล้ว ไม่มีความดำเหลือแล้ว กลิ่นก็ไม่มีแล้ว เขาเอาใส่กรอบแขวนคออยู่ เลยแบ่งมาให้ ๒ เม็ด กะว่าถ้ามีโอกาสทำพระผงจะผสมให้หมด

ตอนนี้มีลูกอมผงหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ลูกอมหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก มีเยอะเลยเก็บไว้ แต่เมื่อวานให้เขาเอาชานหมากหลวงปู่ทิมไปลงเว็บหมดแล้วนี่หว่า !?

เถรี
16-06-2015, 17:28
อะไรที่เก็บ ๆ ไว้อาตมาก็เก็บไปอย่างนั้นเอง ถึงเวลาก็ให้คนอื่นหมด จนบางคนเขาเห็นอาตมาให้อะไรคนอื่นไป เขาถามว่าตัดใจได้อย่างไร ? อาตมาบอกว่า “นี่ไม่ได้ตัดเลยนะ เพราะไม่ได้อยู่ในใจแต่แรกแล้ว”

มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นอยู่ที่วัดทองผาภูมิ พวกบรรดาชาวบ้านเขามาประท้วง เพราะเจ้าอาวาสเก่ากลัวว่าอาตมาจะไปเบียดตำแหน่งเขา เห็นทำนั่นทำนี่ใหญ่โตแล้วชาวบ้านเขาศรัทธา กลัวว่าอาตมาจะไปเบียดตำแหน่ง ก็เลยพาพรรคพวกเขามาประท้วง มาแค่ ๗-๘ คนเท่านั้นแหละ เสร็จแล้วทางคณะสงฆ์ก็บ้าจี้ เพราะว่าช่วงนั้นหลวงพ่อวัดท่ามะขามท่านจะตั้งให้อาตมาเป็นรักษาการเจ้าคณะอำเภอ พวกที่อยากได้ก็เลยร่วมหัวกัน ประเภทกล่าวหาว่าอาตมาไปทำลายของสงฆ์ คือของที่หมดสภาพอาตมาก็รื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ จึงมีการสอบสวนกัน

อาตมาก็ถือไมค์ให้พูดทีละคนไปเลย พอสอบเสร็จสรรพเรียบร้อย ไม่มีปัญหาคาใจอะไรอาตมา ก็กลับมานอนที่วัดท่าขนุน พอนอนไปประมาณ ๒ ทุ่มกว่า อ้าว..ลืมย่าม ลืมย่ามทิ้งไว้ที่วัดทองผาภูมิ ในย่ามก็มีมีดหมอชาตรี ใบมีด ๗ นิ้วของหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่เล่มหนึ่ง ลุกขึ้นหัวพ้นหมอนมาได้สักคืบหนึ่ง ก็ทิ้งตัวนอนลงไปใหม่ คิดว่า “ถ้าของแค่นี้ตัดไม่ได้ มึงจะไปตัดอะไรได้วะ” แล้วก็หลับต่อ

ปัญญามาเร็วมาก ๆ เลย ประเภทหัวพ้นหมอนไปไม่ถึงคืบความรู้สึกวูบขึ้นมาเลย “ถ้าแค่นี้มึงตัดไม่ได้ แล้วจะไปตัดอะไรได้” เลยทิ้งตัวลงนอนต่อเลย รุ่งเช้าค่อยไปดู ยังอยู่..ไม่มีใครกล้าหยิบ

เขาเองคงประเภทกำลังใจตัวเองคิดอย่างไร ก็คิดว่าคนอื่นคิดอย่างนั้น อาจจะคิดว่าอาตมาขุดบ่อล่อปลาทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวจะไปแจ้งความว่าขโมยของ บังเอิญเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้อาตมาเลิกทำมานานแล้ว ทุกวันนี้พวกชาวบ้านเขาบ่นว่า “ดูสิ..วัดท่าขนุนเจริญเอา ๆ พวกตัวถ่วงโลก หนักแผ่นดิน ไม่อยากได้พระอาจารย์เล็ก วัดวาอารามดูไม่ได้เลย” แล้วจะบ่นไปทำไม ?

เถรี
16-06-2015, 17:38
ถาม : ภาษาบาลีเขาให้อ่านเสียง ห เป็น ฮ ?
ตอบ : ไม่ใช่...เราดัดจริตกันเอง ความจริงต้องเสียงตรง คือภาษาไทยมีตัว ห มีตัว ฮ ถ้าเขาจะใช้เสียง ฮ ก็ต้องเขียนตัว ฮ แต่แรก บาลีเป็นเสียง ห ชัด ๆ เลย "หีนา ธัมมา" หรือ "ปหีนา เต จะ อาพาธา" อาตมาไม่เคยหลบเสียงเลย ใส่ไปเต็ม ๆ ทุกครั้ง ไอ้พวกฟุ้งซ่านคิดมากก็เรื่องของเขา อาตมารู้ว่าอ่านอย่างไรก็ใส่ไปตามปกติ

วันก่อนตอนรับปริญญาเอกก็เหมือนกัน มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยู่ ๓ ท่าน จบ ดร.พร้อมกันเลย แล้วก็เป็นอดีตมหาเปรียญทั้งนั้น เขาคุยกันเรื่องนี้ อาตมาก็เลยหันไปคุยด้วย พอคุยด้วยเขาก็ยกบาลีคำโน้นคำนี้ขึ้นมา อาตมาตอบได้หมด จนกระทั่งเขาคิดว่าอาตมาคงจบประโยค ๙ ไม่ใช่หรอก ที่คุณถามมาบังเอิญอาตมารู้ เขาก็ถามอันนี้ด้วยว่าอ่านว่าอะไรกันแน่ ก็เลยบอกว่าในเมื่อของเรามีทั้งอักษร ห และ ฮ ถ้าหากว่าเสียง ฮ ก็ต้องใช้ ฮ สิ แล้วทำไมถึงต้องไปใช้ ห ด้วย ?

คราวนี้อาตมาเป็นพระจบ ดร. เขาก็เลยไม่ถามว่าประโยคไหน เขาเห็นว่าตอบได้หมด เขาก็เลยเหมาเลยว่าจบประโยคสูงแน่นอน หารู้ไม่ว่าอาตมาไม่มีสักประโยค

เถรี
16-06-2015, 17:42
ถาม : คำว่าจิตมีสภาพจำ ความจำของจิตเป็นคนละระดับกับสัญญา ?
ตอบ : คำว่าจำเป็นการจำข้ามชาติข้ามภพ เป็นการบันทึกสิ่งที่เรากระทำ เกิดมามีความจำเรียกว่า สหชาติกปัญญา เป็นปัญญาทางโลก

ถาม : แต่ความจำของจิตก็ยังไม่ใช่สัญญา เพราะสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ?
ตอบ : สัญญาก็เป็นความจำอย่างหนึ่ง แต่ที่สภาพจิตจำนี่จำทั้งดีทั้งชั่ว สัญญาบางทีเรายังเลือกจำเฉพาะสิ่งที่ดี ๆ เราทำแล้วมีความสุข ส่วนที่ไม่ดีเราก็ไม่จำ

เถรี
16-06-2015, 18:34
ถาม : คุณพ่อเสียชีวิต ไม่ทราบว่าท่านไปดีหรือไม่คะ ?
ตอบ : อย่าไปถามที่ไหนเป็นอันขาด ถ้าหากว่าถามไปเจอท่านที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมเข้า เดี๋ยวจะต้องเสียสตางค์ทำบุญให้พ่ออีกเป็นหมื่นเป็นแสน เรื่องอย่างนี้อยากรู้ให้ทำเอง ไปถามคนอื่นไม่จบหรอก พยายามฝึกทิพจักขุญาณให้ได้แล้วก็ดูเอาเอง ไม่อย่างนั้นก็ให้เรามั่นใจว่าถ้าทำดีต้องได้ผลดี ถ้าทำชั่วต้องได้ผลชั่ว ก่อนตายถ้าใจท่านเกาะความดีได้ ท่านต้องไปดีแน่นอน เราทำบุญให้ไปเท่าไรท่านก็ได้รับ

คราวนี้ถ้าเราไปถามที่อื่นจะเสียสตางค์ฟรี เขาหลอกต้มกันมาทุกยุคทุกสมัยแล้ว บอกว่าเห็นพ่อเรากำลังทุกข์ยากลำบากอยู่ ต้องทำบุญเท่านั้นเท่านี้ ด้วยความรักพ่อเราก็ทำใหญ่เลย ทำเท่าไรคนที่สบายก็คือคนบอก

ถาม : แล้วท่านจะให้คำแนะนำว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : พอเถอะ..ให้คำแนะนำว่าอย่าไปถามที่อื่น ไปถามที่อื่นเดี๋ยวเราเดือดร้อน ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมเป็นคนดีเกินไป เมื่อเป็นคนดีเกินไป ไปเจอคนโกงเข้าก็ลำบาก ไปถามเขาซื่อ ๆ เขาบอกมาก็เชื่อ คนโกงถึงหากินได้ทุกยุคทุกสมัย

เถรี
17-06-2015, 09:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมได้ทราบอีกครั้งว่า วันที่ ๒๐ มิถุนายนนี้ มีแต่บวงสรวงไหว้ครูและพุทธาภิเษกเท่านั้น ไม่มีการเป่ายันต์เกราะเพชรใด ๆ ทั้งสิ้น หลายท่านมักจะถาม อาตมาก็ยืนยันไปทุกครั้งว่า ถ้ามีการเป่ายันต์ก็จะประกาศออกเว็บวัดท่าขนุนให้ แต่ก็ถามได้ถามดีทุกครั้งเหมือนกัน

ความจริงไม่มีการเป่ายันต์ฯ ก็เป็นการดี เพราะแสดงว่าสถานการณ์ประเทศชาติไม่หนักนัก อาตมาเองก็สงสัยว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะหนัก แล้วทำไมท่านไม่สั่งให้เป่ายันต์ ? ปรากฏว่าถัดจากนั้นไม่นาน หลวงพ่อคูณก็มรณภาพ ถือว่าเป็นการเอาพระโพธิสัตว์ใหญ่ไป ๑ รูป ตัดเคราะห์ตัดกรรมให้ประเทศชาติไปได้มหาศาล

ส่วนระยะนี้ที่จำเป็นต้องระมัดระวัง ก็คือ องค์ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อยู่ ๆ ก็เข้าโรงพยาบาล ทางด้านสำนักพระราชวังแถลงข่าวว่าตรวจร่างกายแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ อาตมาขอยืนยันว่าโกหก..! ไม่ผิดปกติแล้วจะเข้าโรงพยาบาลทำไม ? เพียงแต่ว่าเป็นอาการที่ยังไม่อยากจะบอก เพื่อไม่ให้ชาวบ้านตื่นตกใจกัน ไม่ให้ชาวบ้านเสียกำลังใจ ดังนั้น..ใครทำความดีอะไร ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา อุทิศให้กับเทพยดาทั้งหลายที่รักษาองค์ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย อย่างไรก็ขอให้ช่วยประคับประคองธาตุขันธ์ของทั้ง ๒ พระองค์ ให้มีพระพลานามัยแข็งแรง อยู่เป็นมิ่งขวัญของพวกเราไปนาน ๆ

ถ้าคนไม่เป็นอะไรอยู่ ๆ จะรีบเข้าโรงพยาบาลทำไม ? อาตมาไม่ต้องใช้หัวแม่เท้าตรองยังเข้าใจเลย ปกตินี่จะใช้หัวแม่เท้าคิดก่อน จะทำอะไรอย่าคิดว่าคนไทยกินแกลบกินรำหรือกินหญ้าสิ เขารู้ทันกันหมดแล้ว"

เถรี
17-06-2015, 12:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณเหมาผ้าไตร ๖๐ ไตร สีพระราชนิยม ๓๐ ไตร สีเหลือง ๓๐ ไตร ไตรละ ๑,๐๕๐ บาท นึกเอาก็แล้วกันว่าหมดไปเท่าไร ขอเป็นเจ้าภาพเพื่อเป็นไทยธรรมถวายพระ ในงานวันที่ ๒๑ มิถุนายนนี้ เพราะท่านมีแนวคิดว่า ถ้าจะต้องก้าวไปสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายภาคหน้า ฐานบุญต้องแข็งแรง ถ้าฐานบุญไม่แข็งแรงเดี๋ยวจะไปไม่รอด ท่านก็เลยเหมาเป็นเจ้าภาพไปเลย

ดังนั้น ถ้าท่านใดที่คั่วตำแหน่งมาหลายรอบแล้วยังไม่ขยับสักที ให้ลองหาทางสร้างบุญใหญ่ดู ไม่ต้องถึงขนาดสร้างโบสถ์ทั้งหลังหรอกนะ"

เถรี
17-06-2015, 12:05
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/pa4p81440340423.jpg

พระอาจารย์กล่าวว่า "การตามประทีปที่วัดท่าขนุน เนื่องจากว่าปีนี้ท่านปัญญามาเรียนบาลีอยู่ที่สหบาลีศึกษา วัดพระปฐมเจดีย์ ไม่มีคนเขียนร่างแบบให้วางผางประทีป พระท่านก็เลยช่วยกันคนละไม้คนละมือ ซึ่งอาตมาเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เนื่องจากว่า สถาบันใดก็ตาม ถ้าขึ้นอยู่กับบุคคลเพียงคนเดียว ขาดไปแล้วทำอย่างอื่นไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็น สถาบันนั้นจะล่มสลายไปในไม่ช้า

ในเมื่อของเราตัวหลักไม่อยู่ ที่เหลือก็แบ่งกันรับผิดชอบ ตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย ช่วยกันติ ช่วยกันต่อ ช่วยกันเติม จนกระทั่งสำเร็จออกมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดูได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ว่าสิ่งที่ต้องการก็คือความรักใคร่สามัคคี และร่วมกันรับผิดชอบในหน้าที่การงาน ตรงนี้อาตมาถือว่าประสบความสำเร็จมาก

ผางประทีปอาจจะไม่ออกมางามหยดย้อยเหมือนกับที่ต้องการ แต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ ปีนี้ทางด้าน ททท. ส่งบุคลากรไป ๑ คันรถเพื่อถ่ายรูปงานผางประทีปวัดท่าขนุนโดยเฉพาะ ไปลง Unseen Thailand ทางวัดเป็นคนเริ่มทำ ททท. เป็นคนสานต่อ แต่ต้นไม้ในลานธรรมของเราใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปวางผางประทีปไม่รู้ว่าจะดูจากมุมไหน อาจจะต้องสร้างหอสูงแล้วเก็บสตางค์ให้คนขึ้นไปดู"

เถรี
17-06-2015, 12:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนเห็นพระเครื่องดี ๆ ไปลงให้บูชาในเว็บราคาร้อยเดียวก็ตกใจ บอกว่าเอาไปลงอย่างนั้นได้อย่างไร เสียราคาหมด ทำไมล่ะ ? อาตมาได้ฟรี โยมถวายมา อาตมาได้องค์ละตั้งร้อย ต้องบอกว่าสมประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย โยมที่เสียสละมาก็ได้บุญ วัดก็ได้เงิน โยมที่ต้องการวัตถุมงคลก็ได้ของดีราคาถูกไป ก็น่าจะดีด้วยกันทั้งหมด แล้วมาโวยทำไม ?

จำไม่ได้ว่าใครเขาเก็บพระใหม่ แล้วเก็บเยอะ รุ่นหนึ่ง ๓๐๐-๕๐๐ องค์ ลูกหลานก็ถามว่าเก็บไปทำไมพระใหม่ ๆ ไม่เก็บของเก่า ท่านบอกว่า “ของใหม่เก็บนานไปก็เก่า” แล้วถามว่าเก็บไว้ทำไมเยอะแยะ ท่านบอกว่า “เผื่อพวกแกไว้แจกในงานศพข้า” ปรากฏว่าพอถึงเวลาลูกหลานไม่กล้าแจก จะไปแจกท่าไหน อย่างเหรียญหลวงปู่ทิม สมัยก่อนองค์ละไม่กี่บาท ตอนนี้เป็นแสน ไปแจกในงานศพก็เป็นลมตายกันพอดี

อย่างหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว อาตมาจำได้ว่าตอนที่เรียนชั้นมัธยมอยู่ เขามีใบบอกไปทางโรงเรียนให้บูชา องค์ละตั้ง ๒๐ บาท แพงจริง ๆ เดี๋ยวนี้หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้วหรือ ? ไม่มีเงินแสนคุณไม่ได้ครอบครองหรอก

แต่ไม่เป็นไร โปรดติดตามกระทู้ของตัวเล็กไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวจะมีของแพงมาปล่อยถูก ๆ อีก แต่อาจจะถูกแบบหลายหมื่น เสร็จแล้วมีโอกาสเราก็ไปหาเงินแสนต่อ แบบเดียวกับเมื่อวานมีโยมเอาขุนแผนพลายกุมารของหลวงปู่ทิมมา ๒ องค์ พิมพ์ใหญ่ด้วยนะ บอกให้เอาไปประมูลในเว็บ แต่พวกเราไม่รู้จักของ ประมูลไปก็คงได้ไม่กี่สตางค์"

เถรี
17-06-2015, 12:11
พระอาจารย์สั่งงานคุณก้านบัวว่า "ลองดูบาตรน้ำมนต์สวย ๆ ขนาดเท่าบาตรจริงให้หน่อย วัสดุน่าจะเป็นนวโลหะ จะทำสัก ๖๐ ใบเท่าอายุ"

ถาม : เอาเนื้อบรอนซ์นอกดีไหมคะ ?
ตอบ : บรอนซ์นอกก็ได้ แต่ว่าเรื่องวัสดุช่างหัวมัน หาแบบให้ได้ก่อน เพราะว่าต้องการเท่าบาตรจริง ที่เขาทำส่วนใหญ่เป็นหม้อน้ำมนต์ใบเล็กนิดเดียว ไม่ทันจะพรมก็หมดแล้ว แต่อย่าถึงขนาดเป็นโอ่งแล้วกัน เอาประมาณสัก ๘ นิ้ว

ถาม : เคยเห็นแบบเป็นแก้วครับ ?
ตอบ : จะเอาแก้วไปทำอะไร เราต้องการโลหะเพื่อใช้พลังงานของโลหะด้วย

เถรี
17-06-2015, 12:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "เทคโนโลยีรุ่นใหม่ ๆ ทำให้คนเราหยาบขึ้นเยอะ อย่างเมื่อครู่นี้ที่โยมช่วยยกของสังฆทาน บรรดาขวดต่าง ๆ ก็เป็นพลาสติกไปเยอะ ตอนแรก ๆ อาตมาก็งง ๆ ได้ยินเขาเรียกว่าขวดเพ็ต อ๋อ..ย่อมาจากโพลีเอ็ตทีลีน ก็คือขวดที่เรารู้กันว่าเป็นขวดพลาสติก ในเมื่อรู้ว่าไม่แตก พวกเราก็ขาดความระมัดระวัง

สภาพจิตหยาบขึ้น สติน้อยลง แบบเดียวกับกล้องถ่ายรูปดิจิตอล สมัยก่อนใช้ฟิล์ม จะถ่ายแต่ละรูปนี่เล็งแล้วเล็งอีก จะออกมาสวยไหม สมัยนี้ถ่ายทิ้งถ่ายขว้างอย่างไรก็ได้ แล้วมาเลือกดู รูปไหนสวยก็เก็บไว้ รูปไหนไม่สวยก็กดทิ้งไป

ฉะนั้น..เทคโนโลยีเจริญขึ้นก็จริง แต่ทำให้สภาพจิตของคนหยาบลง แล้วก็สติน้อยลง ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมยิ่งความเจริญมามาก สภาพจิตของคนถึงได้เสื่อมทรามลงไปทุกวัน ต้องบอกว่าเทคโนโลยีเอื้อให้เป็นอย่างนั้น"

เถรี
17-06-2015, 12:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ต้องบอกว่าเห็นใจรัฐบาลมาก เพราะว่าความชำนาญของทหารไม่ได้อยู่ที่การปกครองบ้านเมือง ไม่ได้อยู่ที่การบริหารบ้านเมือง แต่อยู่ที่การปกป้องประเทศชาติ รัฐบาลทหารที่เข้ามา อันดับแรกเลย ก็คือ ยุติความขัดแย้งที่ตั้งใจให้เกิดขึ้น ฟังให้ดี ๆ นะ เขาตั้งใจให้เกิดขึ้น ให้รัฐบาลทหารออกมา ต้องบอกว่าอยู่ในลักษณะของการสมรู้ร่วมคิดกัน แต่พอทำแล้วไม่สามารถที่จะบริหารประเทศชาติให้ดีได้ เนื่องจากว่าทหารไม่ได้เรียนมาในลักษณะของการบริหารประเทศ แต่เรียนมาเพื่อป้องกันประเทศ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "เรือติดหล่ม" อย่างในปัจจุบันนี้

บอกว่ามาเพื่อสร้างความปรองดอง สร้างความสามัคคี ซึ่งความจริงการสร้างความปรองดอง สร้างความสามัคคี จะต้องใจกว้างพอ โดยเฉพาะต้องรู้จักให้อภัย ต้องรับฟังความเห็นต่างได้ แบบเดียวกับที่นักการเมืองมืออาชีพบอกว่า “เสียงข้างน้อยแม้แต่เสียงเดียว ก็มีคุณค่าควรแก่การรับฟัง” บอกว่าเข้ามาเพื่อกำจัดคอรัปชั่น เรื่องของการกำจัดคอรัปชั่นต้องบอกว่าเป็นเรื่องในฝัน การกำจัดคอรัปชั่นต้องวางพื้นฐานตั้งแต่เด็กทารกมาเลย ถ้าเราไม่สร้างจิตสำนึกให้แก่เด็กตั้งแต่อยู่ในบ้าน พูดง่าย ๆ คือตั้งแต่เกิดมา ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นได้

ญี่ปุ่นเขามีการสร้างจิตสำนึกให้แก่เด็กตั้งแต่เล็ก ๆ เลย เมื่อไม่นานนี้มีการเผยแผ่คลิปวีดีโอการทดสอบเด็ก ผู้ใหญ่ทำเป็นกระเป๋าสตางค์หล่น ปรากฏว่าเด็กทุกคนทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่เห็น ถ้าไม่เก็บคืนก็ดึงแขนผู้ใหญ่ให้รู้ว่ากระเป๋าตก บ้านเราถ้าไม่ทำอย่างนี้แก้ปัญหาคอรัปชั่นไม่ได้ เพราะว่าคนเราพอขึ้นไปสู่ระดับสูงแล้ว ถึงไม่คอรัปชั่นเขาก็เต็มอกเต็มใจเอาไปให้ เพื่อขอความสะดวกในการทำงานแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งลักษณะนี้มีมาแต่โบร่ำโบราณแล้ว มาจากบรรดาคนจีน อารยธรรมจีนเจริญรุ่งเรืองมาเป็นพัน ๆ ปี อยู่คู่กับการติดสินบน ที่ต้องบอกว่าเป็นการหยอดน้ำมันเพื่อให้ระบบงานลื่นไหล

ดังนั้น..ต่อให้ท่านมาแบบบริสุทธิ์สะอาดขนาดไหนก็ตาม ท้ายที่สุดก็จะเสียผู้เสียคนไปเอง นักการเมืองที่อาตมาเห็นว่ามือสะอาดจริง ๆ ก็คือ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ท่านเจ้าคุณพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าจำไม่ผิด ๕ สมัยด้วยกัน ปรากฏว่าตายแล้วทางบ้านไม่มีเงินแม้แต่จะจัดงานศพให้สมเกียรติยศ จนกระทั่งรัฐบาลต้องออกเงินจัดงานให้ เป็นไปได้ไหม ? คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีมา ๕ สมัยไม่มีเงินจะจัดงานศพตัวเอง เพราะคนสมัยนั้นที่รับราชการ ซื่อตรงต่อแผ่นดินก็คือซื่อตรงจริง ๆ มีการถือน้ำพิพัฒน์สัตยา รู้จักละอายชั่วกลัวบาป เมื่อถึงเวลาเอ่ยคำสาบานไปแล้ว โดยเฉพาะต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ยึดถือจนวันตาย

สมัยนี้อาตมาเห็นข้าราชการ โดยเฉพาะรัฐบาลต่าง ๆ ถึงเวลาก็ปฏิญาณตนต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนปฏิญาณก็ทำอย่างหนึ่ง พอถึงเวลาก็กลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง"

เถรี
17-06-2015, 13:00
"เราลองมานึกถึงนายตำรวจใหญ่ที่ไม่นานนี้โดนจับข้อหาคอรัปชั่น ทั้งข้าวของเงินทองมากมายมหาศาล ต้องบอกว่านั่นเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำเท่านั้น เคยมีนักการเมืองท่านหนึ่ง เปิดห้องให้คนดู ห้องใหญ่โตมโหฬาร มีธนบัตรใบละพันอัดแน่นเกือบเต็มห้อง ถามว่าทำไมไม่เอาฝากธนาคาร เขาบอกว่าฝากคนก็รู้กันหมด ก็ในเมื่อคนจะให้สินบนก็ให้ไป เขาก็ยินดีรับ แต่รับแล้วเก็บไว้ในบ้าน ถ้าน้ำไม่ท่วม ไฟไม่ไหม้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ ใช้ไปเรื่อย ๆ เพียงแต่คนเขาอาจจะสงสัยว่า ใช้เงินทั้งปีทั้งชาติทำไมเงินในธนาคารไม่พร่องสักที

แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็เข้าบ่อนเป็นปกติ เพื่อฟอกเงิน บางทีก็ซื้อของแพง ๆ อย่างพระเครื่อง สมมติว่าสมเด็จวัดระฆัง ราคาท้องตลาด ๒๐ ล้านบาท ก็ปล่อยข่าวว่าตนเองซื้อ ๕๐ ล้านบาท ถึงเวลาก็มีการขายต่อกันเป็นทอด ๆ พอไปถึงมือของบรรดานักการเมืองต่าง ๆ ปล่อยออกไป ได้เงินมากลายเป็นเงินที่ถูกต้อง เพราะว่าปล่อยพระให้เขาบูชา ไม่ได้คอรัปชั่นมา แต่ความจริงพระที่ปล่อยไปไม่กี่บาท ออกข่าวให้แพงไว้ก่อน แล้วเราจะไปหานักการเมืองแบบเจ้าคุณพหลฯ ได้ที่ไหน ? คงต้องจุดเทียนส่องหากัน

บ้านเราก็มัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยลืมรากฐานสำคัญของบ้านเมืองก็คือเด็ก ไม่มีการวางรากฐานตั้งแต่เล็ก วิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมหายไปไหนก็ไม่ทราบ ไม่มีการปลูกฝังจิตสำนึก โดยเฉพาะกลายเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่ขึ้นมา ในเมื่อรุ่นพ่อรุ่นแม่ไม่มีจิตสำนึกแล้วจะไปอบรมลูกได้อย่างไร หลายต่อหลายท่านก็โยนให้เป็นภาระของพระ ซึ่งอาตมายืนยันว่าช้าเกินไป เพราะจากมือพ่อแม่กว่าจะถึงครู ปัจจุบันนี้ต่ำสุดก็ ๓ ขวบ ก็แปลว่าเขารับเอาสิ่งที่ดีหรือไม่ดีเข้าไปอย่างน้อย ๓ ปีเต็ม ๆ แล้ว พอไปถึงมือคุณครู กว่าจะปลุกกว่าจะปั้นออกมาเพื่อให้เป็นผู้เป็นคน ครูก็ไม่ค่อยมีเวลา ต้องขายแอมเวย์บ้าง ต้องขายประกันบ้าง ต้องทำเอกสารเพื่อขอเลื่อนขั้นบ้าง ต้องเตรียมการสอน สารพัดเอกสารที่ต้องการ เพราะสมัยนี้เขาเชื่อรายงาน คุณปั่นรายงานออกมาได้สวยเท่าไร เขาก็ถือว่าผลงานดีเท่านั้น

ถึงเวลาคุณครูจึงไม่มีเวลาอบรมเด็กอย่างเต็มที่ เด็กก็ซึมซับรับเอาสิ่งที่ไม่ดีไม่งามในสังคมเข้าไปมาก พื้นฐานก็ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว แล้วกว่าจะถึงวัดก็อายุราว ๒๐ ปีไปแล้ว บางที ๓๐-๔๐ ปียังไปไม่ถึงวัดเลย พอไปถึงก็ “ท่านเจ้าคะ..ท่านเจ้าขา..หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยอบรมลูกอิฉันให้เป็นคนดีทีเถอะเจ้าค่ะ” ถามว่า ลูกโยมบวชนานเท่าไร ? “๗ วันเจ้าค่ะ” พ่อแม่ดูแลมา ๒๐ กว่าปี ใช้พระให้เวลา ๗ วันอบรมลูกให้ดี คงจะได้หรอกนะ..! อาตมาก็ได้แต่ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หวังอะไรมากมายหรอก ถึงไม่งอก เอาแค่เปียก ๆ ก็ยังดี"

เถรี
17-06-2015, 14:13
ถาม : ผมไปเปิดเพจพระเครื่องของสายวัดท่าขนุน เดือนที่แล้วมีประกาศของหลวงพ่อ เลยไม่สบายใจ ผมเลยมาขอความเห็นครับ
ตอบ : เห็นว่าอย่างไร ไม่มีความเห็น ที่ประกาศไปเพราะอ้างว่าอาตมาอนุญาตให้ทำ คุณจะทำก็ทำไป อย่าเสือกทะลึ่งมายุ่งกับอาตมาก็พอ จะขายหน้าขายตัวอะไรก็เรื่องของคุณ แต่อย่าอ้างว่าได้รับอนุญาตจากอาตมา หรือไปบอกว่าอาตมาเห็นด้วย

ไม่เคยขัดอยู่แล้ว ใครจะทำมาหากินอย่างไรก็เชิญ หรือไม่ถ้าจะเอาให้ชัดเจนก็พาดหัวไปชัด ๆ เลย ว่าเป็นการกระทำส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทางวัด แล้วถ้าวัตถุมงคลหมดสามารถมาขอบูชาจากวัดไปเพิ่มได้ ...(หัวเราะ)...

เถรี
18-06-2015, 13:44
พระอาจารย์เล่าว่า "การประหารเจ็ดชั่วโคตร เก้าชั่วโคตรนั้น ไม่ใช่ว่าให้ลูกหลานดูเป็นเยี่ยงอย่าง แต่มาจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ สมัยโน้นเขาเชื่อว่าความดีความชั่วสืบกันทางสายเลือดได้ เหลือสายเลือดชั่ว ๆ ไว้ก็เท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ต้องกวาดให้หมด ประการที่สองก็คือ จะได้ไม่ต้องเหลือใครมาล้างแค้นให้เสียเวลา

เพราะแนวความคิดตรงจุดนี้ ถึงเวลาเปลี่ยนแผ่นดิน ก็มักจะฆ่าข้าราชการเก่า ๆ ทิ้งหมด เพราะเกรงว่าจะจงรักภักดีต่อนายเก่า ก็เลยทำให้คนดีมีความสามารถหมดไป อยุธยาของเราช่วงหลัง ๆ จึงตกต่ำมาเรื่อย เพราะว่าสมัยอยุธยา ๔๑๗ ปี มีการเปลี่ยนราชวงศ์ใหญ่ ๆ หลายครั้ง สมัยพระเจ้าปราสาททอง สมัยพระเจ้าเสือ สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ถึงเวลาก็ฆ่าทิ้งกันแหลกลาญ ยิ่งถ้ามีการชิงราชสมบัติกันด้วย ก็ต้องฆ่าคนของอีกฝ่ายให้หมด จะได้ไม่เหลือไว้เป็นเสี้ยนหนามของแผ่นดิน ปรากฏว่าคนดีก็ไม่เหลือไว้ช่วยงานแผ่นดินด้วย"

เถรี
18-06-2015, 13:46
พระอาจารย์กล่าวถึงโยมคนรู้จักที่อยู่เนปาลตอนนี้ว่า "หลวงวิจิตวาทการท่านบอกว่า เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์ คนจะยิ้ม ต้องดีใจ มีความสุข แบบนั้นใคร ๆ ก็ยิ้มได้ แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา ฉะนั้น..บ้านแตกสาแหรกขาด โดนแผ่นดินไหวถล่มเสีย ๒ รอบ ถ้ายังยิ้มได้ก็ต้องยอมเขาละ"

เถรี
18-06-2015, 13:55
ถาม : เรื่องพระบรมสารีริกธาตุทองคำมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าว่าตำราโบราณท่านใช้คำว่าสีทองอุไร ไม่ใช่ทองคำ ต้องบอกว่าสีเหมือนทอง คือที่จริง ๆ แล้วจะมีหรือไม่มี สำคัญที่ว่าเรานึกถึงพระได้หรือเปล่า ? ถ้าเรานึกถึงพระได้ ต่อให้ไม่ใช่ก็เท่ากับของจริง เพราะเราได้อนุสติ แต่ถ้าเราไม่นึกถึงเลย ต่อให้ของจริงก็เท่ากับของปลอม ฉะนั้น..เรื่องของพระบรมสารีริกธาตุนี่อย่าไปเอาเป็นเอาตายว่าจริงหรือไม่จริง สำคัญตรงที่ว่าระลึกถึงพระท่านได้ไหม ? เราทำความดีตามที่ท่านสอนได้ไหม ?

ถาม : มีบางคนสามารถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุได้ ต้องทำอย่างไรถึงเชิญได้ ?
ตอบ : อาตมาทำไม่ได้ก็เลยไม่รู้ คงต้องไปถามคนเชิญ

เถรี
18-06-2015, 14:18
ถาม : หุ่นพยนต์ ?
ตอบ : หุ่นพยนต์เกิดจากอำนาจอภิญญาทำขึ้นมา หน้าตาเหมือนคนทุกอย่าง เพียงแต่ว่าถ้าถามไถ่จะไม่พูดไม่จา ทำงานอย่างเดียว สั่งให้ทำอะไรก็ทำแค่นั้น วันพฤหัสบดีขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๙ ถ้าได้ปีวอกยิ่งดี เป็นฤกษ์เสกหุ่นพยนต์

เขากล่าวกันว่า เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ท่านก็ฝึกวิชาทำหุ่นพยนต์มา แต่ว่าเสกแล้วไม่เป็นตัว เสกให้กระดุกกระดิกได้ แต่ไม่สามารถจะเป็นตัวขึ้นมาใช้งานได้ เพราะว่าไม่มีฤกษ์วันพฤหัสบดี เดือน ๙ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีวอก จำไว้แม่น ๆ เลยนะ ถ้ามีเมื่อไรช่วยบอกที จะลองทำบ้าง ฤกษ์พวกนี้คาดว่า ๖๐ ปีจะมีครั้งหนึ่ง เป็นรอบใหญ่ ถ้ายอดฝีมือระดับเสด็จในกรมยังปลุกไม่ขึ้นเพราะขาดฤกษ์ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

ถาม : ถ้าเสกเสร็จแล้วให้คนอื่นไปใช้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : เสกเสร็จแล้วใครจะเอาไปใช้ก็ได้ ถ้ารู้วิธีปลุก

ถาม : ไปเป็นโจรก็ได้ ?
ตอบ : เขาไม่ได้ห้ามอะไร ขอให้คนปลุกเขาขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว จะมีคาถาเสก คาถาปลุก คาถาเรียกกลับ คาถาควบคุม บทเดียวกันแต่สลับไปสลับมา คาถาควบคุมนี่เสกเป็นสายสิญจน์คล้องคอเอาไว้ ไม่ใช่ประเภทวิ่ง ๆ ไปแล้วต้นไม้เกี่ยวขาด คราวนี้ก็ตัวใครตัวมัน เพราะหุ่นไม่ทำตามใจเราแล้ว

ถาม : เขาดำรงอยู่ได้เพราะอะไร ?
ตอบ : ด้วยอำนาจของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีการอธิษฐานจิตทับเอาไว้ พอถึงเวลาคุณไขกุญแจถูกก็ใช้ได้ เท่ากับเป็นการรวมธาตุ

ถาม : ที่บอกว่าทำตามใจเขาแปลว่าอะไร ในเมื่อเขาไม่มีใจ ?
ตอบ : ถึงเวลาเขาเองไม่อยู่ในการควบคุมของเรา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเล่นอะไร

ถาม : เหมือนลมกลายเป็นพายุ ?
ตอบ : ลักษณะเหมือนกับหุ่นยนต์แล้วรีโมตเสีย ใครจะไปรู้ว่าหุ่นยนต์จะทำอะไรบ้าง

เถรี
18-06-2015, 15:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "ลุงเชิญ บุญรังษี ที่จันทบุรี อายุ ๙๐ กว่าปี เริ่มมีอาการหลง คือคุยกันเรื่องนี้ไปพักหนึ่งเดี๋ยวก็ถามใหม่ คุณตี๋ลูกชายก็เป็นห่วง ห่วงว่าถ้าอย่างนี้ตอนตายจะหลงไหม ? อาตมายืนยันว่าคนปฏิบัติธรรมถึงระดับนี้แล้ว ตอนตายไม่หลงหรอก เพราะว่าจิตมีสภาพจำ แต่ที่ลืมเพราะประสาทสมองเสื่อม ในเมื่อเขาปฏิบัติธรรมมาทั้งชีวิต ถึงเวลาจิตมีสภาพจำ ก็จะวิ่งไปหาสิ่งที่ตนเองเคยยึดเคยเกาะมาตั้งแต่ต้น ปีนี้ไปเห็นผู้เฒ่าแล้วก็ เออ..ถ้าเราอยู่ถึงขนาดนี้อาจจะแย่กว่าท่านเยอะ หลวงลุงสุนทรนี่อายุ ๘๘ แล้ว ไปบวชที่ท่าซุงตอน ๕๙ ปี"

ถาม : ความจำของจิต เราจะเลือกใช้ให้คงตัว โดยไม่ไปใช้ความจำตามสัญญาที่เสื่อมได้อย่างไร ต้องใช้สติใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องอาศัยระดับทรงฌานได้คล่องตัวเคย ถ้าทรงฌานไม่ได้ก็ต้องอาศัยกำลังความดีที่จิตคุ้นชิน ถึงเวลาจิตจะวิ่งกลับไปหา

ถาม : สภาพจิตที่ชินไม่ใช่ฌานหรือครับ ?
ตอบ : เป็นสิ่งที่เคยทำไว้ แม้ว่าจะไม่ต่อเนื่องก็ทำมามากกว่า หลวงลุงสุนทรกลับไปรักษาตัวที่บ้าน บอกว่า “แหม..สังหรณ์ใจว่าหลวงพี่จะมา” เจอจริง ๆ ด้วย เพราะว่าไม่ได้เจอมานานแล้ว ก่อนหน้านี้อาตมาเป็นรุ่นพี่ แต่ว่าท่านอายุมากกว่า เรียกหลวงลุงมาตลอด ท่านบวชทีหลัง ๒ พรรษา หลังท่านจิตโตรุ่นหนึ่ง ตอนนี้ท่านบอกว่าไม่เอาอะไรแล้ว รออยู่อย่างเดียวว่าไปเมื่อไรก็จบเลย

คนอายุ ๘๘ ปี ถ่ายรูปมาหลังค่อมแล้ว ไปนึกว่าถ้าอาตมาอยู่ถึง ๘๘ ก็อาจจะแย่กว่านั้นอีก คนแก่หลังค่อมนี่ไม่ใช่กระดูกเสื่อมอย่างเดียว ร่างกายไม่มีกำลัง พอไม่มีกำลังก็เลยทรงตัวให้ตั้งตรงไม่ได้ กระดูกเสื่อมนั้นเป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น อย่างปู่มนัส ที่บอกว่ากระดูกเสื่อมด้านหลังก็เลยกลายเป็นหลังตรง อันนั้นจริง ๆ แล้ว ถ้ากำลังตัวเองไม่ดีก็ไม่ไหวเหมือนกัน

ปู่มนัสก่อนหน้านี้เป็นตำรวจอยู่ กินเหล้าหัวราน้ำเช้ายันเย็น อาตมาไปเป็นประธานการบูรณะวัดท่าขนุนยุคแรก ช่วงปี ๒๕๔๔ พอหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า “พระท่านมีความประสงค์จะให้เป่ายันต์เกราะเพชร” ก็เลยต้องจัดงาน จึงประกาศบอกกับญาติโยม พวกบรรดากรรมการวัดเขาจะรู้ก่อน พอรู้ว่ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้วกินเหล้าไม่ได้ ปกติปู่มนัสแกกินเช้ายันเย็น กินเหล้าถึงขนาดว่าต้องกู้เงินเขามากิน เพราะเงินเดือนไม่พอกิน

ผลปรากฏว่า ปู่มนัสบอกว่า “ถ้ายันต์เกราะเพชรดีจริงต้องทำให้ผมไม่อยากเหล้า ถ้าอย่างนั้นจะเข้ารับยันต์” โดนพรรคพวกเขาลากไปเข้าเป่ายันต์ ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พระท่านคงจะตั้งใจสงเคราะห์ เขาบอกว่าพอรับยันต์ไปแล้ว ตอนเย็นไม่หิวเหล้า ไม่อยากกินเลย

เถรี
18-06-2015, 18:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อคืนอยู่ ๆ ฝันว่าได้ไซบีเรียนฮัสกี้มาตัวหนึ่ง หน้าตาเหมือนเจ้าฟ้าตัวเก่าที่เคยเลี้ยงไว้ คือเจ้านั่นตาสีฟ้าสองข้างเลย กำลังดีอกดีใจอยู่ดันตื่นเสียก่อน เกิดเป็นหมาบ่อย ไม่ค่อยฝัน นาน ๆ จะฝันทีดันฝันว่าได้หมา ประหลาดดีเหมือนกัน

มีคนเคยฝันว่าได้หมาไปเลี้ยง หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า “อ๋อ..หมาคนจีนเรียกว่าเก้า ฉะนั้นให้เล่นเลข ๙” อาจารย์ยกทรงแกก็แหย่ต่ออีกว่าจะให้เลขอะไรต่อดี ท่านบอกว่าหมามี ๔ ขา ได้ ๔ อีกตัว มีหางอีก ๑ อาจารย์ยกทรงไปไม่เป็นเลย ชักเยอะขึ้นเรื่อย หลังจากนั้นขนอีกกี่เส้นแกนับไปเรื่อยแล้วกัน เดี๋ยวก็ตรงจนได้แหละ"

เถรี
18-06-2015, 18:56
ถาม : การปรับธาตุสี่ อย่างไรก็นับว่าเป็นการล่วงกรรมใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าเราป่วยแปลว่ามีกรรม ถ้าว่าหนีกรรมเมื่อไรก็ฝืน พระในประเทศไทยเราที่ปรับธาตุได้มีเยอะ แต่ส่วนใหญ่พอทำไปถึงระดับนั้นแล้วก็ยอมรับกฎของกรรม ธรรมดาของร่างกาย..ทนเอา

เถรี
19-06-2015, 14:18
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์ให้กับนิสิตมหาจุฬาฯ ก็ดี หรือของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ก็ตาม เขามักจะเรียกร้องมาเพราะว่า "พระอาจารย์เล็กคุมวิปัสสนากรรมฐานได้ดี" ความจริงแล้วไม่ใช่ ก็คือเราเคยเจออะไรมาที่ไม่ชอบใจแล้วเราไม่ทำแบบนั้นก็หมดเรื่อง เพราะคนอื่นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน ลักษณะไหนที่เราชอบใจ เราก็ทำให้มากเข้าไว้ ก็จะถูกใจเขาไปเอง ลักษณะนี้ที่ภาษาบาลีท่านว่า สมานัตตตา ที่เรามักจะไปแปลว่า เสมอต้นเสมอปลาย แต่ไม่ใช่ สมาน+อัตตา เสมอด้วยตน คือเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราชอบอย่างไรก็ทำอย่างนั้นกับเขา เราไม่ชอบอย่างไรก็อย่าทำอย่างนั้นกับเขา ท่านถึงได้เรียกเป็น สังคหวัตถุ ก็คือสิ่งที่สงเคราะห์กันเพื่อความความสามัคคี สร้างความรักในหมู่คณะ ถ้าเสมอต้นเสมอปลาย แล้วชั่วเสมอต้นเสมอปลายก็บรรลัยนะสิ"

ถาม : พากันไปทำชั่ว อย่างชวนกันไปกินเหล้า ก็ได้ความสามัคคีในหมู่คณะ ?
ตอบ : ถ้าไปคิดว่าเสมอต้นเสมอปลาย ก็ต้องชวนเพื่อนกินเหล้าทุกวัน เรื่องของหลักธรรมเราต้องไม่ฝืนศีลธรรม

เถรี
19-06-2015, 14:22
ถาม : ให้เหล้าผิดข้อธรรมไหมครับ ?
ตอบ : การให้เหล้าเป็นทาน เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าตรัสถึงเวสสันดรชาดก ว่าพระเวสสันดรขอทำทานครั้งใหญ่ มีการให้เหล้าแก่นักเลงสุรา พระอานนท์ทูลถามว่า ให้เหล้าในลักษณะอย่างนั้นจะมีอานิสงส์อะไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ ในเมื่อเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์แล้วพระองค์ทำไปเพื่ออะไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระเวสสันดรต้องการที่จะให้ทานอันเป็นที่ชอบใจของบุคคลทุกคน สำหรับนักเลงสุราแล้ว ถ้าให้อย่างอื่นก็ไม่ชอบใจ ก็ต้องให้เหล้าเท่านั้น แต่การที่ให้ไปก็ไม่ได้บังคับเขาว่าต้องกินเหล้านั้น เขาจะเอาไปทำอะไรนั้นท่านไม่รับรู้แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เพราะว่าให้สิ่งที่ผิดศีลธรรม แต่ให้เพราะเขาชอบใจอย่างนั้น พระองค์ท่านตัดลงแค่ว่ามีหน้าที่ให้ เมื่อให้ก็จบแล้ว

ถาม : ถ้าให้เขาแล้วบอกว่าไปกิน จะได้ลืมความทุกข์ ?
ตอบ : อย่างนั้นก็เจริญ เท่ากับว่าส่งเสริมเขา อยู่ในลักษณะที่ว่ายุยงให้ผู้อื่นผิดศีล

ถาม : แล้วทำให้เขาหลง เสียสติ ?
ตอบ : สุรายาเสพติดทำให้ขาดสติเป็นปกติ เพราะอย่างนั้นถึงได้ไปผิดในส่วนของศีลธรรม ก็คือคนทั่วไปไม่มีใครอยากขาดสติหรือเสียสติ เราเห็นคนบ้าเราก็ถอยหนีแล้ว ก็แปลว่าเราไม่อยากบ้า ฉะนั้น..ในเรื่องของศีลก็คือห้ามในสิ่งที่ทุกคนไม่มีใครอยากให้คนอื่นทำกับตน เราไม่อยากให้ใครเขาฆ่าเรา ท่านถึงได้ห้ามไม่ให้เราไปฆ่าใคร ไม่อยากให้เขามาลักขโมยเรา ท่านถึงได้ห้ามไม่ให้เราไปลักขโมยใคร ไม่อยากให้เขามาละเมิดคนที่เรารัก ของที่เรารัก ท่านจึงห้ามไม่ให้เราไปละเมิดคนที่เขารัก ของที่เขารัก ไม่อยากฟังในเรื่องที่โกหกมดเท็จ ท่านก็ห้ามไม่ให้เราพูดปด ไม่อยากที่จะเสียสติ ขาดสติ ก็ห้ามไม่ให้เราดื่มสุราหรือว่าติดยาเสพติด เป็นต้น

ธรรมชาติคนเขาต้องการอย่างนั้น เราไปฝืนธรรมชาติก็เลยกลายเป็นผิด เพราะฉะนั้น..สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมา จริง ๆ แล้วก็คือแค่ควบคุมให้ดีขึ้น ถ้าคนไหนตั้งใจงดเว้นก็เป็นอานิสงส์เฉพาะตนไป

เถรี
19-06-2015, 14:29
ถาม : ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าของนี้ดี แทนที่จะทำให้เขาเห็นทุกข์ จะเป็นการผิดข้อธรรมด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ที่อาตมาบอกว่า “ศีลเป็นพื้นฐานของความดีทั้งปวง” ข้อแรก ก็คือ เป็นเครื่องประกันชีวิต ถ้าทุกคนรักษาศีล ก็ไม่มีการฆ่ากันใช่ไหม ? ประกันว่าคุณอยู่จนแก่ตาย ข้อที่สอง เป็นการประกันทรัพย์สมบัติของเรา ว่าจะไม่สูญหายไปด้วยน้ำมือของคนอื่น ข้อที่สาม เป็นการประกันความมั่นคงในครอบครัว ในเมื่อไม่มีการละเมิดศีลกันก็ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ข้อที่สี่ เป็นการประกันความมั่นคงของสังคม เพราะทุกคนซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน ส่วนข้อที่ห้า อันนี้ปกติเราทำกันเยอะ คือประกันสุขภาพ ไม่กินเหล้าไม่ค่อยป่วยหรอก

ฉะนั้น..ศีลก็เลยกลายเป็นเครื่องประกัน เป็นพื้นฐานของความดี แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราก็มักจะกลัวประกันกัน ใครทำงานบริษัทประกันชีวิตไม่ต้องเอาอาตมาไปเทศน์เรื่องนี้นะ ไปเทศน์กันเองก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นตูสนับสนุนให้ลูกศิษย์ขายประกัน..!

เถรี
19-06-2015, 14:32
ถาม : คนขายประกันนี่ต้องประพฤติตนอย่างไร ?
ตอบ : แนะนำในสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เขา อาตมารู้จักโยมคนหนึ่ง ทำงานบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ทำยอดสูงสุดของภาคเหนือทุกปี เที่ยวต่างประเทศจนเบื่อแล้วเพราะเขาได้รางวัลทุกปี เขารับผิดชอบต่องานของเขา ต้องบอกว่าทุกอาทิตย์ลูกค้าจะได้เห็นหน้าเขา เขาตระเวนไปหาอยู่ตลอด ไปเยี่ยมเยือนถามไถ่ มีอะไรเล็กน้อยแค่ไหนถ้าพอเคลมประกันได้เขาจะทำให้ทันที ก็เลยทำให้ชื่อเสียงของเขาดีขึ้น ๆ จนกระทั่งท้ายสุดทุกคนอยากทำประกันกับคนนี้ กลายเป็นว่าคราวนี้เขาไม่ต้องไปไหน มีแต่ลูกค้าวิ่งมาหา ก็เลยต้องเอาสามีออกจากการรับราชการเป็นครู มาช่วยงานด้วย

คราวนี้พองานกว้างออกไปอีก ลูกสาวคนที่ ๑ คนที่ ๒ คนที่ ๓ พูดง่าย ๆ ว่าต้องออกมาทำงานกันทั้งครอบครัว เพราะการที่เอาใจใส่ลูกค้า ต้องได้เห็นหน้าทุกอาทิตย์ ใครทำได้บ้าง ? แล้วเขามีความจริงใจมาก เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยขนาดไหน ถ้ามีใบรับรองแพทย์มาจะเคลมประกันให้ทันที แล้วก็เขานี่แหละ..ที่ไปทะเลาะกับบรรดาพวกเจ้านายที่สำนักงานใหญ่บอกว่า “เขาประกัน เขาต้องเคลมได้สิ จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เขามีเอกสารคุณก็จ่ายมาก็แล้วกัน ทำไมต้องถามด้วย” เขาต่อสู้เพื่อลูกค้า ในเมื่อรักษาผลประโยชน์ให้ ลูกค้าก็ติดใจ ถึงเวลาเขาบอกกันปากต่อปากดีกว่าอะไรทั้งหมด บอกแล้วว่าการโฆษณาที่ดีที่สุด ก็คือการทำลูกค้าติดใจแล้วบอกกันปากต่อปาก

ปัจจุบันนี้คุณสามีตายแล้ว ตัวเองก็เป็นมะเร็งเพราะคงเครียดกับงาน ตอนนี้ก็ต้องเอาลูกเขยเอาหลานมาช่วยงาน ไม่มีลูกชาย ต้องบอกว่าเขามีหลักธรรมโดยที่เขาไม่รู้ตัว ก็คือการรับผิดชอบต่อหน้าที่ ตรงต่อหน้าที่การงานของตนเอง มีฉันทะคือความพอใจที่จะทำเช่นนั้น มีวิริยะพากเพียรทำไป สมัยแรก ๆ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์วนเวียนไปหาลูกค้าทุกวัน ไปคุยสารทุกข์สุขดิบสัก ๒๐-๓๐ นาทีแล้วก็วิ่งไปหาลูกค้าคนต่อไป บ้านไหนมีคนแก่ ก็มีข้าวของเล็ก ๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือไปฝากเขา

ทำตนเหมือนลูกเหมือนหลาน รักษาผลประโยชน์ให้ปู่ย่าตายาย ตอนหลังต้องขี่เบนซ์ตระเวนไป แล้วเรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องแปลก เหมือนอย่างกับว่าข่ายงานยิ่งแผ่ออกไปกว้างเท่าไร ตัวเองก็เหนื่อยน้อยลง แต่ขณะเดียวกันรายรับกลับมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไปได้ส่วนแบ่งจากคนอื่นด้วย

เถรี
19-06-2015, 15:22
ถาม : หนังสือธรรมะ หนังสือสวดมนต์ หากเสียหายฉีกขาดควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : จุดธูปขอขมาพระแล้วก็เผาไปเลย ต่อให้เป็นรูปพระก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเก่าแล้วรักษาไม่อยู่ ก็กราบขอขมาพระแล้วกราบขออนุญาตจำเริญด้วยไฟ โบราณเขาให้ลอยน้ำหรือเผาไฟ เขาเรียกว่าจำเริญ มักจะนิยมลอยน้ำ เพราะเขาคิดว่าเย็นดี คาดว่ามีส่วนมาจากทางด้านศาสนาพราหมณ์ จะเห็นว่าชฎิล ๓ พี่น้องพร้อมกับบริวาร ถึงเวลาก็ลอยบริขารไปแล้วก็บวชในศาสนาพุทธ ท่านบูชาไฟมาก่อนก็เลยเลือกว่าจะเผาดีหรือจะลอยน้ำดี

อย่างที่โยมว่ามาก็เผาดีกว่า อย่าลืมขอขมาพระรัตนตรัยด้วย อย่าให้ใครเขาถ่ายรูปตอนเผาไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะโดนข้อหาเหยียบย่ำพุทธศาสนา..ใช่ไหม ?

เถรี
21-06-2015, 15:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความคิดก็เป็นพลังงาน คำพูดก็เป็นพลังงาน การกระทำก็เป็นพลังงาน พลังงานเหล่านี้ในด้านที่ดี ถ้ารวมกันก็จะอยู่ในลักษณะของความหนักแน่น มั่นคง สามารถที่จะตรึงหรือทำให้สิ่งไม่ดีต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้น้อย ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็มีน้อย

แต่ประชากรจะหกพันล้านอยู่แล้ว ที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี มีมากกว่าจนประมาณไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่า เป็นภาระอันหนักที่พวกเราควรจะรักษา กาย วาจา ใจ ของเรา ให้อยู่ในด้านดีไว้ อย่างน้อย ๆ จะได้มีเรี่ยวมีแรงเพียงพอที่จะไปคานเขาไว้บ้าง

ถ้าดูตัวอย่างภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ อย่างช่วงที่ผ่านมาก็แผ่นดินไหวที่เนปาล คนเจ็บคนตาย ทรัพย์สินเสียหาย เดือดร้อนกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง บ้านเราเมืองเราถ้าแค่ร้อนแค่หนาวแล้วก็ยังพอสู้กันไหว ถ้าอยู่ ๆ เจอแบบนั้นบ้างก็จะลำบากมาก โดยเฉพาะวัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนเลย ถ้าเขื่อนแตกตูมเดียวนี่ ถึงรู้ข่าวเดี๋ยวนั้นก็หนีไม่ทัน..!"

เถรี
21-06-2015, 16:20
ถาม : สังฆทานใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ได้หรือไม่ครับ ? (พระถาม)
ตอบ : ได้อยู่..แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องสมเหตุตนก็เพลา ๆ ไว้หน่อย

เถรี
21-06-2015, 16:31
ถาม : ทำไมพระที่รับเงินทอง จึงโดนตำหนิ ?
ตอบ : พระเป็นผู้สละแล้วซึ่งทุกอย่างเพื่อความหลุดพ้น อยู่ ๆ ไปสะสมเงินทองหรือทรัพย์สมบัติ ก็ไม่ใช่ยังความเลื่อมใสของบุคคลอื่น โบราณท่านบอกว่า "เป็นพระต้องจน เป็นคนต้องรวย" เขาจึงจะนับถือ

ถาม : ถ้าจะบอกว่า เป็นการรับเพื่อสร้างความเลื่อมใสให้แก่ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..พระรับเงินในปัจจุบันนี้ผิดข้อบัญญัติของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แต่เนื่องจากสภาพสังคมเปลี่ยนไป พระเราไม่สามารถที่จะอยู่ได้โดยที่ไม่ได้ใช้เงินทอง ไม่ว่าเป็นค่าอาหาร ค่ารถ ค่ารักษาพยาบาล ก็เลยจำเป็นที่จะต้องรับเงินขึ้นมา แต่ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ยกเลิกสิกขาบทนี้ ก็แปลว่าผิด ถ้าจะถามว่าผิดไหม ? ผิดแน่ ถ้าถามว่าไม่รับแล้วอยู่ได้ไหม ? อยู่ได้เหมือนกัน แต่ต้องมีโยมคอยตามสงเคราะห์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าพระสองแสนกว่ารูป ต้องคอยโยมสองแสนกว่าคนมาสงเคราะห์พระก็เกินไป

ถาม : เงินที่ถวายเป็นส่วนตัวใช้อะไรได้บ้างคะ ?
ตอบ : ค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล สงเคราะห์ผู้อื่น นอกนั้นแล้วก็เอาเข้ากองกลางเสียดี ๆ

ถาม : แล้วถ้าพระเอามาบูชาวัตถุมงคล ก็ถือว่าวัตถุมงคลนั้นเป็นของสงฆ์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าได้มาตอนเป็นพระอยู่ จัดเป็นของสงฆ์ทั้งนั้น พยายามดูเรื่องวัตถุมงคลด้วย ว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไร จะได้ไม่เผลอไปใช้จ่ายผิดประเภทอีก

เถรี
22-06-2015, 17:48
ถาม : (ไม่ชัด).... หนูข้องใจมากเลย ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ที่จะถามกัน เพราะเป็นไปตามระดับปัญญา ถ้าคนที่มีปัญญาสูง มีภูมิธรรมสูง ก็ตีความสูง คนที่ภูมิธรรมต่ำ มีปัญญาต่ำ ก็ตีความต่ำ ขึ้นอยู่กับระดับปัญญาของคน เราไม่สามารถไปจำกัดว่าเขาอยู่ระดับไหน

แบบเดียวกับที่นิทานเซ็นเล่าว่า มีเจ้าอาวาสท่านหนึ่งที่เก่งธรรมะมาก เขามีกติกาว่า ถ้ามีคนมาถามคำถามก็ต้องตอบ ถ้าสู้เขาไม่ได้ก็ต้องสละวัดให้เขา วันนั้นน้องชายเจ้าอาวาสมาเยี่ยม เจ้าอาวาสก็เห็นว่าไหน ๆ น้องชายมาเยี่ยมแล้ว ก็เฝ้าวัดแทนชั่วคราว ตนเองจะได้ไปเยี่ยมครอบครัวบ้าง..แล้วก็ไป น้องชายเจ้าอาวาสนั่นเป็นคนตาบอดข้างหนึ่ง

พอพี่ชายเดินทางไปได้ไม่กี่วัน ก็มีพระขอเข้ามาเพื่อถามปัญหาธรรม ด้วยความที่ตัวเองดูแลวัดอยู่ก็ต้องยอมต้อนรับเขา พอเขามาถึง เขาก็ยกมือขึ้นนิ้วหนึ่ง น้องชายเจ้าอาวาสก็ยกสองนิ้ว เขาก็ยกมาสามนิ้ว น้องชายเจ้าอาวาสก็กำมือให้ เขาตีความเสร็จสรรพ ก็กราบลาและกลับไป พอลงจากเขาไปเจอพี่ชายที่เป็นเจ้าอาวาสผ่านมาพอดี พระพี่ชายถามว่า "ขึ้นไปทำธุระอะไร ?" พระอาคันตุกะบอกว่า "ผมมาถามปัญหาเซ็น พระตาเดียวที่อยู่ในวัดมีปัญญาลึกล้ำมาก ผมจึงยอมแพ้ ต้องกลับลงมา"

เจ้าอาวาสก็แปลกใจ พระน้องชายตนเองไม่เป็นมวยอะไรสักอย่าง แต่ทำไมถึงมีปัญญาลึกในเรื่องของเซ็น จึงถามว่า "คุณถามว่าอะไร ?" พระอาคันตุกะบอกว่า "ผมยกนิ้วขึ้นมานิ้วเดียว แปลว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่ง พระรูปนั้นยกมาสองนิ้ว แปลว่า มีหนึ่งก็ต้องมีสอง ผมยกสามนิ้วบอกว่า มีสองก็ต้องไม่เกินสาม เพราะทุกอย่างอยู่ในไตรลักษณ์ ท่านก็กำมือเป็นกำปั้น แปลว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่อนัตตา คือเป็นศูนย์
ผมแพ้..ผมก็เลยต้องกลับลงมา" เจ้าอาวาสท่านฟังแล้วก็ยังงง ๆ อยู่

พอกลับไปเจอพระน้องชายกำลังเดินงุ่นง่านอยู่หน้าโบสถ์ จึงถามว่า "มีคนถามปัญหาใช่หรือไม่ ?" พระน้องชายบอกว่า "ใช่..ไอ้นี่เสียมารยาทมาก พอมาถึงก็ยกนิ้วหนึ่งนิ้ว บอกว่าผมมีตาข้างเดียว ผมโมโหก็อุตส่าห์รักษามารยาท ยกสองนิ้วบอกไปว่า เอ็งโชคดีที่มีสองตา เขายังเยาะเย้ยผมอีกด้วยการยกสามนิ้วว่า รวมกันสองคนก็มีแค่สามตาเท่านั้น ผมยกกำปั้นจะต่อยหน้า เขาดันกราบผม ผมยังงง ๆ อยู่เขาก็ไปแล้ว"

คราวนี้เข้าใจหรือยังว่าธรรมะเป็นไปตามระดับปัญญาคน ฉะนั้น..จะไปบอกว่าเขาทำถึงไหน ตอบไม่ได้หรอก ขึ้นอยู่กับปัญญาของคนนั้น แปลว่าเราอย่าไปยกกำปั้นใส่หน้าใครก็พอ..!

เถรี
22-06-2015, 17:59
ถาม : เขาพูดถึงการบรรลุธรรม ?
ตอบ : ต้องบอกว่าแล้วแต่ระดับของเขา ตรงนี้ที่เขาเรียกการบรรลุธรรมว่า "ซาโตริ" บางท่านบอกว่าซาโตริเกิดขึ้นได้ครั้งเดียว แต่บางท่านบอกว่าเกิดแล้วเกิดเล่า เกิดจนนับครั้งไม่ถ้วน ถูกทั้งคู่ คนที่ซาโตริครั้งเดียว คือเข้าถึงหลักธรรมชั้นสูงไปเลย คนที่เกิดซาโตริแล้วเกิดอีก อาจจะเป็นอุปจารสมาธิ แล้วมาปฐมฌาน ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ ไล่ไปเรื่อย

คนที่ต่างระดับกัน ไปคุยกันก็เถียงกันตาย เราไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงกับเขาหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ

เป็นการบรรลุธรรมของเขา จริง ๆ แล้วก็คือ ลักษณะการตื่นรู้หรือเข้าถึงธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่แน่..บางคนก็แค่ทรงฌานได้ พอเข้าถึงตรงนั้นก็เข้าใจว่าตนเองได้อะไรแล้ว จึงถือว่าเป็นการซาโตริ

ถาม : เขาปล่อยวางได้ แบบไม่สนใจคนอื่น ?
ตอบ : แค่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้น

ถาม : หรือคะ ? ไม่ใช่ทั้งวันหรือคะ ? แบบเอาไปวางใส่คนอื่น ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ การวางใส่หัวคนอื่นนั่นไม่ใช่หลักธรรม

ถาม : คือเขาไม่ได้ตั้งใจ จะถือว่าเป็นเครื่องรู้ ?
ตอบ : เป็นระดับหนึ่งของการพัฒนา ตราบใดที่ยังก้าวข้ามไม่ได้ ก็จะยังเป็นอย่างนั้นอยู่ จนกว่าเขาจะเห็นว่าสิ่งนี้ยังไม่ดีจริง แล้วก็กลับตัวใหม่ เพราะดีแค่ตอนนี้ ดีแค่เดี๋ยวนี้ แล้วเขาก็จะไปยึดมั่นถือมั่นว่าตรงนั้นใช่ แต่พอก้าวไปถึงตรงนั้นจะว่าดีกว่านี้ เขาก็จะไปยึดมั่นตรงนั้นอีกว่าดีกว่า ตรงนี้ไม่ใช่ กว่าจะก้าวข้ามได้ก็นาน ฉะนั้น..บางช่วงต้องรอการขัดเกลาก่อน ถ้าเกลาไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ก็อาจจะโดนคนด่าบ้าง ว่าบ้าง หรือถึงกับมีการลงไม้ลงมือก็ได้

ถาม : พร้อมจะมีเมตตาต่อตนเองและคนรอบข้าง ?
ตอบ : จะมีปัญญารู้ว่าอะไรที่เหมาะกับกาละ คือเวลานั้น กับเทศะคือสถานที่นั้น แล้วก็ทำในสิ่งที่เหมาะที่ควร ที่ไม่ตรงกับกาลเทศะก็ทิ้ง ๆ ไปบ้างเถอะ

เถรี
22-06-2015, 18:05
ถาม : ในเรื่องการทำงาน บางทีการปฏิบัติธรรมก็ไม่อยู่ตัว ?
ตอบ : เรื่องของหลักธรรม ต้องโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ถ้าโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสียถึงจะใช่ ถ้าทำแบบไม่เห็นหัวคนเลย นั่นเป็นจริตนิสัยของบุคคลธรรมดา

ถาม : ปฏิบัติธรรมไม่ให้กระทบกับผู้อื่น ?
ตอบ : ต้องพยายามปรับให้พอดี เอาศีลเป็นกรอบ ไปแค่สุดขอบของศีลพอ หลังจากนั้นสมาธิดีขึ้นจะมีปัญญา รู้จักซอกซอนไปเอง เหมือนอย่างกับปลาไหล ถึงเวลาก็มุดไปได้เรื่อย แต่ถ้ายังไม่ถึงระดับนั้นก็อดที่จะขัดกับทางโลกไม่ได้ เพราะว่าสวนกระแสคนอื่น

อีกอย่างหนึ่งต้องละ อีกอย่างหนึ่งต้องเอา หลวงปู่มหาอำพันเคยบอกว่า "ถ้าคิดว่าเราจะบรรลุธรรม ก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าคิดว่าเราจะอยู่ในโลกนี้ ก็ต้องกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่าง" ตรงกันข้าม สวนกระแสกัน ฉะนั้น..เราเองก็ต้องปรับให้พอดี พอดีเมื่อไรก็จะไปได้ ถ้าไม่พอดีก็สะดุดไปเรื่อย

อันดับแรกคือตัวเรา อันดับถัดไปคือคนรอบตัวเรา ครอบครัวเดียวกัน ถัดไปคือคนรอบข้างเรา จะกว้างออกไปเรื่อย ๆ ทำอย่างไรที่เราจะบริหารสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ให้ขัดต่อกัน

ถาม : บางทีขัดหูขัดตา ?
ตอบ : บางอย่างก็ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ บางอย่างก็ต้องปฏิบัติชนิดที่ว่าไม่ให้ใครรู้ว่าเราทำอะไร ถึงเวลาเขาชวนกินเหล้า เราบอกรักษาศีล เขาก็มองหัวจรดตีน บอกเขาไปว่าแพ้แอลกอฮอล์ หมอบอกว่าโดนเหล้าอาจจะถึงตายเลย ก็ว่าไป ถึงเวลาเรารักษาศีลแปด เขาชวนกินข้าวเย็น เราบอกว่ารักษาศีลแปดอยู่ เราก็กลายเป็นสัตว์ประหลาด บอกเขาว่าตอนนี้น้ำหนักเริ่มเกินมากแล้ว ขออดข้าวลดน้ำหนักหน่อย ก็จะไปได้

เถรี
22-06-2015, 18:13
ถาม : กำลังใจต้องพบกระแสโลก ปรับไม่ค่อยได้ อย่างเช่น เจอคนทำผิดพลาด เราต้องลงโทษเขา ?
ตอบ : เอาตามกฎกติกา อย่างเช่น ครั้งที่หนึ่งอภัย ครั้งที่สองภาคทัณฑ์ ครั้งที่สามค่อยลงโทษ ไปตามขั้นตอน พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า ท่านฝึกพระเหมือนกับนายอัสดรผู้ดูแลฝึกม้า ลงโทษแต่น้อย ลงโทษปานกลาง ลงโทษหนัก หรือถึงขนาดฆ่าทิ้งเลย คนฝึกม้าก็ถามว่า พระพุทธเจ้าฆ่าทิ้งได้อย่างไร ? พระองค์ตรัสว่า แค่ไม่สั่งไม่สอนเท่านั้นเอง ก็ถือว่าฆ่าทิ้งในทางธรรมแล้ว

ฉะนั้น..เราก็ค่อย ๆ ปรับไปจากเบาเป็นหนัก ไม่อย่างนั้นคนบางประเภทเขาไม่รู้ ไม่โดนบ้างก็ไม่รู้ตัว

ถาม : ทำอย่างไรที่จะไม่มีปัญหากับคนอื่น ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่อยู่ในโลกก็เจอ อย่างไรก็ต้องเจอ เพราะฉะนั้น..เราก็ปรับให้เข้ากับเขาได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไปที่ไหนก็เจอ คนเมื่อไรก็เป็นคน ในเมื่อเป็นคนก็แปลว่าต้องยุ่ง แต่ดีอยู่อย่างที่ทำให้เราเห็นว่า สภาพความเป็นจริงของโลกวุ่นวายอย่างนี้ ทุกข์ยากอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าสภาพอย่างนี้เรายังต้องการอีกไหม ? ถ้าต้องการก็เกิดเสียให้พอ

เถรี
22-06-2015, 18:21
ถาม : พิจารณาความทุกข์ ให้คิดว่าทุกข์ ๆ ๆ หรือคะ ?
ตอบ : แบบนั้นได้แค่ภาวนา ต้องมองให้เห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์

ถาม : เราก็คิดว่า เจอความทุกข์แบบนี้ จบชาตินี้ก็ไปพระนิพพาน ?
ตอบ : คิดแบบคนดู เรามักจะไปเผลอคิดแบบคนเล่น เราดูหนังดูละคร ดูบอลอย่างไร ก็คือดูแบบคนดู แต่ถ้าโดดลงไปเล่นเมื่อไรก็จะเกิดอารมณ์ตามเขา เพราะฉะนั้น..ต้องมีสติควบคุมว่าเราเป็นคนดู ก็คือให้เห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ แล้วเรายอมรับว่าสภาพทุกข์อย่างนี้มีเป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าเกิดมาทุกข์อย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราขอไปพระนิพพานอย่างเดียว

ฉะนั้น..จะคิดหรือดูให้เห็นทุกข์ ต้องดูแบบคนดู อย่าดูแบบคนเล่น

ถาม : เวลาดูความทุกข์ก็เห็นความทุกข์อยู่รอบตัว ก็คิดว่าทุกข์เพราะเกิดมามีร่างกาย ?
ตอบ : เห็นแค่นั้นแล้วใจยอมรับจริง ๆ ก็พอ

ถาม : แล้วเราก็คิดว่า ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เข้าพระนิพพานไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว ?
ตอบ : ถ้าใจยอมรับแล้วก็ไม่ต้องพิจารณาให้ลึก คือใจไม่เถียงอีกแล้ว ถ้ายอมรับแล้วก็ใส่ไปเต็มที่เลย ประเภทสักพักหนึ่งก็กลายเป็น "อยาก" แบบนี้ไม่ใช่เบื่อแล้ว

ตอนนี้เห็นทุกข์แล้วเบื่อจริงไหม ? ถ้าเบื่อจริงจะเบื่อยาวไปเลย แต่ถ้าเบื่อไม่จริงเดี๋ยวก็เห็นว่าดีอีก วันนี้ลูกดื้อขึ้นมา โอ๊ย..ลำบากฉิบหายเลย เลี้ยงลูกนี่เป็นทุกข์ พออีกวันลูกทำตัวน่ารัก เออ..มีลูกก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้แสดงว่าเบื่อไม่จริง ต้องเห็นหน้าลูกแล้วเบื่อได้ทุกวัน

ถาม : เป็นไปตามลำดับของคน ?
ตอบ : เป็นไปตามขั้น ต้องเบื่อก่อน จึงจะอยากหนี แล้วก็หาทางหนี แล้วก็ไปให้พ้น ถ้าไม่เบื่อนี่จะไม่อยากไป

เถรี
22-06-2015, 18:47
ถาม : เราเบื่อ เราหนีไม่พ้น ?
ตอบ : ให้เห็นเป็นธรรมดา ถ้าไม่พิจารณายอมรับกฏของกรรม ก็ต้องเห็นธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้าเราตายแล้วก็ไปพระนิพพาน ขึ้นชื่อว่าการมีชีวิตอยู่ไม่เกินร้อยปี ก็เหมือนกับพริบตาเดียว ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ ? ก็จะปล่อยวาง ไม่ไปแบกไว้ หรือเรามีเวลาแค่วันนี้วันเดียว ถ้าละเอียดขึ้นไปเรามีเวลาแค่ชั่วลมหายใจเดียว ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ ? ในเมื่อเราไม่ไปแบก เราก็ไม่ทุกข์

ถาม : คิดแบบนี้ต้องภาวนา ?
ตอบ : ต้องอาศัยกำลังสมาธิเหมือนกัน ถ้ากำลังสมาธิไม่พอ ถึงคิดได้ก็ตัดไม่ขาด สองอย่างต้องทำร่วมกัน สลับกันไปสลับกันมา เหมือนคนผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าว ถ้าก้าวข้างเดียว พอไปสุดเดี๋ยวก็เด้งกลับ

ถาม : ตอนทำสมาธิติดแค่ปีติ ?
ตอบ : การที่เราคิดพิจารณา ถ้าคิดได้ลึกซึ้งจริง ๆ จะค่อย ๆ เป็นสมาธิไปเอง แต่อย่างน้อยเราก็มีปีติช่วยได้บ้าง เรื่องของปีติที่ติดอยู่นาน เพราะอายคนอื่นเขา อยากจะเลิกก็เลิกได้ แต่พอก้าวข้ามไม่ได้ กำลังใจถึงตรงนั้นก็เป็นอีก เพราะฉะนั้นต้องยอม ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย

ถาม : พอเราภาวนาเต็มที่ เกิดปีติ เราก็ปล่อยไปเลย ไม่ไปภาวนา ก็เลยแพ้กิเลส ?
ตอบ : ลองใหม่ดู เผื่อจะคลำถูกช่อง ถึงเวลาเราก็พิจารณาไปเรื่อย มีโอกาสก็สร้างสมาธิให้เขาหน่อย ไม่อย่างนั้นเหมือนกับเราใช้เงินไปเรื่อย ไม่หาเพิ่ม ทุนก็หมด เอ้า..ไปทำหน้าที่ต่อไป ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น

ถาม : ทุกครั้งที่มีการทำสมาธิ อารมณ์จะตัดไปเลย ?
ตอบ : ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้ารู้จักสังเกตจริง ๆ จะเห็นว่าจิตใจข้างในเราสงบ เป็นแต่อาการภายนอกเท่านั้น

ทำของเราให้เต็มที่ เด็ก ๆ มีบุญมีกรรมของเขาเอง ถึงไม่มีเราเขาก็อยู่ได้

เถรี
23-06-2015, 15:19
ถาม : เราทำอะไรแล้วเหตุการณ์นั้นหายไป เป็นเพราะสติไม่ปรุงเลยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่สติขาดจริง ๆ ก็เกิดจากสภาพจิตกำลังจะเป็นปฐมฌานหยาบ สติตามไม่ทัน เหมือนกับช่วงเวลานั้นหายไปพักหนึ่ง ถ้าต้องการผ่านตรงนั้นได้ ต้องเอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกชนิดจี้ติดจริง ๆ หลุดเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น

ถาม : นอนไม่หลับ แต่ก็ภาวนาไปเรื่อยค่ะ ?
ตอบ : ภาวนาไปเรื่อย กำลังอยู่ในระดับของการตื่นรู้แล้ว เพราะว่าสภาพจิตของเราจริง ๆ จะไม่หลับ ที่หลับเพราะสติตามไม่ทันก็เลยขาด ถ้าอยู่ในสภาพอย่างนั้นให้ทำใจสบาย ๆ ว่าแกไม่หลับแหละดี ข้าจะภาวนาให้เยอะเลย พักเดียวก็หลับแล้ว เขากลัวว่าเราจะได้ดี

การปฏิบัติธรรม หลับอยู่ต้องเหมือนตื่น บางทีเราก็คิดว่าเราไม่ได้หลับ แต่ทำไมไม่เหนื่อยหรือเพลีย ความจริงร่างกายได้นอนพักแล้ว สติตื่นอยู่ก็ปล่อยไป เราก็ทำหน้าที่ของเราไป ภาวนาของเราไป พิจารณาไป

เถรี
23-06-2015, 15:25
ถาม : คนที่ภาวนาไปอย่างเดียว ไม่รับรู้อะไร จะพ้นทุกข์ได้ใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ได้..ถ้าสามารถทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอ โดยมีจุดมุ่งหมายแน่นอนว่าต้องการความพ้นทุกข์ สามารถพ้นได้ แต่ยากมาก..เพราะขาดพิจารณา เหมือนกับคนเพาะกาย สร้างกำลังไว้มาก แต่ไม่มีอาวุธ ไม่มีขวาน ไม่มีมีด ไม่สามารถจะตัดจะฟันอะไรได้ ไปรอถอนต้นไม้ใหญ่สามโอบ ไม่รู้ชาตินี้จะถอนขึ้นหรือเปล่า ? แต่ถ้าคนที่พิจารณาก็เหมือนมีอาวุธคมมาก แต่ถ้าเกิดไม่มีกำลังก็ยกไม่ขึ้นอีก ทั้งสองอย่างต้องทำร่วมกัน ภาวนาและพิจารณา พิจารณาแล้วภาวนา สลับกันไป

ถาม : ทรงอารมณ์แล้ว..?
ตอบ : ภาวนาแล้วสังเกตดู พอไปถึงระดับหนึ่งสมาธิก็จะไปต่อไม่ได้ จะคลายออกมาเอง ช่วงนี้ถ้าเราเผลอให้ฟุ้งซ่านเมื่อไร จะฟุ้งมากเลย จะฟุ้งอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เพราะกิเลสเอากำลังของเราไปฟุ้ง เราต้องรีบหาอะไรให้พิจารณา แล้วพอพิจารณาไปเรื่อย ๆ ถ้าสังเกตเป็น จิตจะดิ่งเป็นสมาธิอีกที แล้วเราจะอยากภาวนา ก็จะภาวนาต่อ แล้วก็จะไปเป็นแบบเดิม ก็คือไปถึงจุดตันแล้วรีบถอยออกมา หาวิปัสสนาให้เขาพิจารณา ไม่อย่างนั้นจะฟุ้งนาน

ถาม : พิจารณาเท่าไร ?
ตอบ : ทั้งวันทั้งคืน ใช้วิธีพิจารณาตามปกติ ซักผ้า หุงข้าว ถูบ้าน เหนื่อยไหม ? ทุกข์ไหม ? อยากจะเกิดมาทำอย่างนี้อีกไหม ? ได้ทั้งวันแหละ

ถาม : แล้วถ้าพิจารณาอย่างนั้นทั้งวัน เราควรมีเวลามาภาวนาไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีก็เอา เพราะจะได้ช่วยเพิ่มกำลังของเราได้

ถาม : บางทีก็อ่านหนังสือ ?
ตอบ : อ่านหนังสือเป็นคำภาวนา หรือไม่ถ้าไม่ใช่หนังสือธรรมะ เราลองแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งอยู่กับการภาวนา อีกส่วนหนึ่งอยู่กับเนื้อหาหนังสือ ถ้าไม่ใช่หนังสือธรรมะ ต้องทำลักษณะนี้ แต่ถ้าหนังสือธรรมะ เอาทุกคำเป็นคำภาวนาไปเลย จับควบกับลมหายใจไปเลย

เถรี
23-06-2015, 16:08
ถาม : อ่านหนังสือธรรมะแล้วไม่รู้เนื้อหาเลย ?
ตอบ : เอาหนังสือเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ พอเป็นสมาธิแล้ว เราก็ภาวนาต่อไปเลย

ถาม : อ่านได้ไม่ถึง ๕ นาที ?
ตอบ : แสดงว่าจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน จะเริ่มไม่รับรู้อาการภายนอกแล้ว

เถรี
23-06-2015, 16:12
ถาม : เวลาเราฟังคนเขาพูดอะไรกัน เรารู้ว่าเขาจะพูดอะไรก่อน ตรงนี้เป็นญาณหรือคะ ?
ตอบ : เป็นสภาพจิตที่เริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ จะเกิดความเป็นทิพย์ขึ้นมา ความเป็นทิพย์นี้สามารถบอกได้ทุกเรื่อง แต่รู้ไปก็เท่านั้น ที่เราต้องการคือรู้เท่าทันสภาพจิตของเราว่ามี รัก โลภ โกรธ หลง อย่างไรบ้าง การรู้ทันในเรื่องของคนอื่น ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เป็นการที่พิสูจน์ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรานั้นมีผลจริง แล้วก็สร้างความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ไปสนใจใคร่รู้ตามแต่เรื่องนั้นเรื่องเดียว ก็จะเสียผล ถ้านานไปโทรศัพท์ดังก็จะรู้ว่าใครโทรมา บางทีได้ยินเสียงโทรศัพท์ก่อนเป็นนาทีเลยนะ ...(หัวเราะ)...

ถาม : ตั้งนาฬิกาปลุกและเราก็จะตื่นก่อน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะตื่นก่อนประมาณ ๕ นาที จะตรงเวลาเป๊ะเลย และก็ตื่นขึ้นมาเพื่อปิดนาฬิกา แต่ถ้าเราไม่ห่วงนาฬิกาปลุก ตั้งใจจะตื่นตอนนั้นก็จะตื่นตรงเวลา แต่ถ้าเราห่วงนาฬิกาปลุกมักจะตื่นก่อน ๕ นาที

เถรี
23-06-2015, 16:35
ถาม : ภาวนาไป บางทีง่วงตลอดเลย ?
ตอบ : นั่นเป็นกำลังของปฐมฌานหยาบ ถ้าก้าวพรวดข้ามไป ต่อไปก็จะไม่เกิดอีก ก็จะวิ่งข้ามไปสู่อารมณ์ฌานเลย อันนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าถึง

ถาม : ทำอย่างอื่นควบกับลมหายใจได้ไหม ?
ตอบ : ได้..เราหาสิ่งที่ทำเพื่อให้จิตไปอยู่ตรงนั้นแทน ไม่อย่างนั้นก็จะง่วงอีก

ถาม : คือเราจะต้องข้ามไปให้ได้ ?
ตอบ : ถ้าข้ามไปได้หลังจากนั้นจะไม่เกิดอีกเลย เพราะว่าถ้าสภาพจิตพอทรงตัวจนชินแล้ว ถึงเวลาก็จะวิ่งไปสู่ระดับฌานที่ตัวเองเคยถนัด ก้าวข้ามตรงจุดนี้ไปก็จะไม่ง่วงอีก

ถาม : ฌานที่ตัวเองถนัดนี่อย่างไรคะ ?
ตอบ : เกิดจากการฝึกฝนนี่แหละ พอเราชำนาญแล้ว แค่นึกก็เป็นไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาตั้งท่า ไม่ต้องเสียเวลากำหนดลมหายใจ

ถาม : เรื่องฌานนี่จะขึ้น ๆ ลง ๆ ค่ะ ?
ตอบ : ถือว่าปกติ เพราะว่าปกติต้องมีขึ้นมีลง แต่เราต้องพยายามรักษาระดับให้ได้

ถาม : ทำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ จะไม่ลง ?
ตอบ : ถ้าเรารู้จักรักษาระดับ อย่างเช่น พอเลิกปฏิบัติแล้วก็ประคองอารมณ์เอาไว้ ตั้งใจให้ทรงอารมณ์อยู่กับเราให้ได้ ๕ นาที ๑๐ นาที ครึ่งชั่วโมง พอหมั่นประคับประคองบ่อย ๆ จะได้นานขึ้นเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง แต่ถ้าเราไม่ได้คิดตั้งใจจะทำ เดี๋ยวเดียวก็หลุด

ถาม : ต้องตั้งเวลาไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องตั้งเวลาหรอก พยายามประคองดูว่าได้เวลาแค่ไหน หลังจากนั้นก็ตั้งสติให้ได้มากกว่านี้ ส่วนใหญ่ที่ทำกันในปัจจุบันคือพอเลิกปฏิบัติแล้วก็ทิ้งเลย พอทิ้งเลยก็ไหลตามกิเลสไปอีก

เถรี
23-06-2015, 16:47
ถาม : จะติดภาวนาเป็นส่วนมาก ถ้าเราภาวนาจนเป็นสมาธิแล้ว ต้องภาวนาต่อไหมคะ ?
ตอบ : คำภาวนาเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิแล้วไม่ต้องภาวนาก็เป็นเอง

ถาม : บางทีเราภาวนา แล้วก็กลายไปเป็นภาวนาคาถาอะไรก็ไม่รู้ ?
ตอบ : จับตามนั้นไปก่อน ไปสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับมา เพราะบางอย่างสภาพจิตรู้เองว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยู่ ๆ จากคำภาวนาปกติอาจจะกลายเป็นคาถาที่ใช้ป้องกันตัว ว่าตามนั้นไปก่อนเถอะ

ถาม : แต่เราไม่มั่นใจว่าจะใช่ ?
ตอบ : ถ้าไม่มั่นใจก็ดึงกลับมาที่คำภาวนาเดิมก่อน

เถรี
24-06-2015, 16:16
ถาม : รับฝากเขามาทำบุญอีกทีครับ ?
ตอบ : เขาฝากเรา เราก็ได้บุญอีกต่อหนึ่ง งานบุญของเขาจะไม่สำเร็จลงถ้าไม่มีเรา เขาได้อะไร เราจะได้ด้วย และได้มากกว่าเขาด้วย ฉะนั้น..ถ้าเขาถูกรางวัลที่ ๑ เราก็จะถูกด้วย

เถรี
24-06-2015, 16:20
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม วัดสระเกศมีงานฉลองพระอารามหลวงครบ ๒๓๒ ปี อาตมาฉันเพลที่ท่าขนุนเสร็จ ก็ปล่อยให้พระนำโยมปฏิบัติธรรม ส่วนตัวเองก็นั่งรถของคุณมงคลวิ่งมา ถึงวัดสระเกศก่อนบ่าย ๓ โมงเล็กน้อย อยู่ในงานพอให้เจ้าภาพรู้ว่ามาแล้ว รับปัจจัยไทยธรรมเสร็จ ขอตัวกลับประมาณบ่าย ๓ ครึ่ง วิ่งถึงวัด ๖ โมงครึ่งไปทำวัตรเย็น

ก็นึกว่าตัวเองเก่ง ปรากฏว่าเก่งได้ไม่ตลอด ตอนกลางคืนหลับ ๆ อยู่ พอพลิกตัว โอ๊ย...หลังยอก เจ็บจนตื่น ทีแรกว่าจะเอารถวัดมา คุณมงคลบอกว่ารถคันใหญ่ไม่คล่องตัว เอาไอ้กะเปี๊ยกวิ่งมาให้ วิ่งเร็วจริง คล่องตัวจริง แต่อะไรเวลาสะเทือนก็กระแทกใส่ตัวจนหมด อาตมาก็ไม่ใช่คุณมงคลจะได้มีวัสดุกันกระแทกรอบตัว อาตมามีแต่กระดูก แทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ ต้องให้หมอนวดซ่อมแล้วซ่อมอีก

ไปนึกถึงหลวงพ่อพระพรหมดิลก เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ตอนที่ท่านเปลี่ยนจากรถตู้ไปนั่งรถเบนซ์ อาตมาก็ไปยืนมอง ท่านเห็นก็รู้ ท่านบอกว่า "ข้าแก่แล้วโว้ย นั่งรถอื่นเวลาสะเทือนมาก ๆ ก็นั่งไม่ไหว จึงต้องยอมนั่งรถเบนซ์"

ตอนที่ท่านเป็นเจ้าคณะภาค อาตมาก็อยากให้เจ้านายรู้ว่าลูกน้องอยู่กันลำบากแค่ไหน เวลาจัดงานประชุมพระนวกะ จึงไปจัดที่สุดหล้าฟ้าเขียววัดสุดท้ายในเขตเลย ท่านเจอเข้าไปหนเดียว ไปบรรยายที่ไหนก็เอาเรื่องนี้ไปคุย ท่านบอกว่าเห็นพาไปริมเขื่อน มีแพมารับ วิวทิวทัศน์สวยอย่าบอกใคร ที่ไหนได้..พอวิ่งไปชั่วโมงกว่า ขึ้นจากแพแล้วก็ยังพานั่งโฟล์วีลไปอีก ๒ ชั่วโมงกว่า แทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ เพิ่งจะรู้ว่าลูกน้องเขาอยู่กันลำบากขนาดนี้ ฉะนั้น..เวลาจัดงาน ถ้าต้องการให้เจ้านายรู้ว่าเราอยู่ในสภาพอย่างไร ก็ต้องพาไปวัดไกล ๆ เลย"

เถรี
24-06-2015, 16:23
"ตอนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังเป็นพระสาสนโสภณ มีคนมาฟ้องท่านว่า พระที่ไปต่างประเทศไม่สำรวม แต่งกายเหมือนฆราวาส ว่าใส่หมวก ใส่ถุงมือ ใส่ถุงเท้า ใส่กางเกง ใส่เสื้อสเว็ตเตอร์ ท่านเองจึงเดินทางไปตรวจดู

ทางด้านโน้นพอรู้ว่าท่านจะมาดูเรื่องนี้ เลยมอบให้พระเสฐียรพงษ์ เปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นคนต้อนรับ (ปัจจุบันก็คือนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต) พระเสฐียรพงษ์พอท่านรู้ว่าท่านจะมาดูเรื่องนี้ ก็แต่งไปเต็มยศเลย อยากดูก็แต่งให้ดู ไปถึงก็นิมนต์พระเดชพระคุณขึ้นรถไฟ โอ้..หิมะกำลังตก เล่นเอาท่านหนาวเกือบตาย ไปถึงท่านจึงบอกว่า "ถ้าเป็นพื้นที่อย่างนี้ก็จำเป็นต้องใส่ชุดแบบนี้" คนฟ้องก็ฟ้องอย่างเดียว ไม่ดูว่าเขาอยู่กันอย่างไร"

เถรี
24-06-2015, 16:30
"วันนั้นเถ้าแก่เหมืองโดโลไมท์ที่กาญจนบุรี เอาเบนซ์ 500 S มารับ โอ้โห..กว้างจริง ๆ ข้างหลังนั่งกัน ๓ รูป ถ้าทิ้งโค้งแรงหน่อยก็กลิ้งเลย เพราะที่เหลือเยอะ แล้วเถ้าแก่ก็เกิดศรัทธาขึ้นมา "อาจารย์..เดี๋ยวคันนี้ผมถวายนะ" อาตมาถามว่ากินน้ำมันเท่าไร ? "๔ กิโลลิตรครับ" "ถ้าอย่างนั้นเถ้าแก่เอากลับไปเถอะ อาตมาเลี้ยงไม่ไหวหรอก" ลูกศิษย์บอกว่าเอามาเปลี่ยนแก๊ส โห..ถ้าน้ำมัน ๔ กิโลลิตร แก๊สจะถึง ๓ กิโลลิตรไหม ?

ถามเถ้าแก่ว่า "ถวายมาแล้วจะใช้รถอะไร ?" เถ้าแก่บอกว่า "ปกติก็ไม่ได้ใช้ จอดไว้เฉย ๆ" อ้าว..แล้วซื้อมาทำไม ? "ลูกสาวบอกว่ามีกิจการขนาดนี้ ถ้าไม่ขี่รถแบบนี้ คนจะดูถูกเอา" ถามว่าเถ้าแก่ซื้อมาเท่าไร ? "ซื้อเงินสดครับ ๘ ล้านพอดี" เลยบอกเถ้าแก่ว่า "ถ้าใครเขาคบคุณเพราะรถ คุณก็อย่าไปคบด้วยเลย" สรุปว่าแกก็เอาไปใส่กรงไว้เหมือนเดิม ไม่รู้รถทำผิดอะไร เอาใส่กรงขังไว้ แล้วก็ไปขับรถเก๋งเล็ก ๆ แทน"

เถรี
24-06-2015, 16:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่จันทร์ (พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง) สมัยยังเป็นเจ้าคุณราชวินยาภรณ์ อยู่วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านบอกว่า ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็เป็นวณิพกในเรือนเศรษฐี

คนไทยเราในปัจจุบันเป็นวณิพกในเรือนเศรษฐีกันมาก กลัวเขาจะไม่รู้ว่ารวย ต้องใช้ของยี่ห้อแพง ๆ ต้องกินร้านอาหารหรู ๆ แล้วก็ถ่ายลงเฟซบุ๊กกัน ตกลงว่าจะกินหรือว่าจะถ่ายรูป ? ต้องใช้รถยี่ห้อแพง ๆ แข่งกัน สังเกตไหม ? ช่วงนี้พวกบิ๊กไบค์เต็มถนนไปหมด ทั้ง ๆ ที่มอเตอร์ไซค์ ๕๐ ซีซี ก็พอใช้แล้ว ถนนบ้านเราเอารถใหญ่ไปวิ่งแบบนั้นได้อย่างไร มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งราคาเป็นล้าน ทำไมไม่ซื้อรถเก๋งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย"

เถรี
24-06-2015, 16:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานถ้าโยมสังเกต จะเห็นว่าอาตมาเกาตัวเองอยู่ตลอด เกิดจากครีม อาตมาไปได้พระงาช้างมา ๓ องค์ ทำความสะอาดเสร็จสรรพแล้วก็ให้เด็กไปซื้อครีมยี่ห้อหนึ่ง เอาพระงาช้างใส่กล่องแล้วเทครีมใส่ให้ท่วม พอรุ่งขึ้นเอาออกมา พระงาช้างขาวจ๋องเลย โดนกัดขนาดนั้น เสร็จแล้วก็เทครีมคืนขวด มีเลอะมือบ้าง จึงละเลงกับขาตัวเอง สรุปว่าขึ้นเป็นผื่นทั้งขาเลย แล้วสาว ๆ เขาใช้กันได้อย่างไร ? หรือว่าหน้าหนาขนาดไม่รู้สึก ?

ประเภทที่เขาโฆษณาใช้แล้วขาวขึ้น ขาวจนเปล่งออร่า อย่าไปเชื่อเลย ถ้าเอาไปให้ นางสาวมีเรียม ที่วัดอาตมาใช้ให้ตายก็ไม่ขาว เพราะเป็นแอฟริกัน เขารู้ว่าคนไทยชอบขาว แต่รู้ไหมว่าฝรั่งชอบดำ ? โดยเฉพาะสวิตเซอร์แลนด์ ความใฝ่ฝันหนุ่มสวิสฯ ทุกคนคือขอให้แต่งงานกับสาวไทย โดยเฉพาะสาวอีสาน

บ้านเรากลัวดำ แต่บ้านเขาชอบดำ ๆ บ้านเขาคนที่ผิวคล้ำคือคนที่มีโอกาสไปท่องเที่ยว ไปอาบแดด ด้านโน้นต้องการผิวดำ ๆ ดั้งหัก ๆ เพราะเขาดั้งโด่งพอแล้ว ใครไปทำดั้งโด่งมา เขาไม่แลเลย

เขาบอกว่าแต่งงานกับสาวไทยไป อันดับแรก ได้สาวใช้ไป ๑ คน ทำความสะอาดบ้านทั้งวัน อับดับที่ ๒ ได้แม่ครัวระดับเชฟโรงแรม ๕ ดาว ๑ คน ได้กินอาหารร้อนทุกวัน เพราะว่าฝรั่งกินแต่อาหารเย็น ๆ รสชาติไม่เอาอ่าวเลย ร้อยวันพันปีถึงจะได้กินอาหารร้อนสักครั้ง อันดับต่อไป ได้คนช่วยซักเสื้อผ้า แม่เจ้าพระคุณขยันเหลือเกิน ชิ้นหนึ่งก็โยนเข้าเครื่อง สองชิ้นก็โยนเข้าเครื่อง อันดับที่ ๔ ได้คนช่วยล้างจาน ไม่ต้องหวังประเภทอาทิตย์หนึ่งค่อยล้างที ขัดจนจานแหว่งไปเลยก็มี แล้วกิริยามารยาทความเคารพในสามีของเรามีมาก ไม่เหมือนกับฝรั่ง ประเภทถึงเวลา เอาตีนสะกิดหัวผัว อันนี้คนไทยเราไม่ทำ เพราะเราถือกัน"

เถรี
24-06-2015, 16:40
:4672615:เก็บตกเดือนมิถุนายนปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน