View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๘
ถาม : ภรรยาผมได้รับงานออกแบบบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบ้านเป็นชาวต่างชาติ และมีความประสงค์จะนำพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาเป็นส่วนประดับตกแต่งบริเวณสวนหลังบ้าน อยากทราบว่าเจ้าของบ้านมีโทษเพียงใด ? ทั้งนี้ได้คัดค้านไปแล้ว แต่เจ้าของบ้านก็ยังยืนยันเช่นเดิม ถ้าหากว่าทำงานนี้ต่อไปความผิดจะตกที่ผู้ออกแบบด้วยหรือไม่ประการใดครับ ?
ตอบ : ทั้งคู่ ทั้งคนตั้งใจประดับกับคนช่วยโดนด้วยกัน เป็นโทษปรามาสพระรัตนตรัย ทั้งชาตินี้และชาติหน้าไม่ต้องเข้าถึงมรรคถึงผลกัน
ถาม : เป็นผู้รับเหมานี่ปฏิเสธงานไม่ได้ด้วย ทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ทำไมจะปฏิเสธไม่ได้วะ ? แค่กูไม่เอางานนี้้ก็จบแล้ว..!
ถาม : การตั้งศาลพระภูมิ หากบริเวณบ้านในทิศที่เหมาะสม เช่น ทิศเหนือหรือทิศตะวันออก ไม่สามารถตั้งเป็นศาลแบบเสาเดียวได้ จะตั้งเป็นหิ้งแทน เพื่อเป็นการบูชาพระภูมิได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ตั้งดีกว่า
ถาม : แล้วอย่างนี้หากต้องการจะบูชาพระภูมิต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : รื้อบ้านทิ้งแล้วสร้างศาลแทน..!
ถาม : แต่เคยเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำเจ้าของร้านขายหมูที่อุทัยธานีให้ตั้งหิ้งที่หัวนอนอะไรอย่างนี้ เราทำอย่างนั้นได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องเฉพาะคน
ถาม : เจว็ดควรเป็นไม้ ทองเหลืองปิดทอง หรือเรซิ่นจึงจะถูกต้องเหมาะสมครับ ?
ตอบ : เป็นทองคำจะเหมาะสมที่สุด..!
ถาม : เจว็ดคืออะไรครับพระอาจารย์ ?
ตอบ : รูปเคารพในศาล
ถาม : ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามที่ท่านพระอาจารย์เคยแนะนำให้ติดที่ศาลพระภูมิ กรณีที่ตั้งบูชาเป็นหิ้งควรติดผ้ายันต์ที่ตำแหน่งไหนครับ ?
ตอบ : โปรดอย่าเข้าใจผิด กูไม่เคยแนะนำ เพียงแต่บอกว่าที่วัดทำอย่างนั้น อย่าเสือกทะลึ่งคิดว่าแนะนำ..!
ถาม : แล้วถ้าอยากบูชาควรทำอย่างไรครับ จุดธูปหน้าหิ้งพระเอาอย่างนี้ ?
ตอบ : คำตอบอะไรที่ตอบไปจะสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว อย่าเสือกแสดงความเห็นเพิ่มเติมอีก..!
ถาม : ยันต์ปัญจพุทธา มีวิธีการเขียนชักยันต์ที่ถูกต้องและถูกวิธีอย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้ปากกาหรือดินสอเขียน
ถาม : มีคาถากำกับในการเขียนยันต์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทรงสมาบัติแปดให้ได้ก็พอ
ถาม : มีวิธีการปลุกเสกในขณะเขียนยันต์อย่างไรครับ ?
ตอบ : เขียนเสร็จก็ใช้ได้เลย
ถาม : และสุดท้าย มีวิธีการปลุกเสกแผ่นยันต์ปัญจพุทธาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตั้งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ บายศรี ๙ ชั้น
ถาม : ถ้าบ้านไหนที่มีการทำบุญบ้านแล้วมีการถวายภัตตาหารพระ อยากทราบว่าอาหารที่พระฉันเหลือแล้ว คนที่มาร่วมงานทั้งหมดสามารถนำไปกินต่อหรือนำอาหารที่เหลือกลับบ้านได้หรือไม่ ? และมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : หากว่าเป็นของที่บ้าน พระฉันเหลือแล้วก็เป็นสิทธิ์ของโยม
ถาม : พวกภาชนะหรือของใช้ต่าง ๆ ในงาน จะกลายเป็นของสงฆ์หรือว่ายังคงเป็นของผู้ที่จัดหามาครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจถวายจะเป็นของสงฆ์ไปด้วย แต่โดยนัยปกติเป็นที่รู้กันว่าถวายแค่อาหาร พระรูปไหนหยิบถ้วยจานใส่ย่ามก็ตีมือเลย..!
ถาม : ระหว่างการทำบุญบ้านโดยนิมนต์พระมากับการไปถวายภัตตาหารที่วัดโดยตรง หรือว่าทำบุญใส่ซองถวายปัจจัยเป็นค่าภัตตาหารเลี้ยงพระ จะมีอานิสงส์เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ทำบุญที่บ้านจะมีอานิสงส์เหนื่อยมากกว่า..!
ถาม : ผมได้นำพระเครื่องวัตถุมงคลที่มีอยู่ไปเปิดประมูล โดยตั้งหัวข้อประมูลดังนี้ "ประมูลเพื่อสะสมยอดเงินไปทำบุญกับวัดท่าขนุน ๑๐๐%" ต่อมาได้ทำการประมูลหลายครั้ง เมื่อสะสมเงินได้จำนวน ๕,๐๐๐ บาท จึงได้ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูปทองคำ โดยได้ร่วมจองตะกรุดมหาสะท้อน รุ่น ๕ วัดท่าขนุน จำนวน ๑ ดอก เพื่อความมั่นใจจึงขอเรียนถามว่าตะกรุดนี้จะเป็นของใคร ระหว่างผมกับผู้ร่วมประมูลครับ ?
ตอบ : ถือว่าฉ้อโกง มีโทษเท่าย้ายเจดีย์ เพราะว่าเขาตั้งใจทำบุญ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ทำบุญให้ไปบูชาตะกรุด
ถาม : ตามปกติทางเว็บวัดท่าขนุนจะมีการแจกปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ทุกปี แต่เนื่องจากปีนี้ไม่มีแจก ลูกจึงขออนุญาตถามหลวงพ่อว่าลูกจะยึดฤกษ์พรหมประสิทธิ์ได้จากที่ใดคะ ? ถ้าเป็นปฏิทินที่แจกเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๘ นี้สามารถใช้ได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อก็ใช้ได้
ถาม : สัจจะสมมุติ หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน
ถาม : แล้วเราจะพิจารณาสัจจะสมมุติให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร ?
ตอบ : ต้องไปถามคนที่เคยได้ยิน
ถาม : สำหรับคนที่เริ่มปฏิบัติกรรมฐาน จะฝึกแบบไหนถึงจะได้ผลเร็วที่สุด ?
ตอบ : รักษาศีล เจริญสมาธิ พิจารณาวิปัสสนาญาณ
ถาม : สำหรับนักปฏิบัติที่ปฏิบัติได้ในระดับหนึ่งแล้ว แล้วทิ้งการปฏิบัติไปนาน ๆ แล้วกลับมาปฏิบัติใหม่ ต้องใช้เวลานานไหมครับถึงจะกลับมาที่จุดเดิม แล้วควรเริ่มพื้นฐานตั้งแต่เดิมเลยหรือไม่ ?
ตอบ : ลองทำดูถึงจะรู้ว่านานเท่าไหร่ จะมาถามหาส้น..อะไรวะคำถามแบบนี้...!
ถาม : สำหรับบุคคลที่เชื่อมั่นในบุญกรรมฐาน กับบุคคลที่เชื่อมั่นในบุญแห่งการให้ทาน เช่น สังฆทาน ต่างกันอย่างไร แล้วจะเห็นผลในปัจจุบันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาเป็นผลในปัจจุบันจริง ๆ คือ บุญกรรมฐาน ถ้าสามารถทรงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ได้จะเห็นผลในปัจจุบัน
ถาม : แล้วอานิสงส์ของบุคคลที่นิยมการทำบุญ ๒ อย่างนี้ให้ผลแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ให้ทานจะรวย เรื่องบุญกรรมฐานจะช่วยในการตัดกิเลส เป็นคนละเรื่องกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า “ในเรื่องของการถามคำถาม สิ่งที่ตอบไปจะพอดีอยู่แล้ว ถ้าพยายามไปแสดงความโง่ด้วยการออกความเห็นเพิ่มเติม อาจจะเป็นการตีความผิดและอาจจะทำให้คนอื่นเสียประโยชน์ไปด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าทำหน้าที่ถามอย่าพยายามเพิ่มความเห็นของตัวเองเข้าไป
ส่วนปัญหาหลายปัญหา ไม่ใช่ปัญหาแต่พยายามจะถาม ต้องบอกว่าถามแบบคนที่ขาดปัญญามาก เรื่องของการปฏิบัติ วิธีที่ดีที่สุดคือลงมือทำ ไม่ใช่ถาม การถามมีแต่จะพาให้ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะกำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างเช่นถามว่าใช้เวลานานเท่าไร ไม่มีใครตอบคุณได้หรอก
เพราะกำลังใจแต่ละคนไม่เท่ากัน เหมือนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “ถ้าปฏิบัติแบบนี้อีก ๑๐ ปีถึงจะเห็นหน้าเห็นหลัง” แต่หลวงพ่อท่านใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือน เนื่องเพราะว่าการพยากรณ์เป็นไปตามกำลังใจปัจจุบัน
อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเราขับรถด้วยความเร็ว ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นเวลา ๑ ชั่วโมงครึ่งจะถึงกาญจนบุรี แต่ถ้าเราลดความเร็วลงก็จะถึงช้ากว่านั้น ถ้าเพิ่มความเร็วขึ้นก็จะถึงเร็วกว่านั้น เป็นต้น จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราล้วน ๆ หลายต่อหลายท่านปฏิบัติดีอยู่ในช่วงหนึ่ง ได้รับคำพยากรณ์จากเทวดา จากพรหมหรือจากพระ ว่าจะเข้าถึงมรรคผลเมื่อนั้นเมื่อนี้ เกิดความดีใจขึ้นมา เสร็จแล้วก็เอ้อระเหยลอยชายไป มั่นใจว่าได้แน่ ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ๒๐ กว่าปีผ่านไปยังไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าไปทิ้งความเพียรในการปฏิบัติของตัวเอง ต้องบอกว่าไปลดความเร็วของรถที่ตัวเองขับ ทำให้ถึงช้ากว่าที่ท่านพยากรณ์เอาไว้”
สายท่าขนุน
07-04-2015, 00:47
ถาม : สัจจะสมมุติ หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน
ถาม : แล้วเราจะพิจารณาสัจจะสมมุติให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร ?
ตอบ : ต้องไปถามคนที่เคยได้ยิน
คำถามนี้ หากเป็นคำว่า "สมมติสัจจะ" นั้น พระอาจารย์เคยกล่าวถึงไว้แล้ว
ซึ่งท่านแนะนำว่า อะไรที่ได้เคยบอกไปแล้ว ให้ไปค้นหาในเว็บดูเองได้
จึงขอนำลิงก์ข้อความที่ท่านเคยกล่าวถึง "สมมติสัจจะ"
เฉพาะในส่วนของความหมายและการใช้ประโยชน์ มาบางข้อความ ดังนี้
๑) http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=483
๒) ข้อความที่ ๑๓ :
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1582
๓) ข้อความที่ ๑๔๘ :
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=89314
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เห็นการจองวัตถุมงคลในเว็บวัดท่าขนุนแล้ว ถึงได้เข้าใจที่เขาว่า "ไม่ดูตาม้าตาเรือ" เป็นอย่างไร เขาเขียนว่าปิดจองตัวเบ้อเริ่มเลย ก็ไม่มอง กูจะจองเสียอย่าง กติกาเขาระบุไว้ชัดเจนก็ไม่ฟัง ห้ามใช้เลขอารบิก ห้ามเขียนผิด ห้ามแก้ไขกระทู้ กูทำทุกอย่าง อย่างที่โยมเห็นนี่ บอกว่าหล่อพระเนื้อเงินแท้ ดันถวายมาทั้งทองเหลือง มาทั้งนาก กูจะหล่อเสียอย่าง"
"บางคนก็ไปเชื่อพ่อค้า เอาแผ่นเงินมาถวาย บอกว่าไปซื้อแผ่นเงินมา แต่พ่อค้าเอาแผ่นเคลือบเงินมาให้ ก็ดูไม่เป็น แผ่นเท่านี้ในท้องตลาดเป็นแผ่นทองเหลืองมีเงินเคลือบหน้าอยู่นิดเดียว แล้วที่เคลือบอยู่ก็ส่วนใหญ่ไม่ใช่เงินหรอก เขาเคลือบที่คนจีนเรียกแปะตั๊ง ก็คืออัลปาก้า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรียนจบเมื่อไรจะไปผ่าตัดตาแล้ว ไม่อย่างนั้นสายตาแย่ลงไปเรื่อย ๆ อาตมาไปตัดหญ้าแล้วหินดีดเข้าตา ทำให้ตาแตก พอรักษาแผลหายแล้วปรากฏว่ากล้ามเนื้อยึดไม่เท่ากัน ตาเลยเอียงไปข้างหนึ่ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคมที่ผ่านมา ตอนหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน ขนาดหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ช่างเขาบอกว่าเตาหลอมร้อนมาก ต้นไม้อาจจะตายหมดสวนเลย อาตมาบอกกับช่างว่าต้นไม้ตายไม่เป็นไร ให้พระหล่อออกมาสำเร็จแล้วกัน
ปรากฏว่าก่อนถึงเวลาหล่อพระฝนกระหน่ำเสียหนัก ตกลงว่าไม่มีอะไรเสียหาย แม้แต่หญ้ายังไม่ตายเลย โดยปกติถ้าฝนตกก่อนหล่อพระนี่ช่างร้องไห้แล้ว เพราะว่าพอแบบเย็นแล้ว ส่วนใหญ่เนื้อโลหะจะแล่นไม่ถึงกัน ปรากฏว่าพระของเราออกมา ช่างใช้คำว่าสมบูรณ์พันเปอร์เซ็นต์ ออกมางามจริง ๆ เกือบไม่ต้องขัดแต่งเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "โชคดีที่พระท่านอนุญาตให้สร้างตะกรุดมหาสะท้อนอีกรุ่น ไม่อย่างนั้นของเก่านี่แพงมาก เป็นวัตถุมงคลชนิดเดียวที่ทำถึง ๕ รุ่น ที่ผ่านมาอย่างอื่นทำเต็มที่ก็ ๒ รุ่น ยังไม่มีรุ่นที่ ๓ แต่สำหรับตะกรุดมหาสะท้อน ถ้ารวมรุ่นพิเศษด้วยก็ ๖ รุ่นเข้าไปแล้ว รุ่นพิเศษทำสำหรับบรรจุด้ามมีดหมอเพชราวุธ
ท่านที่จองตะกรุดมหาสะท้อนรุ่นนี้เอาไว้ ไม่ต้องรอถึงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ตะกรุดมหาสะท้อน โดยปกติเป็นการเขียนแล้วเสกในตัว ไม่จำเป็นต้องมีพิธีใหญ่ ดังนั้น..ทันทีที่ทำเสร็จครบจำนวน อาตมาก็จะทำพิธีขอบารมีพระท่านเสกให้ แล้วแจกจ่ายให้กับผู้จองเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานวิ่งมาทางวัดไผ่โรงวัว ไปเห็นเขาสร้างบ้านไม้แล้วชอบใจ จึงสั่งให้เขาทำกุฏิรับรองขึ้นมาอีกหลัง เดือนที่แล้วเพิ่งตั้งกุฏิรับรองไป ๒ หลัง เนื่องจากว่าพระผู้ใหญ่เวลาไปวัดท่าขนุน ถ้าไปสัก ๓-๔ รูปขึ้นไป มักจะหาที่พักลำบาก จึงต้องตั้งเผื่อเอาไว้ก่อน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้านเล่มที่ ๒ ที่พิมพ์ออกไป มีเนื้อหาเพิ่มเติมตอนท้ายมา โดยเฉพาะรูป พร้อมกับปรับปรุงลักษณะของรูปเล่มดีขึ้น เล่มนี้ขอ ๑๐๐ บาท เพราะว่าเป็นกระดาษอาร์ตทั้งเล่ม ใครที่ไม่ได้รับแจกเมื่อวันงานฉลองบ้านวิริยบารมี ก็เตรียมตัวควักกระเป๋าไปซื้อกันได้
วันงานอาตมาแจกไป ๒,๐๐๐ กว่าเล่ม การจัดรูปเล่มเกิดจากฝีมือ คุณนก (ชัญญา ดำรงค์วานิช) ออกแบบให้ จะเห็นว่ามีคั่นหัวเรื่องต่าง ๆ หน้าปกรูปพระปิดตาสวย ๆ ก็ฝีมือคุณนกทั้งนั้น ได้คุณนกมาช่วยงาน ทำให้การงานคล่องตัวและเบาแรงไปมหาศาลเลย โดยเฉพาะการติดต่อกับโรงพิมพ์ต่าง ๆ คุณนกจะมีความคล่องตัวในเรื่องนี้มาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายท่านไม่ค่อยดูตาม้าตาเรือ ถึงเวลาตั้งหน้าถามอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่คำถามนั้นเขาถามกันไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ในเว็บก็มีไม่ไปหาดู แม้แต่การจองวัตถุมงคลก็เหมือนกัน อย่างสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์เนื้อทองคำ หมดไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เปิดจอง นี่ผ่านมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ยังตั้งหน้าตั้งตาจองเนื้อทองคำกันอยู่แหละ ก็ดีเหมือนกัน จองแล้วรู้สึกสบายใจว่าได้จอง กติกาเขาก็ระบุชัดว่าให้จองเนื้อเงินไม่เกินคนละ ๕ องค์ ตะบันมาถึงก็ “จอง ๑๐ องค์ครับ” บุคคลประเภทนี้ต้องบอกว่าสมควรตาย..!
ในเมื่อสภาพจิตของเราหยาบจนกระทั่งไม่ดูตาม้าตาเรืออะไรเลย ก็แปลว่าถ้าปฏิบัติธรรมไป โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมที่เป็นส่วนละเอียดก็ยาก โอกาสต่อไปโปรดดูตาม้าตาเรือด้วย คำว่า “ดูตาม้าตาเรือ” มาจากการเล่นหมากรุก เพราะถ้าไม่ดู เผลอวางขุนลงไปอาจจะตายฟรี เนื่องจากว่าเรือจะเดินเป็นแนวตรงตลอดเส้น ส่วนม้านั้นเดินตรง ๓ ขวาง ๒ ตกลงเล่นกันเป็นหรือเปล่า ? สรุปง่าย ๆ ว่าม้าเดินเป็นรูปตัว L ส่วนขุนสามารถเดินได้รอบตัว ตูว่าอธิบายไปก็เสียเปล่า..!
อาตมาไม่เคยเล่นหมากรุกมาก่อน ไปเล่นครั้งแรกตอนสมัยที่อยู่ชายแดน เพราะเพื่อนไม่มีคนเล่นด้วย ออกเวรแล้วก็นั่งเหงา ๆ เลยมาสอนอาตมาให้เล่นว่าตัวไหนเดินอย่างไร หลังจากที่รู้วิธีเล่น กระดานแรกอาตมายันเสมอกับเพื่อน กระดานที่ ๒ กินเพื่อนหมดตูดเลย สรุปว่าเพื่อนไม่รอบคอบ เพราะว่าการเล่นหมากรุกจะมีการ "ผูก" กันอยู่ ถ้าสมมติว่าเรากินตัวนี้แล้วเราจะเสียมากกว่า เราจะไม่กินก็ได้ ปล่อยยันกันไว้เป็นการผูกกันอยู่ ปรากฏว่าเพื่อนเผลอไปเลื่อน เมื่อโดนกินแล้วขาดทุนก็เป็นอันว่ากระจายทั้งกระดาน"
"ลักษณะของนักปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ต้องพิจารณาให้รอบคอบและรอบด้าน ทันทีที่ขยับตัวเราต้องรู้ว่าศีลจะขาดหรือเปล่า ถ้ายังไม่สามารถทำถึงตรงจุดนี้ได้ ชีวิตนี้ยังเอาดีได้ยาก ถ้าเราขยับตัว สติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าศีลจะบกพร่องหรือไม่ ? กาย วาจา ใจของเราจะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่นหรือเปล่า ? ถ้าลักษณะนี้พอที่จะเอาตัวรอดได้
ส่วนในเรื่องของสมาธิ ต่ำสุดต้องทรงปฐมฌานละเอียดได้ ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอที่จะสู้กับกิเลส เนื่องเพราะว่าการที่เราจะรู้ว่ากิเลสเข้าเมื่อไรนั้น อันดับแรกต้องมีสติ เมื่อมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาจะรู้ทันที ก็ต้องมีข้อที่ ๒ คือสมาธิ ระงับยับยั้งตนเองไม่ให้ไหลไปตามกระแสกิเลสที่เข้ามาชักจูง
หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญา ซึ่งเกิดจากความสงบของจิตด้วยอำนาจของสมาธิ ในการห้ำหั่นตัดฟันกิเลสตัวนั้น ๆ ด้วยกรรมฐานคู่ศึก อย่างเช่นว่า ถ้าโกรธก็ต้องแผ่เมตตา หรือว่าถ้าเกิดราคะขึ้นมาก็ต้องพิจารณาในกายคตาสติและอสุภกรรมฐาน เป็นต้น จนกระทั่งสามารถระงับยับยั้ง หรือว่าตัดกิเลสนั้นลงได้
แรก ๆ อย่าพึงหวังว่าจะตัดได้ทีเดียว เราสามารถระงับไม่ให้กิเลสกำเริบได้ถือว่าสุดยอดแล้ว หลังจากนั้นก็หาวิธีค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลาไป แต่ถ้าใครกำลังสมาธิสูงพอ มีความคล่องตัวในการเข้าออกฌานสมาบัติได้อย่างใจของตน จะสามารถระงับกิเลสได้ทันท่วงทีทุกครั้ง แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะถ้าเผลอสติ ต่อให้ทรงสมาธิได้สูงขนาดไหน ถ้าโดนกำลังของกิเลสตีกลับมาท่วมทับ กำลังสมาธิไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เราก็ต้องไปทนทุกข์ทรมานกับกิเลสที่จะมาทำลายเรา ทำร้ายเราอีก"
"พยายามทบทวนอยู่ทุกวัน ว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหน ? ยังตรงเป้าหมายอยู่หรือไม่ ? ห่างจากจุดมุ่งหมายใกล้ไกลเท่าไร ? ต้องทำอย่างไรถึงจะเข้าใกล้จุดหมายนั้น ? ส่วนใหญ่แล้วพวกเราพอทำไประยะหนึ่ง ก็ลืมแม้กระทั่งจุดมุ่งหมายของตน แล้วก็ไม่ได้พากเพียรพยายามที่จะตั้งหน้าตั้งตาทำให้สำเร็จผลจริง ๆ จึงเหมือนอยู่ในสภาพของคนที่เดินไปถึงทางตัน หาความก้าวหน้าไม่ได้ กี่ปี ๆ ทำไปก็ได้อยู่แค่นั้น
อย่าลืมว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ในเรื่องของการสร้างความดี มีระดับของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ถ้าศีลของเรายังบกพร่องอยู่ ระดับแรกของเรายังเข้าไม่ถึง จะให้ทรงสมาธิจนเอาดีได้เลยย่อมเป็นไปได้ยาก ถ้าหากว่าศีลไม่ทรงตัว สมาธิไม่หนักแน่น จะให้ปัญญาเกิดเพียงพอในการสู้กับกิเลส ก็เป็นของที่เป็นไปไม่ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงจึงเตือนพระ ตลอดจนญาติโยมให้ทวนศีลของตนเองอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะพิจารณาในสังโยชน์ ๑๐ ว่ามีตัวใดที่ยังร้อยรัดเราอยู่ ให้พยายามที่จะตัดละไปทีละตัว
จริง ๆ ที่ว่ามาทั้งหมดนี่มากกว่าที่สอนตอนเจริญกรรมฐานอีก แต่เพียงรู้สึกว่าเหมือนกับตักน้ำรดหลังหมาอย่างไรไม่รู้ เข้าใจคำว่าตักน้ำรดหลังหมาไหม ? คือถ้าตักน้ำรดหัวตอ หัวตอยังเปียก ตักน้ำรดหลังหมา โดนสะบัดพรืดเดียวหายหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้เอาเสื้อสีม่วงไปใส่กันดีไหม ? ใส่สักวันหนึ่งจะได้ถ่ายรูปกับป้าย ใครไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนช่วงสงกรานต์ขอเสื้อสีม่วงสักตัวหนึ่ง จะได้นัดกันใส่แล้วถ่ายรูป ถวายสมเด็จพระเทพฯ ท่าน ปกติวัดเราต้องส่งรายงานการปฏิบัติทุกปีอยู่แล้ว ปีนี้มัวแต่วิ่งเรื่องวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกอยู่ เพิ่งจะส่งรายงานไปเมื่อ ๒ อาทิตย์ก่อนนี้เอง ปกติต้องส่งประมาณต้นเดือนมกราคม”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมามีการบวชพระหลายรูป ในส่วนที่ชอบใจก็คือท่านตั้งใจปฏิบัติกันจริง ๆ แม้กระทั่งเวลาพักผ่อนก็ยังไปนั่งซ้อมนั่งทวนสวดมนต์กัน นอกเหนือเวลากรรมฐานท่านก็ยังไปเดินจงกรม ไปภาวนาของท่านกันอยู่ ถือว่าท่านทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เป็นที่น่ายินดีและน่าโมทนา ถ้ารักษาความดีนี้ไว้ได้ โอกาสที่จะเจริญงอกงามในพุทธศาสนาก็มีสูง พระที่วัดเขาเลิกสงสัยกันแล้วว่าหลวงพ่อไม่ค่อยอยู่วัด ทำไมกลับไปแล้วด่าถูกทุกที”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ศาลาการเปรียญวัดท่าขนุนที่สร้างในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ค่าใช้จ่ายอยู่ที่เกือบ ๕๔ ล้านบาทแล้ว ตอนช่วงนี้เหลือของแพง ก็คือการกรุหลังคา ต้องบอกว่าทำฝ้านั่นแหละ แต่กรุด้วยไม้ ซึ่งเราทุกคนก็รู้ว่าไม้ราคาแพงแค่ไหน
ตอนนี้ไม้พื้นของหมู่เรือนไทยลงเต็มครบถ้วนแล้ว ก็เหลือแต่ไม้กรุหลังคา คาดว่าอีกหลายล้านกว่าจะจบ แต่ได้แจ้งเอาไว้แล้วว่าพยายามจะให้เสร็จภายในสงกรานต์ ดูท่าจะเหลืองานไปเกินสงกรานต์อีกหน่อย
ท่านใดที่จะไปปฏิบัติธรรมช่วงสงกรานต์ จะเห็นความก้าวหน้าของงานด้วยตัวเอง กรุณาเดินขึ้นไปให้ถึงชั้นบนที่เป็นหมู่เรือนไทยด้วย บันไดแค่ ๖๖ ขั้นเท่านั้น คุณสุรีย์ที่เป็นช่างรับเหมา จากคนสุขภาพไม่ดี เดินจากที่พักตรงแดนสงบด้านหลังโรงครัวของวัด ขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก็หอบจนต้องนั่งพัก เดี๋ยวนี้บันได ๖๖ ขั้นนี่เรื่องเล็กเลย ขึ้นอยู่ทุกวันจนแข็งแรงไปโดยปริยาย มีคนถามว่า “ทำไมไม่ติดลิฟต์ ?” ขอตอบว่า “อาตมาชอบขึ้นบันได เพราะฉะนั้น..คนอื่นก็ต้องชอบด้วย..!”
เหตุที่ไม่ติดลิฟต์เพราะว่าทองผาภูมิทั้งอำเภอมีลิฟต์อยู่ที่เดียว ก็คือสำนักงานเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ถ้าขืนไปทำเป็นแห่งที่ ๒ ก็จะแปลกแยกจากสังคมแบบนั้น ต่อไปอะไรดี ๆ จะไปไว้ชั้นบนให้หมด ...(หัวเราะ)... ใครอยากเห็นต้องเดินขึ้นไปดูเอง
หลวงปู่อำนวย (พระครูมงคลสุตาภรณ์ วัดไชยชนะสงคราม) ไม่ได้มางานวัดครั้งหนึ่งเพราะไปผ่าตัดลอกต้อหิน โผล่มาตกใจ “อาจารย์เล็กเนรมิตศาลามาได้อย่างไร ?” กราบเรียนว่า “ไม่ได้เนรมิตหรอกครับ ช่างเขาทำ หลวงปู่ไม่ได้มาตั้งปีหนึ่งแล้ว”
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดูส่วนรวมเป็นใหญ่ เหมือนกับที่วัด พระหลายรูปท่านทำงาน ท่านก็เล่นนิติศาสตร์ตรง ๆ เลย อาตมาต้องคอยเตือนท่านว่า ถ้าคุณมองระหว่างบุคคลต่อบุคคลก็ได้ แต่ถ้าคุณมองภาพรวมว่าทั้งวัดนี่ไม่ได้แล้ว คุณต้องคำนึงด้วยว่า ถ้าตรงไปตรงมาจนเกินไป จะมีผลกระทบอะไรบ้าง
เรื่องของพระจะพอเหมาะ พอดี พอควร แต่ถ้าคนอวดรู้ อวดฉลาดเอาไปขยายความ บางทีเสียหายเยอะ เหมือนอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวถึง เป็นที่เข้าใจกันว่าคืออะไร แต่เขาเอาไปขยายความเสียชัด หลายเรื่องมีโอกาสที่จะโดนข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือแอบอ้างเบื้องสูง เวลาคนเกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมาก็อยู่ในลักษณะที่ว่า เรารู้แล้วควรจะบอกต่อ เพื่อคนอื่นจะได้เห็นความสำคัญของเรา กลายเป็นเอากิเลสตัวเองรวมเข้าไปด้วย แล้วเรื่องก็กลายเป็นเสียหายในวงกว้าง"
พระอาจารย์กล่าวถึง กฐินปลดหนี้ที่เนปาล "คิดว่าถ้าไปคณะใหญ่ จะไปเที่ยวคงลำบาก คงต้องมุ่งเป้าไปกฐินก่อนเลย เรื่องเที่ยวกลายเป็นของแถม มีโอกาสก็แวะ ไม่มีก็กลับ เพราะคณะใหญ่เราจะไปใช้รถตู้ก็เปลืองมาก ทางด้านเนปาลเขาบังคับเลยว่า รถคันหนึ่งต่อไกด์คนหนึ่ง ในเมื่อเป็นดังนั้น ถ้าเราใช้รถใหญ่ ทางนั้นรถใหญ่จะวิ่งอย่างไร ถนนกับรถตู้เท่ากันพอดี ไปมาแล้วยังสงสัยว่าผ่านมาได้อย่างไร ?
คนกรุงเทพฯ ถ้าถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเหมือนคนเนปาลบ้านเมืองจะน่าอยู่มากเลย รถราแน่นไปหมด คนก็เยอะ แต่เขาไปกันได้ ขนาดเราวิ่งไปเต็มถนน ไม่มีทางหลีกกันเลย เขาก็ประเภทคนโน้นถอยนิด คนนี้ถอยหน่อย คันนั้นมุดเข้าซอย แล้วก็ไปกันได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจองสมเด็จองค์ปฐมครั้งนี้ ถ้าพลาดเพราะพิมพ์ผิดนี่คงจำไปอีกนาน อย่างที่บอกไปเมื่อเช้าว่า ส่วนใหญ่จองกันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ดูกติกาอะไรทั้งนั้น จองอย่างเดียวเลย ขนาดว่ามีการแจ้งกติกาเป็นระยะ ๆ ก็ยังอุตส่าห์ผิดกันจนได้ บางคนก็บอกแก้ไขแค่สถานที่รับ ไม่ได้แก้ตัวเลขจอง "อ๋อ...จะแก้อะไรก็โดน" บางคนก็เร่งให้รับรองสถานภาพตัวเองไว ๆ เพราะยืนยันตัวตนแล้ว ก็ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของมัคคนายกเท่านั้น
เดี๋ยวต้องมีเรื่องประหลาดใจปิดท้ายกระทู้วัตถุมงคล เพราะว่าทั้งตะกรุด ทั้งสมเด็จองค์ปฐม ก็น่าจะพอชดเชยกับทองที่ซื้อไปแล้ว สมเด็จองค์ปฐมเอาปัจจัยไปสร้างมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ ส่งท้ายปิดกระทู้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไร ถึงเวลาจองแล้วก็ให้ทันแล้วกัน..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะแจกหนังสือประวัติวัดท่าขนุนในงานศพคุณถาวร สองเมือง โยมเขาช่วยงานวัดมานานแล้วมาเสียชีวิต ช่วยกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาเขาตายก็ให้แบบไม่ต้องเสียดาย
เวลาญาติโยมที่เคยใส่บาตร ถ้าเขาตาย อาตมาสั่งพระที่วัดไว้เลยว่า จองเป็นเจ้าภาพในนามของวัดอย่างน้อย ๑ คืน แล้วก็ถามเขาด้วยว่ามีแขกเท่าไร วันออกศพจะได้เอาของที่ระลึกไปช่วย อย่างน้อย ๆ ให้คนเขาเห็นว่าไม่เสียทีที่ใส่บาตรวัดนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่กี่วันอาตมาต้องไปรับตราตั้งเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ อาตมาเคยลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลมาครั้งหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าปีนี้ตำแหน่งว่างทีเดียว ๓ ตำแหน่ง ก็แปลว่าปฏิเสธอย่างไรก็ไม่รอด โดยเฉพาะตำแหน่งที่ว่างก็คือตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งวัดท่าขนุนเอง
โดยปกติแล้วเกณฑ์อย่างหนึ่งก็คือว่า เจ้าคณะตำบลต้องอยู่ในพื้นที่ตัวเอง จึงปฏิเสธไม่ได้ โดนเขาจับยัดจนได้ แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ปกติแล้วจะต้องเป็นรักษาการก่อน ๖ เดือน ลักษณะเหมือนกับทดลองงาน ถ้าเห็นสมควรถึงจะตั้งให้ แต่ปรากฏว่าอาตมาไม่ได้มีการทดลองงาน ตราตั้งมาเป็นตัวจริงไปเลย เขาอาจจะเห็นว่าของเก่าเคยเป็นมาแล้วก็ได้"
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเรียนว่า "นึกถึงคำสอนของพระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านเคยเตือนมาตั้งแต่สมัยผมเรียนบาลีอยู่ ท่านบอกว่า “ท่านเล็ก เรื่องการเรียนอย่าทิ้งสมาธินะ ถ้าทิ้งเมื่อไรจะท้อ” เห็นชัด ๆ เลยว่า ถ้าสมาธิไม่ดีนี่ไปเลย เพราะอาตมาวัดตัวเองอยู่ตลอด
ท่านอาจารย์สั่งแก้วิทยานิพนธ์ แก้แล้วแก้อีก แก้แต่ละครั้งหน้าตาไม่ได้เหมือนเดิมเลย เรามีหงุดหงิดไหม ? มีเครียดไหม ? ต้องวัดตัวเองอยู่ตลอด วัดไปวัดมายังยิ้มได้อยู่ อาการยังไม่หนัก แต่ประเภทถึงเวลาโทรมา “อาจารย์..ผมไม่เรียนแล้ว..ผมลาออก” นั่นแสดงว่ารับแรงกดดันไม่ได้
ตอนนี้วัดท่าขนุนเลยไม่มีรองเจ้าอาวาส ไม่มีผู้ช่วยเจ้าอาวาส หมดสิ้นซากไปเลย ตั้งรองเจ้าอาวาสไว้ ๑ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสไว้ ๖ ไม่เหลือเลย รองเจ้าอาวาสกับผู้ช่วยเจ้าอาวาสจะพ้นตำแหน่งก็เมื่อ ๑.ให้ออก ๒.ไล่ออก ๓.ปลดออก ๔.มรณภาพ ๕.ลาออก ๖.ไปรับตำแหน่งที่อื่น ให้ออก ไล่ออก ปลดออกต้องผิดจริยาพระสังฆาธิการร้ายแรง ถ้าลาออกอยู่ในดุลพินิจ พ้นตำแหน่งเพราะมรณภาพนี่บังคับไม่ได้ ท่านตายแล้วก็ต้องให้ท่านตายไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการเรียน อาตมาเห็นเป็นของสนุก ก็คือเรียนเท่าไรก็ได้ความรู้เท่านั้น แต่คนอื่นรู้สึกว่าจะเครียดกับพวกตำรา
สมัยเรียนปริญญาตรี วิธีการเรียนของอาตมาก็คือ ทวนของเก่าว่าอาจารย์สอนไปถึงไหน ตั้งใจฟังในห้อง สรุปให้ได้ว่าวันนี้อาจารย์พูดถึงหัวข้ออะไร ในเมื่อได้หัวข้อใหญ่แล้ว หัวข้อย่อยคืออะไร จะจดอยู่แค่นั้น ส่วนรายละเอียดใช้วิธีจำเอา เมื่อจดเสร็จ เอามาลอกลงสมุดอีกครั้งหนึ่ง เท่ากับได้ทวนอีกรอบ แล้วก่อนสอบก็จะทำสรุปไว้อ่านทบทวน
มีอยู่วันหนึ่งท่านอาจารย์สุรวัฒน์ ทองเกลี้ยง กำลังตรวจข้อสอบอยู่ อาตมาเดินผ่านไปพอดี จึงถามท่านว่า “ขออภัยครับท่านอาจารย์ ผมได้เท่าไรครับ ?” ท่านอาจารย์ก็ถามว่าเลขที่เท่าไร พอแจ้งเลขที่ไปท่านก็ไปพลิกดู “เต็ม...เก่งนี่ครับ” เรียนท่านว่า "เป็นวิชาที่ผมอ่านน้อยที่สุดเลย อ่านแค่ ๒๐ เที่ยวเท่านั้นเอง" เด็กสมัยนี้อ่านได้สักเที่ยวหนึ่งไหม ?
เพราะฉะนั้น..ที่เด็กสมัยนี้เขาทึ่งว่าหลวงพ่อทำคะแนนเต็มร้อยได้อย่างไร บอกว่าไม่ต้องสงสัยเลย อ่านหนังสือต่างกันขนาดนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ ช่างณุบอกว่าจะเสร็จภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ ทั้งเนื้อชุบทองและเนื้อเงิน ค่าแรงค่าวัสดุทั้งสิ้น ๑,๑๖๕,๐๐๐ บาท โยมไม่ต้องตกใจ อาตมามีจ่าย แต่ว่าเนื้อทองคำ ๑๐๐ องค์ช่างณุทำถวายฟรี ๆ คือไม่คิดค่าแรง แต่อาตมาต้องจ่ายค่าทองเอง ถ้าทำถวายฟรีโดยไม่จ่ายค่าทองจะน่ารักกว่านี้มาก หนักองค์ละเกือบ ๒ บาท
ตอนช่วงนี้พวกบรรดาช่างและโรงงานทำวัตถุมงคล อยากทำวัตถุมงคลของวัดท่าขนุน เพราะว่าทำให้ทางโรงงานหรือทางช่างมีชื่อเสียง วัตถุมงคลของวัดออกมาหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเลย ซึ่งในส่วนนี้เป็นส่วนที่เขาสามารถเอาไปโฆษณาโรงงานของตัวเองได้ เพราะของที่อื่นส่วนใหญ่ทำมาแล้ว ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะออกได้หมด แต่ของวัดท่าขนุนส่วนใหญ่ทำยังไม่ทันจะเสร็จ ก็จองหมดไปแล้ว"
ถาม : เนื้อเงินไม่ทำเพิ่มหรือคะ ?
ตอบ : เนื้ออะไรก็ไม่ทำเพิ่ม "ท่าน" สั่งแค่ไหนก็ทำได้แค่นั้น อาตมาเป็นคนที่ไม่ชอบต่อรอง เพราะเกรงใจ..บาทาหลวงพ่อท่านใหญ่ เดี๋ยวโดนท่านเหยียบแบน..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ธนบัตรที่ระลึก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาส..ทำไมใช้ฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ แล้วถ้าเกิดรัฐบาลไม่จัดงานฉลองให้นี่ไม่แย่หรือ ? ต้องบอกว่าทำความดีแล้วมีคนเห็น งานจัดฉลองกันใหญ่ พอ ๆ กับงานสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่ฉลองครบรอบสำคัญ ๗๒ ปี ๘๐ ปีประมาณนั้น
ของฆราวาสที่เห็นก็มีคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ ตอนงานเผาคนแห่ไปเป็นแสนเลย นั่นทำความดีมาทั้งชีวิต เพียงแต่ขัดผลประโยชน์จึงโดนสั่งฆ่า คนเราตราบใดที่ยังเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่ ประเทศชาติก็เจริญยาก คนทำเพื่อประเทศชาติ แต่ไปขัดผลประโยชน์เขา ยังโดนสั่งฆ่าเลย"
ถาม : เวลามีคนถามถึงความหมายคำว่าบุญ เรานิยามด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าบุญคือความดี โดยเฉพาะความดีในบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการ เป็นสิ่งที่ทำแล้วทุกคนสรรเสริญ มีความเห็นร่วมกันว่าเป็นของดีแท้ ถ้าเราระบุตรงนี้ไม่ได้ คนเขายังขัดคอได้ ก็ไม่น่าจะใช่บุญแท้
ถาม : คำว่า บุญ กับ กุศล ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : กุศลจริง ๆ เขาหมายถึงความฉลาด เป็นความฉลาดในการทำความดี คนก็เลยมักจะเรียกรวมกันว่าบุญกุศล เพราะว่าเป็นเรื่องของความดีทั้งคู่ แต่อยากจะบอกว่าบุญคือความดีที่เราทำ กุศลคือผลดีที่เราได้จากการกระทำนั้น ถ้าแยกอย่างนี้จะชัดกว่า
ถาม : ขอให้ช่วยยกตัวอย่างหน่อยครับ ?
ตอบ : อย่างเช่นว่า บุคคลคนหนึ่งตั้งใจทำความดีมาตลอดชีวิต ผลของความดีก็ส่งให้เขาเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นที่เคารพนับถือและเชื่อถือของคนอื่น เพราะฉะนั้น..ส่วนที่เขาทำก็คือบุญ เมื่อบุญที่เขาทำส่งผลให้ ส่วนนั้นเรียกว่ากุศล
แต่โดยวิสัยของคนเราแล้ว ต้องบอกว่าไม่ค่อยจะยินดีกับความดีคนอื่น ยกเว้นว่าสิ่งนั้นเป็นของดีจริงดีแท้ ขนาดทำสิ่งที่ดีจริงดีแท้ ยังถูกคนสงสัยว่าทำเอาหน้าหรือเปล่า ? แต่อย่าถึงขนาดผันเงินของสหกรณ์ไปทำบุญเลย เดี๋ยวจะไม่ได้ประกันตัว..!
ถาม : สิ่งเล็กน้อย ๆ บางคนก็บอกว่าเป็นความดี ดังนั้นแต่ละคนก็ให้ไม่เท่ากัน ?
ตอบ : เขามองคนละอย่างกัน อย่างเช่นพวกเราไปทำสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน เขาก็ถามว่าทำไมไม่ไปเลี้ยงเด็กกำพร้าเล่า ? ทำไมไม่ไปช่วยคนยากจนในถิ่นทุรกันดาร ? เพราะฉะนั้น..อยู่ที่กำลังใจของเขา แต่ถ้าเรารู้จักสังเกตก็จะเห็นว่า สิ่งที่เขาว่ามาว่าเป็นความดีของเขาก็อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หมวดทาน ไม่ได้เกินไปจากนั้นหรอก
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา กำลังใจสูงก็ตีความได้สูง กำลังใจต่ำก็ตีความได้ต่ำ
ถาม : ทำอย่างไรจะทำให้กำลังใจสูง ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลถึงตรงนั้น เรามีหน้าที่ทำอย่างเดียว ถ้าละเอียดขึ้นก็จะเข้าถึงได้มากขึ้นเอง
ถาม : บางทีรู้สึกเหมือนถอยหลังค่ะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าถอยหลังก็รีบขึ้นหน้า รู้ตัวแล้วนี่
ถาม : คิดไม่ตก ?
ตอบ : ถ้าคิดไม่ตกแล้วก็เหมือนกับแบกโลกเอาไว้ เหนื่อยอย่าบอกใครเลย
ถาม : แก้ตนเองไม่ได้ แล้วไปแก้คนอื่น ?
ตอบ : ไม่มีใครแก้คนอื่นได้ เพราะคนอื่นก็คือโลก ไม่มีใครแบกโลกไหวหรอก ดูที่ตัว แก้ที่ตัว ถ้าตัวเราดี เดี๋ยวคนรอบข้างก็ดีตามไปเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราส่วนหนึ่งกลัวว่าจะดำ อาตมาเองขนาดเป็นลูกเจ๊กแท้ ๆ ยังตากแดดจนดำเลย ไปกลัวอะไรกับแดด ถ้าคนไหนขาว ๆ นี่จำไว้เลยว่าเอาตัวไม่รอดหรอก เข้าป่าอดตายแน่..!
ที่อาตมาดำจนเหมือนกับคนละคนกับสมัยก่อน ก็เพราะว่าไปโดนหนักตอนช่วงเป็นทหาร ขนาดผิวลอกเป็นแผ่น ๆ เลย รู้สึกหูคัน ๆ ลองจับดู หนังกรอบหลุดออกมาเป็นแผ่นเลย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก
ตอนหล่อพระที่อาตมาบอกว่าไปแบกฟืน แผลเพิ่งจะหาย เวลาทำงานมัวไปห่วงหล่อห่วงสวยอยู่ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ไปนึกถึงรุ่นพี่สาวสมัยก่อนเขาก็พันผ้าเป็นไอ้โม่งเหมือนกัน และใส่งอบ พูดถึงงอบสมัยนี้ไม่เจอเลย สมัยนั้นจะมีหมวกกุยเล้ยของจีนกับงอบ กุยเล้ยนี่โยมแม่ของอาตมาสานเองได้ เก็บใบไผ่ใบใหญ่ ๆ มาค่อย ๆ สอดทีละใบ ๆ จนแน่นฝนไม่รั่วเลย
งอบต้องบอกว่าเป็นภูมิปัญญาของไทยเรา เพราะว่าตัวรังงอบระบายอากาศได้ดี ที่แน่ ๆ ก็คือกลายเป็นของที่ระลึกที่วิเศษมาก ฝรั่งชอบซื้อ สมัยนี้น่าจะเหลือแต่ขายเป็นของที่ระลึกแล้ว เพราะว่าชาวนาเขาไม่ได้หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินแล้ว ส่วนใหญ่อาศัยควายเหล็ก อาศัยรถดำ รถเกี่ยว รถหว่าน สมัยก่อนเขาต้องไถดะ ไถแปร ตีโคลน กว่าจะหว่านได้ ต้องบอกว่าบรรพบุรุษของเราลำบากลำบนมามาก เป็นกระดูกสันหลังของชาติจริง ๆ"
ถาม : เวลาใช้มโนมยิทธิเต็มกำลังขึ้นไปข้างบน ทำอย่างไรจะเห็นให้ชัดเจนครับ มองเทวดาไม่เห็นครับ ?
ตอบ : ใช้วิธีพิจารณาวิปัสสนาญาณ ให้เห็นชัด ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้วขึ้นไปใหม่ ถ้าไม่พิจารณาขึ้นไปแล้วกำลังไม่มั่นคงพอ มักจะเห็นแค่มัว ๆ ถ้าทำอย่างไรก็ไม่ชัด ให้กราบขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอให้เห็นได้ชัดเจนแจ่มใสด้วย
ถาม : ทำไมขึ้นไปแล้วจึงโดนถีบให้ลงมา ?
ตอบ : บางทีเราขึ้นไปแล้วล้นมาก ท่านก็เลยช่วยยันให้ด้วยความรักและเมตตา..!
ถาม : ผมฝึกและศึกษาเพื่อความเป็นพุทธภูมิ ถึงเวลาที่จะควรต้องปรับความรู้ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ศึกษาและปฏิบัติไป ถ้าเข้าถึงจริง ๆ จะเกิดความแตกฉานขึ้นมาเอง
ถาม : ต้องเข้มข้น ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : เสียเวลา พระไตรปิฎกเล่มเดียวคุณก็ศึกษาไปหลายชาติแล้ว
ถาม : ตัวปฏิฆะแก้ยาก ?
ตอบ : เหตุที่ยากเพราะสติ สมาธิ ของเราไม่ดีพอ ถ้าสติดีพอจะรู้ตัวเร็วว่าเหตุการณ์ใด ๆ จะเกิดขึ้น ทันทีที่กระทบเราจะได้ระงับยับยั้งทัน ระงับยับยั้งด้วยอะไร ? ด้วยกำลังของสมาธิ เพราะฉะนั้น..ถ้าสติสมาธิไม่พอ คุณต้องภาวนาอย่างเดียวเลย
ถาม : หนูไหว้พระสวดมนต์ประมาณตีสามตีสี่ วันนั้นหนูได้อัญเชิญพระยานาคราช และหลวงพ่อทั้งหลาย ทำปฏิบัติสมาธิอยู่ดี ๆ หนูเห็น.....สามรูป สว่างมาก ?
ตอบ : การปฏิบัติถ้าสมาธิทรงตัวถึงระดับหนึ่ง จะเริ่มเห็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาได้ แล้วการเห็นส่วนใหญ่ก็จะเสียมากกว่าดี เพราะมักจะไปยึดติดนิมิตตรงจุดนั้น ถือว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นการยืนยันว่าการปฏิบัติของเราเริ่มได้ผลแล้ว ทำให้มีความมั่นคงและมั่นใจในพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้น เอาตรงนั้นแล้วกัน
ต่อไปเวลาทำอย่าไปคิดอยากเห็นอีก ถ้าคิดอยากเห็นจะไม่ได้เห็น เพราะใจไม่นิ่ง เรามีหน้าที่สวดมนต์ภาวนาของเราไปตามปกติ จะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง ให้ทำกำลังใจอย่างนั้น
ถาม : ทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินที่หล่อไปเมื่อวันที่ ๒๙ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำบุญเพิ่มได้ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เพราะอาตมาลงทุนซื้อเม็ดเงินไปประมาณ ๙๐๐,๐๐๐ บาท วันหล่อพระญาติโยมทำบุญมาประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ บาท แล้วช่างไม่คิดค่าแรงในการหล่อพระ บอกว่าทำถวาย เพราะฉะนั้น..โยมจะทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ขอร้องว่าห้ามทำเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวจะเกินต้นทุน
มีคนนำซองปัจจัยที่มีรูปยันต์เกราะเพชรมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครทำซองนี้มา ? หาเรื่องกันชัด ๆ ถึงเวลาต้องทิ้งก็เป็นโทษ คนทำไม่ได้คิดถึงเรื่องการปรามาสพระรัตนตรัยเลย
จะทำอะไรต้องยั้งคิดด้วย ไม่อย่างนั้นแสดงว่าสภาพจิตเราหยาบเกินไป เรื่องของการปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า ต้องบอกว่าจะทำอะไรก็ต้องทำด้วยความเมตตา จะพูดอะไรก็พูดด้วยความเมตตา จะคิดอะไรต้องคิดด้วยความเมตตา ไม่ใช่เราทำแล้วสะใจ ส่งพ้นมือเราไป คนอื่นจะเดือดร้อนอย่างไรช่างหัวมัน ลองคิดดูว่าถ้าคนที่สภาพจิตหยาบ ฉีกซองเอาปัจจัยออก แล้วเขาทิ้งซองลงถังขยะจะเกิดโทษอะไร คุณหาอเวจีให้เขาชัด ๆ..!
อาตมาย้ำอยู่บ่อย ๆ ว่า การปฏิบัติธรรม ยิ่งปฏิบัติไป กาย วาจา ใจ ต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็เหมือนกับญาติโยมหลายคนฟังแล้วผ่านหูไปเฉย ๆ จึงมีอะไรที่แสดงออกซึ่งความหยาบของจิตของเรามาก ทำแล้วเกิดโทษทั้งตนเองและผู้อื่น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ให้ค่อย ๆ ปรับปรุงกันไปก็แล้วกัน"
ป.ล. ไม่อนุญาตให้นำข้อความนี้ไปเผยแพร่ เพราะจะกระทบผู้อื่น
ถาม : การคิดถึงพระเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็นับเป็นอนุสติ แต่ถ้าคิดว่าท่านรับสังฆทานได้เยอะ เดี๋ยวเราจะจิ๊กบ้าง อันนั้นเป็นกิเลส ต้องดูว่าเราคิดอะไร
ถาม : อย่างเช่น ไม่ได้เจอท่านมานาน แล้วคิดถึง ต้องตัดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาไปตัด ต้องเพิ่มให้เยอะ ๆ ด้วย พอถึงเวลาแล้วจะได้ไม่ไปฟุ้งซ่านในเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง ส่วนไหนที่ดีกับเราก็ทำสิ่งนั้นให้มากไว้ ส่วนไหนที่ไม่ดีพยายามลด ละ เลิก ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะดีขึ้นไปเอง
ถาม : แม่ชีถือบาตรออกบิณฑบาตได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บางเขตเขาทำกัน ถ้านับแล้วแม่ชีก็ถือว่าเป็นนักบวชฝ่ายหนึ่ง ทำบุญกับท่านก็ได้ ไม่มีปัญหาหรอก เพียงแต่ว่าถ้าเขาไม่นับสถานภาพแม่ชีเป็นนักบวช ก็ถือว่าผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากว่าปัจจุบันสถานภาพของแม่ชียังก้ำกึ่งกันอยู่ เขารอการรองรับสถานภาพจริง ๆ ซึ่งก็ยังไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจนเสียที
ถาม : ตัวเองไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย ?
ตอบ : อย่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่จงเสียดายถ้าไม่ได้ทำ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ นิสิตปริญญาเอกรุ่นของอาตมา ต้องไปกตเวทีต่ออาจารย์ วันที่ ๗-๘ พฤษภาคม ซ้อมรับปริญญา วันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม รับปริญญา
วันที่ ๑๐ ครูบาหน่อแก้วฟ้าท่านนิมนต์เอาไว้ก่อนหลวงตาวัชรชัย อาตมากันวันที่ ๑ เอาไว้ให้หลวงตา แต่หลวงตาไปนิมนต์วันที่ ๑๐ สงสารครูบาหน่อแก้วฟ้าเหมือนกัน เพราะว่าท่านนิมนต์ ๒-๓ ปีแล้วไม่ได้ไปสักปี เอากำหนดการของทางมหาวิทยาลัยให้ท่านดู ว่าซ้อมรับปริญญาวันที่ ๗-๘ รับวันที่ ๙-๑๐ ท่านนั่งหัวเราะ “ทำไมต้องเป็นผมอีกแล้ว ?”
ถาม : ถ้าเราตกแต่งบัญชีเพื่อให้เสียภาษีน้อยลง อย่างนี้ถือว่าผิดศีลอทินนาทานไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ใช่ว่าผิดโดยตรง แต่อยู่ในลักษณะของการฉ้อราษฎร์บังหลวง โทษหนักกว่าเพราะว่าเป็นเรื่องของส่วนรวม คราวนี้สิ่งที่เราทำ เราทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น ? ถ้าทำเพื่อตัวเองโทษก็น้อยกว่า แต่ถ้าทำให้คนอื่นนี่เท่ากับว่าทำให้หลายคน มีความผิดหลายกระทง โทษก็หนักมากกว่า
ถาม : ถ้าเรามึนจนหน้ามืด เกี่ยวกับกรรมไหมคะ ?
ตอบ : เกี่ยวอยู่แล้ว
ถาม : ถ้าอย่างนั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้ ?
ตอบ : ได้..ถ้าคุณระมัดระวังจนพ้นวาระไป กรรมก็ต้องไปรอจังหวะข้างหน้า คราวนี้ก็อย่างที่ว่าแหละ ระวังเท่าไรถ้ากรรมจะเอาคืน เราก็โดนจนได้
ถาม : แล้วถ้าเราไม่ได้ใส่ใจ ?
ตอบ : รักษาได้ให้รักษา ถ้ารักษาเต็มที่แล้วรักษาไม่ได้ ค่อยยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ยังไม่ทันทำอะไรเลย ก็ยอมรับกฎของกรรม อย่างนั้นถือว่าฉลาดน้อยเกินไป กายสังขารของเรา ถ้าดูแลให้ดีไว้ก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น สะดวกขึ้น ถ้าปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรมมาก ทำอะไรก็ลำบากไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น ถ้าทรุดนี่จะทรุดนานเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านเคยพูดเอาไว้นานแล้วว่า นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ อาตมาจึงจำเป็นต้องสนับสนุนเรื่องการศึกษา ถ้าเด็ก ๆ เขาอยากเรียนแล้วไปอยู่วัด จะส่งเรียนหมด เป็นวัดเดียวที่ส่งเด็กวัดทุกคนเรียน คนที่ไม่รู้ภาษาไทยเลยก็เริ่มเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ ของการศึกษานอกโรงเรียน
คาดว่าไม่เกินเทอมหน้า วัดท่าขนุนจะมีเด็กวัดจบปริญญาตรี ดูเขาเรียนแล้วรู้สึกว่ายากมาก เพราะเขาเรียนปริญญาตรี ตอนอาตมาเรียนปริญญาตรี แต่ตอนนี้อาตมาจบปริญญาเอกแล้ว เขายังเรียนปริญญาตรีอยู่นั่นแหละ แต่ก็ยังดีที่เขาอดทนมาก มีความพยายามในการเรียนสูงมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ครูบาอ่อน หลวงปู่ครูบาผัด เผาเสร็จอัฐิกลายเป็นพระธาตุทันทีเลย ปกติต้องทิ้งไว้ระยะหนึ่งค่อยเป็น ก็ยังโชคดีที่ท่านเมตตาไปที่วัดท่าขนุน โดยเฉพาะงานสืบชะตาปี ๒๕๕๓ ส่วนหลวงปู่ครูบาครองอาตมาไม่กล้ากวนท่าน เจอหน้าทีไรท่านดึงไปกอดทุกที ท่าน ๙๐ กว่าปีแล้ว ถ้าให้วิ่งไปจากวัดของท่านถึงทองผาภูมิ อาจจะกลายเป็นจัดงานศพถวายท่านแทน..!"
ถาม : ผ่าตัดมา ๖ เดือน ตรงนี้ซีสต์ขึ้นอีกแล้ว หนูใจเสีย กลัวเจ็บ ?
ตอบ : เจ็บไข้ได้ป่วยตรงไหน นึกถึงภาพพระเอาไว้ตรงนั้น ตั้งใจว่าขอให้หาย แล้วก็ภาวนานึกถึงภาพพระไปเรื่อย ๆ ถามว่าเป็นการฝืนกฎของกรรมหรือเปล่า ? ถ้าทำได้ก็ไม่ฝืน
ถาม : ไปกราบหลวงพ่อพระมหามัยมุนีที่พม่า รู้สึกจริง ๆ ว่าศรัทธาของคนที่นั่นมีมาก ?
ตอบ : เขาไปกันตั้งแต่ตี ๓ ตี ๔ ไปยืนรอจนกว่าจะเปิดประตู อาตมาถึงตี ๓ ครึ่ง ลุยเข้าไปยันชั้นในเลย เหลืออยู่ชั้นเดียว เขากลัวว่าถ้าเข้าข้างในแล้วของเขาหายจะลำบาก ทีนี้จะได้รู้ว่าถ้าอาตมาได้ไปพม่าแล้ว ทำไมถึงต้องไปตรงนั้นให้ได้
บางคนยังทำใจเรื่องพม่าเผากรุงศรีอยุธยาไม่ได้ ก็เลยมองข้ามของดีไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าอาตมาไปพม่า สถานที่ซึ่งต้องไปให้ได้มี พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระบรมธาตุอินทร์แขวน หลวงพ่อมหามัยมุนี ขาดไม่ได้เลย ๓ ที่ อย่างไรก็ต้องไป ส่วนที่อื่นแล้วแต่เหตุการณ์
ทางพม่าเขาถือว่าหลวงพ่อพระมหามัยมุนีเป็นพระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนเช้าถ้ารู้จักสังเกต ก่อนเปิดประตูจะมีเสียงดนตรี เสียงดนตรีนั่นเป็นการปลุกให้ท่านตื่น หลังจากนั้นก็ทำพิธีล้างหน้าแปรงฟัน ถวายภัตตาหาร มีดนตรีคลอ มีคนคอยพัดด้วย เหมือนกับท่านยังมีชีวิตอยู่
พอสิ้นหลวงปู่ปัญญาวังสะที่ล้างพระพักตร์ถวายท่านมา ๓๐ กว่าปี อาตมาก็ไม่ได้ไปอีก องค์ใหม่ที่ล้างพระพักตร์อาตมาไม่รู้จักแล้ว
ถาม : ไปเจอ ไม่ใช่องค์เดิม เป็นพระสังฆราช ?
ตอบ : ไม่ใช่พระสังฆราช แต่เป็นเจ้าอาวาสวัดนั้น เพราะว่าที่อื่นเดินทางมาลำบาก ถ้าอยู่วัดนั้นเลย จะทำหน้าที่ได้ต่อเนื่อง
ถาม : ไปที่นั่น เขาถามว่าเป็นคนจีนหรือคนญี่ปุ่น พอบอกว่าเป็นคนไทย เขาพูดถึงพระแก้วมรกต ?
ตอบ : ถ้าพูดถึงคนไทยเมื่อไร เขาจะถามหาพระแก้วมรกต ความฝันของคนพม่าคือได้ไปกราบพระแก้วมรกตที่เมืองไทยสักครั้งหนึ่ง เขาถือว่าเป็นพี่น้องของพระมหามัยมุนี
ถาม : เขาเรียกหลวงพ่อพระมหามัยมุนีว่า พระเจ้าเนื้อนิ่ม ?
ตอบ : อาตมายืนยันว่านิ่ม เพราะว่าแผ่นทองหนาปึ้กเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยโดนไฟไหม้แล้วทองรุ่นเก่าที่ปิดอยู่ละลายลงมาได้ ๒๐ กว่าชั่ง ๑ ชั่ง ก็ประมาณ ๓ ปอนด์ ๒๐ กว่าชั่งก็น่าจะ ๖๐ กว่าปอนด์ เหตุที่พระองค์ท่านเป็นปุ่ม ๆ เพราะเครื่องทรงของกษัตริย์พม่ามีดอกมีดวงอะไรอยู่ พอปิดก็หนาขึ้น ๆ ก็เป็นปุ่มตามลักษณะของเครื่องทรง
พระอาจารย์กล่าวว่า "เว็บวัดท่าขนุน ถ้าใครสมัครมาหลายชื่อจะตัดทิ้งเลย แล้วต้องยืนยันตัวตน คุณสมัครมา ๓ ชื่อ ๔ ชื่อ จะนับเป็น ๓ คน ๔ คน เราไม่เอา เราเอาชื่อเดียว เราไม่ได้ต้องการสมาชิกมาก"
พระอาจารย์สนทนากับหลวงพี่ท่านหนึ่งว่า "ตอนออกแบบหมู่เรือนไทยก็ไม่ได้คิดจะทำเรื่องนี้ เหมือนอย่างกับธรรมะจัดสรร คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องวางแบบนี้ ๆ ตอนแรกยังคิดว่าเป็นหอกลองข้างหนึ่ง หอระฆังข้างหนึ่ง แล้วตรงกลางจะตั้งอะไรดี ? ที่ไหนได้กลายเป็นสมเด็จองค์ปฐม กลายเป็นหลวงปู่หลวงพ่อ
จนป่านนี้อาตมายังไม่กล้าตั้งรูปหลวงปู่ปานและหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะกลัวเป็นโทษให้คนที่มาไหว้ เนื่องจากหลวงพ่อท่านพูดไม่ยั้ง ท่านรู้จริง แต่คนที่รับท่านไม่ได้มีเยอะ
งานของท่านเป็นงานเอามรรคเอาผล ต้องเด็ดขาดจริงจัง งานของอาตมาเป็นแค่ประคองศาสนาเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือประคับประคองเผื่อเขาในอนาคตข้างหน้าไม่รู้อีกกี่ชาติ จะไปหักเขาให้เกิดโทษก็ไม่เอาหรอก ตอนแรกท่านก็บอกทำชั่วคราว ๆ เดี๋ยวก็มีตัวจริงมา จนป่านนี้ยังไม่เห็นมีตัวจริงเลย
ผมก็พยายามดู ๆ ไว้ พวกรุ่นหลัง ๆ ก็ยังไม่ได้ดั่งใจ เห็นพวกลูกศิษย์เขาออกไปเป็นเจ้าอาวาสที่อื่นแล้วก็เหมือนกับงานกว้างขึ้น เมื่อไม่กี่วันท่านณุไปขอนแก่น ตอนนี้ทางอีสานก็มีหลายคนแล้ว ท่านนวยอยู่สีคิ้ว ท่านณุอยู่ขอนแก่น ท่านหมึกดันย้ายไปเชียงใหม่ ทีแรกอยู่ที่โคราช"
ถาม : ถ้าจะถวายพระสำหรับเป็นเครื่องสังฆทาน ?
ตอบ : ถ้าพระที่เข้าพิธีแล้วไม่ควร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ เพราะท่านมีเทวดารักษาประจำ ไปยกขึ้น ๆ ลง ๆ ข้ามไปข้ามมาท่านไม่ชอบใจ
ถาม : พระใหม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเข้าพิธีแล้ว จะใหม่หรือไม่ใหม่ก็ไม่ควร ยกเว้นของที่ยังไม่เข้าพิธี
พระอาจารย์เล่าวว่า "โยมที่อยากได้พระสมเด็จองค์ปฐมเนื้อทองคำมาถามอาตมาว่า ได้จองไว้บ้างหรือเปล่า ? จะไปจองกับผีอะไร อาตมามาถึงก็ ๓๐๐ กว่าข้อความแล้ว จะไปเหลือหรือ ?"
ถาม : จะมีคนมาถวายไหมครับ ?
ตอบ : ไม่คิดหวังเลย ติด ๑ ใน ๑๐๐ แล้วยังตัดใจถวายได้ก็เกินไป
ถาม : เรื่องของสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : ยิ่งนานไปคนที่รู้จักท่านจริง ๆ จะน้อยลง ชื่อเสียงเกียรติคุณท่านมากขึ้น ๆ แต่ที่จะรู้จักท่านจริง ๆ จะน้อยลงเรื่อย ๆ แบบเดียวกับหลวงพ่อพุทธชินราชขอฝนที่วัดบางนมโค ตอนสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอยู่ หน้าแล้งขอฝนตอนเย็นได้วันละ ๒ ชั่วโมง ไม่ให้ตกหนักมาก เอาแค่พื้นเปียก ตกทุกวัน ๖ โมงเย็น ถึง ๒ ทุ่มตกตลอด
พอหลวงพ่อท่านออกจากวัดบางนมโคมา มีคนไปจุดธูปขอให้ตายฝนก็ไม่ตก พอหลวงพ่อท่านกลับไปเยี่ยมวัดบางนมโคก็เลยไปถาม ท่านบอกว่า "เขาไม่รู้จักข้า จุดธูปแค่ตรงนั้น แต่เขาไม่รู้จักว่าข้าเป็นใคร ก็เลยไม่รู้จะช่วยอย่างไร" เขาเห็นท่านเป็นแค่พระพุทธรูปเท่านั้น
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะรอดูว่ามีใครฉลาดพอไหม ? เพราะว่าที่นี่พอเลิกกรรมฐานจะให้เขาเอาพวงมาลัยกลับไปไหว้พระที่บ้าน ถ้าฉลาดพอก็จะรู้จักตากแห้งเก็บไว้ ถ้าเก็บไว้เยอะ ๆ ก็เอาไปสร้างวัตถุมงคลได้ แต่ถ้าฉลาดไม่พอก็เป็นเรื่องของคุณเถอะ..!"
ถาม : บางที่บวงสรวงหล่อพระตอนเย็น เขาบอกว่าทำตามวัดท่าซุง ?
ตอบ : ผิดครู..เขาไม่รู้หรอกว่าวัดท่าซุงที่บวงสรวงตอนเย็นนั้นเป็นการบวงสรวงสุมทองเฉย ๆ แล้วคนก็ไปเลียนแบบตอนนั้น ถ้าคุณต้องการบารมีพระท่านช่วย ต้องบวงสรวงตอนเช้าไม่เกิน ๙ โมงครึ่ง
ถาม : สมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ยังเคยมีบวงสรวงตอนเย็นนี่ครับ ?
ตอบ : เกี่ยวกันที่ไหน ? คนละเรื่องคนละงานกัน ต้องดูให้ออกว่างานนั้นงานอะไร บ้านอนุสาวรีย์ตอนนั้นเป็นงานบอกกล่าวขึ้นบ้านใหม่ ใช่หล่อพระที่ไหนเล่า ?
ขนาดทำบุญวันเกิดหลวงพ่อ ท่านยังบวงสรวงตอนเช้า กราบเรียนถามว่าทำไมครับ ? เพราะบวงสรวงตอนเช้าเสร็จแล้วยังต้องรับแขกต่อ หลวงพ่อท่านจะเหนื่อยมาก ทำไมไม่บวงสรวงตั้งแต่ตอนเย็นเลย ท่านบอกว่าตอนนี้เงินขาด ถ้าอยากได้เงินก็ต้องทำตามกติกา ก็คือต้องบวงสรวงตอนเช้า
ถาม : ถ้าผมเงินขาด ทำแบบนั้นได้บ้างไหมครับ ?
ตอบ :ไปลองทำสิ ลองดูว่าจะได้อย่างท่านไหม ? พูดง่าย ๆ ก็คือว่าท่านต้องการให้คนมาทำบุญ เพื่อที่จะได้เงินมาใช้หนี้ตามที่ต้องการ จึงต้องทำตามกติกา ถ้าบวงสรวงตอนเย็นก็อดรับประทาน
ถาม : ลูกสาวชื่อจริง ชื่อกมลชนกครับ ?
ตอบ : เกิดวันเสาร์ทำไมชื่อกมลชนก ? กมลชนกเป็นชื่อคนเกิดวันจันทร์ แต่ไม่เป็นไรหรอก ชื่อเป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผล แบบเดียวกับอาตมาเกิดวันอาทิตย์ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งฉายาว่าสุธมฺมปญฺโญ เป็นฉายาคนที่เกิดวันศุกร์ชัด ๆ
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ถ้าเรียนไม่ไหววันไหน ให้นึกถึงหน้าอาตมา อาตมาเรียนปริญญาเอกยากกว่าตั้งเยอะยังไม่ถอยเลย อะไรที่ตัดสินใจทำไปแล้ว อย่าไปนั่งเสียใจว่าไม่ควรทำ ถ้าจะเสีย ให้ไปนั่งเสียดายว่า ถ้าเราไม่ทำก็จะไม่ได้ประสบการณ์นี้เลย"
ถาม : การที่ตั้งใจว่าจะต้องทำให้สำเร็จ เช่น ต้องเรียนปริญญาเอกให้จบ เป็นมานะใช่ไหมคะ ? และที่ต้องทำให้ได้ดีกว่าคนอื่นเป็นขัตติยมานะใช่หรือไม่ ?
ตอบ : น่าจะลักษณะนั้นเลย ในเมื่อคนอื่นทำได้เราต้องทำได้ แล้วถ้าหากเราทำได้ ต้องทำได้ดีกว่าเขา เป็นมานะอย่างหนึ่ง เป็นสันดานติดตัวมา เจออุปสรรคแล้วไม่หนี ถ้าขึ้นหน้าตาย ถอยหลังตาย อาตมาขึ้นหน้าแน่นอน ขึ้นหน้าไปตายอย่างคนกล้า ดีกว่าถอยมาตายแล้วเขาว่าเราขี้ขลาด สันดานเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก มานึกมองอีกมุมหนึ่ง ไอ้นี่มันความคิดของเรา ในเมื่อขึ้นหน้าไปตาย คนอื่นอาจจะว่าโง่ก็ได้
ถาม : นายตัมพทาฐิกะเป็นเพชฌฆาต ฆ่าคนตายหลายร้อยหลายพันคน ตามคำสั่งของพระราชา ตอนหลังได้เป็นพระโสดาบัน นายตัมพทาฐิกะไม่ถือว่ากระทำผิดศีลหรือครับ ?
ตอบ : การฆ่าผิดทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ท่านโดนพระสารีบุตรหลอกจนงง หลอกให้คิดว่าไม่ใช่บาปของท่าน แต่เป็นบาปของพระราชา พอกำลังใจคลายตัว กำลังบุญก็เข้ามาแทน
ถาม : ถึงแม้จะไม่ได้เจตนา ?
ตอบ : ไม่เจตนาแต่คุณลงมือ สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ลงมือฆ่า ฆ่าสำเร็จ ก็ผิดเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าฆ่าเพราะคำสั่งเท่านั้นเอง
ถาม : ถ้าตอนที่เราอาบน้ำอยู่ สัตว์ลอยตามน้ำไป แล้วเราช่วยไม่ได้ แล้วเราก็อาบน้ำต่อ ?
ตอบ : เมื่อถึงเวลาก็ทำบุญอุทิศให้เขาด้วยก็แล้วกัน เขาไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เลยมาแล้วเพราะใจจะหมอง ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำดีอย่างเดียว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมากำลังให้พระมหาจีรพันธ์ทำเรื่องยื่นทาง มจร. ขออนุญาตสร้างเหรียญในหลวงรัชกาลที่ ๕ หาทุนให้กับห้องเรียนวัดใต้ บอกท่านว่าผมรับประกัน ๓ ล้านบาท ท่านบอกว่า มจร. วังน้อยเคยออกมาแล้ว แต่จำหน่ายไม่หมดจนถึงทุกวันนี้ เหลือเชื่อจริง ๆ นิสิตทั่วประเทศเยอะขนาดนั้น สร้างเหรียญออกมา ๑๐,๐๐๐ เหรียญ แต่จำหน่ายไม่หมด
ท่านบอกว่าต้องขอยอดการสร้างไว้เลย อาตมาแจ้งว่าเหรียญทองคำ ๓๐๐ เหรียญ พระมหาจีรพันธ์ถามว่าจะเหลือถึงพวกผมหรือเปล่า ? บอกว่าท่านไม่ต้องหวังหรอก หมดก่อนแน่นอน"
ถาม : ถ้าหากมีคนทำผิด แล้วถูกจับติดคุกตามกฎหมายบ้านเมือง ที่จริงแล้วแยกกันใช่ไหมคะ ระหว่างการทำผิดของเขา กับการที่เขาติดคุก ที่ติดคุกนี่เพราะอกุศลกรรมส่งผล ไม่เกี่ยวกับที่เขาทำผิดใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ลงข้างล่างนี่ถ้ามีโทษทางธรรมต้องรับแยกกันอีกยก ถ้าหากว่าไม่มี สมมติว่าโดนเขาใส่ความแล้วติดคุกก็แค่นั้นแหละ ถือว่าชดใช้กรรมเก่าไป
ถาม : ท่านออกจากวัดท่าซุงมา แล้วมาอยู่วัดท่าขนุนเลยหรือครับ ?
ตอบ : ออกจากวัดท่าซุงมาไปอยู่วัดท่ามะขามก่อน จากวัดท่ามะขามก็ธุดงค์ไปเรื่อย จนไปสร้างเกาะพระฤๅษี จากเกาะพระฤๅษีก็เที่ยวไล่สร้างวัดอยู่ ๔-๕ วัด กว่าจะเสร็จ จากนั้นหลวงพ่ออดีตเจ้าคณะจังหวัดท่านกาญจนบุรีให้ไปช่วยบูรณะวัดท่าขนุน พอบูรณะเสร็จกลับไปเกาะพระฤๅษี ท่านก็ให้ไปบูรณะวัดทองผาภูมิอีก ทำเสร็จก็กลับมาบูรณะเกาะของตัวเอง ทำเสร็จกะว่าจะนอน อยู่ได้แค่ ๒ วันเท่านั้น วัดท่าขนุนว่างเจ้าอาวาสอีก เพราะเคยไปทำให้เขา พวกเขาก็ไม่ยอมเอาคนอื่น เขาจะเอาอาจารย์เล็ก แห่กันมาเชิญไป
ท่านเจ้าคุณปัญญาเป็นรองเจ้าคณะจังหวัด บอกกับทางอำเภอว่าวัดท่าขนุนให้อาจารย์เล็ก ทางอำเภอก็เลยเหี่ยว เพราะว่าวัดใหญ่คนเขาอยากได้กัน
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีใครดูจันทรคราสบ้าง ? เต็มดวงครั้งเดียวในรอบปี มาเร็วเหลือเกิน มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันจะมืด ที่เรียกว่าพระจันทร์แดงเพราะว่าฟ้ายังไม่มืด พอเงาโลกทับไปเลยเห็นเป็นสีแดง ๆ ถ้าหากว่าฟ้ามืดไปแล้ว เงาโลกไปทับก็จะมืด โบราณเรียกว่า กบกินเดือนบ้าง ชนกลุ่มน้อยเรียกว่า สุนัขป่ากลืนตะวัน บ้านเราบอกว่า ราหูอมจันทร์
หลวงพ่อวัดท่าซุงเจอท่านราหู ถามว่าไปอมพระจันทร์ทำไม ? ท่านบอกว่า "ผมไม่อมขี้ดินให้โง่หรอก" พระจันทร์ในสายตาท่านก็คือดินก้อนหนึ่ง ตอนไปยุโรปท่านราหูอมเครื่องบิน..! เครื่องบินผ่านเขตอากาศแปรปรวน เครื่องโยนเหมือนกับเรือโดนคลื่นเลย ผู้โดยสารตกใจ พอดีท่านตามมา ก็เลยอมเครื่องบินไว้ อาตมาถามว่าแปรงฟันหรือยัง ? ท่านว่า ตัวท่านก็ไม่ได้แปรงเหมือนกันแหละ..!
ไปแซวท่านเล่นท่านก็เลยกวนกลับ อาจจะเป็นเพราะนิสัยของอาตมาที่บวม ๆ ไปเจอแต่ละท่าน ท่านก็เลยทำตัวสบาย ๆ ไม่มีพิธีการอะไรเลย
เหมือนอย่างเรื่องเขมรที่กำลังเอาลงในเว็บวัดท่าขนุน เจอหลายเรื่องที่บางทีอาตมารู้สึกว่าเทวดาท่านน่ารัก ทำตัวสบาย ๆ"
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อพระเทพสุวรรณโมลี (สะอิ้ง สิรินนฺโท) อาตมานิมนต์ท่านไปงานที่วัดท่าขนุน ท่านไปทุกครั้ง เลยสนิทสนมกัน ตอนฉลองสัญญาบัตรก็นิมนต์ท่าน ป๋าลอ (พระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์) เพื่อนร่วมรุ่นขอฎีกาไปส่งเอง ท่านถามว่า "ใครวะ..พระครูวิลาศกาญจนธรรม ?" พอไปถึงเจอหน้า "เอ็งหรอกเรอะ ?" "ครับหลวงพ่อ ไม่ใช่พระครูธรรมธรเล็กแล้วครับ" ท่านจำแต่ชื่อเก่า พอเป็นชื่อใหม่ก็จำไม่ได้ "ไอ้ลอก็ไม่ยักบอกว่าเป็นเอ็ง ไปถึงก็ส่งฎีกาให้ บอกว่าลูกศิษย์นิมนต์หลวงพ่อ"
ถาม : ท่านจบประโยค ๘ ?
ตอบ : ใช่..ทุกวันนี้เวลาท่านเขียนงาน ท่านเป็นแต่งเป็นกาพย์เป็นกลอนหมด อาตมายื่นหัวเข้าไปกราบท่านเมื่อไร ท่านก็เขกหัวโป๊ก ไม่มีคนรู้ว่าท่านเป็นพระปฏิบัติ เพราะว่าท่านมาสายวิชาการจนจบประโยค ๘ แต่แอบภาวนาทุกวัน
ถาม : ในสมัยพระพุทธเจ้ามีสร้างพระพุทธรูปใหญ่ ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : เท่าที่อ่านดูในพุทธประวัติยังไม่เจอ ส่วนใหญ่สร้างเป็นเจดีย์
ถาม : องค์ที่สร้างเป็นภูเขาใหญ่ ๆ จะอยู่ถึงอีกพุทธันดรไหมครับ ?
ตอบ : ไม่น่าจะถึง เพราะว่าพอสิ้นพุทธันดรหนึ่งไป ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้โลก ไหม้จนโลกป่นเป็นแป้งไปหมด ไหม้จนโลกเล็กลงไป ๑ โยชน์ นึกดูแล้วกันว่ารอบข้างไหม้เป็นขี้เถ้าลึกลงไป ๑๖ กิโลเมตร ฉะนั้น..ถึงสร้างไว้ใหญ่แค่ไหนก็ไม่เหลือ
ถาม : ทิเบต ภูฏาน เขาศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ถึงขนาดไม่มีคนฆ่าสัตว์หรือครับ ?
ตอบ : ทิเบตสมัยก่อนก็ไม่มีการฆ่าสัตว์ ต้องสัตว์ตายเองถึงจะได้กิน แต่พอพวกอิสลามเข้าไป อิสลามเขาฆ่าสัตว์ คนทิเบตก็รับหน้าที่กินอย่างเดียว
ถาม : อิสลามก็ยังบริโภคเนื้อวัวอยู่นะครับ นำเข้าจากอินเดีย ?
ตอบ : ถ้าหากไม่เปิดโรงฆ่าสัตว์ก็ต้องนำเข้า สภาพสังคมตอนนี้ทั่วโลกเป็นบ้านเดียวกัน ถึงกันหมด
ถาม : ที่ทิเบตต้องรอให้แก่ตายจึงจะกิน ?
ตอบ : ทิเบตเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ได้แก่ตายเองก็ไม่มีใครไปทำอะไรหรอก
ถาม : ถ้าเขาใช้วิธีต้อนสัตว์ให้เบียดกันจนตกเขาตาย จึงจะได้กิน ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็เจตนาฆ่าพอกัน ตั้งใจให้เขาไปตาย ไม่ว่าคุณจะวิธีไหน ถ้าเขาตายก็แปลว่าฆ่าสำเร็จ
อาตมาเองไปทำวัวตกเขาตายโดยไม่เจตนา เพราะว่าตอนนั้นไปภาวนาอยู่ที่ภูชี้ฟ้าซึ่งอากาศหนาว พอดีมีหลุมที่เป็นแอ่งก้นหม้อ ก็ลงไปนั่งอยู่ในหลุม เอาจีวรคลุมปากหลุม ภาวนาพอใกล้สว่างก็ว่าจะเดินลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมบิณฑบาต ไม่รู้หรอกว่ากลางคืนมีวัวมานอนอยู่ใกล้ ๆ เยอะแยะ พอเปิดจีวรลุกขึ้น วัวก็ตกใจวิ่งหนีอาตมา ก็ไม่ได้คิด พอตอนสาย ๆ บิณฑบาตกลับมาเห็นคนงานป่าไม้เอะอะโวยวาย ถามว่าอะไร เขาบอกว่าวัวตกหน้าผาไปตายอยู่ฝั่งลาว ต้องไปเอาซากกลับมา คาดว่าตกไปตอนที่ตกใจวิ่งหนี อาตมาไม่ได้เจตนาแม้แต่นิดเดียว แต่วัวตายไปแล้ว
ถาม : ไฟบรรลัยกัลป์จะเผาโลกเมื่อไร ?
ตอบ : พอไม่มีความดีเหลืออยู่ในมนุษย์ เทวดาท่านก็จะปล่อยให้ไฟล้างโลก ตอนช่วงนั้นเขาบอกว่าพระอินทร์จะมาทดสอบ ปลอมเป็นคนแก่เข็นทองเท่าลูกฟักมา ถามว่าใครรู้ข้อความในพระไตรปิฎกแม้สักปิฎกเดียวจะยกทองนี้ให้ ก็ไม่มีใครรู้ รู้แม้พระสูตรเดียวก็ไม่มีใครรู้ ท้ายสุดแม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่มีใครรู้ ถ้าอย่างนั้นท่านก็จะประกาศว่าบัดนี้พุทธศาสนาสิ้นสุดแล้ว สั่งท้าวมหาราชกับบริวารทั้งหมดถอนกำลังกลับ สภาพที่ไฟบรรลัยกัลป์ที่รอไหม้อยู่แล้วก็จะไหม้เลย เพราะเทวดาท่านไม่ช่วยยับยั้งแล้ว
ถาม : เคยอ่านเจอคนจะฆ่ากันตาย แล้วคนดีจะหนีเข้าถ้ำ เข้าป่า ?
ตอบ : พวกคนดีที่หนีไป เขาไปสร้างอภิญญาขึ้นมาได้ ต่อให้ไฟมากกว่านั้นเขาก็อยู่ได้ ใช้กำลังอภิญญา หลังจากนั้นด้วยความสลดใจก็รักษาศีลมากขึ้น อายุก็ค่อย ๆ ก็ยืนขึ้น
ถาม : พื้นฐานมนุษย์มาจากพรหม แล้วสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างไร ?
ตอบ : สืบเชื้อสายมาเรื่อย แต่ว่าในเรื่องสภาพจิตอย่างหนึ่ง ในเรื่องความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง ก็ตกต่ำลดลงไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับของใหม่ ๆ สักชิ้นหนึ่ง ผ่านกาลเวลานานไปก็เก่าลง ๆ
ต้องบอกว่าในช่วงวิวัฒนาการเปลี่ยนผ่านของมนุษย์ไม่ได้มาจากลิง หรือจากอะไรอย่างที่เขาว่ากัน ระยะหลังนี้ทางด้านโบราณชีวศาสตร์เขาก็เริ่มยอมรับกันแล้วว่ามนุษย์ไม่น่ามาจากลิง เพราะว่าระหว่างลิงกับมนุษย์ขาดโครโมโซมไป ๒ คู่ คือ มี ๓๖ กับ ๓๘ เขาหาสิ่งที่มีโครโมโซม ๓๗ คู่ไม่ได้ ก็เลยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ามนุษย์ไม่ได้มาจากลิง เพียงแต่ยังหาไม่เจอว่ามาจากไหน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ของสะสมที่อาตมาเก็บไว้เป็นของเกี่ยวกับในหลวง อุตส่าห์สละแสตมป์ที่หายากลงกระทู้บูชาวัตถุมงคลไป แต่ปรากฏว่าไม่มีคนรู้จัก ลงไปตั้งนานยังไม่มีใครบูชา ตอนนั้นอาตมาจองเอาไว้ ๑๐ ชุด ได้แค่ ๑ ชุด เพราะไปรษณีย์บอกว่าหมด ความจริงก็คือกักตุนไว้เก็งกำไร"
ถาม : ญาติของผมมีอคติกับผม จ้องจับผิดผม ผมเจอหน้าเขาทีไรมีแต่โมโห ทำอย่างไรจึงจะเลิกอคติเขา ?
ตอบ : ค่อย ๆ แผ่เมตตาให้เขา พยายามดูให้รู้ว่าบุคคลที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ นั้น จะเกิดโทษยาวนานในข้างหน้าอย่างไร ในเมื่อเขาเองไม่รู้ แทนที่จะโกรธ ก็จะกลายเป็นสงสารเขา
ถาม : เราทำอะไร เขาชอบขัดเราตลอด ก็ต้องแผ่เมตตา ?
ตอบ : แผ่เมตตาไม่พอ ต้องภาวนาให้กำลังใจทรงตัวด้วย ถ้ากำลังใจทรงตัวจะระงับยับยั้งตัวเองได้ ต่อให้ไม่พอใจอย่างไรก็จะไม่แสดงออก
ถาม : ผมต้องไปขัดกับเขาเป็นประจำ ?
ตอบ : หัดอมลิ้นไว้ จะได้ไม่ต้องไปขัดเขา
ถาม : ตอนนี้ที่วัดมีปัญหา กรรมการวัดจะไล่เจ้าอาวาสออก ตอนแรกเขาไปปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอบอกว่าไม่มีอำนาจ ต้องไปให้ทางเจ้าคณะจังหวัดจัดการ เพราะเป็นคนแต่งตั้ง ?
ตอบ : ท่านปัดเรื่องไปให้พ้นตัว โดยปกติเวลามีเรื่องขึ้นมาต้องยื่นฟ้องตามลำดับชั้น ต้องฟ้องที่เจ้าคณะตำบลก่อน ต้องบอกให้ชัดเจนว่าท่านผิดข้อหาอะไร แล้วเจ้าคณะตำบลจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน ถ้าไปถึงอำเภอหรือจังหวัดเลย ด้านบนเขาถือว่าผิดขั้นตอน จะไม่รับเรื่อง กรณีนี้เจ้าคณะอำเภอเขาไม่อยากมีปัญหา ก็เลยปัดเรื่องไปให้พ้นตัว
ต้องไปตามขั้นตอน คณะกรรมการเขาบอกหรือเปล่าว่าจะฟ้องข้อหาอะไร ?
ถาม : หลายเรื่องค่ะ
ตอบ : หลักฐานชัดเจนเพียงพอไหม ?
ถาม : ประเด็นสำคัญเขาจะให้หนูเป็นคนพิมพ์เรื่องร้องเรียน ?
ตอบ : อย่าได้เอามือไปซุกหีบ จะเจ็บตัวโดยใช่เหตุ
ถาม : ตอนแรกเขาก็จะลากหนูไปหาเจ้าคณะอำเภอ ไปให้เล่าเรื่อง หนูเลยหนีกลับไปนอนที่บ้าน ?
ตอบ : อย่าไปยุ่ง เขาจะสู้กันเราก็หลบ ค่อยโผล่ไปตอนเขาเลิกแล้ว ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมไม่เข้าใจว่า การปกครองคณะสงฆ์นั้นมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ฉะนั้น..จะฟ้องร้องต้องว่ากันไปตามลำดับ ถ้าเรื่องภายในวัดต้องฟ้องเจ้าอาวาส ถ้าเจ้าอาวาสผิดให้ฟ้องเจ้าคณะตำบล ถ้าตำบลผิดฟ้องอำเภอ ถ้าอำเภอผิดฟ้องจังหวัด ถ้าข้ามขั้นเมื่อไรเขาจะไม่รับเรื่อง เพราะถือว่าไม่ได้มาตามขั้นตอน
เวลาเขาทำ เราอยู่วงนอกให้พิจารณาดูด้วยว่างานนั้นใครได้ประโยชน์ คนได้ประโยชน์นั่นแหละบางทีอยู่เบื้องหลัง เหตุที่เกิดถ้าไม่ใช่เจ้าอาวาสขัดผลประโยชน์กรรมการ ก็แสดงว่าจะต้องมีใครหวังตำแหน่งเจ้าอาวาส ถ้าเขาพ้นไปแล้วตนเองจะได้ อยู่ข้างนอกมองเข้าไป เดี๋ยวก็เห็นเองว่าใครเป็นใคร
ถาม : กรณีนี้เจ้าอาวาสไปขัดผลประโยชน์ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ที่มีปัญหาก็เพราะว่ากรรมการไม่สามารถควบคุมเจ้าอาวาสได้ ถึงเวลาเรียกร้องผลประโยชน์ไม่ได้
ถาม : เจ้าอาวาสเอาเงินวัดไปใช้ในเรื่องส่วนตัว กรรมการไม่ยอม ขณะเดียวกัน กรรมการวัดต้องการเอาเงินไปก่อสร้างให้วัด แล้วเจ้าอาวาสมายึดสมุดบัญชีวัดไป เพราะต้องการยึดอำนาจการใช้เงินจากกรรมการ ?
ตอบ : ปล่อยเขารบกันเอง บอกไปว่า เราเป็นคนนอกมาอยู่ไม่นาน ไม่รู้เรื่องอะไร ขืนไปเข้าข้างไหนก็เละ แล้วเรื่องอะไรจะไปเข้าข้าง
พระอาจารย์สนทนากับโยมรุ่นเก่าที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง "ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ให้นึกถึงพระ นึกถึงพระนิพพานไว้อย่างเดียว ถ้าใจจ่ออยู่ที่เดียว รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่มี ถ้าอยู่ได้นานพอจนเคยชิน ใจจะสะอาดไปเอง"
ถาม : รู้สึกว่าเข้มข้นขึ้น ?
ตอบ : เหมือนที่อื่นไม่อยากแวะแล้ว ไปที่เดียว ยังดีที่พวกเราเลี้ยวมาตอนนี้ เห็นทุกข์แล้วเข้าถึงธรรมได้ คนอื่นทุกข์แล้วไปดิ้นรนกลุ้มใจอยู่ ถือว่าโชคดีที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง เพียงแต่ว่ากรรมเก่าที่เราสร้างไว้ ก็ใช้ ๆ ไป ถือว่าครั้งสุดท้ายแล้ว เอ็งทวงได้เท่าไรก็แค่นั้นแหละ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย
ถาม : รุ่นเราโชคดีที่สุดที่ได้เจอหลวงพ่อ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นสังฆานุสติเต็มระดับ นึกถึงเมื่อไรก็เห็นภาพชัดเจนว่าท่านพูดอย่างไร ท่านทำอย่างไร คนอื่นนึกให้ตายก็นึกไม่ออก
ถาม : ท่านโชคดีที่ได้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าอาตมาตัดสินใจถูกแล้วที่มาทางนี้ ถ้าเป็นฆราวาสก็คงต้องไปรบราฆ่าฟัน แย่งชิงตำแหน่งกับเขาอีก ช่วงนั้นแม่ชม้อยล้มตึงพอดี พอแม่ชม้อยล้ม แทนที่จะถอยเหมือนบางคน อาตมาก็บวชเลย
ถาม : แกออกมาหรือยัง ?
ตอบ : ออกมาแล้วแต่ว่าเงินไม่มี เพราะว่าโดนเขายึดไปหมด ความจริงอาตมาจะไม่กระทบกระเทือนเลยเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าไม่เล่นแชร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่พรรคพวกนี่สิ คนโน้นก็มาอ้อนคนนี้ก็มาอ้อนยืมเงิน จากที่ไม่เล่นกับใคร เลยเจอไป ๗ คันกว่า ๘ คัน "พี่ไม่มีความโลภเป็นความดีของพี่ แต่พวกผมต้องกินต้องใช้ ถึงเวลาถ้าผมได้มา ก็แบ่งให้พี่ด้วย พี่ก็ทำงานพระศาสนาได้สะดวกขึ้น" กล่อมจนอาตมาต้องให้ สรุปว่าอยู่เฉย ๆ ก็โดนไปด้วย หลวงพ่อท่านหัวเราะ บอกว่า "ไอ้พวกกองเสบียง คอยสนับสนุนเขา โดนไปด้วยจนได้" สรุปว่าสงครามครั้งนั้นอาตมาเป็นฝ่ายสนับสนุนเสบียง เลยโดนไปด้วย
ถาม : เวลาเราอธิษฐานทำไมบางครั้งจึงไม่สำเร็จ ?
ตอบ : เราต้องทำมาพอ ถ้าเราทำมาไม่พอก็ไม่สำเร็จ อธิษฐานบารมีเหมือนเราเก็บเงินซื้อของ สมมติว่าจะซื้อรถคันหนึ่ง ถ้าคุณเก็บเงินไม่พอ คุณก็ซื้อรถไม่ได้ อธิษฐานให้ตายก็ไม่สำเร็จ แต่ถ้าหากบุญของคุณเพียงพอ อธิษฐานขอก็จะได้ตามนั้น
อธิษฐานบารมีเป็นการเล็งเป้าไว้ว่าเราต้องการอะไร ถ้าถึงเวลาสิ่งนั้นก็จะมาตามบุญที่เราทำ ไม่ใช่ความโลภ เพราะว่าทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วได้แน่นอน เพียงแต่ว่าอธิษฐานบารมีเป็นการจำกัดว่าต้องการตอนไหน ต้องได้ตอนนั้น เป็นเรื่องของคนมีปัญญาจึงจะใช้เป็น แต่ว่าต้องทำมาเพียงพอจึงจะได้ ไม่พอยังไม่ได้หรอก เป็นเรื่องของเหตุผล ถ้าคุณสร้างเหตุพอ ผลก็จะได้ เพียงแต่ว่าได้ตามที่เราต้องการ ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจเอาไว้ อาจจะได้ในสิ่งที่เราไม่ต้องการ
ถาม : ผมได้รับพระกรุของที่อื่นมา แต่ผมไม่รู้ที่มาว่าเป็นของมือหนึ่ง มือสอง หรือมือสาม ไม่รู้ว่าคนที่เป็นมือหนึ่งเขาได้มาจากการขโมยหรือเช่าบูชา ?
ตอบ : ถ้าไม่มั่นใจให้สร้างพระพุทธรูปถวายวัดคืนไป เราไม่ต้องดูว่าพระองค์นั้นปัจจุบันราคาท้องตลาดเท่าไร สมมติว่าเป็นพระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง อาจจะสัก ๒๐ ล้านบาท แต่ถ้าคุณสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วองค์หนึ่งไปถวายวัด สามารถทดแทนกันได้ เพราะ พุทโธ อัปปมาโณ คุณพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ เราก็สร้างองค์ใหญ่กว่าไปคืน
ถาม : สร้างเองหรือต้องไปซื้อ ?
ตอบ : จะไปซื้อไปก็ได้ ให้มาเป็นของเรา เสร็จแล้วเอาไปถวายวัด ตั้งใจอธิษฐานทดแทนกันไป เผื่อว่าจะเป็นหนี้สงฆ์ เราก็ถวายพระองค์นี้แทนการชำระหนี้สงฆ์
แต่ถ้าไปแบกเอาพระพุทธรูปมา ต้องสร้างคืนหรือถวายคืนให้ใหญ่เท่านั้นหรือใหญ่กว่านั้น แต่ถ้าพระเครื่อง ถวายคืนแค่องค์ขนาด ๕ นิ้วก็พอ
ถาม : รู้สึกว่าไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่เราทำแล้วมีความสุขเลย ?
ตอบ : เขาเรียกว่านิพพิทาญาณ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะถ้าเราไม่เบื่อ เราก็ยังอยากเกิดอีก พอเราเบื่อเราก็จะเสาะหาว่าทำอย่างไรถึงจะไม่เกิด ก็คือเส้นทางในการละสังโยชน์ ๑๐ หรือเส้นทางพระโสดาบัน คว้าเอาไว้แล้วปฏิบัติย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทวนไว้ทุกวัน ถ้าอารมณ์เราสูงขึ้นก็จะก้าวข้ามตัวเบื่อไปได้
ตอนนี้รู้สึกเบื่อ ก็พยายามให้เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาต้องพบกับสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายแบบนี้ แต่ถ้าเปรียบกับการเวียนว่ายตายเกิดที่นับชาติไม่ถ้วนไม่รู้จบนี้ กับการที่ชาตินี้เราหลุดพ้นไปพระนิพพาน ชีวิตชาตินี้ของเราเมื่อเทียบกับการเวียนว่ายตายเกิดก็แค่แวบเดียว ทำไมเราจะทนอยู่ไม่ได้ ถ้าเราเห็นธรรมดาของการเกิดเป็นอย่างนี้ เห็นตัวธรรมดาตรงนี้เมื่อไร ก็จะไม่ไปแบกเอาไว้ ความเบื่อก็จะหายไป
ต้องพิจารณาอีก ทวนแล้วทวนอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ยิ่งเบื่อมากยิ่งดีเพราะจะได้ไม่อยากเกิด ถ้ารักษาอารมณ์เบื่อไว้ได้ก็ให้ประคองไว้สักระยะหนึ่งก่อน เอาให้จำใส่ใจไปเลยว่า อย่างนี้ไม่เอาแน่ ๆ หลังจากนั้นก็พิจารณาให้เห็นธรรมดา จะได้ก้าวข้ามไป
ถ้าเคยทำมา ถามแล้วก็ตอบได้ แต่ถ้าไม่เคยทำ เมื่อมีมาถามแล้วจะไม่รู้จะตอบอย่างไร ดีที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมาครบทุกอย่าง ถึงเวลาคนอื่นถามอะไรก็ไม่เกินไปจากนั้น
ถาม : พอเห็นอาหาร ก็นึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเวลาพิจารณาอาหาร ?
ตอบ : พระที่วัดท่าขนุนเป็นหลวงตาอยู่รูปหนึ่ง ท่านบอกว่า อาจารย์..พวกเนื้อสัตว์ผมพิจารณาได้ เพราะว่ามีเลือดมีคาว แต่พวกผักผลไม้สีสันก็สวยน่ากิน กลิ่นคาวก็ไม่มี หอมอีกด้วย แล้วผมจะพิจารณาอย่างไร ? อาตมาก็บอกว่าสมมติมะม่วงสุก คุณว่าสุกใช่ไหม ? แต่ผมว่าเน่า..! เพียงแต่ว่าคนเราฉลาด กินตอนที่เน่ากำลังดี ยังไม่เน่าเกินไป เสร็จแล้วก่อนที่จะมาเป็นลูก มาจากไหน ? มาจากต้นมะม่วง ต้นก็ต้องดูดปุ๋ยซึ่งเป็นซากสัตว์ อุจจาระ ปัสสาวะ ไปเลี้ยงต้น ต้องอธิบายชัด ๆ ท่านถึงจะเห็น ปัญญาท่านไม่พอ อาตมาเองมองแวบเดียวก็เห็นหมดแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้หมดแล้ว
ท่านบอกว่าสวย หอม ท่านพิจารณาให้สกปรกไม่ได้ ดูสิ..ของเน่าชัด ๆ ปล่อยทิ้งอีกไม่กี่วันก็เน่าดำแล้ว..ใช่ไหม ? เพียงแต่คุณฉลาดมากินตอนเน่ากำลังดี ยังไม่เน่าไปมากกว่านั้น
ถาม : รู้สึกว่าโง่มาก ?
ตอบ : ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วยังโง่นะ พวกที่ไม่รู้จักพระนิพพานก็โง่กว่าตั้งเยอะ
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความกตัญญู ก็คือ รู้คุณท่าน กตเวที คือตอบแทนคุณที่ท่านทำไว้ ความกตัญญูเขาว่ามี กตัญญูต่อบุคคล คือรู้คุณที่คนอื่นทำให้ กตัญญูต่อสถานที่ อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนเพ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่ตลอด ๗ วัน ด้วยความรู้คุณว่าได้อาศัยร่มเงาจนกระทั่งตรัสรู้ กตัญญูต่อตัวเอง อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้อายุ ๖๐ กว่าพรรษาแล้วก็ยังออกกำลังทุกวัน โดยตั้งใจว่าให้ร่างกายนี้แข็งแรงที่สุด ดีที่สุด จะได้ทำงานเพื่อประเทศชาติได้มากที่สุด
สงสารแต่บรรดาข้าราชบริพาร อายุ ๔๐-๕๐ ยังตามเสด็จไม่ทัน พระองค์ท่านแม้อายุ ๖๐ กว่าแล้ว เสด็จพระราชดำเนินนี่หนุ่ม ๆ เดินลิ้นห้อยไปตาม ๆ กัน ถ้าไม่ใช่ว่าในอดีตสร้างกรรมเอาไว้มาก รบทัพจับศึกไว้มาก จนกระทั่งพระวรกายมาชำรุดเอาตอนท้าย คาดว่าพระองค์ท่านก็ยังคงเสด็จทั่วประเทศเหมือนเดิม ตอนนี้ถึงเสด็จไปไหนไม่ได้ก็ยังทรงงานอยู่ทุกคืน
ในเมื่อกตัญญู คือรู้คุณท่าน ก็ต้องมีกตเวที คือตอบแทนคุณท่าน การตอบแทนคุณสถานที่ ก็ลักษณะเดียวกับการอยู่วัดวาอาราม ต้องทำความสะอาด ต้องบูรณปฏิสังขรณ์ให้ดี ให้วัดได้อาศัยบ้าง ไม่ใช่ได้ชื่อว่าไปอาศัยวัด ถ้าสักแต่ว่าไปอาศัยวัดแสดงว่าขาดความกตัญญูต่อสถานที่ พวกเราส่วนใหญ่เข้าใจว่ากตัญญูกตเวทีคือตัวบุคคลอย่างเดียว บุคคลจะประกอบไปด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำคุณก่อน ก็คือสั่งสอนเวไนยสัตว์เพื่อความพ้นทุกข์ ทั้งปัจจุบันและอนาคต พระภิกษุสามเณรนำเอาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่ให้พวกเราได้รู้ ได้พบดวงแก้วที่จะนำทางชีวิตพวกเราให้ล่วงพ้นจากกองทุกข์
พระมหากษัตริย์ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้ได้รับความสุข ปกป้องให้ปลอดภัย พ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดชีวิตของเรา เป็นครูบาอาจารย์คนแรกที่อบรมสั่งสอนจนเราสามารถเอาตัวรอดได้ มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน ครูบาอาจารย์ แนะนำศิลปวิทยาการเพื่อให้เราสามารถทำมาหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ตลอดจนกระทั่งเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้
ในเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นบุคคลที่ทำคุณก่อนโดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อเรารู้ก็ต้องกตเวที กตัญญูรู้คุณท่านอย่างเดียวไม่ครบ ต้องกตเวที คือทำความดีตอบแทน ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้หวังที่จะให้เราตอบแทน แต่ว่าขึ้นอยู่กับตัวเราว่ามีจิตสำนึกแค่ไหน ? ถ้าได้รับการอบรมมาดี มีจิตสำนึกที่ดี ก็จะรู้จักแทนคุณท่าน "
"ในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงพระภิกษุลูกชายเศรษฐีที่ไปบวช เสร็จแล้วพ่อแม่รักษาสมบัติไม่ได้ โดนข้าทาสบริวารเพื่อนพ้องโกงจนหมดตัวกลายเป็นขอทาน พอทราบข่าวท่านก็ไปนำพ่อแม่มาเลี้ยงไว้ สร้างกระต๊อบในป่าให้อยู่ ได้ข้าวปลาอาหารมาให้พ่อแม่กินอิ่มก่อน เหลือเท่าไรตนเองก็ฉันแค่นั้น ได้ผ้ามาก็เอามาเย็บมาย้อมแล้วเอาให้พ่อแม่ตนเองนุ่งก่อน ตนเองก็เอาผ้าเก่าของพ่อแม่มาทำให้เสียสี เย็บย้อมเป็นจีวรเอามานุ่งห่ม ลำบากตรากตรำจนกระทั่งผอมดูไม่ได้เลย พระท่านก็ร่ำลือไปต่าง ๆ นานา
พอพระพุทธเจ้าทราบเหตุเข้าจึงต้องตรัสประชุมว่า พระภิกษุรูปนั้นทำถูกต้องแล้ว เพราะว่าพ่อแม่ถือว่าเป็นแดนเกิด ถ้าไม่มีท่านก็ไม่ได้เกิดมาจนกระทั่งได้บวช ได้พบพระธรรม แล้วทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุสามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยปัจจัยสี่ได้ตามสมควร คำว่า "ตามสมควร" ในที่นี้คือให้ท่านดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากมาก แต่ว่าในปัจจุบันมีหลายที่อยู่ในลักษณะว่าขนข้าวของเงินทองอะไรไปทุ่มเทให้กับทางบ้าน ทางครอบครัว
สมัยก่อนอย่างเณรคำ สร้างบ้านให้ ๒๐ ล้าน ซื้อที่ให้ ๒๐๐ ไร่ รถอีก ๑๐ กว่าคัน อันนั้นเกินสมควร ถ้าจะดูก็ต้องดูอย่างหลวงพ่อวัดคลองวาฬ เจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลวงพ่อเอียดท่านเอาแม่มาเลี้ยงดูอยู่ที่วัด เช้ามืดตีสามตีสี่ตื่นขึ้นมาเตรียมข้าวปลาอาหารให้แม่ พระเณรกราบเรียนว่า “หลวงพ่อไม่ต้องหรอก พวกผมทำเอง” ท่านบอกว่า “คุณไม่เคยอยู่กับแม่ผมมา คุณไม่รู้ว่าแม่ผมชอบอะไร” ท่านขอทำเองเพราะท่านรู้ นั่นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน
หลวงพ่อพระพรหมเวที เจ้าคณะภาค ๑๕ วัดพระปฐมเจดีย์ ถึงเวลาเขียนหนังสือใช้นามปากกาว่า “ลูกแม่ตุ้ย” เอาชื่อแม่ขึ้นเลย สร้างศาลาก็ชื่อ “ศาลาแม่ตุ้ย บุษบก” ท่านชื่อสุเทพ เขียนหนังสือใช้นามปากกา “สุเทพ ลูกแม่ตุ้ย” ฉะนั้น..ตัวอย่างของพระผู้ใหญ่ที่กตัญญูและกตเวทีต่อพ่อแม่ตัวเองต้องบอกว่ามีให้เห็นชัด
สมัยหลวงปู่ปานท่านก็เอาโยมแม่ของท่านมาเลี้ยงดูอยู่ ถึงเวลาก็อุ้มเข้าห้องน้ำห้องท่า ซักผ้าซักผ่อนให้ ตากอยู่ในศาลา พระอื่นก็ไปว่าท่าน ไปตำหนิท่าน ท่านก็บอกว่าท่านถือตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ในเมื่อพระพุทธเจ้าอนุญาตให้เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ท่านก็เลี้ยงดู เขาก็บอกว่าท่านเอาผ้านุ่งแม่ไปตากบนศาลา คนเดินข้างล่างก็ลอดไปลอดมา ท่านก็บอกว่าตอนเกิดมาคุณยิ่งกว่าลอดใต้ผ้านุ่งอีก..!"
ถาม : การที่พระโพธิสัตว์ท่านสละลูกของท่านให้ยักษ์เป็นอาหาร ลูกเต็มใจเปล่าหรือคะ ?
ตอบ : อาตมาก็ลืมถามลูกไป
ถาม : แล้วถ้าไม่เต็มใจ ไม่เท่ากับเป็นการทำร้ายชีวิตหรือคะ ลูกไม่โกรธหรือคะ ?
ตอบ : อย่าเอากำลังใจเราไปวัดกับกำลังใจพุทธภูมิ พวกเราคิดโน่นคิดนี่คิดนั่น ส่วนของท่านถ้าเพื่อสร้างบารมีนี่ไม่โกรธหรอก มีแต่จะสนับสนุน ลุยโลดเลยพ่อ..!
ถาม : คำว่าโมทนา กับ อนุโมทนา ต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : โมทนาแปลว่ายินดี อนุ แปลว่าตาม ก็คือยินดีตามเขาไป ดังนั้นคำเต็มก็คืออนุโมทนา แต่หลายคนไม่เข้าใจคิดว่าอนุแปลว่าน้อย ก็เลยไป “มหาโมทนา” อันนั้นบ้า..!
ถาม : เราพกตะกรุดมหาสะท้อน ถ้าเราเผลอคิดไม่ดี โกรธคนอื่น ?
ตอบ : ตะกรุดให้ผลตามที่คนอื่นเขาทำดีทำชั่วกับเรา ตัวเราไม่เกี่ยว เพราะฉะนั้น..จะโกรธจะเกลียดใครก็ช่างเถอะ ถ้าคนนั้นเขาไม่ได้ทำไม่ดีกับเรา โกรธเขาให้ตายก็ไม่เกิดผลกับเขาหรอก
ถาม : เวลาทำสมาธิ บางทีตัวโยกมากจนตัวเรารับไม่ไหว ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่าปีติ ลักษณะของปีติบางทีก็โยก บางทีก็ดิ้น บางทีก็ตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้าทำนองนั้น ถ้าหากว่าสมาธิถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะดีอยู่อย่างคือเราจะไม่เบื่อในการปฏิบัติ รู้สึกอยากจะทำอยู่ตลอดเวลา
ถาม : พอหลังจากตรงจุดนั้นแล้ว เรารู้สึกว่ากลับไปเป็นอย่างนั้นไม่ได้อีก ?
ตอบ : เพราะเราไปอยากให้จะเป็นอย่างนั้นหรือว่าไปกลัวว่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก มีหน้าที่ภาวนา ภาวนาแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เมื่อวางกำลังใจสบาย ๆ แบบนี้ได้ก็สามารถเข้าถึงตรงนั้นได้อีก
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้น่าเป็นห่วงชาวบ้าน ห่วงตรงที่ว่าจะขาดน้ำ ความจริงบ้านเรามีโครงการผันน้ำจากแม่น้ำโขง อย่างโครงการโขง-ชี-มูล วางโครงการมาจนกระทั่งประเภทยังไม่มีลูก ลูกก็เกินที่จะบวชได้แล้ว จนป่านนี้โครงการก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ถ้าสามารถผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาได้ กระจายไปคลองซอยคลองชลประทาน อีสานก็จะไม่แล้ง
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าโครงการใหญ่ มีค่าใช้จ่ายมาก บรรดาแร้งก็จะมาลง ถ้าไม่มีส่วนแบ่งเขาก็จะขวางไม่ให้โครงการเกิด กลายเป็นว่าบ้านเราไม่สามารถที่จะทำโครงการอะไรที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้านได้จริง ๆ เพราะมักจะไปติดความเห็นแก่ตัวของบุคคลไม่กี่คน
เราจะเห็นว่าญี่ปุ่นสูญเสียจากสงครามอย่างมหาศาล บุคคลรุ่นเก่าต้องดิ้นรนเต็มที่เพื่อที่จะสร้างความเจริญให้กับบ้านเมืองตัวเอง จนกระทั่งปัจจุบันกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศเกาหลีก็โดนทั้งสงครามยึดครองจากญี่ปุ่น โดนทั้งสงครามลัทธิระหว่างคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี จนกระทั่งแตกเป็น ๒ ประเทศ ก็ต้องดิ้นรนสร้างชาติของตนเองจนเข้มแข็ง กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจที่เขายอมรับกันทั่วโลก ต้องบอกว่าบ้านเราลำบากน้อยไปหน่อย ก็เลยไม่ค่อยดิ้นรนกัน อะไร ๆ ก็ทำเพื่อตัวเอง ต้องรอให้สถานการณ์บีบคั้นใช่ไหม ? เดี๋ยวพอลำบากยากแค้นกันทั่วประเทศเขาก็ดิ้นรนกันขึ้นมาเองแหละ..!"
ถาม : มีบางอย่างมาควบคุมหนู มาบอกให้หนูรับองค์ค่ะ ?
ตอบ : ถ้าจะให้รับ ข้อแรก ต้องให้เรารวยก่อน มีฐานะอยู่กินอย่างสบาย ๆ โดยไม่เดือดร้อนแล้วจะรับ ข้อที่สอง เมื่อต้องการที่จะอาศัยร่างของเรา ต้องไม่ทำอาการอะไรที่พิลึกพิลั่นจนเราต้องอับอายชาวบ้านเขา ข้อที่สาม สิ่งไหนที่รับปากช่วยคนอื่นไปต้องสำเร็จตามนั้น
ถาม : หลวงปู่ที่วัด เขาบอกว่าให้หนูรับหน้าพระ ?
ตอบ : บอกเขาไปว่าแน่จริงมาลงตรงนี้สิวะ...! บอกไปว่ากติกา ๓ ข้อนี้ทำให้ได้ก่อน ถ้าไม่สำเร็จไม่รับ อย่างเราถ้าต้องไปทำงานให้เขา งานการของเราก็ไม่ได้ทำ ต้องทำให้เรามีความเป็นอยู่คล่องตัวก่อน ฉะนั้น..สิ่งที่รับปากเขาสำคัญที่สุด..ต้องสำเร็จตามนั้น ถ้าคุณไม่แน่ใจอย่าทะลึ่งโผล่หน้ามา
ถาม : ทำไมหนูต้องยอมรับด้วย ?
ตอบ : จะไม่รับก็ได้ ไม่ได้ว่าอะไรนี่ บอกแล้วว่าถ้าเราไม่เอา เขาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าจะเอากติกา ๓ ข้อนี้ต้องได้
ถาม : ถ้าจะตายไปตอนนี้ให้ตายไป หนูไม่อยากอยู่ ไม่อยากไปที่ไหนอีกแล้ว อยากจะไปอยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ?
ตอบ : ถ้าตัดสินใจอย่างนั้นก็จบแค่นี้เลย ก็คือไม่รับ
ถาม : ตอนที่ลง เขาบอกว่าเป็นท่านปู่พระศิวะค่ะ หลวงปู่บอกว่าอย่าไปเชื่อ เป็นผีห่าซาตาน เขาจะตามหนูไปทุกที่ค่ะ ?
ตอบ : นึกถึงพระไว้สิ นึกถึงพระพุทธเจ้าคลุมไว้ ดูว่ามีปัญญาลงไหม ? ดูว่าสามโลกนี้มีใครเก่งเกินพระพุทธเจ้าบ้าง ..!
ถาม : เขาทำให้หนูไม่สามารถทำอะไรได้เลยค่ะ ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระให้เป็นปกติ ถ้าหากว่าอารมณ์ทรงตัวเป็นปฐมฌานขึ้นไปกำลังเราจะเท่ากับพรหม ในเมื่อกำลังเราเท่ากับพรหม เขาทำอะไรไม่ได้หรอก
ถาม : ถ้าหนูตาย ช่วยพาหนูไปด้วยนะคะ ?
ตอบ : ตัวเองยังแบกยากเลย จะลากคนอื่นไปอย่างไร ตัวใครตัวมันจ้ะ เดี๋ยวจะไปรอแล้วกัน ตามไปให้ทันนะ ...(หัวเราะ)...
ถาม : ถ้าแซงละคะ ?
ตอบ : ใครแซงได้แซงไปก่อนเลย อาตมายังมีเวรมีกรรม ต้องอยู่ใช้หนี้เขาอีกหลายปี จะตายเขายังไม่ยอมให้ตายเลย
เรื่องของร่างทรง วิธีเลี่ยงที่ดีที่สุดก็คือภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวอย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ถ้าทรงฌานได้ กำลังเราเท่ากับพรหมเขาทำอะไรไม่ได้หรอก ยกเว้นว่าท่านที่เหนือกว่าพรหม และที่สำคัญที่สุดก็คือว่าอย่าไปหวั่นไหวง่าย ๆ ถ้าเราไปหวั่นไหวง่าย ยินดียินร้ายอะไร กำลังเราตก เขาก็จะครอบงำได้ง่าย
พวกเรายังไม่ได้เจอแบบที่อาตมาเจอ มายืนค้ำหัวชี้หน้าเลยว่า "กูยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก ไม่มีใครเหนือกว่ากูอีกแล้ว..!" ถ้าเป็นพวกเราได้ยินก็ขวัญหนีดีฝ่อ อาตมาบอก “มึงยิ่งใหญ่แค่ไหน ตอนนี้กูเป็นพระ มึงนั่งลงซะ ไม่อย่างนั้นจะโดนเตะ..!” เขาเลยยอมนั่ง ถ้ากำลังใจเรามั่นคงไม่หวั่นไหว พวกนี้ทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่จะเกิดความกลัวซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
ฉะนั้น..วิธีที่จะเลี่ยงความกลัวได้ดีที่สุดก็คือทรงสมาธิไว้ แล้วบางรายกำลังเขาสูง แค่เข้าเขตมาใกล้นี่ขนลุกเกรียวมาแต่ไกลเลย ลักษณะนั้นต้องตั้งท่ารับ พวกนั้นแรงจัด ก่อนหน้านั้นอาตมาก็นิสัยไม่ดี เจอแบบนี้ไล่กระจายเลย มาตอนหลังได้รับความรู้จากหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “อย่าอวดดีกับผี อย่าลองดีกับพระ” มีอะไรเจรจากันก่อน ถ้าสามารถช่วยเขาได้ สามารถสงเคราะห์เขาได้ก็ทำไป ถ้าช่วยไม่ได้สงเคราะห์ไม่ได้ คุยกันไม่รู้เรื่องจริง ๆ แล้วค่อยไปตีกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาได้เตือนท่านเอแล้วว่ารักษาสุขภาพหน่อย แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราถ้าห้ามกินนี่ก็แย่เลย ไม่รู้ว่าจะเอาแรงจากไหนมา ไม่นึกว่าท่านจะเป็นถึงขนาดนั้น ปกติที่ท่านเป็นอยู่คือไทรอยด์ แล้วอยู่ ๆ กลายเป็นเบาหวานไปตอนไหนไม่รู้
งานที่ท่านรับอาสาทำให้ ไม่ว่าจะสมเด็จองค์ปฐมประธานศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย หรือสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินขนาด ๙.๙ นิ้ว ท่านบอกว่าท่านจะทำส่งท้าย เสร็จงานแล้วตายก็จะไปพร้อมกับผลงานเลย อัศจรรย์ตรงที่ว่าหล่อพระแล้วไม่ต้องแต่งเลย โดยเฉพาะองค์เนื้อเงิน อย่าลืมว่าฝนตกนะ ปกติแบบถ้าอากาศเย็นนี่ช่างร้องไห้แล้ว เพราะแบบเย็นโลหะที่ลงไปจะเย็นเร็ว ที่ลงไปใหม่ตามไม่ทันก็จะโบ๋ ต้องซ่อมกัน แต่ของเรานี่อะไรจะสมบูรณ์ได้ขนาดนั้น อย่างของวัดที่หนองปรือต้องซ่อมทุกชิ้น แล้วหลายชิ้นต้องเปลี่ยนใหม่เลย
ถึงได้บอกว่าในเรื่องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ยิ่งนานไปคนที่รู้จักท่านจริง ๆ จะเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็รู้แค่ว่าท่านมีความสำคัญอย่างไร แต่จะรู้จักท่านจริง ๆ หรือไม่ ในเมื่อไม่รู้จักท่านจริง ๆ ไม่สามารถที่จะขอกับท่านโดยตรงได้ บางทีก็เละเทะอย่างที่เห็น ของที่อื่นเขาตัดเป็นท่อน ๆ ไปหล่อ แล้วต้องทำใหม่ทุกท่อน โดยเฉพาะพระพักตร์ หล่อออกมานี่พรุนเป็นรังผึ้งเลย ซ่อมไม่ไหว ท่านอาจารย์สุชาติต้องปั้นใหม่เลย ทั้งที่ใช้ช่างในการหล่อชุดเดียวกัน แล้ววันที่หล่อของวัดท่าขนุน ก็ใช้ฤกษ์นั้นหล่อที่โน่นด้วย แต่ปรากฏว่าทางด้านโน้นปั๊มหอยโข่งพังทั้ง ๒ ตัว ต้องรอของเราหล่อเสร็จแล้วเอาจากที่นี่วิ่งไป หล่อเสร็จแล้วก็ต้องซ่อมอีก
ช่างเขามีกำลังใจเพราะว่าทำของเราแล้วออกมาเกินมาตรฐาน โดนเฉพาะสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินที่เขามาตั้งกองหล่อกันที่นี่ ช่างไม่คิดค่าแรงแม้แต่บาทเดียว ทำถวาย..ค่าแรงไม่คิด คนทำเขาปลื้มใจที่ได้ทำ เพราะว่าทำแล้วกลายเป็นชื่อเสียงของโรงหล่อ
ตอนช่างณุทำสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์มาให้ดู อาตมาบอกว่าให้เอาฐานข้างหลังออก ไม่อย่างนั้นจะหนักกว่านี้อีกเยอะ เพราะเขาไปทำขารับซุ้มไว้ คิดดูว่าขารับซุ้มทั้ง ๒ ข้างถ้าเป็นทองนี่จุกเลย บอกช่างให้เอาออก เหลือแต่ซุ้มไว้เฉย ๆ เขาก็ตั้งใจทำเต็มที่แล้ว ไปค้นหารูปสมเด็จองค์ปฐมทั้งประเทศไทยที่เป็นลอยองค์มาเปรียบเทียบดู ช่างยืนยันว่าของเราสวยที่สุด"
:4672615:เก็บตกเดือนเมษายนปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.