เถรี
26-03-2015, 15:29
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่ถนัดและสบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้ทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ให้ใช้คำภาวนาที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ เมื่อครู่ที่ได้กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่อึมครึม ดูท่าแล้วไม่ค่อยจะดี เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้ากำลังใจของเราไม่ทรงตัว บางคนก็จะเครียด ห่วงกังวลทั้งตัวเอง ทั้งครอบครัว ทั้งหน้าที่การงานต่าง ๆ เพราะว่าในเมื่อสถานการณ์เอาแน่ไม่ได้ สิ่งต่าง ๆ ก็จะกำหนดให้เป็นไปได้ยาก
วิธีการที่เราจะไม่ไปใส่ใจ ก็คืออยู่กับการภาวนาของเรา ถ้าเราอยู่กับการภาวนา อยู่กับลมหายใจเข้าออก ก็คืออยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ สภาพจิตไม่ส่งไปในอดีต ไม่ส่งไปในอนาคต เพราะว่าอดีตก็จะไปหวนหาอาลัยกับรัฐบาลเก่า ๆ ที่เราคิดว่าดีแล้ว ขณะเดียวกัน อนาคตก็ฟุ้งซ่านว่าจะมีรัฐบาลดี ๆ มาอีกเมื่อไร เป็นต้น
การหยุดใจไว้อยู่กับปัจจุบันจึงเป็นการสร้างสติที่ดีที่สุด ถ้าสติของเราทรงตัวมั่นคงแล้ว ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็อยู่ในกรอบของเหตุผลและศีลธรรม ไม่ทำให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ไม่ไหลไปตามกระแสโลกที่เร่าร้อนขึ้นทุกขณะ ถ้าเราหนักแน่น เยือกเย็น และมั่นคงพอ ก็อาจจะเป็นที่พึ่งแก่คน จะหมู่มากหมู่น้อยก็แล้วแต่การสั่งสมคุณความดีมา
ดังนั้น..ในการสร้างสติที่ดีที่สุดก็คืออานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทก็เริ่มแยกออกจากกัน เราอาจจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลง บางทีก็หายไป คำภาวนาบางทีก็หายไป ยกเว้นท่านที่มีความรู้สึกละเอียดแล้ว แม้ดูภายนอกเหมือนไม่มีลมหายใจ แต่ท่านก็จะรู้ได้ว่ามีลมหายใจละเอียดอยู่ ซึ่งลมละเอียดเหล่านี้ บางทีไม่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ได้
เมื่อจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ ถ้าจับภาพพระอยู่ก็ให้กำหนดเฉพาะภาพพระของเรา ถ้าไม่ได้จับภาพพระแต่จับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจหายไปก็ให้กำหนดสติรู้เท่าทันว่าตอนนี้ลมหายใจหายไป อย่าไปดิ้นรนอยากจะหายใจใหม่ และอย่าไปดิ้นรนอยากจะไม่หายใจ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมดา โดยธรรมชาติ เรามีหน้าที่เอาสติเข้าไปกำหนดรู้ตามเท่านั้น
ถ้าใครสามารถทำดังนี้ได้ ความมั่นคงของสมาธิที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะทำให้สติทั้งว่องไว ทั้งแหลมคม สามารถที่จะคิด จะพูด จะทำอยู่แต่ในสิ่งที่ดี ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนาก็ตาม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ เมื่อครู่ที่ได้กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่อึมครึม ดูท่าแล้วไม่ค่อยจะดี เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้ากำลังใจของเราไม่ทรงตัว บางคนก็จะเครียด ห่วงกังวลทั้งตัวเอง ทั้งครอบครัว ทั้งหน้าที่การงานต่าง ๆ เพราะว่าในเมื่อสถานการณ์เอาแน่ไม่ได้ สิ่งต่าง ๆ ก็จะกำหนดให้เป็นไปได้ยาก
วิธีการที่เราจะไม่ไปใส่ใจ ก็คืออยู่กับการภาวนาของเรา ถ้าเราอยู่กับการภาวนา อยู่กับลมหายใจเข้าออก ก็คืออยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ สภาพจิตไม่ส่งไปในอดีต ไม่ส่งไปในอนาคต เพราะว่าอดีตก็จะไปหวนหาอาลัยกับรัฐบาลเก่า ๆ ที่เราคิดว่าดีแล้ว ขณะเดียวกัน อนาคตก็ฟุ้งซ่านว่าจะมีรัฐบาลดี ๆ มาอีกเมื่อไร เป็นต้น
การหยุดใจไว้อยู่กับปัจจุบันจึงเป็นการสร้างสติที่ดีที่สุด ถ้าสติของเราทรงตัวมั่นคงแล้ว ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็อยู่ในกรอบของเหตุผลและศีลธรรม ไม่ทำให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ไม่ไหลไปตามกระแสโลกที่เร่าร้อนขึ้นทุกขณะ ถ้าเราหนักแน่น เยือกเย็น และมั่นคงพอ ก็อาจจะเป็นที่พึ่งแก่คน จะหมู่มากหมู่น้อยก็แล้วแต่การสั่งสมคุณความดีมา
ดังนั้น..ในการสร้างสติที่ดีที่สุดก็คืออานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทก็เริ่มแยกออกจากกัน เราอาจจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลง บางทีก็หายไป คำภาวนาบางทีก็หายไป ยกเว้นท่านที่มีความรู้สึกละเอียดแล้ว แม้ดูภายนอกเหมือนไม่มีลมหายใจ แต่ท่านก็จะรู้ได้ว่ามีลมหายใจละเอียดอยู่ ซึ่งลมละเอียดเหล่านี้ บางทีไม่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ได้
เมื่อจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ ถ้าจับภาพพระอยู่ก็ให้กำหนดเฉพาะภาพพระของเรา ถ้าไม่ได้จับภาพพระแต่จับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจหายไปก็ให้กำหนดสติรู้เท่าทันว่าตอนนี้ลมหายใจหายไป อย่าไปดิ้นรนอยากจะหายใจใหม่ และอย่าไปดิ้นรนอยากจะไม่หายใจ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมดา โดยธรรมชาติ เรามีหน้าที่เอาสติเข้าไปกำหนดรู้ตามเท่านั้น
ถ้าใครสามารถทำดังนี้ได้ ความมั่นคงของสมาธิที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะทำให้สติทั้งว่องไว ทั้งแหลมคม สามารถที่จะคิด จะพูด จะทำอยู่แต่ในสิ่งที่ดี ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนาก็ตาม