เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๘


เถรี
10-03-2015, 06:41
ถาม : เวลาผมกวาดวัด จะมีมดแมลงต่าง ๆ อยู่ที่พื้น เวลากวาดก็กวาดพวกมดแมลงต่าง ๆ ไปด้วย มดตายหรือไม่ตายก็ไม่รู้ ถ้าไม่กวาดก็ไม่สะอาดอีก เราผู้กวาดจะบาปไหมครับ ?
ตอบ : ในเมื่อตายหรือไม่ตายไม่รู้ แล้วจะติดใจไปทำไม ?

ถาม : ของที่อยู่ในวัด เวลาเราไปเอา บางครั้งก็ขอพระในวัดบ้าง บางครั้งก็เอาเองบ้าง แต่เป็นของที่โยมถวายมา แล้วเอามาไว้ที่ห้องเก็บของ ผมจะเอากุญแจมาเปิดเอา และเจ้าอาวาสก็ไม่รู้ ถึงรู้แต่ท่านก็ไม่ว่า ตัวผมผู้เอาจะผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระก็เสี่ยงต่ออาบัติปาราชิกเป็นอย่างยิ่ง อาบัติปาราชิกนี่ถึงขาดความเป็นพระไปเลย ควรแจ้งแก่ผู้ที่ท่านดูแลก่อน เพราะว่าถ้าเกิดเป็นพระแล้วมีไถยจิตคิดจะขโมย แค่หยิบของเคลื่อนออกจากที่แค่เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผมก็ขาดความเป็นพระแล้ว ทำให้ถูกต้องจนชินไว้จะดีกว่า

ถาม : บางครั้งเจ้าอาวาสไม่อยู่ ผมก็เข้าไปเอาของกินในห้องของเจ้าอาวาสมากิน ผมสามารถเข้าห้องเจ้าอาวาสได้ ผมผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ไม่น่าถาม..ถ้าเจ้าของไม่ยินดีก็ผิดแน่ ๆ

เถรี
10-03-2015, 06:42
ถาม : ถ้าบวชเป็นพระอยู่แต่ต้องอาบัติ ที่ไม่ใช่ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส รู้อยู่หรือไม่รู้ก็ตาม ยังไม่ได้แสดงอาบัติ จะขัดขวางผลแห่งการปฏิบัติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณจะเห็นชัดเจนมาก เพราะวันไหนศีลของเราบกพร่อง สภาพจิตจะมัวหมอง ก็แปลว่าถ้าศีลบกพร่องย่อมขวางการปฏิบัติอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น..ควรจะชำระศีลให้บริสุทธิ์ ถ้าเอาตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำก็คืออย่าให้ข้ามคืน เพราะเราอาจจะตายคืนนี้ก็ได้

เถรี
10-03-2015, 06:50
ถาม : ถ้าในพิธีอุปสมบท มีภิกษุต้องปาราชิกอยู่ด้วย แต่ทั้งหมดนั้นมีภิกษุปกติเกิน ๕ รูป จะเป็นโมฆะหรือสำเร็จแค่สามเณรหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นโมฆะ เพราะถือว่าเป็นอนุปสัมบันอยู่ในท่ามกลางอุปสัมบัน ก็คือเป็นผู้ที่มีศีลน้อยกว่าพระแล้วไปอยู่ท่ามกลางพระ สังฆกรรมนั้นไม่เป็นสังฆกรรม แต่ระยะหลังมีคนพยายามแนะนำว่า ถ้าพระที่ศีลบริสุทธิ์ มีครบองค์สงฆ์ก็ไม่เป็นไร จะไม่เป็นไรได้อย่างไร ? ในเมื่อไปนั่งอยู่ท่ามกลางผู้ที่บริสุทธิ์ เราก็เป็นจุดด่างแปดเปื้อนผู้อื่นเขา

เถรี
10-03-2015, 06:51
ถาม : อานุภาพของมีดหมอและวัตถุมงคลอื่น ๆ ที่นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก วันที่ ๒๔ มกราคมที่ผ่านมา มีอานุภาพเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันนิวเคลียร์ ฝนเหลือง เชื้อไวรัส และรังสี หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปดูในเว็บ..ที่เขาลงไว้บอกว่ามีหรือเปล่า ?

ถาม : มีดหมอสามารถนำไปช่วยปลดปล่อยภพภูมิจิตวิญญาณที่ลำบากได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเขายินดีและกรรมเขาไม่หนัก หลายครั้งก็สามารถช่วยเหลือปลดปล่อยไปได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จริงอย่าไปล่วงกรรมคนอื่นเลย เพราะบางทีตัวเองจะเดือดร้อนเอง

เถรี
10-03-2015, 06:52
ถาม : ถ้ามีคนเขานำพระมาร่วมทำบุญกับเรา โดยอนุญาตให้เราบอกบุญให้คนอื่นมาบูชา ซึ่งเจ้าของท่านก็มีเจตนาอันดี แต่เราไปพบในอินเตอร์เน็ตว่า พระที่ได้มานั้นน่าจะเป็นของปลอม เราจึงตัดสินใจว่าจะร่วมบุญด้วยเงินจำนวนหนึ่งที่พอทำได้และเก็บพระไว้เอง ไม่ทราบว่าการทำแบบนี้จะมีความผิดหรือไม่คะ ที่เราไม่ได้นำไปบอกบุญคนอื่น ?
ตอบ : อาตมาทำเป็นประจำ เพราะขี้เกียจบอกบุญคนอื่น เวลาเขาให้ซองมาก็ใส่เองคนเดียว

เถรี
10-03-2015, 06:55
ถาม : พระเครื่องหรือวัตถุมงคลบางอย่าง เราไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือเราไม่ได้นำติดตัว แต่จำภาพติดตา และรู้สึกดี เราจะอาราธนาจากภาพติดตานี่ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถจับภาพพระติดตาได้ ก็มีอานุภาพเหมือนกับพกวัตถุมงคลนั้นเลย

ถาม : ตอนกราบอาราธนาพระบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์ที่เราชอบและรัก หรือเป็นภาพท่านขึ้นมาในแต่ละครั้ง เป็นกรณีเดียวกันหรือแตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าองค์ที่ชอบและรักมีมาก ก็ต้องคนละกรณีกันอยู่แล้ว ดูว่าถ้าเราตั้งใจระลึกเฉพาะองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วภาพอีกองค์ปรากฏขึ้นมา ถือว่าเป็นพุทธานุสติเหมือนกัน อาจจะได้รับการสงเคราะห์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านตั้งใจมาสงเคราะห์ในช่วงนั้น ก็อาจจะเป็นคนละองค์ คนละกรณีกัน

ถาม : หรือแยกเป็นกรณีที่ เทพ พรหม เทวดาที่ดูแลรักษาพระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้น ๆ มีกรรมสัมพันธ์ที่จะต้องช่วยดูแลผู้ที่ครอบครองพระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้นครับ ?
ตอบ : อย่าไปตีขลุมเอากับท่านอย่างนั้น ถ้าเราไม่คิดถึงท่าน ท่านก็ไม่รู้จะช่วยไปทำไม อยากให้ท่านช่วยต้องคิดถึงท่านด้วย วิธีคิดถึงหลัก ๆ ก็คืออาราธนาไว้ทุกเช้าเย็น

ถาม : อย่างนั้นก็คิดถึงพระอาจารย์ไว้บ่อย ๆ นะคะ
ตอบ : ถ้าคิดถึงอาตมาก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะอาตมาหลับ..!

เถรี
10-03-2015, 12:11
ถาม : ผมเรียนสายกรรมฐานจากอาจารย์ที่เป็นฆราวาสครับ ท่านสื่อญาณกับเบื้องบนบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อประมาณปีเศษท่านบอกว่า ในอดีตผมได้เคยเกิดเป็นพระโสดาบันมาหลายชาติแล้ว ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่เป็นมนุษย์ ให้รีบเร่งความเพียร เพราะช่วงก่อนที่ท่านจะทำนาย ผมมีภาระทางโลกค่อนข้างเยอะ นับตั้งแต่บัดนั้นผมก็ภาวนาและเจริญพระกรรมฐานทุกวันครับ ท่านบอกว่าความเป็นพระโสดาบันจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อผมกับคู่ครองของผมต้องแยกจากกันก่อน รวมถึงมีความเพียรเจริญกรรมฐาน และปฏิบัติแนวทางอริยมรรคมีองค์แปด รวมถึงข้อปฏิบัติของพระโสดาบันให้ครบถ้วน

ถ้าความเป็นพระโสดาบันไม่ได้ติดตัวมาพร้อมกับการมาเกิดในภพมนุษย์แบบนี้ จะมีครูบาอาจารย์มาบอกให้เราบำเพ็ญตามหลักธรรม จนกว่าจะได้กับมาสู่ความเป็นพระโสดาบันตลอดในทุกชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ชาตินี้ผมก็ไม่เคยได้ทำกรรมหนักอะไร เพิ่งบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา เคารพศรัทธาไตรสรณคมน์ตลอดชีวิต ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ ?

ตอบ : ฟังแล้วมึน..? ที่บอกว่าพระโสดาบันเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เป็นพระโสดาบันจนกว่าจะมีคนบอก แล้วค่อยไปปฏิบัติ หรือไม่ก็ต้องแยกจากคู่ตัวเองก่อน อาตมาไม่เคยได้ยินมา พระอริยเจ้าไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบันหรือพระสกทาคามี ถ้าได้เป็นพระอริยเจ้าแล้วลงมาเกิด ความเป็นพระอริยเจ้าจะติดตัวมาด้วย ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้า แต่รักษากติกาความเป็นพระอริยเจ้าครบครัน จนกระทั่งได้ฟังครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงคุณสมบัติของพระโสดาบันหรือพระสกทาคามี แล้วท่านจะรู้สึกว่า "เรามีครบแล้วนี่" แต่ประเภทเกิดมาแล้วความเป็นพระโสดาบันไม่ติดตัวมาด้วย อาตมาไม่เคยได้ยินมาก่อน แปลว่าทั้งหมดที่ว่ามานั้นหลักการดีมาก แต่มีสิ่งที่น่าสงสัย สงสัยว่าเป็นพระโสดาบันภาษาอะไรเกิดใหม่แล้วไม่ได้เป็น ?

ถาม : ในขณะที่เราเกิดมา ไม่ได้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่ถ้าเราตั้งปฏิปทาปรารถนาพุทธภูมิแบบนี้ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดได้เกินว่า ๗ ชาติ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้เป็นก็เกิดไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเป็นเมื่อไร เต็มที่ก็ไม่เกิน ๗ ชาติ และไม่มีความปรารถนาในพุทธภูมิอีก

ถาม : รวมถึงจะไม่ตกลงสู่อบายภูมิ ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันจะไม่เกิดเป็นสัตว์นรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับเทวดาหรือนางฟ้า แต่ถ้าไม่ได้เป็น ก็แปลว่าพร้อมที่จะลงทุกประการ..!

ถาม : ถ้าผมเคยปรารถนาพุทธภูมิในอดีตชาติ ผมจะเปลี่ยนความปรารถนาเป็นสาวกภูมิผมต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ถอนความปรารถนาเก่าเสีย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า

ถาม : ขอพระคุณเจ้ากรุณาช่วยตรวจสอบให้ด้วยครับ
ตอบ : ระยะนี้ไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบ ระยะนี้มีแต่โดนเขาสอบ เมื่อเช้าก็เพิ่งไปสอบมา..! (สอบประชาพิจารณ์วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก)

ถาม : พอดีท่านอาจารย์บอกว่า ผมเป็นพระโสดาบันชาติที่ ๖ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ ชาติหน้าก็คือชาติที่ ๗ อาจจะบำเพ็ญบารมีอยู่ที่สวรรค์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ผมอาจจะไม่ต้องได้อยู่ในสุทธาวาสพรหม ก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ ถูกต้องหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะไปถามอาจารย์ตัวเองนะ ในเมื่อหลักการผิดกันแล้ว พูดไปก็ค้านเขาเสียเปล่า ๆ

ถาม : ขอข้อแนะนำปฏิบัติต่อไปภายภาคหน้าด้วยครับ ถ้าความเข้าใจทั้งหมดที่เล่ามานี้ หากเป็นมิจฉาทิฏฐิ ?
ตอบ : เป็นไปแล้ว..! ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ ๓ ให้ได้ ส่วนจะได้หรือไม่ได้อย่างไรขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา อย่าไปเชื่อคำพยากรณ์ของใครอีก หน้าที่การพยากรณ์ถึงความเป็นพระอริยเจ้า เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

เถรี
10-03-2015, 12:13
ถาม : ที่พระอาจารย์สอนให้ภาวนาคาถาเงินล้านแล้วจับที่ศูนย์กลางกายนั้น เมื่อจับที่ศูนย์กลางกายแล้ว การภาวนาต้องแบ่งสมาธิมารู้ลมหายใจเข้าออกด้วยหรือไม่ครับ ? และถ้าต้องแบ่งสมาธิมาจับลมด้วย ต้องจับลมให้ได้เพียงแค่รู้การหายใจเข้าหายใจออก หรือว่าต้องรู้ตลอดสายแบบลมสามฐานครับ ?
ตอบ : ดูว่าเราต้องการสมาธิมากเท่าไร ถ้าต้องการสมาธิสูงมากก็จับลม ๓ ฐานจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวก็จะไม่เหลือสักฐาน แต่ถ้าไม่ต้องการสมาธิสูงมาก ก็จับแค่ฐานเดียวตรงศูนย์กลางกายก็พอ แต่ถ้าทำจนชำนาญจริง ๆ ฐานเดียวก็ทรงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ได้

เถรี
10-03-2015, 12:14
ถาม : ถ้าเราตั้งใจจะถวายสังฆทาน ชุดละ ๕๐๐ แบบที่วัดท่าซุงจัดไว้ มีถังสังฆทาน พระพุทธรูป พร้อมผ้าไตรจีวร แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เทวดาทุกท่าน ที่ดูแลรักษาวัตถุมงคลทุกอย่างที่เราได้มีบูชาไว้ที่บ้าน ท่านจะโมทนาร่วมกันในสังฆทาน ๑ ชุด ได้ไหมคะ ? หรือต้องถวายแยกเป็นองค์ ๆ ไป เพราะคิดว่า สังฆทานชุด ๕๐๐ บาท หรือมากกว่านี้ จะมีเครื่องครบกว่าชุดละ ๑๐๐ บาท
ตอบ : สังฆทาน ๑ ชุดจะอุทิศให้เทวดากี่หมื่นกี่แสนองค์ก็ได้

เถรี
10-03-2015, 12:15
ถาม : มีตะกรุดเมฯ ชนิดแขวนห้อยรถ อยากทราบว่าถ้ารถจอดอยู่ใต้ถุนบ้านเรา หรือใต้ตึกที่มีคนเดินผ่านด้านบน สามารถห้อยได้หรือไม่ ? จะบาปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ใครเป็นคนสร้าง "ตะกรุดเมชนิดห้อยรถ" ? ...(หัวเราะ)... มีตัวอย่างก็คือ โยมท่านหนึ่งเอาตะกรุดมหาสะท้อนติดไว้ในรถ แล้วไปจอดอยู่ใต้ถุนศาลา ปรากฏว่าตะกรุดหาย..! ไปเจออีกทีอยู่บนหิ้งพระที่บ้าน แสดงว่าท่านไม่ชอบอยู่ใต้ถุน..!

ถาม : อานุภาพของตะกรุดเมฯ ที่ว่าเป็นมหาสะท้อน สะท้อนในทันทีหรือไม่ ? เช่น หากมีคนมาคิดไม่ดี หรือกลั่นแกล้ง ทำร้ายเรา ก็จะสะท้อนทันทีกลับไป หรือต้องรอจังหวะให้ผลอกุศลกรรมเข้าก่อน ?
ตอบ : สะท้อนทันที แต่ผลจะมีกับเขาทันทีหรือไม่ ต้องดูจังหวะของกุศลกรรมและอกุศลกรรมด้วย

เถรี
10-03-2015, 12:16
ถาม : กระผมขอกราบเรียนถามข้อสงสัยเกี่ยวกับพระขรรค์โสฬส (ที่ทางวัดสร้างเอง) และตะกรุดโสฬสมหามงคล ว่ามีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? รวมถึงในด้านพุทธานุภาพนั้นเสมอกันทุกอย่างและสามารถอาราธนาใช้แทนกันได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : พระขรรค์หน้าตาเหมือนพระขรรค์ ตะกรุดหน้าตาเหมือนตะกรุด เหมือนกันไหมเล่า ?

ถาม : มีคำว่า "โสฬส" เหมือนกันนี่คะ ?
ตอบ : คำหน้าไม่เหมือน ข้าวต้ม กับข้าวต้มมัด หน้าตาและรสชาติเหมือนกันไหมเล่า ?

เถรี
10-03-2015, 12:17
ถาม : หลวงพ่อเคยสอนว่า ในเวลาสวดมนต์ หากท่านที่ต้องการทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์ให้นึกถึงอักขระที่เราสวดขึ้นมาเป็นตัว ๆ สามารถเห็นได้ชัดเท่าไร ก็เห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น ขอกราบเรียนถามว่า ในขณะที่เห็นตัวอักขระ ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกควบคู่ไปด้วยหรือไม่ ? หรือให้จดจ่ออยู่แต่ตัวอักขระที่ปรากฏ ?
ตอบ : ตอนแรกก็รู้ลมหายใจคู่ไปด้วย แต่ถ้าหากภาพชัดขึ้น ๆ บางทีลมหายใจหายไปตอนไหนก็ไม่ทันรู้ตัว ถ้าลมหายใจหายไปไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ใส่ใจอยู่ที่อักขระคำสวดมนต์ของเรา

เถรี
10-03-2015, 12:20
ถาม : เมื่อครั้งก่อนบวชพระ ได้ขอขมากรรมกับเพื่อนร่วมงานประมาณ ๒๐๐ คน หวังเพียงเพื่อให้ทุกคนอโหสิกรรมและโมทนาบุญในการบวช ไม่ได้ต้องการเงินทองของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งหลายคนก็โมทนายินดีร่วม บางคนก็ถามหาซอง และหลายคนให้เงินร่วมเป็นเจ้าภาพบวช แล้วได้วัตถุมงคล โดยที่ผมไม่ทราบว่าจะได้วัตถุมงคล กราบเรียนสอบถามหลวงพ่อครับ อานิสงส์คนที่โมทนายินดีร่วม อานิสงส์ของคนจะทำบุญต้องมีซอง อานิสงส์คนให้เงินร่วมเป็นเจ้าภาพบวช อานิสงส์ผลบุญนี้แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : คนที่โมทนายินดีร่วม จะได้ประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ คนที่ร่วมเป็นเจ้าภาพ อานิสงส์การบวชถ้าเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม จะมีอายุได้ประมาณ ๑๕ กัป คนที่ถามหาซองเพราะว่าเกรงใจแต่ตั้งใจเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ถ้าได้ทำมาก็ได้ ๑๕ กัปเหมือนกัน

ถาม : วัตถุมงคลที่มีคนให้เงินมา ผมจำไม่ได้ว่าใครร่วมบุญมาบ้าง ผมควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาไปถวายวัด ...(หัวเราะ)... ตรงนี้พูดเล่นนะ ถ้าหากว่ารู้ว่าไม่ใช่ของเรา ก็พยายามแจกจ่ายไปให้ท่านที่ร่วมบุญมา มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

บางท่านเวลาทำบุญ ถ้าไม่มีซองบางท่านจะรู้สึกประดักประเดิก เห็นว่าเป็นการไม่สุภาพ ก็หาซองให้ท่านหน่อย แต่ว่าที่นี่ถ้าทำบุญแล้วมีซองก็เสียเวลาแกะอีก เพราะซองก็ไม่ได้เอาไปไหน ส่วนใหญ่พอตรวจสอบว่าเอาเงินออกเรียบร้อยแล้วก็มักจะต้องทิ้งไป แล้วก็มีหลายท่าน ถึงเวลาทำบุญมา เขียนมาทีหนึ่ง ๓-๔ ซอง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องแยกก็ได้ ในเมื่อเขียนรายการไว้ในซองเดียวกันได้ก็เขียนรวมกันไป ไม่ใช่ว่าซองแรกสังฆทาน ซองที่สองวิหารทาน ซองที่สามธรรมทาน ซองที่สี่ทำบุญกับหลวงพ่อทุกอย่าง เขียนมาเยอะแยะขนาดนั้นให้สิ้นเปลืองทำไม ?

เถรี
10-03-2015, 12:21
ถาม : ที่เขาบอกว่าเมื่ออายุจะเข้า ๕๐ แล้วจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ?
ตอบ : ความจริงไม่ดีทุกช่วงอายุ เพราะแก่ลงไปทุกวัน ส่วนช่วงอายุ ๕๐ ไม่ดีเยอะหน่อย เพราะอายุมากแล้ว..!

โบราณแบ่งช่วงอายุออกแบ่ง ๔ ช่วงด้วยกัน คือช่วงละ ๒๕ ปี คราวนี้ในช่วงของ ๒๕ ปีแรก เขาแรกว่า เบญจเพส เขาบอกว่าให้ระมัดระวังการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในชีวิต อาจจะได้ทั้งด้านดีและไม่ดี โดยเฉพาะให้ระมัดระวังว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นได้

ดังนั้น..ถ้านับช่วงอายุที่สองก็จะลง ๕๐ ปีพอดี อย่างที่โยมเมื่อครู่ได้ถาม แต่ว่าบางท่านก็นับเอาที่ลงเลข ๕ อย่างเช่นว่า ๒๕, ๓๕ , ๔๕ , ๕๕ ถ้าเป็นอาตมาก็นับทุกปี เพื่อความไม่ประมาท ให้พยายามระมัดระวัง บำเพ็ญในศีล สมาธิ ปัญญาของเราเอาไว้ ถ้าเกิดปุบปับมีอะไรหนักหนาสาหัสขึ้นมา กุศลกรรมที่สร้างมาจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา ถ้าเบาก็จะได้หาย

เพราะฉะนั้น..ต้องให้ความสำคัญทุกช่วงอายุ เรื่องของอายุอย่าคิดว่าเราจะอยู่เกินวันนี้ ให้คิดว่าเรามีวันนี้แค่วันเดียว แล้วพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด พอถึงเวลาพรุ่งนี้ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ “เฮ้อ...ลำบากอีกวัน” ไม่ใช่อยู่ได้อีกวันนะ ลำบากอีกวัน..!

เถรี
10-03-2015, 18:49
พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกเราพบกับความกลับกลอกของกำลังใจกันมากต่อมาก แต่ไม่ค่อยจะจำกัน อย่างเช่นว่าพอเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ก็ “เฮ้อ..น่าเบื่อเหลือเกิน ไปพระนิพพานดีกว่า” พอเริ่มสบายขึ้นมาหน่อยก็ลืมพระนิพพานไปแล้ว คิดว่าอยู่ต่ออีกหน่อยก็ดี

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องความกลับกลอกของใจนี่มีเป็นปกติ เราต้องรู้เท่าทันและพยายามรักษากำลังใจให้มั่นคงแน่วแน่ต่อเป้าหมายของเรา ไม่เอาก็คือไม่เอา อย่าไปทำในลักษณะของเบื่อ ๆ อยาก ๆ ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์ได้”

เถรี
11-03-2015, 06:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเขาบอกว่ายักษ์ไม่มีกระบองไม่มีคนเกรงใจ สมัยนี้รัฐบาลของเราเป็นยักษ์มีกระบองเพียบเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร งง ๆ ใช้กระบองไม่เป็น ในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ละประเด็นที่เปิดเผยออกมา สื่อให้ประชาชนได้รู้ ส่วนหนึ่งเป็นความต้องการที่จะร่างรัฐธรรมนูญอย่างนั้นจริง ๆ แต่ว่าปล่อยออกมาในลักษณะการโยนหินถามทาง ว่าจะมีคนสนับสนุนหรือคัดค้าน ปรากฏว่าได้ก้อนอิฐแทบทุกครั้ง..!

โดยเฉพาะท่านที่มีการแสดงออกไม่เป็นที่ไว้วางใจ อย่างเช่นว่าตั้งคนรอบข้างมาช่วยงาน ก็ตัวเองเพิ่งจะไปเฉ่งชาวบ้านเขา แล้วก็มาทำเสียเอง ฉะนั้น..ตรงส่วนนี้ที่บอกว่าความกลับกลอกของจิตมีมาก ก็เพราะว่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็คือ ถ้าเราทำเอง..ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นทำ..ไม่ได้

ถ้าเราเข้าใจในเรื่องสภาพจิตของคน ที่มีรัก โลภ โกรธ หลงเป็นปกติ ก็จะไม่ตำหนิใคร แต่ว่าในเรื่องของประเทศชาติ อย่างไรเสียก็ควรที่จะพูด ควรที่จะแสดงออก เห็นด้วยก็แสดงออกว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็แสดงออกด้วยการคัดค้าน ถ้าหากว่าเราทำตัวเป็น "ไทยเฉย" ปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยไป รัฐธรรมนูญที่ออกมามีผลบังคับใช้ยาวนานจนกว่าจะมีคนมาฉีกทิ้ง ถ้าสิ่งไหนที่ไม่เป็นสากลก็ให้รู้จักคัดค้านกันบ้าง ไม่ใช่ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย

เรื่องของการเป็นสากล อย่างเช่นว่านายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีต้องมาจากการเลือกตั้ง อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้ง ถ้ามาจากการแต่งตั้งเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งโอกาสที่จะตรวจสอบการทำงานก็เท่ากับถูกปิดตาย

ในส่วนของการร่างรัฐธรรมนูญ ความจริงถ้าเอาฉบับปี ๒๕๔๐ มาเพิ่มเติมบางประเด็นเท่านั้นก็สมบูรณ์แล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วรู้สึกว่าไหน ๆ เขาตั้งมาแล้ว ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ ถ้าไปเอาของเก่ามาเดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มีฝีมือ ต้องบอกว่าหาเรื่องเหนื่อยเอง เป็นการหาเรื่องยืดระยะเวลาในการอยู่ในอำนาจ"

เถรี
11-03-2015, 06:28
"เรื่องของการเสวยอำนาจ ขึ้นไปเมื่อไรจะหน้ามืดตามัว เหตุที่หน้ามืดตามัวเพราะว่าพอมีอำนาจ คนรอบข้างก็ไม่กล้าบอกกล่าวในสิ่งที่ไม่ถูกใจ ก็เท่ากับโดนปิดหูปิดตา มีแต่ “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” ส่วนจะลงเหวไปเมื่อไรเขาไม่รับรู้..!

ไปนึกถึงสมัยราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้ถังไท่จง หรือพระนามเดิมว่าหลี่ซื่อหมิน แต่งตั้งเว่ยเจิงเป็นขุนนางทัดทาน พระราชทานป้ายทองนิรโทษให้ ไม่ว่าจะทำเรื่องใดที่ขัดพระทัยขนาดไหนก็ไม่เอาโทษถึงตาย แล้วเว่ยเจิงก็กล้าที่จะทูลคัดค้านในสิ่งที่ไม่สมควร แม้บางครั้งฮ่องเต้จะทรงพิโรธ แต่เนื่องจากว่าเรื่องของรัฐบุรุษ ก็คือผู้ที่กระทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ ถึงจะโกรธแค่ไหน เมื่อพิจารณาเห็นแล้วว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าก็ยอมทำตาม ราชวงศ์ถังยุคนั้นจึงแผ่ขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แม้กระทั่งประเทศของเราในยุคสมัยนั้น ยังไปถวายเครื่องราชบรรณาการ

ฉะนั้น..ลักษณะของนักการเมืองกับรัฐบุรุษจึงต่างกัน นักการเมืองมักจะเห็นแก่พวกพ้องและตัวเอง แต่รัฐบุรุษจะทำเพื่อประเทศชาติเสมอ ก็ต้องเลือกเอา ว่าเราต้องการเป็นนักการเมืองหรือต้องการเป็นรัฐบุรุษ ? ซึ่งในส่วนนี้จะว่าไปแล้วอยู่ที่สามัญสำนึก พอพูดมาถึงสามัญสำนึก ญาติโยมส่วนหนึ่งก็จะชี้นิ้วมาที่อาตมาแล้วบอกว่า “หน้าที่ของท่าน” ทำอย่างไรท่านจะอบรมให้ชาวบ้านมีสามัญสำนึก สามัญสำนึกเพื่อส่วนรวม ประกอบไปด้วยความยุติธรรม ปราศจากอคติ ให้ความสำคัญแม้เสียงข้างน้อยเพียง ๑ เสียง เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็คือส่วนหนึ่งของประเทศชาติ

ในเมื่อทุกฝ่ายก็คือคนไทยด้วยกัน สิ่งที่จะกระทำก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมทุกคน แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ แต่ก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เขาพอใจ พระพุทธเจ้าถึงไม่เคยสรรเสริญระบอบการปกครองแบบใดว่าดีเลย เพราะพระองค์ทราบดีว่า ระบอบจะดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าคนใช้ระบอบนั้นไม่ดีเสียอย่างก็ไปไม่รอด พระองค์ท่านจึงได้ตรัสหลักธรรมที่ใช้ประกอบขึ้นมา อย่างเช่นว่าถ้าปกครองโดยระบอบพระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องมีจักรวรรดิวัตร ถ้าปกครองโดยพระมหากษัตริย์ต้องมีทศพิธราชธรรม ถ้าปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยต้องมีอปริหานิยธรรม เป็นต้น"

เถรี
11-03-2015, 06:31
"ถ้าถามว่าเผด็จการดีได้ไหม ? ได้..แต่ต้องเป็นเผด็จการที่ทำเพื่อประเทศชาติ ตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๕ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สิทธิ์ขาดทุกอย่างอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เผด็จการดี ๆ นี่เอง แต่ว่าทำไมประเทศชาติของเราเจริญมาก เจริญยิ่งกว่าญี่ปุ่นอีก ก็เพราะว่าพระองค์ท่านทำทุกอย่างเพื่อราษฎร

ปัจจุบันก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร มีรัฐบาลอย่างที่เห็น เราก็ปกครองด้วยประชาธิปไตยซึ่งใคร ๆ ก็ว่าดี แล้วทำไมถึงต้องรัฐประหาร เพราะว่าระบอบประชาธิปไตยที่ขาดธรรมะประกอบก็ไปไม่รอด คนเราเผลอเมื่อไรก็ทำเพื่อพวกพ้องและตัวกู ขณะเดียวกันก็ไปมองบุคคลที่คิดต่างเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ซึ่งเป็นการวางกำลังใจที่ผิด

ถ้าถามว่าการวางกำลังใจที่ถูกเป็นอย่างไร ? ก็ต้องดูอย่างในหลวงของเรา ในหลวงไม่เคยดูว่านั่นเป็นชาวเขา นี่เป็นชาวเรา นั่นเป็นคริสต์ โน่นเป็นอิสลาม นี่เป็นพุทธ พระองค์ท่านเห็นว่าทุกคนคือพสกนิกรที่พระองค์ท่านจะต้องปกครอง ต้องให้การสงเคราะห์ให้อยู่ดีมีสุขโดยเสมอหน้ากัน ถ้ารัฐบาลของเราทำได้แบบที่ในหลวงทรงทำ จะปกครองระบอบอะไรก็ปกครองไปเถอะ..ไม่มีใครเขาว่าหรอก

วันนี้พูดแทนพวกเรา เพราะพวกเราประเภทนั่งมองรัฐบาลบริหารงานแล้วก็ทำตาปริบ ๆ เหมือนดูเขาเดินลงเหวแล้วไม่รู้จะห้ามอย่างไร ในเมื่อโยมไม่พูดอาตมาก็เลยพูดแทน ว่าแล้วก็เตรียมตัวเจริญกรรมฐานกัน วางเรื่องร้อนหู ร้อนตา ร้อนใจ เข้าสู่การปฏิบัติของเราดีกว่า"

เถรี
11-03-2015, 06:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอกเมื่อวันที่ ๒๖ ก.พ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา มีญาติโยมถวายทองคำมาประมาณ ๔ กิโลกรัม ไม่ได้ชั่ง..เพราะอยู่ที่หน้างาน แต่กะน้ำหนักด้วยมือ เหตุที่กะถูกเพราะอาตมาสั่งซื้อทองคำทีละ ๓๐๐ บาท ก็คือ ๔.๕ กิโลกรัม รับน้ำหนักประมาณนั้นจนชิน ก็เลยเดาได้ งวดนี้ก็กำลังรอซื้ออยู่ ความจริงช่วงนี้ซื้อได้แล้ว เพราะว่าต่ำกว่า ๑๘,๕๐๐ บาทตามที่ตั้งใจไว้ แต่หวัง ๆ ว่าราคาอาจจะหล่นไปที่ ๑๗,๙๐๐ บาท

องค์พระช่างทุบหุ่นออกมาแล้ว บอกว่าสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องซ่อมแซมอะไรทั้งนั้น ตัดชนวนแล้วขัดแต่งอย่างเดียวเลย ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่เหมือนกัน เพราะปกติอย่างน้อยก็ต้องมีให้อุดให้ซ่อมบ้าง"

เถรี
11-03-2015, 06:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครสนใจจะเป็นเจ้าภาพใหญ่เมรุวัดท่าขนุน ก็แจ้งความจำนงได้นะจ๊ะ คิดว่าสัก ๒๐ ล้านบาทน่าจะอยู่ ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย มาถึงตอนนี้จ่ายไป ๕๒ ล้านเศษแล้ว ถ้านับเฉพาะตัวศาลาคาดว่าถึง ๗๐ ล้านบาท ส่วนพระประธานข้างในศาลา บุษบกตั้งพระทองคำของเราจะแยกบัญชีต่างหาก ถ้ารวมกันนี่เกิน ๑๐๐ ล้านแน่นอน เพราะว่าบุษบกเท่าที่เซ็นสัญญาไป ๑๒.๕ ล้านบาท

ส่วนพระพุทธรูปทองคำนี่ยังไม่ได้คิดเลย ช่างเขาประมาณไว้ว่าใช้ทอง ๔๐ กิโลกรัม อาตมาต้องเผื่อเท่าตัว เพราะว่าช่างกะผิดเป็นประจำ อย่างคราวที่แล้วเขากะวัสดุเงินที่ใช้หล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน เขาบอกใช้เงินประมาณ ๒๒-๒๕ กิโลกรัม อาตมาให้ ๕๐ กิโลกรัมเลย เพราะว่าถ้าเหลือก็เอามาทำวัตถุมงคลต่อไปได้"

เถรี
11-03-2015, 11:37
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่นี้อาตมาเดินไปส่งฎีกาให้หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิต วัดใหม่ยายนุ้ย นิมนต์ท่านมางานฉลองบ้าน ๒๙ มีนาคมนี้ มีหลวงพ่อพระราชวรเวที วัดราชคฤห์ฯ ด้วย วัดราชคฤห์ฯ นั่งรถไปสัก ๑๐ นาทีก็ถึงแล้ว อยู่ใกล้แค่นี้ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสไป

วันที่ ๒๙ นี้นอกจากฉลองบ้านแล้ว มีหล่อพระด้วยนะจ๊ะ น่าจะเป็นครั้งแรกของแถวนี้ที่เขาหล่อพระกัน จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ด้วยเงินแท้ทั้งองค์ เพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา คิดว่าบวงสรวงเช้าเสร็จก็จะหล่อพระเลย ถ้าใครมาร่วมงานรีบมาแต่เช้า ๆ หน่อย มาเหยียบกันก่อน หลังจากนั้นก็รอจนกระทั่งเจริญพุทธมนต์ ถวายอาหารเพลเสร็จค่อยว่ากัน

รอบนี้สั่งซื้อเม็ดเงินไป ๕๐ กิโลกรัม เป็นเงิน ๘๗๙,๐๐๐ บาท ตอนแรกคาดว่าราคาน่าจะอยู่ที่ ๙๐๐,๐๐๐ บาท พอดีราคาตกลงมา ตอนนี้อาตมาก็เลยฉวยโอกาสนั่งรอราคาทอง ความจริงวันนี้ก็น่าจะซื้อได้ แต่อยากจะรอให้ราคาตกลงมามากกว่านี้อีกนิดหนึ่ง แต่ระยะนี้เรื่องของราคาทอง ต้องบอกว่าถ้าใครเล่นก็จุก ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ระหว่างวันละ ๑๕๐ ถึง ๒๐๐

สมมุติวันนี้ซื้อ ๑๘,๗๐๐ บาท พรุ่งนี้เหลือ ๑๘,๕๐๐ บาท ขาดทุนไปบาทละ ๒๐๐ วันต่อไปขึ้นมา ๑๕๐ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันลงอีกแล้ว ใครเล่นทองคำช่วงนี้ต้องทำใจหน่อย ความจริงอาตมาอยากจะรอราคาที่ ๑๗,๙๐๐ บาท แต่ขี้เกียจรอนาน เมื่อมีเงินพอก็ซื้อไปเถอะ ซื้อแพงกว่าหน่อยก็ได้"

เถรี
11-03-2015, 12:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "เครื่องรางจระเข้บ้านเราที่ทำแล้วคนให้ความศรัทธาเชื่อถือมากที่สุด ก็คือหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย คาดว่าพวกเราคงไม่เคยได้ยินชื่อกันหรอก แต่สมัยนี้ที่ทำล่าสุดแล้วได้รับความเชื่อถือ เป็นของหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล

หลวงปู่สุภามรณภาพแล้วเหมือนกัน แต่จระเข้ที่จะลงให้บูชาในกระทู้นี้ยังทันท่านอยู่ จระเข้ของท่านทำไว้เฝ้าบ้าน เอาไว้รักษาทรัพย์ นึกถึงนิทานธรรมบทในพระไตรปิฎก ที่เศรษฐีขี้เหนียวเอาทรัพย์สมบัติไปฝังเอาไว้ที่ท่าน้ำ จิตมัวแต่ห่วงสมบัติอยู่ พอตายก็เลยต้องไปเป็นจระเข้เฝ้าทรัพย์ ก็มาจากนิทานธรรมบทนี่แหละ

แต่ว่าตอนหลังเศรษฐีขี้เหนียวเฝ้าทรัพย์คงทนลำบากไม่ไหว จึงไปเข้าฝันบอกภรรยาให้มาขุดไปทำบุญ จะได้ไปเกิดกับเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นจระเข้อยู่ตรงนั้น ไปไหนไกลไม่ได้ หาอาหารกินก็ไม่ค่อยจะอิ่ม เพราะว่าพื้นที่หากินแคบ จะไปไกลก็เป็นห่วงทรัพย์ ท้ายสุดภรรยาก็เลยไปขุดเอาสมบัติไปจัดทอดกฐิน ไม่รู้ไปทอดไกลแค่ไหน สามีที่เป็นจระเข้ว่ายน้ำไม่ไหว อาจจะเป็นเพราะแก่มากแล้ว หรือไม่ก็ประเภทหากินไม่พอ แรงจึงไม่ค่อยมี ก็เลยบอกภรรยาให้วาดรูปของตนไว้ในกองกฐิน กลายเป็นธงจระเข้ในกองกฐินมาจนทุกวันนี้

โบราณส่วนใหญ่ทำเครื่องรางของขลังขึ้นมา ก็มักจะอิงเรื่องในพระพุทธศาสนา เครื่องรางจระเข้ดังที่สุดต้องหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย ถ้าจิ้งจกดังที่สุดต้องหลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง ถ้าตุ๊กแกดังที่สุดต้องหลวงปู่ครื้น วัดสังโฆสิตาราม ตุ๊กแกเป็นดินปั้นแท้ ๆ แต่ถ้าวันไหนร้องวันนั้นได้เงิน รับประกันได้เลย สายหลวงปู่ครื้นนี้มาตอนหลังได้ยินว่าหลวงปู่หล่ำ วัดสามัคคีธรรม น่าจะสืบทอดวิชามา แต่ไม่ได้ข่าวว่าหลวงปู่หล่ำมรณภาพหรือยัง ? เพราะอายุกาลพรรษาก็ ๘๐-๙๐ ไปแล้ว"

เถรี
11-03-2015, 12:13
ถาม : คนที่ฆ่าปลาทุกวัน กับมือปืนรับจ้างที่นาน ๆ ยิงที ใครตกนรกลึกกว่ากัน ?
ตอบ : คนที่ฆ่าทุกวัน แต่ในขณะเดียวกัน..มือปืนรับจ้างอย่าเผลอไปยิงพระอรหันต์เข้านะ ลงก่อนเลย..! การฆ่าสัตว์ทุกวันเรียกว่า อาจิณกรรม อาจิณกรรมนี่โทษพอ ๆ กับอนันตริยกรรมเลย คือลงอเวจี เพราะว่าทำจนชิน ทำทุกวัน

ถาม : คนขายปลาก็แย่สิครับ ?
ตอบ : ไม่ได้แต่ขายปลาหรอก อย่างอื่นเขาก็ฆ่ากันเป็นปกติ โดยเฉพาะพวกที่อยู่โรงฆ่าสัตว์ การฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์นั้น ถ้าฆ่าคนที่มีความดีสูงโทษก็หนักมากกว่า ฆ่าสัตว์ใหญ่โทษหนักมากกว่าฆ่าสัตว์เล็ก เพราะต้องใช้กำลังใจมากกว่า ฆ่าสัตว์ที่มีคุณโทษหนักมากกว่าฆ่าสัตว์ที่ไม่มีคุณ จะมีรายละเอียดอยู่ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ อาจจะเป็นอาชีพ วันโกนให้ละวันพระให้เว้นบ้าง ไม่ใช่ฆ่าทุกวัน พอเป็นอาจิณกรรมก็เหมือนกับสะสมไปเรื่อย ๆ สะสมแต้มถึงก็ได้พอ ๆ กับอนันตริยกรรม ลงอเวจีไปก่อน

ถาม : แสดงว่าเขาก็มีกรรมหนักอยู่สิครับ เขาถึงมาทำอาชีพนั้น ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วสามารถเปลี่ยนได้ แต่เพราะความรักตัวเองก็เลยไม่เปลี่ยน ความรักตัวเองก็คือเปลี่ยนแล้วเดี๋ยวจะลำบาก ไปดูพวกเรือประมงสิ ตีอวนแต่ละทีกี่หมื่นกี่แสนชีวิตก็ไม่รู้ นึกแล้วสยดสยอง ที่ "นางฟ้าปลาทู" ไปช่วยเขาคัดปลาบนเรือประมง วันไหนเห็นเขาได้ปลามาเยอะก็ดีใจ เพราะตัวเองจะได้ค่าแรงมาก กลายเป็นโมทนาบาปกับเขาไม่รู้ตัว หวิดซวยไป ยังโชคดีที่คุณเธอไปใส่บาตรทุกวัน

เถรี
11-03-2015, 12:20
ถาม : ที่ผ่านมาเรียกว่าอะไรครับ ผมเห็นหน้าท่านเยอะมากเลย ?
ตอบ : เรียกว่าสังฆานุสติ การคิดถึงพระสงฆ์ แต่ระวังจะได้บาป เพราะใจหมองเนื่องจากว่าทำผิดแล้วกลัวจะเกิดโทษ

ถาม : สังฆานุสติไม่เป็นบุญหรือครับ ?
ตอบ : เป็น..แต่เป็นแบบหวาดระแวง ในเมื่อเป็นแบบหวาดระแวง ใจจะเศร้าหมองมากกว่า

ถาม : ต้องหาอะไรไปทำ ?
ตอบ : หาวิธีไปทำอะไรเละ ๆ ในวัดอีก ก็จะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ

ถาม : ถ้าเรานึกถึงพระที่ไม่ดี โดยเรานึกชื่นชมคิดว่าท่านเป็นพระดี ?
ตอบ : อันนั้นได้เลย

ถาม : ทั้ง ๆ ที่ท่านปฏิบัติไม่ดี ?
ตอบ : อย่าลืมว่าเรานึกถึงแต่ด้านดี

ถาม : ถ้านึกถึงท่าน ก็ต้องนึกถึงด้านดีอย่างเดียว ?
ตอบ : ถูก..ตอนที่กำลังด่าใครอยู่อย่านึกเป็นอันขาด..!

เถรี
11-03-2015, 14:34
พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านที่ไปงานหล่อพระวันที่ ๒๖ ก.พ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา จะเห็นว่า ช่างเขามีเตาหลอมแบบพิเศษที่ไม่ใช่เบ้า เป็นหม้อหลอม ใบหนึ่งจะได้น้ำหนักโลหะ ๘๐๐ กิโลกรัม ปรากฏว่าเขาต้อง ใช้หม้อหลอม ๒ ใบและเบ้าแบบปกติทั่วไปอีก ๖ เบ้า (เบ้าละ ๘๐ กิโลกรัม) เทไป ๒ หม้อหลอมกับอีก ๔ เบ้ากว่า

ส่วนที่เหลือช่างเขาหลอมทำเป็นชนวนทิ้งไว้ให้ ก้อนหนึ่งตก ๒๐-๓๐ กิโลกรัม พระท่านไปนั่งคุ้ยนั่งเขี่ย ไปหาพวกทองรอดเบ้า ปรากฏว่าอาตมาเอาปลอกกระสุนปืนชาตรี ที่เข้าพิธีตั้งแต่สมัยเสกมีดหมอชาตรีครั้งแรกที่วัดท่าซุง เอาไปเข้าพิธีประมาณ ๑ ลัง พอเจ้าของเขายิงเสร็จก็เก็บปลอกมา เอาไปให้หลอม

ตอนแรกช่างเขาบอกว่าหลอมไม่ได้เดี๋ยวระเบิด อาตมาก็เลยถามว่า "เอ็งเคยใช้ปืนไหม ? ข้าเป็นทหารเรียนอาวุธศึกษาได้ที่ ๑ มา ขอยืนยันว่าไม่ระเบิด" เขาบอกว่าเขาไปหลอมงานของใครมาก็ไม่รู้..ระเบิดมาแล้ว อาตมาขี้เกียจอธิบาย ก็เลยบอกว่า "ถ้าเอ็งคิดว่าทำไม่ได้ก็เก็บเตากลับไปเลย ไม่ต้องหลอมหรอก" ที่เขาหล่อแล้วระเบิดเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ คือ ความหวังดีแต่ประสงค์ร้ายของคน ซึ่งไม่รู้ว่าลูกปืนที่ด้านเพราะแก๊ปไม่ทำงาน แต่ดินปืนยังทำงานได้เป็นปกติ พอเห็นด้านก็เล่นหย่อนลงไปหลอมเลย โดนความร้อนขนาดนั้นแล้วจะเหลือหรือ ? ก็ระเบิดสิ..!

อีกประการหนึ่งลักษณะคล้ายกันก็คือ พอลูกปืนด้าน ด้วยความที่ตัวเองค่อนข้างเก่ง จึงงัดหัวกระสุนออกมา เทดินปืนทิ้งแล้วก็เอาไปหลอม แต่ลืมไปว่าแก๊ปท้ายกระสุนยังอยู่ ถึงแม้ว่าจะด้านก็จริง ถ้าโดนความร้อนขนาดนั้นก็ระเบิด เพียงแต่ว่าไม่แรงเท่ากับลูกปืนทั้งลูก อาตมาเองใช้ปืนจนกระทั่งหูเสียไป ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ มีหรือที่จะไม่รู้เรื่องแค่นี้ เห็นเขาโง่มากก็เลยขี้เกียจอธิบายให้ฟัง บอกว่าถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็เก็บของกลับไปเลย ท้ายสุดเขาก็เลยบ่นกระปอดกระแปดแล้วก็เอาไปหลอม แล้วก็ไม่เห็นว่าจะระเบิด ความเชื่อของคนบางทีก็เชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตา เชื่อโดยไม่พิจารณาว่าเป็นอะไร เห็นมาครั้งหนึ่งแล้วกลัวไปตลอดชีวิต

มีญาติโยมหลายท่านถวายทองที่มีส่วนประกอบของพวกเพชรพลอยอัญมณีมา อาตมาต้องแยกออกมา ไม่ได้หล่อให้ มีอยู่เส้นหนึ่งเป็นสร้อยคอ แล้วก็รู้สึกจะเป็นนิล อาตมาก็ดึงเฉพาะส่วนที่เป็นสร้อยลงไปหล่อ ส่วนที่เหลือก็แยกออกมาไปถวายเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ เพราะว่าถ้าลงไปแล้วจะระเบิดจริง ๆ เนื่องจากว่าเพชรพลอยก็คือถ่าน แต่ว่าเป็นถ่านที่โดนความกดดันสูง ๆ ก็เลยแปรสภาพเป็นอัญมณี แต่ถ้าโดนความร้อนสูง ๆ ปกติของถ่านคือติดไฟ ถ้าขยายตัวไม่ทันก็ระเบิด จึงต้องแยกออกมา

สมัยนี้ต่างประเทศเขามีเทคโนโลยีเผาคนให้เป็นเพชร บางทีก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่รักมาก ถึงเวลาไปจ้างเขา จะเป็นเตาเผาความร้อนสูงมาก ที่แปรสภาพกระดูกให้เป็นเพชรไปเลย เพราะกระดูกก็คือคาร์บอน ก็คือถ่าน พอผ่านความร้อนและแรงอัดสูง ๆ จะกลายเป็นเพชร แล้วเขาก็เอามาเจียรนัย ประดับแทนความคิดถึงคนที่ตายไป หรือว่าสัตว์ที่ตายไป จะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ อะไรทำนองนั้น

เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพวกนี้ก้าวหน้าขึ้น คิดว่าอีกไม่นานเดี๋ยวบ้านเราก็จะมี หรือไม่ก็อาจจะมีแล้วแต่อาตมายังไม่รู้ ถึงเวลาญาติผู้ใหญ่ตายก็จัดการเลย ความจริงถ้าอยากได้เพชรเม็ดใหญ่ ๆ ต้องให้เขารูดเนื้อออกก่อน เสร็จแล้วก็เอากระดูกมาตำอัดแท่งเผาอีกที คราวนี้จะได้ใหญ่สมใจนึก ถึงเวลาก็เลี่ยมห้อยคอไปเลย..!"

เถรี
12-03-2015, 10:31
ถาม : งาช้างควรขึ้นทะเบียนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ควร..เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเจอปรับ ๓ ล้านบาท ถ้าใครเป็นร้านค้าขายเจอปรับ ๖ ล้านบาท เขาให้ขึ้นทะเบียนภายใน ๒๑ เมษายนนี้ และเขาให้ครอบครองได้คนละ ๔ ชิ้นเท่านั้น

ถาม : แล้วอย่างประคำละครับ ?
ตอบ : ประคำนับเป็นชิ้น ไม่ได้นับเป็นเม็ด ของที่วัดที่แจ้งการครอบครองงาช้าง เฉพาะมีดหมอของครูบาอาจารย์ก็ ๖ เล่มเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นด้ามงา

เถรี
12-03-2015, 10:36
ถาม : โดนเขาทำของมาเกือบสิบปีแล้ว ถ้าไม่ใส่พระติดตัวตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ต้องไปเอาของออกที่ไหนครับ ?
ตอบ : เขาให้ภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวไว้เป็นปกติ โดยเฉพาะ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ใครทำมาก็ซวยเอง

ถาม : กลางคืนรู้สึกจะมีมาทำตอนหลับครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ภาวนา "เม สัมมุกขา สัพพาหะระติ เต สัมมุกขา" เอาภาพพระคลุมไว้ ภาวนาให้หลับไปเลย

เถรี
12-03-2015, 11:49
ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้าน เอาภาพพระไว้ที่ศีรษะ เราควรบังคับอย่างไร ?
ตอบ : ย้ายท่านไปตรงนั้นองค์หนึ่ง ไว้ที่ตรงนี้องค์หนึ่ง สามารถวางไว้ทีหลาย ๆ องค์ก็ได้ ไม่เป็นไร

ถาม : แต่ไม่ชัดสักองค์หนึ่งเลยค่ะ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็จดจ่อไว้สักองค์ ที่เหลือก็ใส่ความรู้สึกไว้หน่อยเดียว จะได้ชัดจริง ๆ สักองค์

ถาม : ช่วงหลัง ๆ แปลก ๆ ฟังเพลงแล้วเพลินนานเป็นชั่วโมง ทั้งที่เลิกฟังมาหลายสิบปีแล้ว ?
ตอบ : กิเลสหยาบ ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราต้องมีอาหาร เขาเรียกวิญญาณาหาร อาหารทางตาคือรูป อาหารทางหูคือเสียง อาหารทางจมูกคือกลิ่น อาหารทางลิ้นคือรส อาหารทางกายคือสัมผัส เป็นต้น พอเราไปตัดนาน ๆ แล้วกิเลสอยากขึ้นมา แต่คราวนี้อยากแบบเราไม่รู้ตัว พอถึงเวลาจึงไปหากินเอง

ถาม : ....(ไม่ชัด).....
ตอบ : ถูก..กิเลสอดมากก็เลยต้องไปหากินเอง คราวนี้พอเรารู้ เราทัน กิเลสก็ต้องอดต่อไป

เถรี
12-03-2015, 11:57
ถาม : สัมผัสวัตถุมงคลบางที่ ออกมาแนว ๆ เวียนหัว มีวิธีภาวนาไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี..อันนั้นเป็นอาการที่แสดงออกว่าเรารับรู้ถึงพลังงานได้

ถาม : เราจะแยกออกเวลาครูบาอาจารย์..?
ตอบ : แล้วทำไมจะต้องไปแยก ? เวลาโดนจะได้รู้ตัวเอง อาตมาเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เด็ก ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ เอ๊ะ..ทำไมเวลาเราใกล้วัตถุมงคลแล้วเป็น ? มารู้ทีหลังว่ารับพลังงานได้ เป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว อาการเดียวกันนั่นแหละ จะปวดตึ๊บ ๆ อยู่สองข้างขมับ พอออกห่างก็หาย

ถาม : เราก็แค่รู้ไว้ ?
ตอบ : กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ามามากเดี๋ยวจะยืมใช้ จะได้รู้ว่าวัตถุมงคลผ่านการพุทธาภิเษกมาจริงไหม ถึงได้มีพลังงานอย่างนั้น

เถรี
12-03-2015, 12:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังให้เขาตรวจปรู๊ฟ หนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้าน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ เลยลงรูปเมื่อวันที่ ๓ มกราคมเพิ่มขึ้น จะเอาไว้แจกวันฉลองบ้าน ก็คือวันที่ ๒๙ มีนาคมนี้

๒๙ มีนาคม จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน หน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ๑ องค์ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา หล่อที่นี่แหละ หล่อให้เห็น ๆ ไปเลย คิดว่าบวงสรวงเช้าเสร็จก็หล่อเลย ช่างคงจะต้องมาตั้งเตาล่วงหน้าสักวันหนึ่ง ซื้อเม็ดเงินไปเรียบร้อยแล้ว ๕๐ กิโลกรัม ราคาเกือบ ๙ แสนบาท"

เถรี
12-03-2015, 14:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขออนุญาตเอามีดหมอเพชราวุธเล่มนี้ไปเก็บก่อน วางไว้ล่อตาคนไม่ค่อยดี เดี๋ยวเขาอิจฉา โดยเฉพาะเล่มนี้แพงมาก เพราะว่าด้ามกับฝักเป็นทนสิทธิ์ เรียกว่าเป็นของขลังทั้งคู่ ด้ามเป็นงากวัก ฝักเป็นงางอก งอกนี่ก็คือเจริญงอกงาม กวักก็คือเรียกคนมาหา

"งากวัก" เป็นงาช้างที่ปลายงอเป็นตะขอเข้าหาตัว เชื่อกันว่าช้างที่เป็นเจ้าของงากวัก จะไม่มีวันอดอยากกับใคร ไปไหนก็มีอาหารให้ ส่วน "งางอก" เป็นเม็ดงาที่งอกอยู่ในโพรงงาอีกที ลักษณะกลมบ้าง รีบ้าง บางทีก็หลุดออกมา บางทีก็ติดอยู่ในโพรงงา เชื่อกันว่าช้างที่มีงางอก อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ เจ้าของจะมีทรัพย์สมบัติงอกเงยตลอดเวลา กินไม่ไหวใช้ไม่หมด

พวกคนสมัยก่อนเขาพยายามจะหากัน เพราะเชื่อว่าช่วยให้เรื่องของลาภผลเงินทองดีมาก ๆ แต่อย่าไปหาเลย แพงตายชัก..! ด้ามที่เป็นงากวักอันนี้ ซื้องามาเกือบแสนบาท ส่วนงางอกอันนี้งอกติดอยู่ในโพรงงา เจ้าของคิดหนึ่งแสนบาทพอดี มีผู้เมตตาไปซื้อมาแล้วทำถวาย อาตมาได้แค่รับมาเท่านั้น ช่วงนี้เขาห้ามเรื่องงาช้างกันอยู่ เล่มนี้ลงรายการเตรียมแจ้งการครอบครองไปแล้ว"

เถรี
12-03-2015, 14:20
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงวันหล่อพระ ชัยพฤกษ์ที่ลานธรรมวัดท่าขนุนบานได้ใจจริง ๆ เลย อาจจะได้ความร้อนจากเตาหลอมด้วย ตอนนี้สะพรั่งไปทั้งต้น เมื่อวันพุธเวียนเทียน ถ่ายรูปออกมาบางมุมนี่เห็นแน่นทั้งต้นเลย ความจริงน่าจะถ่ายกลางวัน จะได้เห็นชัด ๆ แล้วคืนนั้นพระจันทร์ใสมากเป็นพิเศษ ไม่รู้มีใครแหงนกล้องขึ้นไปถ่ายบ้างหรือเปล่า ?

การตามประทีปก็แปลอักษรเป็น สธ. ๖๐ พรรษา เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนแรกเขาจะใส่ลายพระจุลมงกุฏ อาตมาบอกว่าไม่ต้องใส่มาก ถ้าใส่มากจะดูไม่รู้เรื่อง ก็เลยใส่ไปนิดหน่อย ปรากฏว่ามองจากที่สูงแล้วกำลังงามเลย ถือว่าตั้งแต่แปลอักษรมา มีคราวนี้ลงตัวที่สุด ทุกคนเริ่มเป็นงานกันแล้ว

มีใครเข้าเว็บวัดท่าขนุนไปดูรูปหรือยัง ? ตัวหนังสือขนาดต่าง ๆ กำลังอ่านได้สบายตาตอนมองลงจากยอดเขา คือความจริงใช้คำว่า "มาฆบูชา ๕๘" หรือว่า "๒๕๕๘" ก็พอ โยมเขายังไปลง "ละชั่ว ทำดี ทำจิตผ่องใส" เขาถือว่าผางประทีปเหลือเยอะ ปกติทางวัดตามประทีปหมื่นดวง แต่ปัจจุบันนี้วัดท่าขนุนมีผางประทีปอยู่ถึง ๑๖,๐๐๐ ดวงเศษ จึงลงเต็มที่เลย เอาไว้คราวไหนมีกำลังคนมาก ๆ ก็อาจจะล้นไปที่อื่นบ้าง"

เถรี
12-03-2015, 14:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "เกจิอาจารย์ที่นั่งปรก ๘ ทิศ วันที่ ๒๖ ก.พ. ๕๘ อายุรวมกันน่าจะเกิน ๕๐๐ ปี หลวงปู่มหาอำนวย ๙๐ ปี หลวงปู่มหาพล ๘๙ ปี แล้วพระเถระที่นั่งเจริญชัยมงคลคาถา รวมกันก็น่าจะประมาณ ๕๐๐ ปีเหมือนกัน เพราะว่ามากกว่า ๒๐ กว่ารูป มีตุ๊ป้อสิงห์ ๗๘ ปี หลวงตาวัชรชัยก็ ๗๓ ปี

ไปนึกถึงตอนอายุน้อย ๆ นี่แผลงฤทธิ์กันจัง ครูบาอาจารย์ท่านก็อดทนเหลือเกิน คุมพวกอาตมานี่พอ ๆ กับคุมหมาบ้าทั้งฝูง กัดชาวบ้านไม่ได้ก็กัดกันเอง แต่ละคนต่างกันต่างเก่งมา ไม่ค่อยลงให้กันหรอก..!"

เถรี
13-03-2015, 11:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อากาศที่ทองผาภูมิตอนเช้าประมาณ ๑๙ องศาเซลเซียส ตอนบ่าย ๓๘ องศาเซลเซียส ขึ้นเท่าตัวพอดี ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็คงเจ็บไข้ได้ป่วยกันบ้าง

พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงการปฏิบัติธรรมให้ได้ผล ต้องอยู่ในสัปปายะ ๗ ประการ สัปปายะ คือ ความพอเหมาะพอดี มีอยู่ข้อหนึ่ง คือ อุตุสัปปายะ อากาศที่พอเหมาะพอดี ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป ทองผาภูมิหน้าร้อนก็ร้อนตับแตก หน้าหนาวก็หนาวแทบตาย เพราะโลหะธาตุใต้ดินมีเยอะมาก ถึงเวลาดูดความร้อนเร็วก็ร้อนจัด คายความร้อนเร็วก็หนาวจัด

อาวาสสัปปายะ ก็คือ ที่อยู่เหมาะสม ไม่ลำบากจนไป ไม่ใช่วิหารเก่าที่ต้องซ่อมแซม ไม่ใช่วิหารใหญ่โตเกินไปจนทำความสะอาดลำบาก ไม่ใช่วิหารที่เกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน เหล่านี้เป็นต้น

โภชนสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ก็คืออาหารการบริโภคเหมาะสมกับธาตุขันธ์ตนเอง ถ้าอย่างอาตมาไปอยู่อีสานไม่ได้เพราะแพ้ข้าวเหนียว ฉันไปเมื่อไรก็ร้อนในแทบตาย

โคจรสัปปายะ ก็คือสถานที่ในการบิณฑบาตหาอาหารไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ไกลเกินไปก็ลำบากในการบิณฑบาตมาก ใกล้เกินไปคนก็มารบกวนได้ง่าย ให้อยู่ในประมาณสัก ๕ กิโลเมตรกำลังเหมาะ คนขี้เกียจเดินก็ไม่ไป

อาตมาเองเคยเดินบิณฑบาตไปกลับประมาณ ๑๐ กิโลเมตรครึ่ง พระอาคันตุกะมาอยู่ด้วยที่เกาะพระฤๅษี ตอนเช้าก็ออกบิณฑบาตด้วยกันประมาณ ๖ โมงเช้า กลับมาราว ๆ ๙ โมงเศษ ๆ บอกท่านว่าต้องการฉันอาหารเท่าไรให้แบ่งอาหารใส่บาตรไปเลย ส่วนที่เหลือกันไว้เผื่อพวกลูกศิษย์ เพราะช่วงนั้นฉันมื้อเดียว เหตุที่ฉันมื้อเดียวไม่ได้เคร่งอะไรหรอก กลับมา ๙ โมงกว่า ฉันเสร็จก็ ๑๐ โมงแล้ว ใครจะไปฉันเพลได้อีก ?

พอพระท่านแบ่งอาหารเสร็จก็บอกว่า “พระอาจารย์ครับ ผมขอไปนอนก่อนได้ไหมครับ ?” ถามว่าทำไมไม่ฉันก่อน ? “เป็นลมครับ” เดินขึ้นเขาลงเขา ๑๐ กิโลเมตรครึ่งทำท่าจะเป็นลม

ภัสสสัปปายะ ท่านบอกว่า ไม่สนทนาในสิ่งที่เป็นติรัจฉานกถาที่ขวางต่อการปฏิบัติ สนทนาแต่หลักธรรมที่ชวนให้ปฏิบัติ ชวนให้ละกิเลส

ปุคคลสัปปายะ บุคคลเหมาะสม นอกจากไม่ชวนขี้เกียจ ไม่ชวนให้ฟุ้งซ่านในการคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว เวลาติดขัดข้อธรรมปัญหาธรรมอะไร ยังสามารถที่จะสอบถามได้ ให้ท่านช่วยแก้ไขให้ได้ ส่วนใหญ่เน้นในเรื่องของครูบาอาจารย์

อิริยาปถสัปปายะ คือ อิริยาบถที่สบาย อิริยาบถใดที่ทำให้จิตไม่สงบ แสดงว่าอิริยาบถนั้นไม่เหมาะสม

ที่อาตมาไหม้ ๆ เกรียม ๆ อยู่นี่เป็นเพราะอุตุไม่สัปปายะ ไปตากแดดแบกฟืนเสียหลายคันรถ..!"

เถรี
13-03-2015, 11:54
ถาม : นิสัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่น แก้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ สันดานติดตัวมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว

ถาม : ชอบไปยุ่งเรื่องคนอื่น มีวิธีไหมคะ ?
ตอบ : เตือนสติเอาไว้ เตือนตัวเองว่า "อย่าไปเสือกเรื่องของเขา..!"

ถาม : กรรมใครกรรมมันหรือคะ ?
ตอบ : ทำแค่เท่าที่ทำได้ ถ้าเกินกำลังความสามารถแล้วอย่าไปยุ่ง

เถรี
13-03-2015, 14:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนโอนเงินไปให้คุณบุญชู ๕๕๐,๐๐๐ บาท คุณบุญชูทำงานประเภทใจเย็นสุดยอด นิสัยของอาตมาก็คือ "ของถึง เงินจ่าย" รายนี้ทำจนงานเสร็จแล้วค่อยมาส่งใบเสร็จเก็บเงิน ของที่สั่งมาเจ้าของร้านคงผูกคอตายไปสามรอบแล้ว ความจริงการทำงานต้องเห็นใจคนอื่นเขา ก็คือต้องคิดว่าเขาอยู่ได้ไหม ? ไม่ใช่คิดว่าเราอยู่ได้ก็พอแล้ว

ช่างที่ทำงานที่วัดท่าขนุน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ จนป่านนี้ไม่ยอมย้ายไปไหนเลย เพราะอาตมาไม่เคยตกลงราคากับเขา รู้อย่างเดียวว่าคุณต้องการเท่าไรมาเบิกก็แล้วกัน ลักษณะอย่างนั้นเขาจะไม่ขาดทุน ถ้าตกลงราคากันแล้ววัสดุราคาขึ้น เขาก็ต้องแบกรับส่วนต่างตรงจุดนั้น ถ้าไม่ได้เผื่อเอาไว้มากก็จะขาดทุน ก่อนหน้านี้ทำงานที่อื่นแล้วขาดทุนอยู่เรื่อย ไป ๆ มา ๆ ทำงานที่ท่าขนุนไม่ขาดทุนหรอก บอกเท่าไรอาตมาก็จ่ายให้เท่านั้น

ท่านเจ้าคุณปัญญา รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ถามว่า “อาจารย์เล็ก ราคาทรงไทยหลังนั้นเขาคิดเท่าไร ?” “ไม่รู้เหมือนกันครับ บอกเท่าไรผมก็ให้เท่านั้น” แต่ต้องดูคนให้เป็นนะ คนที่เขาซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาค่อยใช้วิธีนี้กับเขา เห็นอกเห็นใจเขาหน่อย ประเภทบิด ๆ เบี้ยว ๆ นี่เบี้ยวอาตมาได้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ รับประกันซ่อมฟรี โดนไล่กระเจิงเลย คนเขาถามว่า ไล่ไปแล้วไม่กลัวว่าไม่มีคนทำงานหรอกหรือ ? ไม่กลัวหรอก จ่ายเงินแบบอาตมา ใคร ๆ ก็อยากทำด้วย"

เถรี
13-03-2015, 14:47
"ตอนทำลานธรรมวัดท่าขนุน มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง รถแม็คโครไม่กล้าโค่น อาตมาต้องไปยืนคุม คือต้นโพธิ์ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ที่งอกกับพื้นเอง มักจะหุ้มต้นอื่นอยู่ พอต้นที่โดนหุ้มตาย ต้นโพธิ์ก็จะง่อนแง่น ๆ ท้ายสุดโดนลมแรงก็จะโค่น ร้อยละ ๘๐ จะเป็นลักษณะอย่างนั้น อาตมาจึงต้องเอาออก แต่ถ้าต้นโพธิ์ที่ขึ้นกับพื้นเอง จะปล่อยตามสบาย ต่อให้พายุสลาตันก็คงเอาไม่ขึ้นหรอก

การสร้างเมรุวัดท่าขนุนก็คงลักษณะเดียวกัน ต้องไปยืนคุม ไม่อย่างนั้นแล้วเขาไม่กล้ารื้อกัน กลัวผีหลอก เขาว่าอย่างนั้น เรื่องนี้ไปนึกถึงหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี หลวงพ่อไพบูลย์เป็นพระที่รักลูกน้องสุดยอดเลย วัดวาอารามอยู่ซอกไหนมุมไหน ใกล้ไกลขนาดไหน ท่านไปถึงหมด

วันนั้นท่านไปที่เขาเหล็ก ทางด้านศรีสวัสดิ์ของกาญจนบุรี ปรากฏว่าเจ้าที่มา เจ้าที่มาบอกว่า "จัดงานไม่บอกไม่กล่าวเลย ดูถูกกัน" หลวงพ่อไพบูลย์ถาม “มึงเป็นใครวะ ?” เขาก็บอกว่า “กูเจ้าพ่อเขาเหล็ก” “มึงเป็นเจ้าพ่อที่นี่ใช่ไหม?” “ใช่” “กูนี่เจ้าคณะจังหวัด เจ้านายมึง มึงยังไม่รู้ตัวอีก เพราะฉะนั้น..อย่าเสือกทะลึ่งมายุ่งกับที่นี่ ไม่อย่างนั้นกูจะเฉ่งมึงเอง” เจ้าพ่อเขาเหล็กเผ่นไปเลย ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยโผล่มาอีกเลย

นั่นเป็นแค่เจ้าของที่ระดับตำบล นี่เจ้าคณะจังหวัด คุณเป็นเจ้าพ่อแค่ที่เดียว ดันไม่รู้จักเจ้านายใหญ่ ต้องเจอพระแบบนั้น เข้าฝันผิดคน ถ้าไปเข้าฝันเจ้าอาวาสหรือชาวบ้านอาจจะมีผล แต่ดันไปเข้าฝันเจ้าคณะจังหวัด

เสียดายหลวงพ่อไพบูลย์ท่านมรณภาพเร็วไปหน่อย เพราะว่าท่านเพิ่งจะอายุ ๗๑ - ๗๒ ปี ท่านเป็นคนแข็งแรง มรณภาพก็ไม่มีวี่แววอะไรเลย กำลังพาญาติโยมไปอินเดียอยู่ ปกติท่านจะพาญาติโยมไปจาริกแสวงบุญที่ประเทศอินเดียอย่างน้อยปีละครั้ง ก็ไปเดินขึ้นเขาสวดมนต์ ไปนั่งกรรมฐาน เช้านั้นจะขึ้นเขาคิชฌกูฏ ให้หุงข้าวหุงปลากินกันก่อน ท่านก็ไปเดินดูทุกข์สุขของญาติโยม เดินถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ? มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยไหม ? กับข้าวพอหรือเปล่า ? ถามไปถามมาตัวเองล้มไปเฉย ๆ..!"

เถรี
13-03-2015, 15:07
"ลูกพี่ลูกน้องของท่านก็คือหลวงพ่อพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ) วัดราษฎร์ประชุมชนาราม ต้องบอกว่าเป็นลูกผู้พี่เพราะอายุมากกว่า ๑ ปี ท่านเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจไปสามเส้น ฉันยาบ่อย หลวงพ่อไพบูลย์เห็นหลวงพ่อณรงค์ฉันยาทีไรก็บอกว่า “ดูสิ..มันจะตายห่าอยู่แล้ว” ปรากฏว่าคนที่จะตายกลับไม่เป็นไร ส่วนที่คนแข็งแรงล้มตึงก็ไปเลย

คนที่ผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจไปสามเส้น อยู่เป็นเจ้าคณะจังหวัดจนเกษียณ สำหรับพระเกษียณตอนอายุ ๘๐ ท่านอยู่มาจนถึงอายุ ๘๕ ถึงมรณภาพ ไม่อย่างนั้นปกติหลวงพ่อณรงค์ไม่มีทางได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด เพราะลูกผู้น้องอายุน้อยกว่า แข็งแรงมากด้วย เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ โบราณเขาถึงได้บอกว่า แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ ท่านเองมีบุญจะได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นพ่อเมือง เป็นเจ้านายของพระของเณรทั้งจังหวัด อย่างไรท่านก็เป็นจนได้ ทั้ง ๆ ที่สุขภาพดูแล้วไม่น่าจะเป็นได้"

เถรี
13-03-2015, 15:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เห็นอาตมาดำ ๆ แล้วมีแต่แผลลายไปทั้งแขน เกิดจากไปตากแดดขนฟืน ฟืนที่เอาไปหล่อพระนั่นแหละ ขนฟืนไปให้ตอนแรกก็ว่าพอแล้ว คราวนี้ช่างตุ้มเขาบอกว่าเอาอีกสัก ๑ คันรถสิบล้อ เผื่อไว้ก่อน ก็เลยเพิ่มไป

แปลกมากเลย เหมือนกับใช้ฟืนไปเท่าไรก็เหลือเท่านั้น เพราะอาตมาต้องขนไปเก็บ ๖ คันรถหกล้อ กับอีก ๘ คันรถกระบะ ไม่รู้ว่าหล่อพระไปได้อย่างไร เผากันอยู่เป็นวัน ๆ ใช้ไปเท่าไรก็เหลือประมาณนั้น คราวนี้จะใช้ลานธรรมไว้วางผางประทีป ก็เลยต้องขนไม้ออก เจ้าประคุณเอ๋ย..แดดร้อนดีเหลือเกิน การที่จะใช้คนอื่นที่ดีที่สุดก็คือลงไปทำเสียเอง คนอื่นเห็นเดี๋ยวเขาก็มาช่วยเอง

หลวงปู่มหาอำนวยท่านถามว่า "ทำไมอาจารย์เล็กดำอย่างนั้น ?" “อ๋อ..ไปตากแดดมาครับ” หลวงปู่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่อายุกาลพรรษามากที่สุด ปีนี้ ๙๐ แล้ว อายุพรรษา ๗๐ บวชตั้งแต่เป็นสามเณร บวชเกิน ๗๐ ปีแล้ว แต่คราวนี้อายุพรรษาเขานับเฉพาะตอนช่วงเป็นพระ

หลวงปู่มหาพล วัดเขื่อนท่าทุ่งนา อายุ ๘๙ อายุพรรษา ๖๙ ไล่หลังกันอยู่ปีเดียว รุ่นโน้นถ้าเรียนเป็นมหาเปรียญได้ ต้องถือว่าสุดยอดเลย เพราะว่ารุ่นอาตมาพวกเปรียญนี่แปลธรรมบท ๔ ภาค รุ่นหลวงปู่แปล ๘ ภาค สมัยโน้นประโยค ๑-๒ นี้แปลรวดเดียว ๘ ภาคเลย สมัยนี้ประโยค ๑-๒ แปล ๔ ภาค ประโยค ๓ อีก ๔ ภาค เพราะฉะนั้น..รุ่นของหลวงปู่ท่าน มหาเปรียญนี่ราคาแพงกว่าเยอะ แบบเดียวกับสมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ จบนักธรรมเอกยืดได้ทั่วประเทศเลย เพราะว่าสมัยนั้นนักธรรมเอกราคาสูง สมัยนี้จบนักธรรมเอกไม่มีใครมองหรอก ขนาดมีเปรียญ ๓ เปรียญ ๕ ต่อท้ายเขาก็ยังไม่ค่อยจะแลเลย"

เถรี
13-03-2015, 15:44
ถาม : นึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างไรให้เข้าถึงพระรัตนตรัยมากขึ้น ?
ตอบ : เอาเป็นว่าพยายามนึกให้ได้ทุกวินาที เพราะทันทีที่ขาดช่วงลง กิเลสจะแทรกเข้ามา แล้วถ้ากิเลสมีกำลังมากกว่า จะดึงเราเตลิดเปิดเปิงไปนาน แต่ถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ อย่างน้อย ๆ เช้าเย็นจะต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาจับภาพพระให้ได้

การที่เราภาวนา จะเป็นพุทโธ นะมะพะธะ หรืออะไรก็ตาม นึกถึงภาพพระไปด้วย นั่นก็คือการที่เราปฏิบัติอยู่ในพุทธานุสติ ก็คือการนึกถึงพระรัตนตรัยด้วยความเคารพ เพราะว่าพระพุทธเจ้าของเรา คือพุทธานุสติที่เราระลึกถึงอยู่ เรากำลังปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ก็คือพระธรรม ซึ่งพระสงฆ์คือหลวงปู่ หลวงพ่อ นำคำสอนนั้นมาบอกเรา ให้เราได้ปฏิบัติอีกต่อหนึ่ง ก็แปลว่าเรากำลังยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริง ๆ

เถรี
13-03-2015, 15:45
ถาม : เมื่อวานลูกไปทำบุญกรวดน้ำให้กับน้องหมาตัวหนึ่ง กลางคืนสวดมนต์ภาวนาหลับไป แล้วก็ฝันเห็นเขา ?
ตอบ : ถ้าฝันถึงเขาได้ แสดงว่าเขาไม่ลำบาก

เถรี
13-03-2015, 16:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๙ มีนาคมนี้ ใครจะร่วมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร แจ้งความจำนงได้ที่ป้ามอยและน้องเล็ก เอาอาหารมาให้พอกับคนด้วย ลองถามคนเก่า ๆ ดูว่าเขาเลี้ยงอะไร เราจะได้เอามาไม่ซ้ำกับเขา"

เถรี
13-03-2015, 19:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขียวส่องจัดเป็นมรกตประเภทหนึ่ง แต่ว่าสีเขียวออกเหลือง พวกเราจะเคยชินว่าถ้าเป็นมรกตต้องเขียวปี๋ พลอยเขียวส่องเป็นพลอยแถว ๆ ทางตะวันออกของเรา อย่างจันทบุรี แถวบางกะจะจะมีพลอยเขียวส่องมาก น้ำสีเขียวอมเหลือง ก็ถือว่าเป็นรัตนชาติที่ค่อนข้างจะหายากอยู่ ถ้าเขียวไปเลยเป็นมรกต เหลืองไปเลยเป็นบุษราคัม เขียวส่องนี่เขาจับมือกันคนละครึ่ง ก็เลยเป็นเขียวอมเหลือง หรือเหลืองอมเขียว"

เถรี
14-03-2015, 10:44
ถาม : เราทำบุญตักบาตร เราจะทราบได้อย่างไรว่าจะถึงคนที่เราตั้งใจให้ ?
ตอบ : บอกเขาว่าถ้าได้รับแล้วให้ส่งไลน์มาบอกด้วย..! ทำบุญอันดับแรกคนที่ได้คือเรา ส่วนคนที่รับนั้นถ้าอยู่ในเขตที่ไม่ลำบาก และไม่ได้อยู่ในส่วนของอรูปพรหมหรืออสัญญีสัตตาพรหม เขาได้รับแน่ เพียงแต่ว่าพวกเรามักจะขี้สงสัย อยากรู้ว่าเขาได้รับจริงหรือเปล่า

วิธีที่ดีที่สุดก็คือไปฝึกทิพจักขุญาณให้ได้ แล้วก็ตามไปดูเลย ไม่อย่างนั้นไปเที่ยวถามคนอื่นซึ่งพาให้สงสัยไม่จบ พอถึงเวลาเขาบอกก็จะสงสัยต่ออีก

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ยากมากมายอะไร ใช้กำลังใจนิดเดียว พวกเราส่วนใหญ่ใช้กำลังใจเกิน ในเมื่อใช้เกินเหมือนกับช่องอยู่ตรงนี้ เรายืดคอเลยมาตรงนี้แล้วจะไปเห็นอะไร ลองไปฝึกดู เผื่อได้กับเข้าบ้าง ไม่อย่างนั้นไม่หายสงสัยแน่

เถรี
14-03-2015, 11:25
เรื่องการทำบุญไปแล้วคนตายจะได้รับหรือเปล่า อย่าเสียเวลาไปถามคนอื่น ถ้าเขาอยู่ในเขตที่โมทนาได้ เขาได้รับแน่ เพียงแต่ว่าเราเองมักจะขี้สงสัย ถ้าไปถามเจอท่านที่ทำมาหากินด้านนี้อยู่พอดี ก็จะบอกว่าทำแล้วยังไม่ได้รับ เพราะว่าทำน้อยเกินไป ต้องไปทำบุญกับเขาสัก ๙,๙๙๙ บาท ญาติถึงจะได้รับ เราก็ต้องเสียเงินมากขึ้น เป็นต้น

เพราะฉะนั้น..ได้โปรดระมัดระวังอย่าเที่ยวไปถามเขามั่วไปหมด ถ้าหากว่าสงสัยให้ไปปฏิบัติเอง ก็คือภาวนาไปจนจิตบริสุทธิ์ถึงระดับหนึ่ง ความผ่องใสของจิตที่มีอยู่จะทำให้ทิพจักขุญาณเกิดขึ้น สามารถเห็นผีเห็นเทวดาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถามตรงกับเขาเลย หรือไม่ก็ฝึกทิพจักขุญาณในลักษณะของมโนมยิทธิก็ได้ ฝึกกสิณ ๓ อย่าง ก็คือ กสิณสีขาว กสิณไฟ หรือกสิณแสงสว่างก็ได้ ถ้าทำจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็สามารถอธิษฐานขอเห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ แต่จะเสียเวลาในการฝึกนาน บางทีเราอาจจะเสียชีวิตเสียก่อนโดยที่ไม่ได้รับความดีอะไรเพิ่มเติม นอกจากแก้สงสัยตัวเองไปหน่อยเดียวเท่านั้น

ฉะนั้น..ตั้งหน้าตั้งตาทำไป เพราะว่าการทำความดีนั้น อันดับแรกคนที่ได้คือตัวเราเอง แล้วหลังจากนั้นจะอุทิศให้ใครก็แล้วแต่เรามีความสะดวก ถ้ารักในการปฏิบัติแล้วขี้สงสัยมาก ต้องฝึกทิพจักขุญาณ พอถึงเวลาก็จะรับรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ แล้วจะรำคาญเป็นพิเศษ เพราะว่าพวกผี ๆ พอรู้ว่าเราติดต่อได้ ก็จะแห่กันมาขอความช่วยเหลือ แล้วเราก็จะเบื่อไปเอง

เถรี
14-03-2015, 11:26
ถาม : นั่งสมาธิแล้วหลับค่ะ แก้ไขอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็อย่าหลับสิจ๊ะ ถามมาได้ เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าเผลอขาดสติหลุดจากลมหายใจก็จะหลับ เพราะฉะนั้น..อย่าเผลอ ถ้าหากว่าหลับก็ตั้งใจใหม่

ถาม : หลับไปเลยค่ะ ?
ตอบ : ถ้าหลับไปเลย ถึงเวลาทำก็ตั้งใจใหม่

เถรี
14-03-2015, 11:27
โยมถามปัญหาว่านั่งสมาธิแล้วมักจะหลับ จะแก้ไขอย่างไร ? ความจริงเป็นปัญหาพื้นฐานของนักปฏิบัติทุกคน เพราะว่า ปกติการหลับเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง สมาธิที่ถึงช่วงตอนที่เราหลับมีกำลังเท่ากับปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าใครเข้าถึงตรงนี้จะหลับทั้งนั้น

แต่คราวนี้การที่คนและสัตว์สามารถเข้าถึงตรงนี้แล้วหลับได้ จะไม่มีอานิสงส์ในการปฏิบัติธรรม เพราะไม่ได้เจตนาที่จะตั้งใจปฏิบัติเพื่อชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ แต่เป็นกรรมวิบาก คือกัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ทำให้เราสามารถหลับได้ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน คราวนี้สภาพจิตของเราถ้าไปตรงกับปฐมฌานหยาบเมื่อไรเราก็จะหลับ

วิธีที่จะไม่หลับก็ต้องเอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก อย่าให้ขาด เผลอหลุดจากลมเมื่อไรจะหลับทันที จนกว่ากำลังใจจะก้าวผ่านไปถึงรับระดับปฐมฌานละเอียดก็จะไม่หลับอีก หรือไม่อีกทีหนึ่งก็ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินภาวนาบ้าง ไปสวดมนต์บ้าง แล้วแต่ว่าเราทำอิริยาบถอย่างอื่นอย่างใดที่ทำให้เราไม่หลับ และอยู่ในความดีของศีล สมาธิ ปัญญาได้ หรือไม่ก็ไปล้างหน้า ออกกำลังกาย เสร็จแล้วก็มาเริ่มต้นใหม่ ง่วงเผลอหลับเมื่อไรก็เริ่มต้นใหม่ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ พอสภาพจิตละเอียดขึ้น ลมหายใจละเอียดขึ้น ก็จะก้าวพ้นไปได้เอง

เถรี
15-03-2015, 12:04
ถาม : ตั้งใจดูลมหายใจเข้าออก รู้สึกหายใจไม่สะดวก ?
ตอบ : ไม่ต้องตั้งใจมาก ปล่อยให้หายใจตามปกติ แล้วเรามีหน้าที่คอยดูเท่านั้น ว่าหายใจไปสุดถึงไหน แล้วออกมาถึงไหน แค่นั้นแหละ หายใจตามปกติเหมือนกับตอนนี้ เพียงแต่เอาสติตามดูไปเท่านั้น

ถาม : ตามดูตรงไหนบ้าง ?
ตอบ : จมูก อก ท้อง หรือไม่ก็ที่เดียวที่ท้องก็ได้ ที่ปลายจมูกก็ได้ แต่ถ้าสติดี ๆ ก็จะรู้ตลอดเส้นทางเลย หรือจะเอา ๗ ฐานตามแบบสายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไป ถ้ารู้ว่าสภาพจิตของเรายังหยาบอยู่ ยังตามได้ไม่ตลอด เอาแค่จุดเดียวที่ปลายจมูกก็ได้ หายใจเข้าผ่านปลายจมูก หายใจออกผ่านปลายจมูก พอสติละเอียดขึ้น รู้มากขึ้นแล้วค่อย ๆ ขยับเพิ่มขึ้นว่าจะเอากี่ฐาน

เถรี
15-03-2015, 12:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอของหลวงพ่อรุ่ง ส่วนใหญ่โลหะเงินที่คาดปลอก ไม่ว่าจะมีลายหรือไม่มีลายก็ตาม การตีโลหะเงินช่างจะตีด้วยค้อน จะมีรอยบุบบิบบู้บี้อยู่เยอะมากเลย มีดหมอหลวงพ่อรุ่งส่วนใหญ่ไม่มีอักขระ เพราะช่างคนที่ทำไม่รู้หนังสือ ก็เลยตอกได้แต่ลายบนใบมีด ส่วนใหญ่จะเป็นลายเกล็ดปลา มีไม่มากนักที่มีอักขระ แต่ก็เป็นการตอกตามแบบ บางทีแทบจะอ่านไม่ออก

มารุ่นหลวงพ่อเดิม พวกช่างแม้น ช่างสอน ช่างไข่ ช่างฉิม ฯลฯ บางคนตีลายเป็นอย่างเดียว ตัวหนังสือตีไม่เป็น เพราะอ่านหนังสือไม่ออกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าความประณีตของลายมีมากกว่า มีดหมอของหลวงพ่อรุ่งแผ่นเงินส่วนใหญ่ไม่ได้เชื่อม พอตีเสร็จเขาจับรัดกับปลอกแล้วตีพับทับไปเลย"

เถรี
15-03-2015, 12:27
พระอาจารย์เล่าว่า "วันมาฆบูชา ตั้งแต่เช้ามาอาตมานั่งทำงานไปเรื่อยเปื่อย พอมาสาย ๆ หน่อยก็เทศน์ นำเจริญพระพุทธมนต์ รับภัตตาหารสังฆทาน หลังเพลบวชพระ อาตมาต้องเป็นคู่สวด จ้ำเสียเอง ๓ คู่ ใช้เวลาราว ๆ ๒ ชั่วโมง เสร็จสรรพก็ไปแบกฟืนขึ้นรถ ขนไปเก็บ เพราะจะใช้ลานธรรมในการวางผางประทีป

ตากแดดแบกฟืนอยู่เกือบ ๒ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ช่วยกันการวางผางประทีป กว่าจะเสร็จก็ประมาณ ๖ โมงครึ่งกว่า ๆ แล้วไปนำทำวัตรค่ำ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ไปนำญาติโยมเวียนเทียน ลอยโคม เสร็จแล้วกะว่าจะเดินขึ้นไปดูไฟบนยอดเขา ปรากฏว่าตอนลอยโคมกำลังของตัวเองหมด จะยืนหลับเอาเฉย ๆ ร่างกายตัดระบบเอง ก็เลยรู้ว่าคนเราก็แบตเตอรี่หมดได้เหมือนกัน นึกว่ามีแต่เครื่องไม้เครื่องมือที่แบตฯ หมด

ช่วงก่อนหน้านั้นสักอาทิตย์กว่า ๆ น่าจะวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ตอนช่วงเช้ากำลังแก้ไขวิทยานิพนธ์ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าจอของโน้ตบุ๊กวูบ เหมือนกับมืดลง ก้มไปมองข้างล่างว่าได้เปิดสวิตช์ไฟไว้หรือเปล่า ปรากฏว่าตอนก้มลงนั่นแหละถึงได้รู้ว่า ไม่ใช่จอมืดหรอก แต่ตัวเองหน้ามืด..! เพราะก่อนหน้านั้นอาทิตย์หนึ่ง แก้ไขวิทยานิพนธ์ทั้งกลางวันกลางคืน แทบไม่ได้นอนเลย คืนหนึ่งนอนประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง จำได้ว่าอาจารย์สั่งแก้วิทยานิพนธ์ส่งวันที่ ๑๕ ตรวจของวันที่ ๑๕ แก้ส่งวันที่ ๑๙ พอตรวจของวันที่ ๑๙ แก้ส่งวันที่ ๒๒ ไม่มีเวลาพักเลย

อาตมาเองกลางค่ำกลางคืนก็ไม่ได้ฉันน้ำปานะอะไรกับใคร นอกจากน้ำเปล่าอย่างเดียว ร่างกายจึงโทรมสุด ๆ ตอนที่อยู่ได้เพราะใจบอกอย่างเดียวว่างานต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จอาตมาก็จะเสร็จเสียเอง จึงทำไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองหมดแรง กำลังไม่มี อยู่ ๆ เห็นหน้าจอมืดไปวูบหนึ่ง ก็คิดว่าแบตเตอรี่หมด ไม่คิดว่าตัวเองหมดกำลัง ฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ก็เป็นบทเรียนให้รู้ว่า ชะรา ธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้"

เถรี
15-03-2015, 13:41
พระอาจารย์เล่าว่า "วันหล่อพระสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอก (๒๖ ก.พ. ๕๘) มีผู้ถวายทองคำร่วมหล่อพระมาประมาณ ๔ กิโลกรัม หล่อไปแล้วช่างบอกว่าสมบูรณ์ดีมาก ก็เหลือแค่ตัดสายชนวนแล้วก็แต่ง เดี๋ยวปลายเดือนนี้จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินแท้ หน้าตัก ๙.๙ นิ้วอีก ๑ องค์

ปีหน้าจะหล่อพระถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเพราะว่าครบ ๑๐๐ ปีเกิดของท่าน จะสร้างรูปหลวงปู่ปานกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ประมาณเท่าครึ่งของคนจริง แล้วก็สมเด็จองค์ปฐมองค์หนึ่ง บอกช่างว่าหน้าตัก ๓๐ นิ้วก็ได้ เพราะว่าพื้นที่จำกัด ช่างเขาบอกว่าน่าจะได้ถึง ๔๙ นิ้ว ขอไปดูพื้นที่จริงก่อนว่าจะปั้นหุ่นได้ขนาดเท่าไร

หมู่พิพิธภัณฑ์เรือนไทยที่สร้างเอาไว้ด้านบน มีหลังเล็กที่โบราณเขาเรียกว่าหอนก คือหมู่เรือนไทยเขาจะมีเรือนหลัก เขาเรียกหอกลาง แล้วก็มีเรือนซ้ายขวา เรียกว่าหอรีด้านซ้าย หอรีด้านขวา มีหอขวางทางด้านหลัง หลังเล็กเขาเรียกหอนก ส่วนใหญ่มีไว้เลี้ยงกล้วยไม้หรือไม่ก็เลี้ยงนกเขา

คราวนี้ของวัดท่าขนุนสร้างหอนกด้านหน้าไว้ ๓ หลัง ก็เลยคิดว่าจะเอาสมเด็จองค์ปฐมประดิษฐานไว้ตรงกลาง หลวงปู่ปานไว้ด้านขวา หลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ด้านซ้าย ก่อนจะทำต้องรอดูว่าสถานที่สำหรับสมเด็จองค์ปฐมพอหรือเปล่า ? ช่างเขาไปดูแล้ว เขาว่าน่าจะได้ถึง ๔๙ นิ้ว ถ้ามีซุ้มด้วยก็สูงน่าดู แปลว่ายังต้องหล่อพระอีก ๒ รอบ เดือนหน้า ๑ รอบ ปีหน้าอีก ๑ รอบ"

เถรี
15-03-2015, 13:57
"การหล่อพระรอบนี้คนทองผาภูมิซึ่งเป็นคนในพื้นที่มากันเยอะมาก ปกติที่วัดจัดงานเขาไม่ค่อยมาหรอก เพราะว่าตรงเวลาเกินไป ถ้าวัดมีงานมักจะเริ่มบวงสรวงไหว้ครูตอน ๗ โมงครึ่ง คนนั่งเต็มตั้งแต่ตีห้าแล้ว คนทองผาภูมิมา ๘ โมงครึ่ง เขาถือว่าอยู่ใกล้เลยมาช้าหน่อย แต่มาแล้วก็ไม่มีที่ให้นั่ง เขาก็เลยเบื่อกัน จึงไม่ค่อยมา

ปรากฏว่างานนี้มากันเยอะมาก อาตมาสงสัยว่าทำไม ? เขาบอกว่าไม่มีการหล่อพระแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว บางคนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอเลย พอพวกเราไปเททองหล่อกัน เขาเห็นเข้าก็เลยมา ถอดทองคำถวายกันมาเยอะเลย

อาตมาเองก็เอาเข็มขัดนากของแม่หนัก ๓๐ บาท ใส่ลงไปหล่อด้วย เข็มขัดเส้นที่แม่ให้ใส่วันบวชเมื่อ ๓๐ ปีก่อน แม่เอามาให้คาดเอวตอนบวช ตอนนี้แม่เสียไป ๖-๗ ปีแล้ว ก็เลยเอาเข็มขัดมาหล่อพระให้แม่"

เถรี
15-03-2015, 14:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของบุญให้ทำไปเรื่อย ๆ แต่ว่าเรื่องของกำลังใจการตัดกิเลสเป็นเรื่องสำคัญ ต้องคอยระมัดระวังอยู่เสมอ ถ้าเผลอเมื่อไรก็จะเผลอเกาะร่างกายอีก

อย่างพวกเราป่วย พอรู้สึกแข็งแรงขึ้นมาหน่อยก็รู้สึก "อยากอยู่" อีกแล้ว แต่ตอนที่ป่วยกลับ "อยากตาย" คิดดูเอาก็แล้วกัน กลับกลอกหลอกลวงกันขนาดนั้น จึงต้องคอยระมัดระวัง คอยตอกย้ำหัวตะปูไว้เรื่อย ๆ ว่าอย่างไรก็ไม่เอาอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นก็กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

เรื่องเหล่านี้พอย้ำจนถึงที่ ถ้าข้ามได้จะข้ามไปเลย ถ้าข้ามไม่ได้ก็ขึ้นหน้าถอยหลัง จะเป็นลักษณะนั้น เป็นกันทุกคน อาตมาเคยผ่านมาแล้วจึงรู้ว่าเป็นอย่างนี้ เหมือนกับอยู่ในช่วงที่กำลังสะสมกำลังอยู่ ถ้ากำลังพอก็จะก้าวข้ามไปได้เลย

ตอนนี้ให้ทำไปเรื่อย ๆ อย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก และอย่าทิ้งการพิจารณา ทิ้งลมหายใจเข้าออกกำลังเราจะไม่พอสู้กิเลส ทิ้งการพิจารณาปัญญาจะถอยหลัง พอถอยหลังเดี๋ยวก็ไปเห็นดีเห็นงาม ยังอยากเกิดอยู่อีก"

เถรี
15-03-2015, 14:18
ถาม : ขายที่บ้าน เมื่อไรจะขายได้ ?
ตอบ : บนพระวิสุทธิเทพ จุดธูป ๕ ดอกปักกลางแจ้ง กราบเรียนท่านว่า ถ้าขายได้แล้วจะรักษาศีล ๘ พร้อมกับเจริญกรรมฐาน ๗ วัน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำไว้นานแล้ว ท่านบอกว่าถ้าเกี่ยวกับเรื่องของอาชีพการงาน การทำมาหากิน ให้บนท่านได้เลย แต่ว่าท่านขอแรงหน่อย ท่านขอศีล ๘ กับกรรมฐาน ๗ วัน

หลวงพ่อท่านบอกว่า กรรมฐานช่วงเช้าเราภาวนาสักชั่วโมง แล้วรักษาศีลให้ได้ทั้งวัน ตอนค่ำภาวนาอีกชั่วโมงหนึ่ง ถือว่าเราเจริญกรรมฐานทั้งวันแล้ว เพราะว่าช่วงที่เราตั้งใจระมัดระวังรักษาศีล ก็คือเรารักษาในสีลานุสติกรรมฐาน คำว่าเจริญกรรมฐานทั้งวัน ไม่ใช่นั่งภาวนาทั้งวัน แต่ให้ใจอยู่กับความดีได้ทั้งวัน แค่ ๗ วันเอง อดข้าวไหวไหม ? ถ้าไหวเดี๋ยวกลับบ้านไปจุดธูปบอกท่านเลย บอกท่านว่าเบื่อเต็มทีแล้ว ขอให้ขายได้ไว ๆ หน่อย

ตอนที่อยู่ก็มีประโยชน์ แต่ตอนที่หมดอยากที่จะอยู่ ก็ไม่เห็นประโยชน์ ขาย ๆ ไปเถอะ อาตมาก็แก่เต็มทีแล้ว พอ ๕๗ ปี จะคลานไม่ไหวแล้ว กรรมเก่าทำไว้เยอะ โรคก็เยอะ สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า แกเป็นทหารมาหลายชาติ ฆ่าเขาเอาไว้เยอะ ไปปล่อยปลาเดือนละ ๑-๒ ตัว เอาชนิดที่เขาขายไว้ให้ฆ่า จะได้ชดใช้เขาไป ปล่อยมา ๓๐ ปี กว่าจะดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง นี่ขนาดทำต่อเนื่องเลยนะ ไม่มีหยุด แล้วก็ไม่ได้ปล่อยตัว ๑ - ๒ อย่างที่ท่านว่าด้วยนะ เจอทีหนึ่งเหมาหมดตลาดเลย ช่วงนี้จะตั้งงบไว้ที่ ๓๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ก็เลยกลายเป็นว่าทำมาประมาณ ๓๐ ปีกว่า เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บเบาลงบ้าง แสดงว่าสมัยก่อนนี่เล่นเขาเอาไว้เยอะมาก

ถ้าตามหลวงพ่อท่านมา เรื่องที่จะไม่เคยทำอะไรใครเลยนั้นยาก ส่วนใหญ่เพื่อประเทศชาติ เพื่อศาสนาก็ต้องทำ แต่ทำไปแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าโทษจะไม่มี เศษกรรมตามมา ดูสิ..แผลเต็มตัวเลย นี่ขนาดไปขนฟืนแค่นั้นนะ พออาตมาทุ่มฟืนลงบนรถ ยังไม่ทันก็ชักมือกลับ พระท่านก็ทุ่มใส่มือพอดีเลย พอทุ่มใส่มือแล้วท่านก็เอามือมาลูบ ๆ "หลวงพ่อโดนไปแล้ว" “เอ็งไม่ต้องบอกข้าก็รู้ เจ็บจะตายห่.. ไม่รู้ได้อย่างไรวะ ?” ต่างคนต่างโยนฟืนเข้าไป คราวนี้อาตมาโยนไปมือไม่ทันดึงกลับ ของเขาก็ทับลงไปพอดี ไม้แต่ละท่อนใหญ่เบ้อเร่อ ยาวสักเมตรครึ่งได้ โดนเข้าไปทีเจ็บจนหูตาสว่างเลย..!

เถรี
17-03-2015, 10:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาโรคมะเร็งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งท่อรังไข่ ของผู้ชายก็มะเร็งต่อมลูกหมาก เกิดจากความเครียดแล้วทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ถ้าหายเครียดโรคเหล่านี้ก็หาย กลายเป็นว่าจริง ๆ แล้ว บุคคลที่เป็นโรคเหล่านี้ควรจะไปปฏิบัติธรรมมากกว่า

เมื่อวันหล่อพระ ลูกศิษย์หลวงปู่อำนวยมากราบเรียนถามปัญหา ว่า "หลวงป๋าวิวัฒน์เป็นมะเร็งกระดูก ท่านฝากมาถามว่าจะรักษาตามวิธีธรรมชาติดี หรือว่าจะยอมผ่าตัดดี ?" อาตมาเลยหัวเราะ บอกเขาว่า "หลวงป๋าตั้งใจแล้วว่าจะรักษาตามวิธีธรรมชาติ ถามหลวงปู่ดูสิ หลวงปู่ท่านก็รู้ ไม่ต้องมาถามอาตมาหรอก" พอหันไปบอกให้ถามหลวงปู่อำนวยดู หลวงปู่อำนวยก็ว่า "อ้าว..รู้เหมือนกันนี่" หลวงปู่รู้แล้วจะมาลองผมทำไม ? ปัญหาแค่นี้ยังจะมาลองกันอีก ...(หัวเราะ)... ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่นกันอย่างนี้แหละ ทั้ง ๆ ที่รู้แล้วก็ขอความแน่ใจหน่อยเถอะ"

เถรี
17-03-2015, 10:49
"นับในสายหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ต้องบอกว่าเรื่องมโนมยิทธิอาตมาเป็นมือวางอันดับต้น ๆ เลย แต่สาเหตุที่อาตมาไม่สอนมโนมยิทธิ เพราะว่ามโนมยิทธิทำให้หลงทางได้ง่าย ที่หลงทางได้ง่ายเพราะแต่ละคนเชื่อเพราะเห็น เห็นด้วยตัวเองก็เลยเชื่อ โดยที่ไม่รู้หรอกว่าที่เห็นนั้นไม่จริง เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นไม่แน่ว่าจะจริง เคยเปรียบเทียบให้เขาฟังว่า เห็นคนไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราก็เอามีดเอาปืนออกไปช่วย จะไปโดนเขากระทืบตาย เพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันจริงไหม ? ก็จริง แล้วเรื่องที่เห็นนั้นจริงไหม ? ไม่จริง..เพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมโนมยิทธิ อาตมามั่นใจว่าส่วนหนึ่งที่ท่านสอนก็เพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นความจริง และอีกส่วนหนึ่งคือท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ท่านฉลาดพอที่จะเลือก แต่ขนาดท่านมั่นใจว่าฉลาดพอ อาตมายังโง่อยู่ตั้งหลายปี แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าฉลาดจริงหรือยัง ?

หลวงพ่อเคยชมกับเพื่อนพระว่า อาตมาเป็นคนสัญชาตญาณดี รู้ตัวเร็ว นี่ขนาดรู้ตัวเร็วยังติดอยู่ตั้ง ๓-๔ ปี ถ้าตอนนั้นตายเสียก่อน ก็ไม่ต้องได้ความดีอะไรเลย อย่างเก่งก็ติดอยู่แค่พรหม หลุดพ้นไม่ได้ หรือไม่หลวงพ่อท่านตั้งใจส่งลูกศิษย์แค่ดาวดึงส์ก็พอแล้ว รอพระศรีอริยเมตไตร..เดี๋ยวก็ไปได้

ส่วนที่อาตมาเห็นว่าหลงผิดทางจริง ๆ คือมโนมยิทธินั้น หลวงพ่อท่านสอนให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง แต่ว่าส่วนใหญ่เขาไม่ได้ใช้ตรงนี้กัน เขาเอาไปดูว่าเธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน แทนที่จะละได้ แทนที่รู้แล้วจะรู้จักเข็ด กลับไม่เข็ด ไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ กลายเป็นผูกแน่นยิ่งกว่าเดิม กำลังจะลอยคอเข้าฝั่ง กลายเป็นกอดคอจมน้ำตายทั้งขบวน..!

เท่าที่สังเกตมาเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างนี้ แล้วที่เพี้ยนก็มีอีกเยอะเลย โดนผัวเขาเตะมาหลายคนแล้ว ประเภทไปตู่ว่าเมียเขาในอดีตเป็นเมียตัวเอง ในเมื่อเล็งเห็นโทษตรงนี้อาตมาก็เลยไม่สอนให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ขี้เกียจไปแก้ตอนหลงทาง เพราะในเมื่อสอนแล้วก็ต้องรับผิดชอบ"

เถรี
17-03-2015, 14:25
ถาม : ที่หล่อพระเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ตอนนี้ช่างเขากำลังขัดแต่งอยู่ สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ไม่ต้องอุดเลย ช่างเขายอมติดสายชนวนมาก ๆ หน่อย ทำให้เนื้อทองไหลถึงกันหมด ถ้าติดสายชนวนน้อย ส่วนที่กว้าง ๆ บางทีก็ไหลไม่ถึงกัน แต่คราวนี้การติดสายชนวนมาก ทำให้เสียเวลาตอนขัดแต่ง เพราะต้องเลื่อยออกแล้วขัดให้เรียบ แต่เขายอมเสียเวลา จะได้ไม่ต้องไปปะไปอุดซึ่งยากกว่าหลายเท่า

วันเดียวกัน ฤกษ์เดียวกัน มีอีกองค์หนึ่งหล่อที่ อ.หนองปรือ จ.กาญจนบุรี ปรากฏว่ามีปัญหาตั้งแต่ชิ้นแรกจนถึงชิ้นสุดท้าย ช่างบอกว่าทำไมไม่เหมือนของวัดท่าขนุน ? ต้องบอกว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนยอมไปตากแดดตัวดำปี๋เลยสบายหน่อย ถ้าเจ้าอาวาสนั่งบัญชาการในห้องปรับอากาศก็จะเป็นแบบนั้นแหละ..!

หล่อพระนี่ห้ามอากาศเย็น ต้องร้อนอย่างเดียวเลย องค์โน้นของเขา ตั้งแต่ยกฐานไปเพื่อพอกปูนก็ตกแตก ช่างต้องปั้นให้ใหม่ หล่อเศียรพระก็พรุนเป็นรังผึ้งเลย ต้องปั้นใหม่อีก เล่นเอาช่างเครียดไปหมด พูดง่าย ๆ ว่ามีปัญหาทุกชิ้น แล้ววันที่ ๒๖ ที่หล่อพร้อมกัน ปรากฏว่าปั๊มลมหอยโข่ง ๒ ตัวเสียทั้ง ๒ ตัว เลยต้องรอให้ของวัดท่าขนุนหล่อเสร็จ แล้วยกทีมไปช่วยที่หนองปรือ อาตมาเห็นเป็นเรื่องขำ แต่เจ้าของงานคงเครียดน่าดูเลย

คาดว่าคงจะไม่เข้าใจในเรื่องของการขอบารมีพระท่าน เห็นที่โน่นสร้างสมเด็จองค์ปฐม ที่นี่สร้างสมเด็จองค์ปฐม ก็อยากสร้างบ้าง บางทียังไม่รู้จักมักคุ้นอย่างแท้จริงเลยว่าสมเด็จองค์ปฐมท่านคือใคร

เถรี
17-03-2015, 14:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๙ ฉลองบ้านวิริยบารมีและหล่อพระที่นี่ ใครจะเอาโรงทานมาเลี้ยงก็แจ้งที่ป้ามอยหรือน้องเล็กได้ ตีว่าเอามาเลี้ยงคนสัก ๓๐๐ – ๕๐๐ คน จะได้เฉลี่ย ๆ ไปกินที่ร้านอื่นบ้าง ถ้าเอามาเลี้ยงที ๓,๐๐๐ คน ก็กินกันอยู่ร้านเดียว"

เถรี
17-03-2015, 14:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันหล่อพระ มีใครลืมทองคำไว้ในห้องน้ำบ้าง ? แล้วก็มีกำไลอีก ๑ วง และมีดพับอีก ๑ เล่ม ไม่บอกว่ายี่ห้ออะไรหรอก ไปทวงคืนได้ที่วัด อาตมายังเก็บไว้ให้ แปลกมากเลย..วันงานประกาศตั้ง ๗-๘ รอบ ไม่มีคนมาขอรับคืน ประกาศแล้วว่าต่อให้ตั้งใจถวายหล่อพระ ก็ให้เอาคืนไปก่อนแล้วค่อยมาถวายใหม่ ไม่อย่างนั้นของหายในวัด หรือของหล่นตกอยู่ในวัด ศีลพระท่านบังคับเลยว่าต้องเก็บรักษาไว้ให้โยมจนกว่าเขาจะมาทวงคืน คราวที่แล้วเก็บไว้ ๕ ปี พอดี กว่าเจ้าของจะมาตาม คราวนี้ไม่รู้ว่าต้องเก็บไว้อีกกี่ชาติ..!"

เถรี
17-03-2015, 15:21
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่วันหนึ่งใครไม่รู้เอาไม้เสากุฏิหลวงปู่มั่นมาถวาย อาตมาบอกว่า "ไอ้ห่..แบบนี้ยังไปแคะมาได้..บ้าชัด ๆ" กุฏิเก่าหลวงปู่มั่นยังอุตส่าห์ไปเลื่อยเอามุมเสามา เขาคงเอาไม้นั้นมาเพื่อไว้สร้างพระ

ถ้าญาติโยมสังเกตจะเห็นว่าอาตมาเองไม่เน้นเรื่องส่วนผสม ที่ไม่เน้นเพราะว่าวัตถุมงคลวัดท่าขนุน อาตมาอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ เลยไม่เน้นส่วนผสม แต่ว่าหลายที่จะเน้นเรื่องของส่วนผสมกันมาก

ตอนนี้อาตมากำลังให้เขาออกแบบเหรียญในหลวงรัชกาลที่ ๕ เอาแบบงามสุด ๆ ไปเลย โดยฝีมือช่างที่ปั้นรูปกวนเกษียรสมุทรที่สุวรรณภูมิ จะทำเพื่อหาทุนให้ห้องเรียน มจร.วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ที่กาญจนบุรี ก็แปลว่าจะเป็นทั้งวิหารทานและธรรมทาน เพราะสร้างอาคารด้วย และเป็นทุนการศึกษาด้วย เอาไว้เสร็จแล้วค่อยมาบูชากัน"

เถรี
18-03-2015, 12:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานนี้ (๖ มี.ค. ๕๘) โอนเงินซื้อทองคำแท่งไป ๕.๕ ล้านบาท ปรากฏว่าเป็นเงินที่ตัวเล็ก (พัชรีภรณ์ หยกอุบล) หามาจากกระทู้เปิดให้บูชาวัตถุมงคล ๔ ล้านกว่าบาท เกือบจะพอของงวดนี้เลย"

เถรี
18-03-2015, 13:31
ถาม : ที่เขากำลังฮิตเรื่องหินนำโชค มีผลจริงตามนั้นไหมคะ ?
ตอบ : เป็นเพราะคนอยากใส่จ้ะ เขาเชื่อว่ามีพลังงานบางอย่าง ประเภทตัดเคราะห์ หนุนดวง เสริมโชคลาภให้จึงใส่กันจัง ใส่แล้วรู้สึกสบายใจก็ใส่ไปเถอะ อย่าลืมนึกถึงพระด้วยก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นแทนที่ใจจะเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ไปเกาะหิน เดี๋ยวตายแล้วกลายไปเป็นแมลงอยู่ใต้ก้อนหิน..!

เถรี
18-03-2015, 13:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "อัลปาก้า โบราณเรียกว่า ทองขาว คนจีนเรียกแปะตั๊ง แปลว่า ทองเหลืองสีขาว"

เถรี
18-03-2015, 13:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราถ้าไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไปดูทุกข์ให้เยอะ ๆ ไว้"

เถรี
18-03-2015, 14:03
ถาม : น้อง ๆ ของหนูตอนเด็ก ๆ เวลาเราบอกเขาให้สวดมนต์หรือพาไปทำบุญ เขาก็จะเชื่อฟังยอมทำตาม แต่พอเขาโตขึ้นเริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง บางทีเราบอกเขา เขาก็จะต่อต้าน ไม่ยอมทำ ?
ตอบ : เราทำหน้าที่ของเราก็พอแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรไม่ได้เกี่ยวกับเรา ทำงานไม่ได้แปลว่างานต้องสำเร็จ แต่แปลว่าขอให้ได้ทำ แค่นั้นแหละ ทำเต็มที่ของเราแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เราหว่านเมล็ดพันธุ์เอาไว้ อาจจะอีกหลายชาติกว่าจะงอกเงย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว

เถรี
18-03-2015, 14:23
ถาม : พระอะไรหรือคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อพระเสริม วัดปทุมวนาราม องค์นี้ทำด้วยนิล เป็นพระสำคัญที่ไทยเรายึดมาจากประเทศลาว มีหลวงพ่อพระสุกจมอยู่ในแม่น้ำโขงตรง "เวินพระสุก" หลวงพ่อพระใสอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ส่วนหลวงพ่อพระเสริมท่านทันสมัย มาอยู่วัดปทุมวนารามในกรุงเทพฯ นี่เอง

เถรี
18-03-2015, 14:28
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเป็นปัจเจกชนหรือคะ ?
ตอบ : ท่านไม่สอนคนให้ถึงมรรคผล รู้เองแต่ไม่ได้สอนใคร ส่วนใหญ่สอนแค่เบื้องต้นเท่านั้น เรื่องมรรคเรื่องผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าสอน ท่านก็เลยไม่ยุ่งด้วย ถึงเรียกว่าปัจเจกะ คือรู้เฉพาะตน ไม่ได้สอนคนอื่นให้รู้ตาม

ถาม : พุทธภูมิกับสาวกภูมิละคะ ?
ตอบ : พุทธภูมิคือบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเป็นพระพุทธเจ้า สาวกภูมิคือบุคคลที่ตั้งใจเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ฉะนั้น..พุทธภูมิจะเรียนยากกว่ามาก

ถาม : อย่างไหนที่ไปพระนิพพาน ?
ตอบ : สาวกภูมิจะไปพระนิพพานเร็วหน่อย ส่วนพุทธภูมิก็ต้องรอจนว่าบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละ

เถรี
18-03-2015, 15:05
ถาม : วันที่ไปงานพิธีพุทธาภิเษก พระที่เราห้อยคออยู่ เราไม่ได้เอาเข้าไปพิธีตรงกลางที่ทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล อย่างนี้พระที่ห้อยคอก็ถือว่าทำพิธีพุทธาภิเษกเหมือนกัน หรือว่าไม่ใช่คะ ?
ตอบ : บางงาน "ท่าน" ก็ให้ บางงาน "ท่าน" ก็ไม่ให้ แล้วแต่ "ท่าน" จะสงเคราะห์

เถรี
18-03-2015, 21:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย เทวตาสังยุตต์ เทวดาท่านบอกว่า “คนมีบุตรย่อมรื่นเริงเพราะบุตร คนมีโคย่อมรื่นเริงเพราะโค” พระพุทธเจ้าต้องตรัสใหม่ว่า “คนมีบุตรย่อมทุกข์เพราะบุตร คนมีโคย่อมทุกข์เพราะโค”

ในส่วนของเทวตาสังยุตต์ พรหมสังยุตต์ และมารสังยุตต์ กล่าวถึงเรื่องของพรหม ของเทวดา ของมาร เป็นจำนวนมากมหาศาล ในส่วนของเปตวัตถุ วิมานวัตถุ ก็กล่าวถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว อยู่ในภูมิต่ำบ้าง ภูมิสูงบ้าง แต่เหมือนกับว่านักวิชาการเขาทำเป็นไม่เห็นตรงนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีความเชื่อถือในเรื่องนี้ เวลากล่าวถึงก็อ้างว่าไม่มีในพระไตรปิฎก

เรื่องของภูมิละเอียด ไม่ว่าจะเป็นผี เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ไม่ใช่สิ่งที่จะยืนยันให้แก่คนทั่วไปรู้เห็นได้ ฉะนั้น..แม้แต่ในสมัยพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะพอไปเจอเทวดา นางฟ้า หรือว่าบรรดาเปรต สัตว์นรก ท่านก็ต้องนำข่าวมาแจ้งแก่ญาติของเขาทั้งหลายเหล่านั้น

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า "บุคคลผู้ตั้งใจเจริญอานาปานสติเป็นแสนคน จะยังฌานสี่ให้เกิดสักคนก็แสนยาก บุคคลที่ทรงฌานสี่ได้เป็นแสนคน จะยังทิพจักขุญาณให้เกิดสักคนก็แสนยาก" ก็เลยไม่ใช่ของทั่วไปที่เป็นสาธารณะ ทำให้นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า อะไรที่คนทั่วไปทำไม่ได้อย่าเพิ่งเชื่อ

เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่านักวิชาการส่วนใหญ่ขาดศรัทธา ศรัทธาในที่นี้ ก็คือ ตถาคตโพธิสัทธา ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านรู้แจ้งเห็นจริงในทุกเรื่อง ทรงสอนให้เราเชื่อกรรม ถ้าหากว่าเรามีศรัทธาก็จะเชื่อตามท่าน ไม่อย่างนั้นแทนที่เชื่อกรรมเราก็ไปเชื่อการบวงสรวง การอ้อนวอนขอร้องแทน วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรมว่าทำดีต้องได้ผลดี ทำชั่วต้องได้ผลชั่ว เป็นต้น"

เถรี
18-03-2015, 21:30
"ในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ตั้งใจปฏิบัติสมาธิภาวนา ยังฌานสมาบัติให้เกิด สร้างทิพจักขุญาณอันบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นได้ ไปเห็นนรกสวรรค์ แล้วกล่าวว่าบุคคลผู้ทำความชั่วลงนรกโดยส่วนเดียว บุคคลผู้ทำความดีขึ้นสวรรค์โดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่ ก็คือใครพูดว่าคนทำความชั่วลงนรกทั้งหมด คนทำความดีขึ้นสวรรค์ทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่จริง พระองค์ท่านตรัสว่า

บุคคลผู้ทำความดีในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ถ้าตายแล้วไปดีแน่นอน
บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ตายแล้วไม่แน่ว่าจะไปไม่ดี
บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ตายแล้วไม่แน่ว่าจะไปดี
บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ตายแล้วไปที่ไม่ดีแน่นอน

จะเห็นว่าเราจะไปฟันธงทีเดียวไม่ได้ เพราะมีกรรมเก่ามาบวกด้วย อย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ทำความดีไว้ในอดีต ปัจจุบันทำชั่วทุกเรื่อง ก่อนตายเห็นพระพุทธเจ้าหน่อยเดียว ใจเกาะพระ..ได้ขึ้นไปอยู่ข้างบน ก็แปลว่าทำชั่วไม่แน่ว่าต้องไปชั่ว เพราะในอดีตเคยทำความเอาดีไว้

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงเกิดจากความเชื่อก่อน ต้องมีศรัทธาคือความเชื่อ ถึงจะมาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม"

เถรี
20-03-2015, 09:58
ถาม : มีเพื่อนคนหนึ่งค่ะ ของหายหมด ?
ตอบ : บอกเขาให้ไปปล่อยนก การปล่อยนกมีอานิสงส์พิเศษช่วยในเรื่องของที่จะหายได้ ถ้าอาตมาไปวัดเชียงมั่นเมื่อไรก็จะไปปล่อยนก แถวนั้นมีนกเขาเยอะ ไปขู่คนขายว่าจะซื้อมากิน ให้ขายถูก ๆ หน่อย ...(หัวเราะ)...

เถรี
20-03-2015, 10:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๙ มีนาคมนี้ ถ้าใครว่างก็มาฉลองบ้านวิริยบารมีแล้วหล่อพระด้วยกัน ปกติก็ทำบุญเลี้ยงพระฉลองบ้านเฉย ๆ แต่ปรากฏว่าปีนี้จะหล่อพระเงินถวายกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพราะพระองค์ท่านเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษาแล้ว ก็เป็นงานที่เพิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

ลำบากที่ช่างไม่ได้ลำบากที่อาตมา ช่างเขาต้องขนเครื่องไม้เครื่องมือมาเตรียมหล่อพระที่นี่ คาดว่าบวงสรวงตอนเช้าเสร็จก็จะเริ่มได้เลย หล่อในสวนข้างล่าง ต้นไม้น่าจะแห้งตายหลายต้นเลยเพราะไฟร้อนมาก หล่อด้วยเงินทั้งองค์ มีโยมเขาถวายเงินมาแท่งหนึ่ง หนัก ๑ กิโลกรัม อาตมาเองซื้อเม็ดเงินนอกไปแล้ว ๕๐ กิโลกรัม ใครถวายเงินรูปพรรณ เงินแท่ง หรือเม็ดเงินมา ถือว่ามีส่วนบุญอยู่ในเม็ดเงินนอก ๕๐ กิโลกรัมนั้นด้วย ส่วนที่ถวายมาอาตมาขอนำไปทำอย่างอื่น ที่ต้องใช้เม็ดเงินนอกล้วน ๆ เพื่อให้งานออกมาสวยที่สุด"

เถรี
20-03-2015, 11:23
ถาม : ได้ยินว่าถ้าสวดมนต์ในบ้าน แล้วจะมีเทวดามาสวดมนต์ด้วย จริงหรือไม่คะ ?
ตอบ : จริงบ้างไม่จริงบ้าง เพราะถ้าเทวดาในเขตนั้นท่านเป็นสัมมาทิฐิ สนใจในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนา ท่านก็ยินดีด้วย แล้วถ้าท่านชอบสวดมนต์ท่านจะมาสวดด้วย แต่ถ้าท่านที่ไม่ได้เป็นสัมมาทิฐิอย่างหนึ่ง หรือว่าท่านไม่ได้ชอบสวดมนต์ เอาสบายคอยโมทนาอย่างเดียว ท่านก็ไม่มาหรอก เป็นเรื่องเฉพาะสถานที่ ไม่ใช่ทุกที่

ถาม : แล้วเวลาท่านสวดมนต์ ท่านเอากายทิพย์มาสวดด้วยเลย หรืออยู่ข้างนอก ?
ตอบ : บางท่านก็ลงมานั่งสวดมนต์ด้วย บางท่านก็อาศัยผ่านตัวเรา ทำให้เรารู้สึกว่า เอ๊ะ..ทำไมสวดมนต์สนุกสนาน ไม่อยากเลิกสักที ส่วนบางท่านก็อยู่ข้างบน เอ็งสวดข้าก็สวดด้วย

ถาม : ท่านรู้เนื้อหาในบทสวดด้วยความเป็นทิพย์หรือเปล่า ?
ตอบ : ท่านแปลได้หมด ส่วนเราเองต่างหากที่แปลไม่ออก

ถาม : แล้วท่านจะมาตอนเที่ยงคืนหรือมาไม่เป็นเวลา ?
ตอบ : เรื่องของพรหมเทวดา ส่วนใหญ่ท่านจะมาก็หลังจากที่จิตมนุษย์เราฟุ้งซ่านน้อยแล้ว ก็ประมาณหลังเที่ยงคืน เพราะถ้าฟุ้งซ่านมาก ๆ ท่านสู้กระแสไม่ไหว ท่านก็ไม่มา

ถาม : ที่ว่าบทมหาสมัยสูตรไม่ควรสวดที่บ้าน ไม่เหมาะกับเทวดา เพราะบ้านรก ?
ตอบ : ที่ไหนก็สวดได้

เถรี
20-03-2015, 11:25
ถาม : หนูเป็นผู้หญิง ถ้าแขวนพระเครื่องไว้แล้วไม่สวยงาม จะใช้วิธีใส่กระเป๋าถือไว้ ทำได้เหมือนกันไหมคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่ว่าอย่าเผลอวางให้ใครหยิบไป หรืออย่าเผลอเดินข้ามกระเป๋า ก็เหมือนกับเหน็บปืนติดเอวกับเอาปืนใส่กระเป๋านั่นแหละ

เถรี
20-03-2015, 11:35
ถาม : หนูมีตะกรุดมหาสะท้อนแต่ไม่กล้าพก เพราะมีคนบอกว่าถ้าเราคิดไม่ดีแล้ว จะมีผล ?
ตอบ : ตะกรุดมหาสะท้อนไม่มีอะไรที่ให้ผลร้ายแก่ตัวเรา สิ่งที่ดีหรือร้ายนั้นมีผลกับคนอื่น คือถ้าใครทำดีกับเราความดีจะย้อนตอบไปหลายเท่า ถ้าใครทำไม่ดีกับเรา ส่วนไม่ดีก็ย้อนตอบไปหลายเท่า ถ้าพกเพราะกลัวว่าจะเป็นโทษแก่ตัวเองนี่ไม่ต้องกลัว มีแต่เป็นโทษหรือเป็นคุณกับคนอื่น ก็ต้องแล้วแต่ว่าเขาคิดดีหรือไม่ดีกับเรา

เรื่องของตะกรุดมหาสะท้อน อาตมายืนยันว่าตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงระบุว่าต้องเป็นทองคำ นาก หรือเงิน หนักอย่างน้อย ๑ บาท ถ้าหากว่าหนักไม่ถึงก็ไม่มีผล แต่คราวนี้มีอีกวิธีหนึ่งไม่ต้องทองคำ นากหรือเงิน ก็คือภาวนาคาถาแทน ถ้ากำลังใจทรงตัวก็เป็นมหาสะท้อนเหมือนกัน

เถรี
20-03-2015, 11:47
มีผู้สูงอายุมาถวายสังฆทานแล้วลุกลำบาก "เอ้า..ช่วยกันประคองหน่อย พอดูเสร็จก็ต้องคิดต่อว่า “เดี๋ยวเราก็เป็นอย่างนี้แหละ จะอยู่ถึงเป็นอย่างนี้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”

เถรี
20-03-2015, 12:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านเจ้าคุณแย้ม (พระราชวิริยาลังการ) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ต้องบอกว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งวาสนาแข่งไม่ได้ เพราะว่าก่อนหน้านี้วัดไร่ขิงนอกจากหลวงพ่ออุบาลีคุณูปมาจารย์แล้ว มือวางอันดับหนึ่งก็คือท่านเจ้าคุณเมธีธรรมานันท์ เพราะว่าท่านเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค แล้วจบด็อกเตอร์รุ่นแรก ๆ เลยจากอินเดีย ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณเมธีธรรมานันท์ไปต้องอธิกรณ์มัวหมองเข้า ท่านก็โดนดองไปโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นรุ่นเดียวกับหลวงพ่อพระพรหมดิลก วัดสามพระยา

คราวนี้พอใกล้ที่จะสิ้นหลวงพ่อเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเจ้าคุณแย้มก็ยังมีคู่แข่งคือท่านเจ้าคุณรวม (พระรัตนมุนี) แล้วท่านเจ้าคุณรวมเด่นกว่าเยอะ เพราะว่าเป็นนักเทศน์ เป็นโฆษกฝีปากกล้า พูดง่าย ๆ ว่าคะแนนนิยมเพียบ ท่านเจ้าคุณรวมจับไมค์พูดเข้าที่ไหน ต่อให้คนประเภทเสือยิ้มยากก็เฮ คะแนนนิยมท่านสูง แต่ปรากฏว่าถึงเวลาผู้บังคับบัญชาเลือกท่านเจ้าคุณแย้มเป็นเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เพราะท่านเจ้าคุณแย้มเป็นคนเปิดเผยแบบนักเลงบ้านนอก ตรงไปตรงมา ต้องบอกว่าความดีของท่านมีอยู่ตรงนี้เอง เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา รักใครรักจริง ผู้บังคับบัญชาเลยชอบใจ

เมื่อครู่ท่านโทรศัพท์มาถามอาตมาอยู่วัดไหม ? ตอนนี้ท่านอยู่หน้าวัดท่าขนุน ถ้าอยู่จะแวะเข้าไปหา แล้วบอกว่าอย่าบอกพระเณรออกมารับนะ ขอถ่ายรูปก็พอ อาตมาถามว่า “แล้วไม่เข้าไปดูข้างในหรือครับ ?” ท่านบอก “เดี๋ยวดูก่อน..เข้าไปเดี๋ยวคนจำได้”

ทุกวันนี้ท่านแบกภาระของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดไร่ขิง ด้วยการรับภาระค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งประมาณสี่แสนบาท ก็คือค่าบริหาร ค่าเงินเดือนบุคลากร ค่าเงินเดือนอาจารย์พวกนั้น ถ้ารวมค่าน้ำค่าไฟด้วยน่าจะเกิน บางที่พวกเราก็ขำ ๆ เจ้าคุณอาจารย์เอาเงินที่ไหนมาเยอะแยะ ท่านบอกว่า “กูมีที่ไหนเล่า เงินหลวงพ่อวัดไร่ขิงท่านทั้งนั้น” อยากได้อะไรจุดธูปบอกหลวงพ่อวัดไร่ขิงอย่างเดียว"

เถรี
21-03-2015, 16:24
ถาม : จะขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลเป็นยันต์เกราะเพชร ...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : เพื่อหาทุนสร้างสำนักใช่ไหม ? ทำได้เลย อาตมาไม่ได้ว่าอะไร ยันต์เกราะเพชรเป็นตำราของพระร่วง สืบสายมาทางหลวงปู่ปาน หลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็จุดธูปบอกท่านด้วยแล้วกัน

ถาม : จะนิมนต์พระอาจารย์ไป ?
ตอบ : ดูก่อนว่าช่วงนั้นสะดวกไหม ? ต้องแบ่งรับแบ่งสู้ก่อน ถ้าสะดวกถึงจะไป

เถรี
21-03-2015, 18:43
ถาม : ลูกแก้วที่หลวงพ่อแจกในงานสวดพระคาถาเงินล้าน มีวิธีใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ :ใช้อย่างไรก็ได้ อย่าเอาไปดีดเล่นก็แล้วกัน..! เขาเรียกว่า "ลูกแก้วสารพัดนึก" เพราะฉะนั้น..อยากใช้ก็นึกเอา วิธีที่ดีที่สุดก็คือภาวนาพระคาถาเงินล้านไปก่อน ยิ่งมากจบก็ยิ่งดี แล้วอธิษฐานเอาตามอัธยาศัย

เถรี
21-03-2015, 19:00
มีโยมถวายปัจจัยใส่ซองมา "ใครจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินหน้าตัก ๑๖ นิ้ว มาเอาคืนไปเลย อาตมาสร้างแค่ ๙.๙ นิ้วเท่านั้น และโปรดทราบ...อาตมาย้ำแล้วย้ำอีกว่าสร้างถวายกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังมีหลายคนเข้าใจว่าสร้างเพื่อน้อมเกล้าฯถวายพระองค์ท่าน นี่พูดชัดเจนขนาดนี้แล้วนะ

ใครเป็นเจ้าของเงินมารับคืนไปเลย ที่ทำบุญมาใหญ่เกินไปหลายนิ้วเลย พอ ๆ กับที่ร่วมสร้างพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก คุณไปสร้างเองเถอะ..! รู้หรือเปล่าว่าพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอกใช้ทองกี่พันตัน ?"

เถรี
21-03-2015, 19:26
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ บางทีชาวบ้านเรียกหลวงปู่เจ๊ก ท่านปิดจริยา ปิดความสามารถตัวเอง แบกไหน้ำตาลเมา เดินหัวทิ่มทุกวัน แต่ก็มีคนรู้ว่าหลวงปู่จ้อยวิชาดี จึงตามตื๊อขอเรียนวิชากับหลวงปู่ ท่านปีนหนีไปที่คอระฆังบนพระปฐมเจดีย์ (ก่อนถึงปล้องไฉน) ไอ้บ้านั่นก็ปีนตามไปตื๊อขอเรียนวิชา สูงจากพื้นเกือบร้อยเมตร..!

หลวงปู่จ้อยถามว่า "อยากเรียนจริงใช่ไหม ?" ก็ตอบว่าจริง "กูบอกอะไรจะเชื่อใช่ไหม ?" "เชื่อ" "ถ้าอย่างนั้นมึงโดดลงไปเลย" เจ้านั่นโดดจริง ๆ โดดลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างล่าง เขาคงมั่นใจว่าหลวงปู่บอกให้โดดคงไม่เป็นไร แล้วก็ไม่เป็นอะไรจริง ๆ เพราะพระอย่างหลวงปู่ท่านแค่คิดก็เป็นอย่างที่ท่านต้องการแล้ว

ทางคณะสงฆ์ส่งพระสังฆาธิการจากกรุงเทพไป ๒ รูป ไปสอบสวนหลวงปู่จ้อย ข้อหาผิดพระวินัยเป็นอาจิณ เพราะว่าดื่มเครื่องดองของเมา ไปถึงเจอหลวงปู่จ้อยห่มดองพาดสังฆาฎิเป็นอย่างดี นั่งรออยู่
"พระเดชพระคุณมีธุระอะไรครับ ? นิมนต์ฉันน้ำก่อน" จัดแจงรินน้ำชาให้ ฉันน้ำเสร็จเขาก็แจ้งว่า ทางกรุงเทพฯ ส่งมาสอบสวนว่าท่านดื่มสุราเป็นอาจิณ ถ้ามีความผิดจริงก็โทษถึงจับสึก หลวงปู่จ้อยบอกว่า "ถ้าผมต้องสึก พระเดชพระคุณสองท่านก็ต้องสึกด้วย" ถามว่าทำไม ? "ก็ท่านเพิ่งจะดื่มสุราลงไป" สองท่านตกใจหยิบแก้วขึ้นมาดม น้ำชากลายเป็นเหล้าหมดเลย พอรู้อย่างนั้นก็ก้มกราบ..ลาเลย รู้ว่าท่านแกล้งเมา สมัยนั้นไม่ได้มีมือถือ ไม่ได้มีไลน์ พระจากกรุงเทพฯ จะไปสอบสวนท่าน หลวงปู่รู้ได้อย่างไรถึงแต่งตัวนั่งรอ

แบบเดียวกับสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ไปเยี่ยมหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว คุยธุระปะปังเสร็จ หลวงปู่บุญทูลว่า "นิมนต์ท่านเจ้าพระคุณกลับเถิดครับ พายุมา ต้นไม้ล้มทับกุฏิ หลังคากระเบื้องแตกไป ๑๑ แผ่น" อยู่นครปฐมนะ แล้วพระตำหนักท่านอยู่วัดโพธิ์ กลับมาเห็นต้นไม้ล้มทับจริง ๆ บอกลูกศิษย์ปีนขึ้นไปดู กระเบื้องแตกไป ๑๑ แผ่น ตรงเป๊ะเลย"

เถรี
21-03-2015, 19:48
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่รุ่งท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นพี่ของหลวงพ่อเดิม เป็นลูกผู้พี่ แม่ท่านเป็นพี่สาวแม่ของหลวงพ่อเดิม หลวงปู่รุ่งบวชก่อน ๑๑ พรรษา ท่านก็ไปศึกษากับหลวงปู่เทศ วัดสระทะเลก่อน ได้วิชาอะไรมาท่านก็มาลองเรื่อย หลวงพ่อเดิมไปศึกษามายังไม่ได้ลอง จึงต้องไปศึกษากับหลวงปู่รุ่งก่อนว่าหลวงปู่รุ่งทำอะไรไปบ้าง

พอเห็นหลวงปู่รุ่งฝังตะกรุดที่สันมีดหมอ หลวงพ่อเดิมก็เลยเปลี่ยนไปฝังที่ด้าม จะได้ไม่ซ้ำกัน ตะกรุดท่านม้วนเสร็จก็เอากั่นยัดเข้าไป บางชุดถ้าตรงกับวันพระใหญ่ปลงผม ก็มีเกศาของท่านบรรจุด้วย

สมัยนั้นพระเกจิอาจารย์ดัง ๆ ก็มีหลวงพ่อขัน วัดเขาแก้ว แล้วก็พ่อเทศ วัดสระทะเล หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง การเรียนวิชาของท่านเหล่านี้ท่านก็วนเวียนอยู่แถวนั้น หลวงปู่เทศเรียนวิชาทำมีดหมอจากหลวงพ่อขัน วัดเขาแก้ว พอทางวัดเขาแก้วสืบสายวิชาต่อไม่ได้ หลวงพ่อกันก็ไปเรียนกลับมาจากหลวงพ่อเดิมอีกที เป็นงูกินหาง สมัยก่อนเขาไม่หวงวิชา รู้อะไรก็แลกเปลี่ยนกัน

หลวงพ่อเดิมท่านดังมากกว่าเพราะว่านอกจากฝีมือแล้ว วัดท่านยังอยู่ข้างสถานีรถไฟ คนไปมาง่าย ลงสถานีรถไฟเดินหน่อยเดียวก็เข้าวัดแล้ว ส่วนหลวงปู่รุ่งพาชาวบ้านย้ายไปหนองสีนวล เดินป่าไปเป็นวันเลย ท่านก็เลยดังสู้น้องชายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นรุ่นพี่ เรียนวิชามาก่อน ทำสำเร็จมาก่อน"

เถรี
21-03-2015, 20:24
"อาตมาไม่มีอารมณ์ไปทำเบี้ยแก้ โดยเฉพาะเบี้ยแก้นี่ทำอย่างไรก็ไม่ดัง เพราะของดังจริงก็หลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หรือไม่ก็หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ หลวงพ่อม่วง วัดคฤหบดี โดยเฉพาะหลวงพ่อม่วง ใครไปขอเบี้ยแก้เตรียมหัวแตกได้เลย พอออกมาก็จะมีคนถามว่า "ไปขอของดีหลวงพ่อมาใช่ไหม ?" "ใช่" "ได้มาบ้างหรือเปล่า ?" "ได้" "ขอลองหน่อยเถอะ" ...(หัวเราะ)... คมแฝกหวดเลย เล่นกันตรงนั้นเลย

โดนตีร่วงทั้งยืน ลุกขึ้นมาไม่เป็นอะไร บางทีโดนแทงโดนฟัน ผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ไม่เป็นอะไร คนแทงยังหัวเราะ "หลวงพ่อเรายังแน่เหมือนเดิม" ให้ของดีไปเจอลูกศิษย์ตามลองเลย"

เถรี
21-03-2015, 20:29
ถาม : นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่คิดอย่างนี้อีก ต้องใช้การฝึกจิตอย่างเดียวเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสติเท่าทันก็จะไม่คิด ก็คือทันทีที่จะคิด สติระลึกรู้จะเตือนว่า สิ่งที่เราคิดนี้ดีหรือชั่วอย่างไร คิดแล้วเป็นโทษอย่างไร เป็นประโยชน์อย่างไร ถ้าหากมีในด้านที่เป็นประโยชน์ก็คิดในด้านที่เป็นประโยชน์ ถ้าคิดแล้วเป็นโทษก็ตัดทิ้งเลย ก็คือไม่สร้างตั้งแต่เหตุ ในเมื่อไม่สร้างเหตุที่ไม่ดี ผลที่ไม่ดีก็ไม่เกิดขึ้น

เถรี
22-03-2015, 12:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๘ นี้ นอกจากมีงานฉลองบ้านวิริยบารมีแล้ว ยังมีงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน หน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ไม่ใช่หน้าตัก ๑๖ นิ้วอย่างที่บางคนเขียนมา และหล่อเพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ไม่ใช่หล่อแล้วยกไปน้อมเกล้า ฯ ถวายพระองค์ท่านอย่างที่บางคนเข้าใจ

อาตมาไม่ค่อยเข้าใกล้เชื้อพระวงศ์ เพราะรู้สึกว่าหมือนกับตั้งใจไป "โหน" พระองค์ท่าน มีคนชวนเข้าวังหลายรอบแล้วก็ไม่ไป ที่พระองค์ท่านพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักรผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาให้ ก็ถือว่าพบกันตามหน้าที่ แต่อย่างบางคนที่ตะเกียกตะกายดิ้นรนเพื่อให้ได้เข้าหาพระองค์ท่าน อาตมาไม่ทำ"

เถรี
22-03-2015, 13:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "กระทู้บูชาวัตถุมงคล ใครผิดกติกา คุณพัชรีภรณ์ (ตัวเล็ก) ตัดสิทธิ์เลย เสียดายที่หลายคนมาผิดตอนโอนเงิน ถ้าผิดตอนจองนี่จะตัดสิทธิ์ให้ร้องจ๊ากไปเลย..!"

เถรี
22-03-2015, 13:23
พระอาจารย์กล่าวที่ว่า "ท่านใดที่ร่วมสร้างพระพุทธรูปทองคำ ด้านหลัง (ที่บ้านวิริยบารมี) มีตะกรุดยันต์มหาเศรษฐีเงินล้านอยู่ ยังไม่ได้ม้วน ใส่กล่องไว้อย่างสวยเลย ปกติชมรมโมทนาบุญพลังจิตเอามาให้ร่วมบูชา ดอกละ ๕๐๐ บาท อาตมาได้มาฟรี ๆ ก็เลยให้บูชาแค่ ๑๐๐ บาท เอาเงินไปร่วมซื้อทองคำหล่อพระ ซึ่งวันนี้ก็ซื้อไปแล้ว ๔.๕ กิโลกรัม"

เถรี
22-03-2015, 13:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อพระพุทธชินราชมหาลาภในวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งใจสร้างหน้าตัก ๘ ศอก แต่เนื่องจากทำซุ้มแบบพระพุทธชินราชด้วย ช่างเขาคำนวณแล้วปั้นให้ถึง ๘ ศอกไม่ได้ ก็เลยลดขนาดลงมาหน่อยหนึ่ง

พอเขาปั้นปูนเสร็จ หลวงพ่อท่านก็เสกคำข้าว เอาไปทาเสียทั่วเลย จึงเป็นสมเด็จคำข้าวองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าหากว่าใครได้ไปก็ไปขอลาภขอพรกับท่านได้ อาตมาไปก็ไม่ขอมากหรอก ขอแค่ถ้าทำงานอะไรก็ขออย่าให้ติดขัด แค่นี้ก็ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว"

เถรี
22-03-2015, 13:52
ถาม : ถ้าเราทำงานร่วมกับคนอื่นแล้ว เขาด่าเราเช้าเย็น จับผิดเราตลอดเวลา เราควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ช่างโคตรพ่อโคตรแม่มัน..!

ถาม : เขาจ้องทุกอิริยาบถ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ คนเราถ้าเขาจับผิด แปลว่าเราต้องมีดี ในเมื่อเรามีดีจะต้องไปแยแสอะไร เขาไม่มีคุณค่าพอที่จะให้เราโกรธด้วยซ้ำไป ถ้าคิดแบบคนมีกิเลสก็ "เอ็งไม่มีราคาพอที่จะให้ข้าโกรธหรอก" ว่าแล้วก็สะบัดตูดไปเลย..!

ถาม : เขาเป็นหัวหน้างานเรา ต้องตรวจสอบเรา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องมีผลงานที่โดดเด่นไปเลย อย่างอาตมาถึงเวลาก็ท้าเจ้านายเลยว่า "แน่จริงก็ไล่ผมออกสิ" ไม่เห็นกล้าไล่สักคน เพราะถ้าไม่มีอาตมางานก็ไปไม่ได้

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า ถ้าใครคิดว่าขาดตัวเองไปแล้วหน่วยงานไปไม่ได้ ถ้าเป็นท่านจะฆ่าทิ้งเลย คนประเภทนี้ถ้าไม่ใช่เก่งเกินก็จะทำให้งานแย่ไปเลย แต่สำหรับอาตมาบังเอิญว่าทำงานเก่งกว่าชาวบ้านเขา ทำงานเก่งจนเจ้านายต้องง้อ "ถ้าหากว่าคุณทำผิดท่าผิดทาง แล้วผมไปเอง คุณนั่นแหละที่จะเดือดร้อน"

เถรี
22-03-2015, 14:22
ถาม : สังฆทานที่เวียน ทางวัดเขาออกมาขายให้ทางตลาดได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าท่านจำหน่ายแล้วเอาเงินไปใช้ในกิจการของวัด เป็นส่วนของสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ก็สามารถจำหน่ายได้ แต่ควรที่จะโปร่งใส ไม่ใช่งุบงิบจำหน่ายกันเอง แต่ถ้าจำหน่ายแล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ก็ไม่เหมาะไม่ควรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เกิดโทษแก่ท่านเอง เราไม่ต้องไปกังวลแทนท่านหรอก

เถรี
22-03-2015, 14:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า เงินที่บริจาคมาก็ดี บูชาวัตถุมงคลหรือประมูลวัตถุมงคลก็ดี เพื่อร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ อาตมาซื้อทองคำแท่งไปแล้วทั้งหมด ๒๓ ล้านบาทเศษ เฉพาะที่เป็นเงินสดซื้อทองคำแท่ง ไม่ใช่ทองคำที่โยมถวายมา ซื้อราคาแพงที่สุดตอนราคา ๒๓,๐๐๐ กว่าบาท และซื้อต่ำที่สุดตอน ๑๘,๑๐๐ บาท และจะรอเมื่อลงมาถึง ๑๗,๙๐๐ บาท แล้วจะซื้ออีกที

แล้วที่อนาถมากก็คือตั้งแต่ซื้อทองคำแท่งมา ๒๐ กว่าล้านบาท ลืมลงบัญชีรับจ่ายประจำเดือน ลงอยู่แต่ในบัญชีสร้างพระพุทธรูปทองคำ..!"

เถรี
22-03-2015, 14:40
"อาตมากำลังวางแผนอยู่ว่า ถ้าสร้างพระพุทธรูปทองคำเสร็จแล้ว จะมีงานแห่สมโภชทุกปี กำลังมองว่าจะเป็นช่วงมาฆบูชาหรือเป็นช่วงลอยกระทงดี ปกติมาฆบูชาทางวัดมีกิจกรรมเกือบจะเต็มทั้งวันอยู่แล้ว อาจจะต้องเป็นช่วงลอยกระทง เพิ่มกิจกรรมในลักษณะของงานประจำปีไปเลย แห่รอบตลาดแล้วก็วนกลับวัด เอาไปอวดให้คนอื่นเขาปล้น..!

ไปนึกถึงที่เขาขโมยมหาพิชัยมงกุฎที่ในหลวงรัชกาลที่ ๔ มอบให้ที่พิพิธภัณฑ์ของฝรั่งเศส วัดท่าขนุนไม่ได้ป้องกันแข็งแรงขนาดนั้น ถ้าเขาจะเอาก็คงจะได้ แต่อยากจะรู้ว่าเขาจะยกไปอย่างไร ? พระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้ว ถ้าไม่แข็งแรงจริง ๆ ยกไม่ไหวหรอก"


ถาม : ทั้งหมดต้องใช้ทองกี่กิโลกรัม ?
ตอบ : ต้องรอจนแต่งเสร็จแล้วว่าจะเหลือกี่กิโลกรัม แต่จากที่ช่างคำนวณว่าใช้ทองคำ ๔๐ กิโลกรัม อาตมาต้องหาให้เกินไปเท่าตัว เผื่อเอาไว้เป็นชนวนที่ไหลออก แล้วค่อยเอามาสร้างเป็นเครื่องทรงแทน

เถรี
23-03-2015, 13:45
ถาม : ตอนผมไปสมัครงาน เกิดอุปสรรคเยอะมาก อย่างเช่น หาที่ตั้งโรงงานไม่เจอ ระหว่างรอสัมภาษณ์ก็ไฟดับอีก อย่างนี้เป็นลางร้ายที่พระท่านเตือนหรือว่าเจ้ากรรมนายเวรขวางครับ ?
ตอบ : เขาแค่อยากรู้ว่าคุณจะเอางานจริงหรือเปล่า ? ถ้าเอาจริงก็ต้องตะเกียกตะกายไปจนได้

เถรี
23-03-2015, 13:50
ถาม : หลวงพ่อเคยบอกผมว่า “เอ็งมันรู้เยอะเกินไป การรู้เยอะเกินไปมักจะไม่ได้เรื่อง ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านบอกแค่ไหนก็ทำแค่นั้น” ทีนี้ผมถามหลวงพ่อว่า มีวิธีละสงสัยโดยแกล้งทำเป็นไม่ได้รู้เยอะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ดีเหมือนกันนะ อาตมาก็อยากได้วิธีนี้เหมือนกัน โบราณเขาเรียกว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” ลักษณะเหมือนอย่างกับน้ำล้นแก้ว เติมอะไรลงไปก็ล้นทิ้งหมด ฉะนั้น..คุณแค่ทำตัวเป็นแค่แก้วเปล่าเท่านั้นก็หมดเรื่อง บอกอะไรก็ทำอย่างนั้น อย่างอื่นกองเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาทำจนไม่มีอะไรจะทำ แล้วค่อยไปงัดของเก่าขึ้นมาทำใหม่

ทุกวันนี้อาตมาพกความรู้เต็มสมองแต่กองเอาไว้ จะใช้แล้วค่อยงัดขึ้นมา ญาติโยมบางทีก็ถามว่าจำอะไรได้มากมายขนาดนั้น ก็ไม่ได้จำหรอก ถึงเวลาก็เก็บเข้าลิ้นชักไว้ จะใช้แล้วค่อยดึงออกมา แบ่งเป็นไฟล์ แยกเป็นโฟล์เดอร์ แล้วเซฟเก็บไว้ ถึงเวลาค่อยเสิร์ชหาเอา

ถาม : ของผมมีปัญหาตรงตอนเสิร์ชนี่แหละครับ ว่าทำอย่างไรจะค้นได้เร็ว ๆ ?
ตอบ : สมาธิต้องดี ถ้าสมาธิดีหน่อยก็จะค้นได้เร็ว

เถรี
23-03-2015, 13:58
ถาม : หลวงพ่อเคยได้ยินวัตถุอาถรรพ์ที่เรียกว่าไม้...(ไม่ชัด)..
ตอบ : รู้จักแต่ไม้แย้กอด ไม้ชนิดนี้แปลกมากตรงที่มีสารอะไรบางอย่างที่พวกจิ้งจกตุ๊กแกจะชอบมาก ถ้าเจอนี่จะกอดติดหนับเลย บางคนเรียกไม้แหย่แย้ ถึงเวลาเอาไม้แหย่ลงไปในรู แย้จะกอดติดให้เราดึงออกมาปิ้งได้เลย

ถาม : ถ้าพกติดตัวจะมีอานุภาพอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเจอแย้ก็กระโดดกอดเลย ไม้แหย่แย้จะมีลักษณะเหมือนกับมีกาบหุ้มข้อเป็นเกล็ด ๆ ถ้าไม่มีไม่ใช่หรอก เด็กบ้านนอกอยากได้มากเลย ไม่ต้องหากับข้าวนาน ถึงเวลาแหย่ลงรูแย้ ไม่ต้องขุดหรอก แย้กอดเราก็ดึงออกมาเลย รุ่นอาตมาใช้เบ็ดราวยาวสัก ๒๐ - ๓๐ ตัว ถึงเวลาเกี่ยวข้าวตอกแล้วก็ทิ้งไว้เรี่ย ๆ ดิน พอโดนลมพัดข้าวตอกก็ส่ายดุ๊กดิ๊ก ๆ แย้ก็จะวิ่งไปงับแล้วก็ติดเบ็ด พอติดเบ็ดก็จะดึง พอยิ่งดึงก็ยิ่งเขย่า ตัวอื่นก็คิดว่าข้าวตอกเป็นแมลงก็ไล่งับกันใหญ่ เรื่องบาปเรื่องกรรมนี่ขอให้บอกเถอะ สมัยเด็ก ๆ อาตมาทำไว้เยอะ

ที่เล่าให้ฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่า พอถึงเวลามาปฏิบัติแล้วก็ทิ้งหมดทุกอย่างเลย สารพัดการล่านี่ต้องบอกว่าเป็นนักฆ่าโดยสายเลือด ขนาดลุยน้ำลึกถึงเอวลงตกปลายังได้กินเลย ปกติคนลงน้ำปลาจะต้องหนีหมด เพราะว่าผู้ใหญ่เขาเลือกทำเลดี ๆ บนฝั่งไปหมด อาตมาไม่มีที่ มองซ้ายมองขวา ท้ายสุดลุยไปตกกลางน้ำยังอุตส่าห์ได้อีก ที่อาตมาป่วยอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องปาณาติบาต สะสมมาชาติแล้วชาติเล่านี่แหละ

ไม้แหย่แย้ ไม้แย้กอด แล้วแต่จะเรียกกัน เป็นพืชกึ่งล้มลุก ก็คือ กิ่งจะแผ่ออกกึ่ง ๆ เลื้อย หักเอามาสักเรียวหนึ่ง ที่กะว่าพอ ๆ กับรูแย้ ยาวประมาณศอกหนึ่งแล้วแหย่เข้าไป ถ้าเอาเหน็บฝาบ้านไว้จิ้งจกตุ๊กแกจะมาล้อมเลย ไม่รู้ว่ามีกลิ่นอะไรที่พวกนี้ชอบ พอ ๆ กับเด็กบ้านนอกจะรู้วิธีเรียกจิ้งจก เอาใบตองแตก ๆ มาเหน็บข้างฝาไว้เดี๋ยวจิ้งจกก็มา

เถรี
23-03-2015, 14:32
ถาม : วิธีการต่อสีผึ้ง ?
ตอบ : เอาของเก่าโปะหน้าของใหม่ แล้วเอาไปวางผึ่งแดด แต่เห็นเดี๋ยวนี้บางคนเอาใส่ไมโครเวฟเลย ถ้าใส่ไมโครเวฟโปรดระวังภาชนะอาจจะเปลี่ยนรูปได้

เถรี
23-03-2015, 14:36
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้องเริ่มจากศรัทธาก่อน คราวนี้ในเรื่องของศรัทธาก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคลอยู่ดี สำนักของคุณต่อให้แย่แค่ไหน ถ้าตัวบุคคลเป็นที่ศรัทธาเขาก็จะไปกันเอง”

เถรี
23-03-2015, 15:21
ถาม : ขออนุญาตถามเรื่องการทำทานแล้วมีอานิสงส์มาก ระหว่างสิ่งที่ให้มีจำนวนมากหรือจำนวนน้อย ถ้าหากว่าผู้ให้มีความตั้งใจสูงแต่ของมีจำนวนน้อย กับผู้ให้มีความตั้งใจต่ำแต่ว่าของนั้นมีจำนวนมาก อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันครับ ?
ตอบ : ในพระบาลีท่านใช้คำว่า ลูขัง วา ปะณีตัง วา สิ่งของจะหยาบหรือประณีตก็ตาม ขอให้ได้มาโดยบริสุทธิ์ ถ้าได้มาโดยบริสุทธิ์ เป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ อานิสงส์ย่อมได้เต็มร้อยส่วน เพราะฉะนั้น..จึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ว่ามากหรือน้อย แต่สำคัญว่าต้องได้มาโดยบริสุทธิ์

ในส่วนของวัตถุทาน ส่วนใหญ่แล้วอานิสงส์ก็คือจะมั่งมีในทรัพย์สินเงินทองในกาลข้างหน้า ดังนั้น..ผู้ที่มีวัตถุทานที่บริสุทธิ์ ถ้าให้ในจำนวนที่มากกว่าก็จะเป็นคนรวย แต่จะมีทรัพย์สินมากกว่า อย่างเช่นว่า ถ้ามหาเศรษฐีมีทรัพย์สิน ๘๐ โกฏิ บุคคลที่ให้มากกว่าก็อาจจะมี ๑๒๐ โกฏิ ๒๐๐ โกฏิ มากกว่าคนอื่นเขา แต่เป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน

เถรี
23-03-2015, 15:30
ถาม : เวลาให้พร พระท่านจะบอกว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละ หรือ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง การลำดับความสำคัญเป็นอย่างนั้นเลยหรือไม่ครับ คืออายุสำคัญมาก พละสำคัญน้อยที่สุด ?
ตอบ : ที่ว่ามานั้นคิดฟุ้งซ่านจนเกินไป เพียงแต่ว่า ๔ สิ่งนั้นเป็นของที่คนสมัยโบราณต้องการทั้งสิ้น อายุ คือความเป็นผู้มีอายุยืนใคร ๆ ก็ต้องการ วรรณะ ในที่นี้หมายถึงชาติตระกูล ไม่ใช่ผิวพรรณที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เขาแปลกัน ถ้าหากว่าเป็นคนไม่มีวรรณะคือจัณฑาล เป็นคนกาลกิณีที่ไม่มีใครคบหาด้วย ดังนั้น..คำให้พรที่ว่า วรรณะหรือวัณณัง ในที่นี้หมายถึงชาติตระกูลของตนเอง

สุขะ ขอให้มีความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการจะมี พะลัง ขอให้มีกำลัง ไม่ว่าจะเป็นกำลังกาย กำลังใจก็ตาม เมื่อมีแล้วก็สามารถที่จะทำมาหากิน หรือว่ากระทำในสิ่งที่ตนมุ่งหวังเอาไว้จนสำเร็จได้ ดังนั้น..สิ่งทั้ง ๔ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนสมัยนั้นต้องการทั้งสิ้น เวลาท่านให้พรถึงได้บอกว่า “อายุ วัณโณ สุขขัง พะลัง” แต่ไม่ได้เป็นการเรียงลำดับความสำคัญ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าสำคัญทั้งนั้น

เราไม่ได้อยู่อินเดียไม่รู้หรอกว่าบรรดาจัณฑาลที่ไม่มีวรรณะเป็นสิ่งที่ต่ำต้อยด้อยค่า โดนคนเหยียดหยามขนาดไหน ดร.เอ็มเบ็ดการ์ ถือว่าเป็นบิดาของพุทธศาสนาสมัยใหม่ของอินเดีย ท่านเป็นจัณฑาล ไปเรียนหนังสือต้องไปปูกระสอบนั่งอยู่มุมห้องข้างหลัง เพราะไม่มีใครยอมให้นั่งด้วย เวลาเดินไปเพื่อเขียนกระดานดำ เพื่อนจะวิ่งกรูกันฉวยปิ่นโตที่วางอยู่ข้างกระดานดำหนีไปที่อื่น เพราะกลัวว่ากาลกิณีจะไปติดในอาหารเขา จนกระทั่งอาจารย์ที่สอนสงสาร เลยให้ใช้นามสกุลของท่าน

ในเมื่อมีนามสกุลเอ็มเบ็ดการ์ก็เลยกลายเป็นคนมีวรรณะ ถ้าไม่มีคนที่รู้ถึงรากเหง้าของตนเองจริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่าคนนี้เป็นจัณฑาลมาก่อน แล้วอาจารย์ท่านก็ช่วยขอทุนจนท่านได้ไปเรียนต่างประเทศ จบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกมา ๑๗-๑๘ สาขา เรียนเพราะต้องการจะดิ้นรนให้พ้นจากวรรณะที่ผูกรัดตัวเองไว้ จนกระทั่งตอนหลังกลับไป ท่านเยาวหราล เนรูห์ ตั้งให้เป็นรัฐมนตรี ช่วยร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของอินเดีย แล้วในรัฐธรรมนูญใหม่ก็กำหนดว่าไม่มีการแบ่งแยกวรรณะ แต่ก็กำหนดได้แค่ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น ในความเป็นจริงทุกวันนี้ก็ยังแบ่งแยกวรรณะกันอยู่

พระสงฆ์เราเวลาไปอินเดีย เขาจะมองด้วยความหวาดระแวง ว่าเป็นพวกจัณฑาลหรือเปล่าเพราะว่าโกนหัว แต่ท่านอาจารย์ ดร.วศิน กาญจนวณิชย์กุล ไปเรียนที่อินเดียเพื่อนไม่รังเกียจ ถามว่าทำไมไม่รังเกียจ ท่านบอกว่า “เขาเห็นผมเป็นวรรณะแพศย์ ก็คือพ่อค้า เพราะนามสกุลผมมีคำว่า วณิชย์” เขาดูนามสกุลแล้วรู้ แต่เขาไม่รู้ว่าบ้านเราตั้งกันส่งเดช

เถรี
23-03-2015, 15:32
ถาม : เวลานั่งสมาธิจะมีอาการคันยุบยิบ อยากเรียนถามว่าพระอริยเจ้าเวลานั่งสมาธิท่านคันไหมครับ ? แล้วถ้าท่านคันท่านทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : บุคคลที่เริ่มแรกปฏิบัติ ยังมีสิ่งที่ขัดขวางมากอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของขันธมาร เขาจะกลั่นแกล้งให้เกิดอาการอย่างนั้นอย่างนี้ของร่างกาย เพื่อดึงให้เราไปสนใจตรงนั้น จะได้ไม่สนใจในการปฏิบัติ แต่ถ้าบุคคลไม่ต้องถึงระดับพระอริยเจ้าหรอก กำลังใจเริ่มทรงตัวแล้ว ถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็จะกำหนดสติให้มั่นคง แล้วก็เอื้อมไป อาจจะลูบ อาจจะแตะให้หายจากอาการคันนั้น แล้วก็กลับเข้าสู่อิริยาบถเดิม

ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ เราจะมองดูได้ชัด ๆ ว่าคนไหนทรงอารมณ์อยู่หรือเปล่า เพราะถ้าทรงอารมณ์อยู่ ในเรื่องของการเคลื่อนไหวพรวดพราดจะไม่มี จะมีแต่ค่อยเป็นค่อยไป

เถรี
24-03-2015, 18:28
ถาม : สัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยง เราสามารถนำวัตถุมงคลให้เขาป้องกันตัวได้ไหมครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน ท่านทำตะกรุดคล้องคอให้หมา ที่วัดท่าซุงหมาก็คล้องเชือกแดงเพียบเลย

ถาม : เราต้องอาราธนาให้เขาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อาราธนาขอให้คุ้มครองเขาแล้วก็คล้องไปเลย แต่ถ้าของหลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน ท้ายสุดหมาก็สูญตะกรุดหมด คนแย่งหมาเลย จนกระทั่งเขาเรียกตะกรุดหลวงพ่อแย้มว่า ตะกรุดคอหมา

หมาท่านเคยไปโดนเขาตีเขาฟันมาจนเป็นแผลเหวอะหวะ ท่านขี้เกียจรักษาก็เลยทำตะกรุดคล้องคอให้ จากนั้นพอไปโดนเท่าไรก็ไม่มีบาดแผล คนก็เลยจับหมามาแย่งตะกรุด เชื่อเถอะ...ถ้าเป็นหมาของวัดท่าขนุน คล้องตะกรุดมหาสะท้อนให้ ตะกรุดหายทุกตัวแหละ..!

เถรี
24-03-2015, 18:31
ถาม : ปัจจุบันนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วในโลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก ทั้งหมดต้องกราบพระสงฆ์ ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูก่อน ถ้าเป็นสมมติสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือว่าเป็นพระอริยสงฆ์ เทวดาพรหมท่านให้ความเคารพเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าสักแต่ว่าห่มเหลืองไป ท่านไม่เหยียบเอาก็บุญแล้ว..!

ถาม : ถ้าเป็นพรหมเทวดาที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านยังกราบพระสมมติสงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านก็กราบเป็นปกติ บางทีก็มาตั้งใจทดสอบทั้ง ๆ ที่เราเป็นปุถุชนธรรมดา แต่ท่านมาในกายของพระอนาคามีเต็มระดับ สว่างโร่มาแต่ไกลเลย มาถึงก็กราบงาม ๓ ทีก้นโด่ง บอกว่า “ชื่นใจเหลือเกิน ได้กราบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างพระคุณเจ้า ช่างเป็นบุญของโยมเหลือเกิน” แล้วท่านก็ไป ปล่อยให้เราฟุ้งซ่านไปเป็นเดือน เวลาท่านทดสอบนี่ท่านทดสอบเจ็บจริง ๆ

ถาม : แล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องยืนยันครับ ?
ตอบ : ถ้าเชื่อว่าดีก็โง่ต่อไป เราเองทำได้แค่ไหนเราต้องรู้สิ ไม่ใช่ว่าคนอื่นบอกแล้วไปเชื่อ

เถรี
24-03-2015, 18:36
ถาม : ท่านที่ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระภิกษุสงฆ์เป็นพระอริยเจ้าชั้นต้น ท่านจะกราบพระภิกษุสงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสมมุติสงฆ์ที่ศีลบริสุทธิ์ท่านก็กราบ บุคคลกว่าจะปฏิบัติไปจนเป็นว่าที่พระพุทธเจ้า ความละเอียดอ่อนของจิตใจของท่านมีมหาศาล ท่านจะเห็นคุณความดีในทุกสิ่ง โดยเฉพาะบุคคลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ดังนั้น..ท่านจึงกราบเป็นปกติ ถ้าหากว่าเป็นภิกษุทั่วไปแต่ได้ทิพจักขุญาณ สามารถรู้เห็นได้ หลายท่านก็จะขออนุญาตกราบคืน

เถรี
24-03-2015, 19:28
ถาม : นึกถึงบาปเก่าที่เราทำ เวลาที่เรานึกใจหมองลงมา เราต้องระวังอย่างไรใจจะได้ไม่เศร้าหมอง ?
ตอบ : ระมัดระวังไว้อย่าไปนึกถึง อย่าให้จิตติดอยู่ตรงนั้นแล้วเกิดความเศร้าหมองขึ้น ผิดก็แค่ยอมรับผิด หันไปเกาะความดีในอนุสติ ๑๐ แทน

ถาม : พยายามไม่ให้ใจเศร้าหมอง ว่าเราไม่ได้ทำตรงนั้น ก็รู้สึกกระด้าง ๆ ?
ตอบ : มัวแต่ห่วงความรู้สึก เดี๋ยวก็ได้ไปนรก..! ไม่ต้องคิดถึงได้เลยเป็นดี เพราะถ้าคิดถึงเมื่อไร เราอาจจะเผลอให้ใจเศร้าหมองได้ ฉะนั้น..ถึงเวลาให้ลืมเสีย วางอุเบกขาไปเลย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำความดีใหม่

เถรี
24-03-2015, 20:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมที่ไปช่วยวางผางประทีปงานมาฆบูชา คงเห็นผลงานที่ลงในเว็บแล้วว่างามแค่ไหน โดยเฉพาะพระนามาภิไธยย่อ สธ. ๖๐ พรรษา สวยสมใจนึก อาตมาอุตส่าห์เอาแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดไปวาง แล้วจัดเรียงผางประทีปให้ตรง เรียงด้วยมือแล้วไม่ค่อยตรง

ฝีมือวาดของท่านปัญญาเป็นหลัก แล้วก็มีท่านเบสท์กับน้องแนนช่วยกันแต่งเติม อาตมาเป็นคนออกแบบ

ในลานธรรมนี่ส่วนใหญ่ฝีมือน้องเล็ก ฝู กับน้องแนน ตรงไหนไม่ไหวก็นิมนต์ท่านปัญญาไปช่วยวาดให้ เราเลยได้ช้างมาอีก ๑ ตัว เห็นช้างกำลังชูงวงถวายกระบอกน้ำ แต่ถ้าดูไกล ๆ จะเหมือนลิงถวายรวงผึ้ง..!"


https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/p180x540/11008050_792696364119312_910355168724499366_n.jpg?oh=292828db7f8c62f9b42d04167de3d75c&oe=55BDBB77


https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xfa1/v/t1.0-9/11043073_792696967452585_1510473348557125996_n.jpg?oh=a7d7dadbb6580e8c292896425e1790ec&oe=55AD1E3E

เถรี
24-03-2015, 20:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "สบงตัวนี้เดี๋ยวค่อยเอาออกประมูล แม่ชีที่วัดเขาประกาศไว้แล้ว ถ้าประมูลเมื่อไรเขาสู้เลยสองแสนบาท เพราะแม่ชีเป็นคนเย็บเองมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หวังว่าคงไม่มีใครปาดหน้าสองแสนกับเก้าบาทนะ"

เถรี
24-03-2015, 20:46
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือ หยิบของแล้วไม่ค่อยหนัก ก็เลยคิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนกัน บางที่ส่งให้คนรับทรุดทั้งยืนเลย

สมัยยังไปธุดงค์อาตมาไม่ค่อยสบาย ส่วนมากก็มาลาเรียกำเริบ พระอื่นท่านบอกว่า “อาจารย์ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพวกผมกางกลด ปูผ้าให้” อาตมาจึงลงไปตักน้ำแทน เห็นไม้ท่อนหนึ่ง เออ..ท่อนใหญ่ดี ถ้าเอามาสุมไฟก็ลุกได้ทั้งคืน จึงแบกกลับมา อีกมือหนึ่งก็ถือบาตรใส่น้ำเต็มมาด้วย

พอมาถึงที่พัก พระท่านเห็นก็กรูกันเข้ามาช่วย บอกท่านว่า "คุณเอาบาตรไปก็พอ" เขาก็ว่า "เอาท่อนไม้ดีกว่าครับ" "พวกคุณไหวแน่นะ ?" "ไหวครับ" มหาเคแบกข้างหน้า ท่านกอล์ฟแบกข้างหลัง พออาตมาปล่อยมือนี่หัวทิ่มใส่กันเลย ท่อนไม้ท่อนใหญ่ประมาณบาตร แล้วก็ยาวราว ๓ เมตรกว่า ด้วยความที่อาตมาค่อนข้างจะแข็งแรงก็เลยไม่ค่อยรู้สึกหนัก ตอนแรกคิดว่าคนอื่นเขาจะเป็นแบบอาตมา กว่าจะรู้ท่านก็แทบจะโดนทับตายไปแล้ว..!"

เถรี
24-03-2015, 21:06
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/fjhux1425718382.jpg

พระอาจารย์สอบถามตัวเล็กว่า "ในกระทู้บูชาวัตถุมงคล ใครได้พระพุทธรูปองค์นั้นไป ? แกะสลักจากหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด อาตมาคิดราคาเท่ากับเมื่อ ๖ ปีก่อน ไม่ได้เพิ่มแม้แต่บาทเดียว"

เถรี
25-03-2015, 11:42
ถาม : จะแก้ความเครียดได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวความเครียดจะไม่มี ถ้าหากว่ามีความเครียดแปลว่าอารมณ์ใจของเรายังไม่ทรงตัว ใช้วิธีแก้แบบชาวบ้าน ๆ คือออกกำลัง ไปทำอะไรให้เหงื่อโทรม ถูบ้านสัก ๓ ชั้นก็ได้ เดี๋ยวก็หายเครียดไปเอง จะลองถูบ้านหลังนี้ไหม ? กว่าจะเสร็จก็เหงื่อโชกทั้งตัว

ถ้าหาสถานที่ออกกำลังยาก ก็ยืมเครื่องปั่นจักรยานของใครก็ได้มานั่งปั่น ปั่นไปก็ภาวนาไป ได้กำไรสองทาง ทางแรกคือออกกำลังให้หายเครียด ทางที่สองคือภาวนาเอากำไร แต่ต้องทำให้สม่ำเสมอนะ ไม่ใช่เอาไว้ตากผ้า เครื่องออกกำลังแต่ละบ้านนี่น่าสงสารจริง ๆ เลย ส่วนใหญ่มักจะเอาไว้ตากผ้า..!

เถรี
25-03-2015, 11:44
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...?
ตอบ : อันดับแรก ไปหาหมอก่อน หมอบอกอย่างไรให้รักษาอย่างนั้น อันดับที่สอง ถ้าสิ้นสุดความสามารถของหมอแล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่เราว่าจะหาคุณประโยชน์จากความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นได้ขนาดไหน

ประการแรก ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ของสภาพร่างกาย เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่าย ๆ กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เห็นทุกข์อย่างแท้จริง ใช้เวลาในการสร้างสมบารมีต่ำสุดก็ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะฉะนั้น..ความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ปรากฏเป็นทุกข์เฉพาะหน้าของเรา จึงเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าจนประมาณไม่ได้ เราเห็นว่าร่างกายมีความเจ็บป่วยเป็นปกติอย่างนี้ ยังอยากได้ใคร่มีอยู่อีกหรือเปล่า ? ลองถามตัวเองดู ถ้าปัญญาถึงเราอาจจะก้าวล่วงจากกองทุกข์ไปได้เลย

ประการที่สอง ถ้ารู้สึกว่าความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่เราต้องทนแล้วทนเล่า ก็พยายามจับตัวอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออกของเราจนทรงตัวเป็นปกติ ถ้าหากลมหายใจเข้าออกทรงตัว สภาพจิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน เราจะไม่รับรู้ถึงอาการป่วยของร่างกาย เท่ากับว่าระงับเวทนาต่าง ๆ ลงได้ชั่วคราว แต่วิธีที่สองนี้เหมือนอย่างกับเราไปกดเอาไว้

แต่วิธีแรกก็คือถ้าหากเรารู้แจ้งเห็นจริงก็จะก้าวพ้นไปได้เลย หลังจากนั้นเราก็จะรู้ว่าความทุกข์เป็นปกติธรรมดาของร่างกาย สภาพจิตใจยอมรับ ไม่ไปดิ้นรนกระวนกระวายอีก ป่วยก็เหมือนกับไม่ป่วย ไปเลือกเอาว่าจะเอาวิธีไหน อาตมาทำให้ดูแล้ว โยมไปเลียนแบบเอาก็แล้วกัน

เถรี
25-03-2015, 11:45
:4672615:เก็บตกเดือนมีนาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน