เข้าระบบ

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘


เถรี
23-02-2015, 21:03
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ในการปฏิบัติของพวกเรานั้น พูดง่าย ๆ ว่าต้องทำทุกวัน เหมือนกับที่เราต้องกินอาหารทุกวัน การที่ตัวเราต้องปฏิบัติธรรมทุกวัน ก็เพื่อเป็นการให้อาหารแก่ใจของเรา ส่วนใหญ่แล้วพวกเราให้แต่อาหารทางกาย อาหารทางใจไม่ค่อยได้ให้ สภาพจิตใจของเราจึงขุ่นมัว เศร้าหมอง จำเป็นจะต้องให้อาหารทางใจด้วยการปฏิบัติในสมาธิภาวนา ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ การตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา

เอาแค่หายใจเข้า ให้กำหนดความรู้สึกไหลตามเข้าไป ตั้งแต่ต้นจนสุดปลายของลม หายใจออกให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมาจนสุดกองลม ถ้าเผลอสติคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้สึกตัวก็ดึงความรู้สึกมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ กำหนดดู กำหนดรู้อย่างนี้ สมาธิก็จะค่อย ๆ ทรงตัวตั้งมั่น

อันดับแรกเลย ก็คือ สามารถหายใจเข้าและออกโดยรู้ตลอดกองลมได้ ลมหายใจของเราจะแรงหรือเบา จะยาวหรือสั้น ก็สามารถที่จะรู้อยู่ คำภาวนาอย่างไรก็รู้อยู่เช่นนั้น โดยที่สภาพจิตปราศจากนิวรณธรรมทั้ง ๕ คือห่างจาก กามฉันทะ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย หรือสัมผัสระหว่างเพศ

เว้นจากพยาปาทะ คือความโกรธเกลียด อาฆาตแค้น มุ่งร้ายจองเวรต่อผู้อื่น อุทธัจจะกุกกุจจะ ความหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ ถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน ตลอดจนกระทั่งชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ และวิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ไม่มั่นใจในคุณพระรัตนตรัย ว่าการที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนี้ จะมีผลดีจริงหรือไม่ เป็นต้น

ถ้าอารมณ์ใจของเราทรงตัว นิวรณธรรมทั้ง ๕ นี้จะโดนขับไล่ให้ห่างออกไป สภาพจิตของเราจะมีความผ่องใส สามารถรู้ลมหายใจเข้าออกได้โดยอัตโนมัติ สิ่งที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ไม่สามารถที่จะแทรกเข้ามาได้

เถรี
27-02-2015, 17:30
ถ้าท่านทั้งหลายทำมาถึงตรงจุดนี้ ก็ให้กำหนดสติคอยเฝ้าดูลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาของเราเอาไว้ แล้วท่านทั้งหลายจงกำหนดจิต แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ ด้วยจิตที่หวังดีปรารถนาดีว่า อยากให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นพ้นจากกองทุกข์ มีแต่ความสุขความเจริญ

ให้กำหนดจิตแผ่เมตตาของเราไป จนกระทั่งกำลังใจของเราชุ่มเย็นด้วยอำนาจของเมตตาแล้ว ก็หันมาพิจารณาให้เห็นสภาพเป็นจริงว่า ร่างกายของเรามีสภาพความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

มีความทุกข์เป็นปกติ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป เราดำเนินชีวิตอยู่บนกองทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นต้น และท้ายที่สุดสภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้

สักแต่ว่าเป็นรูปที่ประกอบขึ้นมาจากธาตุทั้ง ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพัง คืนให้กับโลกไป ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนได้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว การเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมมีความสุขเพียงชั่วคราว พลาดเมื่อไรก็ลงมาทุกข์อีกเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ ก็ให้รักษากำลังใจ พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาของเราไว้ ถ้าท่านใดชำนิชำนาญในการกำหนดภาพพระ ก็เอาจิตใจจดจ่ออยู่ภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรารักเราชอบ ว่านั่นเป็นตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้พระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน

ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเราไว้อย่างนี้ จนกว่าจะเป็นที่พอใจของเรา เมื่อสมาธิคลายตัวออกมาก็หันมาพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำอย่างนี้สลับไปสลับมา ก็จะค่อย ๆ มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ต่อจากนี้ไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา



พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)