View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ถาม : การละสังโยชน์ระหว่างพุทธภูมิกับสาวกภูมิเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน พุทธภูมิเรียนรู้แต่ไม่ได้ละ ส่วนสาวกภูมิภูมิรู้แล้วละเลย ต่างกันแค่นั้นแหละ พุทธภูมิต่อให้กำลังใจสูงขนาดไหนก็ตาม ถึงเวลางานเก่ารั้งอยู่นิดหนึ่ง ไม่สามารถที่จะละได้
ถาม : อย่างขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติเลย
ถาม : ถ้าเป็นแบบสาวกมีแบบขึ้นเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ถ้าละสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว มีแต่เจริญขึ้นโดยส่วนเดียว
ถาม : ขอคาถานะปัดตลอด
ตอบ : จะไปเอาที่ไหนมา ? นะปัดตลอดไม่ใช่คาถา แต่เป็นวิชา ตั้งใจเขียนตัว "นะ" แล้วกลั้นใจตบให้ทะลุพื้นลงไปได้
หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ท่านไม่ได้เรียนวิชานะปัดตลอดมา คนที่เรียนวิชานะปัดตลอดไปจากหลวงปู่ปาน ก็คือ ครูหอมหวลที่เล่นลิเก พอสิ้นหลวงปู่ปานแล้ว หลวงพ่อท่านจะตามไปขอเรียนกับครูหอมหวล พอหน้าแล้งครูหอมหวลก็ยกคณะเล่นลิเกเดินทางไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุดเสียที ตามไม่เจอไม่ว่า เจอหน้าก็ไม่มีเวลาสอน แต่พอหน้าฝนครูเขาอยู่บ้าน หลวงพ่อก็ไปไม่ได้เพราะติดเข้าพรรษา ไป ๆ มา ๆ วิชานี้ก็เลยไม่ได้เรียน งานวัดบางนมโค ครูหอมหวลจะเอาลิเกไปเล่นให้ฟรี ทั้ง ๆ ที่ถ้าไปเล่นที่อื่นเขาจ่ายให้แพงมากเลย
หลวงพ่อท่านเห็นหลวงปู่ปานใช้วิชานะปัดตลอดชัด ๆ อยู่ครั้งเดียว ครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา ที่ไทยรบกับฝรั่งเศสชิงพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ หลวงประธานถ่องวิจัยเอาผ้าขาวมาขอให้หลวงปู่ปานทำผ้ายันต์ให้ทหารติดตัวไปออกรบ
ปกติแล้วเรื่องการเขียนยันต์ หลวงปู่ปานจะให้ท่านอาจารย์เจิมเป็นคนเขียน แล้วหลวงปู่ปานจะเสก เพราะอาจารย์เจิมเขียนยันต์สวย ปรากฏว่าวันนั้นไม่ทัน เพราะว่าหลวงประธานถ่องวิจัยต้องรีบเดินทางไปยังกองกำลังบูรพา เอาวัตถุมงคลไปแจก หลวงปู่ปานท่านเห็นฉุกเฉิน ก็เลยบอกให้หลวงพ่อวัดท่าซุงหยิบไม้เท้าของท่านมา ท่านตีเปรี้ยงลงไปบนกองผ้ายันต์ ปรากฏว่าผ้าขาว ๆ มียันต์ติดเต็มทุกผืนเลย ท่านบอกว่านั่นแหละคือวิชานะปัดตลอด
วิชานี้เท่าที่รู้มา ครูบาอาจารย์ที่เรียนก็มีหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ เพราะคนชอบไปขอรอยเท้าท่าน ท่านเองก็ต้องเอาเท้าจุ่มครามแล้วพิมพ์ให้เขาทีละแผ่นจนรำคาญ ท้ายสุดท่านก็เลยบอกให้เอามาพร้อม ๆ ทีเดียว กองเป็นตั้งเลย เอาเท้าจุ่มครามแล้วแปะไว้แผ่นบนสุด เอามือตบหัวเข่าทีเดียวติดตลอดทั้งหมดจนถึงแผ่นล่างเลย
อีกรายหนึ่งก็หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่ายที่ระยอง ท่านใช้ขมิ้นชัน เหลาลักษณะเป็นดินสอ เขียนหัวให้กับผู้หญิงท้องติดถึงลูกในท้องด้วย ลูกคลอดออกมามียันต์ติดหัวออกมาเลย นั่นก็คือนะปัดตลอด
ถาม : นอกจากอานิสงส์เรื่องนี้แล้วมีประโยชน์อย่างอื่นอีกไหมคะ ?
ตอบ : มี..อย่างน้อยถ้าทำได้ก็จะเท่กว่าคนอื่นเขา
ถ้าจะฝึกวิชานี้ ให้เขียนตัวนะใส่ฝ่ามือแล้วไปหาศพผีที่ตายวันเสาร์หรือวันอังคาร ตบฝาโลงให้ตัวนะทะลุไปติดที่หัวศพ แล้วทะลุลงไปติดใต้โลงได้ถึงจะใช้ได้ อาตมารู้วิธีหมดทุกอย่าง แต่ลองแล้วไม่มีผล เพราะไม่รู้ว่าเคล็ดลับเป็นอย่างไร
นะปัดตลอดเป็นเรื่องแปลกมาก นอกจากเรื่องแคล้วคลาด คงกระพันแล้ว ยังเป็นมหาลาภอีกด้วย ที่ครูหอมหวลเรียนไป พอตั้งโรงลิเกเสร็จ หลวงพ่อท่านบอกว่าครูจะกำแป้งขึ้นมาหนึ่งกำ ตั้งใจบริกรรมแล้วก็เป่า แป้งนั้นจะพุ่งตรงเหมือนอย่างกับกระสุนปืน จนกว่าจะมีอะไรขวาง เช่น ต้นไม้ บ้านเรือน ลอมฟาง ก็จะไปติดอยู่ตรงนั้น แล้วคนจากทิศนั้นจะมามากที่สุด เป็นการเรียกคนให้มาดูลิเกได้
ที่เป็นเรื่องประหลาดเพราะว่า แคล้วคลาดคงกระพันกับเรื่องลาภไม่ค่อยจะไปด้วยกัน พอ ๆ กับมีดหมอเพชรวุธนั่นแหละ เล่นเอาลาภออกหน้าเลย วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือเอามีดหมอปล้นเขา ในเมื่ออยากได้ลาภ..ใช่ไหม ? ถือมีดไปปล้นเขาเลย..ได้แน่ ...(หัวเราะ)...
ถาม : สิ่งที่ผมทำอยู่ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในกรอบของศีล สมาธิ ปัญญาก็ถูก ถ้าออกนอกกรอบก็ผิด ตรวจสอบง่ายจะตายไป
ถาม : มีอะไรที่ผมต้องทำไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้จริง ๆ และเพิ่มความพยายามให้มากกว่านี้
ถาม : มีอะไรแนะนำอีกไหมครับ ?
ตอบ : ที่แนะไปก็พอกินไปทั้งชาติแล้ว..!
ถาม : ผมเห็นพระท่านถือถุงอาหารที่ญาติโยมเขาใส่บาตรให้ ดูพะรุงพะรังแล้วสงสารท่าน สันนิษฐานว่าบาตรท่านคงเต็ม แล้วแบบนี้พระสามารถที่จะปฏิเสธไม่รับอาหารจากญาติโยมที่จะใส่บาตรอีกได้ไหม ในกรณีที่บาตรเต็มแล้วครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วพระพุทธเจ้าอนุญาตให้รับเสมอขอบปากบาตรเท่านั้น ถ้ารับเกินนั้นพระจะโดนอาบัติ คือ ศีลขาด แต่ก็ทรงอนุญาตไว้ว่า ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็รับได้ไม่เกินสามบาตรเท่านั้น ของที่รับมามากขนาดนั้น ให้แจกจ่ายแก่เพื่อนพระภิกษุด้วยกัน
ถาม : พระชำระหนี้สงฆ์ที่ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์และปิดทองเรียบร้อยแล้ว เมื่อนานไปได้มีการบูรณะใหม่พร้อมกับปิดทองใหม่ ผู้ที่ปิดทองใหม่จะได้อานิสงส์การชำระหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เขาตั้งใจว่าจะให้เป็นการชำระหนี้สงฆ์หรือเปล่า ถ้าตั้งใจให้เป็นการชำระหนี้สงฆ์ เท่ากับว่าเรามีส่วนร่วมกับเจ้าภาพด้วย ถือเป็นการชำระหนี้สงฆ์ได้ ถ้าตั้งใจแค่ซ่อมพระเฉย ๆ ก็จะขาดทุนไปนิดหนึ่ง
ถาม : หลัง ๆ นี้ ผมก็มีสังคมกับคนอื่น ๆ ไปตามสถานการณ์ แต่ข้างในไม่ค่อยชอบการเกาะเกี่ยว คนโทรศัพท์มาหายังไม่อยากคุยด้วยเลย แต่ไม่ได้แสดงอะไรให้เขารู้ บางทีการไปวัดหรือไปไหน ผมก็ไปเอง ไม่รู้สึกว่าต้องขอความช่วยเหลือจากใคร แต่มักจะโดนเพื่อน ๆ ต่อว่า ว่าไม่บอกบ้าง หรือไม่นึกถึงเขาบ้าง ในการใช้ชีวิต ในสังคม ในโลก ผมก็ต้องทำตัวตามปกติ สนุกสนาน เอื้อเฟื้อกัน ฯลฯ แต่ผมไม่ชอบการเกาะเกี่ยว ไม่ชอบการผูกพัน รู้จักกันได้ รู้สึกดีกันได้ แต่ส่วนใหญ่เวลาคนอื่นให้ผมทำอะไร ๆ ในเชิงให้เห็นพวกเขาเป็นคนสำคัญ ผมจะหนีทุกที ดูเหมือนขัดแย้งในตัวเอง ผมปรับไม่ถูก หลวงพ่อพอมีคำแนะนำไหมครับ ? กิริยาภายนอกทำให้เขาไม่สงสัยได้ แต่ความรู้สึกของตัวเอง ปรับให้กลมกลืนไม่ได้เลย
ตอบ : ใครเขาให้กลมกลืน ? อุตส่าห์หนีห่างมาขนาดนั้น ภายนอกก็ตามโลกไป แต่ตามไปแค่กรอบของศีล ส่วนภายในให้รักษากำลังใจของเราไว้ ใครเขาให้ไปปรับกำลังใจให้กลมกลืนกับเขา ? ถ้าอยากปรับให้กลมกลืนกับเขาก็เท่ากับถอยหลังไปหากิเลสใหม่
ถาม : พี่ชายของกระผม มีความเลื่อมใสในพระอาจารย์เล็ก และหลวงพ่อวัดท่าซุง และหลวงปู่ปานเป็นอย่างสูง ได้บูชาวัตถุมงคลของพระอาจารย์เล็กมาจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ องค์ ทีนี้พี่ชายได้เสียชีวิตไปเมื่อกลางปีที่แล้วโดยอุบัติเหตุ ตอนนี้ผมซึ่งเป็นน้องชาย คาดเอาว่าทางพี่ชายน่าจะตั้งใจบรรจุวัตถุมงคลลงเจดีย์หรือองค์พระ เลยตั้งใจว่าจะแบ่งให้ลูก ๆ ของผู้ตายจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะหาบรรจุในองค์เจดีย์หรือองค์พระ ทีนี้หากผมกระทำตามความตั้งใจเช่นนี้ โดย "คาดว่า" พี่ชายตั้งใจไว้แบบนั้น ถือว่าเป็นการกระทำโดยเอาวัตถุของบุคคลอื่นมาทำบุญโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ?
ตอบ : "คาดว่า" จะติดหนี้สงฆ์..!
ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าคาดว่าพี่ชายจะบรรจุเจดีย์ แล้วไปแบ่งให้คนอื่นก็เท่ากับมีโทษย้ายเจดีย์ ติดหนี้สงฆ์แน่ ๆ เพราะฉะนั้น..รีบทำเสียจะได้ติดหนี้สงฆ์จริง ๆ..! อะไรที่ไม่มั่นใจอย่าเสี่ยงด้วยประการทั้งปวง ขาดทุนหนักมาก
ถาม : แล้วหากได้บรรจุ เจ้าของวัตถุมงคลซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เราอุทิศให้ท่านโมทนา แล้วท่านไปเกิดเสียก่อน บุญนั้นจะรวมตัวอยู่จนเมื่อเขาเสียชีวิตจากมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วได้โมทนาใช่หรือไม่ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านเกินตาย..! ถ้าเจ้าของเขาตั้งใจทำอย่างนั้น เขาได้บุญตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาให้เราอุทิศให้หรอก
ถาม : เนื่องจากที่เคยทราบว่า เทวดามีประชุมเทวสภาทุกวันพระ ซึ่งเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ที่ผ่านมาได้ทราบว่า มีประชุมเทวสภา แต่ในปฏิทินที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่วันพระ จึงขอกราบเรียนสอบถามว่า วันประชุมเทวสภา เป็นวัน ‘พระ’ ที่เทวดาจะมาประชุม ฟังเทศน์ฟังธรรมกันใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ใช่
ถาม : สาเหตุที่ปฏิทินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ระบุวันพระไม่ตรงกับวันประชุมเทวสภาในวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๘ เกิดจากข้อผิดพลาดที่สั่งสมมาก่อนหน้าเรื่อย ๆ หรือเกิดจากการกำหนดปฏิทินไม่แม่นยำ ?
ตอบ : เกิดจากที่เทวดาประชุมตามเวลาของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับของเรา
ถาม : การกำหนดวัน ‘พระ’ ของเทวดา มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ประโยชน์ที่เขาจะไปฟังเทศน์ฟังธรรม ก็เพื่อเลื่อนภพภูมิของตัวเองให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป หลายท่านสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ มีประโยชน์มากพอไหม ?
ถาม : เมื่อ ๒๔ มกราคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีไหว้ครู ฯ ผมได้ขอพรทุก ๆ พระองค์ ให้เลือดเนื้อ เอ็น กระดูก รวมถึงยันต์ นะเมติ ของหลวงปู่หงษ์ ยันต์ครู ของหลวงปู่โฉม และยันต์นะลือชาที่สักไว้บนหลังผม ได้รับการสงเคราะห์ด้วย พอนั่งรถเดินทางกลับ ผมรู้สึกปวดหัวมากเป็นระยะ ๆ นวดหัวจนรู้สึกว่าหนังหัวระบมไปหมด ถึงบ้านเหมือนจะมีไข้ แต่แปลกที่ร่างกายป่วยและแย่ แต่จิตใจข้างในปกติ แถมยังรู้สึกเบิกบาน ออกจะลิง ๆ ด้วยซ้ำ ไม่รู้สึกแย่ไปตามร่างกาย และป่วยเพียงวันเดียว อีกทั้งบังเอิญไปเห็นที่หลวงปู่ปานเป่ายันต์แล้วบอกอาการผู้ที่ได้รับยันต์ ทบทวนเลยมั่นใจว่าท่านสงเคราะห์แน่ ผมอยากถามหลวงพ่อครับ ว่าทำไม พระ เทพ พรหม เทวดา ท่านสงเคราะห์แล้ว มีอาการทางกาย ปวดหัวจนถึงเป็นไข้ครับ ?
ตอบ : เพราะสภาพร่างกายของคุณห่วยจนเกินกว่าจะรองรับความดีของท่านได้...!
ถาม : ขณะนั่งสมาธิในช่วงเวลาปฏิบัติกรรมฐานที่บ้านวิริยบารมี โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และ ใช้คาถาเงินล้านเป็นคำภาวนา ในช่วงเวลานั้นเห็นเป็นแสงสีขาวสว่างไปทั้งหมด โดยเป็นอยู่อย่างนั้นจนหมดเวลาปฏิบัติ ซึ่งเป็นอยู่หลายครั้ง กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หากเห็นแสงสีขาวในคราวต่อไป ควรจะปฏิบัติอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ทำเหมือนเดิม เคยภาวนาพิจารณาอย่างไร ก็ให้ทำไปอย่างนั้น
ถาม : มนุษย์พยายามกำหนดปฏิทินวันพระเพื่อให้ตรงกับของเทวดา หรือไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ?
ตอบ : แรก ๆ ก็เกี่ยวข้องกันเพราะมีผู้รู้จริง ต่อมาก็เละเทะไม่เป็นท่า แต่ข้างบนยังใช้เหมือนเดิม
ถาม : ระยะนี้นับแต่ปีใหม่เป็นต้นมาเกิดสภาวะเสียงซ้อนในใจขึ้น คือเมื่อก่อนกระผมภาวนาคาถาเงินล้าน ใจจะหยุดความคิดต่าง ๆ ที่คิดขึ้นมา พอใจไปคิดเรื่องอื่น ก็ลืมคาถาเงินล้าน แต่ปัจจุบัน ภาวนาคาถาเงินล้านทั้งวัน เหมือนกับว่าสักแต่ภาวนา เสียงภาวนาที่ตั้งใจภาวนาไม่ได้ขาดหายเหมือนสมัยก่อน เกิดความคิดอื่น ๆ ขึ้นมา แต่ก็ยังรู้ว่าภาวนาคาถาเงินล้านอยู่ ใจก็ภาวนาต่อเนื่องต่อไป ทำอะไรคิดอะไรที่ไม่ต้องใช้สมองพิจารณามาก ใจก็ยังภาวนาเองอยู่เช่นนั้น ไม่ทราบว่าต้องแก้ไขอาการนี้อย่างไรครับ ?
ตอบ : แก้ไขโดยการทำไปเรื่อย ๆ สภาพจิตเริ่มเป็นสมาธิทรงตัวแล้ว แค่เอาสติประคับประคองไว้นิดเดียว ก็จะสามารถกำหนดรู้การภาวนาไปตลอด
ถาม : เนื่องจากผมมีประคำไม้แก่นจันทน์ของทางทิเบต มีการเคลือบชักเงาผิวไม้ไว้ (ประคำมีสีน้ำตาล มีกลิ่นหอมที่เนื้อไม้) เวลาสวมใส่ที่คอ หากประคำมีกลิ่นเหม็นที่เกิดจากเหงื่อของร่างกายเวลาสวมใส่ ไม่ทราบว่าพระอาจารย์มีวิธีทำความสะอาดประคำที่ถูกต้องไหมครับ ? เพราะเกรงว่าถ้าทำไม่ถูกวิธี ผิวไม้ประคำจะเสียหาย และเกิดเชื้อราขึ้นที่เชือกและเม็ดประคำครับ
ตอบ : อนิจฺจา วต สงฺขารา..! ใช้ไปมีหรือจะไม่เก่า
ถาม : มีวิธีรักษาไหมครับ ?
ตอบ : อย่าเอาไว้กับตัว
ถาม : บ้านผมไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิ ถ้าต้องการไหว้พระภูมิท่านปีละครั้ง ใช้บายศรีปากชาม ๑ คู่ เพียงพอหรือไม่ครับ ? ถ้าต้องการให้ท่านช่วยสงเคราะห์เรา ควรต้องมีหมูชิ้น ไก่ ด้วยหรือไม่ครับ หรือใช้เฉพาะปลาเท่านั้น ?
ตอบ : ให้ตั้งศาลเสียจะถูกต้องที่สุด ถ้าไม่สามารถจะทำได้ คิดจะแหกคอก ก็ใช้หมูชิ้น ไก่ ๑ ตัว หมูชิ้นต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโลกรัม และอย่าลืมปลาช่อนแป๊ะซะด้วย
ถาม : ถ้าต้องการไหว้ถึงพระและท่านท้าวมหาราชด้วย จะต้องจัดบายศรีให้ครบทั้ง ๔ ทิศ พร้อมหมู ไก่ เหมือนของวัดใช่หรือไม่ครับ ? เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด
ตอบ : มีจำกัดแล้วจะทำงานใหญ่ทำไมวะ ?
ถาม : ก็อยากครับ
ตอบ : ถ้ามีจำกัดก็ให้ทำแบบจำกัด ประมาณห้าหมื่นบาทก็ทำได้แล้ว..!
ถาม : หรือถ้ากำลังเราไม่ไหว ใช้การทำบุญอุทิศให้ท่านด้วยความเคารพจะเพียงพอหรือไม่ครับ ?
ตอบ :ไม่พอ..ทำบุญส่วนทำบุญ การสักการะเป็นการแสดงความยอมรับนับถือ เป็นคนละส่วนกัน
ถาม : เราควรจะแสดงการบูชาอย่างไรให้ท่านสงเคราะห์เรา ที่ก็ไม่มี เงินก็ไม่มี ?
ตอบ : รอไปก่อน..เผื่อชาติหน้าจะมีที่หรือมีเงินบ้าง..!
ถาม : ในปัจจุบันผมกำหนดจิตเป็นภาพพระ พร้อมกับภาวนาแผ่เมตตาออกไป โดยใช้คาถา “กรณียเมตตาสูตร ” แล้วจึงอาราธนาบารมีมีดหมอเพชราวุธ ขอให้คุ้มครองป้องกัน มีความรู้สึกว่า มีกำลังแผ่ออกไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีประมาณ ไม่มีสิ้นสุด แบบนี้ถือว่าทำถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ถูกในส่วนหนึ่ง
ถาม : พระอาจารย์กล่าวในงานพุทธาภิเษกว่า "บุคคลที่นำวัตถุมงคลมาเข้าพิธีก็ดี นำมีดหมอมาเข้าพิธีก็ดี โปรดจำให้แม่น ๆ ว่าถ้านำไปใช้อย่าได้คิดร้ายกับใคร ไม่อย่างนั้นจะวิบัติเอง ก็แปลว่าถ้าท่านทั้งหลายได้ขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีปไป นอกจากใช้ไม่เป็นแล้ว ยังอาจจะทำระเบิดใส่ตัวเองด้วย ต้องระวังให้จงหนัก " เนื่องจากผมนำวัตถุมงคลอื่นมาเข้าพิธี ดังนั้น จะมี "อานุภาพ" เช่นเดียวกับมีดหมอเพชราวุธ หรือไม่ครับ ? หรือว่าจะเหมือนแค่เพียงตรงที่เป็นนิวเคลียร์ "ระเบิดใส่ตัวเองได้" แต่ในด้านอานุภาพไม่เหมือนมีดหมอเพชราวุธ ? ผมจะได้ระวังของคนอื่นระเบิดใส่ตัวเองด้วยครับ
ตอบ : ระวังให้จงหนัก..!
ถาม : มีผลเหมือนมีดหมอเพชราวุธหรือไม่ครับ ?
ตอบ :ไม่ใช่มีดหมอจะเหมือนได้อย่างไรวะ ? เหมือนอย่างเดียวคือพร้อมที่จะระเบิด..!
ถาม : ตามความเข้าใจคิดว่า วัตถุมงคลอื่นที่นำเข้าพิธี ไม่น่ามี "อานุภาพ" เหมือนหรือเทียบเท่า หรือใกล้เคียงมีดหมอเพชราวุธได้ เพราะของอื่นที่นำมาเข้าพิธีไม่ได้มีตะกรุดมหาสะท้อน ตะกรุดสามกษัตริย์ ครบทุกดอก ความเข้าใจนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูก..แต่เวลาระเบิดแรงเท่ากัน..!
ถาม : ศาสตราวุธอื่น ๆ นอกเหนือจากมีดหมอเพชราวุธวัดท่าขนุน ๑๒๐ เล่ม ท่านอนุญาตให้ใช้คาถาบูชาหรือการอาราธนาเพื่อใช้งานบทเดียวกับมีดหมอของทางวัดหรือไม่ครับ ? หรือใช้เพียงบทอิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตังฯ ก็เพียงพอแล้ว ?
ตอบ : ใช้ได้เหมือนกัน
ถาม : ถ้าวัตถุมงคลที่ไม่ใช่ศาสตราวุธ เช่น พระ แหวน เป็นต้น ใช้บทอิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตังฯ เหมือนปกติที่เคยทำใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ชอบใจบทไหนก็ใช้ไปเถอะ
ถาม : การที่อธิษฐานว่า "ขอให้เทพเทวดาทั้งหลายที่ดูแลรักษาสถานที่ซึ่งอาศัยอยู่และเทวดาประจำตัวของเรา ให้ท่านสามารถอาราธนาใช้อานุภาพของมีดหมอเพชราวุธหรือวัตถุมงคลอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ต่อสถานที่และขอให้ท่านสงเคราะห์ตัวเราด้วย" การอธิษฐานแบบนี้เหมาะสมหรือไม่อย่างไรครับ
ตอบ : ลองอนุญาตให้ยามที่ช่วยดูแลบ้านเรา สามารถใช้อาวุธทุกชนิดในบ้านของเราดูก็แล้วกัน..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ตำรวจไล่จับบริษัทผลิตอาหารเสริมที่โฆษณามากจนเกินเหตุ จะว่าไปแล้วพวกอาหารเสริมที่ขายได้เพราะสนองกิเลสของคน คือคนเราอยากสวย ไม่อยากแก่ อาหารเสริมก็จะโฆษณาโดยอาศัยตรงจุดนี้ ว่ากินแล้วสวยอย่างไร กินแล้วชะลอวัยได้อย่างไร ขายได้ทั้งปีทั้งชาติ โดยเฉพาะพวกที่ขายตรง
ของทุกอย่างต้องพอดีจึงจะก่อประโยชน์ ถ้ามากเกินก็จะเป็นโทษ พวกที่กินวิตามินเสริมอยู่บ่อย ๆ โปรดระมัดระวังด้วย เพราะวิตามินทั้งหลายนั้น มีวิตามินซีอย่างเดียวที่ละลายในน้ำ นอกนั้นละลายในไขมัน กินเกินก็ตกค้างในร่างกาย ขับไม่ออก พอค้างมาก ๆ ก็พาโรคภัยไข้เจ็บให้เกิดขึ้น
สมัยปู่ย่าตาทวดแทบจะไม่มีโรคมะเร็ง ปัจจุบันเป็นกันจนแทบจะปกติ โรคภัยไข้เจ็บตำราจีนบอกว่าเกิดจากอาหารการกินที่เรากินลงไป จนกระทั่งมีภาษิตจีนว่า "โรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก" แปลว่าให้ระมัดระวังด้วย จะกินอะไรก่อให้เกิดโทษภัยได้ง่าย จะพูดอะไรก่อให้เกิดโทษได้ง่าย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ทั้งในและนอกประเทศสถานการณ์ไม่ค่อยจะดี ในบ้านเราขนาดรัฐบาลทหารแท้ ๆ ยังจะเอาไม่อยู่ ต้องนึกถึงภาษิตจีน “คนอยู่ในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง” ในเมื่อคนอยู่ในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง บรรดากระแสของนักวิชาการ เขาต้องการจะเล่นงานอีกฝ่ายหนึ่งให้หนัก ชนิดไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลย ถ้ารัฐบาลไม่คล้อยตามก็จะหันมาเล่นรัฐบาลแทน ทางรัฐบาลก็ต้องตัดสินใจว่าจะรบกับวิชาการ หรือจะรบกับชาวบ้านดี ท้ายสุดรบกับชาวบ้านดีกว่า ก็เล่นอีกฝ่ายจมดินไปเลย
เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของรัฐบาล ถ้าการบริหารงานไม่ตรงไปตรงมา ยังมีอคติ มีพวกมากลากไปอยู่ ต่อให้เป็นรัฐบาลวิเศษวิโสมีอำนาจขนาดไหนก็ไปไม่รอด ค่านิยม ๑๒ ประการ ลดเหลือแค่ "ยุติธรรม" คำเดียวก็พอแล้ว พูดแบบนี้เดี๋ยวอาตมาจะโดนเรียกไปปรับทัศนคติอีก ถ้าเรียกไปตูจะไปนั่งเทศน์ให้ทหารฟังเอง..!"
"ต่างประเทศก็มีการก่อการร้ายแทรกซึมไปทุกมุมโลก ต้องบอกว่าสาเหตุใหญ่มาจากอเมริกา อเมริกาทำตัวเป็นตำรวจโลก แต่ไม่มีความยุติธรรม ไปยุ่งเกี่ยวแล้วก็สร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เอาไว้เยอะ ก็เลยทำให้ประเทศที่เขาเดือดร้อนไม่ชอบใจ โดยเฉพาะบรรดาประเทศในตะวันออกกลาง โดนปั่นหัวให้รบราฆ่าฟันกันมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วก็ส่งกองกำลังเข้าไปเข่นฆ่าคนของเขา
จุดมุ่งหมายมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือจะขายอาวุธ อย่างที่สองก็คือต้องการน้ำมัน ในเมื่ออย่างนั้นเวลาเขาตอบโต้กลับคืนมาด้วยวิธีการที่รุนแรง ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าประเทศเล็ก ๆ หรือกองกำลังเล็ก ๆ จะทำให้เขาหวาดเกรงได้ก็ต้องอาศัยความโหดร้าย ในส่วนนี้ก็เลยทำให้ลุกลามไปหมด เพราะรู้ว่าปะทะซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีก่อการร้าย
อย่างล่าสุดเห็นว่าเอาพวกเด็ก ๆ ถ้าพูดภาษาไทยก็คือปัญญาอ่อน ไปเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตาย เอาเด็กผู้หญิง เอาเด็กปัญญาอ่อนไปทำลักษณะอย่างนั้น โหดร้ายทั้งกับตนเองและกับคนอื่น ก็เลยทำให้เห็นเค้าว่า ภาวะสงครามใหญ่กำลังลุกลาม ถ้าฝรั่งเศสโดดไปเล่นด้วยเต็มตัวเมื่อไร ใครมีญาติอยู่ทางยุโรปหรืออเมริกา ก็เรียกกลับบ้านเราได้แล้วนะ อย่างน้อยบ้านเราก็ปลอดภัยกว่า ถึงแม้จะมีระเบิดแถว ๆ สยามพารากอนบ้างก็ช่างเถอะ..!
เขาบอกว่าตายแล้วเขาจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า เพราะเขาเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของกรรมสนอง เพราะอเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญไปฝึกอาวุธให้เขา ถึงเวลาเขาก็เอาสิ่งที่ฝึกได้นั่นแหละมาใช้งานคืน ทุกขะโต ทุกขะถานัง ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว
เรื่องของผู้ก่อการร้ายเป็นเรื่องของผู้เฝ้าระวังกับผู้ก่อเหตุ คนเฝ้าระวังอย่างไรก็ต้องเผลอจนได้แหละ ใครมีวัตถุมงคลที่มั่นใจว่าป้องกันนิวเคลียร์ได้ก็พก ๆ ไว้บ้างนะ บ้านเขานี่ต้องการจะหักจีนลงมา เพราะจีนชักจะล้ำหน้าล้ำตา แล้วการที่จะหักล้างประเทศมหาอำนาจขนาดนั้นได้ ก็ต้องเล่นกันด้วยนิวเคลียร์ แล้วลมจากจีนก็พัดเข้าไทย ต่อให้ไม่มีลม พวกกระแสก็ลอยมาทางบ้านเราอยู่ดี
ถ้าได้ยินข่าวว่าถล่มกันด้วยนิวเคลียร์แล้ว ก็งัดพระเครื่องกันนิวเคลียร์มาแขวนนั่งภาวนาไป จะเป็นสมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมากของวัดท่าซุงก็ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำไม่ได้ให้รวยอย่างเดียว ท่านตั้งใจทำไว้ให้กันนิวเคลียร์ด้วย จำนวนสร้างทั้งรุ่นก่อนรุ่นหลัง สมเด็จคำข้าว ๕,๑๐๐,๐๐๐ องค์ มีรุ่นพิเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ ก็เป็น ๕,๒๐๐,๐๐๐ องค์ สมเด็จหางหมากนี่แสนเดียว รุ่นหลังไม่ทราบว่าเท่าไร คนบ้านเรามี ๖๐ กว่าล้านคน จะ ๗๐ ล้านอยู่แล้ว แล้ว ๕ ล้านองค์ที่ว่านี่ บางทีอยู่กับบางคนเป็นร้อยองค์เลย..!
ของวัดท่าขนุนก็หาพระนาคปรกฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตีหรือพระกริ่งพิชัยสงครามไว้บ้างนะ อาตมาทำไว้ให้ตีกับชาวบ้านโดยเฉพาะ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะหล่อพระเนื้อเงินสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว เพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๕ รอบ จะหล่อวันที่ ๒๙ มีนาคมตรงนี้ ตรงสวนนี้ (บ้านวิริยบารมี) เพราะวันที่ ๒ เมษายน พระองค์ท่านก็ ๖๐ พรรษาแล้ว
อาตมาสร้างพระใหญ่หน้าวัดถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๘๐ พรรษา สร้างห้องสมุดถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ๖๐ พรรษา สร้างหลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพรหินเขียวถวายในหลวง ๘๔ พรรษา คราวนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๖๐ พรรษาแล้ว จึงสร้างถวายพระองค์ท่านเสียอีกองค์หนึ่ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นห่วงสถานการณ์ในบ้านเรา เพราะว่าเล่นของสูงกันหนักขึ้นเรื่อย ๆ ที่ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอม แปลว่าชักจะไม่คำนึงถึงวิธีที่ใช้ ส่วนเรื่องการวางระเบิดที่สยามพารากอนนั้น ก็อยู่ในลักษณะของสร้างสถานการณ์ โดยไม่ได้สนใจว่าชาวบ้านจะเป็นตายร้ายดีหรือเปล่า
จะว่าไปแล้วรัฐบาลทุกรัฐบาลต่างก็จะต้องช่วงชิงกระแส ถ้าจำเป็นก็ต้องสร้างสถานการณ์ แล้วคราวนี้ในเมื่อต่างคนต่างทำมา กลายเป็นลักษณะไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ พอทำก็รู้ว่าเป็นใคร แต่ว่าบ้านเราเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า พอถึงเวลาก็จะชี้นิ้วไปยังฝ่ายตรงข้ามทันที ทั้ง ๆ ที่อาจจะเป็นมือที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ก็ได้ แล้วพอถึงเวลาก็กลายเป็นนำกระแสไป
หลายครั้งแล้วในบ้านเรา อย่างการตายของคุณเอกยุทธ อัญชันบุตร พยายามที่จะดึงการเมืองมาเกี่ยวข้อง ทั้ง ๆ ที่การพิสูจน์หลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ทุกอย่างก็ลงไปที่การฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หน้าที่ของสามีก็คือ ให้เกียรติยกย่องภรรยาของตน ไม่ดูหมิ่นภรรยา ไม่ประพฤตินอกใจภรรยา มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้ ถึงเวลาก็หาซื้อเครื่องประดับให้เป็นรางวัลบ้าง พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้หมดแล้ว
หน้าที่ของภรรยาก็ ดูแลการบ้านการเรือนดี สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีดี ไม่ประพฤตินอกใจ รักษาทรัพย์สมบัติที่สามีหามาได้ ขยัน..ไม่เกียจคร้านในกิจการงานทั้งปวง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำนวน "ป่วยการเมือง" มาจากประเทศจีน ในประเทศจีนส่วนใหญ่เขาจะสร้างบ้านเป็นลักษณะบ้าน ๔ องค์ ก็คือ ถ้าเป็นวัดก็ลักษณะมีระเบียงคดล้อมลานกว้างไว้ แล้วบ้านจะมีหอกลาง หอหลัง หลายต่อหลายหลัง คราวนี้ถ้าไม่ยินดีรับแขกคนไหนก็อ้างว่าป่วย แล้วพวกแขกที่ไม่อยากรับก็คือ พวกบรรดาที่มาให้ช่วยเหลือเรื่องการเมืองในส่วนที่ไม่ควรจะช่วย จนกระทั่งมีสำนวนว่าป่วยการเมือง อ้างว่าป่วย รับแขกไม่ไหว แขกมาได้แค่หอหน้า ไม่ได้เข้าด้านใน ๆ ก็ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือเปล่า ได้แต่ผิดหวังกลับไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่เวลาเขาถวายสังฆทาน เผลอเมื่อไรมักจะถวายเงินข้ามเศียรพระพุทธรูปทันที อาตมาอุตส่าห์เอื้อมไปรับด้านข้าง ปรากฏว่าโยมส่งข้ามเศียรพระทุกที..!"
ถาม : ที่บ้านมีหุ่นอยู่สามหุ่นมาตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้... ?
ตอบ : ฟังให้ดี ๆ นะ ลูกกรอกกับกุมารทองเป็นคนละอย่างกัน กุมารทองนั้นในสมัยโบราณเขาสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะใช้ลูกชายคนหัวปีก็คือคนแรก แล้วก็ต้องรอจนกว่าจะหาเด็กได้ สมัยก่อนการแพทย์ไม่ทันสมัยเหมือนสมัยนี้ ผู้หญิงคลอดลูกแล้วตายกันบ่อย เขาเรียกว่าตายท้องกลม ความจริงต้องเรียกว่า "ตายทั้งกรม" คือตายหมดทั้งแม่และลูก แต่คำเพี้ยนมาเป็น "ตายท้องกลม" ต้องไปทำพิธีเอาศพเด็กในท้องมา แล้วทำพิธีกรรมในการย่างเด็กให้แห้ง แบบที่ "เณรแอ" โดนจับไปนั่นแหละ สมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว จากนั้นก็ปลุกขึ้นมาใช้งาน ถ้าลักษณะนั้นถึงเวลาก็จะปรากฏรูปร่างเป็นผีตัวใหญ่ มีฤทธิ์มากน้อยเท่าไร ตามกำลังของคนที่ปลุกเขาขึ้นมา ถ้าคนปลุกได้ฌานได้สมาบัติ เขาก็จะมีกำลังสูง
ส่วนลูกกรอกเกิดโดยธรรมชาติ เป็นโอปปาติกะประเภทกึ่งผีกึ่งเทวดา ถ้าผู้หญิงคนไหนมีลูกกรอก จุดที่เห็นได้ชัดที่สุดคือที่ท้อง เดี๋ยวก็โตเดี๋ยวก็ยุบ คือถ้าเขานึกอยากไปเที่ยวก็ท้องยุบ ถ้ากลับมาก็ท้องโตใหม่ จนกระทั่งเขาพอใจก็คลอดออกมาตามปกติ แต่จะตัวนิดเดียว มีหัวหูหน้าตาครบถ้วนดี ถ้าพวกลูกกรอกนี่ส่วนใหญ่แล้วจะต้องเรียกให้เขากิน แต่กุมารทอง ถ้าเป็นอาตมาก็ถวายสังฆทานให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย
ถ้าลูกกรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงจะแนะนำว่าให้ถวายสังฆทานให้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วกำลังเขาน้อย ถึงเวลาพวกหมอผีที่รู้ก็จะเรียกไปใช้งาน ท่านบอกถ้าถวายสังฆทานให้เขาจะมีกำลังเท่ากับเทวดา คราวนี้หมอผีก็หมดสิทธิ์ที่จะเรียก
สมัยก่อนกุมารทองต้องทำจากเด็กจริง ๆ มาระยะหลัง ๆ มีหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ที่นครปฐม ท่านเอาเถ้ากระดูกของเด็กที่เผาศพแล้ว ซึ่งเด็กเขายังไม่ไปเกิด สมมติว่าเด็กอายุเขา ๑๐๐ ปี เกิดมาพักเดียวก็ตายแล้ว เหลือเวลาอีกเกือบ ๑๐๐ ปี ท่านก็เอาเถ้ากระดูกมาปั้นเป็นรูปเด็ก เสร็จแล้วก็น่าจะมีการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาอะไรให้ เพราะท่านบอกว่าท่านทำจนเป็นเทวดาหมดแล้ว ถ้าญาติโยมคนไหนลำบาก ท่านก็ให้ไปช่วยในเรื่องการค้าขาย แล้วเจริญรุ่งเรืองกันดี เขาก็เลยนิยมกุมารทองหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่ามกัน สามง่ามที่นครปฐมนะ ไม่ใช่สามง่ามที่นนทบุรี
คราวนี้ก็มีคนสร้างเลียนแบบกันมาเรื่อย ๆ แต่ว่าเลียนได้แค่แบบ ไม่รู้ของจริงเลียนได้เท่าไร แล้วก็มีพัฒนาการจากใช้ศพเด็กจริง ๆ มาเป็นหุ่น เสร็จแล้วก็มีทำเป็นตัวเล็กตัวใหญ่ มาระยะหลังก็ยังมีอีกประเภทหนึ่งที่มักเข้าใจว่าเป็นกุมารทอง ก็คือรูปแกะสลักตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในขวดน้ำมัน พวกนั้นเขาเรียกว่า "รัก-ยม" สมัยก่อนเขานิยมแกะสลักขึ้นมาจากกาฝากต้นรัก หรือว่ากาฝากต้นมะยม เสร็จแล้วก็ปลุกเสกตามพิธีกรรมตามตำราเขา ไปที่ไหนก็จะเป็นที่รักใคร่เมตตา พวกนี้ก็ต้องเรียกให้กินเหมือนกัน
ถาม : อย่างนี้เราควรทำอย่างไร ?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป แล้วเขาจะไปเกิดภพไหนภูมิไหนก็ไป
ถาม : เพื่อนเขาตาเจ็บมานานแล้วค่ะ ?
ตอบ : แล้วหมอว่าอย่างไรบ้างจ๊ะ ?
ถาม : หมอบอกเป็นกรรมพันธุ์ ?
ตอบ : กรรมพันธุ์ภาษาพระท่านเรียกว่ากรรมเก่า ไปดูว่าใครเขาจะสร้างพระ แล้วไปขอเป็นเจ้าภาพสร้างเนตรพระ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ถ้าเป็นพระองค์ใหญ่ก็จะมีเนตรที่เป็นมุกกับนิล ก็ไปบอกขอเป็นเจ้าภาพ มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาถามหมอนพพรจะขอเป็นเจ้าภาพ แต่เขาจองกันหมดแล้ว
ถาม : เป็นเจ้าภาพร่วมได้ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วควรจะทำเอง ทำคนเดียวชุดหนึ่งเลย ๕๐๐ - ๖๐๐ บาทเท่านั้น เคยเห็นไหม ? เนตรพระจะมีนิลกลม ๆ โตหน่อย แล้วจะมีเปลือกหอยมุกที่เขาตัดเป็นตาขาว อย่างเก่งก็ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ บาท ทำไปเถอะ แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ให้คนอื่นเขาเป็นกรรมพันธุ์ต่อไป ส่วนเราก็เลิกเป็น
หรือไม่อีกวิธีก็ให้เสกน้ำล้างหน้าทุกวัน ใช้คาถา สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ จำได้ไหม ? ถ้าจำไม่ได้ก็ไปหาซื้อหนังสือมนต์พิธีเล่มละ ๒๐ บาท มีอยู่ในนั้น
ถาม : บ้านเมืองถ้าไม่มีขื่อมีแปก็อยู่ไม่ได้ ?
ตอบ : บ้านเรามีขื่อมีแป แต่เป็นขื่อแป ๒ มาตรฐาน ไปนึกถึงสมัยราชวงศ์หมิง หมิงไท่จู่ก็คือจูหยวนจางขึ้นครองราชย์ พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี แต่ปรากฏว่าพวกบรรดาข้าราชการโกงกันสะบั้นหั่นแหลก โกงขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของภาษีทั้งประเทศ ๒๔๐ หมื่นตำลึง โกงกันได้ขนาดนั้น ๒๔๐ หมื่นเป็นสมัยนี้ยังรู้สึกสยดสยองเลย ๑๐๐ หมื่นก็ ๑ ล้าน นี่ ๒๐๐ กว่าหมื่น แล้วนั่นคนเดียว คิดดูว่าที่เหลือโกงกันไปเท่าไร ?
แล้วคนเขาว่าจูหยวนจางเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายมาก พอชิงแผ่นดินได้แล้วก็ฆ่าคนโน้นฆ่าคนนี้ ท่านตั้งใจทำเพื่อให้เขาหลาบจำ ท่านอุตส่าห์ให้นโยบายว่า ประเทศเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากสงคราม เหมือนลูกนกเพิ่งหัดบิน เหมือนหน่ออ่อนที่เพิ่งปลูกลงไป จะไปจับนกถอนขนหรือจะไปโยกรากเพื่อให้หน่ออ่อนเคลื่อน เดี๋ยวก็ตาย ขนาดพระองค์ท่านสั่งห้ามเด็ดขาด ก็ยังทำกันได้ขนาดนั้น
ส่วนบ้านเราอาตมาเห็นคาตา ถึงวันที่ ๓๐ กันยายนแล้วเพิ่งใช้งบประมาณได้ ๓๐ เปอร์เซ็นต์เอง อีก ๗๐ เปอร์เซ็นต์เขาใช้หมดภายในวันนั้นเลย เพราะว่าช่วงนั้นไปช่วยงานเผยแผ่จริยธรรมพอดี ก็เลยมีโอกาสเข้าไป คือ เสนอโครงการไปก็ต้องมีส่วนของงบประมาณอยู่ จึงได้เข้าไปดู เขาตั้งโต๊ะเซ็นอนุมัติทุกโครงการ พอเที่ยงคืนตรง วางปากกา เปิดแชมเปญฉลองกันเลย สรุปว่าทั้งปีใช้ ๓๐ บาท อีก ๗๐ บาทใช้หมดภายในวันเดียว ถามเขาว่าทำไมไม่ส่งคืน ? เขาบอกว่าถ้าส่งคืนต่อไปจะขอใหม่ไม่ได้ สรุปว่าบ้านเราที่เจริญมาจนทุกวันนี้ พัฒนาด้วยงบประมาณไม่เกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือกินกันหมด..!
ถาม : งบประมาณเหลือก็ไปสัมมนาต่างจังหวัดกัน ?
ตอบ : ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน อย่างงบประมาณดูงาน จริง ๆ ก็คือให้เขาพาลูกพาเมียไปเที่ยว ไปดูงานเท่าไร ๆ ทำไมบ้านเราจึงไม่ดีกว่าเดิม อาตมาไปดูงานยุโรปเสร็จแล้วเขียนสรุปส่งท่านอาจารย์ ๕ บรรทัด ท่านอาจารย์ตกตะลึง ถามว่า “เอาแค่นี้จริง ๆ หรือ?” บอกว่า “แค่นี้จริง ๆ ครับ”
อาตมาสรุปว่า ถ้าเรารักษาของเก่าจนขายได้แบบอิตาลี รักษาธรรมชาติจนขายได้แบบสวิตเซอร์แลนด์ แล้วก็สร้างแบรนด์จนขายได้แบบฝรั่งเศสก็พอแล้ว แต่ทั้งหมดนี่ไม่ต้องทำหรอก แค่สร้างจิตสำนึกคนของเราให้เท่าเขาก็พอแล้ว ตกลงไปดูงาน คนอื่นเขาเขียนรายงานกันหนาเป็นปึก ของอาตมามีรายงานอยู่ ๕ บรรทัด แล้วไม่เต็มบรรทัดด้วย
ถาม : ถ้ามีคนที่ไม่ชอบเรา ?
ตอบ : แผ่เมตตาให้เขาบ่อย ๆ พยายามมองเขาให้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายให้ได้ โดยเฉพาะบุคคลที่ทำในสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ คนทั้งหลายเหล่านี้ยังต้องรับทุกข์รับโทษในวัฏสงสารอีกยาวไกลไม่รู้จบ เพราะฉะนั้น..เขาเองเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่าน่าโกรธ
พยายามคิดให้ได้ แรก ๆ ก็คิดยากหน่อย คิดทีไรก็โดนต้านทุกที เอาเป็นว่าอันดับแรกทำสมาธิให้มั่นคงให้ได้ก่อน ถ้ามีสมาธิมั่นคง จะมีกำลังในการระงับยับยั้ง ไม่ใช่ไม่โกรธ ยังโกรธอยู่แต่ระงับได้ หลังจากนั้นก็พยายามคิดพิจารณาให้เห็นอย่างที่ว่า เราเองจะโกรธหรือไม่โกรธเขาก็แก่แน่ ๆ เขาก็ตายแน่ ๆ เขาก็เจ็บไข้ได้ป่วยแน่ ๆ ในเมื่อเขาก็เป็นขนาดนั้นแล้วเรายังจะไปซ้ำเติมเขาทำไม ?
อันดับแรกเอาสมาธิก่อน ถ้าสมาธิทรงตัวเดี๋ยวก็มีปัญญาเอง จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อันดับแรกก็ระงับได้ก่อน แต่ระงับได้ก็เหมือนกับขังเสือไว้ในอก อกจะแตกตาย หลังจากนั้นพยายามแผ่เมตตา พยายามคิดปลดวางให้ได้ หรือไม่ไหวจริง ๆ จะคิดแบบผสมความโกรธไปก็ได้ คนแบบนี้ไม่มีคุณค่าพอที่เราจะไปนั่งคิดถึงหรอก..!
ถาม : อ้าว..?
ตอบ : ก็กำลังยังไม่พอนี่ ในเมื่อกำลังยังไม่พอ อาศัยความโกรธเป็นพื้นฐานเอา
ถาม : มีคนขับรถมาแบบไม่มีมารยาท ทำให้เราโกรธ ก็มาคิดว่าเขาขับมาแค่วินาทีเดียว เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำให้เราโกรธได้ขนาดนี้
ตอบ : เขาไม่มีคุณค่าพอที่เราจะไปคิดหรอก
ถาม : ถ้าสมาธิทรงตัว ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ รัก โลภ โกรธ หลงกินไม่ได้ นิ่งอยู่ข้างในไม่ส่งออกนอก
ถาม : ไม่ได้สมาธิทรงตัวตลอดเวลา ?
ตอบ : ใหม่ ๆ ก็ได้พักเดียว ต้องซักซ้อมทำบ่อย ๆ ถ้าทำบ่อย ๆ ก็จะได้ข้ามวันข้ามคืน แต่ก็ยังไม่แน่ เพราะถ้าเผลอเมื่อไรก็หลุดอีก ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าอยู่ตรงนี้จะไม่คิด แต่ถ้าเผลอไปเมื่อไร รีบกลับมาตรงนี้ใหม่ คือให้คิดถึงลมหายใจเข้าออก แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น รู้ตัวว่าคิดเรื่องอื่นเมื่อไร รีบดึงกลับมาตรงนี้ แรก ๆ ก็สนุกสนาน หายใจไม่ทันจะเข้าเลย คิดเรื่องอื่นแล้ว หลังจากพยายามต่อไปก็เข้าออกไม่คิด พอจะเข้าใหม่คิดอีกแล้ว แล้วก็เริ่มต้นดึงกลับมาใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนได้ลมหายใจสัก ๕ คู่ ๑๐ คู่โดยไม่คิดอะไร คราวนี้ก็จะเริ่มมีกำลังขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็จะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ
ถาม : ปลัดขิกแบบนี้ดีทางไหน ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะว่าไม่ได้ศึกษาสายนี้มา ปลัดขิกบ้านเราที่ดังจริง ๆ ต้องหลวงปู่อี๋ วัดสัตหีบ เคยมีคนโดนต่อต่อย คิดอะไรไม่ออก ตัวเองพกปลัดขิกหลวงปู่อี๋อยู่ ก็เลยอธิษฐาน เอาปลัดขิกแตะตรงที่โดนต่อย เขาบอกว่ารู้สึกเลยว่ามีอะไรบางอย่างโดนดึงออกจากตัว แล้วความปวดก็หาย เขาโดนต่อยเป็น ๑๐ ทีเลยนะ บอกว่าถ้าไม่มีปลัดขิกหลวงปู่อี๋คาดว่าคงตายแน่
อีกรายที่ทำแล้วดังก็คือ หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ทางด้านกุยบุรี แล้วก็มีหลวงปู่ซ่วน วัดท่าลาดใต้ นั่นน่าเสียดาย เพราะว่าท่านทำแล้วมีผล คนก็เลยไปสร้างเสียเต็มไปหมด แล้วแต่ละอันก็ใหญ่เป็นเสาเลย ทำให้กลายเป็นทัศนะอุจาดภายในวัดไป ท่านก็เลยโดนทางคณะสงฆ์สอบสวน แล้วสั่งระงับไม่ให้ทำอีก
ความจริงวิชาการที่ท่านศึกษามามีผล แต่เสียดายว่าสิ่งที่ทำนั้นนอกเขตพระพุทธศาสนาเกินไป ปลัดขิกนี่มาจากศิวลึงค์ของทางด้านฮินดู เขาถือว่าเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ ก็จะมีสร้างศิวลึงค์กับอุมาโยนี ซึ่งพลังในการให้กำเนิดก็คือพลังในการสร้างโลก โบราณที่เขารู้เคล็ดก็สามารถที่จะทำจนใช้งานได้จริง
พระอาจารย์กล่าวว่า "คณะสงฆ์ทองผาภูมิตอนนี้มีตำแหน่งว่างเยอะเลย ไม่ต้องแย่งชิงกัน ว่าง ๒ เจ้าคณะตำบล กับ ๑ รองเจ้าคณะอำเภอ และอีก ๑ เจ้าคณะอำเภอ กลายเป็นว่าคนเหมาะสมมีน้อย แต่ตำแหน่งมีมาก อาตมาที่ไม่คิดจะแย่งจะชิงกับใครก็เลยเหมือนกับโดนเขาจับยัด บอกไปว่าเห็นใครเขาอยากได้ให้เขาไปก่อน แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ต้องไปแย่งไปชิงกับใครหรอก ถึงเวลาก็มาเอง คนอื่นเขาไม่ได้มองแง่เดียวกับอาตมา เขามองว่าต้องได้
เหมือนอย่างคราวที่แล้ว อาตมาลาออกจากเจ้าคณะตำบล หลวงพ่อพรหมดิลกซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้าคณะภาคด่าเช็ดเลย ท่านด่าอาตมาหนัก ๆ ๒ ครั้ง ครั้งแรกก็คือเรื่องลาออก ครั้งที่สองคือเรื่องที่ท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิ ตอนยังเป็นพระธรรมสิทธิอยู่ ให้อาตมาไปเอาพระครูปลัดแล้วอาตมาไม่ไป โดนชยันโตเสียยับเยิน คือรู้สึกว่าถ้าเป็นหนี้บุญคุณแล้วชดใช้ยาก จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เขารู้กันหมดแล้วว่า ถ้าอาจารย์เล็กจะเอาคือขอให้คนอื่น ถ้าให้มาก็รับ แต่ให้คนอื่นต่อ"
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไปหาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงมาจ้ะ เจอหน้าก็ป้ายเลย
ถาม : ถ้าเราให้เขากินน้ำมนต์
ตอบ : น้ำมนต์นี่ต้องให้เขากิน แต่ถ้าน้ำมันชาตรีนี่แค่ทาก็ได้ผลแล้ว แล้วเขาจะยอมกินหรือ ? แต่ว่าเอาตัวต้นเหตุออกจากบ้านไปก่อนนะ ไอ้ของที่เขาส่งมา ไม่อย่างนั้นถ้ายังอยู่มันก็เหมือนกับมีเครื่องรับ ส่งคลื่นกวนอยู่ตลอด
ถาม : ถ้าเขาพกไปด้วย ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเจอหน้าป้ายไว้ก่อน สมัยก่อนเขาป้ายน้ำมันพรายใช่ไหม ? สมัยนี้เราป้ายน้ำมันชาตรี จุดมุ่งหมายคนละอย่างกัน สมัยก่อนเขาป้ายทำเสน่ห์ ของเรานี่ป้ายแก้เสน่ห์
เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งเขาเล่าประสบการณ์ที่โดนป้ายน้ำมันพรายให้ฟัง อยู่ ๆ ผู้ชายก็มาคว้าแขนข้างที่เขาใส่นาฬิกา “น้อง..ขอดูเวลาหน่อย” แกก็ก้มดู ปรากฏว่าสร้อยที่ห้อยพระแปะไปตรงรอยป้ายพอดี เขาบอกว่ามีควันขึ้นแล้วกลิ่นเหม็นอย่างกับเนื้อเน่า เขารู้เลยว่านี่เล่นน้ำมันพราย ยังดีที่บุญรักษาพระคุ้มครอง ก้มลงพระที่แขวนอยู่ก็ไปโดนรอยป้ายเข้าพอดี
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครบูชามีดหมอไปแล้วโดนระเบิดตายเองบ้าง ? ข้อห้ามเขามีอยู่แล้ว รักษาข้อห้ามไม่ได้ก็โดนระเบิดตายเอง ความจริงน่าจะเปิดกระทู้ให้เขาเล่าประสบการณ์บ้างนะ"
พระอาจารย์พูดถึงหลวงพ่อจำเนียรว่า "ท่านไม่หวงของ ที่เห็นอยู่เต็มตัว เวลาไปพุทธาภิเษกแล้วเจอหน้ากัน ชอบองค์ไหนก็ชี้ ท่านก็ปลดให้เลย ครั้งสุดท้ายไปพุทธาภิเษกกันที่เชียงใหม่ พอชี้ท่านก็ปลดให้เลย ได้ยินว่าตอนนี้ท่านมาอยู่แถวราชบุรี หรือเพชรบุรีก็ไม่รู้"
ถาม : เพื่อนฝากถามว่า ตอนนี้เขาเผชิญความทุกข์อย่างหนัก เขาบอกว่าเขาเห็นทุกข์ แต่เขาจมลงไปกับทุกข์ เขาไม่สามารถมองให้เป็นธรรมดาได้ ?
ตอบ : ปัญญายังไม่พอ
ถาม : แล้วเขาต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : รักษาศีล เจริญสมาธิ แล้วตั้งใจพิจารณาบ่อย ๆ ถ้ากำลังเพียงพอวันไหนก็จะเห็นจริงเอง เป็นคนโชคดีที่สุด แต่ใช้สิ่งที่ได้รับมาไม่เป็น จะมีสักกี่คนที่ทุกข์จนกระทั่งเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน แต่น่าเสียดายที่เห็นแล้วไม่สามารถที่จะปล่อยวางได้ เพราะว่ากำลังไม่พอ โดยเฉพาะปัญญาไม่พอ ปัญญาไม่พอก็เกิดจากสมาธิไม่พอ แย่พอกัน ไปเริ่มต้นว่ากันใหม่ คงจะได้สักวันหนึ่ง
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีเขาก็ตั้งชื่อเสียจนอ่านไม่ออก ถ้าเป็นตำราอาตมาก็ถือว่าใช้ไม่ได้ ในเมื่อชื่ออ่านยาก แล้วชีวิตจะง่ายได้อย่างไร ?"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พอพุทธาภิเษกมีดหมอเสร็จ ก็ไปขึ้นเครื่องบินเพื่อไปเชียงใหม่ต่อ ทางด้านอาจารย์โต วัดพระบาทปางแฟน ท่านนิมนต์ไว้นานแล้ว แต่ไปไม่ได้สักครั้ง มาครั้งนี้ท่านให้กำหนดวันเอง ก็กำหนดล่วงหน้าไป ปรากฏว่าปฏิทินใหม่ที่ออกมา เวลาที่เขาคิดกับของอาตมาไม่ตรงกัน ก็เลยกลายเป็นวันเสาร์ ๕ ทำให้จัดงานที่วัดเสร็จก็ต้องวิ่งไป เพราะวันอาทิตย์เป็นงานพุทธาภิเษกของท่าน ก็เลยเป็นการเดินทางที่ฉุกละหุกมาก พอพุทธาภิเษกเสร็จก็นั่งเครื่องบินกลับ
ไปตากแดดอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมง เกรียมไปเลย เพราะท่านพุทธาภิเษกในโบสถ์ที่สร้างใหม่ ซึ่งมีแต่ข้างฝา ยังไม่มีหลังคา นั่งตั้งแต่ประมาณ ๘ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงครึ่ง คราวนี้อาตมามานั่งตรงที่ประธาน ซึ่งตรงกับประตูพอดี ทิศตะวันออกเต็ม ๆ เลย โดนแดดเผาจนไม่รู้จะทำอย่างไร บรรดาท่านที่รับผิดชอบงานเดินเข้าเดินออก ก็ไม่มีใครสนใจสักคนหนึ่ง ว่าแดดโดนเต็ม ๆ อย่างนั้น ก็เลยต้องนั่งไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย เสร็จจากพุทธาภิเษกนี่แสบหลังเลย "
https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t34.0-12/10979206_662822883844015_1030610569_n.jpg?oh=d19c3face3e1377cf5b4272c4ecc3dee&oe=54DCA2B1&__gda__=1423750945_7b4923dbdcb49df94a7b11ad27ceb778
"ไปเชียงใหม่ครั้งนี้คุ้มค่าตรงที่ว่า เจอโยมคนหนึ่งสงสัยว่าตัวเองผิดปกติไปหรือเปล่า ? พอเขาเอ่ยปากถามมา อาตมาก็เลยถามกลับว่า ผิดปกติตรงไม่เห็นว่าอะไรสำคัญเลย เห็นทุกอย่างเสมอกันหมดใช่ไหม ? เขาบอกว่าใช่ คนอื่นเห็นเจ้าใหญ่นายโตก็รู้สึกกลัวรู้สึกเกรง เขาก็รู้สึกว่าคนเหมือนกัน ก็เลยบอกไปว่านั่นเริ่มบ้าแล้ว
พอถึงเวลาแล้ว คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของทั้งหมด ก็สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม เป็นธาตุทั้งนั้น ไม่มีอะไรสำคัญ ไม่มีอะไรให้ยึดมั่น แต่คราวนี้พอไปอยู่ในแวดวงการทำงาน ก็เลยกลายเป็นว่าแปลกแยกจากคนอื่นเขา ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นอาตมาแปลกแยกมานานแล้ว เพราะไม่เห็นความต่างของคนรวยคนจน ว่านายพลนายพันต่างกับตาสีตาสาอย่างไร เขาถามว่าต้องทำอย่างไรต่อ บอกให้ไปทบทวนของเก่าที่ทำมาบ่อย ๆ เคยคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร แล้วอารมณ์ใจอย่างนั้นเกิดขึ้นก็ให้ไปทำใหม่ ทวนแล้วทวนอีกจนมั่นใจว่าเป็นของเราแน่ ๆ"
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่ไม่ได้พบกันหลายปีว่า "ก่อนหน้านี้อยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ พอปี ๒๕๕๓ ก็ย้ายมาที่นี่ เพราะว่าทางด้านโน้นพื้นที่ไม่พอ ตอนกลางคืนเจริญกรรมฐานแทบจะขี่คอกัน เลยทำให้คนส่วนหนึ่งเสียโอกาส เพราะว่าพอเบียดกันมาก ๆ เขาก็ไม่มา ท้ายสุดก็เลยต้องหาที่ใหม่
พอหาที่ใหม่ก็กะว่าให้ญาติโยมเขาสะดวกหน่อย จึงหาที่มีรถไฟฟ้าผ่าน ปรากฏว่าคนอื่นรู้เร็วกว่า เมื่อรู้เร็วกว่าอาตมาเลยต้องซื้อตรงนี้แพง ๒๔๐ ตารางวา จะให้เขาสร้างเป็นศาลายาว ๆ แบบศาลาปฏิบัติธรรม ช่างไม่ยอมทำให้ บอกว่าไม่มีฝีมือ โห..ว่าเสียเลย เขาว่าแบบนั้นให้ใครทำก็ได้ ไม่ต้องให้เขาทำหรอก แล้วเขาก็ทำอีกอย่างหนึ่ง ไว้ฝีมือ..ไม่ยอมทำตามใจ จึงเท่ากับว่าเสียพื้นที่ไปส่วนหนึ่ง
ตอนนี้ช่วงปฏิบัติธรรมภาคค่ำก็เริ่มแน่นแล้ว ถ้ามีอีกครึ่งหนึ่งอย่างที่อาตมาต้องการ ก็จะใช้งานได้ดี ตอนนั้นซื้อตรงนี้ไป ๑๓ ล้าน ๕ แสนบาท เพราะเขารู้ว่ารถไฟฟ้าจะผ่านจึงขายแพง คราวนี้พอสร้างบ้านเสร็จ รัฐบาลนายกฯ ทักษิณโดนล้ม รถไฟฟ้าสะดุดไปปีกว่าเกือบสองปี เพิ่งมีปีที่แล้วกับปีนี้ที่สะดวกจริง ๆ ก่อนหน้านี้ก็เอารถมากันบ้าง นั่งแท็กซี่มากันบ้าง ตอนนี้มารถไฟฟ้า ใคร ๆ ก็มาได้สะดวก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอสมัยก่อนก็คือมีดใช้งานนั่นแหละ ส่วนใหญ่ชาวบ้านไปไหนก็มีมีดติดตัวไปเล่มเดียว ไปหากินเอาข้างหน้า ขุดเผือกขุดมันแทนข้าว หาหอยหาปูหาผักเป็นกับข้าว มีดเล่มเดียวเขาอยู่ได้
เวลาไปเจอพวกกะเหรี่ยงอาตมารู้สึกเขาสมถะกว่าพระอีก มีมีดอยู่เล่มหนึ่ง นุ่งกางเกงขาสามส่วน ผ้าขาวม้าเคียนหัว เสื้อบางทีก็ใส่บ้างไม่ใส่บ้าง แล้วมีย่ามเล็ก ๆ นิดเดียวประมาณ ๒ ฝ่ามือ ส่วนใหญ่ก็ใส่พวกยาสูบกับไฟแช็กก็ไปได้แล้ว ของอาตมามีทั้งกลด ทั้งบาตร ทั้งจีวรทั้งกระติกน้ำ โห..หนักอย่าบอกใครเลย
มาระยะหลังที่ออกธุดงค์ ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้พกอะไรไปเลย พระอื่นเจอเข้าก็ตกใจ ถามว่าพวกท่านมาทำอะไรกันนี่ ? “ก็มาธุดงค์เหมือนกับคุณนั่นแหละ” แล้วไม่มีอะไรเลยหรือ ? บอกไปว่า “มีเยอะแล้ว” เขาไม่รู้หรอกว่าที่ไม่มีอะไรเลยของอาตมา อยู่ป่าได้นานกว่าเขาอีก นี่ถ้าไม่ติดขัดด้วยพระวินัยว่า พระไปไหนจะต้องเอาผ้าไตรไป ดีไม่ดีผ้าไตรก็อาจเหลือแค่ชุดที่ใส่นี่แหละ
ที่อาตมาเป็นมาลาเรียก็เพราะอย่างนี้ เพราะว่าระยะหลังไม่ได้เอากลดไป ถึงเวลาก็ใช้จีวรตีโปงนอน ไปนึกถึงพระสมัยโบราณว่าท่านก็ไม่ได้ใช้กลด สมัยพุทธกาลท่านก็อยู่ใต้โคนไม้ ท่านจะเอากลดที่ไหนมา แล้วอากาศที่อินเดียร้อนหนาวดุเดือดกว่าเราตั้งเยอะ บทหนาวขึ้นมาก็หนาวจะแย่ ท่านยังอยู่กลางแจ้งกันได้"
พระอาจารย์กล่าวถึงพระปิดตามหาอุตม์รุ่นนี้ว่า “จะบอกว่าของใหม่ก็ไม่ใหม่หรอก เป็นพระปิดตามหาอุตม์ที่อาตมาซ้อมทำไว้หลายปีแล้ว เพิ่งจะไปค้นเจอ ด้านหลังที่เป็นเลข ๕ นั้นเป็นสัญลักษณ์ว่าพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ถ้าหากว่าสัญลักษณ์นะโมตาบอดนั้นเป็นของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จังหวัดชัยนาท ใช้ได้ทั้งแคล้วคลาด คงกระพัน ล่องหนหายตัว หน้าตาอาจจะออกมาไม่สวยนัก เพราะว่าเวลาพิมพ์แล้วเนื้อเกินเขาก็ใช้มีดตัดเอา บางองค์ตัดมาเป็นเหลี่ยม ๆ เลย แต่ว่าคุณภาพคับแก้ว”
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/9weqt1423412154.jpg
พระอาจารย์กล่าวว่า “หล่อพระงวดนี้อาตมามีชนวนประหลาดที่คาดว่าคนอื่นคงไม่มีกัน ก็คือปลอกกระสุนปืนชาตรีที่เข้าพิธีตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง มีปลอกกระสุนเป็นลังเลย ถ้าอยากรู้ว่าทำไมมือปืนถึงเก่ง ก็เพราะเขายิงกันชนิดที่ปลอกกระสุนเป็นลัง ช่วงนั้นญาติโยมฝากปืนเข้าพิธี ๕ กระบอก ปืน ๕ กระบอกนี่ไม่ต้องถามว่ากระสุนปืนเท่าไร ส่วนใหญ่กล่องละร้อยนัด แล้วคนละ ๒-๓ กล่อง”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้ามีดหมอหลวมให้เอาผ้าแดงใส่ไปในฝักเลย เพราะว่าเรื่องของเทวดาโดยเฉพาะชั้นจาตุมหาราชนี่ สีแดงเป็นเครื่องหมายของท่าน ในเมื่อมีถุงแดงแล้วก็เอาผ้าแดงใส่ไปอีกชั้นหนึ่ง”
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีดใช้งานจะสวยทุกเล่ม เพราะว่าพอใช้ ๆ ไปแล้ว ทั้งด้ามทั้งใบจะเข้าที่ไปเอง ด้ามจะลื่น ใบก็จะลับจนคมกริบ”
ทิดตู่มากราบเรียนว่าจะไปแสดงเป็นพระยาพิชัยดาบหัก พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “อย่างไรก็จุดธูปบอกกล่าวท่านเป็นการต่างหากด้วยนะ ไม่อย่างนั้นหัวขาดไม่รู้ด้วย ท่านเองถ้าไม่มีอารมณ์ก็ไปนอนบนพรหม ถ้ามีอารมณ์ท่านก็ลงมาที่ชั้นจาตุมหาราช”
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่เอามีดหมอไปเข้าพิธีเพชราวุธ ถ้าจะให้อานุภาพเหมือนมีดหมอเพชราวุธเลยก็ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าไม่มีตะกรุด ๓ กษัตริย์ ไม่มีตะกรุดมหาสะท้อน ขณะเดียวกันครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ได้สงเคราะห์ให้เหมือนกับที่ท่านตั้งใจให้มีดหมอเพชราวุธ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ระเบิดนิวเคลียร์พอ ๆ กันนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามีดหมอเพชราวุธเหมือนกับเป็นสมาร์ทบอมบ์ ใช้งานได้สารพัดอย่าง แต่ของเราอาจจะต้องแบกวิ่งไปเอง อานุภาพเหมือนกัน เพียงแต่ต้องแบกวิ่งไปเอง แต่ว่าท่านให้ทุกด้านจริง ๆ แม้กระทั่งด้านลาภผล"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทองคำได้ประมาณ ๓๑ กิโลกรัมกว่า ๆ แล้ว เหลือประมาณ ๘ กิโลกรัมเศษ ใครจะถวายให้ครบทีเดียวก็ยินดีรับ ...(หัวเราะ)... ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อทองหรอก ถวายเป็นปัจจัยก็ได้ เพราะว่าถึงเวลาจะได้สั่งซื้อทีเดียว กำลังรอช่วงหลังตรุษจีนนิดหนึ่ง ช่วงนี้ที่ราคาทองขึ้นแล้วทรงตัวอยู่ เพราะอยู่ในภาวะพร้อมที่จะเกิดสงคราม ในเมื่อจะเกิดสงคราม ประเทศต่าง ๆ ก็ตุนทองไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย"
ถาม : ที่ผ่านมาท่านอาจารย์ผู้นำคณะมักจะพูดว่า เวลาที่เราทำอะไร ควรผลักดันให้คนเข้าใจในความสามัคคี ให้คนทำความดี ทำโดยเบื้องหลังซึ่งเขาไม่ได้กล่าวถึง คนเขาไม่รู้ว่าเราทำ เราก็ได้อานิสงส์ของความดีแล้ว แต่อย่างในบางคนที่เขายังไม่มั่นใจในตรงนี้ อยากถามว่า จะให้เขาเข้าใจได้อย่างไรคะว่าได้อานิสงส์แล้ว ?
ตอบ : ขอให้ได้ทำหน้าที่ก็พอแล้ว มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือตั้งใจทำก็เป็นบุญแล้ว อย่างสองคือ ทำโดยไม่ต้องหวังความสำเร็จก็ได้ แค่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ก็พอ เอาแค่นั้นเป็นหลัก อย่างอื่นไม่ต้องไปใส่ใจ
พระอาจารย์กล่าวว่า "คาถาเงินล้านดีตรงที่ว่ามีให้พร้อมทุกอย่าง มีลาภผล มีป้องกัน มีปัดอุปสรรค กลายเป็นว่าภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ความปลอดภัยก็มาด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ที่จะเกิดภาวะสงครามเพราะว่าสหรัฐบ้าอำนาจ ไปแส่หาเรื่องด้วยการเข้าไปเปลี่ยนแปลงการปกครองในยูเครน ถ้าสหรัฐทำสำเร็จ นาโตจะเข้าไปตั้งขีปนาวุธได้ เท่ากับจ่อคอหอยรัสเซียเลย รัสเซียก็ไม่ยอมจึงต้องแทรกแซง คราวนี้พอรัสเซียแทรกแซง สหรัฐก็บีบรัสเซียด้วยการร่วมมือกับทางตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียด้วยการทำให้ราคาน้ำมันตก เพราะรัสเซียอยู่ได้ด้วยน้ำมันกับแก๊สธรรมชาติ พอราคาน้ำมันตก รัสเซียก็อยู่ไม่ได้
แต่เขาลืมของตัวเองไป ลืมไปว่าตัวเองปล่อยกู้ให้บริษัทต่าง ๆ ไปทำโครงการที่เกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง ๙ ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาประมาณการว่า ถ้าน้ำมันอยู่ในระดับ ๑๐๐-๑๓๐ ดอลลาร์ต่อบาเรล บริษัทถึงจะมีกำไร คราวนี้อยู่ ๆ ลดฮวบลงมาเหลือไม่ถึงบาเรลละ ๕๐ ดอลลาร์ดีกระมัง ? บริษัทที่เอาเงินกู้ไปจะทำอย่างไร ? ก็ไม่มีปัญญาจ่ายคืน เศรษฐกิจจะไปไม่รอด ฉะนั้น..มีทางเดียวคือต้องล้มรัสเซียให้ได้ก่อน ก่อนที่บริษัทพวกนี้จะเจ๊ง กลายเป็นภาวะครึ่ง ๆ กลาง ๆ ต้องบอกว่าให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ลืมไปว่าตัวเองปล่อยกู้ให้บริษัทน้ำมันไปตั้ง ๙ ล้านล้านดอลลาร์"
ถาม : เดี๋ยวนี้คนฆ่ากันง่ายมาก ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเกิดจากการกระทำของเรา ความดีความชั่วไม่ได้ไปไหน พลังงานพวกนี้รวมตัวกัน พอรวมตัวกันอยู่ ความดีก็ดึงดูดคนดี ความชั่วก็ดึงดูดคนชั่ว แต่ตอนนี้คนทำชั่วมีมากกว่า พลังงานจำนวนมหาศาล ทำให้สติสัมปชัญญะของคนน้อยลง ทำความชั่วได้ง่าย ถ้ายิ่งเป็นผู้นำประเทศ แค่ตัดสินใจกดปุ่มนิวเคลียร์ แค่นี้ก็บรรลัยแล้ว
คราวนี้ไม่ได้รบกันระหว่างรัสเซียกับอเมริกาเฉย ๆ เพราะว่าจีนที่ผูกค่าเงินตัวเองไว้กับดอลลาร์ก็จะดึงตัวเองออกมา ถ้าจีนดึงตัวเองออกมา ดอลลาร์จะกลายเป็นเศษกระดาษเลย กลายเป็นว่าอเมริกาต้องเปิดศึกสองด้าน โดยการที่ยุให้ใครสักสองสามประเทศไปเล่นงานจีน ก็ไปยุพวกที่มีเขตแดนติดต่อกัน หรือที่มีข้อพิพาทระหว่างแดน เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม ไปเล่นงานจีน
พอมองภาพรวมแล้ว ต้องบอกว่าพวกนี้ชั่วจริง ๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเอง ไม่คำนึงวิธีที่ใช้ ชาวโลกเขาจะเดือดร้อนแค่ไหนก็ไม่สนใจ อย่างที่ยื่นมือเข้ามาในเมืองไทย แล้วโดนด่าเช็ด แต่จะว่าไปแล้วก็คือไทยเราเชิงอ่อนมาก อย่างเรียกอุปทูตสหรัฐเข้ามาพบ จะมีประโยชน์อะไร ? ถ้าเขาไม่มาพบจะไปบังคับเขาได้ไหม ? หรือถึงเวลาถ้าเขามาแล้วยืนยันตามที่พูดไว้ แล้วไทยจะทำอะไรได้ไหม ?
ถาม : แล้วตลาดหุ้นละครับ ?
ตอบ : แค่ได้ข่าวว่ายกขีปนาวุธขึ้น หุ้นก็ตกแล้ว ไม่ต้องคิดถึงขนาดว่าจะยิงกันหรอก โลกทั้งใบเหมือนบ้านหลังเดียว ตีกันหลังบ้าน หน้าบ้านก็เจ๊งไปด้วย
ถาม : หลวงพ่อเก็บ วัดสวนลำใย ?
ตอบ : ท่านเองท่านไม่ค่อยแสดงตัว แต่วัตถุมงคลของท่านลูกศิษย์สายตรงเก็บเรียบไม่มีหลุดเลย ส่วนอาตมามีปรอทกับสีผึ้งจมน้ำ ต่อไปว่าจะทำบ้าง ถ้าสมมติว่าไปในป่าในดง ไม่มั่นใจความปลอดภัยว่าน้ำเป็นอย่างไร ก็หย่อนสีผึ้งลงไป ถ้าลอยก็ใช้ไม่ได้ ถ้าจมก็ใช้ได้ ถ้าหากจะทำกิจการงาน จะเดินทางให้อธิษฐานก่อน หย่อนลงน้ำถ้าจมก็ใช้ได้ ถ้าลอยก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าขี้ผึ้งปกติจะลอยน้ำอยู่แล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกเราร้อน ในเมื่อโลกร้อนเราก็ต้องเย็น ถ้าไม่เย็น ก็ไปต่อไม่ได้"
ถาม : มีข่าวว่ามีเหล็กไหลเงินยวง ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วพวกนี้เป็นของปลอมทั้งนั้น เหล็กไหลจริง ๆ ดูง่ายมากเพราะมีแสงในตัว มืดแค่ไหนก็สว่างในตัว ถ้าเข้ามาในห้องนี้ไฟจะดับหมด เพราะอานุภาพไปตัดกำลังไฟหมด ขึ้นรถยนต์หรือพาหนะอะไร เครื่องยนต์ดับหมด มีวิธีเดียวที่จะทำได้ก็คือต้องหุ้มด้วยขี้ผึ้งให้หนา ๆ เพราะขี้ผึ้งสามารถตัดพลังงานของเหล็กไหลได้ ลักษณะเดียวกับยูเรเนียมที่แพ้ตะกั่ว
พวกที่เห็น ๆ ก็คือที่เขาตั้งชื่อกันขึ้นมาเอง แล้วพยายามจะสร้างประวัติ สร้างเนื้อหา ให้เข้ากับของที่ตัวเองมีอยู่ เพื่อที่จะได้ขายได้ อย่างเฮมาไทต์สมัยโบราณเขาเรียกว่าเหล็กตับเป็ด เป็นส่วนผสมของอาวุธในตำรามหาศาสตราคม เขาไปเรียกว่าเหล็กไหลตาแรด เขาจะเรียกเพื่อให้ขายได้ ถ้าเหล็กไหลหาได้ง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ โบราณเขาบอกว่า "เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามทำบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดตั้งวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา" ไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ทำมาหากินก็อดสิ
พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่เป็นครูคนแรก เขาเรียก บูรพาจารย์ บุรพ คือ ตะวันออกหรือแรกเริ่ม ก็คือทิศที่ตะวันเริ่มขึ้น เขาเลยถือเป็นทิศแรก บูรพาจารย์เปรียบเหมือนอาจารย์คนแรก หมายถึงพ่อแม่ เราอาจสงสัยว่าทำไมเวลาบวงสรวงขึ้น ปุริมัญจะ ทิสัง ราชา... เพราะว่าต้องขึ้นบูรพาก่อน"
ถาม : เปลี่ยนชื่อ แต่ไม่ได้เปลี่ยนนิสัย ?
ตอบ : อาตมายืนยันอยู่ตลอดว่าไม่ต้องไปเปลี่ยนชื่อหรอก แค่คุณเปลี่ยนความประพฤติก็ใช้ได้เลย ไม่ได้สำคัญที่ชื่อ สำคัญที่ความประพฤติ ถ้าความประพฤติไม่ได้เรื่อง เปลี่ยนชื่อไปก็เท่านั้น
เปลี่ยนชื่อไปก็มีแต่คนใหม่เขาเรียกกัน คนเก่าก็เรียกชื่อเดิม อาตมาเจอประสบการณ์ตอนเป็นทหาร จ่าสิบเอกแสวง ผินวงศ์ดวง เพื่อนร่วมรุ่นเป็นนายสิบอาวุโสเตรียมติดว่าที่ร้อยตรี จ่าแหวงไม่ได้อะไรกับใครเลย เพราะเมาทั้งวัน ท้ายสุดไปหาหมอดู หมอดูบอกชื่อเป็นกาลกิณีให้เปลี่ยน จึงเปลี่ยนเป็นมณเฑียร ทำหนังสือขออนุญาตกองร้อย กองร้อยส่งถึงกองพัน กองพันส่งถึงกองพล กองพลส่งถึงบก.สูงสุด เพราะตอนนั้นยัง พล.ร.๙ ยังไม่ได้สังกัดกองทัพภาค เสร็จแล้วพอทางบก.สูงสุดอนุมัติ ก็ส่งกลับมาที่กองพล ส่งกลับมาที่กองพัน ส่งกลับมาที่กองร้อยของตัวเอง ใช้เวลา ๖ เดือนกว่า
เปลี่ยนชื่อเสร็จเขาก็เรียกไอ้แหวงเหมือนเดิม ก็ไม่เห็นจะได้อะไรกับเขา เพราะยังเมาอยู่ทั้งวัน ต้องนึกถึงบรรพบุรุษของเรา ยุคเก่า ๆ ชื่อตาสี ตาสา ยายมี ยายมา นายหมู นายหมา ถ้าหากว่าชื่อมีอิทธิพลจริง ๆ พวกเราคงไม่ได้เกิดกันหรอก เพราะกว่าจะมาถึงเรา บรรพบุรุษคงตายหมดแล้ว..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับพระสมเด็จ หลวงพ่อวัดระฆังท่านให้พรไว้ว่า ถ้านึกถึงท่าน จะเก่าจะใหม่ จะจริงจะปลอม ก็มีอานุภาพเหมือนกัน ฉะนั้น..บูชาไปเถอะ ใครจะว่าปลอมก็ช่าง อยู่ที่ใจเรายึดมั่น
มีนายทหารอากาศยศนาวาโทคนหนึ่ง อยากได้สมเด็จวัดระฆังมากเลย แล้วไปโดนเซียนหลอก ขนาดต้องวิ่งไปเอาที่เชียงใหม่ จ่ายให้เขาไป ๖ หมื่นบาท ปรากฏว่าขากลับรถคว่ำ นายทหารคนนั้นไม่เป็นอะไรเลย แต่เซียนคนนั้นคอหักตาย นายทหารคนนั้นก็มั่นอกมั่นใจว่า "เป็นบุญของผมเหลือเกิน ถ้าไม่ได้ท่านคุ้มครองผมคงตายไปแล้ว" พอเอาไปให้เซียนคนอื่นดูกลับไม่ใช่ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลวงพ่อวัดระฆังท่านให้พรไว้อย่างนี้ จะจริงจะปลอม จะแท้จะเทียม ถ้านึกถึงท่านก็ใช้ได้เหมือนกัน"
ถาม : แล้วที่เกาะพระฤๅษี ?
ตอบ : พอปรับปรุงเสร็จได้ ๒ วัน เขาก็มาตามให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ที่เกาะทำไป ๒๐ กว่าล้าน ต้องให้คนอื่นอยู่แทน คนเขาไปก็นึกว่าสร้างรีสอร์ท สวยเกินไป มีการปรับทางน้ำใหม่ เอาเรือนไม้ไปลง ตอนนี้ให้ลูกศิษย์ไปอยู่ ๓-๔ รูป อาตมากะจะวางมือมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่มาเจอวัดท่าขนุนต่อ ยังวางไม่ลงมาจนถึงป่านนี้ ศาลายังสร้างไม่เสร็จ หมดไปตั้ง ๕๐ กว่าล้านแล้ว ถ้ามีโอกาสต้องทำไปเลย คนรุ่นหลังเขาทำไม่ไหว หลังจากนั้นค่อยหากองทุนให้ไว้เขาดูแลรักษา
ในศาลามีของสำคัญ ๒ อย่างคือ พระประธานในศาลาที่เป็นสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอก จะหล่อวันที่ ๒๖ นี้ เวลา ๑๒.๓๙ น. ที่วัดท่าขนุน แล้วก็มณฑปตั้งพระพุทธรูปทองคำ เซ็นสัญญาไปแล้ว ๑๒ ล้าน ๕ แสนบาท ช่างเขากำลังเริ่มลงมือทำอยู่ เหลืออย่างเดียวคือรอจนอายุ ๖๐ ปี จะหล่อพระพุทธรูปทองคำไปตั้งในมณฑป ไม่ต้องสงสัยว่าจะเอาพระพุทธรูปไปตั้งได้อย่างไร ความสูงประมาณเกือบ ๗ เมตร ช่างคณะนี้คือช่างที่ไปซ่อมพระที่นั่งจักรีพระมหาปราสาท หาสุดยอดฝีมือมาเลย
ในรูปองค์นี้คือพระทองคำที่จะหล่อ สององค์นี้คือพระที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ถวายไว้ตั้งแต่สมัยหลวงปู่พุกอดีตเจ้าอาวาส ส่วนองค์ที่ตั้งตรงกลางนี้จะหล่อเดือนหน้า เพื่อถวายกุศลสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ส่วนสององค์ข้างนี้มีอยู่แล้ว เป็นพระหยกองค์หนึ่งและพระเนื้อนากองค์หนึ่ง จึงให้เขาออกแบบมาอย่างนี้
โชคดีที่ลูกศิษย์เขาทำให้ฟรี ไม่อย่างนั้นค่าออกแบบ ค่าถ่ายแบบ ๑ ต่อ ๑ ราคาเป็นล้านเลย เพราะค่าออกแบบเขาคิด ๒ เปอร์เซ็นต์ของราคา ค่าถ่ายแบบอีก ๕ เปอร์เซ็นต์ของราคา
ถาม : หน้าตักเท่าไรคะ ?
ตอบ : หน้าตักพระพุทธรูปทองคำ หน้าตัก ๑๖ นิ้ว ต้องใช้ทองประมาณ ๔๐ กิโลกรัม ปีนี้อาตมาอายุ ๕๗ ยังมีเวลาอีก ๓ ปีไว้หาเงิน ทำโครงการต้องเผื่อ ๆ ไว้ก่อน
ตอนเรียนปริญญาโทเขาให้เขียนโครงการว่าภายในปีนี้จะทำอะไร ภายใน ๓ ปีจะทำอะไร ภายใน ๕ ปีจะทำอะไร ตลอดชีวิตจะทำอะไร อาตมาเขียนไปว่า ภายในปีนี้จะทำมณฑปหลังนี้ให้เสร็จ ภายใน ๓ ปี จะทำโครงการสร้างพระใหญ่ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถครบ ๘๐ ปี ภายใน ๕ ปี จะสร้างศาลา ๑๐๐ ปีของหลวงปู่สายให้เสร็จ ตลอดชีวิตที่เหลือจะหาเงินเข้ากองทุนของวัด
อาจารย์ท่านดูแล้วบอกว่า นิสิตทั้งห้องมีของท่านเท่านั้นแหละที่เป็นโครงการที่ทำได้เลย ของคนอื่นมีแต่ใฝ่ฝันว่าจะทำโน่นทำนี่ คือของอาตมาทำได้จริง ของท่านอื่นประเภทจะสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม ซึ่งที่ดินก็ยังไม่มี แล้วจะไปทำอะไรได้
แต่ละโครงการเสร็จแล้วก็คือจบไป ส่วนที่เหลือจะได้ทำหรือไม่ได้ทำก็ช่าง งานที่ทำอยู่จะเสร็จหรือไม่เสร็จก็ช่าง เราได้ทำแล้ว เอาแค่นั้นก็พอ
ถาม : รอยพระพุทธบาท ?
ตอบ : ของวัดท่าขนุนก็มี อยู่ในพื้นที่ของเทศบาลตำบลท่าขนุน รอให้โครงการในวัดเสร็จก่อน จะอาสาทำบันไดขึ้นไป แล้วทำเจดีย์หรือมณฑปครอบไว้สักหน่อย พระที่วัดท่าขนุนปีนขึ้นไปดูกันแทบทุกรูป ถึงเวลาใครอยากจะไปก็มีพระเณรช่วยนำทางให้ปีนขึ้นไป ไปนั่งกรรมฐานเสร็จแล้วก็ลงมา เดี๋ยวนี้สบาย ประเภทเดินกันจนเป็นร่อง สมัยเก่าของอาตมาต้องงมทางขึ้นไป ต้องเลาะก้อนหินก้อนโน้นก้อนนี้ ขึ้นไปใหม่ ๆ ต้องเอาสีฉีดบอกทางไว้ กลัวคนตามหลังจะไปไม่เป็น
ถาม : เจอมานานหรือยัง ?
ตอบ : ตั้งแต่ปี ๒๕๓๒
ถาม : ขนาดเท่าไรคะ ?
ตอบ : ๖๐ กว่าเซนติเมตร อยู่บนยอดเขา เหมือนกับเหยียบลงไม่เต็มรอยดี แต่มีอีกรอยหนึ่ง ขนาดเท่ากับรอยเท้าของพวกเรา รอยนี้ชัด ๆ เลย อย่างกับเหยียบลงในโคลน หลวงปู่สายเป็นผู้ที่แนะนำให้ขึ้นไป ก็เลยสงสัยว่า รอยเล็กนั่นท่านเหยียบไว้เองหรือเปล่า ?
พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล ว่า "ความสามารถไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ว่าคนรู้จักแต่หลวงพ่อเดิม เพราะว่าวัดหนองโพไปง่าย ลงรถไฟที่สถานีหน้าวัดเลย ส่วนหลวงปู่รุ่ง ท่านย้ายไปวัดหนองสีนวล อยู่ในป่า เพราะทางด้านบ้านเกิดของท่านแล้ง ท่านก็เลยเดินป่าเสาะหาที่ใหม่ ไปเจอหนองสีนวลอุดมสมบูรณ์ จึงชวนญาติโยมย้ายตามไปอยู่ในป่ากันหมด
หนองน้ำนั้นมีนกเขาฝูงหนึ่งลงกินน้ำกันเป็นปกติ มีตัวหนึ่งสีประหลาด สีออกนวล ๆ แทนที่จะสีเหมือนนกเขาทั่วไป ชาวบ้านเรียกกันว่า "ไอ้นวล" ก็เลยเรียกหนองน้ำนั้นว่าหนองสีนวล
แต่ก่อนแถวบึงบอระเพ็ดมีจระเข้เยอะแยะ ชาวบ้านที่มีมีดหมอหลวงพ่อขำ มีดหมอหลวงพ่อเทศ มีดหมอหลวงพ่อรุ่ง มีดหมอหลวงพ่อเดิม คาบใส่ปากว่ายผ่านไอ้เข้กันหน้าตาเฉย..!"
ถาม : ทำไมพวกมีดหมองาช้างอานุภาพถึงเอาไว้ตีรันฟังแทงโดยเฉพาะครับ ?
ตอบ : เขาถือว่าช้างเป็นสัตว์ใหญ่ มีอำนาจ อยู่ในป่าช้างยังต้องกลัวใครล่ะ ? มายุคหลวงปู่รุ่งนี่แหละ ที่ผลิตมีดหมอมีอานุภาพครอบจักรวาล มีดหมอรุ่นเก่าเขาเอาไว้รักษาโรคอย่างเดียว ถึงได้เรียกกันว่า "มีดหมอ" เพราะเป็นของที่หมอใช้รักษาโรค
พระอาจารย์ให้คุณตัวเล็กเอาเหรียญจตุคามไปออกในกระทู้ให้บูชา
"เป็นเหรียญรุ่นเดียวกับที่อาตมาหาไว้ใช้ อาตมาหาเหรียญจตุคามไว้ใช้เอง ๒ รุ่น ก็คือรุ่นอัครมหาเศรษฐีกับรุ่นปัญจบารมี ซึ่งเป็นฝีมือแพรนด้าจิวเวลรี่ทั้งคู่ เลี่ยมทองสวิสฝีมือบ้านอัมพวันเอาไว้สมัยโน้นเหรียญ ๕ หมื่นกว่าบาท เก็บไว้เพราะว่าขอให้ท่านช่วยงานมานานแล้ว ก่อนที่ท่านจะดัง เวลาลงปักษ์ใต้ก็ขออนุเคราะห์สงเคราะห์จากท่านมาตลอด"
ถาม : ในกลุ่มจะมีบางคนที่มีเวลาไม่พอที่จะมาช่วยงานตรงนี้ ทำให้กำลังใจบางคนในกลุ่มที่ไม่มาช่วยมีปมในใจ จะต้องวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : ทำแค่ที่ไปช่วยได้ ต้องโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ไม่ใช่ว่าเรามาทางด้านนี้จนกระทั่งงานส่วนตัวเสีย แบบนั้นก็บรรลัยสิ เอาแค่ที่ไปช่วยได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ญาติโยมมักจะเข้าใจว่า ทำความดีแล้วต้องได้ดี แสดงว่ายังวางกำลังใจผิด ความดีแค่ตั้งใจทำก็เป็นความดีของเราแล้ว ส่วนทำแล้วผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปใส่ใจ ขอให้ได้ทำก็พอ แค่ตั้งใจทำ มหากุศลก็เกิดขึ้นแล้ว
สมมติว่าตั้งใจจะมาถวายสังฆทาน มหากุศลเกิดขึ้นแล้ว อานิสงส์เป็นของเรา ถ้ายังมาไม่ถึงวัด เกิดมีอันเป็นไปก่อน พระก็ขาดทุน ฉะนั้น..เรื่องของการทำความดี ตั้งใจทำแล้วให้ได้ทำก็พอ ไม่ต้องไปใส่ใจว่าผลตอบแทนจะมีหรือไม่มี เพราะถ้าต้องการผลตอบแทนตรงนั้น เท่ากับว่ามีโลภเจตนา พอโลภเจตนาเกิดขึ้น ผลบุญจะโดนตัดไปเยอะเลย เพราะกำลังใจไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว การให้ทานนั้น ต้องมีเจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ ถึงจะมีผลเต็มร้อยส่วน
ฉะนั้น...ต่อไปให้วางกำลังใจเสียใหม่ เรื่องของความดี เมื่ออยากทำ ขอให้ได้ทำเท่านั้น ส่วนจะดีตอบหรือไม่ดีตอบก็ช่างเถอะ"
ถาม : พระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า ย่อมมีความรักความเมตตา ต่อทุกคนที่อยู่รอบข้างเสมอกัน ไม่มีผิดเพี้ยนไปเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มีความรักเท่ากันหมด แต่วาระกรรมของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทำให้ท่านต้องแสดงออกต่างกันไป บางคนวาระกรรมไม่เปิดจริง ๆ ท่านก็จะเหลือแต่อุเบกขาเท่านั้น
ถาม : ที่หล่อพระวันที่ ๒๖ นี่ใช้เฉพาะเนื้อเงินหรือครับ ?
ตอบ : เนื้อโลหะปกติ ช่างเขาเตรียมไว้พร้อมแล้ว ก็คือเอาทองเหลืองเป็นหลัก ทีนี้เราจะเอาเงิน เอาทอง เอานากไปร่วมหลอม ก็เอาไปร่วมในวันนั้นก็แล้วกัน ส่วนองค์เนื้อเงินล้วน เป็นสมเด็จองค์ปฐม ขนาด ๙.๙ นิ้ว จะหล่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๘ (วันทำบุญฉลองบ้านวิริยบารมี)
ถาม : คณะสงฆ์ประพฤติชอบหรือมิชอบ เราไม่สามารถตัดสินโดยการอ่านพระไตรปิฎก ไม่สามารถจะตกลงใจได้ว่าท่านผิดหรือไม่ผิด อย่างนี้ในฐานะที่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์หรือพระสังฆาธิการ ควรจะวางตนอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : อย่ายุ่งได้เลยเป็นดี เอาอย่างที่โบราณบอกว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เพราะส่วนใหญ่ที่ผ่านมา คนไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ แต่ช่วยกันด่าไปก่อนแล้ว ถ้าดูตัวอย่างของกปิลมัจฉา ที่ด่าพระแล้วลงอเวจีมหานรก เกิดมาใหม่เป็นปลาปากเหม็น แล้วจะรู้ว่าโทษที่ด่าพระเป็นอย่างไร
ถาม : ถ้าอุบาสกอุบาสิกาทุกคนปล่อยวางแล้วพระศาสนาจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของศาสนาไม่เสื่อม เป็นเรื่องเฉพาะคน พระพุทธองค์ยืนยันว่า พระศาสนาของพระองค์เหมือนอย่างกับมหาสมุทร ที่ซัดซากศพขึ้นฝั่งอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าบางศพลอยลึกไปหน่อย ขึ้นฝั่งช้าไปนิดหนึ่ง เราก็ใจร้อน ไปช่วยกันยำเละเสียก่อน
ต่อให้พระท่านศีลขาด ๕ ข้อ ท่านก็ยังเหลืออีกตั้ง ๒๒๒ ข้อ ซึ่งมากกว่าเราเยอะ ต่อให้ท่านไม่เหลือสักข้อ สิ่งที่ห่มกายท่านอยู่คือธงชัยพระอรหันต์ การที่เราไปปรามาสล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ มีโอกาสขาดทุนมาก ถ้าดูตัวอย่างพระยาฉัททันต์กับพรานโสณุดร พรานโสณุดรยิงพระยาฉัททันต์ด้วยธนูอาบยาพิษ พระยาฉัททันต์จับตัวได้ เห็นเคียนหัวด้วยผ้าเหลืองก็เลยปล่อยลง แม้จะตำหนิว่าคนอย่างท่านไม่สมควรกับการที่เอาผ้าเหลืองมาพันกาย แต่เห็นแก่ธงชัยพระอรหันต์ จะไม่เอาชีวิต
รายไหนถ้าเรารู้เห็นว่าผิดจริงจัง ก็สามารถเป็นโจทก์ฟ้องได้ ฟ้องต่อผู้บังคับบัญชา หรือถ้าคดีเหล่านั้นเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา ก็แจ้งความได้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าท่านผิดจริงหรือไม่ผิดจริง ก็อย่าเพิ่งไปยุ่ง ไม่อย่างนั้นเราเองอาจจะขาดทุนมาก
ถาม : ใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์บางทีเราไม่รู้ บางรูปท่านก็ห้าว บางรูปท่านก็เงียบเรียบร้อย รูปไหนท่านห้าว คนก็อาจจะไปปรามาสหรือว่าตำหนิในใจ ทีนี้เมื่อท่านนิพพานไปแล้วทำอย่างไรจึงจะปลดหนี้สงฆ์ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นหนี้สงฆ์ แต่เป็นโทษในการล่วงเกินพระรัตนตรัย ให้กราบขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูป ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ เรารู้จริงก็ไปขอขมาตรงกับท่าน แต่ถ้าท่านมรณภาพหรือนิพพานไปแล้ว เราก็ไปกราบขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูป
ถาม : หนี้สงฆ์ประกอบด้วยหนี้อะไรบ้างครับ ที่เราจะต้องสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอก ปิดทองเพื่อปลดหนี้ ?
ตอบ : อะไรก็ตามที่เอาไปจากวัด ไม่ว่าจะมีค่ามากหรือมีค่าน้อย ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ทั้งหมด ยกเว้นว่าพระทั้งวัดพร้อมใจกันอนุญาตให้
ถาม : เราเด็ดมะยมในวัดแล้วเจ้าอาวาสอนุญาต ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นมะยมที่ท่านปลูกด้วยตัวท่านเองก็อนุญาตให้ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ เป็นของวัดมาแต่เดิม ต้องพระทั้งวัดจึงอนุญาตให้ได้
ถาม : ก่อนตายเราไปชำระหนี้สงฆ์ โดยการสร้างพระขนาดหน้าตัก ๔ ศอก ไปขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูปพระประธานในโบสถ์ ถือว่าเราได้ชำระหนี้สงฆ์และถือเป็นการขอขมาพระรัตนตรัยได้อย่างสมบูรณ์ไหมครับ ?
ตอบ : รู้ได้อย่างไรว่าจะตายเมื่อไร ? ต้องมีโอกาสแล้วทำเลย ไม่ใช่รอก่อนตาย ตอนก่อนตายอาจจะคลานไม่ไหวแล้วก็ได้..!
ถาม : บทสวดมนต์บางบท เช่น บทเมตตา ที่กล่าวว่าทำให้ผู้สวดมีบารมี จริงเท็จประการใดครับ ?
ตอบ : การสวดมนต์ได้สมาธิ สมาธิสูงเท่าไร บุญที่เราได้รับก็มากเท่านั้น การสั่งสมบุญมีมากเท่าไร บารมีก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ถาม : ถ้าเราสวดเป็นประจำ จะทำให้เรา.. ?
ตอบ : สวดบทไหนก็ได้ ทำไปเถอะ
ถาม : จะทำให้เราเจริญสมาธิได้ดีขึ้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การสวดมนต์เป็นสมาธิอยู่แล้ว ถ้าไม่มีสมาธิเราจะสวดผิด ถ้าคนที่มีความชำนาญจะอาศัยบทสวดมนต์แทนคำภาวนา สามารถทรงฌานในขณะสวดมนต์ได้ ท่านที่ต้องการทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์ให้นึกถึงอักขระที่เราสวดขึ้นมาเป็นตัว ๆ สามารถเห็นได้ชัดเท่าไร ก็เห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น
ใครที่สามารถยกจิตขึ้นพระนิพพาน ยกจิตขึ้นไปสวดมนต์ถวายพระบนนั้น ถ้าตายตอนนั้นก็ไปพระนิพพานเลย ใครที่สามารถแปลออกว่า คำสวดของเราเป็นคำสอนให้ประพฤติปฏิบัติอย่างไร สามารถปฏิบัติตามนั้นก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ ถือว่าเป็นการสวดมนต์ที่ได้ประโยชน์สูงสุด ฉะนั้น..เรื่องของการสวดมนต์ได้สมาธิแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสมาธิจะสูงจะต่ำ อยู่ที่เราว่าสามารถทำได้แค่ไหน
ถาม : ครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเทวดามาเข้าเฝ้า ซึ่งเทวดาท่านหนึ่งให้ทานตลอดหมื่นปี ส่วนเทวดาอีกท่านให้ทานกับพระสารีบุตรแค่ครั้งเดียว แต่มีอานิสงส์มากกว่า ถ้าอย่างนั้นทานที่พวกเราทำในครั้งที่เป็นมนุษย์ในพระพุทธศาสนานี้ ก็กินก็ใช้ไม่หมดแล้วสิครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่ว่า เราทำแล้วเราจะไปกินไปใช้ตอนไหน ถ้าตั้งใจเพื่อพระนิพพานในชาตินี้ก็ยังไม่พอ แต่ถ้าจะเอาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็เหลือกินแล้ว ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาอะไร ?
เทวดาท่านนั้นไม่ได้ใส่บาตรกับพระสารีบุตร ท่านใส่บาตรกับพระอรหันต์ที่ธุดงค์ผ่านไป ๖ รูปด้วยกัน กลายเป็นสังฆทานใหญ่ นอกจากมีอานิสงส์สังฆทานแล้ว ผู้รับยังบริสุทธิ์อย่างแท้จริงด้วย ตัวท่านคือผู้ให้ก็บริสุทธิ์ วัตถุทานที่ท่านให้ก็เป็นของบริสุทธิ์ เจตนาที่ให้ก็บริสุทธิ์ อานิสงส์จึงเต็มที่ ส่วนอีกท่านหนึ่งนั้นให้ทานอยู่ตลอด ๒ หมื่นปี เปิดโรงทานตั้ง ๘๐ โรง เลี้ยงคนทั้งกลางวันกลางคืน แต่เป็นในช่วงที่โลกไม่มีพระพุทธศาสนา คนไม่ได้อยู่ในศีลในธรรม บุญที่ทำจึงดีกว่าทำกับสัตว์เดรัจฉานไม่เท่าไรเอง ต้องบอกว่าท่านเกิดผิดยุค ถ้าเกิดถูกยุค อานิสงส์ที่ท่านทำคาดว่าพระอินทร์สู้ไม่ได้แน่นอน
ถาม : ถ้าเรานั่งกรรมฐานตอนกลางวัน ๑๐-๑๕ นาที และระลึกถึงนิพพานก่อนนอนไปตลอด จะมีโอกาสเข้าถึงพระนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถรักษากำลังใจมั่นคงแน่วแน่ ไม่เห็นว่าร่างกายนี้หรือโลกนี้เป็นสถานที่น่าสนใจมาเกิดอีก ก็สามารถไปได้ ไม่ต้องถึง ๑๐ นาทีหรอก เอาแค่ ๕ นาทีก็ได้ ให้เว้นได้จริง ๆ เท่านั้นแหละ ทำให้สม่ำเสมอทุกวัน
ส่วนใหญ่ "พุท" ไม่ทันจะ "โธ" ก็ฟุ้งซ่านแล้ว ยิ่งสมัยนี้โอกาส "พุทโธ" ไม่ค่อยจะมีหรอก เพราะมัวแต่นั่งเขี่ยจออยู่ โดนแย่งเวลาไปหมด..!
ถาม : คนบางคนมีโอกาสได้ทำบุญสำคัญในพระพุทธศาสนา ได้สร้างโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่ ได้มีโอกาสทำบุญกับพระอรหันต์ กับพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยบุญด้วยกุศลอะไรครับที่ทำให้เรามีโอกาสได้ทำบุญใหญ่ ๆ อย่างนั้น ?
ตอบ : ทำดีในอดีตแล้วอธิษฐานตั้งความปรารถนาอย่างนั้นไว้ ปัจจุบันจึงมีโอกาสได้ทำเช่นนั้นบ้าง แต่ถ้าทำชาตินี้แล้วหวังต่อไปว่าจะได้ทำอย่างนั้น ก็แปลว่าต้องเกิดแล้วก็ทุกข์อีก เลือกเอาแล้วกันว่าอยากทำอย่างนั้นไหม ? ถ้าอยากทำอย่างนั้นก็ทำบุญใหญ่ แล้วอธิษฐานขอไปเกิดแล้วให้ได้ทำอย่างนั้นบ้าง ส่วนใหญ่เวลาย้อนดูอดีต แต่ละท่านล้วนแต่ทำกุศลใหญ่แล้วตั้งจิตอธิษฐานเพื่อสิ่งนั้น ๆ เสมอ ฉะนั้น..อธิษฐานบารมีตัวนี้จึงส่งผลให้ท่านได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
ถาม : หนูนอนไม่หลับค่ะ
ตอบ : นอนไม่หลับ แต่อาตมานี่หลับแต่ไม่ได้นาน เอาเป็นว่าไปหาต้นไมยราบมาสัก ๔-๕ ต้น ล้างให้สะอาด ทั้งต้นทั้งรากใส่หม้อต้มกินแทนน้ำไปเลย คราวนี้จะนอนไม่ค่อยอยากจะตื่น ไมยราบโบราณเขาเรียก "กระทืบยอบ" เพราะสะเทือนแล้วใบจะหุบ
ถาม : แกงขี้เหล็ก ?
ตอบ : ขี้เหล็กก็ช่วยได้จ้ะ แต่ต้องมื้อเย็น ยกเว้นถ้าไม่กินมื้อเย็นก็ต้องมื้อกลางวัน
ถาม : ต้องกินเรื่อย ๆ ?
ตอบ : เรื่อย ๆ ช่วยผ่อนคลาย นอกจากนอนได้ดีแล้วก็ยังทำให้ถ่ายสะดวก เพราะขี้เหล็กเป็นยาระบายด้วย
ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก อะไรที่เคยทำมา อาตมาปลงเสียแล้ว ตัวเองที่นอนไม่ค่อยได้ เวลานอนต้องมีคนกวนให้ตื่น เพราะสมัยก่อนไปรบกวนข้าศึกไม่ให้หลับไม่ให้นอน ตัวเองจะได้ไปตีเขาได้ง่าย อาศัยคนแค่ไม่กี่คนหรอก ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายให้เขาคิดว่าจะเข้าตี พวกนั้นก็ตาลีตาเหลือกลุกมาป้องกัน ถึงเวลาเราก็ไปนอน พอเขาจะนอนเราก็มากวนใหม่ ไปทำเขาไว้แบบนี้ ถึงเวลาจะนอนจึงโดนกวนตลอด
ถาม : โยมมาทำบุญอุทิศให้กับผู้เกิดอุบัติเหตุตายหมู่ ?
ตอบ : พวกนี้เขาโชคดีอยู่อย่างหนึ่งว่าตายก่อนอายุ เราจะทำบุญอะไรไปให้เขาโมทนาได้หมด จะว่าเขาตายไม่ดีก็ไม่ได้หรอก ต้องถือว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง
ถาม : เป็นกรรมอะไรคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็ปาณาติบาต ฆ่าคนหรือสัตว์ใหญ่ไว้ แล้วก็ไปทำพร้อม ๆ กัน ถึงเวลาก็โดนคืนพร้อม ๆ กัน
ถาม : คนที่มีนิสัยอาฆาตพยาบาท ทำกรรมอะไรมาคะ ?
ตอบ : พวกนี้อยู่ที่สภาพจิตของเขา ไม่ใช่เรื่องของการสร้างเวรสร้างกรรม ถ้าหากว่าสภาพจิตไม่ยอมให้อภัยคน ก็จะอาฆาตพยาบาทไปเรื่อย จนกว่าเขาจะเห็นทุกข์เห็นโทษของความอาฆาตแล้วคิดได้เอง ว่าจะอาฆาตหรือไม่อาฆาต อีกฝ่ายเขาก็มีทุกข์เป็นปกติอยู่แล้ว อาฆาตหรือไม่อาฆาตอีกฝ่ายเขาก็ต้องป่วยต้องตายเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้ามีปัญญามาถึงระดับนี้ก็จะค่อย ๆ เลิกอาฆาตไปเอง
ถาม : เหล็กไหลคืออะไรครับ ?
ตอบ : เหล็กไหลคือโลหะธาตุอย่างหนึ่ง ที่เกิดจากการผสมผสานของแร่ธาตุโดยธรรมชาติ แต่ในส่วนที่ผสมผสานเข้าไปนั้น มีวิญญาณคือเครื่องรับความรู้สึกด้วย ก็เลยทำให้มีความรู้สึก กินได้ หนีได้ เพียงแต่ขาดดวงจิตที่เป็นธาตุรู้เท่านั้น ถ้ารออีกสักหน่อยก็อาจจะมีธาตุรู้เข้าไปผสมด้วย กลายเป็นตัวเป็นตนกำเนิดมนุษย์ขึ้นมาใหม่ แต่ก็อีกนานเหลือเกิน นานจนประมาณไม่ได้
เพราะฉะนั้น..การกำเนิดมนุษย์จากธรรมชาติก็ยังคงมีการกำเนิดเป็นปกติ เพราะพวกบรรดาธาตุ ๆ ต่างในจักรวาลโคจรหมุนเวียนชนกันไปผสมกันมา ท้ายสุดก็เกิดขึ้นมาเป็นธาตุโน้นธาตุนี้ เพียงแต่ว่าความเป็นมนุษย์ของเรามีธาตุรู้อยู่ด้วย การมีต้นธาตุคือตัวพ่อตัวแม่อยู่ทำให้เกิดได้ง่ายกว่า ทางการเกิดแบบธรรมชาติด้านโน้น อีกกี่หมื่นกี่แสนล้านปีก็ไม่รู้กว่าที่จะได้สักคน
ถามว่ายังมีไหม ? มี..ยังมีเกิดขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าในช่วงอายุของเราคงไม่ได้เห็นการเกิดขึ้นหรอก พวกนี้เวลาเกิดขึ้นมาก็อยู่ในลักษณะของโอปปาติกะคือ พอได้ธาตุครบก็ผุดขึ้นมาเลย อย่างที่โบราณเขาว่าเกิดในกระบอกไม้ไผ่ ในพระไตรปิฎกก็มีนางเวฬุวดีเกิดในกระบอกไม้ไผ่ นางจิญจมาณวิกาที่มาผจญพระพุทธเจ้านั้นเกิดในโพรงต้นมะขาม
ถาม : ทำไมดวงจิตถึงเลือกธาตุมาเกิดแบบนั้น ?
ตอบ : เขาไม่ได้เลือก ธรรมดาเป็นอย่างนั้นเอง ผสมผสานกันไปเรื่อย ๆ แล้วมีธาตุรู้เข้าไปชนด้วยก็สำเร็จขึ้นมา เหมือนกับแร่ธาตุใต้โลกของเรา หมุนไปหมุนมา โดนหลอมไปหลอมมาก็เป็นธาตุโน้นบ้างธาตุนี้บ้าง
ถาม : โลกมีกี่จักรวาลครับ ?
ตอบ : มีนับไม่ถ้วนเลย ถ้าในมงคลจักรวาลที่อยู่ในสุริยจักรวาลของเรานี้ ก็มีอยู่แค่ ๔-๕ โลกนี้แหละ การนับจักรวาลของทางวิทยาศาสตร์กับการนับจักรวาลของทางพุทธศาสนา บางทีก็ตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง เพราะว่ามนุษย์เราศึกษาไปแค่สุดสายตาที่เห็น ก็คือใช้กล้องส่อง แต่ว่าทิพจักขุญาณของพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรบดบังได้ พระองค์ท่านจึงรู้ได้ละเอียดกว่า ถึงขนาดกำหนดว่าจักรวาลขนาดเล็กประกอบไปด้วยดวงดาวแค่นี้ มีโลกธาตุเท่านี้ จักรวาลขนาดกลางมีเท่านี้ จักรวาลขนาดใหญ่มีเท่านี้ พระองค์ท่านบอกไว้ละเอียดมากเลย
ถาม : คำว่าโลกธาตุคืออะไรคะ ?
ตอบ : โลกธาตุในพระไตรปิฎก คือโลกที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ เพราะว่าจักรวาลประกอบไปด้วยดวงดาวที่มีทั้งมนุษย์และสัตว์และที่ไม่มี อย่างสุริยจักรวาลของเราก็ถือว่าเป็นจักรวาลหนึ่ง แต่ว่าในทางพุทธศาสนาเป็นเพียงส่วนประกอบส่วนเดียวเท่านั้น ยังไม่ใช่จักรวาลแท้ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึง ถ้าสุริยจักรวาลยังเป็นแค่เสี้ยวเดียว แล้วลองคิดดูว่ามหาจักรวาลจะใหญ่ขนาดไหน ? มีตั้งหนึ่งแสนโลกธาตุ
ถาม : จักรวาลใหญ่ที่พระพุทธเจ้าบอก ที่อื่นก็ลักษณะคล้ายกับเรา ?
ตอบ : ก็คล้าย ๆ กันหมด เพียงแต่ว่าความหยาบความประณีตขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติกัน ถ้าจิตใจอ่อนโยนก็มักจะสวยงาม ถ้าจิตใจโหดร้ายก็มักจะหน้าตาดูไม่ได้ ของบ้านเรานี่ผสมปนเปกันหมด
ถาม : แล้วมนุษย์ต่างดาวที่รูปร่างเหมือนอีทีมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : ตัวอีทีนั่นเป็นเครื่องแบบของเขา เราลองนึกถึงมนุษย์ของเราใส่ชุดอวกาศดูสิ คนดาวอื่นเห็นก็จะว่ามนุษย์เราตัวอ้วน ๆ ป่อง ๆ แล้วมีตากลม ๆ สีดำอยู่ตรงกลางดวงเบ้อเร่อ ความจริงเป็นหน้ากากของชุดอวกาศ
หลายจักรวาลของเขาใช้พลังจิตบังคับ ลักษณะเป็นจิตศาสตร์ผสานกับวิทยาศาสตร์ ที่ทางโลกเราใฝ่ฝันว่าจะสามารถใช้สมองสั่งคอมพิวเตอร์ได้ แต่ของเขาใช้งานกันเป็นปกติเลย ของเรายังอยู่ในระหว่างช่วงที่ใฝ่ฝันอยู่ ก็มานึกดูว่าแค่ช่วงไม่กี่ปีที่เขาต้องการโทรศัพท์ที่เห็นหน้าคนพูด เดี๋ยวนี้ก็เห็นกันเป็นปกติ ก่อนหน้านั้นก็ถือว่าฝันไป คุณมีจินตนาการที่เลิศมากเลย แต่ไม่รู้จะทำได้จริงหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ทำได้เป็นปกติ ขอให้ตั้งโจทย์ขึ้นมา เดี๋ยวเขาก็แก้โจทย์กันเองแหละ
ถาม : อะไรก็ทำได้ถ้าตั้งใจ ?
ตอบ : แต่บางอย่างความตั้งใจก็ผิด เราลองไปนึกถึงสมัยจูลส์ เวิร์น ที่เขียนใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ มีเรือดำน้ำแล้ว สมัยนั้นมีที่ไหน ? แล้วคนรุ่นหลังก็สร้างขึ้นมาจนได้ แล้วเรือดำน้ำลำแรกของโลกก็ใช้ชื่อ นอติลุส ตามแบบของจูลส์ เวิร์น อ่านดูแล้ว โอ้โห..จินตนาการสุดยอด กับตันนีโมไปเจอไข่มุกลูกเท่ามะพร้าว นั่นก็มีได้นะ ถ้าไปเจอหอยมือเสือตัวใหญ่สัก ๓ - ๕ เมตร ไข่มุกลูกเท่ามะพร้าวก็เป็นเรื่องเล็ก
ถาม : เป็นสัญญาเก่าของเขาไหมคะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นของเก่าประมาณนั้น หรือไม่ก็อาจจะเป็นลักษณะของทิพจักขุญาณ พอถึงเวลานึกจะให้ไปทางด้านไหน ทิพจักขุญาณก็ผสมผสานไปด้วย ก็คิดไปได้ มีเรื่องที่มีเค้าความเป็นจริงก็คือ "Journey to the Center of the Earth" ลักษณะว่าเข้าไปใต้พื้นโลกแล้วมีบึงน้ำ มีสัตว์ประหลาดอะไรต่าง ๆ แล้วตอนหลังก็โดนภูเขาไฟระเบิดดันออกมา ชื่อไทยสมัยนั้นคือ "ผจญภัยใต้พิภพ"
ถาม : การโคลนนิ่ง ?
ตอบ : คาดว่าการโคลนนิ่งจะเจริญสูงสุดสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะว่าทุกคนหน้าตาเหมือนกันหมด เขาบอกว่าออกจากบ้านแล้วถ้าไม่กลับขึ้นบ้านนี่จำกันไม่ได้ หน้าตาเหมือนกันหมด
ถาม : เพราะว่า ?
ตอบ : บารมีอะไรทุกอย่างเท่ากันหมด ต่างกันตรงที่ดวงจิต เจ้าของร่างหนึ่งเป็นดวงจิตหนึ่ง ต้องบอกว่าวิบากในเรื่องของบุญส่งผลให้ กับเรื่องของวิชามัยฤทธิ์ วิทยาศาสตร์ทำออกมาไล่ ๆ ตามกัน แต่ว่าในปัจจุบันนี้เรื่องการโคลนนิ่งไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าสิ่งที่สร้างมามีอายุเท่าต้นฉบับ ถ้าต้นฉบับตายตัวโคลนก็ตายด้วย พวกวัวพวกแกะที่เขาทำขึ้นมาตายไปหมดแล้ว
ตอนนี้โครงการอวตารที่เขาสร้างตัวอวตารจากเซลล์ของตัวต้นฉบับ แล้วพอถึงเวลาตัวต้นฉบับจะเสียชีวิตก็ย้ายสมองมาอยู่ในร่างอวตาร เขาทำเป็นจริงเป็นจัง ทุ่มเทงบประมาณยี่สิบล้านล้านดอลลาร์ในขั้นต้น แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าสมองเป็นอายุของร่างเก่า ถ้าไม่มีวิธีการกระตุ้นให้เพิ่มเซลล์ได้ก็จะฝ่อไปในระยะเวลาไม่นาน อย่างไรก็อยู่ไม่ได้ แม้ว่าอาจจะยืดระยะขึ้นมาได้ แต่ว่าอยู่ไม่ได้ เราจะไปฝืนธรรมชาติได้อย่างไร ? ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของมีดนั้น ทรง Drop Point จะเป็นทรงที่เราเคยชินและติดตามากที่สุด ลักษณะทรงเราเห็นก็จะรู้ว่าเป็นมีดต่อสู้ มีดใช้งาน ทรงอื่นส่วนใหญ่แล้วคนออกแบบเพื่อสนองกิเลสตัวเอง ไม่ได้ตั้งใจให้ใช้งาน ทำอวดฝีมือเฉย ๆ"
ถาม : แล้วทรงเปอร์เซียน ?
ตอบ : ทรงเปอร์เซียนเป็นของทางด้านทะเลทราย ของจีนก็มีมีดที่ดังมาก ที่ใครไปแถวซินเจียงแถวคาน่าสือก็จะต้องไปซื้อ ชื่อมีดอะไรจำไม่ได้ ลักษณะทรงออกไปทางเปอร์เซียนเหมือนกัน ทางด้านซินเจียงเขาก็ใช้กันเป็นปกติ
เรื่องของมีดเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของแต่ละที่ ทางด้านอเมริกา ฟังให้ดี ๆ นะ อเมริกานะ..ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา ทางทวีปอเมริกาก็พวกมีดมาร์เช่ต์ บางทีก็เรียกมาเช็ตเต้ ทางด้านสหรัฐอเมริกาก็พวกมีดโบวี่ มาทางด้านอาหรับของเราก็พวกมีดโค้ง ดาบโค้งทรงเปอร์เซียน มาทางบ้านเราก็มีดปาดตาล อย่างทางใต้ของเราก็พวกกริช
ถาม : ทางใต้เคยเห็นกริชลาย ?
ตอบ : ไม่ใช่เหล็กลาย เป็นเหล็กที่เขาตอกลายไว้บนผิว เหมือนกับว่ามีแบบลาย ๆ อยู่แล้วตีเหล็กอัดลงไป ไม่ใช่เอาเหล็กเป็นร้อย ๆ ชิ้นมาตีจนเป็นชิ้นเดียว รุ่นของเรานี่ถือว่าโชคดี เพราะว่าเหล็กลายสามารถทำด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ได้ ถึงเวลาก็เอาเหล็กหลาย ๆ แผ่นมาบีบอัด เผา ตอก ตีเข้าด้วยกัน สมัยโบราณต้องตีด้วยมือ กว่าจะได้แต่ละเล่มบางทีก็ทั้งชีวิต อย่างของประเทศจีนที่เขาเรียกว่ากระบี่ลายสน ก็คือเหล็กลายนี่แหละ
ถาม : ญี่ปุ่นมีไหมครับ ?
ตอบ : อย่างญี่ปุ่นก็มีพวกดาบซามูไร ขนาดยาวก็พวกคาตาน่า ขนาดกลางก็พวกวากิซาชิ ขนาดพกพาก็พวกตันโตะ สมัยก่อนการค้าขายทางทะเลรุ่งเรือง เทคนิคการทำมีดทำดาบพวกนี้ก็เผยแผ่ออกไป ผสมปนเปกันไปเรื่อย ลองไปค้นคำว่า "เหล็กดามัสกัส" ดู จะเห็นว่าต้นกำเนิดไม่ได้อยู่ทางเอเชีย เขาเอาเหล็กเป็นร้อย ๆ แผ่นมาทบ ๆ เผาแล้วก็ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วพอถึงเวลาตะไบตกแต่ง แต่ละชั้น ๆ ที่โดนตอกไปจะแสดงชั้นของตัวเองออกมา
ถาม : แต่ทำไมเหล็กลายเป็นสนิมง่ายคะ ?
ตอบ : เหล็กส่วนใหญ่ก็ขึ้นสนิม ต้องอบไล่ความชื้น แต่ถ้าไล่ความชื้นหมดความเปราะจะเกิดขึ้น เหล็กส่วนใหญ่พอถึงเวลาแล้วเขาจะชุบน้ำมัน สมัยโบราณของเราชุบน้ำ สมัยปัจจุบันเราจะชุบน้ำมัน เพื่อให้ความชื้นอยู่ในเนื้อเหล็กน้อยหน่อย ถ้าชุบน้ำนี่ความชื้นจะมาก
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในส่วนของโลหะที่หลอมเป็นมีดหมอเพชราวุธ มีบรรดาเหรียญกษาปณ์ของประเทศต่าง ๆ ที่มีรูปผู้นำอยู่ในเหรียญ ๘-๙ ประเทศ ผู้นำประเทศส่วนใหญ่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาจึงขอกำลังของท่านมาช่วยอีกแรง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมาทำสรุปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกครองคณะสงฆ์ให้ลูกศิษย์เขาอยู่ มีโอกาสจะทำเป็นหนังสือสักเล่มหนึ่ง ดึงเอาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับพระโดยตรงออกมา
ตอนที่เรียนกฎหมายคณะสงฆ์ พวกกฎหมายอาญาอะไรไม่ได้หนักใจหรอก เพราะว่าส่วนที่ชัดเลยก็คือ ภิกษุที่เป็นพระสังฆาธิการหรือเจ้าอาวาสขึ้นไป ถือเป็นพนักงานโดยกฎหมาย ตรงนี้ชัด แต่คราวนี้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีเป็นพัน ๆ มาตรา ปรากฏว่าอาตมาเดาได้ตรงเป๊ะเลย ที่เดาแม่นเพราะว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับพระมีน้อย ก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรับมรดกของพระ ออกมาตรงเป๊ะเลย
พระห้ามฟ้องร้องเรียกร้องมรดก ฟ้องเมื่อไรศาลยกฟ้องทันที เพราะคุณเป็นพระต้องเป็นผู้ละกิเลส ไปฟ้องเรียกร้องมรดกไม่ได้ สามารถรับมรดกตามพินัยกรรมได้ แต่ถ้าฟ้องร้องเพื่อจะเอานี่ไม่ได้เลย โดนยกฟ้องหมด ใครจะฟ้องให้สึกไปฟ้องก่อน ได้มาแล้วค่อยไปบวชใหม่ จะว่าไปแล้วผู้พิพากษาท่านก็พิพากษาสมกับสถานภาพ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมา ทองผาภูมิทั้งพระและโยมมรณภาพและตายไปติด ๆ กัน ๕ ศพ มีเจ้าคณะตำบลหินดาด (หลวงพ่อเคิง) แล้วก็มีหลวงพ่อวิเชียร เจ้าอาวาสวัดดงโคร่ง
คราวนี้อาตมาไม่มีวัตถุมงคลจะช่วยงานเขาแล้ว ก็เลยเอาเหรียญ ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย เนื้อนวโลหะ ไปให้แจกในงาน ปรากฏว่าพระและแม่ชีวัดท่าขนุนไม่ยอม เหมารถตามไปรับคืน เขาบอกว่าอย่างไรก็คุ้ม เฉลี่ยกันออกค่ารถ เดี๋ยววันที่ ๙ นี้เขาจะเหมารถไปอีกรอบหนึ่ง
งานหลวงพ่อวิเชียรเป็นเหรียญนวโลหะเล็ก ส่วนงานของหลวงพ่อเคิง เจ้าคณะตำบลหินดาด เป็นเหรียญนวโลหะใหญ่ ตอนงานเจ้าคณะอำเภอ อาตมาเอาไปช่วยงาน ๒,๐๐๐ เหรียญ คนรับจะเหยียบกันตาย พอรู้ว่ามีเหรียญหลวงปู่สายแจก เขาไปกันมืดฟ้ามัวดิน เดี๋ยวนี้ถ้าเป็นพระเณรทองผาภูมิ พอรู้ว่าเป็นวัตถุมงคลวัดท่าขนุนนี่รีบแบมือไว้ก่อน ถึงเวลาไล่แจกพระเณร ญาติโยม เดินผ่านเจ้าคณะอำเภอ ท่านแบมือรับก่อนเลย
วัตถุมงคลบางอย่างตอนมีอยู่ก็รู้สึกว่ามาก ถึงเวลาออกไป ๆ พอตอนทำพิพิธภัณฑ์ไม่รู้ว่าจะมีเหลือหรือเปล่า ? แต่มั่นใจว่าถ้าตั้งใจทำ เดี๋ยวก็มีคนบริจาคเอง"
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมาหาพระขุนแผนมหาอุตม์ไม่เจอ ไม่รู้โดนใครเอาไปซ่อน แต่ไปเจอพระปิดตามหาอุตม์แทน จะให้เขาเอาลงในกระทู้ ถึงเวลาพวกเราก็ไปจองบูชากัน มีโค้ด "นะโมตาบอด" ตอกอยู่ด้วย นะโมตาบอดบางตำราเรียกว่า "นะปฐมกัป" หรือ "นะมหาอุตม์" เป็นเรื่องของความแคล้วคลาด คงกระพัน ถ้าใครทำถึงจริง ๆ ล่องหนหายตัวก็ได้ ใช้คาถากำกับว่า "นะตันโต นะโมตันติ ตันติตันโต นะโมตันตัน" มีแค่ ๕๐๐ องค์ ไปตีกันเอาเองก็แล้วกัน"
พระอาจารย์กล่าวถึงเด็กคนหนึ่งว่า “น้องคนนี้ชื่อใบบุญ เป็นเด็กที่ไม่กลัวคนแปลกหน้า ประเภทนี้ชาติก่อนสมาธิสุดยอดเลย มาถึงตอนนี้เกิดความมั่นใจในตัวเอง จึงไม่กลัวคนแปลกหน้า”
ถาม : ช่วงหลังนี้แม่เขาสวดมนต์แล้วเห็นผีเป็นปกติ เห็นบ่อย เขาก็ยังกลัวอยู่ จะมีอุบายอย่างไรให้ท่านใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ ?
ตอบ : ก็บอกกับแม่ว่าอีกไม่นานเราก็เป็นแบบนั้นแหละ แล้วถ้าเราเองไม่ได้สั่งสมคุณความดีเอาไว้ก็จะเป็นผีที่แย่กว่านั้น เพราะฉะนั้น..ให้แม่เร่งสั่งสมความดีไว้ให้มากกว่านี้ มีทาน มีศีล มีภาวนาอะไรก็เร่งทำไป
ถาม : ท่านกลัวอยู่ครับ ?
ตอบ : กลัว..เป็นเรื่องปกติ บอกไปว่าสิ่งที่เราทำเป็นคุณความดีระดับพรหมหรือเทวดาแล้ว ทำไมต้องไปกลัวผีทั่วไปด้วย เขามาก็ให้อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป มีอะไรที่ไม่เกินวิสัยที่เขาจะช่วยก็ให้ช่วยมา
ถาม : นั่งภาวนาแล้วรู้สึกว่าท้องยุบลง ๆ เหมือนเกร็งลงไปเรื่อย ๆ ค่ะ ?
ตอบ : เขาให้สนใจที่ลมหายใจจ้ะ อย่าไปสนใจที่อาการพองหรือยุบของท้อง ลักษณะนั้นบางทีเขาเรียกว่าขันธมาร เป็นอาการที่เขากลั่นแกล้งเพื่อให้เราเลิกปฏิบัติเพราะกลัวเราจะได้ดี ฉะนั้น..ต่อไปไม่ต้องใส่ใจ การปฏิบัติเขาแลกกันด้วยชีวิต..ตายเป็นตาย กับแค่ท้องยุบไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไร ดูลมหายใจกับภาวนาของเราไป อย่างอื่นไม่ต้องไปสนใจ อยากเป็นอย่างไรก็ช่าง ทำไม่รู้ไม่ชี้ เดี๋ยวก็เลิกไปเอง
ถาม : ที่หนูภาวนานี่ทำถูกแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอยู่กับลมหายใจก็ถูก ถ้าหากว่ามัวแต่คิดอย่างอื่นก็ผิด
ถาม : เมื่อวานนี้มีลูกค้ามาถอนไสยศาสตร์ เมื่อมาถึงผมให้ทำบุญ และขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ กำลังพระท่านก็มา และผมก็ให้เรียนคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสกน้ำมนต์กิน กำลังพระท่านก็แผ่มาสงเคราะห์ พอครั้งที่สามผมอาราธนามีดหมอเพชราวุธ นิ่งครับ..กำลังไม่มา ไม่ทราบว่าเพราะผมวางกำลังใจผิด หรือผมใช้ไม่ถูกวิธี ?
ตอบ : ไม่มีอะไรเหลือแล้วจะไปทำอะไรอีกล่ะ ? กวาดบ้านจนสะอาดแล้ว เอาเครื่องดูดฝุ่นไปดูดซ้ำจะได้อะไรเล่า ?
ถาม : จะทำบุญอุทิศให้กับมาร ให้เขาไม่มายุ่งกับเรา ?
ตอบ : อ๋อ..ฝันไปเถอะ เขาทำหน้าที่ของเขา เราทำหน้าที่ของเรา ต่างคนต่างทำไม่ต้องไปสนใจเขา ก็เท่านั้นเอง
ถาม : จะได้ชนะ พ้นจากเขา ?
ตอบ : ชนะก็เป็นพระอรหันต์สิจ๊ะ คนที่จะชนะมารได้คือคนที่เข้าพระนิพพานไปแล้วโน่น ขนาดเป็นพระอรหันต์แล้ว ขันธมารยังตามเล่นงานได้อยู่เลย..! เพราะฉะนั้น..ศีล สมาธิ ปัญญาทำไปเถอะ ชนะเมื่อไรก็พ้นเขาได้เมื่อนั้น
ถาม : แล้วมีอะไรอีกไหมคะ ?
ตอบ : อย่าแบกให้มากนัก
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอเพชราวุธว่า “นาน ๆ ท่านถึงจะทำให้ครบทุกอย่างสักที ส่วนใหญ่ก็ให้อย่างเดียวเอาไว้ใช้เฉพาะด้าน งวดนี้เหมือนกับท่านทิ้งทวนอย่างไรไม่รู้ ?
รุ่นถัดไปที่คนทำจะเป็นลูกเป็นหลานสายตรงของท่านปู่พระอินทร์ก็ไม่ใช่แล้ว ถึงเวลาอาตมาบางที่เรียก “พ่อปู่” เรียกทั้งพ่อเรียกทั้งปู่ ในเมื่อเป็นสายตรงถึงเวลาท่านก็ให้เต็มที่
หลวงพ่ออุตตะมะเจอหน้าครั้งแรกท่านบอกเลย ท่านใช้คำว่า “ผู้เป็นเชื้อสายสักกเทวราช” ท่านบอกตรงเลย ท่านปู่พระอินทร์ท่านสร้างบารมีมาเพื่อเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะฉะนั้นท่านจึงเกิดมาก เมื่อเกิดมากลูกหลานท่านก็มาก แต่คราวนี้การที่ลูกหลานมากก็ต้องดูว่าใครเกิดกับท่านบ่อย อาตมาเกิดกับท่านบ่อยก็เลยเป็นสายตรง ถึงขนาดหลวงพ่ออุตตะมะท่านเจอหน้าท่านทักเลย
หลวงพ่ออุตตะมะท่านรับปากว่าท่านจะสงเคราะห์อาตมาเป็นคนสุดท้ายอาตมา ก็ดึงเกมส์มาเรื่อยจนกระทั่งท่านอายุ ๙๐ กว่าปี ตัวเองจะโดนวิธีนี้บ้างหรือเปล่า ? จะไม่รับปากใครเด็ดขาดว่าจะสงเคราะห์เขา ไม่อย่างนั้นโดนดึงเกมยาวแน่"
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : อาตมาไม่นิมนต์ท่านเลย จนกระทั่งทำมีดหมอถอนโบสถ์ วัดทองผาภูมิ ถึงได้นิมนต์ท่านช่วยเสกซ้ำ ปกติงานวัดท่าขนุนอื่น ๆ นี่ท่านอาจารย์สมพงษ์นิมนต์ ส่วนอาตมาหุบปากเงียบ
ถาม : เวลาเราเอาพระแขวนคอ แต่เราเอาไว้ใต้ตะกรุด เป็นอะไรไหมครับ ?
ตอบ : หมายความว่าคุณเอาพระไว้ตรงกลางแล้วตะกรุดอยู่ข้าง ๆ ก็เลยกลายเป็นตะกรุดสูงกว่า ? ไม่เป็นไรหรอก เพราะเรายังถือพระเป็นประธานอยู่ เราตั้งใจเอาพระเป็นประธาน คราวนี้พระเป็นประธานเขาก็ไม่ยอมทำตรงกลางให้สูงขึ้น มีใครสามารถทำสร้อยให้ตรงกลางสูงข้าง ๆ ต่ำได้ไหม ...(หัวเราะ)...
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมว่า "เวลาพบญาติอย่าสิ้นสติมากนะ ถ้าสิ้นสติมากแล้วเสียงจะดังขึ้นเรื่อย ๆ รบกวนการสนทนาธรรม"
ถาม : ผมเป็นลิ้นหัวใจรั่ว ?
ตอบ : อาตมาเจอโยมคนหนึ่งตั้งแต่ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว เป็นลิ้นหัวใจรั่ว ก็เลยเอามาฝึกกรรมฐาน อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้คิดจะอยู่แล้ว ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาฝึก ปรากฏว่าโรคนั้นหายไปเฉย ๆ เป็นไปได้ว่ากรรมฐานอาจจะพอช่วยได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องนี้ไม่มีประสบการณ์เอง แต่ว่าเจอประสบการณ์คนข้างเคียงว่า ถ้าลิ้นหัวใจรั่ว ฝึกสมาธิแล้วหาย
ถาม : ทำงานจนเครียด นอนไม่หลับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ คุณทำงานเกินเหตุ เป็นพระเป็นเณรหน้าที่ของเราก็คือศึกษาเล่าเรียน อันดับแรกก็คือสร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน อันดับที่สองพอมั่นคงแล้วจะได้ช่วยเหลือสืบพระศาสนา คุณประเภทรีบไปทำงาน กำลังใจยังไม่ได้เรื่อง ก็เครียดสิ
ถ้าหากว่าไมยราพเอาไม่อยู่ก็แกงขี้เหล็ก..อร่อยด้วย เป็นพระเป็นเณรไปขอแกงขี้เหล็กชาวบ้านจะน่าเกลียดไหมนี่ ? เดี๋ยวนี้แกงขี้เหล็กถุงหนึ่งก็ไม่ใช่ถูก ๆ แล้ว น่าจะ ๔๐-๕๐ บาทแล้วกระมัง ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระธาตุโยมไม่ต้องเอามาถวาย ถ้าอาตมาอยากได้นี่เอารถสิบล้อไปขนนานแล้ว เจอเป็นถ้ำเลย สมัยทิดตู่ยังบวชเป็นเณรอยู่ อุตส่าห์เตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าไปยุ่งด้วย ดันพาคนเข้าไปเอา ปรากฏว่าคนอื่นปลอดภัย ทิดตู่ตกเขาเกือบตาย..! เรื่องของพระธาตุนั้นมีเจ้าของ เขาหวง อย่าไปยุ่ง..เดี๋ยวจะเรื่องเดือดร้อน
มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ช่วงนั้นช่างธูปทำงานให้ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาพาไปเที่ยวถ้ำ เจอพระธาตุพระสีวลี แกอยากได้ ทั้ง ๆ ที่เตือนแล้วแกก็แอบเอามา เดินออกมาจะถึงปากถ้ำอยู่แล้ว อยู่ ๆ ช่างธูปก็บอกว่า “อาจารย์คอยผมพักหนึ่ง” แล้วก็วิ่งอ้าวกลับเข้าไปใหม่ หายไปพักหนึ่งแล้วก็ออกมาใหม่ ถามแกว่าอะไร ? แกบอกว่า “เดี๋ยวกลับไปก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง”
พอกลับไปเขาบอกว่า ตอนที่เดินออกจากถ้ำมีคนเดินตามมา ก็ถามว่า “แล้วทำไมข้าไม่เห็นวะ ?” เขาบอกว่า “มีแต่รอยตีน” พวกเราเดินกี่ก้าวเขาก็เดินเท่านั้นก้าว ถ้าพวกเราหยุดเขาก็หยุด แกก็เลยต้องกลับไปที่เดิม บอกว่าเอาสตางค์ไปขอชำระหนี้ค่าพระธาตุ “แล้วเอ็งเอาสตางค์อะไร” “พวกเหรียญ พวกแบงก์ไม่ได้ เขาไม่ยอม” ธนบัตรถึงเวลาก็ผุพังหมด แสดงว่าที่คนจีนบอกถ้ามีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้ท่าจะจริง
ความจริงเป็นการอาศัยบารมีในหลวง เทวดาเขาเกรงใจ บารมีพระโพธิสัตว์ใหญ่ ตกลงยอมให้ก็ได้"
ถาม : คนไทยโชคดีที่มีในหลวง ?
ตอบ : ยังไม่รู้จะโชคดีได้อีกนานเท่าไร ทุกวันนี้บ้านเราเมืองเรายังอยู่รอดปลอดภัยอยู่ก็เพราะบารมีในหลวง สิ้นท่านเมื่อไรก็วุ่นวายน่าดูเหมือนกัน
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมานั่งคิดบัญชี ปรากฏว่าศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ๔๙.๕ ล้านเศษแล้ว รับประกันว่าขึ้น ๗๐ ล้านบาทแน่นอน ราคาที่ว่ามานี่ไม่ได้เกี่ยวกับมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ และไม่ได้เกี่ยวกับการหล่อพระประธานเลย พอสร้างเสร็จก็ไม่พอใช้งาน จะเป็นอย่างนั้นทุกที ขยายใหญ่แค่ไหนก็ใหญ่ไปเถอะ เต็มทุกทีแหละ"
ถาม : การทำความดีที่ทำตามกำลังของตัวเอง ถือว่าก็แค่นั้นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่สายพระโพธิสัตว์ก็แค่นั้นแหละ ถ้าพระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่ท่านเกินตัว สละได้แม้กระทั่งชีวิต
ถาม : เราเจริญเมตตา แต่อุเบกขาไม่ได้ ?
ตอบ : แสดงว่าปัญญาไม่พอ ในเมื่อปัญญาไม่พอ วางไม่ได้ ก็ทุกข์ทรมาน ต้องบอกว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้าท่านที่ให้อุเบกขาไว้ เป็นวิธีแก้ไม่ให้เราบ้า..! ไม่อย่างนั้นเมตตากรุณาจนเกินไป ช่วยเขาไม่ได้ ตัวเองก็มาเสียอกเสียใจ
ถาม : อย่างนี้การที่เราทำความดีสร้างสมกุศลไว้ก่อน..?
ตอบ : อะไรที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ทำไปเถอะ จะมากจะน้อยก็ช่วยเราได้ในสักวันหนึ่ง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในพระไตรปิฎกมีสิสิรฤดู ซึ่งบ้านเราไม่มี บ้านเราก็มีแต่ฤดูร้อน (คิมหันต์) ฤดูหนาว (เหมันต์) ฤดูฝน (วัสสา) แต่ถ้าเอาละเอียดแบบจีนนี่เขาแบ่งเป็น ๒๔ ฤดู จะมีฤดูใหญ่แบบร้อน ฝน หนาว แล้วยังมีฤดูย่อยออกไปอีก ฤดูสัตว์จำศีล ฤดูสัตว์ตื่นจากจำศีล ฯลฯ เขาจะมีชัดมากเลย
สิสิรฤดูนี่บ้านเราไม่มี สิสิเรนี่อย่างที่ในบทสวดถวายวิหารทาน เขาบอกว่าเพื่อเพื่อประโยชน์ในด้านไหนบ้าง มี สิสิเร จะ มะกะเส จาปิ วุฏฐิโย สิสิเรคือน้ำค้างหนัก ป้องกันน้ำค้าง น่าจะอยู่ในราว ๆ ฤดูใบไม้ร่วงก่อนที่จะหนาว"
ถาม : เปิดร้านสปาที่เยอรมัน เปิดมาได้สองเดือนแล้ว แต่ก็ยังเงียบ ๆ อยู่ครับ มีคนคาดว่าร้านอยู่ตรงทางสามแพ่ง มีคนแนะให้นำอาหารคาวหวานไปเลี้ยงและทำบุญให้กับเขาครับ ?
ตอบ : ต้องแอบทำ เพราะถ้าไปทำแบบนั้นตอนกลางวัน อาจจะเจอข้อหาทำความสกปรกให้เขาอีก ลองดูได้..แต่ว่าต้องแอบทำ ไปทำกลางวันต่อหน้าต่อตา จะกลายเป็นท้าทายกฎหมายของเขา
ถาม : จะทำอย่างไรถึงให้ค้าขายดีขึ้น ?
ตอบ : หาธงแดง (ธงมหาพิชัยสงคราม) ของวัดท่าซุงไปติด แล้วอธิษฐานขอให้ท่านสงเคราะห์ อาราธนาไว้ทุกวัน
ถาม : อยู่ตรงทางสามแพ่งจะมีผลอะไรบ้าง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าประตูหน้าเป็นกระจกก็ไม่มีผล แต่ทำไปเถอะ..เพื่อความสบายใจ
คนเยอรมันเป็นคนประหยัดมาก บ้านเขาแต่ละคนจะเก็บเงินเดือน ๓๐ เปอร์เซ็นต์เป็นเงินออม เพราะฉะนั้น..เขาไม่มีโอกาสที่จะไปเที่ยวมากมายแบบบ้านเรา ที่เขามาบ้านเราแล้วไปเที่ยวตามสปา ตามคลับ ตามบาร์ ฯลฯ เพราะว่าบ้านเราเงินเล็ก เขามาแล้วเขาไม่รู้สึกเสียดาย เพราะเงินเขาใหญ่กว่าเยอะ แต่พอไปอยู่บ้านเขาแล้ว พวกสปากลายเป็นของฟุ่มเฟือย ของแพง ไม่ใช่ว่าเขามาเที่ยวบ้านเราเยอะ เราไปทำกิจการแบบนี้ที่บ้านเขาแล้วจะดี ถ้าอยู่เยอรมันจริง ๆ ถ้าทำร้านอาหารไทยจะดีกว่า แต่พวกร้านอาหารนี่เขาตรวจจุกจิกมาก เจอแมลงสาบตัวเดียวเขาสั่งปิดร้านเลย เจ้าหน้าที่เขาเอาสเปรย์มาฉีดไล่ตามซอก ถ้ามีแมลงสาบวิ่งออกมานี่คุณเสร็จเลย
ถาม : พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ท่านอยู่ที่เดียวกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ๔ องค์อยู่ที่พระนิพพาน อีก ๑ องค์อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต
ถาม : แล้วถ้าเป็นสถานที่มี ๕ แท่นละคะ ?
ตอบ : อีกแท่นหนึ่งเขาเตรียมรอไว้ให้ท่าน เพราะเทียบเวลาแล้วของท่านแค่นิดเดียว
ถาม : เราจะต้องขอพรขอบารมีอย่างไรจึงจะได้อยู่กับท่าน ?
ตอบ : ไม่ต้องขออะไรหรอก ตั้งใจทำเพื่อพระนิพพาน เดี๋ยวท่านก็สงเคราะห์เอง
ถาม : เมื่อคืนนี้ฝันเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านดุค่ะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจะมาแบบนั้นตลอด ดูเหมือนเคร่งขรึม ดุมาก แต่จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนจริงจัง ใครตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมจริง ๆ ท่านจะรักมาก
ถาม : วันก่อนหนูไปโรงพยาบาลแล้วหมอเขาเอาเข็มปักที่คอ จังหวะที่เข็มกำลังจะปักที่คอ ตัวหนูเองออกไปยืนที่ข้างเตียงค่ะ ร่างกายก็รู้สึกอยู่ แต่ไม่เจ็บ หนูคิดไปเองหรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : พยายามคิดให้ได้อย่างนั้นบ่อย ๆ
ถาม : เหมือนกับพุ่งออกไปเลยค่ะ ?
ตอบ : ทำให้ได้อย่างนั้นบ่อย ๆ โดยเฉพาะคราวหน้าอย่าออกไปแบบไร้จุดหมาย ถ้าออกไปให้ตั้งใจไปกราบพระหรือไปพระนิพพานเลย
ถาม : การที่เขาเอาใจแยกออกจากตัวได้ เป็นปัญญาของเขาหรือว่า.. ?
ตอบ : ไม่จำเป็น สมาธิอย่างเดียวก็พอแล้ว
ถาม : เขาก็ต้องมีความรู้สึกว่าต้องแยกกายออกจากกัน ใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : เกิดจากความกลัว กลัวแล้วหนี คราวนี้กำลังเพียงพอที่จะหนี ก็เลยหลุดออกไปได้
ถาม : แล้วการที่เราออกไปพระนิพพานเป็นเพราะตอนนั้นกลัว ?
ตอบ : ไม่ใช่...ที่อยากไปพระนิพพานแล้วไปได้เพราะอยากไป ในเมื่อเขาไม่ได้อยากไป ออกมาก็ไม่รู้จะไปไหน ได้แต่ยืนดูตัวเอง ความจริงการอยากไปก็ยังไปพระนิพพานไม่ได้ ให้ตั้งใจไว้ว่าจะไป หลังจากนั้นลืมความตั้งใจนั้นเสีย แล้วภาวนาไปเรื่อย ถ้ากำลังพอก็จะไปได้เอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "จีวรสีพระราชนิยมจริง ๆ ก็คือจีวรที่เป็นสีกรัก ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่าสีกรักทอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขอให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ช่วยค้นคว้าพระไตรปิฎกดูว่า สีกรักที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตนั้นมีลักษณะอย่างไร ? ท้ายที่สุดสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ก็สรุปออกมาเป็นสีกรักทอง
ในพระวินัยกล่าวถึงพระมหากัสสปะ ไปถึงเมืองอาฬวีแล้วคนแตกตื่นหนีพระกัน ถึงขนาดเหลือบไปเห็นวัวก็โดดหนี คิดว่าเป็นจีวรพระ ในที่สุดเปรียบเทียบกันแล้วท่านก็สรุปของว่าเป็นสีอย่างนี้
ส่วนสีของด้านพระธรรมยุติสายวัดป่าที่เป็นสีกรักค่อนข้างจะเข้มนั้น เนื่องจากท่านอยู่กับป่า กับเขา กับดิน กับทราย ถ้าย้อมสีเข้มหน่อยก็ดูเปรอะเปื้อนยากขึ้น ซึ่งถ้าสายวัดป่าก็จะคงสีกรักออกเขียว หรือไม่ก็กรักออกดำ ส่วนสายพระบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นห่มแบบสีกรักก็ดี ห่มแบบสีเหลืองก็ดี ถ้าเข้าวังต้องเปลี่ยนเป็นสีนี้ทั้งหมด เพราะถือว่าในหลวงทรงโปรดสีนี้ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสีที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยที่สุด ก็เลยเรียกกันง่าย ๆ ว่าสีพระราชนิยม
ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปรับพัดในวังก็เปลี่ยนเป็นสีนี้ พวกเราไม่คุ้นตากัน อาตมาเองถ้าไปรับปริญญาของ มจร. ก็ต้องเปลี่ยนไปห่มสีเหลือง เหตุที่ห่มสีเหลืองนี่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ แต่เนื่องจากมีเจ้าภาพถวายผ้าไตร ซึ่งเป็นสีเหลืองทั้งหมด โดยมารยาทของพระ เมื่อเขาถวายแล้วก็ต้องฉลองศรัทธา อาตมาฉลองครั้งเดียวแล้วรู้สึกว่ายุ่งยากมาก ก็เลยใช้วิธีห่มผืนตอนรับปริญญาตรีนั้นเข้าไปรับตอนปริญญาโทใหม่ ผ้าไตรที่รับมาใหม่ก็เก็บใส่รถไป เพราะผืนเก่าเป็นสีเดียวกันอยู่แล้ว เดี๋ยวตอนรับปริญญาเอกก็จะห่มผืนนั้นไปอีก ตอนนี้เขียนไว้แล้วว่ารับปริญญาตรีวันที่เท่าไร รับปริญญาโทวันที่เท่าไร ต่อไปก็รับปริญญาเอกวันที่เท่าไร หลังจากนั้นก็นำออกประมูล..!"
ถาม : เห็นมีเณรเล็ก ๆ ค่ะ ?
ตอบ : ยังอุตส่าห์เห็นนะ
ถาม : เณรเล็ก ๆ เต็มไปหมดเลย ใครเจ้าคะ ?
ตอบ : ไม่มีใครหรอก บรรดาท่านทั้งหลายที่ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์อาตมาอยู่
ถาม : ทำไมท่านต้องเป็นเณรคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่บังคับให้เป็นเณรก็จะซน เป็นเณรอย่างน้อยบังคับให้อยู่ในสมณสารูปได้
ถาม : ....(ไม่ชัด)..
ตอบ : เวลาไปไหนแล้วก็มักจะอุทิศส่วนกุศลให้เขา ท่านทั้งหลายเหล่านี้กตัญญู สบายไปแล้วก็อยากจะช่วยเหลือ อยากจะรับใช้ จึงตามมา คราวนี้ถ้าไม่บังคับไว้ด้วยพระธรรมวินัย เดี๋ยวก็ซนไปตามเรื่อง อาจจะมีบางคนเดือดร้อนก็ได้
ถาม : วิระทะโย หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : พระคาถาอย่าไปหาความหมาย เขาว่าแปลแล้วจะไม่ขลัง ไม่มีอะไรหรอก อาตมาใช้พระคาถานี้เป็นปกติ
จะเอาวิธีของอาตมาไปใช้ก็ได้นะ จับบวชให้หมด ในเมื่อจับบวชแล้วก็ซนมากไม่ได้ เพราะมีศีลเป็นกรอบอยู่
ถาม : ตอนเช้าอาราธนาวัตถุมงคลไว้ แล้ววันนั้นเอามือสอดไปใต้ใบมีด รู้สึกว่าโดนมีดเฉือนมือและเจ็บ แต่พอชักมือออกมาก็ไม่เป็นอะไร ไม่เจ็บด้วย คำถามคือ ณ จุดนั้นต้องมีสมาธิด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วทำได้อย่างไร ? ความตั้งใจก็คือสมาธิอยู่แล้ว แต่จะเป็นสมาธิมากน้อยเท่าไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางอย่างตั้งใจมากเกินไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะอยู่ในจุดที่เกินความต้องการ ถ้าน้อยเกินไปก็ไม่ก่อประโยชน์ เพราะไม่ถึงจุดที่ต้องการ ต้องพอดี ๆ
ถาม : สมาธิที่ต้องมี เป็นตอนที่โดนมีดหรือตอนอาราธนา ?
ตอบ : ตอนที่อาราธนา
ถาม : แปลว่า ถ้าเราอาราธนาได้ก็เรียบร้อยแล้ว ?
ตอบ : หลังจากนั้นกำลังจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ตอนอาราธนาขอให้กำลังใจทรงตัวก็แล้วกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่กลัวครูจะรู้สึกสนุกกับการเรียน แต่ถ้าเป็นลูกศิษย์ที่กลัวครูจะรู้สึกทุกข์ทรมาน อาตมาไปเรียนแต่ละครั้ง ไปด้วยความกระตือรือร้นว่าอาจารย์จะมีอะไรใหม่ ๆ มาให้เรา เวลาไปที่มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นพระเป็นโยม พออาตมาปรารภเรื่องอะไรเขาก็จะกระตือรือร้นทำให้ หนังสือบางอย่างให้ท่านเซ็นรับรอง ท่านก็เซ็นเผื่อมาให้เลย
คนอื่นเขาถามว่า "เพราะว่าเป็นอาจารย์เล็กหรือเปล่า เขาก็เลยช่วยขนาดนั้น ?" อาตมาบอกว่าไม่ใช่ เกิดจากการที่อาตมายกย่องให้เกียรติท่านมาแต่แรก บางคนเป็นเด็กในสำนักงาน แต่ว่าอาตมาไม่เคยมองข้าม ถึงเวลาจะเรียกใช้ไหว้วานอะไร ก็อยู่ในลักษณะให้เกียรติ ขอให้เขาช่วย คนเรามักจะรู้สึกดี ๆ ถ้าหากว่ามีคนให้เกียรติ และเห็นว่าเขามีความสามารถที่จะทำอะไรให้ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นบ่อย ๆ เข้า ก็เลยกลายเป็นว่าเขาเต็มใจที่จะช่วยทุกครั้ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ใครดูรายงานข่าวฟุตบอลจุฬา ธรรมศาสตร์บ้าง ? ขบวนสิ้นสติอีท่าไหนถึงได้แต่งชุดดำกัน อาตมาขอบอกว่า ของบางอย่างเป็นลางร้าย ตอนที่ "สมเด็จย่า" จะสิ้นพระชนม์ ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ทุกช่องพร้อมใจกันแต่งดำ ผู้ประกาศข่าวนอกสถานที่ก็พร้อมใจกันใส่ชุดดำ แม้กระทั่งผู้รายงานข่าวกีฬาก็ใส่สีดำ อาตมาบังเอิญนั่งอยู่หน้าทีวีที่บ้านโยมพอดี เลยชี้ดูว่า "นี่โบราณเขาถือ อยู่ ๆ แต่งดำพร้อมกัน ถือเป็นลางร้ายบางอย่าง" แล้วก็จริง ๆ ด้วย "สมเด็จย่า" สวรรคต นี่เขาคิดอะไรขึ้นมา ถึงได้แต่งดำทั้งขบวน ? จำให้แม่น ๆ นะ ดูว่าภายใน ๗ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ลางบางอย่างบอกเหตุ อย่างเช่นว่ากรุงศรีอยุธยาจะแตก หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง มีน้ำพระเนตรไหลถึงพระนาภี องค์หลวงพ่อวัดพนัญเชิงใหญ่ขนาดไหน ถ้าเอาหลักวิทยาศาสตร์มาอธิบายว่าความชื้นในองค์พระระบายออกมา ก็คงไม่มากขนาดนั้น แล้วมีอีกาบินไปชนยอดนพศูลบนพระเจดีย์วัดใหญ่ไชยมงคล เสียบตายคาอยู่อย่างนั้น เป็นไปได้ที่ไหน
บางอย่างอยู่ในลักษณะของเทพสังหรณ์ แสดงเหตุให้รู้ แต่ว่าเราต้องช่างสังเกตด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนนักเตือนหนา ใครซื้อรถสีอะไรก็ได้ ยกเว้นสีดำ เพราะว่าโบราณเขาถือว่าสีดำเป็นการไว้ทุกข์ แต่อาตมาดูปัจจุบันนิยมรถสีดำกันจัง กลัวชีวิตจะไม่ทุกข์ แล้วอย่าถามนะว่าซื้อสีดำมาแล้วจะทำอย่างไร ? ไปหาวิธีแก้ไขกันเอาเอง เห็นเขาเขียนกันว่ารถคันนี้สีขาว..!
เอาเป็นว่าใครที่ชอบใส่ชุดสีดำ ให้ลองสังเกตดูว่าตั้งแต่ใส่มาจนถึงป่านนี้ ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอดหรือเปล่า หรือว่าสะดวกดีทุกประการ ? ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวก็เปลี่ยนสีได้แล้ว ส่วนใครที่ผิวดำไม่ต้องเปลี่ยน ยกเว้นว่ายอมถลกหนังตัวเอง..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็นวันพฤหัสบดี ญาติโยมที่ไปร่วมงานหล่อพระอาจจะมาลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่าเป็นวันทำงาน ยกเว้นว่าใครจะลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อนในฤดูหนาวก็ว่ากันไป ครูบาอาจารย์ที่นิมนต์ไป ทั้งที่นั่งปรกคุมธาตุและเจริญชัยมงคลคาถา น่าจะมีหลายท่านที่ไปก่อน อาตมาจองรีสอร์ทให้ท่านพัก ปรากฏว่าเหลืออยู่แค่ ๙ ห้อง ถ้าไม่พอคงต้องให้ท่านมานอนเบียดกันในวัด
เนื่องจากว่ารีสอร์ทที่ไปจองนั้น มีอยู่ด้านหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนบ้านส่วนตัว มีที่พัก มีห้องน้ำ มีห้องครัว เขาคิดคืนละ ๘๐๐ บาท ถ้าใครเช่ารายเดือน คิดแค่เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท คนเลยเช่าเต็มยาวไปครึ่งค่อนปี สบายกว่าไปเช่าบ้านอื่นอยู่ ไม่ต้องดูแลอะไร มีคนทำความสะอาดให้ด้วย"
มีผู้เอา หนังสือ "สมบัติพ่อให้" เข้าไปสอบถาม เกี่ยวกับรายละเอียดของยันต์ต่าง ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้สร้างไว้
ถาม : ธงท้าวมหาชมพู ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วมีแค่รูปยันต์นั่นแหละ นอกนั้นเกินมา อันนี้เป็นมหาอุตม์ อันนี้เป็นปืนแตก อันนี้กันโรคระบาด หลวงพ่อท่านเพิ่มให้
ถาม : ธงเขียว ?
ตอบ : ธงเขียวคือธงท่านปู่พระอินทร์ จริง ๆ แล้วมีแค่ ๓ คำ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเพิ่มให้ เพราะอยู่ ๆ มีแค่นั้นก็ดูน้อยเกินไป
ถาม : แล้วธงพระแม่โพสพ ?
ตอบ : ธงพระแม่โพสพจริง ๆ มีแค่รูปเท่านั้น
ถาม : ยันต์ของเสด็จในกรมหลวงชุมพร ?
ตอบ : ยันต์นี้บังคับด้วยว่าต้องเป็นผ้าสีม่วงอย่างเดียว วัสดุอื่น ๆ ทำไม่ได้ ของท่านปู่พระอินทร์ก็เป็นผ้าเขียวอย่างเดียว ผ้ายันต์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสีแดง เห็นมีแต่ของท่านปู่พระอินทร์กับของเสด็จในกรมหลวงชุมพรที่บังคับสีไว้
ถาม : ยันต์ค้าขาย ?
ตอบ : จริง ๆ ไม่ใช่ยันต์ค้าขายหรอก หลวงพ่อท่านทำเอาไว้ แล้วคนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรก็ใส่ไปเรื่อย ไปค้นเจอจะเข้าไปถามก็คงเกรงใจ
ถาม : ตะกรุดเดินป่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจารยันต์อะไรครับ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยแกะดู แต่ว่าไม่ใช่ตะกรุดเดินป่าหรอก ตอนนั้นท่านเพิ่งไปอยู่วัดท่าซุงไม่นาน ทำแจกที่ศาลาเก่าเพื่อหาทุนสร้างวัด แล้วคนแย่งกันรับจนกระทั่งศาลาทรุดไปด้านหนึ่ง ท่านก็เลยสร้างใหม่เป็นตึกกองทุนขึ้นมา ก็คือตะกรุดรุ่นนี้แหละ ท่านเองไม่ได้แจก เก็บเอาไว้ตั้งหลายสิบปีกว่าเขาจะไปค้นเจอใหม่
ถาม : การทำธงเขียว ?
ตอบ : การเสกของท่านจะมีพิธีต่างหาก แล้วก็ต้องมีผ้าแพร สมัยก่อนเรียกว่าผ้าขาว วางซ้ายขวาอย่างละพาน
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : ไม่ใช่..ผ้าแพรก็คือผ้าขาวนั่นแหละ ตำราโบราณขาดพวกนี้ไม่ได้ เพราะถือเป็นเครื่องไหว้ครูอย่างหนึ่ง สมัยก่อนเวลาไหว้ครู ฆราวาสก็เอาผ้าขาวม้าไป พระก็เอาผ้าไตรไป อันนี้ของเขาไหว้ครูพรหมครูเทวดา ก็เอาผ้าขาว แต่คนโบราณเรียกว่าผ้าแพร
ถาม : แล้วทำไมเขาเรียกผ้าแพรครับ ?
ตอบ : ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผ้าแพรในความรู้สึกของอาตมาก็คือแพรปังลิ้นที่ลื่น ๆ แต่สมัยก่อนผ้าแพรก็คือผ้าขาว
ถาม : แล้วผ้าเพลาะละครับ ?
ตอบ : ผ้าเพลาะคือผ้าที่เขาเอามาเย็บติดกัน คำว่าเพลาะก็คือเอามาต่อกันเป็นชิ้น ๆ เป็นภาษาโบราณอีกเหมือนกัน สมัยนี้ไม่ค่อยได้ยินแล้ว ถ้าจำไม่ผิด ของท่านปู่ท่านบอกว่าให้เอาดินสอที่เขียนไปวางไว้ด้วย ท่านใช้คำว่าดินสอนะ สมัยนี้ส่วนใหญ่ใช้ปากกาเขียนกัน
ฉะนั้น..อะไรที่เขียนคุณก็เอาใส่ลงไปด้วย คำว่า "สอ" สมัยก่อนก็คือการเคลือบ การโบก คราวนี้ดินสอก็คือดินที่สมัยก่อนเขาเอามาโบกบ้าน ตอนหลังเขาเอามาทำเป็นดินสอสำหรับเขียน ก็ยังเรียกดินสอเหมือนเดิม อย่าง "สอปูน" ก็คือ "โบกปูน"
ภาษาโบราณนาน ๆ ไปคนรุ่นหลังไม่รู้ ถึงได้ว่าพระไตรปิฎกต้องมีอรรถกถามาอธิบายพระไตรปิฎก พอนาน ๆ ไปเป็นร้อยปีก็ต้องมีฎีกามาอธิบายอรรถกถา แล้วก็มีอนุฎีกามาอธิบายฎีกา มีเกจิอาจารย์มาอธิบายอนุฎีกา ไล่กันไปเรื่อยตามยุคสมัย
ถาม : ไปบอกเพื่อนเรื่องคาถาบูชามีดหมอเพชราวุธ ส่วนที่ว่า "ศัตรูมาบีฑาวินาศสันติ" เพื่อนเขางง..เพราะไม่รู้จักคำว่า "บีฑา" ?
ตอบ : "บีฑา" ก็คือเบียดเบียน ถ้าบีฑาไม่รู้ ปลาตก็ไม่รู้ใช่ไหม ? "ปลาต" แปลว่าหลีกไป หนีไป จากไป ต้องดูบริบทว่าหมายถึงอะไร มีชีวิตอันไปปราศแล้ว คือตายแล้ว จะว่าไปแล้วคำโบราณของเราสละสลวยแล้วมีใช้งานเยอะมากเลย ต้องบอกว่าบรรพบุรุษของเรารวยคำ ดูอย่าง กู ข้า ฉัน ผม ข้าพเจ้า เกล้าฯ แม้กระทั่งข้าพระพุทธเจ้า ขะโยม สารพัด ฝรั่งใช้ I คำเดียว ขะโยมก็อันว่าตัวข้าพเจ้า ภาคเหนือหรืออีสานยังใช้อยู่นะ ขะโยมก็คือตัวข้า “ขะโยมเจียขะแมร์ บองสะราญโอน เจริญเจริญ”
วันก่อนไปพูดในห้องเรียน ลูกศิษย์หัวเราะก๊ากเลย ปรากฏว่าในห้องเรียนมีพระเขมรมาเรียนด้วย ชื่อ สุคนธี ฉายา สัทธาธโน แต่เขาเขียนเป็นภาษาอังกฤษ คนอ่านไม่ค่อยจะออก เพื่อนหันไปถามว่า "ใช่หรือเปล่าสุคนธี ?" ท่านพยักหน้าว่า "ใช่ พระอาจารย์พูดถูก" แสดงว่าภาษาเขมรของอาตมายังพอใช้ได้อยู่
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : จะใช้อย่างนั้นก็ได้ อาตมาถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แล้วเขียนตะบึงไปเลย ไม่ต้องสนใจ ง่ายกว่าตั้งเยอะ ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง บางทีนึกถึงอะไรก็ว่าไปเรื่อย สำคัญตรงที่เรานึกถึงพระได้หรือเปล่า ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้บริหารบริษัทสหพัฒนพิบูลย์ จำกัด บ่นว่าบะหมี่สำเร็จรูปขายไม่ค่อยออก สาเหตุใหญ่ก็คือลูกศิษย์วัดท่าขนุนเอาสตางค์ไปบูชาวัตถุมงคลหมดแล้ว ไม่มีแม้แต่สตางค์จะกินบะหมี่ซอง ใช่หรือเปล่า ? สรุปแรงไปไหม ?
บ้านเราหากเศรษฐกิจแย่ บะหมี่สำเร็จรูปจะขายดี แต่ถ้าขายไม่ออกนี่บอกอะไรเราบ้าง ? บอกว่าคนเราระมัดระวังค่าใช้จ่าย เปลี่ยนจากการกินบะหมี่ซองละ ๕-๖ บาท เปลี่ยนไปกินผัดกระเพรา จานละ ๑๐๐ บาทแทน..! ฟังเขาออกมาแก้ตัวแล้วเข้าท่าดี เห็นว่าเป็นทหารด้วยกันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เลยช่วยหาข้อแก้ตัวให้ บอกว่าร้านเขาบรรยากาศหรู บริการดีเต็มที่เหมือนโรงแรมชั้น ๑ จึงต้องคิดจานละ ๑๐๐ บาท พวกเราลองไปขายจานละ ๑๐๐ บาทดูสิ รับประกันว่าโดนแน่..!
ต่อไปข้าวแกงจานละ ๑๐๐ บาท จะเป็นเรื่องปกติ ฟังดูน่ากลัวไหม ? คาดว่ารุ่นของเรา ๆ นี่ยังทันเป็นจำนวนมาก ขอให้ทราบว่าอาตมาพูดมาหลายปีแล้วว่าข้าวแกงจานละ ๑๐๐ บาท ตอนนี้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว"
:4672615:เก็บตกเดือนกุมภาพันธ์ปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
ขออนุญาตนำเอาข้อความจาก งานหล่อพระสมเด็จองค์ปฐม วันที่ ๒๖ ก.พ. ๕๘ มาลงไว้ที่นี่นะคะ เนื่องจากเนื้อหามีไม่มาก
พระอาจารย์กล่าวว่า “สำหรับการหล่อพระที่นี่ ไม่มีการจำหน่ายแผ่นทอง ไม่มีการจำหน่ายแท่งทอง ถ้าอยากได้แผ่นทอง มีร้านขายทองในทองผาภูมิอยู่ ๕ แห่ง ไปหาซื้อกันได้
เนื่องจากว่าท่านเจ้าภาพใหญ่ที่รับดำเนินการ คือ พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโมนั้น ท่านมอบหมายให้เป็นภาระของช่างไปทั้งหมด ซึ่งช่างได้นำเอาทองเหลืองมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ถ้าญาติโยมอยากจะร่วมทำบุญด้วย ก็ทำบุญเป็นปัจจัย เพื่อมอบหมายให้กับทางเจ้าภาพนำไปใช้งานตามปกติ ไม่ต้องมาบ่นว่าทำไมที่นี่หล่อพระไม่เหมือนกับที่อื่น เหตุที่ไม่เหมือนที่อื่นเพราะเป็นที่นี่..!
อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมต้องไปประกาศว่าทำบุญแต่ละครั้งจะได้อานิสงส์อย่างไร จะต้องจำหน่ายแผ่นทองเท่าไร จำหน่ายแท่งทองเท่าไร ถ้าท่านไม่รู้ว่าทำแล้วได้อานิสงส์อย่างไรแล้วมาหล่อพระทำไม..?”
พระอาจารย์กล่าวว่า “แจ้งให้หลายท่านทราบว่า ที่ส่งของมาให้บรรจุโปรดมารับคืนไปด้วย ถ้าไม่รับคืนจะยึดเป็นของหลวง..! พระที่วัดนี้หล่อแล้วไม่มีการบรรจุใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นว่าเป็นพระที่หล่อด้วยคอนกรีตอย่างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่หน้าวัด ถึงจะมีการบรรจุ
ก่อนจะทำอะไรโปรดคิดว่า ท่านจะสร้างความลำบากให้กับพระหรือเปล่า ? ไม่ใช่คิดแต่จะเอาบุญอย่างเดียว พอถึงเวลาคิดจะเอาบุญแล้วก็ส่งโน่นส่งนี่มาเยอะแยะไปหมด นอกจากจะเป็นการใช้พระ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มภาระงานให้โดยใช่เหตุ สิ่งที่ทำอาจจะไม่ได้อานิสงส์อย่างที่ต้องการและอาจจะเกิดโทษอีกด้วย..!
ก่อนจะทำบุญให้ตั้งสติดี ๆ อาตมาหล่อพระทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้ว เขาเขียนหน้าซองมาว่า ร่วมบุญหล่อพระทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก..! ถ้าอยากทำขนาดนั้นก็โปรดไปสร้างเอง
ส่วนหลายท่านที่ขนเอาหนังสือมาให้แจก ถ้าอยากได้อานิสงส์เต็ม ๆ ก็โปรดเอาไปแจกเอง เพราะว่ากลายเป็นการเพิ่มภาระและเป็นการใช้พระด้วย โดยเฉพาะอาตมาเองที่เป็นคนแจก หลายท่านอยากได้อานิสงส์ธรรมทาน เอาหนังสือธรรมะมาถวายอาตมา ขอบอกว่า “ได้โปรดเอาไปอ่านแล้วปฏิบัติเอง ไม่ใช่เอามาถวายอาตมา”
ต่อไปจะบุญอะไรโปรดระมัดระวังนิดหนึ่ง ไม่ใช่คิดว่าเราต้องการอานิสงส์เราก็ทำ อาจจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ และโปรดหาข่าวให้ดี ๆ สมัยนี้ถามเฮียกู้ได้ ไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีรายละเอียดให้ทุกอย่าง ไม่ใช่หล่อพระหน้าตัก ๑๖ นิ้วก็บอกว่า ๕๐ ศอก ไปเอาที่ไหนมา ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลังจากบวงสรวงแล้ว อาตมาจะไปนั่งรับญาติโยมที่ตั้งใจทำบุญกันในศาลาใหญ่ ใครจะร่วมทำบุญก็ไปพบกันในที่นั้นได้ ท่านใดทำบุญจะมีวัตถุมงคลเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้เป็นที่ระลึก ซึ่งตอนนี้ทุกท่านก็คงทราบแล้วว่า วัตถุมงคลของวัดท่าขนุน นอกจากจะหมดเร็วแล้ว ราคายังขึ้นเร็วเป็นจรวดเลย
ฉะนั้น..ท่านใดที่ประเภทตั้งใจหากำไร ก็โปรดเก็งกันเอาเองว่ารุ่นไหนจะดังกว่ากัน อาตมาเองยังตกใจ ของออกจากวัดราคาห้าหมื่นว่าแพงโคตรแล้ว เขาเอาไปปล่อยแสนหนึ่ง แล้วก็ดันมีคนสิ้นสติแย่งกันบูชาด้วย..!”
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.