เถรี
20-11-2014, 10:09
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติเอาไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงความไม่ค่อยจะแปรผันของโลหะทองคำ จนกระทั่งมีคำพังเพยว่า ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผา เพราะว่าจะเผาจะหลอมเท่าไรก็ยังเป็นเนื้อทองคำ ไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นโลหะอื่น
พวกเราทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อเราปฏิบัติธรรม คนอื่นเห็น ส่วนใหญ่ก็ต้องคิดว่าเราดี พวกเราทุกคนต้องถามตัวเองว่า การปฏิบัติของเราเองนั้นดีจริงแล้วหรือไม่ ? คำว่าดีในที่นี้ก็คือดีด้วยศีล ดีด้วยสมาธิ ดีด้วยปัญญา
การดีด้วยศีลนั้น เรารักษาศีลอย่างจริงจังแค่ไหน ? เราไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีลหรือเปล่า ? หรือว่าเรายังรักษาศีลแบบขาดตกบกพร่อง ไม่สามารถทำได้ครบถ้วน ไม่สามารถที่จะรักษาให้สมบูรณ์บริบูรณ์ได้ทั้งวัน ?
โดยเฉพาะบางท่านตั้งใจรักษาศีล ๘ แต่ทำได้ไม่ตลอด ถึงเวลาก็ใช้คำว่าขอลาศีลชั่วคราว เพราะว่าศีล ๘ ไม่สามารถกินอาหารหลังเวลาเที่ยงไปแล้ว ก็ใช้การลาศีลชั่วคราวมากินอาหารประมาณ ๑๕-๒๐ นาที แล้วก็รักษาศีล ๘ ต่อไป ถ้าทำลักษณะนี้ให้ระวังว่าจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย และขณะเดียวกันก็เป็นสีลัพพตปรามาส หรือการรักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่จริงไม่จัง
ถ้าของเราดีแท้ จริงแท้ เป็นทองคำที่ทนต่อการพิสูจน์ของไฟ ก็หมายความว่าเราต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกสิกขาบท ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเรารักษาศีลเพื่ออะไร เรารักษาศีลด้วยความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะว่าศีลเป็นของดี ของวิเศษที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้เป็นสมบัติของเรา ศีลเป็นของดี ของวิเศษที่ครูบาอาจารย์มอบให้เราไว้รักษาตัวทั้งชาตินี้และชาติหน้า ศีลจะเป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
ถ้าเรารักษาศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ มีความมุ่งมั่นและแน่วแน่ เข้าใจต่อจุดหมายในการรักษาศีล อย่างนี้เราเรียกตนเองได้ว่าเป็นผู้มีความจริงแท้ในศีล สามารถพิสูจน์ได้ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงความไม่ค่อยจะแปรผันของโลหะทองคำ จนกระทั่งมีคำพังเพยว่า ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผา เพราะว่าจะเผาจะหลอมเท่าไรก็ยังเป็นเนื้อทองคำ ไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นโลหะอื่น
พวกเราทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อเราปฏิบัติธรรม คนอื่นเห็น ส่วนใหญ่ก็ต้องคิดว่าเราดี พวกเราทุกคนต้องถามตัวเองว่า การปฏิบัติของเราเองนั้นดีจริงแล้วหรือไม่ ? คำว่าดีในที่นี้ก็คือดีด้วยศีล ดีด้วยสมาธิ ดีด้วยปัญญา
การดีด้วยศีลนั้น เรารักษาศีลอย่างจริงจังแค่ไหน ? เราไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีลหรือเปล่า ? หรือว่าเรายังรักษาศีลแบบขาดตกบกพร่อง ไม่สามารถทำได้ครบถ้วน ไม่สามารถที่จะรักษาให้สมบูรณ์บริบูรณ์ได้ทั้งวัน ?
โดยเฉพาะบางท่านตั้งใจรักษาศีล ๘ แต่ทำได้ไม่ตลอด ถึงเวลาก็ใช้คำว่าขอลาศีลชั่วคราว เพราะว่าศีล ๘ ไม่สามารถกินอาหารหลังเวลาเที่ยงไปแล้ว ก็ใช้การลาศีลชั่วคราวมากินอาหารประมาณ ๑๕-๒๐ นาที แล้วก็รักษาศีล ๘ ต่อไป ถ้าทำลักษณะนี้ให้ระวังว่าจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย และขณะเดียวกันก็เป็นสีลัพพตปรามาส หรือการรักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่จริงไม่จัง
ถ้าของเราดีแท้ จริงแท้ เป็นทองคำที่ทนต่อการพิสูจน์ของไฟ ก็หมายความว่าเราต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกสิกขาบท ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเรารักษาศีลเพื่ออะไร เรารักษาศีลด้วยความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะว่าศีลเป็นของดี ของวิเศษที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้เป็นสมบัติของเรา ศีลเป็นของดี ของวิเศษที่ครูบาอาจารย์มอบให้เราไว้รักษาตัวทั้งชาตินี้และชาติหน้า ศีลจะเป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
ถ้าเรารักษาศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ มีความมุ่งมั่นและแน่วแน่ เข้าใจต่อจุดหมายในการรักษาศีล อย่างนี้เราเรียกตนเองได้ว่าเป็นผู้มีความจริงแท้ในศีล สามารถพิสูจน์ได้ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ