เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗


เถรี
12-11-2014, 16:27
ถาม : ในกรณีที่กระผมไม่นิยมสวมแหวน กระผมสามารถที่จะถอดเฉพาะเพชรของแหวนจักรพรรดิ โดยนำไปบรรจุและอัดกรอบพร้อมกับตะกรุดกำลังพระแม่ธรณี ซึ่งจะรวมกันอยู่ภายในกรอบเดียวกัน เหมือนลักษณะการเลี่ยมพระพุทธปฏิมาลอยองค์ได้หรือไม่ ? และถือเป็นการปฏิบัติที่เหมาะสมต่อวัตถุมงคล และจิตทิพย์กายทิพย์ผู้ดูแลรักษาวัตถุมงคลทั้งสองหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ดูที่วัสดุ ถ้าสมมติว่าของเก่าเป็นเรือนทองคำหรือทองคำขาว แต่เราถอดไปใส่หลอดพลาสติกนี่ไม่สมควรแน่นอน เพราะฉะนั้น..ดูที่วัสดุก็แล้วกัน

ถาม : หากท่านชี้แนะว่าสามารถกระทำได้ กระผมขอคำชี้แนะจากท่านว่า กระผมควรสั่งให้ช่างจัดวางตำแหน่งของวัตถุมงคลทั้งสองอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด ? และเพราะสาเหตุใดครับ ?
ตอบ : ไม่สามารถที่จะชี้แนะได้ เพราะเพชรไม่สามารถที่จะบรรจุไปในตะกรุดแม่ธรณีได้อยู่แล้ว ตะกรุดนิดเดียวจะไปบรรจุอะไรได้ ?

ถาม : แล้วถ้าเขาเลี่ยมรวมกันควรจะไว้ด้านล่างหรือบนของตะกรุดคะ ?
ตอบ : แล้วแต่ชอบใจ

ถาม : ไม่ปรามาสใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ากลัวเรื่องปรามาส ควรจะกลัวตั้งแต่คิดทำแล้ว

เถรี
12-11-2014, 16:33
ถาม : อานิสงส์การถวายพระพุทธรูปกับพระบรมสารีริกธาตุต่างกันหรือไม่ครับ ? เช่น การถวายพระบรมสารีริกธาตุ ๑ องค์มีอานิสงส์เทียบเท่ากับการถวายพระพุทธรูป ๑ องค์หรือไม่ครับ ? ถ้าไม่เท่ากัน กราบขอเมตตาพระอาจารย์สงเคราะห์ บอกอานิสงส์การถวายพระพุทธรูปและพระบรมสารีริกธาตุด้วยครับ ?
ตอบ : การถวายพระพุทธรูปเราได้อานิสงส์พุทธบูชา ถ้าหากว่าเกิดเป็นพรหมหรือเทวดาก็มีรัศมีกายสว่างมากกว่าผู้อื่น แต่การถวายพระบรมสารีริกธาตุยังไม่เคยมีตัวอย่างปรากฏมาก่อน ถ้าเราถือในลักษณะของการถวายเป็นพุทธบูชาควรที่จะทำให้สมพระเกียรติที่สุด

สมัยก่อนเรื่องของพระบรมสารีริกธาตุ เป็นวัตถุที่หายากมาก ๆ เราจะเห็นว่าบางที่บางแห่ง มีพระบรมสารีริกธาตุ ๑ องค์บ้าง ๒ องค์บ้าง หรือ ๓ องค์บ้าง แต่ว่ามีการสร้างเจดีย์ใหญ่โตมหึมาเพื่อบรรจุ แล้วมีการสละทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทอง บรรจุลงไปจนนับไม่ถ้วน อย่างกรุวัดราชบูรณะที่อยุธยา เฉพาะพลอยดิบอย่างเดียวเขาบอกว่าหลายสิบกระสอบ ฉะนั้น..ถ้าคิดจะเอาอานิสงส์ตรงนี้โปรดทราบว่า ทำให้สมกับพระเกียรติยศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะเจอการปรามาสพระรัตนตรัยไป อย่างเช่นว่าใส่ซองพลาสติกแล้วไปไล่ยื่นแจกให้คนอื่นเขา..!

ถาม : ที่ถูกต้องคือควรอัญเชิญใส่ผอบไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำได้ดีกว่านั้นก็ยิ่งดี

ถาม : แล้วการที่เราบรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น พระเจดีย์ ญาติโยมที่นำวัตถุมีค่า เช่น เพชรพลอยหรือทองคำไปร่วมถวาย จะได้อานิสงส์อะไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ก็อานิสงส์พุทธบูชาเช่นกัน แต่ว่าควรจะบรรจุให้ถูกพิธีกรรมและรูปแบบด้วย อย่างเช่นว่า ชั้นแรกควรจะปูด้วยผ้าขาวแล้วก็พรมน้ำหอมทับลงไป ชั้นที่สองปูด้วยผ้าขาวพรมน้ำหอมทับลงไป ไล่ขึ้นมาจนถึงชั้น ๔ ก็ใส่แก้วแหวนเงินทอง ปูผ้าขาวชั้นที่ ๕ แล้วก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หลังจากนั้นก็คลุมด้วยผ้าขาวอีกชั้นหนึ่ง ใส่แก้วแหวนเงินทอง แล้วที่เหลือก็เป็นการพรมน้ำหอมหรือลงเครื่องบูชาสลับกับผ้าขาวไปจนกว่าจะครบ ๙ ชั้น รู้สึกว่าจะเหลือคนรู้ตำราน้อยมากแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยทำตัวอย่างให้ดู แต่ก็ไม่ค่อยมีใครจำ

อาตมาไปบรรจุให้ถูกต้องตามแบบแผนอย่างนี้ครั้งหนึ่ง ที่วัดหนองบัว ประเทศพม่า ตอนนั้นญาติโยมทางกรุงเทพฯ ถวายทองคำไปจำนวนมาก ประมาณครึ่งย่ามเห็นจะได้ แล้วก็ยังมีเพชรพลอยอีกราว ๆ เกือบขันหนึ่ง เพราะว่าทางพม่าเพชรพลอยเขาหาง่าย บรรดาพระผู้ใหญ่ได้ถวายเป็นพุทธบูชากันคนละกำสองกำ..ปีติสนุกสนานกันใหญ่

เถรี
12-11-2014, 16:41
ถาม : ทรัพย์ที่ขุดในดิน ต้องอาบัติปาราชิกใช่หรือไม่ ? ในพระวินัยถือว่าเป็นการลักขโมยหรือไม่ ? เพราะว่าอยู่ในดิน (ในวัด)
ตอบ : ถ้าอยู่ในวัดของตัวเอง ควรจะให้เจ้าของอนุญาตก่อน ถ้าถามว่าเจ้าของคือใคร ? ทรัพย์ทุกแห่งมีผู้เฝ้าอยู่ โดยเฉพาะลูกศิษย์ของท้าวมหาราช ถ้าเจ้าของไม่อนุญาตแล้วเราไปแตะเข้า เขาจะปรับอาบัติปาราชิกเอาง่าย ๆ อย่าไปคิดว่าเราเป็นเจ้าอาวาส มีอำนาจตามกฎหมาย ตาม พรบ.คณะสงฆ์ นั่นเป็นเรื่องของทางโลก เรื่องของทางธรรมเขามีผู้ที่เฝ้าอยู่ เขาไม่ให้แล้วเราขืนไปเอา ถ้าเขาไม่ลงไม้ลงมือกับเราจนอานไปเลย เราก็โดนอาบัติปาราชิกแน่ ๆ

ถาม : สรุปคือถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ควรไปแตะ ?
ตอบ : ถึงรู้ก็ไม่ควรไปแตะ..!

เถรี
12-11-2014, 16:42
ถาม : ถ้าพระสงฆ์จะมีสบงและอังสะอีก ชุดนอกเหนือไปจากไตรจีวร เพื่อไว้สำหรับทำงาน อย่างกวาดลานวัด ถูพื้น ขัดห้องน้ำ สามารถอธิษฐานเป็นบริขารโจลได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่สมควรเพราะเป็นผ้าชิ้นใหญ่ ควรจะวิกัปเป็น ๒ เจ้าของมากกว่า บริขารโจลต้องประเภทชิ้นเล็ก ๆ อย่างเช่นว่า ผ้าปิดแผล ผ้าเช็ดหน้า อย่างนี้เป็นต้น

เถรี
12-11-2014, 16:44
ถาม : ศีล ๕ และศีล ๘ เราอธิษฐานเอาเองได้ ไม่ต้องสมาทานกับพระ ส่วนศีล ๑๐ คือศีลของสามเณร เราอธิษฐานเอาเองได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นฆราวาสสามารถทำได้ ในพระไตรปิฎกก็มีตัวอย่างอุบาสกที่รักษาศีล ๑๐ แต่ถ้าเป็นสามเณรต้องรับศีล ๑๐ จากปัพพัชชาจารย์ถึงจะเป็นเณรได้ เพราะว่าพิธีกรรมในการบรรพชามีต่างหากไป ไม่ใช่แบบคนทั่วไปอย่างอุบาสกอุบาสิกา

เถรี
12-11-2014, 16:45
ถาม : หนูมีความตั้งใจว่า อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นพระโสดาบันในชาตินี้ให้จงได้ จึงอยากเรียนถามว่า บิดาหนูได้เสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว ถ้าภายในชาตินี้หนูได้เป็นพระโสดาบันขึ้นมาจริง ๆ ไม่ว่าบิดาหนูจะอยู่ในภพภูมิไหน ท่านจะได้ผลจากอานิสงส์นี้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ควรจะห่วงตัวเองมากว่า ดันไปห่วงคนตาย..! ถ้าหากว่าตั้งใจอุทิศไปแล้วท่านอยู่ในเขตที่โมทนาได้ ย่อมได้อานิสงส์นั้นอยู่แล้ว ถ้าอยู่ในเขตที่โมทนาไม่ได้ก็ต้องรอ พ้นออกมาเมื่อไรถึงค่อยได้รับ

เถรี
12-11-2014, 16:46
ถาม : ตอนเปิดร้านใหม่ ได้เปิดในวันที่ฤกษ์พรหมประสิทธิ์บอกว่าเป็นวันที่ไม่ค่อยดี ถ้าต้องการแก้ไขโดยการทำบุญบ้าน โดยเลือกเอาวันที่ดีมาก อย่างวันอมฤตโชคเป็นวันทำบุญบ้าน ไม่ทราบว่าผลนั้นจะเป็นอย่างไรครับ ? ดวงชะตาเจ้าของร้านจะดีขึ้นมาตามผลของการทำบุญบ้านใหม่ในวันอมฤตโชคหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ายังกังวลกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ แก้ไขอย่างไรไปก็เท่านั้น เพราะเดี๋ยวใครพูดมาให้รู้สึกไม่ดีก็ไปกังวลอีก วิธีที่ดีที่สุดก็คือปิดป้ายว่า “เจ๊งแล้วจ้า” แล้วก็ปิดร้านไปสัก ๑๐ วันหรือครึ่งเดือน หลังจากนั้นค่อยหาฤกษ์ดีเปิดร้านใหม่ ทำบุญเลี้ยงพระในลักษณะการขึ้นบ้านใหม่

เถรี
12-11-2014, 16:48
ถาม : เมื่อก่อนปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมพอทำได้กับเขาอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าแย่ลงกว่าเดิมมากครับ ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ กำลังใจในการปฏิบัติหายไปไหน มารู้ตัวอีกทีตอนศีลข้อ ๕ ขาดแล้วกู่ไม่กลับ ตอนนี้กำลังพยายามคลานเข้าขอบเขตความดีกับเขาอยู่ครับ แต่ยังอายตัวเอง อายที่แค่ศีลข้อเดียวก็รักษาไม่ได้ อายที่ดีแต่ปาก อายที่ได้สมาธินิด ๆ หน่อย ๆ ก็หลงตัวเอง อายจนแม้แต่อาจารย์ของตัวเองยังไม่กล้าไปเยี่ยมท่าน เหมือนตัวเองเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ทรมานมากครับ ผมอยากขอหนทางแก้ไข และแนวปฏิบัติครับ ?
ตอบ : ขายส้มตำหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ขายส้มตำก็ไม่ใช่คนมือถือสากหรอก..! เรื่องของการผิดศีลเป็นเรื่องปกติ ปุถุชนที่สติยังไม่สมบูรณ์ โอกาสที่จะผิดพลาดต้องเรียกว่ามี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่คราวนี้อย่าเศร้าหมองอยู่กับความผิดพลาดนั้นนาน ถ้ารู้ตัวเมื่อไรให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาประคับประคองรักษาของเราต่อไป

อาตมาเคยบอกว่า ถ้ากำลังใจเสียควรจะรีบไปหาพระ หาครูบาอาจารย์ เพื่อที่ท่านจะได้ช่วยประคับประคองให้ ไม่ใช่ว่าอับอายขายหน้า รอจนรักษากำลังใจดีได้ค่อยมา ตอนดีแล้วมาทำไม ? ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย พระท่านไม่ได้ดูว่าเราชั่วอย่างไร แต่ว่าพระจริง ๆ ท่านดูว่า จะช่วยให้เราพ้นจากความชั่วได้อย่างไร

เถรี
12-11-2014, 16:50
ถาม : กำลังคิดว่าจะฝากลูกเข้าโรงเรียนเพื่อเรียน ป.๑ ค่ะ โรงเรียนนี้มีคนอยากเข้ามาก ถ้าเราใช้เส้นเพื่อฝากลูกเข้าเรียน ทำให้คนอื่นเสียประโยชน์หรือไม่คะ ? จะมีวิบากกรรมอะไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าคนอื่นใช้เส้นทำให้เราเสียประโยชน์หรือไม่ ? ก็คำตอบเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น..ถ้าจะให้ลูกเข้าเรียนก็อย่าคิดเรื่องอื่น รีบ ๆ ยัดเข้าไปเถอะ..!

เถรี
12-11-2014, 16:52
ถาม : ถ้าเราสร้างพระเครื่องเพื่อเก็บไว้บูชาเอง พอดีว่าง ๆ ครับ เลยเอาอิฐแดงมาแกะเป็นรูปพระเครื่องหลายพิมพ์เลย แล้วเก็บไว้เอง ไม่มีจุดประสงค์เพื่อหลอกลวงใคร ว่าอันนี้ของเก่าหรือว่าเอาไปขายที่ไหน จะมีอานิสงส์เท่าการสร้างพระพุทธรูปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ได้อานิสงส์สร้างพระพุทธรูปเต็ม ๆ ขอโมทนาล่วงหน้า ขอบคุณที่บอก อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปต้องดูหลวงพ่อ ๒ องค์ คือหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน กับ หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว เป็นพระที่อยู่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีทั้งคู่ แล้ววัดในปัจจุบันนี้ก็ไม่ห่างกัน สมัยก่อนอาจจะห่างกันนิดหนึ่ง เพราะการคมนาคมไปยาก ทั้งสองท่านนี้สร้างพระชนิดไม่ต้องนับกันเลย

หลวงพ่อโหน่งอยู่ในระดับครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เพราะว่าเป็นศิษย์รุ่นพี่ที่อาวุโสกว่ามาก แต่หลวงพ่อโหน่งสร้างพระแล้วทำไมไม่ดังเหมือนหลวงพ่อปาน ? เพราะว่าหลวงพ่อโหน่งสร้างมากชนิดที่คนไปขอแล้วท่านไม่ได้ให้ทีละองค์ ท่านให้ทีละลำเรือ..!

ถาม : แล้วของวัดท่าขนุนนี่จะสร้างเยอะไหมคะ ?
ตอบ : รุ่นที่สร้างมากที่สุดก็คือแสนกว่าองค์ หมดไปแล้ว ราคาเริ่มแพงแล้ว คือสมเด็จศรีอินทราทิตย์ ตั้งใจจะสร้างแค่ ๘๔,๐๐๐ องค์ ให้งบเขาไป ช่างเขาบอกว่างบเหลือก็สร้างไปเรื่อยตามงบ ปาเข้าไปแสนกว่าองค์

ถาม : แล้วมีวัตถุมงคลรุ่นไหนของวัดท่าขนุนที่กันรังสีได้บ้างไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่ได้คิดจะกัน เพราะปกติอาตมาไปหาหมอบ่อย ขืนกันรังสีเดี๋ยวเอ็กซเรย์หาโรคไม่เจอ..!

เถรี
13-11-2014, 05:38
ถาม : ภรรยาผมเป็นสถาปนิก ถูกจ้างให้ออกแบบสถานเริงรมย์ ที่สามารถรองรับกิจอบายมุขทุกรูปแบบ อีกทั้งปฏิเสธและหลีกเลี่ยงการรับงานไม่ได้ทุกกรณี จึงขอเรียนถามว่า สถาปนิกผู้ออกแบบมีความผิดศีล ๕ โดยตรง และร้ายแรงเทียบเท่าผู้ว่าจ้างหรือไม่ประการใด ?
ตอบ : ความจริงไม่มีโทษเลย แต่ถ้าอยากมีโทษก็มีได้ คือพยายามคิดไว้ว่าเราสนับสนุนให้เขาชั่ว อยากออกแบบก็ออกแบบไปสิ เรามีหน้าที่ออกแบบ เราไม่ได้บอกว่าให้เขาเอาไปใช้ทำความชั่ว

เถรี
13-11-2014, 05:39
ถาม : กระผมขอกราบเรียนถามข้อสงสัย ในกรณีของการบูรณะพระพุทธปฏิมา ด้วยการปิดทองคำเปลวแท้ ๑๐๐% กับทองคำเปลววิทยาศาสตร์นั้น ในผลแห่งอานิสงส์จะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ? หากการวางกำลังใจนั้นเสมอกัน คือการบูรณะและปิดทองคำเปลวเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาครับ ?
ตอบ : ปิดทองแท้ได้เบญจกัลยาณี ปิดทองวิทยาศาสตร์สวยด้วยยันฮี..! งามเหมือนกันนั่นแหละ สมัยนี้ขนาดผู้ชายยังสวยจนน่ากลัวเลย..!

ถาม : แล้วกรณีเจ้าภาพบอกบุญว่าจะปิดทองพระพุทธปฏิมากร แต่ไม่ได้ชี้แจงว่าเป็นทองแท้หรือทองวิทยาศาสตร์ อานิสงส์ของผู้ร่วมบุญจะได้สมบูรณ์ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเขา ถ้าเขาเข้าใจว่าปิดทองคำแท้เขาก็ได้อานิสงส์ของทองคำแท้ ถ้าเขาเข้าใจว่าปิดด้วยทองวิทยาศาสตร์ก็ได้อานิสงส์แบบยันฮี

ถาม : แล้วกรณีสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่บอกว่า ถ้าจะได้อานิสงส์ร่วมกันต้องปิดทอง จะเป็นทองวิทยาศาสตร์จะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ บังคับว่าต้องเป็นทองคำแท้เท่านั้น

เถรี
13-11-2014, 05:40
ถาม : ผมเห็นลูกค้าผมมีอาการสั่นหัว ตัวแกว่งเป็นประจำ ขณะนั่งสมาธิหรือเวลาที่ทำงานที่เขาตั้งใจ จะสั่นเป็นประจำ เป็นแบบนี้มาสิบปีได้แล้ว อายคนอื่น เลยไม่กล้าที่จะไปฝึกกรรมฐานแบบหมู่คณะ กลัวคนอื่นจะมองตัวเขาเองไม่ดี ตัวเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เวลาไปในสถานที่อื่น ๆ เช่น เรียนหนังสือ ตัวเขาเองก็โดนอาจารย์ต่อว่า ว่ารบกวนเวลาสอน เวลาไปประชุมงานก็สั่น อายคู่ค้ามาก จะแก้ไขอาการสั่นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ปล่อยให้สั่นเต็มที่ไปเลยแล้วจะหาย ถ้ามัวแต่อายแล้วไปรั้งเอาไว้ ถึงเวลาจิตเริ่มเป็นสมาธิก็จะสั่นอีก อย่างเช่นว่าตั้งใจฟังครู จิตเริ่มเป็นสมาธิก็สั่น ตั้งใจฟังการประชุมจิตเริ่มเป็นสมาธิก็สั่น ถ้าอยากหายต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ไม่ต้องอายใคร ขึ้นเต็มที่แล้วจะหายไปเอง

เถรี
13-11-2014, 05:42
ถาม : ตามที่เพิ่งได้กราบฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงมา หลวงพ่อว่าบุคคลประเภทเนยยะนั้น ไม่สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยะได้ เข้าถึงได้เพียงไตรสรณคมน์ จึงขอกราบเรียนถามว่าบุคคล ๔ ประเภท คือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ และปทปรมะนั้น เป็นการแบ่งตามกรรมที่ทำมา คือ เป็นประเภทนั้น ๆ ตั้งแต่เกิดไปตลอดอายุขัย หรือเป็นตามกำลังใจของคนในขณะใดขณะหนึ่ง ? และคนสามารถพัฒนาปรับกำลังใจตนเองให้ไปสู่ประเภทที่สูงขึ้นไปได้หรือไม่ ?
ตอบ : จากประสบการณ์ของตนเองที่ผ่านมา การปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา จะช่วยพัฒนาระดับบารมีของเราให้สูงขึ้นได้เรื่อย ๆ แต่ว่าในจุดนี้ไม่ยืนยัน เพราะไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนกันหรือไม่

ให้คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทุกคนสามารถพัฒนาภูมิจิตภูมิธรรมของตนเองขึ้นไปได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่ได้พบกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยกเว้นประเภทเดียวคือปทปรมะ เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นฉลาดเกินไป จนไม่ยอมรับความเห็นของคนอื่น

เถรี
13-11-2014, 05:43
ถาม : บุคคลประเภทเนยยะ หากไม่สามารถปรับขึ้นเป็นวิปจิตัญญู หรืออุคฆฏิตัญญูได้ในชาติปัจจุบัน หมายถึงว่า การจะเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน มีโอกาสเพียงขณะที่จะหมดลมหายใจเท่านั้น ถูกต้องหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าปรับไม่ได้ ตอนหมดลมหายใจก็หมดสิทธิ์เหมือนกัน ฉะนั้น..ขอให้มั่นใจก่อนว่าปรับได้ ต่อให้เขาบอกว่าไม่ได้ก็ต้องเอาให้ได้ เพราะว่าบุคคลที่หวังไปพระนิพพาน กำลังใจต้องเกินคน อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ต้องบ้าเกินคนอื่นหลายเท่า

เถรี
13-11-2014, 05:45
ถาม : ตามที่ปฏิทินจันทรคติไทยปี ๒๕๕๗ ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป กำหนดวันขึ้น-แรม ไม่ถูกต้องตามที่เป็นอธิกวาร (กล่าวคือ ไม่เพิ่มวันแรม ๑๕ ค่ำอีก ๑ วัน ในเดือน ๗ ซึ่งเป็นเดือนขาด) หากจะปรับปฏิทินให้ถูกต้องในปีถัด ๆ ไป จะสามารถแก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าปฏิทินสากลที่เขาใช้กันทั่วไปในประเทศเขาปรับหรือเปล่า ? ถ้าเขาไม่ปรับเราก็ปรับตามเขาไปก็แล้วกัน

ถาม : หากบุคคลทั่วไปยอมรับปฏิทินที่ใช้กันผิดอยู่นี้ ต่อไปเรื่อย ๆ กันทั้งหมด ฤกษ์ยามต่าง ๆ จะปรับตามไปหรือไม่ หรือจะยิ่งกลับกลายเป็นผิดเพี้ยนขนานใหญ่ ?
ตอบ : ถ้านับตั้งแต่เริ่มมีปฏิทินมา ก็คงไม่มีใครมั่นใจว่าตัวเองคำนวณถูกแต่แรก ก็ถือว่าผิดมาเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน เราก็ใช้กันไปแบบผิด ๆ นี่แหละ สำคัญที่กำลังใจของเราเอง ถ้ามัวแต่คิดว่าไม่ถูก ๆ เป็นอันว่าไม่ต้องทำอะไรกันพอดี

ถาม : หากจะปรับปฏิทิน คล้ายการลบศักราช สามารถทำได้หรือไม่ ? อย่างไร ? และต้องกระทำการลบศักราชโดยผู้มีบารมี เช่น พระนางจามเทวีหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าประกาศขึ้นมาแล้วทั่วโลกต้องยอมรับ ก็ลองดูว่าใครจะยอมบ้าง ? ถ้าบารมีระดับนั้นก็ลบศักราชได้ ปัจจุบันนี้แม้แต่พุทธศักราชก็ยังนับไม่ตรงกัน อย่างลังกากับพม่าตอนนี้เป็น พ.ศ.๒๕๕๘ ของเขานับศักราชตั้งแต่วันแรกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ของเรามานับศักราชตอนครบรอบ ๑ ปีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน แม้กระทั่งเถรวาทด้วยกันเรายังนับศักราชไม่ตรงกันเลย

แล้วก็ยังมีจุลศักราชที่เกิดจากพระเจ้าอนุรุทมหาราช หรือพระเจ้าอโนรธาของทางด้านพม่าเป็นผู้ลบมหาศักราชแล้วประกาศขึ้นมาใหม่ แล้วยังมีคริสตศักราช นับตั้งแต่วันเกิดของพระเยซูเป็นต้นมา แล้วมีฮิจเราะห์ศักราช นับตั้งแต่วันที่นบีมูฮัมหมัดรวบรวมอาณาจักรอิสลามเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็แปลว่าต่างคนต่างนับอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..ปลง ๆ ไปเถอะ ไม่มีของใครถูกจริงสักอันหรอก

ถาม : ผู้ที่ทำการลบศักราชได้ เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเช่นไร ?
ตอบ : บอกไปแล้วว่า ถ้าประกาศไปแล้วทั่วโลกส่วนใหญ่ต้องยอมรับ

เถรี
13-11-2014, 05:46
ถาม : การนั่งสมาธิในรถยนต์ที่จอดอยู่ประมาณ ๒-๔ นาทีต่อวัน ในช่วงเช้า โดยที่จิตสงบ เราจะได้บุญเพียงพอที่จะอุทิศให้ใครไหมคะ ?
ตอบ : โอ้พระเจ้า..มหาศาลเลย อานิสงส์แค่ช้างกระดิกหูหรือแค่งูแลบลิ้น ท่านบอกว่ายังเป็นปัจจัยให้เข้าสู่พระนิพพานได้ในอนาคต นั่นตั้ง ๒-๔ นาทีแถมยังใจสงบด้วย ต้องบอกว่าได้เยอะมาก ๆ ฉะนั้น..รีบอุทิศไปเถอะ

เถรี
13-11-2014, 05:47
ถาม : ทำไมเวลาที่หนูมีเงิน หนูจะต้องถูกเบียดเบียนเป็นค่ารักษาพยาบาลของคุณแม่เกือบทั้งหมด ในขณะที่ลูกคนอื่น ๆ เขาไม่เคยสนใจ มีแต่จะขอเงินคุณแม่ไปใช้แล้วก็ไม่เคยคืน แต่พวกเขาก็มีความสุข มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันละเป็นล้าน มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี มีครอบครัวที่อบอุ่นเป็นของตัวเอง ในขณะที่หนูมีแต่หนี้สินเยอะมาก และก็โดนเอาเปรียบจากนายและเพื่อนร่วมงานตลอด เป็นเพราะอะไรคะ ?
ตอบ : กรรมเก่าที่เราทำมา แต่ชาตินี้เรามีบุญมหาศาล ที่ได้ทำในสิ่งที่ลูก ๆ คนอื่นไม่ได้ทำ ตอนนี้เราอาจจะคิดว่าลำบาก ทุกข์ยาก แต่ถ้าสิ้นคุณแม่ไปเมื่อไร เราจะเกิดความภูมิใจว่า ในส่วนที่ควรจะกตัญญูกตเวทิตาต่อพ่อแม่ เราได้ทำแล้ว ขณะที่ลูกคนอื่นไม่ได้ทำเลย

เถรี
13-11-2014, 05:48
ถาม : ในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นนี้ ท่านว่าให้ถือศีลอย่างน้อยศีล ๕ ให้บริบูรณ์ แล้วการมีภรรยา ธรรมดาคนเราต้องมีอะไรกัน จะถือว่าผมทำไม่ถูกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้เป็นประเภทแอบฉุดเขามา หรือว่าพาหนีมาก็ไม่เป็นไรหรอก แต่งงานแต่งการให้ถูกต้อง เพราะศีล ๕ ไม่ได้งดเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าห้ามไปผิดลูกผิดเมียเขาเท่านั้นเอง

ถาม : แล้วอย่างนี้จะขัดขวางการก้าวหน้าในการปฏิบัติของผมหรือเปล่าครับ?
ตอบ : ถ้ามีกำลังใจแค่นี้ก็ขวาง แต่ถ้าหน้าด้านหน่อยก็ไม่มีปัญหา..!

ถาม : จะเป็นการหมกมุ่นในกามตัณหาหรือเปล่าครับ?
ตอบ : ก็อย่าให้ถึงกับหัวไม่วางหางไม่เว้นสิวะ..! อย่างน้อย ๆ วันโกนให้ละวันพระให้เว้นไว้บ้าง

ถาม : จะเป็นการขัดต่อเรื่องการตัดนิวรณ์หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ถ้าหากว่านับเป็นนิวรณ์ก็เป็น แต่อย่าลืมว่าบุคคลที่ได้อภิญญาโลกีย์ก็มีมากมาย เขาก็แค่งดเว้นในช่วงการปฏิบัติของเขาเท่านั้น เวลาอื่นก็ไม่ได้เว้น

เถรี
13-11-2014, 05:50
ถาม : ครอบครัวระดับรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ หัวหน้าครอบครัวมีรายได้ แต่สมาชิกในครอบครัวยังไม่สามารถหารายได้เองได้ ถ้าสมมติว่าทุกคนในครอบครัวนั้นร่วมทำบุญรวมแล้ว ๕๐ บาท คือหัวหน้าครอบครัวเป็นคนควักเงินคนเดียว เพราะคนอื่นยังหารายได้เองไม่ได้ แบบนี้ทุกคนในครอบครัวจะได้อานิสงส์เท่ากันหมดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : คำถามนี้น่าสงสัย เขาบอกว่าคนอื่นไม่มีรายได้ แต่ใช้คำว่าร่วมทำบุญ แล้วบอกว่าพ่อควักเงินทำคนเดียว ถ้าอย่างนั้นอานิสงส์จะเป็นของพ่อ คนอื่นได้โมทนาตาม ก็จะได้ในส่วนของปัตตานุโมทนามัยไป ไม่ได้หมายความต้องควักเงินแล้วถึงได้ คนอื่นควักร้อยหนึ่ง เรายกมือสาธุได้ตั้ง ๘๐ กำไรกว่าตั้งเยอะ

เถรี
14-11-2014, 09:30
ถาม : กระผมขอกราบเรียนถามข้อสงสัยเกี่ยวกับพลอยเสาร์ห้าว่าเป็นวัตถุธาตุประเภทใด ? และมีพุทธานุภาพอย่างไรครับ ?
ตอบ : พลอยเสาร์ห้าไปเอามาจากไหนละ ? อยู่ ๆ ถามขึ้นมาเฉย ๆ แล้วจะรู้ไหม ?

ถาม : น่าจะเป็นที่พระอาจารย์เคยแจกสมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็บอกให้ชัด นึกว่าเป็นพลอยชนิดใหม่ ถามว่าพลอยเป็นวัตถุธาตุอะไร ก็เป็นพลอยนั่นแหละ เข้าพิธีเสาร์ห้ามา ต้องการอะไรก็อธิษฐานเอา

ถาม : หากนำพลอยธรรมชาติ พลอยสังเคราะห์ หรือแม้แต่พลอยที่เข้าพิธีเสาร์ห้า มาประดับบนวัตถุมงคล เฉกเช่นการปิดทองคำเปลวถวายพระพุทธปฏิมาลอยองค์ อาทิ พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ และ สมเด็จพระคำข้าว ฯลฯ ในลักษณะที่เชื่อกันว่าจะเป็นการเร่งลาภผลนั้น สิ่งที่กระผมอยากทราบ คือ การประดับพลอยถวายนี้ มีจุดประสงค์หรือความเชื่อในด้านอานิสงส์อย่างไร ? และจะส่งผลถึงเทวานุภาพที่มากขึ้นของจิตทิพย์กายทิพย์ผู้ดูแลรักษาองค์พระพุทธปฏิมาด้วยหรือไม่? และอย่างไรครับ ?
ตอบ : คำถามนี้ก็เหลวไหลพอกัน เขาถามว่ามีความเชื่ออย่างไร ? แต่ตอนต้นบอกว่าเร่งลาภ ก็เท่ากับเชื่อว่าเร่งลาภได้ แต่ขอโทษ..ไม่มีอานิสงส์ตรงนี้ เราจะได้อานิสงส์พุทธบูชาแทน เพราะว่าวัตถุมงคลที่ทำมาให้ พระท่านสงเคราะห์แค่ไหนก็ได้แค่นั้นแหละ

เถรี
14-11-2014, 09:31
ถาม : ห้องนอนอยู่ชั้นบน ตรงกับห้องพระซึ่งอยู่ชั้นล่าง จะเข้าข่ายปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ปกติถ้าคนละชั้นแยกส่วนกันแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ว่าพวกเราก็มักจะคิดมาก ฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็สลับห้องพระไปอยู่ชั้นบนแล้วกัน

เถรี
14-11-2014, 09:33
ถาม : เมื่อสมัยที่ยังเรียนมัธยม ตามนิสัยวัยรุ่นที่คิดไม่เป็น ผมชอบสะสมของ เช่น ช้อนจากร้านอาหาร แก้วที่มีสัญลักษณ์ของร้านจากร้านอาหาร เพื่อความภูมิใจว่าเราได้ไปกินที่นั่นมาแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ผมกลับตัวกลับใจแล้ว จะนำของทั้งหมดเหล่านั้นไปทำบุญ คือไปให้เป็นของสาธารณะ เผื่อคนอื่นจะได้ใช้ประโยชน์จากของเหล่านั้น แทนที่ผมจะเก็บไว้กับตัว อย่างนี้ถือเป็นการทำทานไหม ? แล้วนำไปถวายพระไปจะบาปไหม ? เพราะได้มาโดยไม่สุจริต?
ตอบ : การทำทานถ้าจะได้อานิสงส์เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านบอกว่า ๑.เจตนาบริสุทธิ์ ก็คือให้เพื่อเป็นการสละออกตัดความโลภจริง ๆ ๒.วัตถุทานบริสุทธิ์ ได้มาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม ๓.ผู้ให้คือตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ ๔.ผู้รับเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าอย่างนี้จะได้อานิสงส์เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ของคุณเองดูท่าจะได้สักสลึงหรือเฟื้องหนึ่ง เพราะว่า ๓ อย่างแรกไม่บริสุทธิ์แน่นอน อย่างสุดท้ายยังไม่แน่อีกต่างหาก ไม่รู้ว่าจะได้ผู้รับที่บริสุทธิ์หรือไม่ ?

ถาม : แล้วถ้าเขานำไปถวายพระจะบาปไหมคะ ?
ตอบ : ถวายพระไม่บาป แต่ก็อย่างที่บอกว่า ได้อานิสงส์น้อยมาก

เถรี
14-11-2014, 09:33
ถาม : เพราะกรรมอะไรครับ ถึงต้องเกิดมาเป็นแฟนเบอร์สอง แบบที่คนเบอร์หนึ่งเขารับรู้และเต็มใจนะครับ?
ตอบ : โห..คงสร้างบุญมามหาศาลเลย ปกติเบอร์หนึ่งนี่เป็นตายก็ไม่ยอมรับ นี่เขายอมรับและเต็มใจด้วย ขอถามหน่อยว่าทำบุญอะไรมา ? จะได้ไปทำบ้าง..!

เถรี
14-11-2014, 09:34
ถาม : เวลานอนเหมือนร่างกายเกร็งหนัก แขนขาขยับไม่ได้ บางคืนเป็นแทบไม่ได้นอน ตื่นมาตาโหลเลย เคยอาราธนาพระท่านให้ช่วย ได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนแข่งว่า "ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย..!" แล้วก็หัวเราะร่า เล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่า "ใกล้จะบ้าแล้ว..!" ผมเลยเถียงว่า "ทุกวันนี้ก็บ้าอยู่แล้ว" อย่างนี้เรียกผีอำเปล่าครับ ? มีวิธีแก้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าบ้าไม่ต้องแก้ แต่ถ้ายังไม่บ้าก็ให้ภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ อาการทั้งหลายเหล่านี้เป็นทั้งขันธมาร คือร่างกายเราเองขัดขวางการปฏิบัติความดี เป็นทั้งเทวปุตตมาร คือผีหรือเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิเขามาขัดขวางการปฏิบัติของเรา ต้องตั้งใจสู้กันไประยะหนึ่ง ถ้ากำลังใจเราเข้มแข็งมากกว่า ก็จะก้าวพ้นไปได้เอง

ถาม : ทุกวันนี้คืนไหนไม่มาอำวันนั้นเหงาเลย ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องแก้ไข ปล่อยให้สนุกสนานกันต่อไป

เถรี
14-11-2014, 09:36
ถาม : เมื่อผมเริ่มจับลมหายใจเข้าและออก จะพิจารณาดูที่อารมณ์ไปด้วย บางครั้งรู้สึกเครียดเกินไปก็จะตั้งอารมณ์ใหม่ ค่อย ๆ ผ่อนอารมณ์ให้เบาลง พออารมณ์ใจเริ่มเบาสบายก็จะพิจารณาภาพโครงกระดูกภายในร่างกาย พร้อมทั้งรู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย พอรู้สึกว่าเครียดหรือเริ่มตึงเกินไป ก็จะผ่อนอารมณ์ใจลงอีก สลับไปมาอย่างนี้ ขอเรียนถามว่าผมปฏิบัติถูกหรือผิด ? หรือต้องมีข้อแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไรบ้างครับ?
ตอบ : ถูกแค่ตอนนี้ ถ้าทำต่อไปจะมีถูกยิ่งกว่านี้ ตอนนี้ให้ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ต่อไปอารมณ์ใจจะทรงตัวมากขึ้น ถึงเวลานั้นพยายามซักซ้อมการที่เข้าถึงอารมณ์นั้นให้เร็วขึ้น จนกระทั่งสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา นึกอยากจะออกเมื่อไรก็ได้ตลอดเวลา หรือจะสลับอารมณ์ขึ้นลงหนักเบาได้อย่างใจของตน ถึงเวลานั้นแล้วจึงจะสามารถใช้ผลของสมาธิได้จริง ๆ

เถรี
14-11-2014, 18:33
ถาม : การที่เราได้ไปทำการสะเดาะเคราะห์ที่วัดท่าซุง ในช่วงวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นแบบพิธีรับพระเสวยอายุนั้น ระยะเวลาของการรับพระเสวยอายุเข้ามา มีการคิดคำนวณอย่างไร ?
ตอบ : ไปเปิดดูในตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์ เอาอายุปัจจุบันเป็นเกณฑ์ แล้วก็ดูว่าพระเคราะห์อะไรเสวยอายุ ก็รับเฉพาะพระเคราะห์นั้น เพราะว่าการเสวยอายุ อย่างเช่นว่าถ้าเราเกิดวันอาทิตย์ อายุ ๑-๖ ปีพระอาทิตย์เสวยอายุ แต่ว่าระยะระหว่างนั้นจะมีพระเคราะห์จรเข้ามาเป็นระยะ ๆ เขาคำนวณเอาไว้แล้ว ไม่ใช่ว่าอายุ ๑-๖ ปีพระอาทิตย์จะเสวยอายุตลอด แต่มีพระเคราะห์จรที่แทรกเข้ามาด้วย ฉะนั้น..เราต้องดูพระเคราะห์จรตอนช่วงอายุปัจจุบันของเรา ไปดูพรหมชาติฉบับราษฎร์จะมีรายละเอียดบอกเอาไว้ทั้งหมด

เถรี
14-11-2014, 18:34
ถาม : การที่เราสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเพื่อนำไปเข้าพิธีเสาร์ห้า แล้วเราได้สลักคำว่า "วัดท่าขนุน" ลงบนวัตถุมงคลโดยมีเจตนาเพื่อเพิ่มกำลังใจให้แก่ตัวเองและผู้อื่นที่ได้ไปบูชา และบอกแก่ผู้รับชัดเจนว่าเป็นของที่ทำขึ้นเองไม่ใช่ของวัด จะเป็นการสมควรหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจจะทำเป็นของตนเอง ไม่ใช่ของวัด ก็ไม่ควรที่จะใส่ชื่อวัดลงไป การใส่ชื่อวัดลงไป ไม่ว่าเจตนาจะบริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม คนจะมองว่าเป็นการตั้งใจหลอกลวงเขา จะกลายเป็นโทษกับตัวเองเสียเปล่า ๆ

เถรี
14-11-2014, 18:35
ถาม : พระพุทธรูปมีความศักดิ์สิทธิ์และพุทธานุภาพทุกพระองค์ เพราะเหตุใดเวลาขอพรอธิษฐานแล้ว ผลที่ได้จึงมีความต่างกัน บางทีได้มาก บางทีได้น้อย ยกตัวอย่างหลวงพ่อโสธร พระพุทธชินราช พระเจ้าทันใจ พระเจ้าดอยคำ ที่มีผู้คนไปกราบสักการะขอพรและสำเร็จเป็นจำนวนมาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงทำให้เป็นเช่นนั้นคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับเทวดาที่ท่านรักษา ถ้าเทวดาที่รักษามีพื้นฐานทานบารมีมาก ก็จะมีลาภผลมาก ถ้าท่านมีพื้นฐานมากจากการสร้างบารมีอื่น ๆ ก็จะดีในด้านอื่นแทน

เถรี
14-11-2014, 18:35
ถาม : การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ตามความเข้าใจ จะต้องสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกขึ้นไปถูกต้องหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถูกต้อง แต่ถ้าสร้างแล้วไม่ปิดทอง จะได้อานิสงส์คนเดียว ถ้าต้องการอานิสงส์เป็นหมู่คณะให้ปิดทองคำแท้ด้วย

เถรี
14-11-2014, 18:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดูจากคำถาม คนตั้งปัญหาเองก็สับสนกับชีวิต อีกหลายปัญหาก็เป็นปัญหาที่ไม่ควรจะถามเลย เพราะว่าตัวเองรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ใช้วิธีที่ฝรั่งเขาเรียกว่า "เมคชัวร์" มาถามซ้ำ เรียกง่าย ๆ ว่า "จับอาตมาเป็นตัวประกัน" ให้เป็นคนรับรองว่าถูกหรือผิด เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะทำเช่นนั้น"

เถรี
14-11-2014, 18:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่ทำบุญเขียนหน้าซองมาว่า "สร้างพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ นิ้ว" มาเอาเงินคืนไปด้วย ใหญ่กว่าที่อาตมาสร้างตั้งเยอะแยะ เอากลับไปสร้างเองเถอะ..!

(หลังจากโยมรับไปแก้ไขมาแล้ว) นี่ยังดีนะ งวดก่อนเขาทำบุญสร้างพระพุทธรูปทองคำ ๕๐ ศอก คุณไปสร้างเองเถอะ..! ต้องเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั่นแหละถึงจะทำได้ สำหรับพระ..เวลาโยมตั้งเจตนาไว้แล้ว จะเอาไปทำผิดจากเจตนาของเขาไม่ได้ ถ้าทำผิดนี่โดนปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์เลย

เจดีย์เป็นเครื่องกราบไหว้ เป็นอนุสติ เป็นที่ระลึกของเขา เรายกย้ายไปเสียจากที่นั้น เขาก็ไม่มีที่กราบไหว้ที่ระลึกถึงความดี ทำให้เกิดโทษหนักขนาดไหน คนที่เอาเงินที่เขาตั้งเจตนาอย่างหนึ่งไปทำอีกอย่างหนึ่ง ก็จะมีโทษหนักประมาณนั้น ฉะนั้น..ได้โปรด ถ้าไม่มั่นใจอย่าลงขนาดมา ไม่อย่างนั้นอาตมาต้องไปสร้าง ๕๐ นิ้วอีกองค์แล้วยุ่งเลย

ระยะหลังการวัดขนาดหน้าตักพระเขามักจะวัดเป็นนิ้วกัน ขอให้ทราบว่าหน้าตัก ๔ ศอก คือ ๘๐ นิ้ว หรือ ๒ เมตร ถ้าสร้างพระ ๔ ศอกแล้วเขาไม่รู้ว่าเท่าไรให้บอกว่า ๘๐ นิ้ว ถ้า ๘๐ นิ้วยังไม่รู้เรื่องอีกก็ให้บอกว่า ๒ เมตร"

เถรี
14-11-2014, 18:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครถือเงินดอลลาร์หรือเงินยูโรไว้มาก ๆ ให้แลกออกมาเป็นเงินเยนหรือเงินหยวนบ้าง ถ้าจะเอาอย่างใกล้ ๆ บ้านเราก็ดอลลาร์สิงคโปร์หรือฮ่องกงก็ได้ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต อาตมาถือไว้แค่ ๑,๐๐๐ กว่าดอลลาร์ กับอีก ๒,๐๐๐ กว่ายูโร แลกหมดไปแล้ว ตอนนี้รู้สึกว่าเงินหยวนน่าตาน่ารักที่สุด

วันก่อนพอมีบริษัทจีนประมูลสร้างทางรถไฟที่บอสตันได้ อาตมาก็ว่าเศรษฐกิจอเมริกานี่จีนบีบก็ตาย จีนคลายก็รอด เพราะว่าจีนถือพันธบัตรอเมริกาอยู่เป็นแสน ๆ ล้านดอลลาร์ ขายคืนทีเดียวก็เศรษฐกิจล่มเลยนะ ช่วงที่เศรษฐกิจจีนรุ่งเรืองเป็นเลข ๒ ตัว เขาไปกว้านซื้อเอาไว้ คราวนี้นอกจากจะถือพันธบัตรเป็นแสน ๆ ล้านดอลลาร์แล้ว ทุนสำรองในประเทศของจีนก็ยังเป็นแสน ๆ ล้านดอลลาร์อีกด้วย พูดง่าย ๆ ว่าถ้าใครจะชนเรื่องการเงินในเวทีโลกนี่จีนเขาไม่หวั่น

เสียอยู่อย่างเดียวว่า ในประเทศจีนมีพวกไม่ค่อยจะเห็นแก่ประเทศชาติ ตั้งใจจะกอบโกยโกงกินเยอะเกินไป ก็เลยทำอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ค่อยจะดีต่อเศรษฐกิจอยู่เรื่อย ๆ อย่างเช่นว่าปลอมสินค้าบ้าง เอาวัสดุไม่ได้คุณภาพมาสร้างบ้าง แต่ว่าอย่างยุโรปหรืออเมริกาเขาจะมีมาตรฐานของเขาอยู่ ถ้างานไม่ได้มาตรฐาน ก็ไม่มีทางที่จะประมูลงานได้อยู่แล้ว

ต้องบอกว่าเมื่อลมพัดหวน คำว่า "เมื่อลมพัดหวน" คือ สมัยก่อนเอเชียเราเป็นมหาอำนาจ อย่างของจีนนี่ไล่ไปตั้งแต่ยุคราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ฯลฯ มาทางด้านอินเดีย วัฒนธรรมเก่าของลุ่มแม่น้ำสินธุ คราวนี้ลมพัดไปทางด้านตะวันตก กลายเป็นอเมริกาขึ้นมาแทนอังกฤษแทนยุโรป คราวนี้พอถึงเวลาลมพัดหวน ความเจริญย้อนกลับมาเอเชียใหม่ แต่ว่าน่ากลัวอยู่ตรงภัยพิบัติธรรมชาติ เอเชียเราส่วนหนึ่งตั้งอยู่บนวงแหวนไฟแปซิฟิก ถ้าระเบิดขึ้นมานี่เป็นเรื่องเลย แล้วระยะนี้แผ่นดินไหวกับภูเขาไฟระเบิดก็ถี่มาก ใครพกวัตถุมงคลอะไรที่กันภัยธรรมชาติ กันนิวเคลียร์ กันรังสีได้ก็พก ๆ เอาไว้ด้วย"

เถรี
14-11-2014, 19:02
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งพี่สะใภ้ทำต้มจืดหอมหัวใหญ่ใส่หมูสับให้ แล้วคนอื่นก็กินแต่หมูสับ ด้วยความที่อาตมาเป็นเทศบาล อะไรเหลือก็กวาดหมด เหมาหอมหัวใหญ่ไปเสียหมดเลย ปรากฏว่าวันนั้นนอนตัวเบาโหวง ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเหมือนกับจะลอยได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่ายังดี ถ้าไม่ใช่คนที่มีสติดีขนาดนั้นก็ล้มไปนานแล้ว ท่านบอกหอมหัวใหญ่ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดจนเกินไป จนทำให้ความดันต่ำมาก

เพราะฉะนั้น..ใครความดันสูงก็หาพวกประเภทนี้มากินบ้าง จะช่วยได้เหมือนกัน แต่อย่ากินเยอะเหมือนกับอาตมา แกงจืดชามโคมหนึ่ง หอมหัวใหญ่ก็น่าจะตก ๔-๕ หัวได้กระมัง ? รู้แต่ว่าเวลาเดินทำไมเหมือนกับจะลอยได้ มือตีนเบาไปหมด

พี่สะใภ้คนนี้ชอบทำกับข้าวขึ้นโต๊ะเยอะ แต่ว่าของบางอย่างคนอื่นเขาไม่กินกัน แบบเดียวกับสับปะรด เขาเลือกสับปะรดไม่เป็น ก็เอาที่ขาว ๆ ไม่ฉ่ำมา คราวนี้พอขึ้นโต๊ะ อาตมาเองไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็จิ้ม ๆ ใส่ปากไปจนหมด เขาดันไปนึกว่าอาตมาชอบ พรุ่งนี้เอามาอีก ช่างเป็นพี่สะใภ้ที่น่ารักจริง ๆ เลย

มีอยู่ระยะหนึ่งที่อาตมาไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพันอยู่เดือนครึ่ง คราวนี้โยมเขาเอาของมาถวายเยอะ โดยเฉพาะพวกผลไม้สด พวกแอปเปิ้ลเก็บได้นาน เขาก็ใส่ ๆ เสียแน่นตู้เย็นไปหมด อาตมาเองก็มีหน้าที่กำจัด คราวนี้บางวันมีเยอะ ก็ฉันแทนข้าวไปเลย โยมก็ดันคิดว่าอาตมาชอบ ยิ่งซื้อมากันใหญ่ ทุกวันนี้อย่าได้ฉันอะไรให้โยมเห็น ฉันเมื่อไรเดี๋ยวได้เป็นกุรุส..!"

เถรี
14-11-2014, 19:06
"ไปนึกถึงสมัยยังเป็นฆราวาส มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงต้องล้างท้องติด ๆ กัน แล้ว "ท่านแม่" ก็แนะนำให้ฉันน้ำเกลือแร่ อาตมาแวะไปกราบหลวงพ่อทีไรก็ซื้อไปทีละครึ่งโหล ตอนนี้รู้ตัวว่าตัวเองโดนคืนแล้ว ท่านไม่ได้ต้องการเยอะขนาดนั้น ขวดสองขวดก็ไม่มีปัญญาจะฉันแล้ว เอาไปทีละครึ่งโหล มาสมัยนี้ตัวเองเจอแบบเดียวกันแล้ว ของบางอย่างต้องการชิ้นเดียว คนถวายมาเป็นคันรถ..!

มีอยู่ช่วงหนึ่ง "ท่านแม่" ให้หลวงพ่อบอกแม่ครัวทำผัดหมูสามชั้นแบบรวนเค็ม เอามาฉันกับข้าวต้มติดกันเป็นเดือนเลย ปรากฏว่าน้ำหนักขึ้นพรวด ๆ ๑๐ กว่ากิโลกรัม “แม่แกบอกว่าร่างกายช่วงนี้จะแย่มาก ต้องกินให้มีกำลังเข้าไว้” แล้วให้ฉันอะไรไม่ฉัน ดันเป็นหมูสามชั้นรวนเค็ม นั่นก็เป็นงานเฉพาะกิจ ในเมื่อเป็นงานเฉพาะกิจ ถึงเวลาแล้วเราไปคิดว่าหลวงพ่อท่านชอบอย่างนั้นแล้วเอาไปอีก แต่เลยเวลาไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์

กับข้าวที่เห็นหลวงพ่อท่านฉันเป็นปกติเลยคือน้ำพริกปลาร้า มีอยู่เที่ยวหนึ่งไม่รู้ว่าโยมที่ไหน เขาเปิดโรงงานทำปลาร้ากระป๋อง เป็นปลาร้าอบแห้งใส่กระป๋อง คาดว่าสมัยนี้น่าจะมีขายทั่วไป เขาก็เอาไปถวาย วันนั้นหลวงพ่อท่านฉันเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ สมัยโน้นปลาร้าหายาก มาสมัยนี้หาง่ายแล้ว โดยเฉพาะอุทัยธานี ร้านจ่าเทืองผลิตปลาร้าอย่างเดียวเลย วิ่งรถไปทางร้านแก ห่างประมาณ ๒๐๐ เมตรก็ได้กลิ่นปลาร้าแล้ว จะมีทั้งที่เป็นน้ำพริก เป็นปลาร้าสับ ปลาร้าสดเป็นตัว ฯลฯ สั่งเป็นปีบเลยก็ได้ ตั้งร้านอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดปลาสดที่เอามาหมักปลาร้า

อาตมาถึงได้บอกว่าโบราณเราเก่ง ของเราเองถนอมอาหารด้วยการหมัก เนื้อสัตว์มากก็ทำเนื้อสัตว์หมัก ของคนจีนพลเมืองเยอะ แล้วเนื้อสัตว์ไม่ค่อยมี ก็ทำเป็นผักแห้ง อย่างพวกหัวผักกาดแห้ง ผักกาดดอง ของเกาหลีเขาทำกิมจิ เขาเอาไว้ตอนไม่มีจะกิน ส่วนของเราตอนนี้จะกินอะไรก็มี ดันไปซื้อกิมจิมาฝากกัน..! นึกแล้วก็ขำ ถ้ารู้ว่าแรกเริ่มมีที่มาอย่างไร ก็คือเขาไม่มีจะกินในฤดูหนาว เขาก็ต้องหมักผัก ตากผักเอาไว้กิน เรามีกินอุดมสมบูรณ์ก็ยังอุตส่าห์ตะกายไปหามากินกัน"

เถรี
14-11-2014, 19:11
"วันก่อนดูสารคดีสุดยอดอาหารจีน คนที่ทำเต้าหู้หมัก ที่เขาเรียก "เต้าหู้เน่า" นั่นแหละ ถึงเวลาก็ไปทอดขายในตลาด เชื่อไหมว่าภรรยาเขาทำเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย นอกจากทำเต้าหู้หมักอย่างเดียว ตีสองตีสามก็ลุกขึ้นมาตักน้ำบ่อทำเต้าหู้ เสร็จแล้วก็หมัก ห่อ ตากแดด ต้องได้แดดกี่ชั่วโมงถึงจะได้ที่ ถึงเวลาต้องคอยพลิกคอยเก็บ เอาใส่กระด้งไม้ไผ่ตากไว้นับไม่ถ้วนเลย เต็มหลังคาไปหมด เขาบอกว่าที่เห็นนั่นพอขายแค่ ๒ วันเอง แสดงว่าคนกินกันเยอะมาก

ที่พูดถึงตรงนี้เพราะว่าบางคนไม่รู้ว่าจะค้าขายอะไร ขายอาหารดีที่สุด แต่ว่าต้องเลือกทำเลให้เป็น อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ยังเป็นทหาร ใกล้ ๆ บ้านมีผัวหนุ่มเมียสาวเช่าบ้านอยู่ เขาเรียนรามฯ ด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็ขายก๋วยเตี๋ยวไปด้วย พอถึงเวลาก็ขี่รถซาเล้งมีตู้ก๋วยเตี๋ยว ตอนเช้า ๆ ก็ขายหน้าปากซอย คนเดินทางออกไปจากบ้านเพื่อที่จะไปรอขึ้นรถ กินก๋วยเตี๋ยวก่อนค่อยไปทำงาน ประมาณสัก ๑๐ โมงไปจะจอดรออยู่หน้าโรงงาน พอพักเที่ยงคนงานแห่กันออกมา คนงาน ๓๐๐ คน ตีเสียว่ากินก๋วยเตี๋ยวแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็พอ ขายได้อย่างน้อยก็ ๓๐-๔๐ ชาม

พอถึงเวลาตอนบ่ายเขาจะเข้าหมู่บ้านจัดสรร เคาะไม้ก๊อก ๆ ไป พวกที่อยู่ในหมู่บ้านนี่ไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก มีก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ มาถึงหน้าบ้านก็สั่งซื้อกัน ยังไม่ทันจะ ๕ โมงเย็นก็ขายหมด กลับบ้าน จัดข้าวจัดของ เตรียมของวันพรุ่งนี้เสร็จเรียบร้อย ก็นอนกันแต่หัวค่ำ พอจบปริญญา รับจากสมเด็จพระเทพฯ ด้วยนะ ทั้งคู่จบปริญญาตรีปีเดียวกัน ปรากฏว่าขายก๋วยเตี๋ยวต่อ อาตมาก็ว่า “เฮ้ย...จบปริญญาตรีแล้วทำไมไม่ไปหางานอื่นทำ ?” เขาบอกว่า “งานอะไรก็ได้ไม่มากเท่ากับขายก๋วยเตี๋ยวหรอก” ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ค่าแรงงานขั้นต่ำอยู่ที่ ๕๔ บาทต่อวัน เดือนหนึ่งจะเท่าไร เขาบอกว่าเขา ๒ คนขายก๋วยเตี๋ยวเดือนหนึ่งได้เป็นหมื่นบาท..!

ไปนึกถึงตัวเองว่า ตอนนั้นอัตราเงินเดือนทะลุแรงงานขั้นต่ำไปเท่าตัว ของเราก็อยู่ได้ ส่วนเขาเองถ้าไปเริ่มต้นใหม่ ก็ต้องเริ่มจากอัตราต่ำสุด ดังนั้น..เขาตัดสินใจขายก๋วยเตี๋ยวต่อ ก็แบบเดียวกับสามีภรรยาที่หมักเต้าหู้เอาไปทอดขาย ภรรยาก็หมักเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า เช้าขึ้นสามีก็เข็นรถออกไปตลาด จะไปจอดอยู่ใกล้ ๆ พวกรถเข็นที่ขายน้ำเต้าหู้หรือขายเต้าฮวย เพราะว่าไปกันได้ พอถึงเวลาแขกนั่งโต๊ะก็ตะโกนสั่งของทางโน้นได้เหมือนกัน แล้วแขกนั่งโต๊ะทางโน้นก็ตะโกนสั่งของทางนี้ได้ เพราะฉะนั้น..การค้าขายจึงสำคัญตรงทำเล

เรื่องอาหาร..ถ้าฝีมือดี ทำเลดี อย่างไรก็สบาย คนต้องกินอยู่แล้ว ปัจจัยมี ๔ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค แต่คนเราไม่ได้ป่วยทุกวัน เปิดร้านขายยานี่ต้องมีทุนยาวมาก ส่วนที่อยู่อาศัยถ้าไม่ได้มีระดับเป็นพันล้าน จะไปสร้างแข่งกับใครไหว กู้กันตายเลย ก็เหลือแต่อาหารกับเครื่องนุ่งห่ม เครื่องนุ่งห่มก็ไม่ใช่จะซื้อกันได้ทุกวัน ราคาค่อนข้างสูง ก็เหลือแต่อาหาร ใครมีฝีมือ ก็หาทำเลตั้งร้านกันเอา สมัยนี้ข้างถนนแท้ ๆ ตั้งหาบปั๊บมีคนมาเก็บเงินปุ๊บ อาตมายังคิดว่า ตกลงว่าถนนเป็นของใคร ?"

เถรี
15-11-2014, 15:24
ถาม : วิธีใช้เหรียญน้ำมนต์ ถ้าใส่ในแท็งก์น้ำ เวลาอธิษฐานขอต้องอธิษฐานครั้งเดียวหรือบ่อยแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ปกติก็ครั้งเดียว แต่ถ้าเปิดน้ำลงไปใหม่ก็ต้องอธิษฐานใหม่ ต้องไปสวดอิติปิ โสฯ ๗ จบ นะมะพะทะ ๑๕ จบ แล้วอธิษฐานใหม่

เถรี
15-11-2014, 15:32
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนงานวันบวชประมาณอาทิตย์หนึ่ง อาตมาไปเปิดบัญชีกองทุนหลวงปู่พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) เพราะตั้งแต่เป็นเจ้าอาวาสมา ๖ ปี ก็ทยอยเอาเงินเข้าบัญชีให้หลวงปู่ได้ประมาณ ๗ ล้านบาทเศษ ก็คือเวลามีงานวัด อย่างเช่น มาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา เข้าพรรษา ออกพรรษา สงกรานต์ ถ้ารับสังฆทานได้ไม่ถึงแสน ก็จะตัดเข้าบัญชีให้หลวงปู่แสนหนึ่ง ถึงเกินแสนก็ตัดให้แสนหนึ่งเหมือนกัน

ปรากฏว่า ๖ ปีกว่า รวมเงินกฐินด้วยก็มีเงิน ๗ ล้านกว่าบาท เมื่อฝากประจำ ตัวเลขก็ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จึงตัดสินใจฝากไป ๑๐ ล้านบาทเลย บอกว่า "ตอนนี้หลวงปู่เป็นหนี้ผมแล้วนะครับ" ปรากฏว่าวันบวชหมู่ถวายหลวงปู่ อาตมาจัดงานบวช ๓ วัน วันที่หนึ่งมีคนบูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ ๔๐๐,๐๐๐ กว่าบาท วันที่สองมาอีก วันที่สามมาอีก สรุปแล้วพองานผ่านไป อาตมากลายเป็นหนี้หลวงปู่ ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท ถามหลวงปู่ว่า "ทำไมต้องรีบใช้ด้วย ?" ท่านบอกว่าท่านไม่ชอบเป็นหนี้ใคร เหลือเชื่อจริง ๆ คนก็ไปวัดแค่ไม่กี่คนเอง หลวงปู่ท่านเป็นหนี้อาตมาอยู่ ๒ ล้านกว่าบาท ท่านหาคืนได้ภายใน ๓ วัน..!"

ถาม : กองทุนหลวงปู่เอาไว้บูรณะวัดหรือครับ ?
ตอบ : เอาไว้ทั้งสร้างทั้งซ่อม ตอนนี้มีกองทุนรักษาพยาบาล เด็กวัดเบิกไปวันก่อน ๖,๐๐๐ กว่าบาท ให้ตายเถอะ..พระเบิกทีหนึ่ง ๓๐๐-๔๐๐ บาท เด็กวัดเบิกที ๖,๙๐๐ บาท ดันเป็นมาลาเรีย แล้วเป็นต่างด้าวไม่มีบัตรทองอีก ซวยไปสิ..รักษาเท่าไรก็อาจารย์เล็กจ่าย..!

เถรี
15-11-2014, 15:36
พระอาจารย์เล่าว่า "บวชพระงวดนี้เนื่องจากว่าตั้งใจไว้เป็นปี ก็เลยกันเวลาตัวเองเอาไว้ สามารถที่จะอบรมพระได้เกือบทุกวัน ปรากฏว่ามีจำนวนมากเลยบอกว่า เคยไปบวชที่อื่นแล้วไม่มีใครบอกเรื่องพวกนี้เลย โดยเฉพาะศีลพระ โอ้..แสดงว่าท่านเฮงจริง ๆ เลย ในเมื่อไม่มีใครแนะนำก็ทำผิดทำพลาด บางอย่างก็แนะนำว่าตอนเป็นพระต้องทำอย่างไร ตอนเป็นฆราวาสต้องทำอย่างไร

มีอยู่จุดหนึ่งที่ขำดีเหมือนกันก็คือถามว่า “ใครสึกแล้วจะใส่หมวกบ้าง ?” โอ๊ย..ยกมือหลายคน “เอ็งจะใส่ไปทำไม ? อายหัวล้านใช่ไหม ? คนไปทำความดีมาต้องอายเขาด้วยหรือ ? ถ้าเป็นข้านะ..สึกแล้วจะไปโกนซ้ำ ให้รู้ ๆ กันไปเลยว่าเราไปทำความดีมา” ปรากฏว่าตอนลงไปปักษ์ใต้ไม่มีใครใส่หมวกสักคน กลายเป็นแก๊งมาเฟียไปเลย"

เถรี
15-11-2014, 15:43
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่วัดท่าซุงมีงานทำบุญถวายหลวงพ่อ เขาเลื่อนงานมาเป็นอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายน ซึ่งตรงกับงานครูบาวิฑูรย์ทุกปี อาตมาไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าไปงานครูบาวิฑูรย์ก็ล่ม เพราะประธานไม่มี เท่ากับเปิดโอกาสให้หลวงพี่องอาจเขาทำบุญของท่าน ซึ่งได้ทำตรงวัน ของวัดท่าซุงกลายเป็นทำไม่ตรงวัน

แต่จะว่าไปแล้วถ้าตามความเชื่อของอาตมา หลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพตั้งแต่ ๒๘ ตุลาคม แต่ว่าหมอเขารายงานผลจากเครื่องวันที่ ๓๐ ตุลาคม เพราะว่าอาตมาได้ยินก่อนหน้านั้น ๕ เดือนหรือ ๗ เดือน บอกว่าให้ระวัง ๒๘ ก็นึกว่าตัวเลขจะออก ตามดูหวยอยู่ตั้งหลายงวด ปรากฏว่าพอหลวงพ่อถูกหามเข้าโรงพยาบาล เพิ่งจะรู้ว่ามรณภาพ ๒๘ ตุลาคมนี่เอง ดันบอกทำไมตั้งแต่ต้นปี ? บางอย่างวาระกรรมมาบังก็โง่ตลอด กว่าจะรู้จริง ๆ ก็ตอนเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว"

เถรี
15-11-2014, 19:33
ถาม : ยอดเขาพระบาทกับยอดเขาพุทธเจติยคีรี อย่างไหนสูงกว่า ?
ตอบ : ยอดเขาพระบาทสูงกว่า มีคนแนะนำอาจารย์เล็กทำให้ดังไปเลย ทำกระเช้าจากฝั่งยอดเขานี้ข้ามไปฝั่งโน้น อ๋อ..ถ้าหากว่ากระเช้าขาด อาตมาจะดังกว่านั้นอีก..!

เถรี
15-11-2014, 19:45
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนเริ่มเก็บประวัติตัวเอง เพื่อเตรียมทำหนังสือฉลองอายุ ๕ รอบ ไปไล่สายครูบาอาจารย์แล้ว ของอาตมานี่มีตั้ง ๑๐ กว่าสายเกือบ ๒๐ สาย นี่ตูศึกษามาเยอะขนาดนี้เลยหรือ ? เจอใครก็ขอวิชาท่านดะไปเลย ทำแบบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ส่วนใหญ่พระปฏิบัติท่านใจดี ท่านไม่ค่อยหวงวิชา ขนาดหลวงพ่ออุตตมะออกปากว่าจะสงเคราะห์เป็นคนสุดท้าย ยังโดนอาตมาดึงเกมไว้จนอายุเกือบร้อย ไม่ยอมให้ท่านสงเคราะห์สักที

ในเมื่อท่านรับปากว่าจะสงเคราะห์เป็นคนสุดท้าย ถ้าตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สงเคราะห์ ท่านก็ไปไม่ได้ ความจริงอาตมาค่อนข้างโหดเหมือนกันนะ ดึงท่านเอาไว้จนกระทั่งอายุ ๙๐ กว่าปี"

เถรี
15-11-2014, 20:05
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานไปสวดมนต์ที่วัดวีระโชติธรรมาราม ปรากฏว่าหลวงตาวัชรชัย หลวงตาชลอ ท่านไม่คล่องตัว ท่านไปกับจังหวะของเขาไม่ได้ อาตมาบอกว่า "ทำใจสบาย ๆ แล้วไหลตามจังหวะเขาไปเลย"ท่าน ก็ทำไม่ได้กัน ตกลงนี่ตูจะอธิบายอย่างไรดีวะ ? ก็เหมือนกับลงไปสวดมนต์ที่วัดรัตนานุภาพ อาตมาเคยสวดจังหวะแบบใต้เสียที่ไหน แต่นอกจากไหลตามเขาไปในจังหวะเดียวกันแล้ว กระทั่งหายใจยังจังหวะเดียวกันอีกด้วย ทำไมคนอื่นเขาไหลตามไม่ได้ก็ไม่รู้ ?

ไปสวดมนต์ที่พม่าก็เหมือนกัน จนท่านพระครูปลัดปรีชาบอกว่า “อาจารย์ไปเถอะ ผมไปอย่างอาจารย์ไม่ได้หรอก” ก็แปลกใจ ไปสวดกับใครจังหวะไหนก็ไปกับเขาได้ ทำใจสบาย ๆ แล้วปล่อยไหลตามเขาไปเลย ถ้าไม่มั่นใจจะสวดไม่เต็มปากเต็มคำ ส่วนอาตมามั่นใจว่าไหลตามเขาได้แน่ก็ใส่ไปดัง ๆ เลย

ขำที่สุดก็หลวงพ่อพระครูสถิตศีลขันธ์ ท่านก็พยายามช่วยประคองให้ ท่านรู้ว่าอาตมาไม่เคยชินกับจังหวะสวดของปักษ์ใต้ ท่านก็พยายามที่จะลากให้ยาวหน่อยแบบของภาคกลาง แต่อาตมาไปลื่นเหลือเกิน แสดงว่าเรานี่ปลาไหลชัด ๆ ปล่อยลงไปที่ไหนก็ลื่นไปกับเขาได้หมด งวดนี้ก็มีคนตายอีก เดี๋ยวรอดูครั้งหน้า ถ้ามีตายอีกเราก็อย่าไปให้เขาเดือดร้อนกันเลย"

ถาม : เป็นเพราะถึงฆาตใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ใช่อยู่..แต่ถ้าพวกเราไม่ไป เขาอาจจะไม่ต้องมารับเคราะห์แทนขนาดนั้น ครั้งก่อนโน้นเครียดตั้งแต่ต้นทางเลย ยังไม่ทันจะเดินทาง มีคนโดนทับตายคารางไปแล้ว มางวดนี้กำลังจะกลับ ดูแล้วเขาเองก็มั่นใจว่าเขาไม่พลาดแน่ แต่พอโดดขึ้นรถไปแล้วพลาดได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? โดนรถไฟทับหัวหายไปเลย อาตมาไปชะโงกดูอยู่ตั้งนานว่าหัวไปอยู่ที่ไหน ? ตอนหลังหนังสือพิมพ์เขาถ่ายรูปมา เพิ่งเห็นว่ากระเด็นข้ามไป ๒ ราง แสดงว่าเลือดคนนี่ดันแรงจริง ๆ หัวกระเด็นไปหลายเมตรอยู่นะ

ตอนแรกที่ดูในคลิปวิดีโอ มีผู้ชายคนหนึ่งจะวิ่งไปดึงเขาออกมา แต่ว่าอีกคนหนึ่งกลัวว่าคนดึงจะโดนรถไฟลากเข้าไปด้วย เลยไปกระชากคนนั้นออกมาแทน คือเขามั่นใจว่าคนนั้นตายแล้ว ไม่ต้องไปช่วยเขาออกมาหรอก เดี๋ยวตัวเองจะตายไปด้วย

สรุปว่าขืนพวกเราไปบ่อย ๆ รับประกันได้ว่า คนแถวนั้นมีเท่าไรเขาก็ตามมายันวัดแน่ ๆ ยังบอกกับท่านนายอำเภอว่า คนใต้นี่เขารักใครรักจริง ก็คิดดู..ลองกองเป็น ๑๐ ไร่ไม่ยอมขาย ขนมาให้พวกเราหมด จริง ๆ วันแรกท่านนายอำเภอก็ชวนว่า "รุ่งขึ้นตอนเช้าไปเที่ยวพรุโต๊ะแดงก่อนไหม ?" เรียนท่านไปว่าดูแลกันลำบาก ขบวนใหญ่..การรักษาความปลอดภัยทำได้ยาก ไปแล้วจะสร้างความลำบากให้คนอื่นเขามากกว่า อย่าไปเลย

เถรี
15-11-2014, 20:20
พระอาจารย์เล่าว่า "กฐินที่วัดรัตนานุภาพ มีสองคนผัวเมียมาทำบุญ ตาอายุ ๑๐๙ ปี ยายอายุ ๙๖ ปี ยังเดินตัวปลิวทั้งคู่เลย เขาแข็งแรงจริง ๆ สองคนผัวเมียรวมกัน ๒๐๑ ปี ดูท่าว่ายังอยู่ได้อีกนานด้วย ถ้าสร้างกรรมปาณาติบาตมาน้อย ก็จะอายุยืน พวกเรารบราฆ่าฟันมาเยอะ..ก็อายุสั้น"

เถรี
15-11-2014, 20:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาโดนตะขาบกัดงวดนี้ พิสูจน์ให้พระท่านเห็นชัด ๆ ว่า ยันต์เกราะเพชรนี่กันได้จริง ๆ เพราะพิษมาแค่ข้อเท้า แล้วไม่สามารถที่จะขึ้นมาได้ ติดอยู่แค่นั้นแหละ เท้าอ้วนปี๋เลย ยังบอกกับพระว่า จริง ๆ แล้วโชคดีนะ ถ้าหากว่ากันไม่อยู่ ขึ้นมาถึงแล้วไข่ดันบวมนี่ อาตมาจะเดินไม่ได้แล้ว พอขึ้นมาแค่ข้อเท้าก็เดินได้ บิณฑบาตจนเสร็จ

กรรมเรื่องนี้ไม่แล้วไม่เลิกสักที เพราะทำมาชาติแล้วชาติเล่า ถึงเวลาก็ไปวางขวากดักข้าศึก ดักคนบ้าง ดักช้างบ้าง โดยเฉพาะช้างศึกเวลาเหยียบขวากก็ทรุดอยู่ตรงนั้นเลย ไปไหนไม่ได้ น่าสงสารมาก จะเห็นว่าอาตมาเองโดนทีไรจะโดนแต่เท้าซ้ายนี่แหละ แทบจะไม่โดนเท้าขวาเลย

ปีก่อนตอนเจริญกรรมฐานอยู่ที่วัดบางช้างเหนือ พวกผึ้งหลวงเข้ามาเล่นไฟกลางคืน จนหมดแรงตกลงกับพื้น อาตมาก็ยกหนอ..ย่างหนอ แล้วเหยียบเข้าให้พอดี ก็โดนผึ้งต่อยบวมแบบนี้แหละ แต่ก็ยังเดินหน้าตาเฉย จนกระทั่งประธานพระวิปัสนาจารย์ท่านมาเห็นก็บอกว่า “อาจารย์ไปนั่งเถอะ ไม่ต้องเดินแล้ว บวมเยอะขนาดนี้” ก็โดนในช่วงระยะนี้เหมือนกัน เพราะว่า มจร.ส่วนใหญ่ปลายปีก็เริ่มมีการปฏิบัติธรรมประจำปี วาระกรรมก็มาตอนช่วงจังหวะอย่างนี้พอดี

จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า กรรมเป็นของน่ากลัว อย่าคิดว่าเป็นกรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ และอย่าคิดว่าเป็นกรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ กรรมไม่ว่าจะเล็กน้อยปานใด ถ้าถึงวาระก็จะให้ผล"

เถรี
17-11-2014, 12:41
ถาม : ชอบนั่งสมาธิแล้วสวดมนต์ต่อ แต่มีคนบอกว่าถ้านั่งขัดสมาธิสวดมนต์จะตกนรก ?
ตอบ : ไม่แรงถึงขนาดนั้นหรอก เพราะว่าการสวดหรือภาวนาคาถา กับการที่เราภาวนาคำภาวนาขณะนั่งสมาธิก็แบบเดียวกัน เพียงแค่เปลี่ยนท่าแค่นั้นเอง ในเมื่อเรานั่งภาวนาแล้วไม่ลงนรก เรานั่งสวดมนต์แล้วจะลงอย่างไรวะ ? เพียงแต่ว่าถ้าเป็นตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า ถ้าอยู่ต่อหน้าพระ ควรที่จะนั่งพับเพียบมากกว่า แลดูเรียบร้อยกว่า เราเองถ้าไม่ถนัดนั่งพับเพียบก็นั่งขัดสมาธิไป สำคัญตรงกำลังใจของเราต้องทรงอยู่ในความดีให้ได้

อาตมาเองนั่งขัดพับเพียบจนชิน มีบางวันฉันเช้าฉันเพลจนจะอิ่มอยู่แล้ว อ้าว..ตายห่..เรานั่งพับเพียบอยู่นี่ ถึงว่าวันนี้รู้สึกแปลก ๆ นั่งพับเพียบฉันจนจะอิ่มอยู่แล้ว ถ้านั่งเป็นแล้วจะสมดุล อาตมานั่งจนชินแล้ว เคยไปให้หมอเขาตรวจว่ากระดูกสันหลังคดไหม ? หมอบอกว่าปกติดี บอกหมอว่าอาตมาพับเพียบข้างเดียวมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว เขาบอกว่ายังไม่มีอะไรเสีย ถ้าจะมีปัญหาที่เป็นไปได้ก็เรื่องเส้น ไม่ใช่เรื่องกระดูก

เถรี
17-11-2014, 12:45
ถาม : เวลาไปไหว้พระ จะขอพรพระว่าเวลาจะตายให้มีทุกขเวทนามาก ๆ จะได้เห็นทุกข์ชัด ๆ แต่ตอนนี้เริ่มกลัว..?
ตอบ : ก็ขอใหม่ ลักษณะนั้นเป็นอธิษฐานบารมีคือความตั้งใจ ความตั้งใจสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ คราวนี้ถ้ากลัวแล้วไม่ต้องเอามากก็ได้ ถ้ากลัวให้เน้นทำสมาธิไว้ ถ้าอานาปานสติทรงตัว เรื่องของความเจ็บปวดจะทำอะไรเราไม่ได้เลย

วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตอนเช้าอาตมาเดินบิณฑบาต ไปเหยียบตะขาบตัวเบ้อเริ่มเลย ตะขาบตัวนี้ก็ซวยจริง ๆ ไม่ใช่อาตมาซวยนะ เพราะว่าปกติตอนสว่างตะขาบจะเข้าที่พักไปหมดแล้ว ตัวนี้น่าจะหาอาหารกินไม่ได้ เดินงุ่มง่าม ๆ ตรงทางที่ออกจากวัดจะเป็นป่าอยู่ช่วงหนึ่ง ไปเหยียบเต็ม ๆ ไถจนหงายท้องไปเลย พอพลิกกลับก็กัดเอาใต้นิ้วเท้าพอดี อาตมาเองก็เจ็บอยู่นะ แต่ก็เดินไปเรื่อย ยิ่งเดินก็ยิ่งปวด เหมือนมีเหล็กแหลมแดง ๆ แทงอยู่ที่ฝ่าเท้า แล้วมีเหล็กแดง ๆ ๒ แผ่นประกบบนล่าง รู้สึกว่า เอ๊ะ..ถ้าปวดมากกว่านี้นิดหนึ่งก็จะเป็นลมแล้ว ได้แต่สั่งตัวเองว่าอย่าเป็นลม เพราะว่าจะบิณฑบาต เอ็งอย่าเสือกทะลึ่งเป็นลม แล้วก็เดินไปเรื่อย

เดิน ๆ ไปเหมือนขาตัวเองไม่มีความรู้สึก เหมือนลูกตุ้มอะไรลูกหนึ่งถ่วงอยู่ เพราะพิษตะขาบน่าจะทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ก็เดินจนกระทั่งกลับมาถึงวัด ตกประมาณ ๕ ก.ม. พอฉันเสร็จถึงรู้ว่าที่จริงอาตมาบังคับขาไม่ได้แล้ว เพราะว่าจะขยับเปลี่ยนท่าเปลี่ยนอะไร ขาก็ไม่อยากจะตามมาแล้วจึง บอกกับพระท่านว่า "ถ้าคุณคิดจะทำหน้าตาเฉยอย่างผมได้ คุณต้องไปเล่นอรูปฌานเลย ไม่อย่างนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะว่าปวดมาก" ส่วนใหญ่ก็ร้องโอดโอยกันเป็นวัน ๆ ส่วนอาตมาก็ทำงานทำการไปเรื่อย

ตอนแรกว่าจะเดินตรวจงานตอนเช้า ก็ปรากฏว่าเป็นแล้วเดินได้ยาก บังคับขาไม่ได้อย่างใจ เดี๋ยวไปล้มแล้วขายหน้าเขา เพราะต้องขึ้นไปดูงานที่ชั้น ๓ ด้วย ก็หยุดพักไปครึ่งวัน รู้สึกรำคาญตัวเองเต็มที เดินก็เดินวะ หลังเพลก็ไปเดินดูงาน เดินไปเดินมาเหมือนพิษเริ่มคลาย เดินได้คล่องขึ้น

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เจ็บก็เจ็บไป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ถ้าเราจะทำอย่างนั้นโดยที่กลัวว่าเวทนาจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ต้องซักซ้อมอานาปานสติให้คล่องตัวไว้ จะช่วยได้เยอะมากเลย เราอาศัยตัวอานาปานสติระงับกายสังขาร ไม่ต้องกลัวเจ็บ ถือว่าความเจ็บเป็นคุณกับเรา ทำให้เห็นทุกข์ จะได้ไม่อยากมาเกิดอีก

เถรี
17-11-2014, 12:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระของเรานี่น่าตายจริง ๆ..! คือหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า อานิสงส์การบวชนั้นมหาศาลมาก แต่เพื่อความแน่นอน ตอนจะสึกให้คุณอธิษฐานว่า "ผลบุญในการบวชครั้งนี้ คุณปรารถนาอะไร ให้ขออย่างเดียวแล้วจะได้" ปรากฏว่าบรรดาไอ้ทิดของเรา สึกแล้วตามอาตมาลงไปกฐินปักษ์ใต้ ไปตักมัจฉาพาโชค ที่เป็นดวงลอยฟ่องเต็มน้ำนั่นน่ะ ไปอธิษฐานเอารางวัลใหญ่ เอาจักรยาน พัดลม เตียงนอนอะไรของเขามาหมดเลย จนกระทั่งเขาต้องปิดร้านไปเลย เออ..ดีเหมือนกัน มึงบวชทั้งทีขอแค่นี้เองนะ..! แต่ว่าเขาเอาไปเข้ากองกฐิน เพียงแต่อาตมาว่าเหลวไหลไปหน่อย ของแค่นี้ดันไปใช้บุญบวชของตัวเอง"

เถรี
18-11-2014, 09:06
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องหวยว่า "ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีสูตรเด็ดที่เทวดาท่านบอกให้ แต่พอท่านห้าม อาตมาก็เลยบอกใครไม่ได้เลย ท่านจะให้เอาเลขคูณกัน แล้วเอามาตั้งบวกลบ ออกมาจะเป็นเลขท้าย ๒ ตัว อาตมาก็บอกว่า “เอ๊ะ..บางครั้งก็เป็นตัวเดียวนี่ครับ” ท่านบอกว่า “ตัวเดียวเอ็งก็ตัดท้ายเล่น หรือไม่ก็เติมหน้าเติมหลังเอาสิวะ” ก็คือถ้าไม่ได้ ๒ หลัก ท่านให้ไปเติมเอาเอง เคยลอง ๆ ดู ๔-๕ งวด ออกตรงจริง ๆ ด้วย

แต่เนื่องจากว่ารับปากท่านแล้วว่าจะไม่เล่น ก็เลยไม่ได้เล่น เสียดายที่หลวงพ่อท่านตัดทางทำกินไปเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นเรื่องสร้างวัดนี่ ให้หวยไปสัก ๒-๓ งวดคนก็ล้นวัดแล้ว"

เถรี
18-11-2014, 09:12
ถาม : อนุโมทนา หรือโมทนา อย่างไหนถูกต้องคะ ?
ตอบ : อนุโมทนาเป็นคำที่ถูกต้องจ้ะ คำว่า อนุ แปลได้ ๓ ความหมาย แปลว่า น้อย อย่างเช่น อนุภรรยาคือเมียน้อย แปลว่า ภายหลัง อย่างเช่น อนุชนคือคนที่เกิดมาทีหลัง แปลว่า ตาม อย่างเช่น อนุโมทนาแปลว่ายินดีตามเขา เพราะฉะนั้น..อนุโมทนาเป็นคำเต็มที่ถูกต้อง เราพูดสั้น ๆ ว่าโมทนาก็ได้ บางคนใช้สั้น ๆ ว่า "โมนะ" คนอื่นทำก็หันมามอง เขา “โม” เอาไปแล้ว รู้สึกว่าคำพูดชักกร่อนลงเป็นชาวใต้ไปเรื่อย ชาวใต้เขาพูดอะไรกันสั้น ๆ

พวกศัพท์ชุดนี้เขาเรียกว่าอุปสรรค อุปสรรคคือสิ่งที่มาขวางอยู่ตรงหน้า อย่างเช่น อติ, อภิ, อนุ ฯลฯ จะต้องนำหน้าอย่างเดียว อยู่หลังก็ไม่ได้ อติพล...มีกำลังอันยิ่งใหญ่ อภินันท์...มีความยินดีอย่างยิ่ง อนุชน...บุคคลที่ตามหลังมา

อย่างพระครูหน่อยท่านเข้าใจว่าอนุแปลว่าน้อย ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นมหาโมทนา ? ก็บอกว่าไม่ใช่ อนุเขาแปลได้ ๓ ความหมาย ถึงบอกว่าศัพท์บาลีต้องดูบริบท ก็คือสิ่งแวดล้อมในช่วงนั้น ว่าความหมายควรจะเป็นอย่างไร ก็แปลตามนั้น ในเมื่อเป็นอนุโมทนาก็ต้องแปลว่ายินดีตาม เจ้าของยินดีทำบุญ เราก็ยินดีตามไปด้วย

อุป แปลตรงตัวว่า ใกล้ , สัค แปลว่า สวรรค์ เพราะฉะนั้น..ถ้าผ่านอุปสรรคไปได้ เหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าหากว่าแตกฉานบาลีแล้วจะสนุก แต่ก็อย่างว่า กว่าจะเรียนถึงระดับนั้นได้ ท่องหนังสือกันจนหน้ามืดตาลาย

เถรี
18-11-2014, 13:44
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาอาตมาลงไปสุไหงโกลก ถ้าตรงกับวันศุกร์ เขาก็จะนิมนต์ให้ไปเทศน์ที่โรงเรียนมัธยมสุไหงโกลกหน้าวัดประชุมชลธารา ก็ถามว่าทำไมต้องเทศน์ทุกวันศุกร์ เขาก็บอกวันศุกร์เด็กอิสลามไปสุเหร่ากัน เด็กพุทธไม่มีอะไรจะทำ ก็เลยต้องนิมนต์พระไปเทศน์

คราวนี้ที่โน่นประชาชนส่วนใหญ่เป็นอิสลาม ไทยพุทธเป็นส่วนน้อย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าหากให้สวดมนต์ไหว้พระแล้วกลับบ้านก็เหมือนเด็กได้อะไรน้อยไป ก็เลยนิมนต์พระไปเทศน์ อาตมาก็เลยไปยุให้เล่นคาถากันสนุกสนาน เด็กเขาอยากสอบได้กันทุกคน ก็ต้องภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์

แบบเดียวกับที่เขาให้ไปสอนนักโทษ อาตมาไปถึงก็บอกเลย “วันนี้จะมาสอนพวกเราแหกคุก เอาคาถาสะเดาะกลอนไปเลย” ตอนแรกไม่ค่อยฟังกันหรอก นั่งคนละทิศละทาง พอได้ยินว่าแหกคุกได้นี่หูผึ่งกันไปตาม ๆ กัน ปรากฏว่าเขาพาเข้าไป ๓ ครั้งแล้วไม่ให้ไปอีกเลย เพราะไปทุกครั้งเอาแต่ไปสอนให้นักโทษแหกคุก

เวลาเข้าไปนี่อาตมาไม่รู้สึกกลัวหรอก แต่เจ้าหน้าที่จะเครียดมากเลย รปภ.ล้อมกัน ๕-๖ คน เขาบอกว่า “ถ้านักโทษจับหลวงพ่อเป็นตัวประกัน พวกผมตายแน่เลย” อาตมาสอนนักโทษให้ฝึกวาโยกสิณ ถ้าคุณฝึกสำเร็จรับรองกำแพงแค่นี้เรื่องเล็ก ฝึกปฐวีกสิณเดินข้ามไปเลยก็ได้ นึกแล้วก็ขำดี ไปสอนได้แค่ ๓ ครั้ง ผบ.เรือนจำบอกให้เปลี่ยนตัวพระที่มาเทศน์เลย"

เถรี
18-11-2014, 14:03
ถาม : วิธีป้องกันคุณไสย ?
ตอบ : ถ้ารักษาศีลบริสุทธิ์กันได้เกินครึ่งแล้ว ถ้าสร้างสมาธิได้อีกหน่อยก็รับประกันซ่อมฟรีได้เลย แต่ว่าห้ามขาดสตินะ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ยิ่งใหม่ ๆ ยิ่งดีเลย เพราะศีลบริสุทธิ์แน่นอน เรื่องของคุณไสยเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ไม่ได้ถึงที่สุดของสมาธิ เพราะสภาพจิตมุ่งร้ายคนอื่นนั้นขาดอุเบกขา พอไปทำเขาก็เสื่อม เมื่อรวบรวมกำลังใจได้ใหม่ก็ทำใหม่อีก อาตมาก็สงสัยว่าทำไมหมอผีถึงทำได้ทุกวัน ? อ๋อ..ตอนทำเขาไม่ได้ผิดศีลนี่ สมาธิเขาทรงตัวได้ พอทำเสร็จแล้วปรากฏว่าให้ร้ายคนอื่นวิชาก็เสื่อม ต้องมารวบรวมกำลังใจใหม่ อภิญญาโลกีย์เป็นอย่างนี้เอง

เถรี
18-11-2014, 14:08
ถาม : ผู้ชายสามารถบวชให้พ่อแม่ได้ แล้วผู้หญิงละคะ ?
ตอบ : รอไปเกิดเป็นผู้ชายสิจ๊ะ ...(หัวเราะ)... ทำตัวให้เป็นพระอริยเจ้า ยิ่งกว่าการบวชใด ๆ ทั้งหมด เพราะว่าการบวชเป็นแค่สมมติสงฆ์เท่านั้น ดังนั้น..ถ้าเราเป็นพระโสดาบันขึ้นไป กุศลนับเท่าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..เป็นผู้หญิงนี่ไม่ใช่บวชไม่ได้นะ บวชใจยากกว่าบวชกายเยอะเลย

เถรี
18-11-2014, 14:15
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คือช่วงที่เราฉุกเฉิน สิ่งที่เราสั่งสมมา เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ทั้งหมดจะมารวมตัวกัน ตอนนั้นเราจะรู้ว่ากำลังของเรามีเท่าไร นั่นคือกำลังที่เราจะใช้เผชิญหน้ากับความตายอย่างแท้จริง ถ้าลักษณะอย่างนั้นมั่นใจได้เลย เพราะว่าเรามีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หวั่นกลัว เหลืออีกอย่างเดียวก็คือเกาะความดีให้ได้ นึกถึงพระ นึกถึงพระนิพพาน ฯลฯ

ถาม : แต่กลัว ?
ตอบ : กลัวไม่เป็นไร ก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องปกติ แต่พอถึงเวลาต้นทุนทั้งหมดเรากวาดมารวมกัน ตอนนี้เราเหมือนเปิดร้านเซเว่นทั่วประเทศ อย่างเก่งก็ยอด ๕๐,๐๐๐ บาทต่อร้านต่อวัน ยังต้องกลัวอยู่ เขามาทวงหนี้ตั้งหลายล้าน แต่ลองเอา ๗,๐๐๐ กว่าสาขาทั่วประเทศมารวมกันสิ เงินตั้งเท่าไรต่อวัน เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมาผลบุญมารวมกัน เราจะรู้ว่าต้นทุนเรามีเท่าไร แต่ก็ไม่ควรประมาท ต้องเร่งทำให้มากไว้

เวลาจะตายจริง ๆ ช่วงนั้นเราจะเห็นว่าเราไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้หวั่นเกรงความตายอะไรเลย ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือเกาะความดีให้ได้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นั่นคือสภาพจิตที่เร็วกว่า สภาพจิตถ้าไม่เร็วขนาดนั้น กิเลสที่เข้ามาเร็วมากเราจะกันไม่ทัน สติ สมาธิ ปัญญาของเราจริง ๆ จะเร็วยิ่งกว่านั้นอีก ไม่อย่างนั้นแล้วกันกิเลสไม่ทัน

เถรี
18-11-2014, 14:18
ถาม : วิธีหนีกรรม
ตอบ : ไปพระนิพพาน...จบ หนีหนี้ไปต่างดาว อย่างไรเขาก็ตามทวงไม่ไหว ยกเว้นว่าให้เขาสร้างจานบินตามไปเอง

เถรี
18-11-2014, 14:29
ถาม : ตัดต้นไม้ใหญ่ไป ควรจะตั้งศาลไหมครับ ?
ตอบ : โดยปกติแล้วถ้าจะตัดต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะต้นไม้ที่มีแก่น เขาให้สร้างศาลเพียงตาอย่างน้อย ๑ หลัง ตัดเอากิ่งสักกิ่งหนึ่ง ขนาดพอประมาณ เอามาตั้งไว้ในศาล โดยหันทางด้านปลายขึ้นบน แล้วจุดธูปบอกกล่าวเขาว่า ท่านใดที่อาศัยต้นไม้อยู่ ให้มาอยู่ที่ศาลนี่แทน แล้วก็ขออนุญาตโค่นต้น คือต้องทำตั้งแต่ก่อนที่จะตัด ไม่ใช่ตัดแล้วค่อยทำ ถ้าตัดแล้วค่อยทำก็ไม่ต้องไปกังวล เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของคนตัด

ถ้าหากว่าเป็นพื้นที่กว้างของส่วนรวม โดยเฉพาะอยู่ในลักษณะของต้นไม้ใหญ่ ให้ตั้งเป็นศาล ๔ เสาไปเลยดีกว่า จะเป็น ๔ เสา ๖ เสาอะไรก็ได้ ให้เกิน ๔ ไปได้ก็ดี เสร็จแล้วก็ทำพิธีบวงสรวงขอความคุ้มครองรักษาจากเจ้าที่เจ้าทาง ถ้าไม่เกินวิสัยขอให้ท่านช่วยให้กิจการของเรามีความเจริญรุ่งเรืองด้วย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่คนอื่นทำผิดทำพลาดอย่างไร เราก็กราบขอขมาท่านแทนไป

เถรี
18-11-2014, 14:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนพลเมืองน้อย พื้นที่มีมาก แล้วยิ่งเกิดศึกสงคราม ผู้ชายไปรบไปตายกันเยอะ เขาก็เลยนิยมมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง สมัยนี้คนมากขึ้น ๆ พื้นที่เหลือน้อยลง ๆ เดี๋ยวนี้บางแห่งราคาประเมินตารางวาละ ๘๐๐,๐๐๐ บาท แต่ขายจริงตารางวาละหลายล้าน ตารางวาเดียวพอสร้างศาลพระภูมิหลังหนึ่ง ขายตั้งหลายล้าน มีลูก ๒ คนนี่ก็แย่แล้ว"

เถรี
18-11-2014, 14:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีงานที่วัดวีระโชติธรรมาราม มีหลวงตาชลอ หลวงตาวัชรชัย หลวงพี่วิรัช อาตมา และหลวงพี่องอาจ ฉันเพลไปก็มองหน้ากันไป อาตมาเตรียมงานฉลอง ๖๐ ปี หลวงพี่ชลอ หลวงพี่วิรัช หลวงตาวัชรชัยทะลุเลย ๖๐ ไปนานเนแล้ว ท้ายสุดมีแต่อาจารย์องอาจของเรานี่แหละ ยังสบาย ๆ ๔๘ อยู่คนเดียว แกก็มาโวยวาย “ทำไมผมหน้าแก่จังวะ ?” อาตมาบอกว่า “ไม่รู้..เรียกพี่มาแต่แรกแล้ว ผมไม่เปลี่ยนหรอก” ท่านเล่นเคี้ยวหมากไปด้วย ก็ยิ่งดูอาวุโสเข้าไปใหญ่"

เถรี
18-11-2014, 15:08
ถาม : ผมมีโรคประจำตัวมา ๑๐ กว่าปีครับ ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเก่าหรือเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : โรคทุกชนิดเป็นผลจากกรรมเก่า ถ้าต้องการบรรเทาตรงนี้ก็ให้ปล่อยชีวิตสัตว์ทุกเดือน หมายถึงสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่น ปลาในตลาด ไม่ใช่ที่เขาจับมาให้เราปล่อยนะ ทำทุกเดือนต่อเนื่องกัน

ถาม : แล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ค่อยขนาดไหนไม่รู้ อาตมาปล่อยมา ๓๐ ปีกว่าถึงดีขึ้น

ถาม : จะต้องฝึกกรรมฐานช่วยเพิ่มเติมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็ดี แต่การคืนชีวิตให้เขาเป็นการแก้เรื่องปาณาติบาตโดยตรง อย่างอื่นก็เป็นส่วนเสริม ถ้าทำได้ก็เป็นกุศลให้แก่ตัวเอง

ถาม : แสดงว่ากรรมเก่าผมผิดศีลข้อปาณาติบาตกับข้อสุราเมรัยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ปาณาติบาตอย่างเดียวก็แย่แล้ว ฉะนั้น..ต้องปล่อยชีวิตสัตว์ให้สม่ำเสมอทุกเดือนอย่าได้ขาด

เถรี
19-11-2014, 11:59
ถาม : พอนั่งสมาธิแล้วฟุ้งซ่าน จิตเราปรุงแต่งแต่เรื่องไร้สาระค่ะ ?
ตอบ : สังเกตว่าเราไปฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอนาคต หรือว่าไปยุ่งเกี่ยวกับอดีต ซึ่งเป็นการส่งใจออกทั้งคู่ ต้องหยุดอยู่กับปัจจุบัน คือลมหายใจเข้าออกของเราเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้น..ทันทีที่รู้ตัว ให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับเข้ามาที่ลมหายใจใหม่ ซักซ้อมทำอย่างนี้บ่อย ๆ จนสภาพจิตเคยชิน แรก ๆ ก็เหมือนกับลิง เผลอเมื่อไรก็เผ่นไปแล้ว เผลอเมื่อไรก็กระโดดไปทางโน้นทางนี้ แต่ถ้าเราเคยชิน ต่อไปเราก็สามารถผูกให้อยู่กับที่นาน ๆ ได้ ทันทีที่รู้ตัวว่าเราส่งจิตออกนอก ให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกของเราใหม่ อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ได้

ถาม : หายใจเข้าหรือหายใจออก รู้สึกว่ากลวง ๆ ค่ะ ?
ตอบ : อยู่ตรงนั้นแหละ จะรู้สึกอย่างไรก็ช่าง ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ก็รอดตัวไปชั่วคราว

เถรี
19-11-2014, 12:28
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อก่อนอาตมาไปแจกผ้าห่มกันหนาวทุกปี แจกไปแจกมา ชาวบ้านเขางอมืองอเท้ารออย่างเดียว รอว่าเมื่อไรจะมาแจกอีก ก็เลยต้องเลิกแจก ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ขวนขวายอะไรเพื่อตัวเองเลย นั่งรออย่างเดียว เรื่องของการให้ต้องมีขอบเขตเหมือนกัน ถ้าให้ไม่รู้จักแล้วจักเลิกก็จะเจอลักษณะเดียวกัน อย่างที่หลวงพ่อพระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงพ่อจันทร์ กุสโล) วัดเจดีย์หลวง ท่านบอกว่า “ถ้าเมตตาเกินประมาณ มักจะเจอคนพาลทั้งเมือง”

นัดให้เขามารับผ้าห่มเวลานั้นเวลานี้ เขาไม่มา เหมือนกับเป็นของตาย จะมารับเมื่อไรก็ได้ อาตมาไม่มีเวลารอ ก็เลยหอบไปให้หมู่บ้านอื่นเสียเกลี้ยง แล้วตอนเย็นเขาก็มาโวยวายว่า เขาจะมารับตอนเย็น อาตมาถามว่า "เจ็ดโมงเช้าของเอ็งแปลว่าเย็นใช่ไหม ?" แล้วอีกทีหนึ่งเอาผ้าห่ม ๗๐๐ ผืนไปแจกทางด้านพุน้ำร้อน ที่เป็นด่านทะลุไปทวาย ท่านอาจารย์เต้ก็นัดผู้ใหญ่บ้านทำรายชื่อมา นัดเวลาเสร็จสรรพเรียบร้อย ถึงเวลาอ่านรายชื่อไม่มีใครมา เพราะเขาถือว่าเขาได้แน่แล้ว

อาตมาเลยประกาศบอกชาวบ้านที่มากันเต็มไปหมด บอกว่าใครต้องการให้มาเอาเดี๋ยวนี้เลย แบกไปคนละผืน ๆ หมดเกลี้ยง พวกนั้นวิ่งตีนพลิกมา อาตมาบอกว่าหมดแล้ว เขาก็ตีโพยตีพายว่า "มีรายชื่อแล้วทำไมไม่ได้ ?" อาตมาบอกว่า "สำหรับอาตมาแล้ว คนที่มีรายชื่อไม่ได้แปลว่าได้ หากแต่ว่ามีสิทธิ์ที่แน่นอนกว่าคนอื่นเขานิดหนึ่ง แต่พวกเอ็งเสือกสละสิทธิ์เอง ไม่มาตามเวลานัดก็ถือว่าช่วยไม่ได้" พวกนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายไปต่อว่าท่านอาจารย์เต้แทน ว่ารับปากว่าจะได้แล้วทำไมไม่ได้ ? ท่านอาจารย์เต้ก็บอกว่า อาตมาก็รับผิดชอบไม่ได้ เพราะพระผู้ใหญ่ท่านมีความเห็นอย่างนั้น..สบายไป"

เถรี
19-11-2014, 12:33
"ปัจจุบันที่ให้ทุนการศึกษา จะมีอยู่ทุนหนึ่งที่พวกชาวบ้านอยากได้มากเป็นพิเศษ ก็คือทุนปริญญาตรีต่อเนื่อง ซึ่งทางวัดจะให้ปีละ ๓๐,๐๐๐ บาท จนกว่าจะจบ ๔ ปี หรือ ๕ ปีตามหลักสูตรที่เขาเข้าเรียน หลายคนไม่ฟังเสียงหรอก มาถึงก็จะเอาทุนนี้ บอกเขาว่าต้องเป็นโรงเรียนที่ทางวัดไปให้เขาจัดการสอบให้ ในเมื่อคัดนักเรียนสอบแล้ว เด็กที่สอบได้ถึงจะให้ทุนนั้น

บางรายที่เป็นเพื่อนลูกหลานมาบอกว่า “ถึงสอบก็จะสอบ” แล้วจะสอบได้อย่างไร ลูกแกไม่ได้อยู่โรงเรียนนั้น คือเขาจะเอาให้ได้ เป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริง ๆ พอเห็นลูกคนอื่นได้บางทีก็โวยวาย “ทีบ้านโน้นทำไมได้ แล้วเด็กบ้านนี้อยู่ใกล้วัดแท้ ๆ ทำไมไม่ได้” ขืนไปฟังมากก็ประสาทกิน

ต้องถือคติโบราณ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ หนังก็แค่หุ้มตัวเรา ส่วนเสื่อนี่หุ้มตัวเราทั้งหนังได้อีกทีหนึ่ง ก็แปลว่า คนรักเท่าผืนหนัง คือคนรักมีน้อยกว่า คนชังเท่าผืนเสื่อ คนไม่ชอบหน้ามีมากกว่า เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากมาย ตามหลักการปกครองเขาว่า "เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนพอใจได้ แต่เราต้องทำให้คนส่วนใหญ่พอใจได้"

เถรี
19-11-2014, 12:42
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้มีโยมปวารณาไว้ว่า ถ้าสร้างห้องน้ำเมื่อไรจะช่วยทำ โยมเขาอยากทำ ส่วนอีกคณะหนึ่งว่าถ้าปิดทองเมื่อไรจะช่วยทำ เขาอยากทำบุญอย่างนั้น อาตมาก็ เอ๊ะ..ทำไมไม่มีใครอยากสร้างเมรุบ้าง ? เพราะอาตมากำลังจะทำเมรุอยู่

วันนี้คุณวิภาคมาสอบถามรายละเอียดเพื่อออกแบบเมรุ กะว่าน่าจะจบถึง ๑๐ ล้านบาท ทำเสร็จจะได้เอาไว้เผาตัวเอง..! ทองผาภูมิต้องบอกว่าน่าอนาถ เจ้าใหญ่นายโตไปมาเป็นปกติ ถึงเวลาคนตาย คนโน้นก็เป็นญาติรัฐมนตรี คนนี้ก็มีญาติเป็น ส.ส. มีแต่เมรุเล็ก ๆ ไม่ได้สมเกียรติยศท่านประธานเลย ล่าสุดนี่ทั้งอดีต ส.ส.ทั้งอดีตรัฐมนตรีไปที่วัดท่าขนุน ก็เลยตัดสินใจสร้าง ประกาศบอกโยมไปแล้วว่า ช่วง ๒ ปีที่สร้างเมรุนี่ห้ามตายเด็ดขาด ตายแล้วไม่มีที่เผา"

เถรี
19-11-2014, 12:52
พระอาจารย์กล่าวแนะนำโยมว่า "คุณไปซ้อมขับรถหลักสูตรสำหรับต่อสู้หรือว่าคุ้มกัน จะได้สมบูรณ์แบบหน่อย เพราะว่าส่วนมากทหารตำรวจที่เก่ง ๆ มักจะเป็นระดับประทวน ก็คือนายสิบ เขาจำเป็นต้องขวนขวายให้ตัวเองมีความสามารถสูง ๆ เพื่อที่จะได้ก้าวหน้าในการรับราชการ แต่พวกคุณเป็นนายร้อย อนาคตต่อให้ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏก็เป็นนายพลแน่ ๆ อยู่แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องไปดิ้นรนไปทำไม

ถ้าวัดกันตัวต่อตัวเรื่องความสามารถ พวกคุณจะสู้พวกประทวนไม่ได้ ความรู้คุณสูงกว่า แต่ความสามารถส่วนตัว การเอาตัวรอด ฯลฯ จะน้อยกว่า เราจะสังเกตเห็นว่า บรรดามือปืน ที่จับได้แต่ละคนก็พวกจ่าหรือนายสิบทั้งนั้น สมัยอาตมาฝึกเสร็จใหม่ ๆ ผบ.โรงเรียน พลตรีสมคิด จงพยุหะ ให้โอวาทว่า “พวกท่านได้ผ่านหลักสูตรที่ถือว่าเป็นหลักสูตรโหดที่สุดอย่างหนึ่งของกองทัพไทยแล้ว ถ้าหากว่าพวกท่านเป็นรั้วของชาติที่ดี ก็จะเป็นรั้วที่เข้มแข็ง ข้าศึกทำลายได้ยาก แต่ถ้าเอาความสามารถนี้ไปใช้ในการก่อการร้าย หรือว่าอาศัยในการเลี้ยงชีพในทางมิชอบ ก็จะเป็นมหาโจรที่ปราบได้ยาก แต่ผมรับรองว่าอนาคตตายโหงทุกคน ในเมื่อคุณเก่งเขาก็ไม่กล้าจับเป็น”

ระดับล่างกว่าเขาห่วงความก้าวหน้า ต้องขวนขวายมาก ระดับบนรู้สึกว่าได้มาง่าย ทำไมต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วย ก็ลักษณะเดียวกับผู้ปฏิบัติธรรม คนที่อยู่ที่ทุรกันดาร เข้าถึงครูอาจารย์ได้ยาก เดินทางไปหาครูบาอาจารย์ลำบาก เจอหน้าแต่ละทีนี่เขากอบโกยสุดชีวิต ขณะเดียวกัน..พวกเราเหมือนกับหนูตกถังข้าวสาร จะกินเมื่อไรก็ได้ เอ้อระเหยลอยชาย โดนแมวตะครุบไปวันไหนก็ไม่ต้องกินหรอก"

เถรี
19-11-2014, 19:44
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปปักษ์ใต้ครั้งนี้ คุณหญิง (ณญาดา) จัด รปภ.หนาแน่นมาก ให้อาตมานอนกลางตู้ พระ ๕ รูปประกบรอบ ตามด้วยโยมผู้ชาย หัวท้ายที่เอาแต่ละคนน้ำหนักเกิน ๙๐ กิโลกรัมไปกันไว้หมดเลย แต่ละคนนึกดู อย่างทิดเก้ หมอเสือ คนหนึ่งไปยืนอุดประตูก็ไม่มีใครเข้าออกได้แล้ว เล่นยัดเอาไว้หัว ๔ คน ท้าย ๔ คน คงกะว่าจะมีการลอบสังหารประธานาธิบดีอะไรอย่างนั้น

เพียงแต่ขำทิดเก้เขาบอก “พวกผมเป็นจตุรังคบาทครับ” คือทหารที่มีหน้าที่รักษาเท้าช้างศึก จะต้องเป็นยอดฝีมือชนิดที่ใครก็ล้มไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะสามารถทำอันตรายช้างศึก เพื่อเล่นงานเจ้านายข้างบนได้ ก็เลยบอกว่า "ดูหุ่นของเอ็งแต่ละคน ไม่ใช่จตุรังคบาทหรอก น่าจะเป็น "ก้านกล้วย" มากกว่า..!"

ไปถึงที่โน่น ทั้งทหาร ทั้งชุดคุ้มครองรักษาหมู่บ้าน ทั้งทหารพราน ทั้งตำรวจเพียบเลย ตอนแรกก็ว่าจะไม่รบกวนเขา แต่พอหน่วยงานเขาทราบข่าว เขาจัดคนมาเองเลย เขาถือว่าอยู่ในพื้นที่ของเขา ถ้าเป็นอะไรไปเขาเฮงแน่ ท่านนายอำเภอคนใหม่ยังมีอารมณ์จะชวนไปเที่ยว เรียนท่านไปว่าคนหมู่มาก การรักษาความปลอดภัยลำบาก คนดูแลเขาจะเครียดกันเปล่า ๆ เอาไว้โอกาสหน้าถ้าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วค่อยมาเที่ยวกัน

ขนาดนั้นขาออกรถยังติด ท่านปลัดจังหวัดที่เป็นอดีตนายอำเภอ รถติดอยู่ชั่วโมงครึ่งกว่าจะหลุดเข้ามาในวัดได้ ขาออกจะทำอย่างไร รถติดออกไม่ได้ ท้ายสุดก็เลยตัดสินใจเลี้ยวไปทิศตรงกันข้าม ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง เขาฆ่ากันมาหลายศพแล้ว เพราะต้องตัดผ่านพื้นที่ป่าเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร โดนซุ่มยิงมาหลายศพ ไม่เป็นไร..อาตมานำหน้าเอง รับประกันซ่อมฟรีว่าไม่มีใครคิดว่าพระอาจารย์จะอยู่รถคันแรก เขาต้องคิดว่าอยู่รถคันหลัง ๆ แน่ อาตมาหลุดไปไหนแล้วไม่รู้ ถ้าจะโดนซุ่มยิงก็คันหลังนั่นแหละ..!

ตอนแรกก็คิดว่าขากลับจะขึ้นรถไฟที่สุไหงปาดี ปรากฏว่าญาติโยมให้ทุเรียนกวนมาประมาณเข่งใหญ่ ห่อมาราว ๆ แท่งละครึ่งกิโลกรัม แล้วก็ลองกองประมาณ ๒๐ ลัง บอกว่ารถจอดสถานีสุไหงปาดีแค่ ๓ นาทีจะขนขึ้นได้อย่างไร ? คนขึ้น ๘๐ คนก็หมดเวลาแล้ว ท้ายสุดก็เลยแนะนำให้ไปขึ้นต้นทางที่สุไหงโกลก แห่กันไปขึ้นที่สุไหงโกลก บรรดาชุดรักษาความปลอดภัยก็ต้องแห่ตามไปสุไหงโกลกด้วย เราเปลี่ยนที่ขึ้น เพิ่มระยะทางมา ๒๖ กิโลเมตรต้องเสียเงินเพิ่ม ปรากฏว่านายสถานีเขาถามว่า “คณะกฐินใช่ไหมครับ ? ถ้าคณะกฐินไม่เป็นไรครับ อนุญาตให้ขึ้นได้เลย ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม”

เถรี
19-11-2014, 19:46
"เราเหมาตู้นอนรถไฟเขาไป ๒ ตู้ เขาต้องต่อตู้พิเศษเพิ่มขึ้นมา แต่ว่าเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มีคนตายอีกแล้ว ครั้งก่อนโน้นลงไป โดนรถไฟทับตายตั้งแต่ต้นทางที่หัวลำโพง ครั้งนี้โดนทับตายที่ปลายทางสุไหงโกลก กำลังรอว่างวดต่อไปถ้ามีคนตายอีกก็จะไม่ลงไปอีกแล้ว ไปทีไรมีคนตายทุกที เขากระโดดขึ้นตอนที่รถไฟเคลื่อนตัวแล้ว ซึ่งปกติแล้วเขาไม่เคยพลาด แต่งวดนี้พลาด หัวหายไปเลย..! เจ้าหน้าที่ก็พยายามห้าม “อย่าถ่ายรูปครับ ๆ” ไม่ทันหรอก สารพัดคลิปเพียบ ทุกคนมีมือถือ ทุกคนพร้อมที่จะถ่ายคลิป

ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่แปลกมาก เพราะว่าอุบัติเหตุทางรถไฟเกิดขึ้นติด ๆ กัน วันรุ่งขึ้นวันที่ ๒๗ พวกเรามาถึงนี่ไม่นาน ทางด้านโน้นก็เกิดเหตุแถว ๆ เพชรบุรี ที่รถไฟชนรถเก๋ง Camry ถังแก๊สระเบิดย่างสดไป ๒ คน มาเมื่อวานก็รถไฟชนสิบล้อ ครั้งนี้พนักงานขับรถไฟตาย ชนรถเก๋งไม่เป็นไร เพราะรถเก๋งเตี้ย ไปชน ๑๘ ล้อคันใหญ่ อัดเข้าไปเต็ม ๆ ตัวเองตายเหมือนกัน"

เถรี
19-11-2014, 19:48
"ขาไปประมูลวัตถุมงคลตั้งแต่รถยังไม่ออกจากสถานี ว่ากันจนหมดเนื้อหมดตัวไปตาม ๆ กัน ต้องปิดประมูล ได้ไป ๒ แสนกว่าบาท รอจนกระทั่งถึงหาดใหญ่ พวกเราลงไปกดเงินจนตู้เอทีเอ็มล่มไปตู้หนึ่ง ตู้ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเหลือเงินไม่พอจ่าย แล้วก็ไปดวลกันต่อ ก็มีทั้งคหบดี มีทั้งข้าราชบริพาร มีทั้งแบบประเภทเสนอราคาพร้อมกับ “ขอน้องไปใช้เถอะ” อีกคนก็ “หลานก็จะเอา” อีกคนก็ “หนูเกิดวันเสาร์ พระนาคปรกเป็นพระประจำวัน ขอหนูเถอะ” ไม่มีการปรานีกัน บี้กันจะตายอยู่บนรถไฟ

ที่ขำที่สุดก็คือเหมือนกับแกล้งกัน ปกติก็ขึ้นกันที ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท เขาเสนอ ๕,๐๐๐ อีกคนเสนอ ๕,๐๒๐ บาท อีกคนก็เลื่อนไป ๕,๐๕๐ บาท ต้องบอกว่ากวนกันสนุกมาก"

เถรี
19-11-2014, 19:50
"ถ้าวันก่อนไปกฐินแล้วเต้ยไปด้วย คาดว่าที่เป็นผีหัวขาดคารางนั่นน่าจะเป็นเต้ยนะ อุตส่าห์ห้ามไม่ให้ไปแล้วรอดมาได้ รู้อย่างนี้ปล่อยให้ไปดีกว่า"

เถรี
19-11-2014, 19:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจองวัตถุมงคลไว้ให้รีบมารับ เจ้าหน้าที่จ่ายเดือนนี้เป็นเดือนสุดท้าย หลังจากนั้นจะตัดยอดคืนวัด ไม่ต้องมาคร่ำครวญ จนป่านนี้อาตมายังถือพระกริ่งพิชัยสงครามอยู่ ๖ องค์ จำชื่อคนจองได้ชัดเจนมากเลย แต่ไม่มารับสักที

เมื่อ ๒-๓ ปีก่อนพยายามติดต่ออีกหลายรอบ มีคนแจ้งว่าเขาสละสิทธิ์แล้ว ตอนจองราคาพันเดียว ตอนนี้องค์หนึ่งถึง ๒๐,๐๐๐ บาท สบายเลย มีตั้ง ๖ องค์ เดี๋ยวเอามาลงเว็บกันดีไหม ? แล้วก็ยังเหลือตะกรุดมหาสะท้อนอีก ๔ ดอก เอามาทำมีดหมอดีไหม ? อาตมาเก็บเสียจนตะกรุดเริ่มดำปี๋แล้ว

มีดหมอเพชราวุธรุ่นนี้ ตัวมีดบรรจุตะกรุดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ตะกรุดแก้วสารพัดนึก ตะกรุดมหาอำนาจ ส่วนด้ามมีดบรรจุตะกรุดมหาสะท้อน แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว ไม่ต้องอะไรมากมาย แต่ทำยากมาก เพราะว่าแค่เจาะรูฝังตะกรุดที่สันมีดก็ยากแล้ว ถ้าช่างทำผิดองศานิดเดียวใบมีดก็ทะลุเสียของไปเลย ตะกรุด ๓ ดอกแรกจะเป็นดอกเล็ก ๆ เหมือนตะกรุดกำลังพระแม่ธรณี ให้ช่างเขาฝังลงไป แล้วก็เหลางาช้างเป็นไม้จิ้มฟันตีอัดลงไปอีก ประเภทห้ามหลุดเด็ดขาด หลังจากนั้นค่อยขัดเรียบ

ส่วนตะกรุดมหาสะท้อนก็ลักษณะเดียวกัน แต่บรรจุที่ด้าม อันนี้จะเหลาไม้มะเกลืออัดไส้ไว้ ถึงเวลาตอกอัดแน่น ทำทิ้งทวน คาดว่าไม่อยากจะยุ่งอะไรกับมีดหมออีกแล้ว ขอทำครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ถ้าหลวงพ่อสมคิดผูกพัทธสีมา สวดถอนโบสถ์พอดีก็เอาเข้าพิธีไป ถ้าไม่มีก็ไม่ต้อง เพราะท่านบอกว่าพอแล้ว แค่นั้นก็มากเกินไปแล้ว

ว่าแต่ว่ามีดให้เขาบรรจุกล่องแทนจะดีไหม ? ให้เขาเซาะร่องกำมะหยี่ ก็ลองถามเขาว่ากล่องลักษณะอย่างไรจะเข้าท่า กล่องไม้ไปเลย ลงทุนคืนกำไรให้เขาหน่อย เหลือเงินน้อยหน่อยจะได้ไม่ต้องทำอะไรมาก แบบเดียวกับเหรียญพุทธบารมี ใคร ๆ ก็อยากได้กล่องไม้ เลิกอยากได้เหรียญไปเลยเพราะกล่องสวยมาก"

เถรี
19-11-2014, 19:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมากำลังรอช่างยื่นราคามณฑปตั้งพระพุทธรูปทองคำ จะเป็นมณฑป ๓ ยอด ตรงกลางเป็นพระพุทธรูปทองคำ ด้านข้างซ้ายขวาเป็นพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ ๗ พระราชทานให้วัดท่าขนุน ด้านหน้าเป็นมณฑปเล็ก เป็นที่ตั้งพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว แล้วยังตั้งพระสำคัญ ๆ เล็ก ๆ ได้อีก ๒ - ๓ องค์

เพิ่งจะคุยรายละเอียดกันไป แล้วก็รอช่างประเมินราคามา คาดว่าไม่น่าจะเกิน ๑๓ ล้านบาท ได้ยินแล้วตกใจ แต่ทำเสร็จให้คนเห็นจะร้อง “โอ้โฮ..สวยจัง” หมดเท่าไรก็ช่าง สตางค์ไม่ใช่ของอาตมา ถึงเวลาก็ขอหลวงพ่อเอา

เมื่อวานหลวงพี่องอาจบอกว่า “วัดก็อยู่ไกล ญาติโยมก็ไม่ค่อยมา พระผู้ใหญ่ก็สงสัยว่าไปปล้นใครมาวะ ? สร้างวัดได้ขนาดนี้ ไม่รู้หรือ ? พอถึงเวลาเราก็ไปจุดธูปบอก หลวงพ่อครับ..เขามาเก็บค่าไอ้โน่นแล้ว ไอ้นี่แล้ว ถ้าไม่มีให้เขาก็ขายหน้าลูกหลวงพ่อนะครับ” เล่นจับหลวงพ่อเป็นตัวประกันเลย ตูว่าตูแสบแล้ว หลวงพี่องอาจท่านแสบกว่าอีก อาตมายังไม่เคยจับหลวงพ่อเป็นตัวประกัน แค่บอกว่า “ถ้าจะต้องขอใครแม้แต่บาทเดียว ผมจะไม่ทำอะไรเลย” แต่โบสถ์ของหลวงพี่องอาจน่าจะบรรจุพระได้สัก ๓๐๐ รูป สร้างเสียใหญ่ปานนั้น ถึงเวลาหาพระบวชไม่ได้ พวกจะได้โห่เอา

เมื่อวานเอาฎีกานิมนต์ไปส่ง มหาโรจน์เพิ่งมาแจ้งว่า ฎีกายังไม่ได้เซ็นชื่อสักฉบับเดียว เนื่องจากว่าพออาตมาพิมพ์ฎีกาเสร็จ ก็ส่งให้น้องเล็กพิมพ์ซอง แล้วก็ต้องดูตามรายชื่อ ปรากฏแม่เจ้าประคุณพิมพ์ซองเสร็จ ก็พับฎีกาใส่ไปเลย อาตมาก็เลยพลอยลืม ไม่ได้เซ็นสักใบ ส่งไปหลายรายแล้ว ไม่เป็นไรหรอก พี่ ๆ น้อง ๆ กันท่านรู้ แก่แล้วก็ต้องลืมบ้างแหละ นึกถึงเมื่อวานยังนั่งหัวเราะกัน ตกลงว่าหลวงพี่องอาจอายุน้อยที่สุด อายุน้อยแล้วมานั่งบ่น “ทำไมกูหน้าแก่จังวะ ?”

จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมเป็นพระประธานในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย กำหนดงานไว้วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ก็เลยต้องส่งฎีกาล็อกตัวไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเผลอไปรับงานของคนอื่นเขา แล้วไม่ได้ไปงานของอาตมา"

เถรี
19-11-2014, 20:01
"ตอนนี้ท่านอาจารย์สุชาติกำลังปั้นองค์พระหน้าตัก ๔ ศอกให้ แล้วท่านจะย่อแบบลงมาเหลือ ๙.๙ นิ้ว ถ้าญาติโยมอยากจะร่วมสร้างก็เตรียมไว้บูชาพระ ๙.๙ นิ้ว ส่วนของอาตมาไว้รอสร้างองค์เล็กขนาดห้อยคออีกที"

เถรี
19-11-2014, 20:06
พระอาจารย์ท่องโคลงให้ฟัง "ในโคลงโลกนิติเขาว่า
จามรีขนข้องอยู่..........หยุดปลด
ชีพบ่รักรักยศ............ยิ่งไซร้
สัตว์โลกซึ่งสมมติ........มีชาติ
ดูเยี่ยงสัตว์นั้นได้.......ยศซ้องสรรเสริญ

ถ้าขนจามรีไปติดอะไร เขาจะค่อย ๆ หยุดแกะ ต่อให้ศัตรูตามล่ามาถึงก็ไม่หนี จามรีรักขนของตัวเองยิ่งกว่าชีวิต เหมือนกับคนที่รักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต คนที่รักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต กลัววงศ์ตระกูลจะเสียหาย ก็ไม่กล้าทำอะไรผิดพลาด ได้รับคำสรรเสริญจากคนอื่นเขา แบบเดียวกับในพาลีสอนน้อง ที่ว่า

เลือดพี่มีค่า................กว่าตน
เสียเลือด...................เสียชนม์ ดีกว่า
โลหิตติดปลาย.............โลมา
อับอาย ขายหน้า............ฟ้าดิน

พาลีไม่เคยรบแพ้ ไม่เคยเสียเลือดให้ใคร โดนศรพระรามเลือดออกแค่แมลงวันกินอิ่มเท่านั้น ยอมฆ่าตัวตายเพราะถือว่าเสียศักดิ์ศรี นักเลงโบราณเขาลักษณะอย่างนั้น คนสมัยก่อนถึงจะดุแต่ไม่ค่อยฆ่าแกงกันหรอก เอากันแค่พอได้อาย เอาแค่หัวแตกให้รู้ หัวแตกก็เท่ากับของคุ้มกายไม่ได้ ครูบาอาจารย์ก็เสียหายไปด้วย

ดังนั้น..ครูบาอาจารย์สมัยก่อนเวลาจะประสิทธิ์ประสาทวัตถุมงคลให้กับลูกศิษย์นี่ ต้องมั่นใจเต็มที่แล้วถึงให้ อย่างสายหลวงปู่ม่วง วัดบ้านทวน ถักแหวนพิรอดด้วยสายสิญจน์จูงศพ โยนลงเตาไฟเลย ถ้าไฟไม่ไหม้แล้วค่อยเอามาใช้ เป็นไปได้อย่างไร ? ด้ายหรือผ้าจะไม่ไหม้ไฟ แต่ก็เป็นไปแล้ว"

เถรี
19-11-2014, 20:24
พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "สำหรับทิดโอต้องมั่นใจนะ คำว่ามั่นใจก็คือพระไม่ได้อยู่ไกลหรอก แค่หัวเรานี่เอง ถ้าคิดว่าพระอยู่ไกล บางทีสมาธิน้อยก็ส่งไม่ถึง เพราะขาดความมั่นใจ ฉะนั้น..พอถึงเวลานึกถึงภาพพระทีไร พระก็อยู่แค่บนหัวเรานี่เอง แล้วพระอยู่เฉพาะพระนิพพาน เพราะฉะนั้น..พระนิพพานก็อยู่แค่บนหัวเรา

ถ้าสรุปเป็นก็ง่าย ถ้าสรุปไม่เป็นก็ยาก สำคัญตรงที่ต้องมั่นใจ การกำหนดภาพพระไม่ใช่ตาเห็น เป็นการเห็นในห้วงนึก ซึ่งสมัยนี้ฮิตกันมากที่ว่า “มโน” ถ้าถามว่าเห็นในห้วงนึกเห็นอย่างไร ก็เหมือนเรานึกถึงบ้าน นึกถึงคนที่เรารู้จัก เราสามารถนึกได้ชัดเจน แต่ไม่ใช่การเห็นด้วยสายตา ดังนั้น..การเห็นอย่าไปเน้นเอารายละเอียด ให้มั่นใจว่ามีภาพพระอยู่ก่อน หลังจากนั้นก็จับลมหายใจภาวนา พร้อมกับนึกถึงภาพพระ

สำคัญตรงที่ว่าต้องมั่นใจ ถ้าไม่มั่นใจทำอย่างไรก็ไปไม่รอด ต่อให้เขาบอกว่าเห็นเราอยู่ที่นั่น แต่ถ้าขาดความมั่นใจก็เท่านั้น มัวแต่ไปอาศัยคนอื่นให้เขาบอกแล้วค่อยมั่นใจ แล้วชาตินี้จะไปเองได้อย่างไร ?"

เถรี
20-11-2014, 16:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่า..การตัดสินใจไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด เพราะเป็นไปตามประสบการณ์และกำลังใจของเขาในตอนนั้น ตัดสินใจไปแล้วจะดีจะชั่วไม่ต้องมาดีใจเสียใจ นอกจากตั้งสติแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไป

ส่วนใหญ่แล้วมักไปหลงประเด็น อุตส่าห์ไปเก็บมะม่วงมาได้ ๕ ลูก เน่าไป ๒ ลูก ก็มานั่งเสียใจ จะเสียใจทำไมในเมื่อยังดีอยู่ตั้ง ๓ ลูก ทำอย่างกับเสียเงินซื้อ คนเรามักจะหลงประเด็นอยู่เรื่อย หลงประเด็นก็เพราะว่าขาดสติ ในหนังสือเพชรพระอุมา หลวงพ่อพระธุดงค์ท่านสอนแงซายว่า “เจ้าจงตื่นขณะที่โลกหลับ” แงซายก็ถ่างตาทั้งคืน ตกลงว่าโง่หรือฉลาดกันแน่วะ ? ความจริงแงซายแกล้งกวนรพินทร์เล่น รพินทร์สงสัยว่าทำไมแงซายไม่ค่อยหลับไม่ค่อยนอน ความจริงคนที่ภาวนาอยู่ไม่ค่อยจะหลับ ขนาดแอบเดินไปใกล้ ๆ แล้วเตะ แงซายยังกันได้ทัน"

เถรี
20-11-2014, 16:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนที่อาตมาโดนตะขาบกัดนั้น โดนกัดตั้งแต่ต้นทางบิณฑบาต ก็ยังเดินไปเรื่อย ๒ กิโลเมตรกว่าร่วม ๓ กิโลเมตร แล้วก็วนกลับรวม ๆ แล้วราว ๕ กิโลเมตร คนเขาสงสัยว่าเจ็บปวดขนาดนั้นแล้วทนได้อย่างไร ? ก็ต้องบอกว่า “ถ้าหากว่าเรายังต้องทนอยู่ก็จะเจ็บ ถ้าเราไม่ต้องทนก็ไม่เจ็บ” ฟังดูงง ๆ ไหม ?

อาการเจ็บปวดเป็นเวทนา เป็นเรื่องของกาย อย่าให้เข้ามาถึงใจของเรา ของอย่างนี้ต้องเกิดจากการรู้เห็นจริง ๆ ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วแยกแยะได้ แต่ถ้าความรู้เห็นยังไม่ถึงตรงนี้ ต้องใช้กำลังสมาธิช่วยอย่างมาก ต้องเข้าสมาธิในระดับที่กำลังใจทรงตัว จนจิตกับกายแยกเป็นคนละส่วนกัน ถ้าอย่างนั้นเวทนาจะกวนไม่ได้

แต่เนื่องจากว่าการเข้าสมาธิระดับสูงขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่คล่องตัวจริง ๆ ก็จะเดินไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญามาช่วย ต้องเห็นว่าสภาพของเวทนา สภาพของกาย สภาพของจิตเป็นคนละส่วนกัน จิตส่วนจิต กายส่วนกาย เวทนาส่วนเวทนา ถ้าสามารถแยกแยะได้ชัดเจนอย่างนี้ โดนอีกกี่ทีก็เท่านั้นแหละ"

เถรี
20-11-2014, 17:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักการปฏิบัติต้องโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย เราอาจจะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจในโลก แต่ไม่ใช่ เพราะถ้าตัวเรายังเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น แสดงว่าเรายังขาดเมตตา ต้องระมัดระวังไม่ให้ กาย วาจา ใจ หรือสิ่งที่เรากระทำ เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเขา

ของบางอย่างมีขอบเขตกั้นอยู่ เรื่องระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายก็ดี ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ก็ดี เราก็ยังต้องถือ ต้องเคารพตามสมมติทางโลก ไม่อย่างนั้นแล้วยุ่งตายชัก จะไป "ช่างมัน" อย่างเดียวไม่ได้หรอก อาตมาเคยบอกว่าวางได้ แต่โปรดระมัดระวังอย่าไปวางใส่หัวคนอื่น ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติส่วนหนึ่ง พอถึงระยะที่เห็นชัดว่าเรื่องทางโลกไม่มีประโยชน์ ไร้สาระ ก็จะเน้นหนักเอาเรื่องทางธรรมอย่างเดียว แล้วลืมไปว่าตัวเองยังอยู่กับโลก นอกจากจะเป็นโทษกับคนอื่นแล้ว ท้ายที่สุดโดนคนอื่นเขากีดกันเพราะเขาไม่เห็นด้วย ก็กลายเป็นโทษกับตัวเองไป

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า โยมไปปฏิบัติกรรมบถ ๑๐ ขณะทำงาน เจ้านายถามก็ไม่พูดด้วย กลัวผิดกรรมบถ ๑๐ เพื่อนถามก็ไม่พูดด้วย กลัวผิดกรรมบถ ๑๐ แล้วเกิดอะไรขึ้น ก็อยู่ไม่ได้นะสิ อยู่ในโลกไปปิดวาจาแล้วจะไปสื่อสารกับใคร ?"

ถาม : ถ้าทำถูกแล้ว ?
ตอบ : ทำถูกแล้ว แต่ถูกแค่นั้น ถึงได้บอกว่า การปฏิบัติมักจะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว แต่ให้ถามตัวเองด้วยว่าดีแค่ไหน ? ถูกแค่ไหน ? ถ้าดีแค่นั้นถูกแค่นั้น แล้วที่ดีกว่านั้น ถูกกว่านั้นยังมีอยู่ไหม ?

เถรี
20-11-2014, 18:27
ถาม : ที่เขาบอกว่าสมัยก่อน พ่อแม่หรือผู้เฒ่าผู้แก่วาจาสิทธิ์ ถ้าท่านว่ากล่าวอะไร ก็จะเป็นจริงตามนั้น ?
ตอบ : สมัยก่อนคนเราอยู่ในศีลกินในธรรมจริง ๆ เขาอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ตลอด ก็เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เพราะคนสมัยก่อนสภาพจิตสงบกว่าเรามาก การปรุงแต่งที่จะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง มีน้อย ในเมื่อตั้งใจบำเพ็ญกุศล สร้างความดีมากขึ้น ๆ ก็เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเอง ฉะนั้น..ที่เขาพูดมานั้นถูกแล้ว

แต่สมัยนี้คนเราไม่ค่อยมีอะไรที่จะยึดถือ โดยเฉพาะสัจจะหรือคุณความดีข้อใดข้อหนึ่ง ก็เลยทำให้ไม่ขลัง ไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนแต่ก่อน ถึงได้บอกว่า อย่าทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ด่าว่า ถ้าคนเป็นพ่อเป็นแม่ด่าว่า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปตามนั้น คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องระมัดระวัง อย่าไปแช่งไปด่าลูกตัวเอง ก็แปลว่าบังคับให้ตัวเองต้องมีสติ

เถรี
20-11-2014, 18:33
ถาม : ผมฟังปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเรียนวิชากับหลวงปู่เนียม แล้วทำไมเขาบอกว่า หลวงปู่เนียมมรณภาพก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : ใครบอกว่าปฏิปทาท่านผู้เฒ่าเป็นประวัติหลวงพ่อฤๅษี ? อย่ามั่วสิ..คือสมัยที่หลวงพ่อท่านเล่าเรื่องนี้ คนที่จ้องจับผิดท่านมีเยอะ ถ้าท่านเล่าเป็นประวัติตัวเอง เขาจะว่าท่านอวดอุตริมนุสสธรรม ท่านก็เลยเล่าประวัติหลวงปู่ปาน ประวัติหลวงปู่เล็ก ประวัติของท่านและเพื่อนอีก ๓ คน รวมเป็นเรื่องเดียวกัน คราวนี้หายโง่หรือยัง ? ว่าเป็นเพราะอะไรถึงไปเรียนกับหลวงพ่อเนียมทัน ที่ไปเรียนกับหลวงพ่อเนียมคือหลวงปู่ปาน แม้กระทั่งสมัยนี้ก็เถอะ อาตมาก็จะโดนข้อหาพวกนี้เข้าสักวัน

ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องเล่าประวัติหลวงปู่ปาน หลวงพ่อเล็ก หรือว่าตัวท่านกับเพื่อน ๆ รวมกัน เพื่อถึงเวลาคนเขาไปว่าท่านอวดอุตริมนุสสธรรม ท่านจะได้บอกว่าไม่ใช่ประวัติของท่าน แต่ว่าลูกศิษย์จำนวนมากต่อมากด้วยกันไปเข้าใจว่า ท่านผู้เฒ่าคือหลวงพ่อวัดท่าซุงเท่านั้น

เถรี
20-11-2014, 18:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเห็นเด็กคิดอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือเกิดมาทำไมวะ ? ทุกข์ฉิบหา..เลย อย่างที่สองก็ เฮ้อ..ต้องทนอีกนานเลย"

เถรี
20-11-2014, 18:40
พระอาจารย์บอกกลุ่มโยมที่กำลังคุยอย่างออกรสว่า “พอเผลอสติก็จะคุยเสียงดังกัน แปลว่าขาดสติอยู่เรื่อย แสดงว่าการปฏิบัติที่ทำมา ยังไม่สามารถที่จะใช้งานจริงได้สักคน..!”

เถรี
20-11-2014, 18:51
ถาม : ตอนนั้นนั่ง ๆ อยู่ก็เห็นว่าร่างกายเราเหมือนถุงอุจจาระ เหมือนกับว่าเราเห็นเป็นปกติ ?
ตอบ : ตอนนั้นเป็นการเห็นด้วยปัญญา เขาเรียกว่า วิปัสสนาญาณ วิ แปลว่า วิเศษ แจ้ง ต่าง , ปัสสนา แปลว่าการเห็น รวมแล้วแปลว่า เห็นอย่างวิเศษ เห็นอย่างแจ่มแจ้ง เห็นต่างไปจากปกติ

ฉะนั้น..ต้องพยายามรักษาอารมณ์อย่างนั้นเอาไว้ จะได้ไม่โดนกิเลสหลอก ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ก็โดนหลอกไปเรื่อย

เถรี
21-11-2014, 16:34
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงป๋าวิวัฒน์นอนโรงพยาบาลยาวเลย มะเร็งกระดูกเวลาออกอาการ แปลว่ากระดูกโดนกินผุหมดแล้ว"

เถรี
21-11-2014, 17:51
ถาม : การขายเครื่องปรับอากาศหรือบริษัทผลิตเครื่องปรับอากาศมาขายไปใช้ในวัด หรือว่าไปใช้ในผับในบาร์คนกินเหล้ากัน ?
ตอบ : ถ้าเขาทำแล้วมาให้วัดใช้ฟรี ๆ เป็นบุญ แต่ถ้าเขาทำแล้วเอามาขายนี่ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เพราะว่าทางวัดได้ตอบแทนด้วยการจ่ายเงินไปแล้ว

ถาม : แล้วการขายให้พวกที่เอาไปทำไม่ดี จะเป็นบาปไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่คนเอาไปใช้ อาวุธใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวก็ได้ เอาไปฆ่าเขาก็ได้ ขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ ฉะนั้น..คนขายไม่มีบุญไม่มีบาปอะไรกับเขาหรอก ยกเว้นว่ายุว่า เอาไปแล้วไปยิงกบาลเขา นั่นถึงจะมีโทษ เรามีหน้าที่ขายก็ขายไป ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับบุญบาปของใคร

ถาม : แล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับมิจฉาวณิชชา ?
ตอบ : ในส่วนที่พระองค์ท่านตรัสท่านไม่ได้บอกว่าเป็นบาป แต่บอกว่าพุทธมามกะไม่ควรทำ เพราะว่าชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย อย่างเช่น ขายอาวุธ ขายยาพิษ เหมือนคุณสนับสนุนให้เขาไปฆ่าคนอื่นนี่ แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวกันเลย อยู่ที่คนเอาไปใช้ แต่คนที่เข้าใจผิดจะไปว่าเขาอย่างนั้น

เถรี
21-11-2014, 17:55
ถาม : การเอาเหล้าไปให้เจ้านาย จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : การให้เหล้าคนอื่นเป็นการให้ทานที่ไม่มีอานิสงส์ ยกเว้นว่าเราตั้งใจว่าเอาไปแล้วคุณต้องกินนะ มีการกำชับกำชาด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็จะมีส่วนผิดไปด้วย แต่ถ้าหากว่าให้ไปเฉย ๆ เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระภิกษุเกี่ยวกับประวัติของพระเวสสันดร เล่าว่าพระเวสสันดรให้ทานทุกอย่าง แม้กระทั่งให้สุราแก่นักเลงสุรา พระอานนท์กราบทูลถามว่า สุราเป็นสิ่งที่ผิดศีล แล้วให้ไปจะมีบุญมีบาปอย่างไร ? พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เพราะว่าให้ไปคนกินก็ไปทำผิดเสียเปล่า ๆ แต่ว่าที่พระองค์ท่านเจตนาให้ เพราะว่าต้องการให้ทุกอย่างที่คนเขาชอบใจ นักเลงเหล้าให้อย่างอื่นก็ไม่ชอบใจ นอกจากให้เหล้า พระองค์ท่านก็เลยให้ไปด้วย

ฉะนั้น..ถ้าหากว่าได้มาเราให้ต่อได้ แต่อย่าไปกำชับว่า "ให้แล้วต้องกินนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเสียใจมาก" ถ้าแบบนี้ก็ผิดเต็ม ๆ

ถาม : แล้วคนขายสุราบาปไหมครับ ?
ตอบ : คนขายไม่บาป อย่าไปตั้งใจว่าเราขายเพื่อให้เขากินให้เมา คิดเสียว่าเราทำงานของเรา แต่อย่างที่ว่านั่นแหละว่า ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ ถึงได้บอกว่าเป็นอาชีพที่พุทธมามกะไม่ควรทำ

ถาม : โดยเจตนา ถ้าเราให้ไวน์เพื่อรักษาสุขภาพ ?
ตอบ : ถ้าเพื่อสุขภาพจริง ๆ แล้วได้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะกินเกินขนาด เขาให้กิน ๑ แก้ว เราก็ไปล่อเสีย ๓ ขวด ๕ ขวด..!

เถรี
21-11-2014, 17:58
ถาม : คนเป็นครู สอนเด็ก ๆ มีจิตวิญญาณของความเป็นครู อย่างนี้เขาจะได้บุญไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นส่วนของธรรมทานเลย ได้บุญของธรรมทานไปด้วย แต่ว่าเป็นธรรมทานบริสุทธิ์แค่ไหนเท่านั้น ถ้าเป็นธรรมทานบริสุทธิ์คือหลักการปฏิบัติธรรมแท้ ๆ นี่อานิสงส์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ส่วนที่เหลือก็ลดหลั่นลงไปแต่ว่าได้ธรรมทานแน่นอน

ถาม : แล้วการขายยารักษาโรคละครับ ?
ตอบ : ถ้าเราขายยายังไม่ได้อะไร เพราะว่าเขาต้องมาซื้อจากเรา แต่ถ้าเราเป็นหมอยาอย่างสมัยก่อน เขาจ่ายยาให้ รักษาด้วยเมตตา ได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ อย่างสมัยอาตมาเด็ก ๆ คนไข้บางคนอาการหนัก แล้วยาสมุนไพรไม่ใช่ปุบปับออกฤทธิ์เหมือนสมัยใหม่ บางทีต้องกินต่อเนื่องกันไป ๑๐ วันหรือครึ่งเดือนถึงจะออกฤทธิ์เต็มที่ คราวนี้คนมาเงินทองก็ไม่มี เจ็บได้ป่วยมา หมอเขาก็รับให้กินให้อยู่ รักษาพยาบาลจนหาย บางทีเงินไม่มีจริง ๆ ก็ให้ค่ารถกลับบ้านด้วย ถ้าลักษณะอย่างนั้นได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ เพราะคุณเป็นหมอตั้งใจรักษาโรค

แต่สมัยนี้ความตั้งใจตรงนั้นไม่มี เขาขายเพื่อที่จะเอากำไร ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เรื่องผลบุญที่จะได้จากการรักษาคนอื่นด้วยยาก็เลยไม่มี

เถรี
21-11-2014, 17:59
ถาม : พระนิพพานเที่ยงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเถียงกันเรื่องที่ต่างคนต่างไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็พูดกันไม่รู้จบ เอาเป็นว่าทำถึงเมื่อไรก็รู้เองดีกว่า

เถรี
21-11-2014, 18:01
ถาม : ใจเที่ยงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตใช้คำว่าเที่ยง ไม่มีเที่ยงแน่นอน เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงเสวยอารมณ์ไปเรื่อย ๆ

ถาม : ใจเราฆ่าแล้วไม่ตายใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตายแต่ร่างกาย ใจอยู่ในลักษณะเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามกรรม

เถรี
21-11-2014, 18:02
ถาม : กำลังใจตกครับ ?
ตอบ : ไปตั้งใจทำใหม่เลย ของเคยทำแล้วก็ทำได้อีก เพียงแต่ว่าทำได้แล้วอย่าเปิดโอกาสให้กิเลสลุยเข้ามาอีก

เถรี
21-11-2014, 18:02
ถาม : มีตะกรุดมหาสะท้อน (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลตรงนั้น คิดดี พูดดี ทำดีเข้าไว้ สิ่งที่ดีย่อมย้อนกลับมาหาเราเอง

เถรี
21-11-2014, 18:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของธรรมทานระยะหลังนี่ต้องระวัง เพราะว่าคำสอนผิด ๆ มีเยอะ วันก่อนในเว็บพลังจิตอาตมาเพิ่งจะปิดกระทู้ไปกระทู้หนึ่ง ประเภทพระโสดาบันยังเสื่อมได้ ในเมื่อพระโสดาบันของแกเสื่อมได้ ข้าก็เลยจัดการให้เสื่อมไปเลย..!

อริยะ แปลว่า ผู้เจริญโดยส่วนเดียว ในเมื่อเจริญขึ้นก็ย่อมไม่มีวันตกต่ำ เขาดันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ส่วนอีกรายหนึ่งกำลังคิดอยู่ว่าจะเฉ่งดีหรือไม่ดี เพราะเขาแกล้งบ้า คราวนี้เขาชักจะเล่นแรงขึ้น เขาบอกว่าไปคาราโอเกะ แล้วอยากจะชวนเจ้าชายสิทธัตถะมาเต้นด้วย กำลังพิจารณาความประพฤติอยู่ มีมาอีกสัก ๒-๓ กระทู้เดี๋ยวได้โดนแน่..!"

เถรี
21-11-2014, 18:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงมีฎีกานิมนต์ถึงหลวงพ่อครูบาสนิท ถึงตุ๊พ่อสิงห์ แต่ว่ามีโยมคนหนึ่งบอกว่าเขาไปทั่วประเทศอยู่แล้ว เขาอาสาไปส่งให้ ไม่อย่างนั้นว่าจะฝากคุณติ๊กไป ปีหน้าวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ จะหล่อพระประธานในศาลา ตั้งใจว่าจะนิมนต์ท่านไป

มีส่วนหนึ่งที่นั่งปรกคุมธาตุทั้ง ๘ ทิศ อีกส่วนหนึ่งก็เจริญชัยมงคลคาถาตอนหล่อพระ ทีนี้ต้องส่งฎีกาแต่เนิ่น ๆ เพราะเดี๋ยวท่านรับงานคนอื่นแล้วจะไปไม่ได้

มีสายทางแม่กลองอยู่ท่านหนึ่งที่ยังไม่เคยนิมนต์ไปวัด แต่รู้จักกันมานานแล้ว ก็คือ หลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่ (พระครูพิศาลจริยาภิรม) น่ารักมาก นั่งเคี้ยวหมากทั้งวัน สมัยก่อนพระที่เคี้ยวหมาก ท่านเคี้ยวไปภาวนาไป ลักษณะว่าอิริยาบถและสัมปชัญญะ จับการเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตจะได้ไม่เคลื่อนไปที่อื่น ก็ใช้วิธีเคี้ยวหมากไปภาวนาไป ถึงเวลาหมากจืดคายออกมานี่ เอาไปแขวนคอได้เลย ขลังแล้ว"

เถรี
21-11-2014, 18:22
ถาม : (โยมแจ้งว่าหลวงพี่โอป่วย)
ตอบ : ตอนไปเยอรมันท่านก็ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลไปครั้งหนึ่ง จะว่าไปท่านก็อายุมากแล้ว เพราะท่านอายุมากกว่าท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสอีก อาตมากับเจ้าคุณเจ้าอาวาสนี่ต่างกันรอบหนึ่งพอดี เพราะฉะนั้น..อายุตัวเองบวกไป ๑๒ ก็จะได้อายุท่าน

อาตมา ๕๕ ปี ของท่านก็ต้อง ๖๗ ปีแล้ว หลวงพี่โอท่านแก่กว่าอีก หลวงพี่โอนี่รุ่นไล่เลี่ยกับหลวงตาวัชรชัย น่าจะประมาณ ๗๐ แล้ว ทางด้านพี่วิรัชก็ ๖๔-๖๕ ปี หลวงตาชลอก็ไล่ ๆ กัน

ถาม : เป็นกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ?
ตอบ : แสดงว่าน่าจะเป็นเส้นเลือดบางส่วนตีบ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยของพระจริง ๆ แล้ว ทำให้เรารู้ว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไร เหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างหนึ่ง การเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างหนึ่ง กำลังใจที่ทำไว้จะมารวมตัวกัน ทำให้เรารู้ว่าเรามีต้นทุนเท่าไร ? เพียงพอหรือเปล่า ? ตายตอนนี้เราจะไปพระนิพพานได้จริงไหม ? จะบอกชัดเลย

ถาม : เคยไม่สบายแล้วรู้สึกว่าอยากตาย ?
ตอบ : ถ้าอยากตายยังไปพระนิพพานไม่ได้หรอก บางคนปฏิบัติธรรมมาถึงระดับที่รู้สึกว่าอยากตาย อาตมาขอยืนยันว่า ดีไม่ดีลงข้างล่างไปเลย เพราะตัวอยากตายนี่จิตหมอง ต้องทำไปปัญญาเห็นแจ้ง ไม่มีความปรารถนาในร่างกาย แต่ก็ไม่ได้คิดจะตาย จะอยู่ในลักษณะอยู่ก็ได้ตายก็ดี ถ้าอยู่เรายังได้สร้างบุญสร้างบารมี ถ้าตายเราก็ไปนิพพาน กำลังใจจะอยู่ในระหว่างอยู่ก็ได้ตายก็ดี ไม่จำเป็นต้องไปอยากตาย

พุทธภูมิก็เป็นนะ แล้วต้องเป็นมากกว่าด้วย ไม่ใช่ว่าพุทธภูมิไม่แตะอารมณ์พระอริยเจ้าเลย พุทธภูมินี่เน้นอารมณ์พระอริยเจ้ามากกว่าปกติสาวกหลายเท่า เพราะถ้ารู้ไม่ละเอียดก็สอนคนอื่นไม่ได้ พุทธภูมิเขามีกำลังใจเทียบเท่าพระโสดาบัน เทียบเท่าพระอนาคามี เทียบเท่าพระอรหันต์ได้

เถรี
21-11-2014, 18:28
(โยมกำลังอ่านหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์) "อย่าอ่านมาก อ่านแล้วจะติด ท่านอาจารย์ดร.มนตราบอกว่า รับหนังสือจากอาตมาไป ก่อนนอนคิดว่าเปิด ๆ ดูสักหน้าสองหน้า ปรากฏว่าอ่านจนหมดเล่มเลย อย่างหนังสือที่ไปพม่า ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ถ้าหากว่ามุมมองของเราเห็นเป็นเรื่องสนุก ก็ไม่รู้สึกว่าลำบาก แต่ถ้าคนอื่นไปอาจจะร้องจ๊าก ว่าลำบากขนาดนี้ยังหัวเราะได้อีก ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา คนที่ไปด้วยกันต้องกำลังใจใกล้เคียงกัน ไม่อย่างนั้นแล้วไปไม่รอดหรอก ลำบากหน่อยก็ขอกลับแล้ว มีบางช่วงที่ออกธุดงค์ก็บาดเจ็บสาหัสเลย

เมื่อล่าสุดก็ ๕-๖ วันที่ผ่านมา พอเริ่มเดินบิณฑบาต อาตมาก็โดนตะขาบกัดตั้งแต่ต้นทางเลย เพราะว่าเดินออกจากวัด จะต้องผ่านป่าอยู่ช่วงหนึ่งแล้วถึงขึ้นถนน ตะขาบกำลังออกหากินหรือจะกลับบ้านก็ไม่รู้ ? ไปเหยียบเข้าเลยโดนตั้งแต่ต้นทาง กว่าจะเดินกลับถึงวัดก็ ๕ กิโลเมตรเห็นจะได้ ก็เดินไปเรื่อยหน้าตาเฉย

มาถึงวัดแล้วพระลูกศิษย์เขาเห็นขาบวมขนาดนั้นอาจารย์ยังไปได้อีก จึงบอกไปว่า “ก็อย่าไปคิดซีวะว่าเจ็บ” สภาพร่างกายของเรา กับใจ กับความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นคนละส่วนกัน ถ้าหากว่าภาวนาไปจนใจสงบมาก ๆ จะแยกออกเอง จะเห็นชัดเลยว่านี่ร่างกายส่วนร่างกาย ตัวผู้รู้ก็รู้ นิ่ง ชัดเจนอยู่ เวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เจ็บปวด เมื่อยขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นส่วนของเวทนาทางร่างกาย ถ้าแยกออกได้ชัด ๆ ต่อไปเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย ก็จะไม่รู้สึกห่วงใย เพราะรู้ว่าเป็นคนละส่วนกัน"

เถรี
21-11-2014, 18:37
ถาม : ศาลพระภูมิตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ?
ตอบ : เอาให้แน่ ๆ นะ ต้องอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวบ้าน

ถาม : ใช่ครับ จะถอนครับ ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะถอนต้องตั้งศาลใหม่ก่อนให้ถูกทิศ แล้วก็อัญเชิญท่านไปที่ศาลใหม่ก่อน แล้วค่อยถอนของเก่า ไม่ใช่ไปรื้อบ้านท่านก่อนแล้วสร้างทีหลัง ช่วงนั้นท่านจะไปอยู่ที่ไหน ? จริง ๆ แล้วท่านไม่ได้อยู่ที่ศาลหรอก แต่ว่าควรทำให้ถูกต้อง ตั้งใหม่ก่อนแล้วค่อยรื้อของเก่า

ถาม : ถอนศาลนี่ใช้มีดหมอแล้วก็คาถาถอนโบสถ์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : อันนั้นเขาไม่เรียกว่าถอนศาล เขาเรียกว่าไล่เจ้าที่เลย โอ้พระเจ้า..! ปกติเขาทำน้ำมนต์ธรณีสาร หรือไม่ก็ทำน้ำมนต์ถอนโบสถ์ แต่เราถ้าคิดว่าเชิญท่านขึ้นศาลใหม่ด้วยความเคารพ แล้วขออนุญาตรื้อก็รื้อไปเลย เพราะจะให้ไปทำครบพิธีบางทีก็สวดไม่เป็น แหม..เล่นใช้มีดหมอแล้วล่อคาถาถอนโบสถ์ อันนั้นไล่กันชัด ๆ ระวังท่านจะไล่เราบ้างนะ..!

เถรี
21-11-2014, 18:40
ถาม : ศาลพระภูมิมีท่านท้าวมหาราชได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีท้าวมหาราชนี่ยิ่งกว่าศาลพระภูมิอีกนะ แต่เพียงแต่ว่าเป็นหมู่บ้านที่มีศาลรวมหรือเปล่า ?

ถาม : ที่บ้านเองค่ะ ?
ตอบ : ถึงเวลาจุดธูปไหว้พระก็นึกถึงท่านด้วย บอกกับท่านว่าถึงเวลาเราไหว้พระก็เท่ากับเราแสดงความเคารพท่านด้วย ขอให้ท่านมาโมทนาบุญ ก็เท่ากับเราระลึกถึงท่านอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับมีศาลของตัวเอง

เถรี
21-11-2014, 19:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานอุปสมบทหมู่ถวายหลวงปู่สายที่ผ่านมา ได้พระทั้งหมด ๑๑๒ รูป ปรากฏว่านาคทุกคนได้รับคำชมจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ว่ามีความคล่องตัว เข้าใจขั้นตอนการบวชและท่องขานนาคได้พร้อมเพรียงกันดีมาก เรื่องนี้ถือว่าเป็นความดีของทิดกวาง

เมื่อตอนทิดกวางยังบวชอยู่ อาตมาเองก็สอนในสิ่งที่พระควรจะทำ ควรจะเป็น เมื่อท่านสึกไป ท่านก็ว่า ปกติแล้วเรื่องอย่างนี้ที่อื่นไม่เคยได้ยินเขาสอนกัน ผู้ที่บวชเข้ามาอาจจะทำผิดทำพลาดได้ ก็เลยขออนุญาตทำหน้าที่แทนอาตมา ถึงเวลามีการบวชหมู่ของทางวัด ไม่ว่าจะช่วงมาฆบูชา วิสาขบูชา เข้าพรรษาหรือว่าลอยกระทง ก็จะอาสาไปเป็นพี่เลี้ยงฝึกซ้อมให้ โดยเฉพาะการบวชหมู่ครั้งนี้ เขานัดฝึกซ้อมกันเป็นเดือน ให้ไปท่องกันเองให้คล่อง แล้วมาจับคู่ฝึกให้พร้อมเพรียงกัน

ฉะนั้น..พระอุปัชฌาย์อาจารย์จึงชมว่า ทุกคนมีความคล่องตัวและมีความเข้าใจพิธีกรรมมาก ทำให้ไม่ช้า สามารถบวชเสร็จแล้วก็สวดมนต์ฉลองพระใหม่ พร้อมกับฉันเพลได้ทัน

อาตมานึกว่าบวชชุดหนึ่ง ถ้าคู่สวดคล่อง ๆ ก็ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ๑ ชั่วโมงได้ ๓ ชุด บวชอย่างน้อย ๑๒ ชุด ก็ใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง ถ้าบวช ๖ โมงเช้าก็ไปเสร็จเอา ๑๐ โมงเป็นอย่างต่ำ ดังนั้น..จึงเป็นเรื่องที่ว่า ถ้านาคไม่คล่องตัวก็จะลากระยะเวลายาวขึ้นไปอีก เท่าที่ผ่านมาวัดท่าขนุนยังไม่มีเรื่องให้ขายหน้าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เพราะอาตมาบังคับว่า ถ้าท่องขานนาคไม่ได้ก็ไม่ให้บวช"

เถรี
21-11-2014, 19:44
"ช่วงก่อนบวชหมู่ มีโยมคนหนึ่งพาลูกชายมาขอบวช กำหนดว่าจะบวชวันนั้นวันนี้ อาตมาบอกว่าโยมกำหนดได้ แต่ถ้าลูกชายขานนาคไม่ได้อาตมาก็ไม่ให้บวช ตกลงว่าเขาเลยย้ายไปบวชวัดอื่น เพราะว่าต้องการความแน่นอน

ความจริงแล้วการขานนาค คือการที่ผู้บวชเข้าไปร้องขอต่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์และคณะสงฆ์ ให้ยกตนเองขึ้นเป็นอุปสัมบันในพระพุทธศาสนา ต้องกล่าววาจาด้วยตนเอง ร้องขอด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอนให้ทีละประโยค ทีละคำ ไปนึกถึงหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ท่านไม่รู้หนังสือ อยากจะบวชก็ต้องไปอยู่วัดซ้อมขานนาค ให้พระพี่เลี้ยงบอกทีละประโยคแล้วก็ท่องตาม ใช้เวลาอยู่ ๗ เดือนเศษ กว่าจะจำได้หมด

เมื่อพระบวชไปแล้ว อาตมาก็แนะนำแล้วว่า อานิสงส์ในการบวชนั้นมหาศาลมาก ให้อธิษฐานขอสิ่งดี ๆ ในชีวิตของตนเอง ปรากฏว่าพ่อเจ้าประคุณสึกแล้ว จำนวนหนึ่งตามอาตมาลงไปทอดกฐินปลดหนี้ที่ปักษ์ใต้ ไปเห็นเขาตักมัจฉาพาโชคกัน เลยไปอธิษฐานขอรางวัลใหญ่ที่นั้น ได้จักรยาน ได้เตียงนอน ได้พัดลมกันมาหมด จนเขาต้องปิดร้านไปเลย เพราะรางวัลใหญ่ไม่มีแล้ว สรุปว่าบวชมาแทบตายต้องการแค่นั้นแหละ..!"

เถรี
21-11-2014, 19:46
"ตอนแรกอาตมาอยู่ในที่พักก็สงสัยว่าเสียงอะไรเฮ ๆ บอกพระที่ติดตามว่า ไปดูทีว่ามีอะไรกัน สักพักหนึ่งก็กลับมาแจ้งให้ทราบว่า บรรดาทิดไปตักมัจฉาพาโชค อธิษฐานขออะไรก็ได้อย่างนั้น พอตักได้อย่างที่ขอก็เฮกันใหญ่ คนมีเงินเป็นล้านไปซื้อจักรยานคันเดียว ไม่ได้ก็ให้รู้ไป แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พอไปซื้อจักรยานแล้ว เงินที่เหลือก็ไม่พอซื้ออย่างอื่น

ที่บวชไป พอถึงเวลาอาตมาอบรมต่อเนื่องอยู่ ๗ วัน มีหลายท่านบอกว่า ไปบวชที่อื่นไม่มีใครเขาบอกอย่างนี้เลย ทำผิดก็ผิดเป็นโทษเฉพาะตัวไป บวช ๓ วันแรกก็ให้ฉันที่หอฉัน เพราะว่าพระเป็นร้อย ๆ ไปบิณฑบาตญาติโยมจะลำบาก ก็ปรากฏว่าโยมเขาขอร้องมาว่าอยากใส่บาตรพระเยอะ ๆ อาจารย์นำพระออกบิณฑบาตสักหน่อย ก็เลยว่าถ้าอย่างนั้นขอรบกวนวันเดียว ขอไปบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งวันที่ ๔ คือบวชวันที่ ๑๖-๑๗-๑๘ วันที่ ๑๙ ก็ไปบิณฑบาต พอโยมเห็นพระเดินเป็นแถวเป็นร้อย ๆ ก็เกิดศรัทธา

บางคนเห็นตรงนั้นก็วิ่งไปหาซื้อของมาใส่ตอนนั้นเลย บางคนก็เข็นของมาทั้งรถเข็น บอกว่าใส่ไม่ไหว ขอถวายอาจารย์คนเดียวแล้วกัน ช่วยเอามือแตะรับหน่อย เดี๋ยวที่เหลือจะช่วยยกขึ้นรถของทางวัดให้ มีไม่กี่รายที่สามารถใส่ได้ตั้งแต่รูปที่ ๑ ถึงรูปที่ ๑๕๐ กว่าได้ เพราะว่าพระที่วัดแต่เดิมก็เกือบ ๔๐ รูป บวชเข้าไปอีก ๑๑๒ ดังนั้น..ใส่ไม่ถึงท้ายสักราย เพราะว่าถ้าใส่คนละชิ้นก็ ๑๕๐ ชิ้นเห็นจะได้ บะหมี่สำเร็จรูปลังหนึ่งเพิ่งจะมีแค่ ๓๐ ซองเอง บวชพระเยอะ ๆ พอถึงเวลาสึกไม่ค่อยจะดี เพราะสึกทีเยอะ ๆ พระเก่าเห็นก็เลยสึกตามไปด้วย..!"

เถรี
21-11-2014, 19:50
"ช่วงออกพรรษาญาติโยมก็ไปปฏิบัติธรรมกัน วันรุ่งขึ้นตักบาตรเทโวฯ กับทอดกฐินสามัคคี ช่วงเช้าก็เป็นการตักบาตรเทโวฯ ตอนบ่ายก็ทอดกฐินสามัคคี อาตมาสั่งให้แม่ชีแจกของแห้งให้หมดคลัง เพราะว่าวันตักบาตรเทโวฯ จะมาอีกมหาศาลเลย ปรากฏว่าส่วนใหญ่ที่ให้ของไปก็เป็นหน่วยป่าไม้และ ตชด.

โดยเฉพาะบรรดาหน่วยป่าไม้ต่าง ๆ ในทุ่งใหญ่นเรศวร และศูนย์สงเคราะห์เด็กชาวเขาของแม่ชีแจ๊ก ก่อนหน้านี้เลี้ยงเด็กไว้ ๘๐ กว่าคน ตอนนี้เด็กที่อยู่ประจำมีประมาณ ๓๐ คน เพราะว่าที่เหลือเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ แม่ชีคนเดียวสู้ได้ กำลังใจถึงมาก เพียงแต่ว่าเด็กช่วงวัยรุ่นกินมาก รายจ่ายเรื่องอาหารจะสูงเป็นพิเศษ อาตมาบอกว่าให้ไปขนที่วัดท่าขนุนได้เลย ของหมดเมื่อไรให้ไปเอาได้ทันที แล้วก็มอบให้ท่านอาจารย์อังกุระเอาข้ามไปทางวัดตองไว ไปมอบให้บรรดาวัดวาอารามทางฝั่งพม่าที่เขาลำบากยากจน โดยเฉพาะบรรดาผ้าไตรต่าง ๆ ที่มีมากเป็นพิเศษ ก็ส่งไปให้ ปรากฏว่าเพิ่งจะโละผ้าไตรได้หมดคลัง ช่วงกฐินน่าจะเข้ามาเกิน ๓๐๐ ไตรอีกแล้ว กลายเป็นว่ายิ่งให้ก็ยิ่งเพิ่ม

พอตักบาตรเทโวฯ เสร็จ พวกแม่ชีแจ๊กและพวกป่าไม้ก็มาขนไปอีกรอบหนึ่ง รู้สึกว่ายุบไปหน่อยเดียว พอมาอีกไม่กี่วันก็บวชพระร้อยกว่ารูป แล้วไปบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งอีก ตอนนี้ก็ล้นคลังเหมือนเดิม ต้องไล่แจกไปเรื่อย ๆ มีญาติโยมหลายคนพอเห็นแล้วก็มาขอ บอกว่าจะเอาไปแจกที่โน่น มอบให้ที่นี่ อาตมาบอกว่าไม่ให้ เขาก็ถามว่าแล้วทำไมคนโน้นคนนี้ให้ได้ บอกไปว่า “ที่ให้ไปเพราะอาตมามั่นใจว่า เขาเอาไปช่วยเหลือคนอื่นจริง ๆ แต่ของคุณเป็นใครอาตมาก็ไม่รู้จัก อยู่ ๆ มาขอ ถ้าเอาไปขายอยู่ในตลาดนัดอาตมาก็ไม่อาจจะทราบได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่รู้จักมักคุ้นกันจริง ๆ แล้วจะไม่ให้” บอกไปอย่างนั้น เหมือนกับเลือกที่รักมักที่ชังแต่ไม่ใช่ เป็นการป้องกันการทุจริต

คนที่เขามีเจตนาดีจริง ๆ อาจจะมีแต่น้อย ไม่อยากจะพลาดแบบวัดอื่น ๆ ที่พอไปขอเสร็จแล้วไปขายถูก ๆ ในตลาดนัด เปิดร้านขายในตลาดนัดเลย เสียค่าร้าน ๒๐ บาท ขายได้ตั้งหลายพัน เพราะของขอมาเฉย ๆ"

เถรี
21-11-2014, 19:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐิน ๓ วัด วัดท่าขนุน ๑,๓๕๐,๐๐๐ บาท วัดพุทธบริษัทกับเกาะพระฤๅษีได้ที่ละ ๑๗๐,๐๐๐ บาท ความจริงของเขาได้ไม่ถึง แต่อาตมาตัดจากของท่าขนุนให้ไปเพื่อให้ลงท้ายเป็นเลขกลม ๆ ที่ท่าขนุนได้มาก เพราะว่าเจ้าภาพ ๓ - ๔ รายระบุว่าถวายเฉพาะวัดท่าขนุนแห่งเดียว"

เถรี
22-11-2014, 12:36
ถาม : โดนฟ้าผ่าข้าง ๆ ประมาณสักห้าเมตร ฟ้าแลบลงมาระดับสายตา แต่ไม่เป็นอะไรเลย ในตัวมีแค่ตะกรุดมหาสะท้อนดอกเดียว ?
ตอบ : ถ้าไม่มีวัตถุมงคลคุ้มครอง ในรัศมี ๕ เมตรนี่ตายขาดไปแล้ว..!

ถาม : รู้สึกขนหัวลุกมากครับ ?
ตอบ : ขนหัวลุกเป็นไปได้ว่าเกิดจากกำลังของกระแสไฟฟ้า แต่ว่าขณะเดียวกันเราต้องนึกเวลาฟ้าฟาดลงมา อย่างผ่าลงกลางฝูงควาย โดนเข้า ๑ ตัว อีก ๗-๘ ตัวรอบนั้นตายหมด รัศมีเกิน ๕ เมตร ของเราห่างไม่ถึง ๕ เมตรแล้วไม่เป็นอะไรเลย ถือว่าโชคดีมาก ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คุ้มครองก็แย่ไปแล้ว

เถรี
22-11-2014, 12:55
(มีโยมพาลูกอ่อนมาทำบุญ) "เห็นอนิจจังไหม ? ตอนนี้ยังเดินไม่ได้ ยังพลิกไม่ได้ ต่อมาก็มาพลิกตัวได้ ขยับไปข้างหน้าได้ หัดคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง มีอนิจจังอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราได้เห็นหรือเปล่า ? จากเด็กเล็กก็กลายเป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ อนิจจังอยู่เรื่อย

ฉะนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องเห็นทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ใช่เห็นเฉพาะเวลา ถ้าเห็นเฉพาะเวลานั่งกรรมฐานนี่เสร็จหมด กลายเป็นเหยื่อของวัฏสงสารหมด ต้องเห็นอยู่ตลอดเวลา แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด จิตถอนออกมาจากการยึดมั่นถือมั่น ถ้าอย่างนั้นโอกาสหลุดพ้นก็จะมี"

เถรี
22-11-2014, 13:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "สอนเด็ก ๆ ด้วยว่าลูกอมเมนทอสอย่าไปกินร่วมกับโค้กเป็นอันขาด จะทำให้โค้กฟู่ขยายกว่าเดิมหลายเท่า รับประกันได้ว่าตับไตไส้พุงพังแน่ ๆ"

เถรี
22-11-2014, 13:48
ถาม : เวลาเรียนเด็กไม่ค่อยสนใจ ?
ตอบ : บางอย่างต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมเขาเหมือนกัน เพราะไม่ว่าเราจะเคี่ยวเข็ญอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ แต่เท่าที่ผ่าน ๆ มา มีอยู่ว่า อันดับแรก..ถ้าอาจารย์สอนดีเด็กจะให้ความสนใจ อย่างที่ ๒ คือพยายามปรับของยากให้เป็นง่ายให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้บางทีวิชาไหนเขามอบให้เป็นสิทธิ์ขาดของอาจารย์ เราก็สามารถทำได้ แต่ถ้าวิชาไหนที่ไม่ใช่สิทธิ์ขาดของอาจารย์ ข้อสอบออกมาจากส่วนกลาง แบบนี้เราก็แย่

เถรี
22-11-2014, 16:27
มีโยมเอาจั่นมะพร้าวมาถวายบูชาพระ "ทางพม่าเขาก็นิยมไหว้พระด้วยจั่นมะพร้าวอย่างนี้แหละ เพราะว่าเป็นของสูง อาตมารู้อย่างเดียวว่าเอาไว้ทำน้ำตาล ตอนสมัยเด็ก ๆ ก็จับจั่นมะพร้าวมัดรวมกันแล้วปาด เอากระบอกรองไว้ มะพร้าวสมัยก่อนตามธรรมชาติหาต้นเตี้ย ๆ ยาก มาระยะหลังเขานิยมมะพร้าวน้ำหอม ก็คัดพันธุ์จนกระทั่งได้พันธุ์เตี้ย ๆ แล้วจะมีการขุดหลุมลงไปลึก ๆ อีก อย่างเช่นว่า ถ้ามะพร้าวน้ำหอมสูงสัก ๓ เมตร เขาก็ขุดหลุมลงไป ๒ เมตร มะพร้าวโตขึ้นมาก็อยู่ปากหลุมพอดี ทำให้เก็บได้ง่าย

ที่บ้านอาตมามีมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง อายุ ๖๐ กว่าปี ลูกตกถึงพื้นแตกทุกลูกเลยเพราะต้นสูงจัด เหตุที่สูงมากเพราะว่าขึ้นแข่งกับต้นมะม่วง โดนต้นมะม่วงเบียดก็เลยต้องรีบขึ้นเพื่อจะให้ได้แดด แข่งกับต้นมะม่วงไปแข่งมา ต้นมะม่วงสูง ๓๐ กว่าเมตร แต่ต้นมะพร้าวสูงกว่า ลูกตกถึงพื้นแตกทุกลูกเลย ทั้ง ๆ ที่มะพร้าวตกจะไม่แตกเพราะเปลือกที่หุ้มหนามาก แต่ต้นนั้นตกเมื่อไรก็แตกเมื่อนั้น มีอาตมาปีนได้คนเดียว คนอื่นไม่มีปัญญา เพราะเกินกำลังของเขา

จะมีมะพร้าวไฟซึ่งลูกจะออกสีแดง ๆ ก็คือน้ำตาลแดง เขามักเอาไว้ทำยา เขาบอกว่าน้ำมะพร้าวอ่อนกับปัสสาวะเด็กละลายยาเขียวใช้แก้โรคหัด สมัยก่อนเขาใช้น้ำปัสสาวะเด็กเข้ายา อาตมาเองพอรู้ภาษาก็มีคนมาขอฉี่อยู่เรื่อย สรุปว่ายาสมัยก่อนเข้าน้ำมูตร คือน้ำปัสสาวะเป็นเรื่องปกติ

ของพระท่านจะบอกว่า “ปูติมุตตะเภสัชชัง นิสสายะ ปัพพัชชา” ปัจจัยคือเครื่องอาศัยของบรรพชิตอย่างหนึ่ง คือ การฉันยาดองด้วยน้ำมูตร ส่วนใหญ่ก็เป็นมะขามป้อมดองด้วยปัสสาวะ รักษาได้สารพัดโรค ถ้าจะให้ดีที่สุดเขาให้ใช้น้ำปัสสาวะของตัวเอง ฉี่มาแล้วก็ทิ้งไว้หน่อย จะมีส่วนลอยหน้าเป็นฝ้าอยู่นิดหนึ่ง เทฝ้าออกแล้วที่เหลือก็เอาไปใช้งาน ถ้าจะดองมะขามป้อมเยอะ ๆ ก็ต้องฉี่กันหลายวันหน่อย"

เถรี
22-11-2014, 16:29
"ตามที่ฝรั่งเขาทำวิจัยว่า ร่างกายเราเวลาปัสสาวะออกมา จะมีสารอาหารหรือแร่ธาตุบางอย่าง ที่หลุดออกมากับปัสสาวะด้วย ถ้าหากว่ากินกลับเข้าไป ร่างกายก็จะตรวจสอบอีกรอบหนึ่งว่า อะไรที่ขาดแล้วทำให้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะดึงกลับไปเข้าระบบ ก็ทำให้รักษาโรคได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้มาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ในอินเดียทุกวันนี้กินน้ำปัสสาวะรักษาโรคกันเป็นปกติ มีแต่พวกเราที่ยี้กัน กินไม่ได้

มะพร้าวสมัยก่อนเขาปลูกชายทะเล โดยเฉพาะเกาะสมุยมีมากเป็นพิเศษ จนเขามีคำพังเพยว่า "อย่าเอามะพร้าวห้าวไปขายเกาะสมุย" ปรากฏว่าพื้นที่ชายทะเลจริง ๆ มะพร้าวโดนน้ำเค็มมากก็ไม่ค่อยติดลูก ต้องพื้นที่กลาง ๆ เกาะถึงจะดี สมัยก่อนบรรดาเศรษฐีที่ดินตามเกาะ จะเอาที่ด้านใน ๆ ให้ลูกรัก เอาที่ด้านติดทะเลให้ลูกชังที่ค่อนข้างจะขี้เกียจ มาสมัยหลังลูกจอมขี้เกียจรวยอื้อไปตาม ๆ กัน เพราะคนแย่งกันไปซื้อทำรีสอร์ท ที่ตรงกลางเกาะไม่ค่อยมีใครไปซื้อกันหรอก ต้องบอกว่าบุญใครบุญมัน"

เถรี
22-11-2014, 16:34
ถาม : กรรมที่โกงชาติโกงแผ่นดินหนักมากไหมครับ ?
ตอบ : หนักมากไหม ? ก็ขึ้นอยู่กับเขา ถ้าพวกประเภทหน้าด้านใจดำก็ไม่รู้สึกว่าหนักเท่าไร แต่ไม่เป็นไร กรรมประเภทนี้เขามีนรกให้ต่างหากขุมหนึ่งเลย ภูมิใจได้ อุตส่าห์สร้างกรรมแล้วเขาสร้างนรกมาให้ขุมหนึ่งโดยเฉพาะ

เถรี
22-11-2014, 16:40
พระอาจารย์กล่าวถามถึงเด็ก "อายุกี่เดือนแล้วจ๊ะ ? (๕ เดือนค่ะ) แสดงว่าคอแข็งใช้ได้ ปกติเด็กสมัยก่อนจะคอพับคออ่อน สมัยนี้คอแข็ง มีพัฒนาการเร็วขึ้น เมื่อพัฒนาการเร็วขึ้น โตเร็วขึ้น รู้ภาษามากขึ้น แปลว่าอายุสั้นลง เพราะพัฒนาการช้าเท่าไร อายุก็จะยืนเท่านั้น พัฒนาการเร็วอย่างลูกหมา ๒ - ๓ เดือน ก็เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว แล้วหมาอายุเท่าไร ? อย่างเก่งก็ ๒๐ ปี แต่ไม่เคยเจอถึง

หมาตัวที่อาตมาเจออายุยืนที่สุดก็ ๑๔ ปี โดนรถชนตายเสียก่อน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นอยู่มากี่ปี แต่พออาตมารู้ภาษา เจ้าหมาตัวนั้นก็อยู่แล้ว ไปโดนรถชนตายตอนอาตมาอายุ ๑๔ ปี แสดงว่าหมาบางตัวก็แข็งแรงผิดหมาเหมือนกัน

ในเมื่อวงจรชีวิตสั้น พัฒนาการก็เร็ว เหมือนกับยุง ถึงเวลาไข่ลงในน้ำ เกิดเป็นตัวลูกน้ำ กลายเป็นไอ้โม่ง ลอกคราบเป็นยุง หาเลือดกิน ผสมพันธุ์ วางไข่ ใน ๗ วันก็ตาย ชีวิตมนุษย์เราถ้าเปรียบกับจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวธุลีเดียว แวบเดียวก็ตายแล้ว แต่ก็ยังประมาทกันอยู่ ไม่ค่อยจะขวนขวายสร้างความดีกัน

ที่มาลาพาลีเทพบุตรสะท้อนใจว่า ชีวิตมนุษย์สั้นขนาดนี้เลยหรือ ? นางปติปูชิกาก็กราบเรียนว่า “ชีวิตมนุษย์ก็ประมาณนี้เท่านั้น” มาลาพาลีเทพบุตรถามว่า “แล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความประมาทหรือไม่ประมาทเป็นปกติ ?” นางปติปูชิกาบอกว่า “ประมาทเป็นปกติ ไม่ค่อยใส่ใจในการบุญการกุศล กอบโกยแต่ความสุขความสบายใส่ตัว” เล่นเอาท่านเทวดาอึ้งไปเลย"

เถรี
22-11-2014, 17:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเขามีคลิปที่พ่อวัดไข้ลูกแล้วบอกว่าติดโรคอีโบล่า เด็กก็ช็อกล้มตึงไปเลย แล้วเขาก็เอาคลิปที่ถ่ายมาหัวเราะกัน นั่นถ้าเด็กหัวใจวายตายไปเลยก็ซวยสิ เด็กร้องไห้โฮเลย สัญชาตญาณรักชีวิตกลัวความตายนี่ เป็นของทุกคนทุกสัตว์เลยนะ อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเปตปฺปสุภีนรานํ ภยะ คือ ความกลัวภัย คือสรุปง่าย ๆ ว่ากลัวตาย"

ถาม : คำว่า ภยะนี่เกิดจากกิเลสล้วน ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นกิเลสในสังโยชน์ที่สั่งสมมาชาติแล้วชาติเล่า จะบอกว่าจริง ๆ แล้วก็คือความรักตัวเอง ก็เลยระมัดระวังรักษาไม่ให้ตัวเองตาย จึงต้องกลัวความตาย สรุปว่าเป็นกิเลสใหญ่ที่ซ่อนอยู่ หน้าตาจริง ๆ คือสักกายทิฐิ

ถาม : ซ้อนกันเยอะมากนะคะ ?
ตอบ : มากหรือไม่มากก็แค่เลิกเล่นเฟซบุ๊ก ๕ วันจะลงแดงตาย เฟซบุ๊กนั่นเป็นแค่กายปลอมของเราเท่านั้น เป็นกายสมมติที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนร่างกายตัวนี้เป็นสมมติของโลก แต่ว่านั่นเป็นสมมุติซ้อนสมมติที่เราสร้างขึ้นมา ขนาดนั้นเรายังปล่อยไม่ได้วางไม่ลง แล้วตัวเราจริง ๆ จะวางได้อย่างไร ? ถ้าใครคิดว่าวางได้ก็เลิกเล่นเฟซบุ๊กเท่านั้นเอง...จบ

ถาม : คนไม่กดไลค์ คนไม่แอดฯ ก็...?
ตอบ : ยิ่งถ้าใครโดนเลิกเป็นเพื่อนนี่โกรธสุด ๆ ไปเลย

เถรี
22-11-2014, 18:18
ถาม : ให้ลูกฝึกอาโลกกสิณครับ มีแต่แสงรอบตัว คำภาวนายังอยู่ ?
ตอบ : ถ้าลมหายใจยังอยู่ ให้ดูลมหายใจไปด้วย แล้วก็กำหนดรู้ว่าสภาพของแสงสว่างไปด้วย ถ้าหากว่าเป็นไปได้ ลองอธิษฐานให้แสงมารวมตัวกันเฉพาะตรงหน้าของเรา เพราะบางทีถ้ากว้างทั่วไปเราก็จับได้ไม่ทั่ว ภาวนาไปเรื่อย ถ้ายังมีก็อาโลกกสิณังไปเรื่อย ๆ แต่ให้กำหนดว่าแสงทั้งหมดจงมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าของเรา ไปลองดู..ถ้ารวมตัวได้ก็พยายามรักษาเอาไว้ พยายามเห็นให้ได้ทั้งหลับทั้งตื่น ต่อไปถ้าหากว่าจะสอบก็ขอให้ข้อสอบโผล่ขึ้นมาแทนภาพกสิณ

ถาม : ก็คือให้แสงมารวมอยู่ตรงหน้า และให้ลมหายใจหายไป ?
ตอบ : ลมหายใจจะเป็นไปเอง เราบังคับไม่ได้หรอก คำภาวนาก็เป็นไปเอง ถ้าหากยังมีคำภาวนาอยู่ เราก็ภาวนาต่อ แต่ขอให้ความสว่างมารวมอยู่ในหน้าอกของเรา ไม่อย่างนั้นถ้ากว้างทั่วไปหมดมักจะจับไม่ค่อยจะถูก

ถาม : จะพามาให้หลวงพ่อสอนครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาพามาหรอก ถึงพามาก็บอกเหมือนกันอย่างนี้ เอาแค่ว่าถ้ารวมได้ จะหลับจะตื่นให้รู้สึกถึงแสงสว่างนั้นอยู่เสมอก็พอ

ถาม : ตอนตื่นนี่คือ ?
ตอบ : ตอนตื่นอยู่เราก็นึกถึงคำภาวนาพร้อมกับแสงสว่างนั้น ตอนหลับก็นึกถึงจนหลับไป ถ้าสมาธิดี ๆ หลับอยู่ก็ยังนึกถึงได้

เถรี
22-11-2014, 18:20
ถาม : ผมว่าจะไปนั่งกรรมฐานครับ ?
ตอบ : เคยทำอะไรให้ทำอย่างนั้น กรรมฐานอย่าเปลี่ยนบ่อย เปลี่ยนบ่อยแล้วไม่เคยชิน สภาพจิตจะไม่ค่อยยอมรับของใหม่ สำคัญว่าคุณจะนั่งอย่างไรก็ตาม อย่าทิ้งลมหายใจเข้าออกก็แล้วกัน ความรู้สึกทั้งหมดต้องอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าเผลอคิดเรื่องอื่นเมื่อไร ก็ดึงกลับมาอยู่ลมหายใจเข้าออกใหม่ ส่วนคำภาวนาจะใช้อย่างไรก็แล้วแต่เราถนัด รักษาความรู้สึกให้อยู่ตรงนี้ ต่อเนื่องกันให้ได้สัก ๒๐-๓๐ ครั้งของลมหายใจ โดยไม่คิดเรื่องอื่นก็ดีตายชักแล้ว ส่วนใหญ่ยังไม่ทันไรก็ไปแล้ว สำคัญตรงทำจริง ๆ เท่านั้น อย่าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ

เถรี
22-11-2014, 18:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้กะเหรี่ยงตามชายแดนของบ้านเรา ถ้าวันไหนไม่ได้กินกาแฟจะทำงานไม่ได้ อะไรจะรุนแรงขนาดนั้น ? ส่วนใหญ่แรก ๆ เกิดจากนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวหมู่บ้านเขา ถึงเวลาตัวเองกินกาแฟ ก็ไปชวนกะเหรี่ยงกินด้วย พวกนั้นพอกินเข้าไปก็คึกคัก ทำงานขยันขันแข็ง ก็เลยกินต่อ ๆ กันมา พอเขาไม่เอาเข้าไปให้ก็เลยซื้อเอง ปีที่แล้วทางด้านบ้านคลิตี้ เขาทำวิจัยไว้ว่า ค่ากาแฟเป็น ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของรายจ่ายในครัวเรือนทั้งปี กินกันดุเดือดขนาดนั้น

บ้านตะเพินคี่ที่อาตมาไปเป็นประจำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็คือโซเวีย เวลาชงกาแฟใส่ที ๒ ช้อนโต๊ะ..! ไม่ได้ใส่ ๒ ช้อนชา เอากาแฟสำเร็จรูปไปให้ เขาบอกว่าไม่เห็นจะลื่นคอเลย ต้องเล่นประเภททีหนึ่ง ๒ ช้อนโต๊ะ บอกให้รู้ไว้ เผื่อพวกเราไม่สามารถจะทำงานได้ถ้าไม่ได้กินกาแฟ ให้รู้ว่าแย่แล้ว ตอนนี้กะเหรี่ยงทั่วประเทศไทยแค่ไม่มีกาแฟขายก็จบแล้ว ทำงานไม่เป็นหรอก

แถวคลิตี้ขึ้นไปผ่านทางด้านทุ่งใหญ่ ออกไปทางไล่โว่ด้านสังขละบุรี เขาปลูกกาแฟกันมาตั้งแต่ ๓๐-๔๐ ปีที่แล้ว ปัจจุบันนี้กำลังโด่งดังมาก เขาเรียกว่ากาแฟกะเหรี่ยง แต่ว่าพวกเขาคั่วกันไม่เป็น ได้แต่เก็บเม็ดขาย ในเมื่อคั่วกันไม่เป็น ถึงเวลาก็ต้องมาซื้อกาแฟข้างนอกนั่นแหละ กลายเป็นว่าทำเงินได้เท่าไรกลายเป็นค่ากาแฟจนหมด

คนที่กินกาแฟประจำ ๆ พออายุมากขึ้นจะเป็นโรคหัวใจทุกคน เพราะกาแฟไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดปกติ ก็คือเต้นเร็วขึ้น พอกาแฟเริ่มหมดฤทธิ์หัวใจเริ่มเต้นตามปกติ เราก็กินเข้าไปใหม่ หัวใจก็เต้นผิดจังหวะอีก นาน ๆ ไปจะเกิดอาการที่เรียกว่าหัวใจพิการ เต้นไม่เป็นจังหวะ แล้วก็พาให้อาการหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งในหลวงพระองค์ท่านยังทรงตรัสเลยว่า พระองค์ท่านไม่เสวยกาแฟแล้ว เพราะกาแฟนั้นเซาะหัวใจ"

เถรี
22-11-2014, 19:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการสร้างพระด้วยโลหะเงินหรือทองคำ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะว่าวัสดุมีราคาสูงมาก ก็เลยมีการใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อให้ได้อานิสงส์เป็นพุทธบูชา มีทั้งการปิดเงินปิดทอง มีทั้งการกะไหล่เงินกะไหล่ทอง (กะไหล่เงินกะไหล่ทอง ก็คือการชุบในสมัยนี้) แล้วก็มีการบุเงินบุทอง บุเงินบุทองน่าจะเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างมาก เพราะเป็นการตีทองเป็นแผ่นบางแล้วก็หุ้มองค์พระ การหุ้มก็ใช้วิธีตีให้แนบเป็นเนื้อเดียวกับองค์พระไปเลย เหมือนกับหุ้มทอง แต่ว่าเป็นทองที่ไม่ได้หนามาก

ในปัจจุบันเทคโนโลยีในการหล่อก้าวหน้าขึ้นมาก สามารถใช้วิธีหล่อองค์เล็ก ๆ แทน ชอบใจแบบไหน สมัยนี้ถอดแบบด้วยคอมพิวเตอร์ได้ ถึงเวลาก็ใช้เลเซอร์สแกนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ จะปรับให้ใหญ่หรือเล็ก ก็อยู่ที่เราชอบใจ ตามกำลังและวัสดุของเรา

โลหะทองคำเป็นโลหะมหัศจรรย์ เพราะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ดังนั้น..ทองคำจะไม่มีวันผุแบบโลหะชนิดอื่น ๆ ในเมื่อไม่ผุก็แปลว่าอยู่จนชั่วฟ้าดินสลาย อาตมาเคยเจอทองคำโบราณ ลักษณะเก่าเสียจนไม่มียาง กลายเป็นลักษณะเนื้อทองแห้ง ๆ แต่ก็ยังเป็นทองอยู่

แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือว่า เราใช้ทองคำเป็นตัวค้ำจุนมูลค่าของเงินในการแลกเปลี่ยนสินค้า ดาวดวงอื่นที่มีมนุษย์อยู่ เขาก็ใช้โลหะทองคำในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหมือนกัน เขาก็รู้ว่าโลหะชนิดนี้เสื่อมค่าได้ยาก ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ไม่ทำลายตัวเอง จึงทำให้แม้แต่ต่างดาวก็ใช้ทองคำในการแลกเปลี่ยนสินค้า

เรามาดูภาษิตโบราณที่กล่าวว่า ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผา ก็คือ ถ้าเราเป็นคนดีจริงก็ไม่กลัวการทดสอบ เพราะว่าทดสอบไปเมื่อไรก็ยังเป็นคนดีอยู่ เหมือนกับทองคำแท้ เผาเมื่อไรก็ยังเป็นเนื้อทองอยู่ ไม่ใช่ว่าไส้ในเป็นโลหะอื่นหรือเป็นตะกั่ว"

เถรี
23-11-2014, 07:57
ถาม : เด็กที่มีอาการรับรู้ผิดปกติแต่กำเนิด เช่น ตอนเกิดเจอแสงสะท้อนของหิมะจ้ามาก ทำให้ประสาทรับรู้การเห็นภาพผิดไปจากคนอื่น อาจตกใจกลัวปฏิสัมพันธ์ปกติของคนรอบข้าง แปลว่าสมมติของเขาต่างจากสมมติของคนอื่นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ประสาทรับรู้เมื่อสัมผัสแล้วเกิดรู้ขึ้นมาเป็นเรื่องปกติแค่นั้น แต่ถ้าเราไปคิดต่อว่าชอบหรือไม่ชอบ เย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็จะเป็นการปรุงแต่งของจิต แล้วก็เกิดตัณหาขึ้นมา ที่เด็กเป็นอย่างนั้น น่าจะเกิดจากประสบการณ์ข้ามชาติบางอย่าง ทำให้ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้ามากกว่า

ถาม : อย่างนั้นเขามีความจำว่าการรับรู้แบบนั้นเป็นอันตรายหรือคะ ?
ตอบ : เขาจะปรุงทันทีเลยว่าชอบหรือไม่ชอบ อย่างเช่นว่าแสงจ้าเกินไปคือไม่ชอบ อันนี้อันตราย สภาพจิตมีการปรุงแต่งเป็นปกติ ข้ามชาติข้ามภพมา ถ้าสักแต่ว่ารับรู้ก็ไม่มีอันตรายอะไร ส่วนใหญ่คือรับมาก็ปรุงทันที

ถาม : แล้วที่รู้สึกว่าโลกน่ากลัว เป็นอันตราย อย่างนั้นแล้ว ทำไมก็ยังไม่เข็ดสักที ?
ตอบ : ถ้าปัญญาไม่พอ ก็ยังไม่เข็ด ไม่เบื่อ ก็เป็นอันว่ายังคงต้องเกิดต่อไป

เถรี
23-11-2014, 11:23
พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีโยมคนหนึ่ง พอได้ยินว่าวัตถุมงคลทำด้วยโลหะที่มีค่ามากเท่าไร เทวดาที่รักษาก็ยิ่งมีศักดานุภาพมากเท่านั้น เขาจึงไปรีดแผ่นทองคำขาวมาให้อาตมาเขียนตะกรุด ท้ายสุดเหล็กจารไม่ยอมกินโลหะ เพราะว่าโลหะแข็งกว่ามาก ก็เลยต้องเขียนด้วยปากกาเมจิกแทน เหล็กจารไม่กินเนื้อทองคำขาว ถึงเวลาก็ลื่นไปเฉย ๆ เขียนไม่ได้

เสียดายว่าระยะนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะไปบุกป่าฝ่าดงอีก ไม่อย่างนั้นจะไปค้นให้ได้ว่าแร่เพรียงไฟคืออะไร จะได้ผสมทองคำใช้เอง เพราะตอนนี้ส่วนผสมทองคำนั้นขาดอยู่อย่างเดียว มีทองแดงเถื่อน ตะกั่วเถื่อน สารปากนกแก้ว แร่เพรียงไฟ

ทองแดงเถื่อน ตะกั่วเถื่อน สารปากนกแก้ว ใช้อย่างละ ๑ ส่วน แร่เพรียงไฟใช้ หนึ่งในสี่ส่วน คาดว่าแร่เพรียงไฟน่าจะเป็นตัวลดจุดหลอมเหลวของโลหะอื่น เพราะโบราณเขาใช้กระทะใบบัวในการหลอมทองคำ ด้วยปกติถ้าหลอมด้วยกระทะใบบัว ทองแดงเถื่อนจะต้องใช้อุณหภูมิสูงเกินกว่าที่จะกระทะใบบัวจะทนได้

ตะกั่วเถื่อนบ้านเราเรียกว่าดีบุก ทองแดงเถื่อนไม่ต้องกังวล สั่งทองแดงนอกมาแทนก็ได้ ส่วนสารปากนกแก้วลักษณะคล้าย ๆ กับสารส้ม แต่เป็นสีแดงแปร๊ดคล้ายปากนกแก้วจริง ๆ ตอนที่ได้มา เอาไปให้วิทยาศรมเขาตรวจสอบว่าเป็นแร่ธาตุชนิดไหน ปรากฏว่าเป็นโพแทสเซียมไดโครเมต ราคาต่างประเทศปอนด์ละแปดบาทเอง จะซื้อสักเท่าไรก็ได้ เหลือแต่แร่เพรียงไฟที่หาเท่าไรก็ไม่เจอ บุกเข้าไป ๔ ครั้ง เป็นเรื่องแปลกที่ว่าหลงทางทั้ง ๔ ครั้ง

คนที่สอบวิชาแผนที่เข็มทิศของทหารได้ที่ ๑ จะหลงทางได้อย่างไร ? ขนาดเอาภาพถ่ายทางอากาศมาวัดลงในแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ มาร์กจุดเรียบร้อยแล้ว เดินขึ้นไป ๔ ครั้งก็หลงทั้ง ๔ ครั้ง ขึ้นไปทุกครั้งก็มั่นใจว่าถูกเป้าหมาย บางทีก็ขุดกันแหลกลาญ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ทุกที ไปขุดไม่เจอแร่เพรียงไฟ แต่ไปเจอหินหยกแทน คิดว่าถ้าขนเอามาขายจริง ๆ ก็คุ้ม แต่คาดว่ายังไม่ใช่เวลาที่สมควร เพราะถ้าเป็นเวลาที่สมควรต้องหาเจอแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันว่าขุดลึกไม่เกิน ๑ เมตร อาตมาขุดลึกถึงช่วงหัวยังไม่เจอเลย"

เถรี
23-11-2014, 11:27
"ไป ๔ ครั้งหลง ๔ ครั้ง เพื่อนร่วมคณะเกือบโดนเสือสมิงพาไปรับประทานด้วย เขาเห็นเป็นผู้หญิงเรียกก็เลยตามไป เวลาคนเราโดนกรรมบังมักจะเป็นอย่างนั้น อยู่ ๆ ก็ลุกพรวดพราดเดินไป อาตมาเห็นผิดสังเกตก็วิ่งไล่ตาม พอพ้นโค้งเห็นจ้ำอ้าว ๆ อยู่ก็คว้าหมับ ถามว่าจะไปไหน ? เขาบอกว่าเห็นผู้หญิงชาวบ้านมาเรียก แสดงว่ามีทางออก กำลังจะตามเขาไป นี่แปลว่าเราอีก ๓ คนไม่ต้องไปไหนสิ ? เขาไม่เรียกพวกเราเลย จ้ำอ้าวไปคนเดียว

ก็เลยชี้ให้ดูว่ารอยเท้าที่เอ็งตามคือรอยอะไร ? เพราะว่าเดินเลาะไปริมห้วย รอยที่เหยียบน้ำเปียก ๆ บนหินแห้ง ๆ เห็นชัด ๆ เลยว่าเป็นรอยเท้าเสือ เสียดายที่อาตมาไม่ได้เห็นตอนที่แปลงเป็นคน ตอนที่เป็นเสือก็ไม่ได้เห็น เห็นแต่รอยเท้า ดังนั้น..คาดว่าถ้าไม่ใช่อาตมาที่เข้าใจเรื่องผีบัง ก็คงได้ตายไปแล้ว

หลงด้วยกันแท้ ๆ ถึงเวลารู้ว่ามีคนจะพาไปทางออก ดันไปคนเดียว แล้วก็เป็นเรื่องแปลก เพราะบทที่จะทำให้หลงก็หลงจริง ๆ หลงชนิดที่ว่าเราตั้งใจเดินกลับหลังไปคนละทิศกับทางข้างหน้า เดิน ๆ ไปหลายชั่วโมงก็ไปสู่ที่เดิม ขึ้นเหนือไปตรง ๆ ก็ไปโผล่ตรงนั้น ลงใต้ไปตรง ๆ ก็ไปโผล่ตรงนั้น ตะวันออกก็ลงตรงนั้น ตะวันตกก็ลงตรงนั้น เดินเสียจนกระทั่งพอเห็นรอยเท้าคนก็ดีใจมาก ตามไปตามมาปรากฏว่าเป็นรอยเท้าตัวเอง ก็แปลว่า "เขา" ยังไม่ต้องการให้ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"

เถรี
23-11-2014, 12:37
พระอาจารย์กล่าวกับทิดว่า "บอกแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องใส่หมวก เราทำความดี ต้องไปอายใครวะ ? ถ้าเป็นอาตมา สึกออกไปพ่อจะโกนซ้ำอีกสองวันพระ..! คนเราไปทำความดีจะต้องไปหลบ ๆ ซ่อน ๆ ใคร ? ให้เขารู้ชัด ๆ ไปเลยว่าเราไปบวชมา"

เถรี
23-11-2014, 17:36
https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/10610580_838743192823767_2176083067664785721_n.jpg?oh=7d3a69e9b2b58486975d1d6d74c501df&oe=551F5987

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำราปลูกเรือนของหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน ดูออกไหม ? ตีตารางที่ดินว่างของเราเป็นรูปแบบนี้ ตรงไหนเป็นสีน้ำเงินก็เป็นที่ที่ดี"

ถาม : อันนี้คือที่ตรงที่ดินทั้งหมด หรือเฉพาะที่ตรงบ้าน ?
ตอบ : ที่ทั้งแปลง นับทั้งแปลงเลย ดูว่าลงตรงไหนก็ได้ ลงได้เป็น ๑๐ ที่ ไม่ต้องไปเครียดหรอก สมัยนี้ที่แพงจะตาย ขอแค่มีที่ปลูกบ้านก็พอ บางแห่งตารางวาละ ๘ แสนบาทเข้าไปแล้ว ๘ แสนบาทนี่ราคาประเมิน ขายจริงอีกเท่าไรไม่รู้ ? อย่างที่ชลบุรี บางแห่งซื้อขายกันตารางวาละ ๔ ล้านกว่า เงิน ๔ ล้านซื้อที่ได้พอปลูกศาลพระภูมิได้แค่หลังเดียว

ความจริงมีลายมือหลวงปู่สายอีกเยอะ โดยเฉพาะบันทึกของท่าน ใครเห็นลายมือหลวงปู่ โดยเฉพาะลายเซ็นของท่าน จะนึกว่าหลวงปู่เขียนสวยจัง เป็นลายมือของเด็ก ม.๘ รุ่นโบราณ

เถรี
23-11-2014, 17:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะขึ้นไปลำพูน - เชียงใหม่บ้างไหม ? จะได้ฝากฎีกาไปบ้าง มีครูบาสนิท ครูบาบุญยัง ตุ๊พ่อสิงห์ ครูบาสง่า ครูบาวิฑูรย์ ครูบาเหนือชัยด้วย ตอนนี้ครูบาเหนือชัยกำลังใช้ไม้เท้าหัดเดิน ฝากฎีกาไปพร้อมกับช่วยกราบเรียนว่ามาเสียดี ๆ ปีหน้าวันเกิดท่าน น่าจะไม่ได้จัดงานนิโรธกรรม แต่จัดเป็นงานสืบชะตาอย่างเดียว ไม่เป็นไรหรอก แห่อย่างเดียว ไม่ต้องไปอดข้าว ๗ วันด้วย"

ถาม : ถ้าท่านออกนิโรธฯ มา เราทำบุญคนแรกจะได้บุญคนเดียวไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ทำบุญคนเดียวก็ได้ ถ้าหลายคนก็แบ่งกันไป สมัยนี้ประเภทใครรู้ก็แห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน โอกาสจะได้คนเดียวเต็ม ๆ ก็ยาก ให้สังเกตว่า สมัยก่อนมีพวกแม้วถูกรางวัลที่ ๑ พวกนั้นก็โชคดีไป อยู่ในป่าในดอย ยังถูกรางวัลที่ ๑

เถรี
24-11-2014, 18:03
พระอาจารย์กล่าวถึงท่านอาจารย์สุชาติ (ปั้นพระ) ว่า "ด้วยความที่เป็นช่าง ต้องใช้สมาธิในการทำงานมาก พอจิตสงบแล้วทิพจักขุญาณเกิด แต่ท่านไม่เข้าใจ ท่านไปคิดว่าอยู่ ๆ ก็คิดออกว่าต้องทำอย่างไร นั่นแหละคือความเป็นทิพย์ คนทั่ว ๆ ไปคิดว่าท่านทำงานในลักษณะที่ว่าค่อย ๆ คิดแล้วจะทำได้ ไม่ใช่หรอก..สมาธิที่ทรงตัวช่วยให้ความเป็นทิพย์เกิด"

เถรี
24-11-2014, 18:21
พระอาจารย์เล่าว่า "แถวสุพรรณบุรี อู่ทอง เป็นเมืองโบราณ ฉะนั้น..บรรดาวัดต่าง ๆ มักจะมีกรุพระ ยกเว้นวัดที่สร้างใหม่ ไม่ใช่แค่กรุพระเท่านั้น กรุสมบัติก็มีด้วย สมัยก่อนต้องเขียนเป็นปริศนาแล้วให้ไปหากัน ประเภท "โตงเตงโตงใต้ ถ้าใครคิดได้อยู่ใต้โตงเตง" ปรากฏว่าคนฉลาดขุดไปได้ อยู่ใต้หอระฆัง "ตำบลวัดน้อย มีไก่ต๊อกอยู่ ๒ ตัว น้องสาวมีผัว พี่สาวเพิ่งสอนย่าง" อะไรประมาณนี้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อันนั้นวัดเสาธงทอง ไปขุดสมบัติ ก็เลยโดนผีตี งานนั้นถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ไปดูด้วยนี่ตายหลายศพ พอหลวงพ่อไปดูด้วยผีเลยเกรงใจ เล่นงานกลุ่มที่ขุดไม่ได้ จึงไปเล่นงานพวกที่พายเรือรออยู่ ท่านเล่าให้ฟังว่า ลมตียอดไผ่สองฝั่งคลองสานเข้าหากัน แล้วผีก็เดินมาตามยอดไผ่ ลงมาถึงก็ตีกระจายเลย พระที่ท่านเฝ้าเรืออยู่ถอดหลักแจวสู้ ตีกันไปตีกันมา หลังคาเรือพังหมด กลับไปโดนหลวงปู่ปานท่านด่า ว่าเป็นพระแล้วยังโลภมากไปขุดสมบัติเขาอีก

สมัยหลัง ๆ พวกที่ไปขุดสมบัติญี่ปุ่น เขาใช้มีดหมอชาตรีกับธงแดงของหลวงพ่อวัดท่าซุง แหม..ท่านทำไว้ให้ป้องกันตัวหรือรักษาโรค ดันเอาไปรังแกเขา ถ้าอยู่ใกล้ ๆ อาตมาจะยันให้สักที ผีไม่ทำอะไรเอ็งหรอก แต่กูจะถีบให้..!

เขาไปขุดที่บ้านจันเดย์ ห่างจากวัดท่าขนุนไม่กี่กิโลเมตร เป็นทางรถไฟวิ่งหายเข้าไปในภูเขา ขุดตามเข้าไป ๆ ได้รางรถไฟมาหลายท่อนเหมือนกัน ตอนหลังเขาบอกว่าไม่ใช่กรุสมบัติหรอก เป็นทางรถไฟที่เจาะทะลุภูเขา ถ้าเครื่องบินมาทิ้งระเบิดจะได้เอารถไฟเข้าไปซ่อน

ส่วนที่ถ้ำลำคลองงู เขาไปเจอเห็น ๆ คาตา ยังไม่กล้าหยิบ เขามาชวนอาตมา อาตมายังไม่ไปเลย เรื่องอะไรตูจะไป นำหน้าเป็นกองหน้า ตูก็โดนเต็ม ๆ..!

เถรี
24-11-2014, 18:36
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเช้ามีข่าวข้าราชการจีนคอร์รัปชั่น มีเงินอยู่ในบ้าน ๒๐๐ ล้านหยวน เป็น ๑,๐๐๐ ล้านบาทเลย เจ้าหน้าที่ซึ่งไปจับ เอาเครื่องนับธนบัตรไป ๑๖ เครื่อง นับจนพังไป ๔ เครื่อง พวกคอร์รัปชั่นไม่กล้าเอาเงินฝากธนาคารกัน เขาก็ทำอย่างนี้แหละ มีนักการเมืองอยู่คนหนึ่ง ด้วยความที่เขาเคารพพระเลยเปิดห้องให้ดู มีใบละพันอยู่เกือบครึ่งห้อง ถามว่าทำไมไม่ฝากธนาคาร เขาบอกว่าฝากเมื่อไรคนอื่นเขาก็รู้ ลักษณะอย่างนั้นน่าจะซื้อเป็นทอง แต่ว่าซื้อทองเขาก็รู้อีก เพราะต้องใช้เงินเยอะ

คุณบรรหารไม่คอร์รัปชั่นแบบนั้นหรอก คุณบรรหารของบประมาณมาลงที่สุพรรณบุรี แล้วเอาบริษัทของตัวเองไปประมูล ใช้วิธีนั้น ได้มาอย่างถูกต้อง เคยถามว่าคุณบรรหารว่าทำไมของบได้มากกว่าคนอื่น ? ท่านบอกว่าผมขอตามสิทธิ์ที่จะพึงได้ แต่ขอแล้วโทรไปเร่ง บอกเจ้าหน้าที่งบประมาณว่า "ผมบรรหารครับ" แค่นี้ก็มือตีนสั่นแล้ว ต้องรีบออกงบให้ ถึงเวลาก็เอาบริษัทของตัวเองไปประมูล ในเมื่อรู้ราคากลาง ประมูลเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น แล้วจะเอาคู่แข่งที่ไหนมา ? ถึงเวลาบริษัทสี่แสงการโยธาก็เหมาทำ ช่วงนั้นถนนสายตลิ่งชันสุพรรณบุรี ๑๑๐ กิโลเมตร เป็นถนนลาดยาง ๔ เลน ที่อื่นยังไม่มีเลย ปรากฏว่าคุณบรรหารได้งบใหม่ ขูดทิ้ง เทคอนกรีต โห..จังหวัดอื่นจะร้องไห้

แถวมะขามล้ม ท่านตัดถนนคอนกรีต ๔ เลน ไปคาไว้กลางนา โอ้พระเจ้า..ที่นาขึ้นราคาหูดับตับไหม้ ทำแบบนั้นชาวบ้านก็ได้ด้วย ถึงเวลาใคร ๆ ก็อยากให้ที่ของตัวเองมีถนนตัดผ่าน คนที่ต้องการที่ทำการค้า ก็ไปซื้อที่ข้างถนนใหญ่ เท่ากับว่าท่านช่วยคนทั้งจังหวัด ตรงโน้นก็โรงพยาบาล ตรงนี้ก็โรงเรียน ตรงโน้นก็หอนาฬิกา ตรงนั้นศาลาวัด ตรงนี้ก็โบสถ์ มีตั้ง ๕-๖ แห่ง ถามว่าทำไมคนอื่นไม่ทำอย่างท่านบรรหารบ้าง ? ถ้าทำอย่างท่านแล้วได้น้อย สู้ไปสอยเอาตรง ๆ ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ดีกว่า"

เถรี
24-11-2014, 18:46
"นายกรัฐมนตรีที่อาตมาได้เจอบ่อยที่สุดคือนายกฯ ทักษิณ ๔ ครั้ง นายกฯ ชวน นายกฯ บรรหาร ท่านละ ๒ ครั้ง นายกฯ สุรยุทธครั้งหนึ่ง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ครั้งหนึ่ง น้าชาติไม่ได้เจอตัว ความจริงน้าชาติเป็นคนที่คุยสนุกมาก วันก่อนเห็นคุณทักษิณไปไหว้สุสานบรรพบุรุษ มีคุณยายท่านหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ หน้าตาเหมือนคุณทักษิณเปี๊ยบเลย แสดงว่าเป็นญาติกันจริง ๆ

อย่างนายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องบอกว่าเป็นไก่ผิดพันธุ์ ไม่เหมือนพี่ไม่เหมือนน้อง ตอนนี้นายกฯ ทักษิณเท่ากับพักผ่อน ให้มีเลือกตั้งเมื่อไร เพื่อไทยก็ได้เมื่อนั้น คาดว่ารัฐบาล คสช.ก็คงต้องดึงเกมให้ยาวที่สุด เขากะว่าดึงเกมไปนาน ๆ คนจะหมดความนิยมในตัวนายกฯ ทักษิณไปเอง อาตมาว่าเขาคิดผิด รัฐบาลยิ่งอยู่นาน ยิ่งหมดราคา เพราะคนตั้งความหวังไว้สูง ในเมื่อคนตั้งความหวังไว้สูง ถ้านายกฯ ประยุทธปฏิวัติแล้วให้คนอื่นเป็นนายกฯ ป่านนี้ก็ยังเป็นขวัญใจชาวบ้านอยู่ แต่พอขึ้นเป็นนายกฯ เอง ต่อให้มีเหตุผลดีแค่ไหนก็ตาม คนเขาก็จะคิดว่าท่านทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อประเทศชาติแล้ว ทันทีที่ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อไทยนอนรอเลย อย่างไรก็เจ๊งแน่..!

เรื่องของการมองสถานการณ์การเมือง ต้องมองอย่างเป็นกลาง ถ้าเราไปมองแบบเข้าข้างฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ จะไม่เห็นความจริง ต่างประเทศเขาไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากเผด็จการ รัฐประหาร คราวนี้ต้องบอกว่าคนทันเกม ก็ประท้วงที่โน่น ก่อหวอดที่นี่ ทีละนิดทีละหน่อย ทำให้รัฐบาลต้องคงกฎอัยการศึกเอาไว้ ก็บรรลัยสิ..! เท่ากับประกาศตัวเองเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารชัด ๆ ยิ่งอยู่นานเท่าไร เครดิตต่างประเทศก็ยิ่งหมดไป ถ้าถามว่าเราจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาต่างประเทศไหม ? ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ไม่จำเป็น แต่สมัยนี้โลกทั้งใบเหมือนเป็นบ้านเดียวกัน

ภาษาการทูตไม่ใช่การแสดงออกที่แท้จริง การทูตเขาผูกมิตรทั่วโลก พูดอย่างไรก็ได้ให้ฟังดูดี แต่การกระทำเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า ? ถึงเวลาไปก็ประเภทยินดีต้อนรับ เป็นการพูดตามมารยาทหรือเปล่า ? ต้องคิดอย่างนั้น ไม่ใช่เขาต้อนรับก็ไปคิดว่าเขายินดีกับเราด้วย"

เถรี
24-11-2014, 18:48
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อโต วัดระฆัง จุดคบไฟเดินเข้าไปในวัง ในหลวงรัชกาลที่ ๔ เห็นก็ตรัสว่า "ขรัวโต..โยมเข้าใจแล้ว" ท่านก็เอาคบไฟทิ่มกำแพงวัง ดับตรงนั้น ถ้าเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องอธิบายอีก ว่าบ้านเมืองขณะนี้มืดมน"

เถรี
24-11-2014, 18:53
ถาม : ที่ท่านเมตตาให้หลานชายได้บวชกับท่าน ได้อยู่ถึงแค่นี้ก็เป็นพระคุณมากแล้วเจ้าค่ะ ท่านเมตตาสงเคราะห์มากเจ้าค่ะ แต่เขาอยากจะนั่งแบบไม่รู้..?
ตอบ : จะเอาดีให้ได้ ก็ต้องฝ่าฟันกันระยะหนึ่ง ต้องต่อสู้สักระยะหนึ่ง ต้องปฏิบัติจริง ๆ จัง ๆ ต้องดูว่าท่านจะใจสู้แค่ไหน ดูบุญเก่าของท่านด้วย ถ้าบุญเก่าส่งก็อยู่ได้ เสียดายวันนั้นในศาลาเสียงสะท้อนมาก แต่จริง ๆ แล้วท่านเทศน์ดีมากเลยนะ

เถรี
24-11-2014, 19:04
ถาม : ผมจะฝึกอภิญญาครับ เริ่มจากอะไรดี ? (เด็กน้อยถาม)
ตอบ : เริ่มจากจับภาพพระให้ได้ทั้งกลางวันกลางคืน นึกถึงเมื่อไรก็ให้เห็นภาพพระติดตาอยู่ตลอด จับภาพพระควบกับลมหายใจเข้าออก จนนึกได้ทั้งหลับและตื่นก็พอ

เถรี
24-11-2014, 19:05
:4672615:เก็บตกเดือนพฤศจิกายนปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน