View Full Version : ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๘
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22142&stc=1&d=1412710220
เจอ "โลกยายจ๊ะ" ในห้องพระตอนตีหนึ่ง..!
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕
ทันทีที่ความรู้สึกกลับคืนมา ก็ขยายออกไปยังปลายมือปลายเท้า จนรู้สึกครบถ้วนทั้งกายก็ยกใจไปกราบพระก่อน จากนั้นหยิบเอากล้องถ่ายรูปมากดดูเวลา ยังไม่ทันจะตีหนึ่งดี แต่ไม่มีความง่วงแล้ว จึงตรงไปยังห้องพระที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่ง...
คิดว่าแม่ป๋อมมาถึงก่อนแล้ว เพราะข้างในดูสว่างด้วยแสงไฟ แต่พอเปิดประตูเข้าไป ก็เจอสุภาพสตรีในชุดประจำชาติเขมร ใส่ผ้าถุงสีแดงสด เสื้อแขนพองสีขาว นั่งทับส้นเรียบร้อยอยู่ในท่าเทพธิดา แสงสว่างมาจากตัวคุณเธอนี่เอง พออาตมาเข้าไปเต็มตัวคุณเธอก็กราบงามสามครั้ง...
จุมเรียบซัวโลกเอิว ขะโยมฉะม้วกโลกยายจ๊ะ โซมโอยเมียนซกสบาย (นมัสการพระคุณเจ้า ดิฉันชื่อโลกยายจ๊ะ ขอให้ท่านมีความสุข) เดี๋ยวก่อนแม่คุณ..อาตมาไม่ใช่ ขแมร์ มาตั้งแต่เกิด ใช้ภาษาไทยหรือ ภาษาใจ ก็ได้ เล่นรัวมาเป็นชุดแบบนี้ฟังไม่ค่อยทันจ้ะ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22143&stc=1&d=1412796773
ยังไม่ทันจะหกโมงเช้าก็สว่างขนาดนี้แล้ว
อีกฝ่ายยิ้มแบบงามสง่าน่าเกรงขาม ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีรอยยิ้มที่สามารถสร้างความครั่นคร้ามให้ได้แบบนี้ ดิฉันอยู่ชั้นจาตุมหาราชิกา องค์เหนือหัว ติดภารกิจ จึงมอบหมายให้ดิฉันมาดูแลท่านแทนเจ้าค่ะ บรื๋อวววส์..ผู้หญิงชั้นจาตุมหาราชิกา นอกจากมีน้อยกว่าน้อยแล้ว ที่เจอมาแต่ละท่านยัง น่ากลัว ทั้งนั้นเลย...
บอกขอบคุณที่เธอเมตตามาดูแล และฝากความคิดถึง องค์เหนือหัว ด้วย อย่า หายพระเศียร ไปนานนัก เธอยิ้มแบบที่คนขวัญอ่อนอาจจะเผ่นแน่บทันทีที่เห็น แล้วหายไปจากสายตา อาตมาจึงสวดมนต์ไหว้พระ แล้วเจริญกรรมฐานไปตามปกติ...
จนตีห้าครึ่งกว่าก็อุทิศส่วนกุศล แล้วออกมาจากห้องพระ ตกลงว่าวันนี้ไม่ได้เปิดไฟเลย เพราะข้างนอกสว่างมากแล้ว ที่นี่บรรยากาศยามเช้าคล้ายแถวจันทบุรีหรือตราด ยังไม่ทันจะหกโมงเช้าฟ้าก็สว่างเหมือนเจ็ดแปดโมงเช้าของกรุงเทพฯ อาตมาเดินชมทิวทัศน์กรุงพนมเปญรอบ ๆ ที่พัก ชอบใจมุมไหนก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ด้วย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22144&stc=1&d=1412894613
"คุณแม่บ้าน" กำลังรีดจีวร
ชมทิวทัศน์มุมสูงจนไม่มีอะไรจะให้ดู พอดีเสียงลิฟท์เคลื่อนมาจากข้างล่าง แล้วแม่ป๋อมก็ก้าวออกมา บอกว่าอยากให้อาตมาพักมาก ๆ หน่อย จึงเจริญกรรมฐานที่ห้อง เพราะถ้ามาห้องพระเสียงลิฟท์อาจจะทำให้อาตมาตื่น ฮ่า..ที่ตื่นวันนี้เพราะไม่มีเสียงลิฟท์ต่างหาก...
รอจนคุณแม่กราบทำบุญเสร็จแล้ว อาตมาก็ชวนลงไปชั้นสองเพื่อหาจีวร ปรากฏว่านอกจากไม่มีจีวรแล้ว ยังไม่มีใครอยู่เลยสักคน เปิดไฟเสร็จสรรพแต่หาที่เปิดเครื่องปรับอากาศไม่ได้ แล้วห้องกระจกแบบนี้ก็อึดอัดดีแท้ จึงต้องขอให้ โลกยายจ๊ะ ช่วยบอกว่าสวิทช์ไฟอยู่ตรงไหน เล่นเอาอีกฝ่ายตาเขียวปัด ที่อาตมาใช้งานซึ่ง สำคัญมาก ขนาดนี้...
ขืนอยู่ต่อไปอาจจะโดนรับประทานลงไปทั้งตัว อาตมาจึงชวนแม่ป๋อมเดินขึ้นบันไดขึ้นไปชั้นที่สาม พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอพี่วิไลกำลังก้มหน้าก้มตารีดสบงจีวรให้อาตมาอยู่ ใครเขารีดจีวรกันละพี่ แค่สะบัดก็ใช้ได้แล้ว อาตมารีบบอกให้ทราบ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22145&stc=1&d=1412969845
ลองดู..เผื่อจะสั่งตัดบ้าง
อ๋อ..ตรงชายผ้ายังไม่แห้งดี วิไลเลยช่วยรีดให้แห้งหน่อย แล้วทำไมไม่ให้เด็กในร้านรีดให้ละจ๊ะ ? วันอาทิตย์ร้านปิดค่ะ เด็ก ๆ กลับกันหมดตั้งแต่ก่อนเรากลับมาจากเที่ยวอีก ยังไม่ทันจะเจรจาอะไรกันต่อ ป้ามอย น้องเล็กกับลูกปุ๊กก็โผล่มาสมทบ แล้วไปกรี๊ดกร๊าดกับชุดสวย ๆ ที่ตัดเสร็จแขวนเอาไว้ ส่วนมากเป็นชุดผ้าลูกไม้แทบทั้งนั้น...
คนนั้นก็เอาเสื้อมาลองทาบกับตัว คนนี้ก็ขอลองดูบ้าง รู้สึกว่าสาว ๆ ขแมร์จะชอบใส่เสื้อเบอร์เอส เพราะตัดแบบค่อนข้างจะรัดรูป ทำเอาบางคนในคณะบ่นอุบอิบ เนื่องจากหมดสิทธิ์ใส่ไปตลอดทั้งชาตินี้และชาติหน้า มีแม่ป๋อมคนเดียวที่เลี่ยงไปทดสอบรองเท้าส้นสูง ซึ่งทางร้านเตรียมไว้ให้ลูกค้าได้ลองกับชุดสวยหลายคู่ ส่วนพี่มุกดามาถึงก็คว้าเสื้อไปลองดูบ้าง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22153&stc=1&d=1413058469
สงสัยว่าคงเคยสร้างกรรมหนักเอาไว้ ถึงได้โดนลงโทษแบบนี้..!
ส้นรองเท้าน่าจะสูงถึง ๕ นิ้ว แต่ คุณนายป๋อม ที่ชอบ ซำเหมา ก็คุ้นเคยพอที่จะใส่แล้วเดินอย่างคล่องแคล่ว ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรของบรรดาสาว ๆ ที่ต้องมาทนเดินเขย่งเหมือนกับเต้นบัลเลต์แบบนี้ สงสัยว่าชาติก่อนคงจะเคยไปเคาะตาตุ่มของใครมาเป็นแน่แท้...
ได้สบงจีวรมาแล้ว อาตมาเอาอังสะกับสบงขึ้นไปเก็บยังที่พักชั้นบน ห่มแต่จีวรแล้วกลับลงมา เจอพี่ปราณีรออยู่ชั้นล่างกับพี่วิไลที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว บอกว่าวันนี้ไม่ทำอาหาร จะพาไปเลี้ยงเจ้าอร่อยข้างนอก รอสักครู่คุณณรงค์ (ณรงค์ ภูมิธเนศ) น้องชายของพี่ปราณีกับพี่วิไลก็มาถึง กราบสวัสดีทักทายกันแล้ว ก็ชวนขึ้นรถออกไปร้านอาหารที่ว่าไว้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22163&stc=1&d=1413146335
สถานีบริการน้ำมันยามเช้า บรรยากาศเกือบจะ "ผีหลอก"
รถตู้ขนเอาพวกเราออกจากบ้านมาบนท้องถนน วันหยุดแถมยังเช้าแบบนี้แทบจะไม่มีรถเลย รู้สึกหลอน ๆ เพราะบรรยากาศเหมือนกับผีเตรียมจะหลอกอย่างไรก็ไม่รู้ ? ผ่าน “เตละ (สถานีบริการน้ำมัน)” เห็นราคาเบ็นซินที่คิดเป็นเงินไทย ลิตรละ ๕๗.๕๐ บาทแล้วพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะเมืองเขมรรถราคาถูก แต่น้ำมันแพง ถ้าคุณมีปัญญาซื้อรถ คุณก็ต้องมีปัญญาเติมน้ำมัน..!
“เนียงลออ (สาวสวย)” อาตมาชี้ให้คุณณรงค์ดูสองสาว ที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้าเยื้องไปทางขวา หน้าตาคมเข้ม อกเป็นอก เอวเป็นเอว อีกฝ่ายเพิ่งจะหัวเราะก็ต้องกระทืบเบรกจนอาตมาหัวทิ่มเกือบจะโขกกระจกรถ เพราะ “เนียง” เธอเบรกสุดตัวเนื่องจากมีสาวคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ากะทันหัน สาบานได้ว่าคนตัดหน้ามอเตอร์ไซค์ที่หันมามองตาเขียวนั้น หน้าตาเหมือน “โลกยายจ๊ะ” อย่างกับแกะ..!
“ขอโทษครับหลวงพี่..มันกะทันหันจริง ๆ ยายนั่นก็น่าตายมากเลย” เฮ้ย..ขืนไปพูดถึง “ยายนั่น” แบบนั้น เดี๋ยวไอ้ที่ตายน่าจะเป็นพวกเราเสียมากกว่า เฮ้อ..จะ “เหล่สาว” หน่อยก็มีคนขัดคอ ซ้ำยังแกล้งเอาจนเกือบเกิดอุบัติเหตุ ทำเอาหมดอารมณ์ไปเลย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22167&stc=1&d=1413229219
กว่าจะหาร้านเจอ โดน "ยายนั่น" พาเตลิดไปตั้งไกล..!
ถึงสี่แยกข้างหน้าคุณณรงค์เลี้ยวซ้ายเข้าซอย วิ่งผ่านร้านรวงต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่ยังปิดประตูสนิท จนทะลุมาออกอีกฝั่งหนึ่ง พี่ว่าต้องอีกไปอีกแยกหนึ่งแล้วค่อยเลี้ยวไม่ใช่หรือณรงค์ ? พี่ปราณีถาม พลขับกิตติมศักดิ์ยิ้มแห้ง ๆ ปกติรถเยอะแยะ พอไม่มีรถเลยพลอยจำทางไม่ได้ ดูท่าว่า ยายนั่น จะเอาคืนที่ไปว่าเธอเข้าแล้ว เช้านี้ตูจะได้กินไหมนี่ ?
คุณณรงค์พารถตู้เลี้ยวขวาที่อีกสี่แยกหนึ่ง แล้ววนขวากลับมาอีกที ซอยนี้แหละ พี่วิไลชี้ อาตมาเห็นป้ายที่ปากซอย มีภาษาขอมว่า เทสะจะระณะ (แหล่งท่องเที่ยว) ถ้าจำป้ายนี้ได้น่าจะไม่หลง แต่พลขับกิตติมศักดิ์ของเรา ถึงจะพูดขแมร์ได้แต่อ่านไม่ออก เลยโดน ยายนั่น พาเตลิดไปตั้งไกล...
มาจอดอยู่ข้างร้านอาหารสองคูหาซึ่งกั้นกระจกให้มองทะลุถึงกันได้ ชื่อร้าน Tea Pot ต้องเป็นคนจีนแน่นอน เพราะมีที่บูชาบรรพบุรุษตั้งอยู่กลางร้านด้านใน บอกให้รู้ว่าเป็นลูกหลานพันธุ์มังกรขนานแท้ โต๊ะเก้าอี้ในร้านเป็นสเตนเลสทั้งหมด ดูแข็งแรงสะอาดสะอ้าน คูหาซ้ายมือหกโต๊ะมีลูกค้าอยู่สองโต๊ะ พวกเราเลือกเข้าคูหาทางขวามือ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22169&stc=1&d=1413315113
จะมองกล้องไหนดี ?
พี่ปราณีเดินไปหาพนักงานที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีแดง สั่งอาหารเช้าสำหรับพวกเราทุกคน อาตมานั่งดูบรรยากาศในร้าน พร้อมกับบันทึกประจำวันไปด้วย หลวงพี่..จะรับน้ำอ้อยหรือน้ำส้มเช้งดีคะ ? พี่ปราณีถาม เอาน้ำส้มมาเถอะ ขืนฉันน้ำอ้อยแต่เช้าแบบนี้เดี๋ยวเบาหวานถามหา...
บนโต๊ะมีชุดเครื่องปรุงวางอยู่แล้ว พนักงานสาวเอาแก้วน้ำส้มมาวางให้ อีกสักครู่ก็มีจานใส่ปาท่องโก๋กับน้ำชาร้อนมาอีก ๑ กา ฮ่วย..มีชาร้อนให้แบบนี้ ตูจะสั่งน้ำส้มไปทำอะไรวะ ? ร้านนี้ทำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาอร่อยมาก คราวก่อนวิไลก็พา หลวงพี่ยนต์ มาฉันที่นี่เหมือนกัน...
อาตมาเห็นทุกคน สุมหัว รวมกันที่โต๊ะเดียว จึง ถอดรูป (ถ่ายรูป) เอาไว้ แม่ป๋อมเห็นเข้าก็ ถอด บ้าง ตั้งท่าเฮฮากันจนลูกค้าทั้งสองโต๊ะของอีกคูหาหนึ่งมองมา คงสงสัยว่ามีละครลิงแสดงฟรีด้วยหรือ ? พอดีพนักงานเอา กุยเตียว (ก๋วยเตี๋ยว) มาเสิร์ฟให้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22170&stc=1&d=1413404198
สีสันหน้าตาออกมาดูดีน่ากินสมราคาคุย
ที่ชอบใจมากก็คือ เขาเอาช้อนและตะเกียบใส่ถ้วยลวกน้ำร้อนมาต่างหาก แปลว่าถ้ากินแล้วท้องร่วงก็ไม่ใช่ความผิดของทางร้านแน่ ๆ อือม์..แล่เนื้อปลาได้บางพอดี แค่โดนน้ำร้อนก็สุกสนิทแล้ว ลูกชิ้นปลากรายก็นุ่มหนึบ แถมยังมีถั่วงอก มะนาว ซีอิ๊วและเต้าเจี้ยวมาให้ปรุงรสเพิ่มต่างหาก...
แต่ไหนแต่ไรมา อาตมาก็ฉันอาหารโดยไม่เคยปรุงเพิ่ม เพราะถ้าปรุงก็แปลว่าอร่อยโดยการปรุงของเราเอง ไม่ใช่ว่าอร่อยเพราะฝีมือพ่อครัวแม่ครัว ดังนั้น..ร้านอาหารบางร้านที่ได้รับการรับรองจากนักชิมชื่อดัง พอลองเข้าไปกินดูรสชาติก็อย่างนั้นเอง ธรรมดามาก...
ฉันเสร็จเพิ่งจะวางช้อนกับตะเกียบลง เด็กในร้านก็มาเก็บชามไปทันที การกดดันให้ลูกค้าสั่งอาหารเพิ่ม หรือออกจากร้านเพื่อให้มีที่ว่างแบบนี้ ไม่สามารถที่จะทำอะไรอาตมาได้ เพราะเมื่อเขาช่วยเก็บโต๊ะให้มีที่ว่าง อาตมาก็งัดเอาสมุดบันทึกประจำวันขึ้นมาบรรเลงแบบสบายใจ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22171&stc=1&d=1413539119
วัดยายเพ็ญบนเนินเขา ที่มาของชื่อเมืองพนมเปญ
รอจนทุกคนอิ่มแล้ว พี่ปราณีเรียกเด็กมาคิดเงิน แล้วจ่ายเป็นดอลลาร์ แต่ทิปเป็นเงินเขมร ๒,๐๐๐ เรียล อาตมาก้มหน้าก้มตาบันทึกประจำวันอยู่ จึงไม่รู้ว่าก๋วยเตี๋ยวราคาชามละเท่าไร น่าจะแพงทีเดียว แต่เสียงตอบรับจากทุกคนว่าอร่อย ทำเอาเจ้าภาพยิ้มแก้มปริ แพงเท่าไรก็ช่างมัน...
กลับขึ้นรถแล้วคุณณรงค์พาวิ่งไปได้ไม่ไกล พอเลี้ยวขวาไปหน่อยก็ชิดซ้ายเข้าไปยังถนนสายหนึ่ง ที่พาวนอ้อมเนินเขาเตี้ย ๆ ซึ่งมีต้นไม้เขียวครึ้มไปหมด มีอาคารอยู่บนยอดเนินเหมือนกับเป็นวัด...
“เป็นวัดจริง ๆ เจ้าค่ะ ชื่อวัดยายเพ็ญ สร้างโดย “โลกยายเพ็ญ” เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วมา เนินเขาลูกนี้จึงได้ชื่อว่า “พนมเพ็ญ (เขายายเพ็ญ)” ที่เรียกกันว่าพนมเปญในทุกวันนี้..” “ยายนั่น” โผล่มาถึงก็บรรยายเป็นต่อยหอย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22174&stc=1&d=1413577908
พี่ปราณีซื้อตั๋ว ๘ ใบ ขณะที่นับแล้วนับอีกมีแค่ ๗ คน
คุณณรงค์บังคับรถตู้จอดชิดขอบทาง พวกเราลงจากรถแบบเร่งด่วน เพราะมีรถตามหลังมาหลายคัน เนื่องจากสภาพถนนสายนี้คือวงเวียนที่มีเขายายเพ็ญเป็นศูนย์กลาง จอดนานจะทำให้รถติด พวกเราก้าวขึ้นไปบนลานดิน รอบข้างเป็นต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด...
ตรงหน้าคือบันไดก่อจากอิฐแดงสามช่วง สำหรับขึ้นไปยังวัดบนเนิน ช่วงแรกมีพญานาคแบบขอมที่สวยงามกระหนาบสองข้างบันได ช่วงกลางเป็นรูปเทวดากุมกระบอง ส่วนช่วงบนเป็นสิงห์แบบขอมตัวใหญ่คู่หนึ่ง ตัวเล็กคู่หนึ่ง...
พี่ปราณีนับจำนวนคนแล้วตรงไปยังห้องขายตั๋วทางขวามือ สั่งซื้อตั๋วเข้าชมวัด ๘ ใบ อาตมานับแล้วนับอีกก่อนที่จะท้วงว่า “มีแค่ ๗ คนเท่านั้นนะพี่” พี่วิไลหัวเราะ “ณรงค์อีกคนหนึ่งค่ะ” อ้าว..นึกว่าพ่อเจ้าประคุณไม่มาด้วย เพราะพารถตู้หายไปจอดที่ไหนก็ไม่รู้ ?
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22176&stc=1&d=1413674982
ใคร ๆ ก็อยากได้รูปตรงนี้
คนขายตั๋วชะเง้อมองเพื่อนับจำนวนคน พอดีคุณณรงค์เดินเข้ามาสมทบ เมื่อเห็นว่ายอดถูกต้องตรงกับจำนวนเงินก็ฉีกตั๋วให้ พี่ปราณีรับมาแล้วบอกให้พวกเราเดินขึ้นบันไดไปเลย อ้าว..ไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจนับคนเลยหรือ ? คนขายตั๋วเขานับไปแล้วค่ะ เออ..ง่ายดีเว้ย...
แม่ป๋อมขอให้ทุกคนถ่ายรูปตรงบันไดนาคก่อน แต่มีคนกำลังถ่ายรูปอยู่สองสามราย และพวกที่ขึ้นไปไหว้พระจนเสร็จแล้วเดินลงมาอีก จึงต้องรอจนกว่าจะคนหมด พวกเราถึงเข้าไปจับกลุ่มให้คุณแม่ถ่ายรูปได้ เสร็จแล้วคุณณรงค์ไปผลัดคุณแม่มาเข้ากล้องบ้าง ขนาดนั้นยังติด "หนูอ้วน" ที่ตั้งท่าให้คุณพ่อถ่ายรูปมาด้วย...
เสร็จแล้วอาตมาเดินนำหน้าขึ้นบันไดไปก่อน ถึงช่วงบนสุดมีทางขึ้นลงทั้งซ้ายขวา อาตมาถือคติโบราณ สมัยพระมหากัสสปะออกบวชว่า ผู้หญิงไปทางซ้าย ผู้ชายไปทางขวา จึงเลี้ยวขวาไปเจอคนขายนกปล่อยและดอกไม้ธูปเทียนเข้าพอดี...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22179&stc=1&d=1413750284
เยี่ยมเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
วัดนี้สร้างขึ้นมาหลายร้อยปี จึงมีการบูรณะใหม่หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายบูรณะก่อนที่ท่านจะเกิดสิบกว่าปี ที่นี่เป็นศูนย์รวมความเชื่อทางศาสนาหลายอย่าง มีทั้งศาลเทพเจ้าโหวอี้ ศาลขงจื๊อ เทวรูปพระนารายณ์ ทั้งที่เป็นวัดของพระพุทธศาสนา.. ยายนั่น ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ได้ดีทีเดียวแหละ ถ้าไม่ดุมากคง ขายออก ไปนานแล้ว...
ตรงข้างกำแพงแก้วหน้าซุ้มที่มีอัปสราสองนาง ยืนกอดคอเป็นเพื่อนซี้กันอยู่ มีแม่ค้าขายนกปล่อยอยู่สองราย อาตมาแวะเข้าไปดูตามความเคยชิน โดยมีแม่ป๋อมกับคุณณรงค์เดินตามมาด้วย เห็นมีแต่นกกระติ๊ดสีอิฐเกือบทั้งหมด มีนกกระจาบทองตัวเมียหลงมาอยู่ตัวเดียว...
มัวแต่ดูนกเพลิน หันมาอีกทีพี่ปราณีกับพี่วิไลซื้อดอกบัวมาหอบใหญ่ เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ..ดอกบัวที่นี่ก้านดอกยาวดีเป็นบ้า ไม่ถึงหนึ่งเมตรก็ใกล้เคียง อาตมารับกำที่ก้านดอกสั้นหน่อยมานับดู มีอยู่ ๙ ดอก การถือมงคล ๙ นี่น่าจะมีอยู่ทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท เพราะเอามาจากนวหรคุณ (พระพุทธคุณ ๙ ประการ) ของพระพุทธเจ้านั่นเอง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22182&stc=1&d=1413843681
โบสถ์วัดยายเพ็ญ
ตรงลานกว้างหน้าโบสถ์ มีเสาธงสีแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทั้งซ้ายและขวา ประดับธงฉัพพรรณรังสีที่เป็นธงปฏาก (แผ่นผ้า) ยาวประมาณ ๖ เมตร มียักษ์ที่ปั้นจากปูนแบบลวก ๆ เหมือนกับขอไปที แต่กลับดูดีอย่างประหลาด ทำหน้าที่เฝ้าลานอยู่ด้วย...
ตัวโบสถ์ตั้งอยู่บนฐานยกชั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเสาถี่มากแบบโบสถ์สมัยก่อน ที่จำเป็นต้องใช้เสาช่วยเฉลี่ยในการรับน้ำหนักข้างบน “ท้าวแขน” เป็นรูปพญาครุฑที่ค่อนข้างจะผอมเพรียว ไม่ล่ำบึ้กเหมือนกับที่อื่น ๆ จัดว่าหล่อทีเดียวแหละ...
หลังคาโบสถ์มุงกระเบื้องเกล็ดปลาสีเหลือง (สีสำหรับวัดและวังของเขมร) ตัดขอบด้วยสีเขียว สี่มุมของโบสถ์มี “ศาลเพียงตา” ตั้งอยู่ด้วย ด้านหลังโบสถ์เป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่เหมือนกับยังสร้างไม่เสร็จ เพราะยังไม่มียอดฉัตรทั้ง ๆ ที่เสียบเหล็กรอไว้อยู่แล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22185&stc=1&d=1413920358
สภาพภายในโบสถ์วัดยายเพ็ญ
หญิงสาวในชุดประจำชาติเขมรแต่กลับเป็นสีขาวทั้งชุด (ผู้หญิงเขมรจะใส่ชุดประจำชาติเป็นเสื้อลูกไม้สีขาว ส่วนผ้าจะนุ่งสีของแต่ละวัน) ยืนพนมมือไหว้อย่างงาม จุมเรียบซัว..โลกเอิว ขะโยมฉะม้วกโลกยายเพ็ญ เป็นจั๊ดนึงโตตวล (นมัสการ..พระคุณเจ้า ดิฉันชื่อโลกยายเพ็ญ ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ) โห..คุณยายทั้งสาวทั้งสวยด้วยบุญบารมี...
ใช้ภาษาไทยดีกว่าจ้ะคุณยาย ขออนุโมทนาผลบุญที่คุณยายได้สร้างวัดถวายไว้ในพระพุทธศาสนาด้วยนะจ๊ะ แล้วปกติคุณยายอยู่ภพภูมิไหนจ๊ะ ? ขะโยม เอ๊ย..ดิฉันอยู่ชั้นยามาเจ้าค่ะ มิน่าล่ะ..ถึงมาสีขาวทั้งชุดแบบนี้ ยายนั่น รีบเข้าไป เจ๊าะแจ๊ะ กับ ยายเพ็ญ คงจะ เผา อาตมาให้ยายเพ็ญฟัง แต่อีกฝ่ายยิ้มเยือกเย็น พลางผายมือเชิญให้คณะของเราเข้าไปในโบสถ์...
ภายในโบสถ์ที่ไม่กว้างมากนัก มีเสากลมจำนวน ๑๒ ต้น เขียนลายพญานาคสีเขียวและสีทอง พันเสาอยู่ต้นละคู่ เพดานและผนังโบสถ์เป็นภาพเขียนสีพุทธประวัติและชาดกต่าง ๆ องค์พระประธานหน้าตักประมาณ ๔ ศอก ทรงเครื่องพระวิสุทธิเทพตั้งอยู่บนฐานสามชั้น ด้านหลังเป็นสถูปคล้ายพระปรางค์ย่อส่วน มีซุ้มบรรจุพระพุทธรูปบนส่วนยอดทั้งสี่ด้าน ข้างหน้าพระประธานเป็นพระพุทธรูปใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ทั้งปางสมาธิ ปางไสยาสน์ ปางมารวิชัย และปางอุ้มบาตร เสาตรงด้านหน้าสุดยังมีรูปปั้นพระแม่ธรณียืนบิดมวยผม และรูปผู้หญิงกระเดียดหม้อน้ำอยู่ด้วย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22194&stc=1&d=1414059608
ช่วยกันพับดอกบัวถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
“รกไปหน่อยเจ้าค่ะ” คุณยายออกตัวแบบเขิน ๆ พอเห็นอาตมาและคณะนั่งคุกเข่าลงบนเสื่อที่เขาปูไว้เต็มที่ว่างเพื่อกราบพระ ทั้งคุณยายและ “ยายนั่น” ก็แยกกันออกไป ยืนพนมมืออยู่ที่ผนังข้างประตูทางเข้าทั้งสองฝั่ง ผู้คนที่เดินเข้าเดินออกทั้งที่มองไม่เห็นก็ยักจะเดินชน แสดงว่า “ยืนให้เป็นสุข” ได้สมกับที่มาจากภูมิสูง...
อาตมายกดอกบัวทั้งกำขึ้นจบถวายพระ สวดอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชาและสังฆบูชา จากนั้นอุทิศส่วนกุศลให้กับทุกท่านจากทุกภพทุกภูมิ เสียงสาธุการดังมารอบทิศ โดยเฉพาะ “ยายนั่น” ดังแบบไม่ต้องเกรงใจใครเลย..!
เสร็จแล้วกำลังจะหาที่วางดอกบัวให้เหมาะสม “ส่งมาทางนี้เลยค่ะ” พี่วิไลก็บอก เมื่อหันกลับมาจึงเห็นว่า ระหว่างที่สวดมนต์อยู่นั้น ไม่รู้ว่าพี่เขาไปหาแจกันดอกไม้มาจากไหนคู่หนึ่ง ทุกคนที่กราบพระเสร็จแล้ว จึงช่วยกันพับดอกบัวใส่แจกัน มีญาติโยม “เจียขแมร์ (คนเขมร)” ที่มาไหว้พระมองดูแบบสนใจอยู่หลายคน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22196&stc=1&d=1414094843
ศาลบูชาคุณยายเพ็ญอยู่ที่ด้านหลังซ้ายมือของตัวโบสถ์
เมื่อถวายแจกันดอกบัวแล้ว พี่ปราณีชวนทุกคนไปไหว้ที่ศาลเจ้า อาตมาเองถึงไปไหว้ เจ้าท่านก็ไม่รับอยู่แล้ว เมื่อออกจากโบสถ์จึงแยกซ้ายเดินวนขวารอบโบสถ์ไปคนเดียว มีคุณยายกับ “ยายนั่น” ตามมาติด ๆ ส่วนพี่ปราณีกับพี่วิไล พาคณะทั้งหมดเดินไปที่ศาลเจ้าทางขวามือ ซึ่งต้องวนไปทางซ้ายของโบสถ์ (ทวนเข็มนาฬิกา) ทั้งที่ตัวศาลเจ้าอยู่ทางขวาเมื่อหันหน้าเข้าโบสถ์ บรรยายแล้วงงดีเหมือนกันเว้ย..!
ด้านท้ายโบสถ์มีอาคารขนาดเล็กเปิดโล่งสามด้าน มีแค่ผนังด้านหลังเท่านั้น ข้างในเป็นรูปปั้นผู้หญิงใส่เสื้อขาวแค่ครึ่งตัว ลักษณะโกนหัวเป็นแม่ชี ที่ผนังมีแผ่นฉัพพรรณรังสีติดอยู่ด้วย ด้านบนเพดานทั้งสองแขวนโคมจีนสีแดงไว้หลายใบ เครื่องบูชาต่าง ๆ เต็มไปหมด มีแผ่นป้ายเขียนภาษาขอมเอาไว้ว่า “โลกยายเพ็ญ” อ้อ..นี่เป็นศาลบูชาของคุณยายสินะ...
“เจ้าค่ะ..รกยิ่งกว่าข้างในโบสถ์เสียอีก..” ไม่เป็นไรจ้ะ..รกมากแสดงว่ามีคนเอาของมาบูชามาก แปลว่าเขาเคารพคุณยายมากเช่นกัน อาตมาเดินอ้อมหลังโบสถ์ไปทางขวา องค์พระเจดีย์ใหญ่ดูเหมือนว่าจะยังสร้างไม่เสร็จจริง ๆ จึงย้อนกลับมาทางเดิม พอถึงทางเดินเล็ก ๆ ที่เทปูนเอาไว้ให้ลงไปยังตีนเนิน คุณยายก็หยุดยืน พนมมือกล่าวว่า...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22215&stc=1&d=1414439312
ทางเดินลงมาจากวัดยายเพ็ญด้านบน
“ดิฉันขอส่งท่านแค่นี้นะเจ้าคะ ต้องไปฟังปัญหาของคนที่มากราบไหว้บูชาต่อ เผื่อว่าบุญของเขาพอมี จะได้สงเคราะห์เขาบ้าง ที่เหลือโลกยายจ๊ะจะเป็นผู้ดูแลท่านเอง” ขอบคุณมากจ้ะคุณยาย..ขอให้ได้เลื่อนภพภูมิเร็ว ๆ นะจ๊ะ “ออคุณเจริญ..จุมเรียบเรีย (ขอบพระคุณเจ้าค่ะ..นมัสการลาค่ะ)” คุณยายน้อมตัวไหว้ได้นุ่มนวลงามตาจริง ๆ แล้วหายไปจากสายตา...
ทางปูนพาเดินผ่านสนามหญ้าเขียวขจีลงไปยังตีนเนิน “ยายนั่น” คงเกรงว่าถ้าเดินตามหลังจะกลายเป็นอยู่สูงกว่า จึง “แวบ” ลงไปรอที่ข้างล่างตรงใกล้ ๆ ม้านั่งสำหรับพักผ่อน พออาตมาเลี้ยวขวาตามทางเดินลงมาถึง เห็นเป็นนาฬิกาแดดอันใหญ่มหึมา บอกเวลา ๐๘.๐๓ น. เดินตรงเวลาเสียด้วย “ยายนั่น” จ้อเป็นต่อยหอยอีกตามเคย...
“พระเจดีย์ตรงอยู่หน้าของท่าน คือพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิของพระเจ้าพงหะยัต กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของกัมพูชา ถ้าพระนามนี้ไม่คุ้นหู ก็ต้องเรียกว่า “พระยาละแวกที่ ๑” พระองค์ท่านเป็นผู้ย้ายเมืองหลวงจาก “พระนคร” มาตั้งที่เมืองละแวก ซึ่งก็คือพนมเปญในปัจจุบันนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๗๕ ประมาณกรุงศรีอยุธยาตอนต้น..”
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22217&stc=1&d=1414526638
ดูเหมือนในหลวงรัชกาลที่ ๔ ของเราอย่างนั้นแหละ
ส่วนพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ต่ำลงมานั้น สร้างไว้เป็นที่ระลึกในการรับมอบเมืองพระตะบอง เสียมเรียบ และศรีโสภณจากกองทัพไทย เรื่องนี้เริ่มจากการที่ประเทศฝรั่งเศส รุกเข้ามายึดประเทศกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ ซึ่งช่วงนั้นทั้งสามเมืองนี้ยังเป็นของประเทศไทยอยู่...
ครั้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๘๔ ไทยรบชนะฝรั่งเศส ยึดทั้งสามเมืองกลับคืนไป ฝรั่งเศสต้องการจะตีคืน เกิดการรบยืดเยื้อ และเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ พอดี ญี่ปุ่นจึงยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย ขอให้ไทยคืนทั้งสามเมืองนี้ให้กับกัมพูชา เมื่อได้รับพระตะบอง เสียมเรียบ และศรีโสภณคืนจากกองทัพไทยแล้ว ทางกัมพูชาจึงได้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ไว้เป็นที่ระลึก...
สมัยเด็ก ๆ ยายจ๊ะ นี่น่าจะได้ที่หนึ่งวิชาประวัติศาสตร์ อาตมาเองไม่กระดิกหูเลยแม้แต่น้อย จึงได้แต่ฟังแม่เจ้าประคุณ "ฉอด ๆ" ไปเรื่อย ดูไปแล้วพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้ เหมือนกับในหลวงรัชกาลที่ ๔ ของเราอย่างนั้นแหละ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22225&stc=1&d=1415133577
พญานาคประกอบขึ้นมาจากซี่ไม้ไผ่
สำหรับนาฬิกาแดดนี้คงไม่ต้องอธิบายนะเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นนิมนต์พระคุณเจ้าชมพญานาค ๗ เศียร ที่สร้างจากไม้ไผ่นี้เลย ชาวกัมพูชาเชื่อว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจาก นางนาค ตั้งแต่สมัยที่ประเทศกัมพูชายังเป็น เกาะทะโลก อยู่ จึงมีการสร้างรูปพญานาคเป็นที่เคารพในสถานที่ต่าง ๆ มากมาย...
พญานาค ๗ เศียรตนนี้สร้างได้สวยงามทีเดียว ด้วยความยาวไม่ต่ำกว่า ๑๐ เมตร ประกอบขึ้นมาจากไม้ไผ่ซี่เล็ก ๆ จำนวนมาก ผูกมัดด้วยเชือกไนล่อนสีเขียวเส้นเล็ก บนพื้นช่วงที่พญานาคยกพังพานขึ้น ยังจัดเป็นสวนหย่อมที่สวยงามอีกด้วย คณะของพระคุณเจ้าตามมาแล้วเจ้าค่ะ ยายจ๊ะ บอกเมื่อเห็นพี่วิไลกับพี่ปราณีเดินนำพวกเราลงมา...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22226&stc=1&d=1415214180
บางคนพยายาม "ซ่อน" ไม่ให้คนอื่นเห็น "ความจริง"
“แหม..ไม่รอกันเลยนะหลวงพี่..” พี่วิไลต่อว่ามาแต่ไกล อาตมาขี้เกียจต่อปากต่อคำ จึงชวนทุกคนถ่ายรูปหมู่กับพญานาคไม้ไผ่ มี “ยายจ๊ะ” ยืนเป็นกำลังใจอยู่ไกล ๆ เหมือนกลัวจะติดเข้าไปในรูปด้วยอย่างนั้นแหละ...
“คุณณรงค์หายไปไหนล่ะ ?” อาตมาไม่เห็น “ชายเดียว” มาเข้ากล้องด้วยจึงถามหา “ไปเอารถมารับพวกเราทางด้านนี้ค่ะ เดี๋ยวจะพาพวกเราไปชมพระบรมมหาราชวังกัน” พี่ปราณีเฉลย อ้อ..ที่แท้พามาไหว้พระที่วัดยายเพ็ญก่อน เพื่อรอเวลาให้พระบรมมหาราชวังเปิดนี่เอง...
คุณณรงค์เลี้ยวรถตู้เข้ามาเทียบข้างเศียรพญานาคเลย อาตมานึกว่าจะนั่งรถไปไกล ที่ไหนได้..เลี้ยวซ้ายออกจากวัดยายเพ็ญได้ไม่ถึงอึดใจ ก็เห็นรั้วสีไข่ไก่มีใบเสมาสีขาวยาวเหยียดไปตามถนน มีหมู่อาคารต่าง ๆ ที่โผล่พ้นรั้วมาแค่หลังคา ยกเว้นพระที่นั่งจันทร์ฉายที่มองเห็นเด่นแต่ไกล ยิ่งรถของเราวิ่งชิดขวาเหมือนกับอยู่กลางถนน ก็ยิ่งทำให้พระที่นั่งหลังนี้โดดเด่นขึ้นไปอีกมาก...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22228&stc=1&d=1415304987
พระที่นั่งจันทร์ฉายแบบ "เต็มจอ"
“พระบรมมหาราชวังของพระราชอาณาจักรกัมพูชาแห่งนี้ สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้านโรดมพรหมบริรักษ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ ช่วงปลายรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงสยาม ตอนนั้นกัมพูชาทำสนธิสัญญา ขอเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส จึงได้ย้ายเมืองหลวงจากจังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของพนมเปญประมาณ ๓ โยชน์ มาตั้งใหม่ที่นี่..”
“นี่ยายจ๊ะ..คนอื่นจะรู้ไหมว่า ๓ โยชน์เท่ากับ ๔๘ กิโลเมตร ?” ยายจ้อ เอ๊ย..ยายจ๊ะไม่สนใจการประท้วงของอาตมา บรรยายน้ำไหลไฟดับตามประสา “เด็กท็อป” วิชาประวัติศาสตร์เขมรต่อไปว่า “ผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างคือ “นักออกญาเทพนิมิต” ซึ่งออกแบบขึ้นมาโดยมีแนวคิดของสถาปนิกฝรั่งเศส และอิทธิพลของพระบรมมหาราชวังสยามเป็นแนวทาง..”
มาถึงด้านหน้าพระที่นั่งจันทร์ฉาย ขวามือมีทางแยก ดูเหมือนจะเป็น “สนามหลวง” หรือลานจอดรถ ซึ่งประกอบด้วยไปด้วยลานกว้าง มีโคมไฟงาม ๆ ตั้งเรียงราย มีหมู่ไม้ดอกไม้ใบจัดเป็นสวนหย่อมอยู่เป็นระยะ กว้างตลอดไปถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง พลขับกิตติมศักดิ์เลี้ยวขวาเข้าไป แล้ววนกลับหัวมาให้เห็นพระที่นั่งจันทร์ฉายแบบ “เต็มจอ” ก่อนที่จะจอดรถให้พวกเราลงกันตรงนี้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22231&stc=1&d=1415391632
คนไทยมักจะเรียกว่าพระราชวังเขมรินทร์
พระบรมมหาราชวังนี้มีชื่อว่า พระราชวังจตุรมุขสิริมงคล แต่คนไทยมักจะเรียกว่า "พระราชวังเขมรินทร์" ส่วนพระที่นั่งจันทร์ฉายของพระคุณท่าน จริง ๆ แล้วชื่อ พระที่นั่งจันทฉายา มีความหมายเดียวกันเจ้าค่ะ
พระที่นั่งหลังนี้สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้านโรดมศรีสวัสดิ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ ตอนต้นรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงสยาม ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีพิธีบรมราชาภิเษก มีมุขเด็จสำหรับเสด็จออกพบปะข้าราชบริพาร หรือเปิดโอกาสให้ประชาชนได้พบเห็นองค์กษัตริย์..
นี่..ยายจ๊ะ..เวลาเธอ จ้อ แบบนี้ก็ดูน่ารักดีออก ต่อไปอย่าเที่ยวจ้องหน้าคนอื่นแบบเอาจริงเอาจังเหมือนก่อนหน้านี้จะได้ไหม ? ดูแล้วคล้ายกับจะกินเลือดกินเนื้อใครก็ไม่ปาน.. ยายจ้อ ค้อนขวับ แต่ไม่น่ากลัวแล้ว กลายเป็นน่ารักแทน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22234&stc=1&d=1415477754
ต้องมาเข้าคิวซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังตรงห้องขายตั๋วข้างหน้า
พี่ปราณีเดินนำพวกเราข้ามถนน ตรงไปยังประตูทางเข้า ซึ่งมีทหารรักษาการณ์ถือปืนไรเฟิลจู่โจมของโคลท์ รุ่น M16 A1 เฝ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วก็เลี้ยวขวา เดินไปตามระเบียงยาวที่มีหลังคาคลุม ตลอดสองฟากข้างของระเบียงมีเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งพัก ทำจากปูนปูทับด้วยกระเบื้อง สลับกับแท่งปูนที่ดูอย่างไรก็คือเสาศาลพระภูมิของบ้านเรา บนเสาแต่ละต้นมีหม้อดินวางอยู่ แต่ไม่รู้ว่าวางไว้ทำอะไร จะว่าเป็นหม้อน้ำก็ไม่ได้ใส่น้ำ จะว่าเป็นของเก่าก็ใหม่จนเกินไป...
“หลวงพี่นั่งรอตรงนี้นะคะ พวกเราต้องไปซื้อตั๋วทางด้านโน้น” พี่ปราณีชี้ไปที่ศาลา “ทรงไทย” เล็ก ๆ มีเบาะนั่งสองแถว แล้วพาคนอื่น ๆ ตรงไปยังจุดที่มีนักท่องเที่ยวยืนรุมกันอยู่ เนื่องจากแถวหน้ามีผู้ชายนั่งอยู่แล้ว ๑ คน อาตมาถึงเข้าไปนั่งที่แถวหลัง ควักเอาสมุดบันทึกมาจดรายละเอียดของสถานที่ โดยมี “ยายจ้อ” ยืนเป็นเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ...
จดบันทึกเสร็จก็ยังไม่เห็นมีใครกลับมา มองไปทางห้องขายตั๋วเห็นเหลือแต่กลุ่มของพวกเรา อาตมาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นมีป้ายภาษาอังกฤษ บอกอัตราค่าเข้าชมที่คนละ ๒๕,๐๐๐ เรียล ซึ่งก็คือ ๒๕๐ บาท และ ๖.๒๕ ดอลลาร์ หรือ ๒๐๐ บาทไทย แล้วใครจะไปจ่ายเป็นเงินขแมร์ละพ่อคุณเอ๊ย..มีแต่ควักดอลลาร์ส่งไปให้แต่โดยดีกันทั้งนั้น...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22235&stc=1&d=1415565058
พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย
เมื่อได้ตั๋วมาแล้วพี่วิไลก็ชี้ให้เข้าประตูเล็กที่เลยห้องขายตั๋วไปหน่อยหนึ่ง ซึ่งมีทางเดินปูอิฐตัวหนอน ยาวเลียบกำแพงพระราชวังเข้าไป สองข้างทางดูร่มรื่นสวยงามด้วยต้นไม้ใบหญ้า ด้านขวามือที่เป็นสนามหญ้าเรียบกริบ มีเสาศาลพระภูมิเช่นกัน แต่ข้างบนเป็นรูปเทวดานั่งคุกเข่าพนมมือเป็นระยะไป มีรูปแกะจากหินทรายเป็นคนถือคันธนู น่าจะเป็นพระรามที่พระหัตถ์ขวาหักไปแล้ว...
เดินไปไม่ไกลนักก็เป็นกำแพงพระราชวังชั้นใน มีอาคารหลังหนึ่งหน้าตาเหมือนมณฑปตามวัดบ้านเรา พวกเราตรงไปยังพระที่นั่งหลังที่เห็นจนคุ้นตาเมื่อค้นคว้าเรื่องพระราชวังของกัมพูชา ซึ่งมีลักษณะเป็นปราสาท ๓ ยอด โดยที่ยอดทั้งสามค่อนไปอยู่ทางท้ายของตัวปราสาท แล้วตัวปราสาทยาวมาทางด้านหน้า ลักษณะการวางผังเหมือนกับไม้กางเขน...
“พระที่นั่งองค์นี้ชื่อ “พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย” เป็นพระที่นั่งสำหรับออกว่าราชการ มีขนาดกว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๖๐ เมตร ยอดปราสาทที่เป็นพรหมพักตร์ตรงกลางสูงถึง ๕๙ เมตร สร้างขึ้นด้วยไม้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๒ แล้วมาปรับปรุงใหม่ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระราชบัลลังก์และพระบรมรูปอดีตบุรพมหากษัตริย์ของกัมพูชาเจ้าค่ะ..”
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22236&stc=1&d=1415649462
พระพุทธรูปฉลอง ๖๐ พระชันษาพระเจ้านโรดมสีหนุ
มัคคุเทศก์ช่างจ้อบรรยายฉอด ๆ ขณะที่พวกเราเดินตรงเข้าไป พอขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ขั้น ก็มีผู้ชายแต่งชุดข้าราชบริพาร ลักษณะคล้ายชุดราชปะแตนนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน ออกมายกมือไหว้แล้วทำมือเหมือนกับพระปางห้ามญาติ ขะโยมซมโต๊ก..โลกไทย ถะไงนี้มีธุระ ฮามจล (กระผมขออภัยครับ..พระคุณเจ้าจากประเทศไทย วันนี้มีงาน ห้ามเข้าครับ) พวกเราชะงักกันหมด อาตมาหันไปมอง ยายจ้อ เห็นเธอทำหน้าจนปัญญา พวกเราจึงต้อง นิวัต (ย้อนกลับ) ลงมาแต่โดยดี...
เลี้ยวขวาไปเกือบจะถึงทางเดินที่เป็นระเบียงคด มีพระที่นั่งหลังหนึ่งลักษณะเปิดโล่ง เหมือนกับศาลาการเปรียญตามวัด ภายในมีพระพุทธรูปหินทรายปางสมาธิ ขนาดหน้าตักประมาณ ๓๐ นิ้ว ประดิษฐานอยู่บนชั้นที่เหมือนกับขั้นบันได ทั้งสองข้างมีพระพุทธรูปสีเหมือนดินเผา หน้าตักประมาณ ๙ นิ้วเป็นจำนวนมากเรียงรายอยู่เป็นชั้น ๆ...
นี่เป็นพระพุทธรูปฉลอง ๖๐ พระชันษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้านโรดมสีหนุ พระคุณท่านจะเห็นว่ามีพระพุทธรูปองค์เล็กอยู่ ๖๐ องค์ บวกกับพระพุทธรูปหินทรายองค์ใหญ่เป็น ๖๑ องค์ เพื่อให้เกินอายุไป ๑ ปี ตามคติความเชื่อที่ว่าจะได้มีอายุยืนยิ่ง ๆ ขึ้นไป ยายจ้อ ทำหน้าที่ของตนเอง ขณะที่อาตมาพาคณะเดินเข้าไปกราบพระ พร้อมกับสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22237&stc=1&d=1415744373
กลายเป็นจีนแท้กันหมด..ตาตี่เชียว
กราบพระเสร็จอาตมาชวนทุกคนถ่ายรูปหมู่ เพิ่งเห็นว่าพี่ปราณีไม่ได้ขึ้นมาด้วย มุมบนนี้มองออกไปทางพระที่นั่งเทวาวินิจฉัย ดูสวยงามทีเดียว แต่เมื่อได้ไม่ครบคน จึงต้องลงมาที่ลานด้านล่าง เพื่อให้พี่ปราณีมาร่วมเข้ากล้องด้วยอีกคนหนึ่ง โดยมีคุณณรงค์เสียสละเป็นตากล้องให้ แต่กลายเป็นลูกจีนตาตี่กันหมด เพราะแสงแดดแรงมาก และส่องใส่หน้าพอดี...
ด้านข้างที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็นพระตำหนักหลังหนึ่ง ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ช่วงบนเป็นหลังคาจตุรมุข แต่เล็กผิดส่วนพิกล ถ้าเอาหลังคากับบันไดออก ก็คือกล่องใบหนึ่งนี่เอง แต่ประตูไม่ได้เปิด อาตมาชะโงกมองทางหน้าต่างชั้นล่างที่มีลูกกรงเหล็ก เห็นมีตู้ใส่ของมีค่าอยู่หลายตู้ มองขึ้นไปชั้นบนตามบันไดประตูก็ปิดอยู่ จึงต้องถอยออกมาด้วยความเสียดาย...
“พระตำหนักกล่อง” แบบนี้มีอยู่หลายหลัง บางหลังก็ล้อมตาข่ายเพื่อซ่อมแซมอยู่ คณะของเราเดินตามนักท่องเที่ยวที่เริ่มมากขึ้นแบบ “ไหลตาม” เขาไป เห็นส่วนมากตรงไปยังพระที่นั่งหลังใหญ่อีกหลังหนึ่ง “หลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงฉลองพระองค์ขององค์กษัตริย์ พระมเหสี เครื่องแบบของข้าราชบริพาร ตลอดจนเครื่องราชูปโภคหลายอย่าง ขอเชิญพระคุณเจ้าและคณะขึ้นไปชมได้เลยเจ้าค่ะ”
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22238&stc=1&d=1415848717
ชุดของบรรดาสาวสรรกำนัลใน ที่ปัจจุบันใช้เป็นชุดประจำชาติ
ฟัง “ยายจ้อ” ไป พวกเราก็เดินขึ้นพิพิธภัณฑ์ไปด้วย ตามนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่ ที่ส่งเสียงล้งเล้งแบบ “เจ๊กตื่นไฟ” เมื่อเข้าไปแล้ว สิ่งที่สะดุดตาทันทีก็คือชุดข้าราชบริพารหญิงในตู้ ที่สวมอยู่กับหุ่นพนมมือ มีครบ ๗ วัน ๗ สี ตั้งแต่แดงบานเย็น ส้มจำปาสด ม่วงน้ำเงิน ฟ้าคราม เขียวคราม น้ำเงินขาบ ม่วงเปลือกมังคุด มัคคุเทศก์จีนพูดถึงตู้กระจก โดยใช้คำว่า “ปอหลีเซวี้ยง” ซึ่งคำนี้นอกจากเขียนให้ตรงเสียงไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ใช่ลูกจีนแท้ พูดให้ตายก็ออกเสียงไม่ถูกอีกด้วย...
อาตมาเดินหลบบรรดา “เจ๊กตื่นไฟ” ที่ส่งเสียงเอะอะแบบไม่ต้องเกรงใจใคร คาดว่าเป็นเพราะแผ่นดินจีนกว้างใหญ่ไพศาล เวลาคุยกันต้องตะโกนคนอื่นถึงจะได้ยิน พอทำแบบนี้ไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็เลยฝังอยู่ในสารพันธุกรรม ทำให้คนจีนคุยกันแล้วคนอื่นได้ยินเหมือนกำลังทะเลาะกันทุกที ขนาดเดินห่างออกมาแล้ว ก็ยังได้ยินอยู่เต็มสองหู “ยายจ้อ” ที่ไม่ตามขึ้นมาด้วย คาดว่าคงเป็นเพราะรำคาญคนเหล่านี้เหมือนกัน...
ในตู้แสดงด้านข้าง เป็นชุดเครื่องทองในราชสำนัก บางอย่างก็ดูออกว่าสำหรับใช้งานอะไร อย่างเช่นชุดพานพระศรี (เชี่ยนหมาก) หรือตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ แต่บางอย่างก็เดาประโยชน์ไม่ออก เพราะหน้าตาเหมือนกับโกศบรรจุอัฐิของบ้านเรา พี่ปราณีกับพี่วิไลที่ดูมาหลายหนจนเบื่อแล้ว หลบนักท่องเที่ยวจีนออกไปก่อน ปล่อยให้อาตมา ป้ามอย แม่ป๋อม พี่มุกดา น้องเล็ก และลูกปุ๊ก เดินดูกันไปตามอัธยาศัย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22240&stc=1&d=1415907882
ฉลองพระองค์สำหรับพระราชินี
ชุดเครื่องทรงสำหรับพระมหากษัตริย์ ทั้งฉลองพระองค์ตัวในก็ดี ฉลองพระองค์คลุมปักทองดุนลายก็ดี เหมาะกับท่านที่หุ่นค่อนข้างอ้วน ส่วนชุดเครื่องทรงสำหรับพระราชินีนั้น เป็นชุดผ้านุ่งแบบจีบหน้านางของไทย มีสไบปักลายทองดุนนูน ดูรัดกุมสวยงามทีเดียว แต่ต้องหุ่นค่อนข้างเพรียวถึงจะใส่ได้ เท่ากับบังคับว่า ถ้าจะสวยสง่าสมกับเป็นพระราชินี ก็ต้องห้ามอ้วนเด็ดขาด...
บรรดานักท่องเที่ยวจีนเบียดกันเอง ผลักกันเอง กระแทกกันเอง แล้วก็ด่ากันเอง อาตมาไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย จึงชวนคนอื่น ๆ เดินหนีออกมาก่อน นักท่องเที่ยวที่ไร้มารยาทแบบนี้ มีแต่ทำให้คนอื่นรำคาญและเบื่อหน่าย ไปที่ไหนมาก ๆ แทนที่จะทำให้ที่นั้นเป็นที่สนใจของคนอื่น ก็กลายเป็นทำให้คนอื่นไม่ไปอีกเลยก็มี...
"ไปไหว้ "พระแก้ว" กันดีกว่า" พี่ปราณีที่ยืนรออยู่ข้างล่างกับพี่วิไล พอเห็นพวกเราลงมาก็รีบชวนให้เดินตามไปทางกำแพงที่มีลักษณะเหมือนระเบียงคด มีประตูเล็กเปิดให้ผ่านเข้าไปได้ ทางนี้ยังมีนักท่องเที่ยวไม่มาก "ด้านนี้คือ "วัดพระแก้ว" เจ้าค่ะ สร้างโดยถือเอาต้นแบบจากสยาม ประกอบไปด้วยสิ่งสำคัญคือโบสถ์อันเป็นที่ประดิษฐาน "พระแก้วมรกต" แต่ว่าองค์นี้เป็น "แก้วหุง" นะเจ้าคะ ไม่ใช่ "แก้วอินทนิล" แบบพระแก้วมรกตของสยามประเทศ แล้วก็มีมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ซึ่งเป็นของเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยนครธม ที่ "องค์เหนือหัว" ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเป็นพุทธบูชาเจ้าค่ะ" "ยายจ้อ" เธอรีบตามมาทำหน้าที่ของตน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22243&stc=1&d=1416021451
อุโบสถ "วัดพระแก้ว" ที่ทรงออกจะ "กระด้าง" ไปนิดหนึ่ง
ผ่าน "พระตำหนักกล่อง" อีกหลังหนึ่งก็เข้าสู่ภายในวิหารคด ซึ่งมีหลังคากระเบื้องสีแดง รายล้อมรอบพื้นที่ส่วนที่เป็น "วัดพระแก้ว" ทั้งสี่มุมมีอาคารที่เหมือนกับหอระฆัง แต่น่าจะเป็นป้อมยามรักษาการณ์มากกว่า รอบข้างเป็นต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกเป็นระเบียบ งอกงามน่าชื่นใจ...
"วัดแห่งนี้เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงสยาม ใช้เวลาถึง ๑๐ ปีจึงสำเร็จเรียบร้อย ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดอุโบสถรตนาราม" จัดให้มีงานฉลองในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ปกติแล้วเป็นวัดที่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา แต่ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ สมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงผนวช และได้จำพรรษาในวัดนี้ ๑ พรรษาเจ้าค่ะ"
พระอุโบสถ "วัดพระแก้ว" ทรงค่อนข้างแข็งกระด้าง พื้นหน้าใต้หลังคาเป็นสี่เหลี่ยมยื่นออกมาตรง ๆ แบบไม่มีชั้นเชิงอะไรเลย ถ้าไม่มีหลังคาหน้าบันสองชั้น ประกอบไปด้วยช่อฟ้าและตัวเหงากับเรือนยอดแบบมณฑปแล้ว ก็จะออกไปลักษณะเป็นกล่องเหมือนกัน รอบด้านเป็นเสากลมเรียงรายถี่ ๆ เพื่อรับน้ำหนักหลังคา หัวเสาเป็นครุฑอัดแบกคาน กำแพงแก้วอยู่ในระดับเดียวกับเสา จึงเท่ากับว่าเป็นระเบียงพระอุโบสถไปในตัว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22244&stc=1&d=1416085250
ภายในโบสถ์ "วัดพระแก้ว"
"ยายจ้อ" เดินนำพวกเราขึ้นบันไดพระอุโบสถ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งที่กำลังเดินเข้าไปแบบพวกเรา และที่เดินกลับลงมาหลายคน ที่ตรงกลางระหว่างประตู ๒ บาน มีป้ายทั้งภาษาขอมและภาษาอังกฤษ บอกข้อห้ามไว้หลายข้อ ซึ่งตัวใหญ่ที่สุดเขียนว่า "หามถดรูปะ" และ "No Photo" ซึ่งก็คือ "ฮามถอดรูป = ห้ามถ่ายรูป" นั่นเอง มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์หันมาทำตา "วิ้ง ๆ" ดูน่ารักผิดปกติ พลางกล่าวว่า "ถ้าพระคุณท่านจะ "ถอดรูป" ก็ได้นะเจ้าคะ" รู้ว่าห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ แม่เจ้าประคุณจึงสนับสนุนเสียเลย มิน่า..ถึงได้ทำท่าน่ารักผิดปกติขนาดนั้น...
พวกเราเข้าทางประตูซ้าย ภาพที่เห็นก็คือภายในเป็นห้องโถงค่อนข้างลึก ด้านในสุดเป็นบุษบกประดิษฐาน "พระแก้วมรกต" มีราชวัตรสีทองรายรอบอยู่นับสิบอัน ตรงหน้าของบุษบกก็คือ "กล่อง" ที่เป็นโครงไม้มีกระจกทั้งสี่ด้าน ด้านบนเป็นหลังคาลดชั้นประกอบลวดลาย มีฉัตร ๕ ชั้นประดับอยู่ด้วย ภายใน "กล่อง" เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ ประทับยืนยกพระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้างแบบปางห้ามญาติ ด้านนอกทั้งสองข้างเป็น "กล่อง" ทรงมณฑปติดกระจก ขนาดสูงประมาณตัวคน มีพระพุทธรูปและเครื่องบูชาอยู่ข้างใน...
สองฟากข้างของ "กล่อง" พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ เป็น "กล่อง" ทรงมณฑปติดกระจก ขนาดสูงประมาณสองศอกจำนวน ๔ ใบ ภายในเป็นพระพุทธรูปหล่อจากทองคำและแกะสลักจากงาช้าง ด้านหน้า "กล่อง" ทั้ง ๔ ใบ เป็นพระพุทธรูปใหญ่ ๆ เล็ก ๆ หลายองค์ มีทั้งที่หล่อสัมฤทธิ์และสลักจากหิน ทั้งหมดที่ว่ามามีเสาโลหะหัวเม็ดสีทอง ร้อยสายโซ่หุ้มกำมะหยี่สีเหลืองล้อมรอบ เป็นสัญลักษณ์ว่า "ห้ามเข้า" ไปในบริเวณนั้น...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22245&stc=1&d=1416166698
มีคนเลียนแบบด้วยการกราบพระและสวดมนต์ด้วย
ผนังโบสถ์ทาสีน้ำตาลเข้มแบบสีกรัก เพดานเป็นสีฟ้าอ่อนในกรอบสีเหลือง แบ่งเป็นช่องตามคานที่ทาสีน้ำตาลเข้มเช่นกัน มีดาวเพดานลวดลายค่อนข้างหยาบอยู่ช่องละ ๓ ดวง ตรงหน้า "กล่อง" พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ เป็นพัดลมเพดานก้านยาว ซึ่งด้านหลังบุษบก "พระแก้วมรกต" ก็เป็นพัดลมอีกอันหนึ่ง ด้านหน้าใกล้กับพัดลมเป็นโคมช่อขนาดใหญ่ที่มีดวงไฟกลม ๆ สองฟากข้างเป็นโคมช่อที่มีดวงไฟแบบจานคว่ำขนาดย่อม ด้านละ ๗ ช่อด้วยกัน...
ติดกับผนังโบสถ์ทั้งสองด้าน เป็นตู้กระจกแสดงของมีค่า ทั้งพระพุทธรูปที่ทั้งหล่อเงินทั้งองค์และบุเงิน พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปงาช้าง และของมีค่าอื่น ๆ เช่น ต้นไม้ทองคำ โกศบรรจุอัฐิทองคำ เป็นต้น ซึ่งถูกกั้นไว้ด้วยเสาประกอบโซ่หุ้มกำมะหยี่สีเหลืองเช่นกัน เมื่อก้มลงมองเสาประกอบโซ่ จึงเห็นว่าพื้นพระอุโบสถเป็นแผ่นโลหะตีจากเงินแท้ ๆ ปูอยู่ทั่วทั้งหลัง...
นักท่องเที่ยวเดินชมกันให้ขวักไขว่ไปหมด เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ ๔ นาย สอดส่ายสายตาไปมาเพื่อระมัดระวัง ว่าจะมีใครละเมิดกฎระเบียบบ้าง อาตมาหาที่ว่างได้ก็คุกเข่าลงกราบพระ พร้อมกับสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ทุกคนที่ตามมาก็คุกเข่ากราบพระสวดมนต์ แบบไม่กลัวว่านักท่องเที่ยวที่เดินกันเต็มไปหมดจะเหยียบเอา เมื่อมีตัวอย่างทำให้ดู นักท่องเที่ยวหลายรายก็พยายามคุกเข่ากราบพระแบบเก้ ๆ กัง ๆ เอาอย่างบ้าง หลายคนฉวยโอกาสนั่งแปะลงไปพักเสียเลย ตรงหน้าพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิจึงกลายเป็นที่ว่างไปแถบใหญ่ไปทันที...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22248&stc=1&d=1416254704
จะ "ถอดรูป" ให้ชัดเจนกว่านี้ก็ไม่ได้ เกรงใจเจ้าหน้าที่ของเขา
เมื่อสวดมนต์และอุทิศส่วนกุศลแล้ว อาตมาก็เดินเลี่ยงออกด้านข้าง หันไปสบตา "ยายจ้อ" พอเธอผงกหัวแบบว่า "ได้เลย" ก็ยกกล้องขึ้นถ่ายรูป แล้วเก็บเข้ากระเป๋าแบบไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะฝีมือคุณเธอช่วยบังตาให้ หรืออาตมามือไวจนเจ้าหน้าที่มองไม่ทันก็ไม่รู้ ? ทำให้ถ่ายรูปได้แบบไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกจากคณะ ปะปนไปกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เผื่อว่าโดนจับได้ จะได้ไม่พาให้คนอื่นโดยเฉพาะพี่ปราณีกับพี่วิไล "ซวย" ไปด้วย...
เมื่อเลี่ยงออกมาด้านข้าง จึงเห็นว่า "พระแก้วมรกต" ของเขมร เป็นแก้วสีเขียวอมเหลืองค่อนข้างใส องค์พระหน้าตักประมาณ ๑๒ นิ้ว ซึ่งหน้าตักค่อนข้างกว้างเหมือนกับเป็นศิลปะล้านช้าง นอกจากพระเกตุมาลาและฐานพระที่หุ้มทองกับสังวาลทองคำเล็ก ๆ เส้นหนึ่งแล้ว ทั้งองค์ไม่มีเครื่องทรงอื่น ๆ เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่ทราบว่าตั้งใจอวดเนื้อแก้วขององค์พระ หรือว่าไม่มีงบประมาณในการสร้างเครื่องทรงกันแน่ ? เหตุที่คิดแบบนี้เป็นเพราะว่า ทางเขมรตั้งใจเลียนแบบไทยไปทุกอย่าง แม้แต่บุษบกประดิษฐานพระแก้วก็ถอดแบบเอาไป ถึงจะฝีมือหยาบกว่ามากก็เถอะ แต่ทำไมถึงไม่มีเครื่องทรงสามฤดูก็ไม่รู้ ? อาจจะไม่มีช่างฝีมือระดับสุดยอดก็เป็นได้...
อาตมาชำเลืองดูเจ้าหน้าที่ พร้อมกับเดินดูรายละเอียดโดยรอบไปด้วย จนมาถึงด้านหลังข้างซ้าย จึงได้โอกาส "ถอดรูป" ขององค์ "พระแก้วมรกต" อีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีผู้คอยช่วยเหลืออยู่ แต่ถ้าไม่ต้องพึ่งพิงผู้อื่นอาตมาก็ยินดีที่จะทำเองมากกว่า เมื่อได้รูปมาแล้วอาตมาก็เดินชิดผนังไปชมพระพุทธรูปและของมีค่าในตู้กระจกต่อไป...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22250&stc=1&d=1416343045
พระพุทธรูปงาช้างพระเกตุมาลาทองคำฐานเงิน
สิ่งของตู้ที่น่าสนใจก็คือพระพุทธรูปงาช้างแกะสลัก พระเกตุมาลาเป็นทองคำประดับพลอย ห่มผ้าสไบที่ถักจากเส้นลวดทองคำ ตั้งอยู่บนฐานเงินดุนลวดลาย ด้านข้างยังมีพระเจดีย์กลึงจากงาช้าง ลักษณะเป็นพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ประดับด้วยลวดลายและฉัตรทองคำ...
อีกหลายตู้ส่วนมาก เป็นพระพุทธรูปทองคำฐานเงิน บ้างก็เป็นปางไสยาสน์ บ้างก็เป็นปางสมาธิ องค์ที่เป็นปางไสยาสน์ มีพระอานนท์ที่หล่อด้วยทองคำคุกเข่าอยู่ทางพระบาทด้วย อีกองค์หนึ่งเป็นพระนางสิริมหามายา หล่อจากทองคำสูงประมาณคืบเศษ ยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ทองคำในปางประสูติพระโพธิสัตว์...
มาถึงตู้ลักษณะเหมือนบุษบก ตั้งอยู่ติดประตูกลางด้านซ้ายของพระอุโบสถ ภายในเป็นพระพุทธรูปทองคำหน้าตักประมาณ ๙ นิ้ว ๑ องค์ มีป้ายเป็นภาษาอังกฤษบอกว่า หล่อด้วยทองคำ ๑๓ กิโลกรัม อีกองค์หนึ่งขนาด ๕ นิ้ว ทั้งสององค์นี้ประดับเพชรด้วย แล้วยังมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติ สูงประมาณครึ่งคืบ พร้อมกับพระพุทธรูปปางมารวิชัยหน้าตักประมาณ ๓ นิ้ว ทั้งสององค์นี้เป็นทองคำฐานเงิน และพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ยาวประมาณ ๑ คืบ ๑ องค์ น่าจะหล่อจากนากเพราะเริ่มกลับดำแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22256&stc=1&d=1416427416
หลวงพ่อสัมฤทธิ์ที่ต้องใช้กลยุทธ์ "ปิดฟ้าข้ามทะเล" ถึงจะได้รูปมา
วนมาถึงด้านหลังของพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปเก่า ๆ หลายองค์ ที่ติดตาต้องใจมากที่สุด เป็นองค์ที่ตั้งอยู่ข้างเจ้าหน้าที่ ซึ่งนั่งเก้าอี้อยู่สูงกว่าพระเสียอีก องค์นี้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อสัมฤทธิ์ พระพักตร์ออกไปทางจีน ทั้งองค์พระทั้งฐานเป็นเนื้อสัมฤทธิ์เก่าแก่ ดูงดงามจับตามาก ตรงหน้าพระมีพานที่คนบริจาคเงินเอาไว้จำนวนมาก ต้องเป็นพระสำคัญของเขาแน่ ๆ อาตมาอยากจะถ่ายรูปเอาไว้ แต่เจ้าหน้าที่นั่งชิดติดกับองค์พระแบบนั้น ตูจะทำอย่างไรดี ?
หันไปขอความช่วยเหลือจาก ยายจ้อ คุณเธอชี้ไปที่พี่ปราณี ให้พี่สาวของท่านไปชวนเจ้าหน้าที่คุยด้วยสิเจ้าคะ พอบอกเท่านี้อาตมาก็เข้าใจ เดินกลับมากระซิบบอกกับพี่ปราณีว่า อยากถ่ายรูปหลวงพ่อสัมฤทธิ์องค์นั้น พี่ช่วยไปชวนเจ้าหน้าที่คุยด้วยสักหน่อย จะได้มีจังหวะถ่ายรูป พี่ปราณีพยักหน้าแบบไม่ต้องขอร้องอะไรกันมากกว่านี้ เดินตรงเข้าไปหาเหยื่อ เอ๊ย..เจ้าหน้าที่ทันที...
พี่เขาร้ายตรงที่ว่า เดินไปถึงก็ยืนบังพระพุทธรูปเอาไว้ แล้วถามโน่นถามนี่เกี่ยวกับ พระแก้วมรกต เจ้าหน้าที่เห็นนักท่องเที่ยวสนใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศตน จึงบรรยายน้ำไหลไฟดับ เชื่อว่าพี่เขาฟังออกไม่หมดหรอก แต่อาตมาถ่ายรูปได้หมดแน่ ๆ เสร็จแล้วเดินเลยไปเพื่อให้พี่เขาเห็น อีกสักครู่พี่ปราณีก็เดินตามมา ถามเบา ๆ ว่า ได้ไหม ? เรียบร้อยครับ ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22262&stc=1&d=1416516298
มุมประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์เขมร
อาตมาบอกพี่ปราณีให้แจ้งพวกเรา ถอนทัพ ตามประสา วัวสันหลังหวะ ได้รูปแล้วก็รีบเผ่น เรื่องอะไรจะอยู่ให้เขาจับได้ ลงจากพระอุโบสถมา ก็เห็นตรงหน้ามีพระเจดีย์องค์ใหญ่ไม่น้อยอยู่ ๒ องค์ มีลวดลายปูนปั้นละเอียดยิบ ตรงกลางมีอาคารลักษณะมณฑปเปิดทั้งสี่ด้าน มีอนุสาวรีย์คนขี่ม้าอยู่ข้างในมณฑปด้วย...
พระเจดีย์ทั้ง ๒ องค์นี้ องค์ซ้ายมือบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ (นักองค์ด้วง) รัชกาลที่ ๓ ของพระราชวงศ์นโรดม ส่วนองค์ขวามือบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระอุทัยราชาธิราช (นักองค์จันทร์) รัชกาลที่ ๒ พระบรมราชานุสาวรีย์ทรงม้าในมณฑป คือสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช (นักองค์เอง) รัชกาลที่ ๑ ของพระราชวงศ์นโรดมเจ้าค่ะ
ขอบอกว่าอาตมาตกประวัติศาสตร์เขมร ทั้งที่เป็นบ้านใกล้เรือนคียงแท้ ๆ ถ้าไม่มี ยายจ้อ มาด้วย ก็หูหนวกตาบอดไปเลย พอแม่ป๋อมถ่ายรูปพระเจดีย์ไปแล้ว พวกเราที่เหลือก็ไม่มีใครอยากจะอาบแดดเปรี้ยง ๆ ชมพระเจดีย์แบบใกล้ ๆ จึงเดินตามบรรดานักท่องเที่ยวไป พวกเขาเลี้ยวขวาไปยังเนินเขาเตี้ย ๆ ที่มีมณฑปหน้าตาเหมือนพระพุทธบาทที่สระบุรีอยู่ข้างบน ส่วนพวกเรานั้น ยายจ้อ ชี้ให้ไปยังอาคารหลังหนึ่ง ที่หน้าตาคล้าย ๆ กับโบสถ์ของบ้านเรา...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22264&stc=1&d=1416602079
พระพุทธบาทสี่รอยจำลองที่สร้างเลียนแบบไปจากประเทศไทยเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพนมมือไหว้ แล้วผายมือเชิญคณะของเราเข้าไปด้านใน พวกเราเดินเข้าประตูทางซ้ายมือที่เปิดอยู่บานเดียว พอเข้าไปถึงรู้ว่าเข้ามาทางด้านหลังของตัวอาคาร เพราะว่าพระพุทธรูปทุกองค์ข้างในหันหลังให้กับพวกเรา ตรงกลางติดผนังเป็นพระประธานปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักประมาณ ๓ ศอกคืบ ประดิษฐานอยู่บนอาสนะสูง ข้างหน้าองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปประทับยืน มีทั้งหล่อจากสัมฤทธิ์ หล่อจากทองเหลือง และแกะสลักจากหินทราย ประทับยืนเรียงรายอยู่ ๗ องค์...
ตรงกลางเป็นพระพุทธบาทสี่รอยจำลองหล่อจากปูน ขนาดใหญ่เกือบเต็มพื้นที่อาคารทั้งหลัง ด้านหน้ารอยพระพุทธบาท มีพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิปางห้ามญาติ อยู่ใน กล่อง เหมือนกับในพระอุโบสถ ทั้งสองข้างพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ มีพระพุทธรูปที่ส่วนใหญ่แกะสลักจากไม้ มีทั้งปางไสยาสน์ ประทับยืน ประทับนั่งในอิริยาบถต่าง ๆ หลายสิบองค์...
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๕ ในราชวงศ์นโรดม ล้วนแต่เคยประทับอยู่ในประเทศสยามตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งยังได้รับการอภิเษกจากพระเจ้ากรุงสยามให้มาครองกรุงกัมพูชา จึงนำเอาศิลปวัฒนธรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสยาม มาสร้างเอาไว้ในพระบรมมหาราชวัง พระพุทธบาทสี่รอยจำลองนี้ ก็สร้างเลียนแบบจากสยามเช่นกันเจ้าค่ะ ยายจ้อ บรรยายขยายความ ขณะที่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลส่งธูปเทียนให้พวกเราจุดบูชา...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22266&stc=1&d=1416696054
ปิดทองรอยพระพุทธบาท
พวกเราจุดธูปอธิษฐานแล้วสวดมนต์กันตามอัธยาศัย อาตมาว่า อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ไป ๓ จบ แล้วอุทิศส่วนกุศล “ยายจ้อ” รีบโมทนา อุปาทานทำให้เห็นว่าเธออ้วนขึ้น คงจะกินมากไปหน่อย ฮ่า..! ปักธูปแล้วอาตมาควักเงินหยอดตู้ไป ๓,๐๐๐ เรียล ทุกคนเลยควักกระเป๋าเอาเงินที่ส่วนมากเป็นเงินไทยหยอดตู้ทำบุญกันใหญ่ พี่ปราณีกับพี่วิไลเล่นหยอดไปคนละ ๑๐ ดอลลาร์เลย...
“ปิดทองรอยพระพุทธบาทได้ไหมคะ ?” น้องเล็กถามขึ้น พี่ปราณีหันไปถามผู้ดูแลอีกต่อหนึ่ง เขารีบจัดการปลดสายโซ่หุ้มกำมะหยี่ ที่กันคนเข้าไปถึงรอยพระพุทธบาทให้ทันที พวกเรารับทองคำเปลวที่น้องเล็กแบ่งให้ จัดการปิดทองกันเป็นการใหญ่ แต่รอยพระพุทธบาทใหญ่มหึมาจนเกินไป ทำเอาทองคำเปลวแผ่นเล็ก ๆ กลายเป็นก้อนกรวดในมหาสมุทรไปเลย...
อาตมาถ่ายรูปไปทุกซอกทุกมุมแล้ว หันมาขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลที่ช่วยสงเคราะห์ จากนั้นชักแถวเดินตาม “ยายจ้อ” กลับออกมาทางเดิม ตรงไปยังเนินเตี้ย ๆ ที่มองเห็นยอดมณฑปเหมือนกับพระพุทธบาทที่สระบุรี โผล่ขึ้นมาเหนือแมกไม้ ตรงทางขึ้นทำเป็นลักษณะคล้ายถ้ำ มีรูปปั้นห่มผ้าขาวอยู่ข้างใน คงเป็นเจ้าที่ผู้รักษาสถานที่นี้ ข้าง ๆ “ตาเจ้าที่” เป็นพระพุทธรูปเศียรหักหายไปองค์หนึ่ง และรูปเทวดาหรือนางฟ้าก็ไม่รู้ เพราะว่านอกจากชฎาจะหักหายไปแล้ว ยังโดนห่มผ้าจนดูไม่ออกว่าข้างในปั้นเป็นรูปอะไรอีกด้วย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22271&stc=1&d=1416772874
มณฑปพระพุทธบาทของกัมพูชา
ถัดไปเป็นรูปสลักจากหินทราย น่าจะเป็นพระพรหมที่ค่อนข้างยากจน เพราะท่านไม่มีเครื่องทรง นอกจากผ้านุ่งและหมวกที่ดูคล้ายกับหมวกพระจีน ประทับนั่งอยู่บนหลังหงส์ซึ่งหันหน้าออกไปทั้งสี่ทิศ หน้าตาของหงส์นั้นเหมือนกับนกคุ่มหรือไก่ต๊อกมากกว่า แถมตัวที่อยู่ด้านตรงยังพ่นน้ำออกมาเป็นน้ำมนต์ มีหลายคนกำลังวักมาล้างหน้าและพรมใส่หัวตัวเองอีกด้วย พวกเราเดินขึ้นบันไดที่ไม่ค่อยจะเหมือนบันไดนัก เพราะเป็นชั้นลดกว้างมาก ที่ลดหลั่นลงมาตามลาดเนิน...
เลี้ยวขวาตามบันไดขึ้นไปอีกนิด ก็เห็นได้ชัดว่ามณฑปหลังนี้ถอดแบบไปจากมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทที่สระบุรีอย่างแน่นอน เพียงแต่ครอบอยู่ในลักษณะแบกับดิน ไม่ได้มีบันไดนาคแบบที่สระบุรี มีคนเดินเข้าไปในมณฑปอยู่ ๒ - ๓ คน นอกนั้นมัวแต่ชื่นชมกับความสวยงามและถ่ายรูปตัวมณฑปอยู่ด้านนอก อาตมาเดินนำทุกคนเข้าไปบ้าง พอเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็ยืนตะลึง..!
ตรงกลางด้านในเป็นพระพุทธรูปสลักจากหยกพม่า ศิลปะแบบพม่าแท้ มีผ้าห่มแถมพวงมาลัยคล้องพระศอเหมือนนักร้อง ด้านบนเป็นแผ่นฉัพพรรณรังสีและสัปทนกั้นอยู่ สองข้างเป็นราชวัตรและต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ด้านซ้ายขององค์พระเป็นพระปางไสยาสน์ ยาวประมาณ ๒ ศอกเศษ ประดิษฐานอยู่บนแท่นสูง มีพระพุทธรูปยืนขนาดเล็กปางต่าง ๆ อยู่หลายองค์ ทางขวาขององค์พระเป็นพระนาคปรกทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่ ๕ - ๖ องค์ แกะสลักจากหินทรายที่ฝีมือประณีตทีเดียว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22274&stc=1&d=1416856469
รอยพระพุทธบาทจำลอง เหมือนของวัดท่าขนุนราวกับเป็นคู่แฝด..!
"ถึงกับตะลึงเลยหรือเจ้าคะ ? เหมือนหรือไม่เจ้าคะ ?" "ยายจ้อ" ถามเมื่อเห็นอาตมายืนอึ้งตะลึงแล จะไม่ให้อึ้งได้อย่างไรเล่า ? ในเมื่อตรงกลางมณฑปที่มีสายโซ่หุ้มกำมะหยี่สีแดงกั้นอยู่นั้น เป็นพระพุทธบาทจำลองหล่อสัมฤทธิ์ปิดทอง ฝีมือละเอียดประณีตงดงาม ที่สำคัญคือลักษณะ ขนาดและลวดลายทุกอย่าง เหมือนกับรอยพระพุทธบาทจำลองของวัดท่าขนุนอย่างกับคู่แฝด..!
"นี่คือพระพุทธบาทจำลอง ซึ่ง "องค์เหนือหัว" โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อสักการบูชา ปกติมีอยู่ ๑ คู่ประดิษฐานอยู่ในปราสาทนครธม แต่ภายหลังสูญหายไปในศึกสงคราม พระคุณเจ้าคงทราบดีนะเจ้าคะ ว่าสูญหายไปอยู่ที่ไหน ?" ก็เพิ่งจะทราบเหมือนกันนี่แหละ อาตมาพยายามสืบหาว่า พระพุทธบาทจำลองวัดท่าขนุนมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ก็มืดแปดด้าน ได้แต่สันนิษฐานว่าเป็นของเก่า สร้างมาแล้วนับร้อยปี ไม่นึกว่าจะเก่าเกือบพันปีอย่างนี้...
"ฐานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทนี้ ก็เป็นรอยพระพุทธบาทจำลองเช่นกันเจ้าค่ะ ครั้งแรกสร้างขึ้นเพื่อสักการบูชาแทนองค์จริง ต่อมาสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญองค์จริงมาประดิษฐานไว้ ซึ่งสามารถวางซ้อนลงบนองค์จำลองได้พอดี" อาตมาไม่มีอารมณ์ที่จะฟังการบรรยายของ "ยายจ้อ" อีกแล้ว นั่งคุกเข่าลงกราบสักการะรอยพระพุทธบาท พลางพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22278&stc=1&d=1416946210
รอยพระพุทธบาทประดิษฐานซ้อนรอยพระพุทธบาท
ทุกมิติเหมือนกับพระพุทธบาทจำลองของวัดท่าขนุน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ารอยพระพุทธบาทของวัดท่าขนุนนั้น ยกออกมาให้คนปิดทองทุกวันมาฆบูชา ทำให้เกิดการชำรุดจนขอบฐานด้านล่างบิ่นไปเล็กน้อย และ รอยกงจักรกลางพระบาทที่ทำเป็นดอกจันทน์ถอดได้นั้น หลุดหายไปในสมัยท่านอาจารย์สมพงษ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปก่อนอาตมานี่เอง...
พี่ปราณีที่ไม่รู้เรื่องของรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนมาก่อน ถามผู้ดูแลหนุ่มใหญ่เหมือนกับรู้ใจอาตมาว่า "เป็นรอยพระพุทธบาทเก่าใช่ไหม ?" อีกฝ่ายรีบบอกว่าเป็นของที่สร้างมาตั้งแต่สมัยนครวัด มีอายุนับพันปี ฮ่า..มั่วแล้วลุง..! นครวัดเป็นศาสนสถานของฮินดู จะสร้างรอยพระพุทธบาทไปทำไม ? นอกจากลุงตั้งใจจะ "เพิ่มราคา" ให้กับรอยพระพุทธบาท ว่าเก่ากว่าของจริงอีกเป็นร้อยปีเท่านั้น...
เท่านี้ก็เป็นที่ปีติยินดีมากแล้ว เพราะได้รู้ว่ารอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนมีที่มาที่ไปอย่างไร ? พวกเรากราบสักการะ สวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ถ่ายรูปแล้วบริจาคเงินใส่ตู้กันตามอัธยาศัย จากนั้นเดินหลบนักท่องเที่ยวฝรั่งที่เข้ามาถ่ายรูปรอยพระพุทธบาทออกไปด้านนอก "ยายจ้อ" พาเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของทางเดิน ซึ่งมีแผ่นหินอ่อนเหมือนกับอนุสาวรีย์ของอะไรสักอย่าง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22292&stc=1&d=1417030725
ตราแผ่นดินกัมพูชา
"นี่เป็นตราแผ่นดินกรุงกัมพูชาเจ้าค่ะ สร้างขึ้นในต้นรัชสมัยสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ต่อมาสมเด็จพระนโรดมสุรามฤต พระราชบิดาของสมเด็จพระนโรดมสีหนุขึ้นครองราชย์ ทรงตำหนิว่าใช้ภาษาต่างชาติในตราแผ่นดิน จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ ของเก่าจึงถูกอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่นี่เจ้าค่ะ" เมื่อเห็นอาตมาทำท่า "มึนตึ๊บ" คุณเธอก็รีบบรรยายต่อว่า...
"สมเด็จพระนโรดมสีหนุสละราชสมบัติถวายพระราชบิดาเจ้าค่ะ เป็นการสืบสันตติวงศ์กลับหลังที่ไม่เหมือนใครในโลก จนสมเด็จพระนโรดมสุรามฤตสิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระนโรดมสีหนุจึงขึ้นครองราชสมบัติอีกวาระหนึ่ง พระราชมารดาของสมเด็จพระนโรดมสุรามฤตเป็นชาวสยามนะเจ้าคะ ชื่อเจ้าจอมมารดาเอี่ยม เป็นหลานของเจ้าพระยาอภัยภูเบศวร์ (แบน) เจ้าค่ะ"
ยิ่งฟังก็ยิ่งมึนหนักเข้าไปอีก ตูยิ่งตกประวัติศาสตร์เขมรอยู่ด้วย เข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นว่าตราแผ่นดินนี้คล้ายกับตราแผ่นดิน "สยาม" มีภาษาอังกฤษเขียนทับศัพท์ว่า "เพรียะเจ้ากรุงกัมปูเจีย" ลักษณะลายเส้นเหมือนกับร่างโดยฝีมืออองรี มูโอต์ แกะลงบนแผ่นหินอ่อนไม่ลึกนัก คาดว่าคงตั้งใจติดเอาไว้ในพระบรมมหาราชวัง แต่ตกกระป๋องมาตั้งอยู่ใต้ต้นไม้นี้แทน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22293&stc=1&d=1417113919
พระปรางค์ที่ข้างในเป็นพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
พวกเราชมตราแผ่นดินและถ่ายรูปกันแล้ว ก็ย้อนกลับลงมา เดินวนทักษิณาวรรตรอบเนินไปทางอุโบสถพระแก้ว มีอาคารหน้าตาเหมือนศาลาการเปรียญหลังหนึ่ง ด้านบนมีภาพพระพุทธเจ้าแกะสลักบนแผ่นไม้ทาสีทอง เป็นปางแปลก ๆ เหมือนกับให้ปัจฉิมโอวาทก่อนปรินิพพาน อีกภาพเป็นปางปฐมเทศนา แต่ประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์แสดงธรรมจักรต่อปัญจวัคคีย์ สงสัยว่าคนแกะสลักคงจะค่อนข้างสับสนกับชีวิต ถึงได้แกะออกมาในลักษณะอย่างนี้...
ตรงหน้าภาพแกะสลักทั้งสองภาพ มีชั้นไม้ค่อนข้างประณีต ตั้งพระพุทธรูปทั้งเล็กและใหญ่ไว้หลายสิบองค์ ทางด้านขวาของศาลาการเปรียญเยื้องไปด้านหน้า ใกล้กับอุโบสถพระแก้ว มีพระปรางค์ลักษณะเหมือนกับพระปรางค์สามยอดที่ลพบุรี แต่พระปรางค์องค์นี้มียอดเดียว เปิดโล่งทั้งสี่ด้าน มีบันไดให้ขึ้นไปถึงข้างบนได้ เมื่ออาตมาขึ้นไปถึงจึงเห็นว่าเป็นพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตั้งอยู่บนฐานบัว ทั้งองค์พระเจดีย์และฐานบัว เป็นปูนปั้นทาสีทองเอาไว้ แต่ถูกฝุ่นจับจนค่อนข้างจะเก่าแล้ว...
กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุแล้ว อาตมาก็เดินตามนักท่องเที่ยวทั้งหลายไป โดยมีคณะของเราตามมาเป็นพรวน ผ่านต้นสาละลังกาที่ออกดอกเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมหวนไปไกล ใต้ต้นสาละเป็นพระพุทธรูปนาคปรกแกะสลักจากหินทราย ตั้งอยู่กับพื้นดินเลย มีแจกันดอกไม้ ๑ คู่กับกระถางธูปรูปกลีบบัวอีก ๑ ใบวางอยู่ข้างหน้า...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22298&stc=1&d=1417202393
ศิวนาฏราชในห้องพิพิธภัณฑ์
ด้านซ้ายมือของต้นสาละ เป็นระเบียงคดที่มีข้าวของเครื่องใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น คันไถสำหรับงานจรดพระนังคัล (แรกนาขวัญ) ราชวัตร บังสูรย์ บังแทรก พัดโบก เป็นต้น ถัดไปเป็นกองเสาและคานไม้เก่า ๆ น่าจะรื้อมาจากพระตำหนักหลังใดหลังหนึ่ง แล้วใช้งานไม่หมด จึงเอามากองรวมกันไว้ที่นี่ สุดทางระเบียงคดเป็นห้องโถงใหญ่ มีนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปไม่น้อย แต่ก็มีอีกจำนวนมากที่เดินเลยไป อาตมาขี้สงสัยอยู่แล้ว จึงเดินตามเข้าไปในห้องโถงบ้าง...
เจ้าหน้าที่เรียกตรวจ "สลากบัตร" เมื่อเห็นว่าพวกเรามีตั๋วเข้าชมกันแล้วทุกคน ก็ปล่อยให้เข้าไปข้างใน ตรงกลางห้องเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์ "ศิวนาฏราช" องค์ใหญ่ สวยงามสุดใจขาดดิ้น นอกจากศิลปะอันอ่อนช้อยงดงามแล้ว ยังได้ศูนย์ชนิดที่องค์เทวรูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนฐานเล็กประมาณ ๒ ฝ่ามือเท่านั้น ซ้ำเขายังอวดฝีมือด้วยการยกองค์เทวรูปตั้งไว้บนลูกกลึงไม้อีกทีหนึ่ง ให้เห็นชัด ๆ ไปเลยว่าศูนย์ดีถึงขนาด เนื้อโลหะสัมฤทธิ์ก็สวยฉ่ำติดตาติดใจ เห็นแล้วอยากอุ้มกลับไปเมืองไทยเดี๋ยวนั้นเลย..!
ด้านหลังองค์ศิวนาฏราช เป็นแท่นไม้สามชั้น ตั้งเทวรูปพระพิฆเณศวร์และพระนารายณ์หลายองค์ ชั้นบนสุดเป็นพระพุทธรูปศิลปะขอมทรงเครื่อง ขนาดหน้าตักประมาณ ๙ นิ้ว แต่ว่าโดนเทวรูปพระศิวะ "ขโมยซีน" ไปจนหมด ทั้งศิลปะการออกแบบ ทั้งเนื้อโลหะสู้กันไม่ได้เลย จนคนแทบจะไม่สนใจเทวรูปองค์อื่น ๆ บนชั้น เอาแต่รุม "ถอดรูป" ขององค์ศิวนาฏราชเป็นการใหญ่ ได้เห็นแค่เทวรูปพระศิวะองค์นี้องค์เดียว ก็คุ้มกับที่มากัมพูชาแล้ว..! จะถาม "ยายจ้อ" ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ? เธอก็ "หายศีรษะ" ไปไหนไม่รู้ ? ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง ชอบทำตัวเป็น "นินจา" เหมือนกันหมด...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22304&stc=1&d=1417293468
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกัมพูชา
ถัดมามีรูปปั้นช้างเผือกเชือกใหญ่เท่าช้างจริง ๆ อยู่กลางห้อง ลูกปุ๊กวิ่งเข้าไปขอให้แม่ป๋อมช่วยถ่ายรูปกับช้างเผือกให้ด้วย รอบข้างเป็นกูบและสัปคับสำหรับผูกบนหลังช้างแบบต่าง ๆ มีทั้งแบบเปิดเหมือนกับเตียงโล่ง ๆ แบบมีหลังคาปิดทั้งทรงจั่วและทรงโค้ง แบบเปิดประกอบอาวุธและสัปทนสำหรับออกรบ แบบมณฑปทรงสูง น่าจะเอาไว้อัญเชิญพระพุทธรูปไปบนหลังช้างเวลามีเทศกาลงานพิธีสำคัญ...
สุดห้องก็เป็นทางออกพอดี เดินต่ออีกนิดเดียวก็พ้นกำแพงพระราชวังออกมายังท้องถนน ช่วงเวลานี้ถนนค่อนข้างจะโล่ง เมื่อพวกเราเดินข้ามถนนไปยังที่จอดรถ อาตมาจึงหยุดถ่ายรูปกลางถนนได้เลย พี่ปราณีชี้ไปยังอาคาร "ทรงไทย" สวยงาม หลังไม่ใหญ่นัก ๒ หลัง ที่อยู่ติดริมแม่น้ำโขง บอกว่า "ไปไหว้เจ้าพ่อหลักเมืองกันก่อนค่ะ" ว่าอะไรว่าตามกันอยู่แล้ว พวกเราจึงเดินไปยังอาคารหลังทางขวามือ (เมื่อหันหน้าลงแม่น้ำโขง) ก่อน...
รอบเทวาลัย "ทรงไทย" เล็ก ๆ หลังนี้ มีรั้วปูนปั้นล้อมรอบ เปิดช่องให้เข้าได้ทั้งสี่ทิศ ข้างในมีเทวรูปพระนารายณ์องค์ใหญ่ สูงเกือบจรดเพดาน ปกติรูปปั้นพระนารายณ์ จะมี ๔ หรือ ๘ กร แต่องค์นี้กลับเลือกมัชฌิมาปฏิปทามี ๖ กรแทน ทั้งซ้ายขวาขององค์เทวรูปเป็นเทพบริวารที่นั่งแปะอยู่กับพื้น ตรงหน้าเทวรูปเป็นเครื่องบูชามากมาย ทั้งมะพร้าวอ่อนที่มีดอกบัวปักอยู่ผลละ ๓ ดอก กล้วยน้ำว้า และดอกบัวที่อยู่ในแจกันดินเผาขนาดเกือบโอบ แถมยังมีถังอะลูมิเนียมอีก ๒ ใบ ตั้งไว้รอรับดอกบัวได้อีกมาก...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22314&stc=1&d=1417380111
เกือบโดนฟาด "กบาล" ด้วยพระขรรค์ไปแล้ว..!
"อยู่ที่นี่ "ท่านพี่" กินเจหรือ ?" อาตมากำหนดใจถาม "ฮ่วย..ทำอย่างกับท่านไม่รู้ว่าฮินดูเขาถือมังสะวิรัติ..!" อยู่เขมรแต่ "ท่านพี่" เล่นภาษาลาวนำประโยคมาเลย "เห็นเวลาที่พวกผมทำบวงสรวง มีทั้งไก่ต้ม มีทั้งหัวหมู ก็เลยนึกว่า "ล่อ" มังสะเป็นปกติ" อีกฝ่ายถอนฉิว เกือบจะฟาดกบาล (คำนี้เป็นภาษาขแมร์แท้ ๆ เลย) อาตมาด้วยพระขรรค์เข้าแล้ว..!
"ใครจะไปกินวะ ? นั่นเป็นการกำหนดเพื่อแยก "สาย" การสงเคราะห์ให้ชัดเจนเท่านั้นโว้ย..! ถ้าทั่ว ๆ ไปส่วนมากก็ใช้เครื่องบูชาเหมือนกับที่นี่" อยู่ "ข้างบน" ท่านเป็นใหญ่เป็นโต แต่ดันมี "ไอ้น้อง" ที่ไม่ค่อยรู้จักที่สูงที่ต่ำคอยกวนอยู่เรื่อย ขืนถามซอกแซกต่อ อาจจะโดน "พระบาท" อันเป็นมงคลเข้าก็ได้ อาตมาจึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้ "ท่านพี่" และบริวารทั้งหมด ขณะที่พี่ปราณีกับพี่วิไลนำพวกเราไปซื้อเครื่องบูชามาไหว้ขอพรกัน...
อาตมาไม่รอคณะเพราะรู้ว่านานแน่ ๆ จึงตรงไปยังอีกเทวาลัยหนึ่ง "ท่านพี่" ดันเดินตามมาด้วย "เฮ้ย ๆ..! เล่นเดินตามมาแบบนี้แล้วพวกน้อง ๆ เขาจะไหว้ใคร ?" อาตมาประท้วง "ก็ไหว้รูปปั้นไปก่อนสิวะ..เอ๊ย..สิครับ" ท่านตอบมาหน้าตาเฉย นาน ๆ ผู้ใหญ่ขนาด "ท่านพี่" จะได้ "อู้งาน" เสียที มิน่าล่ะ.."ยายจ้อ" ถึงได้ "หายศีรษะ" ไป ก็เจ้านายของเจ้านายมาเองแบบนี้ ใครจะอยู่ให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ เป็นอาตมาก็หลบไปนอนเหมือนกันแหละ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22315&stc=1&d=1417460694
กลัวคนไม่รู้ว่าเป็นใคร จึงมาเหมือนกับรูปปั้นเลย
เทวดาในชุดขาวระยิบระยับ ๓ องค์ ออกจากเทวาลัยมาต้อนรับ น้อมตัวไหว้อาตมาอย่างนอบน้อม แล้วหันไปไหว้ "ท่านพี่" อย่างงาม อีกฝ่ายโบกพระหัตถ์เป็นเชิงว่า "ไปทำหน้าที่ต่อ" จึงหายกลับเข้าไปในเทวาลัยตามเดิม "ลูกพี่" อู้งาน แต่บังคับให้ลูกน้องทำงาน ไม่ยักมีปากมีเสียงบ้าง "จะมีก็ได้นะ..ตูจะได้ส่งไปเฝ้า "ถานพระ (ห้องส้วมสำหรับพระ)" ให้เข็ด" แบบนั้นก็โหดเกินไป๊..!
ทางด้านนี้แทบจะหาคนไม่ได้เลย แสดงว่าโดน "ท่านพี่" ขโมยซีนไปหมด พอเข้าไปด้านในเทวาลัย เห็นทั้งสามท่านยืนพนมมือต้อนรับ "จุมเรียบซัว..โลกเอิว สุขเพียบลออ" อาตมารับ "พร" ที่ถือว่าเป็นการ "ประทานพร" จริง ๆ เห็นข้างในเป็นรูปปั้นเจ้าที่นั่งเรียงกัน ๓ องค์ องค์กลางไว้หนวดเฟิ้ม ถือตะพดอันใหญ่ พ่อเจ้าประคุณองค์กลางที่ยืนต้อนรับ หน้าตาเหมือนรูปปั้นกับอย่างกับแกะ เพียงแต่ไม่ได้ถือตะพดเท่านั้น "ต้องทำหน้าเหมือนขนาดนี้เลยหรือ ?" อาตมาถาม...
"เผื่อว่ามีใครที่ "เห็น" พวกกระผมจริง ๆ จะได้รู้ว่าเป็น "ตัวจริง" ขอรับพระคุณท่าน" เฮ้อ..เป็นเทวดาก็ยังลำบากขนาดนี้ โดนมนุษย์ขี้เหม็นเคี่ยวเข็ญอยู่ทุกวัน "ท่านพี่" ถึงได้ฉวยโอกาส "อู้งาน" แบบถูกกฎหมาย อ้างว่าต้องพาน้องเที่ยวอะไรประมาณนั้น ปกติเทวดาเขาจะใส่ชฎาบ้าง พระเกี้ยวบ้าง รัดเกล้าบ้าง แต่เทวดาแถวนี้จนแฮะ..ไม่มีใครใส่เลยสักองค์เดียว แม้แต่ "พี่ตู" ก็ไม่มี "เป็นการแสดงความเคารพต่อพระคุณท่านขอรับ จึงไม่ได้ใส่มา" อีกฝ่ายชี้แจง "บอกไปเลยว่ากลัวโดนท่านขโมย เลยไม่ได้ใส่มา..!" ลูกพี่ยุส่ง แต่ลูกน้องไม่กล้า ได้แต่ยิ้มกระเรี่ยกระราดแบบไม่แน่ใจ วันนี้ลูกพี่อยู่ในอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ ?
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22318&stc=1&d=1417582001
โขงสีปูน โตนเลบาสักสีคราม
พอดีพี่ปราณีพาพวกเรามาถึง พร้อมเครื่องบูชาคนละกำสองกำ ไหว้และอธิษฐานกันตามอัธยาศัย โดยเฉพาะพี่ปราณีกับพี่วิไล ที่อธิษฐานแบบเอาจริงเอาจัง ดูจากสีหน้ายิ้ม ๆ ของบรรดา “ผู้ประสาทพร” ทั้งหลายแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าพร้อมจะให้ทุกอย่างตามที่ขอหรือเปล่า ?
เมื่อถวายเครื่องบูชาเสร็จแล้ว พี่ปราณีก็หันมาบอกกับพวกเราว่า “เดี๋ยวพี่จะพาไปไหว้พระพรหมที่สถานทูตไทย พี่เป็นคนไปสร้างเอาไว้เอง ก่อนที่สถานทูตไทยจะโดนเผา “โกเฮง” ได้บอกกับพี่ว่า ฮวงจุ้ยของสถานทูตไทยมีธาตุไฟมากเกิน จะเกิดไฟไหม้เข้าสักวัน พี่บอกกับท่านทูตแล้ว แต่ท่านเป็นคนสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ พอสถานทูตโดนเผาถึงได้ยอมรับ ติดต่อให้พี่พา “โกเฮง” มาดูและแก้ไขให้ “โกเฮง” ให้เพิ่มศาลเพื่อประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกจุดหนึ่ง ทางสถานทูตต้องรองบประมาณ พี่เลยเป็นเจ้าภาพสร้างศาลพระพรหมให้เอง”
คุณณรงค์บอกว่า “ทุกคนรออยู่แถวนี้แหละครับ ผมจะไปเอารถมารับ” ว่าแล้วก็เร่งเดินไปที่รถ อาตมากล่าวคำอำลา “ท่านพี่” กับ “ลูกน้อง” ทั้งหลายที่ทำท่าอาลัยอาวรณ์ เพราะยังอู้งานได้ไม่เท่าไร ขอบคุณที่ทุกท่านช่วยสงเคราะห์ แล้วหันไปตะโกนเรียกแม่ป๋อม ซึ่งชะเง้อชะแง้ถ่ายรูปอยู่ริมฝั่งโขง จนแทบจะตกลงไปในน้ำอยู่แล้ว คุณแม่เดินกลับมาแบบไม่ค่อยยินยอม เพราะยังถ่ายรูปไม่ได้อย่างใจเลย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22324&stc=1&d=1417668779
บ้านของท่านนายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา
เมื่อขึ้นรถกันครบคนแล้ว คุณณรงค์ก็พารถตู้ออกจากลานจอดรถ ตัดการจราจรขึ้นสู่ถนน “หน้าพระลาน” มุ่งตรงไปยังวงเวียนที่เป็นรูปพระปรางค์ขนาดใหญ่ ซึ่งก็คืออนุสาวรีย์แห่งอิสรภาพ ที่ภาษาขแมร์เรียกว่า "วิเมียนเอกะเรียด" หรือวิมานเอกราชในภาษาไทยนั่นเอง พี่ปราณีชี้ให้ดูบ้านสี่ชั้นทรงเสปนหลังคากระเบื้อง “ซีแพ็ก” สีน้ำตาลดำ ที่หน้าบ้านกว้างสาม “ห้อง” มีสองชั้น แล้วมีหลังคายกระดับขึ้นไปเป็นชั้นที่สาม จากนั้นเป็นหลังคายกระดับขึ้นไปเป็นชั้นที่สี่อีกชั้นหนึ่ง จนเหมือนกับเอาบ้านสามหลังมาปลูกติดกันเป็นหลังเดียว พลางบอกว่า...
“นี่คือบ้านของท่านสมเด็จเดโช ฮุนเซน พี่เคยมาหลายครั้งแล้ว ถ้าท่านจัดงานอย่างเป็นทางการ จะไปจัดที่ทำเนียบรัฐบาล แต่พวกงานวันเกิด งานฉลองปริญญาของลูก ท่านจะจัดที่นี่ อย่าคิดว่าหลังใหญ่นะ บ้านของเลขาฯ กำนัน... (คนดังแห่งภาคตะวันออก) ...ใหญ่กว่านี้หลายเท่า เชื่อกันว่ากำนัน...หนีมากบดานอยู่ที่บ้านเลขาฯ นี่แหละ..” แหะ..แหะ..พี่จ๋า..เอาไอ้ที่ไกล ๆ ลูกปืนหน่อยจะดีกว่าจ้ะ เดี๋ยวเจออาวุธสงครามเข้าแล้วจะยุ่ง..!
เพิ่งคุยกันได้ไม่กี่ประโยค คุณณรงค์ก็นำรถชิดเลนซ้ายที่หน้าประตูรั้วแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกำแพงก่ออิฐสูงประมาณ ๒ เมตร ช่วงบนเป็นเหล็กยื่นยาวขึ้นไปอีกเป็นเมตร ดูแล้วโปร่งตาแต่กลับปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง เพราะว่าน้อยคนนักที่จะปีนเหล็กเปล่า ๆ เรียบ ๆ ขึ้นไปได้ พี่ปราณีพูดใส่โทรศัพท์มือถือว่า “อยู่หน้าสถานทูตแล้วค่ะ รบกวนพี่ช่วยให้คนเปิดประตูให้หนูหน่อยค่ะ”...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22326&stc=1&d=1417776559
ท่านทูตพาณิชย์ประจำประเทศกัมพูชาให้การต้อนรับ
ครู่ต่อมาประตูหน้าก็เลื่อนเปิดออก แต่..เพิ่งเลี้ยวรถเข้าไปก็เจอประตูเหล็กโปร่งอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งมีป้อมยามรักษาการณ์อยู่ด้วย เจ้าหน้าที่เอาเครื่องตรวจวัตถุระเบิดไปกวาดหาที่ใต้ท้องรถโดยรอบ นี่..พ่อคุณเถอะ..ระเบิดอยู่ในตัวอาตมานี่ ไม่ใช่อยู่ที่ใต้ท้องรถ..! อาตมาหยอกเล่น แม่ป๋อมทำหน้าพิกล อยู่ดีไม่ว่าดี..เดี๋ยวก็โดนเขาจับแก้ผ้าตรวจหรอกค่ะ ก็แค่อยากลองดูว่าเขาจะเอาจริงเอาจังแค่ไหนเท่านั้นเอง...
เมื่อเดินกวาดรอบแล้วเห็นแต่ขี้ฝุ่นใต้ท้องรถ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็พูดใส่วิทยุ แล้วประตูเหล็กชั้นที่ ๒ ก็เลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ นี่แปลว่าถึงอาตมาจะจับพ่อเจ้าประคุณคนนี้ไว้ แล้วบังคับให้เปิดประตูก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะคนเปิดดันไปอยู่ด้านในโน่น คุณณรงค์จอดรถตู้เมื่อเข้าไปในประตูชั้นที่ ๒ แล้วเปิดประตูให้อาตมากับคณะลงจากรถ พอดีกับสาวใหญ่นางหนึ่งที่รูปร่างค่อนข้างท้วม ใส่เสื้อสีเทากางเกงสีดำ หน้าตาสวยสง่าสมวัย ปราดเข้ามายกมือไหว้ทั้งกระเป๋าถือ แล้วแนะนำตัวแบบยิ้มแย้มแจ่มใส...
ดิฉัน จีรนันท์ วงษ์มงคล เป็นทูตพาณิชย์ประจำกัมพูชาค่ะ ได้ยินคุณสิริกร (พี่ปราณี) กับคุณจีรภา (พี่วิไล) กล่าวขวัญถึงพระอาจารย์มานานแล้ว เพิ่งมีโอกาสได้กราบพบ ขอเชิญพระอาจารย์กับคณะที่ห้องพระของสถานทูตเลยค่ะ แหะ..แหะ..นาน ๆ จะได้รับเชิญสักครั้ง ปกติมีแต่คน นิมนต์ มากกว่า อาตมาเดินตามท่านทูตพาณิชย์ไปยังประตูหน้าของสถานทูตไทย มีคณะของพวกเราเดินตามมาเป็นพรวน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22327&stc=1&d=1417830632
ถ่ายรูปหมู่กับศาลพระพรหม
“ปกติแล้วที่นี่จะมีคนมาติดต่องานต่าง ๆ คับคั่งมาก แต่วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ท่านเอกอัครราชทูตและท่านอื่น ๆ กลับไปพักผ่อนที่บ้านพักกันหมด ดิฉันได้รับการติดต่อจากคุณสิริกรเมื่อวานนี้ ว่าพระอาจารย์จะมาเยี่ยมสถานทูต จึงมารอต้อนรับค่ะ” ท่านทูตพาณิชย์แจงเมื่อเห็นอาตมาเหลียวซ้ายแลขวาแล้วหาใครไม่เจอ นอกจาก “คุณแม่บ้าน” ที่จูงลูกสาวตัวเล็กมา เปิดประตูกระจกบานใหญ่ยักษ์หน้าสถานทูตให้...
“ขอแวะไหว้พระพรหมก่อนนะคะพี่จีรนันท์” พี่ปราณีที่เพิ่งหาจังหวะแทรกได้ ขออนุญาตทำภารกิจที่ตั้งใจเอาไว้ “ได้เลยค่ะ เชิญคุณสิริกรทำหน้าที่แทนพี่ด้วยนะคะ พี่จะไปสั่งให้แม่บ้านเขาเตรียมน้ำดื่มและเปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้ให้ก่อน” เมื่อท่านทูตแยกไปแล้ว พี่ปราณีก็พาคณะของพวกเราตรงไปที่ศาลพระพรหมหลังใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลจากประตูชั้นที่สองนัก...
ศาลพระพรหมตั้งอยู่บนลานหินแกรนิตสีออกแดง องค์พระพรหมนั้นก็ปกติดี แต่พระกรทั้ง ๔ ทรงจักรไป ๒ ตรีอีก ๑ ที่เหลืออีก ๑ เป็นดอกบัวสองดอก แสดงว่าเตรียม “ลุย” โดยเฉพาะ ปกติไม่เคยเห็นพระพรหมทรงจักรมาก่อน ที่นี่เล่นทรงทีเดียวสองพระกรเลย อาตมาน้อมจิตอุทิศส่วนกุศลถวายแก่ท่าน เห็นพระพักตร์ของจอมคนแห่งกัมโพชปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง แสดงว่าใครมาไหว้หรือบนบานศาลกล่าวที่นี่ พ่อเจ้าประคุณกวาดเรียบ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22328&stc=1&d=1417906067
ท่านทูตจีรนันท์ขอทำบุญก่อน
ป้ามอย พี่มุกดา น้องเล็กและลูกปุ๊ก ไหว้พระพรหมเสร็จแล้ว ก็นั่งเรียงกันที่บันไดหน้าศาล อาตมาช่วยถ่ายรูปให้ โดยมีแม่ป๋อมถ่ายภาพเบื้องหลังการถ่ายทำอีกทีหนึ่ง “ณรงค์..ช่วยถ่ายรูปให้พี่หน่อยสิ” พี่ปราณีที่เพิ่งไหว้พระพรหมเสร็จ เรียกน้องชายพลางส่งโทรศัพท์มือถือให้ จึงมีรายการฝากกันอุตลุด เสร็จแล้วอาตมาให้คุณณรงค์ไปเข้ากลุ่มเพื่อถ่ายรูปบ้าง...
จากนั้นอาตมาเดินนำคณะเข้าไปในสถานทูต คุณแม่บ้านกับลูกสาวตัวเล็กที่ยืนรออยู่ จัดการไขกุญแจล็อกประตูกระจกบานใหญ่ไปเลย แล้วพาพวกเราตรงไปที่ลิฟท์ “ห้องพระอยู่ชั้นไหนจ๊ะ ?” อาตมาถาม พี่ปราณีตอบแทนว่า “ชั้นสองค่ะ” ถ้าอย่างนั้นจะไปขึ้นลิฟท์ให้เสียเวลาทำไม ? อาตมาเดินขึ้นบันไดทางขวามือของลิฟท์ แต่คุณแม่บ้านกับลูกสาวมั่นคงต่อการกระทำของตัวเองมาก จัดการกดเปิดลิฟท์แล้วไปกันแค่สองคนแม่ลูก..!
พ้นบันไดช่วงที่สามก็เป็นชั้นที่สองของสถานทูต คุณจีรนันท์มายืนรอรับอยู่แล้ว “ขอเชิญที่ห้องทำงานของดิฉันก่อนนะคะ ขอทำบุญให้เป็นมงคลกับที่ทำงานหน่อยค่ะ” ว่าแล้วก็เดินนำไปจนสุดทาง พลางเลี้ยวไปทางซ้ายมือ พลางเปิดประตูเข้าไปในห้องแรกตรงหัวมุม ข้างในห้องปูพรมสีเทาลายจุด เปิดเครื่องปรับอากาศไว้เย็นฉ่ำ ท่านทูตพาณิชย์ผายมือไปที่โต๊ะกลางห้อง “ขอเชิญพระอาจารย์ที่โต๊ะเลยค่ะ” คุณแม่บ้านนำน้ำเย็นมาเสิร์ฟให้กับทุกคน ส่วนท่านทูตหยิบซองปัจจัยออกจากกระเป๋าถือ ยกขึ้นจบอธิษฐานแล้วถวายให้กับอาตมา ซึ่งเลื่อนกล่องกระดาษเช็ดหน้าไปรับ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22332&stc=1&d=1418032445
ห้องพระของสถานทูตไทยในกรุงกัมพูชา
อาตมาอวยชัยให้พรทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย แล้วแนะนำตัวป้ามอย แม่ป๋อม พี่มุกดาและลูกปุ๊กแก่ท่านทูตพาณิชย์ อีกฝ่ายถึงกับอุทานเมื่อทราบว่า แม่ป๋อมกับลูกปุ๊กขาดอีกปีเดียวก็จะครบ ๔ รอบ ไม่ทราบว่าท่านเห็นทั้งสองคนแก่กว่าที่คิดหรือเปล่า ? เมื่อเห็นว่าแขกทั้งหมดดื่มน้ำกันแล้ว ท่านทูตพาณิชย์ก็ “เชิญ” อาตมาและคณะไปยังห้องพระที่อยู่มุมถัดไปของตัวตึก...
ภายในห้องพระที่ปูพรมลายสีน้ำเงินนั้น มีโต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งติดกับผนังด้านใน ๓ ชุด ชุดตรงกลางเป็นโต๊ะหมู่ ๓ สีดำ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิศิลปะสุโขทัย หน้าตักประมาณ ๑๒ นิ้ว องค์พระปิดทองตั้งอยู่บนฐานสูงสีดำ มีฉัตร ๕ ชั้น ลายทองฉลุโปร่งอยู่ด้านหลัง ทางขวามือเป็นโต๊ะหมู่ ๕ สีดำ บนสุดประดิษฐานพระเจดีย์แก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และมีผอบแก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุรายรอบอยู่ ๖ ใบ อีกชั้นถัดลงมาก็เป็นพระเจดีย์แก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดเล็กกว่าองค์ด้านบนเล็กน้อย มีผอบแก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุตั้งอยู่ด้านหน้า ๖ ใบ ชั้นที่สามเป็นผอบแก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขนาดใหญ่ ๑ ใบ ขนาดเล็กกว่า ๘ ใบ ด้านล่างสุดเป็นแผ่นป้ายพระคาถาสำหรับสวดบูชาพระบรมสารีริกธาตุ...
ทางซ้ายมือเป็นโต๊ะหมู่ ๕ แกะลายปิดทองร่องชาด บนสุดประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยทาสีทอง ขนาดหน้าตักประมาณ ๒๐ นิ้ว พระพักตร์ค่อนข้างเคร่งขรึมแบบสมัยอู่ทอง ชั้นถัดลงมาเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักประมาณ ๗ นิ้ว แกะสลักจากหินสีชมพูม่วง และพระพุทธรูปนาคปรก ๗ เศียรศิลปะแบบขอมลพบุรี ขนาดหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว แกะจากหินทรายฝีมือละเอียดทีเดียว อาตมาคุกเข่าลงบนพรมลายเครือเถาสีน้ำตาลออกขาวผืนใหญ่ ที่ปูซ้อนอยู่บนพรมลายสีน้ำเงิน เพื่อกราบพระพร้อมกับทุกคน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22335&stc=1&d=1418068470
ถ่ายรูปหมู่ร่วมกับท่านทูตพาณิชย์ประจำประเทศกัมพูชา
พระพุทธรูปองค์กลาง ได้รับความเมตตาจากจากหลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต มอบให้แก่ทางสถานทูตค่ะ อ้าว..ที่แท้ เพื่อน แอบย่องมาก่อนอาตมาเสียแล้ว เมื่อท่านทูตทราบว่าอาตมาเรียนปริญญาโทรุ่นเดียวกับหลวงพ่อปรีชาก็ดีใจใหญ่ บอกว่าถ้ากลับไปเมืองไทย แล้วได้ไปกราบหลวงพ่อปรีชาเมื่อไร จะกราบเรียนให้ทราบว่า ได้พบ เพื่อน ของท่านที่นี่...
พี่จีรนันท์..หนูรบกวนพี่หน่อยเถอะ ช่วยติดต่อกับเลขาฯ ของสมเด็จพระสังฆราชด้วย ถามว่า หลวงพี่ จะขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชวันนี้ จะสะดวกเวลาไหน ? เอาทั้งสองพระองค์เลยนะคะ พี่ปราณีเอ่ยเรื่องที่อาตมาไม่เคยแม้แต่จะนึกถึง ท่านทูตพาณิชย์พอได้ยินก็กุลีกุจอกดโทรศัพท์มือถือ ติดต่อให้เดี๋ยวนั้นเลย หลังจากส่งภาษาไทยแท้ ๆ คุยกันพักใหญ่ก็หันมาสรุปว่า สมเด็จพระสังฆราชบัวคลี่ท่านเพิ่งกลับมาจากฮ่องกงค่ะ อนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ตอนเที่ยงครึ่ง ส่วนสมเด็จพระสังฆราชเทพวงศ์ไปกิจนิมนต์นอกวัด จะกลับมาประมาณบ่ายสามโมง เลขาฯ ท่านนัดตอนบ่ายสามโมงเลยค่ะ
เรื่องใหญ่ที่จะได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชทั้งสองนิกายของกัมพูชาจบลง ท่านทูตพาณิชย์ก็ขอถ่ายรูปด้วย โดย เชิญ อาตมาไปนั่งที่ชุดรับแขก ที่อยู่ชิดผนังทางด้านซ้ายมือของห้อง โดยแม่ป๋อมรับโทรศัพท์มือถือของท่านไปช่วยถ่ายรูปให้ เสร็จแล้วทุกคนก็เฮละโลเข้ามาถ่ายรูปด้วย ผู้เสียสละเป็นตากล้องให้ก็คือ ชายเดียว ในคณะนั่นแหละ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22339&stc=1&d=1418158982
บ้านของเลขาฯ ท่านกำนันผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันออก
“จวนเพลแล้ว ขออนุญาตพาหลวงพี่ท่านไปฉันเพลก่อนนะคะ ขอบคุณพี่จีรนันท์มากเลยค่ะ ที่กรุณาให้การต้อนรับ” พี่ปราณีเอ่ยขึ้นเมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว พอท่านทูตพาณิชย์ได้ยิน ก็รีบควักเงินออกมายัดใส่มือพี่ปราณี ๒๐๐ ดอลลาร์ บอกว่าขอร่วมถวายอาหารเพลด้วย อาตมาขอบคุณและโมทนาแล้ว ก็เดินย้อนกลับลงบันไดมา มีคุณแม่บ้านมารอไขประตูกระจกให้ เมื่อขึ้นรถตู้เรียบร้อยปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เปิดประตูทั้งสองชั้นไว้หราเลย ไม่ยักกลัวใครบุกเข้ามาถล่มตอนนี้..!
ออกจากสถานทูตได้ คุณณรงค์ก็เลี้ยวขวา ซึ่งเป็นการเลี้ยวที่สะดวกที่สุด เพราะบ้านนี้เขาวิ่งรถชิดขวากัน ออกมาได้หน่อยเดียว พี่วิไลก็ชี้ไปทางซ้ายมือริมถนนฝั่งตรงข้าม ที่มีตึกสามชั้นหลังมหึมา หลังคากระเบื้องซีแพ็กสีบานเย็น ประกอบด้วยชั้นลอยที่รองรับด้วยเสาแบบโรมัน ๘ ต้น มีรั้วรอบขอบชิด บานประตูเป็นอัลลอยด์สีน้ำเงินเข้มตัดทอง ดูเลิศหรูอลังการมาก พลางบอกว่า "นี่แหละ บ้านของเลขาฯ กำนัน ... (คนดังแห่งภาคตะวันออก) ... หลังใหญ่กว่าบ้านของท่านฮุนเซ็นอีก"
อาตมาได้แต่ยินดีด้วย ที่ท่านเลขาฯ ร่ำรวยด้วยลาภยศ มีที่อยู่อาศัยหลังใหญ่โตสวยงาม ท่านต้องทำบุญเก่ามาดีถึงได้รับผลตอบแทนที่ดีแบบนี้ ถ้าไม่รู้จักสร้างบุญต่อก่อบุญใหม่ ถึงเวลาเมื่อบุญเก่าหมดลง ก็คงต้องไปรับกรรมตามที่ตนได้กระทำเอาไว้เอง คนอื่นเห็นอาตมาไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ก็เลยพลอยเงียบกันหมด...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22669&stc=1&d=1427141829
คุณณรงค์พารถเลี้ยวซ้ายจากถนนที่มีป้ายภาษาอังกฤษว่า "พระสุรามฤต" เข้าถนนอีกเส้นหนึ่ง ที่มีป้ายชื่อภาษาขอมซึ่งพอจะอ่านทันว่า "มหาวิถีสุธารส" วิ่งชิดขวาไปหน่อยเดียวก็จอดที่หน้าตึกใหญ่โตสวยงามทันสมัยแห่งหนึ่ง มีป้ายภาษาอังกฤษอยู่ตรงบริเวณที่จัดเป็นสวนหย่อมขนาดเล็กด้านหน้าว่า the Regent Park แถมยังมีศาลพระภูมิอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนหย่อมด้วย "นิมนต์ลงที่นี่เลยค่ะ เจ้าของโรงแรมปวารณาถวายอาหารเพลแก่หลวงพี่" พี่ปราณีที่ลงจากรถแล้วหันมาบอกพวกเราทุกคน...
"ช่วยรับศรัทธาเขาหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ไม่ถือว่าเป็นการรบกวนอย่างที่ท่านมักจะเกรงใจไม่กล้าขอหรือเรียกใช้ไหว้วานใคร" คงเห็นอาตมาทำหน้าเบื่อโลก "ยายจ้อ" จึงโผล่ศีรษะมาบอก นั่น..รู้ไปถึงความคิดตูอีก ผู้หญิงนี่ไว้ใจไม่ได้เลย พอทุกคนลงมาครบ คุณณรงค์ก็นำรถตู้เข้าไปจอดยังลานเล็ก ๆ ข้างตัวอาคาร ซึ่งเป็นที่ว่าง (space) เพื่อให้อาคารดูกว้างขวางขึ้น ไม่ใช่ที่จอดรถสักหน่อย แต่พนักงานมาชี้ให้เข้าไปจอดได้ ดูท่าตูจะเป็น V.I.P. (Very Idiot Person) ก็งานนี้แหละ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22671&stc=1&d=1427224176
ภายในส่วนหน้าของโรงแรม the Regent Park
อาตมาเดินผ่านประตูกระจกที่พนักงานหนุ่มหล่อผิวคล้ำ ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อแขนยาว ผูกหูกระต่าย ใส่เสื้อกั๊กเปิดให้ เข้าไปยังพื้นที่ส่วนหน้า (Lobby) ที่กว้างขวางและโปร่ง สว่างไสวเพราะเป็นกระจกใสเสียส่วนใหญ่ มีชุดรับแขกไม้ประกอบเบาะผ้าแบบทันสมัยอยู่หลายชุด บางมุมเป็น "ตั่งฝรั่ง" คือแท่นไม้สี่เหลี่ยมยาว ๆ ที่มีเบาะอยู่ด้วย ด้านชิดผนังมีการก่อเป็น "แปลง" จัดสวนให้ดูเป็นธรรมชาติน่านั่งเล่น พี่ปราณีกับพี่วิไลพาเดินเลี้ยวขวาเข้าไปด้านในแบบคุ้นเคย พวกเราตามกันไปเป็นพรวน ยกเว้นแม่ป๋อมที่ยกโทรศัพท์ถ่ายรูปมุมต่าง ๆ ไปเรื่อย คุณแม่เธอทำงานด้านนี้ เจออะไรที่เกี่ยวกับงานเป็นต้องเก็บข้อมูลไว้ก่อน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22674&stc=1&d=1427314254
นั่งจดบันทึกประจำวันพร้อมน้ำชา ๑ กา
"นั่งตรงนี้ก่อนนะคะ" พี่ปราณีชี้ไปที่โต๊ะอาหารขนาดเล็กหลายชุด อาตมาเลือกมุมในสุดเพื่อที่จะได้ไม่เกะกะใครเขา เพิ่งนั่งลงก็มีสาวร่างท้วมในเสื้อยืดสีม่วง กางเกงขายาวสีนวล กับสาวน้อยอีก ๑ นางที่ใส่เสื้อยืดสีดำมีลายขาวแดงกับกางเกงขาสั้นสีนวลเข้ามากราบ "คุณนลินรัตน์กับลูกสาวค่ะ เจ้าภาพอาหารเพลวันนี้" โอ้พระเจ้า..เจ้าของโรงแรมใหญ่โตกลางกรุงพนมเปญ แต่งตัวเรียบง่ายสุด ๆ ทั้งแม่และลูก "เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ กิจการดีมากใช่ไหม ?" อาตมาชวนคุย "ช่วงนี้ดีมากค่ะ นักท่องเที่ยวจากเมืองไทยเยอะมาก ของต่างชาติก็มากเช่นกัน" นับว่าโชคดีเซ็งลี้ฮ้อทีเดียว "เจ้าตัวเล็กเรียนชั้นไหนจ๊ะ ?"
สาวน้อยยิ้มเขิน "ม. ๓ แล้วค่ะ" คุณนลินรัตน์บอกว่า "ให้เรียนเมืองไทยก็ไม่เอา บอกว่าอยากอยู่ใกล้แม่ จึงต้องให้มาเรียนที่วิทยาลัยนานาชาติที่นี่ค่ะ" ลูกอยากอยู่ใกล้พ่อแม่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ พอดีพนักงานเอาชาร้อนมาถวาย ๑ กา ดีจริง ๆ พ่อคุณเอ๋ย..ขืนขาดน้ำร้อนนาน ๆ อาตมาจะเฉาตายเสียก่อน "ที่นี่ห่างจากพระราชวังเขมรินทร์หน่อยเดียวเท่านั้นค่ะ ถ้าวิ่งตรงมาเลยอย่างเก่งก็ไม่เกิน ๕ นาที แต่คณะของเราต้องไปที่สถานทูตไทยก่อนแล้วค่อยมาที่นี่ ก็เลยกลายเป็นวิ่งรถอ้อมไปตั้งไกล" พี่ปราณีช่วยชี้แจงแถลงไข...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22676&stc=1&d=1427407618
ผัดไทยกุ้งสดมาก่อนเพื่อนเลย
ชวนคุยสัพเพเหระอยู่พักหนึ่ง เจ้าภาพก็ขอตัวเพื่อไปจัดแจงเรื่องอาหารเพล พี่ปราณีกับพี่วิไลและคนอื่น ๆ แยกกันไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารใหญ่กลางห้อง อาตมาควักสมุดมาบันทึกเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่เขียนไม่ค่อยถนัด เพราะติดแผ่นรองจานที่ค่อนข้างหนา...
พนักงานนำเอา "ปาท่องโก๋ไดเอ็ต" กับน้ำผักสีออกม่วง ๆ มาถวาย ปาท่องโก๋ที่ว่าใส่มาในแก้วทรงสูง ตัวยาวเป็นคืบแต่ใหญ่ประมาณนิ้วมือเท่านั้น สงสัยว่ากำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก มีน้ำจิ้ม "บ๊วยกอ" ใส่มาในถ้วยเล็กด้วย อีกสักครู่ก็ตามมาด้วยผัดไทยกุ้งสดจานใหญ่ น้ำพริก ปลาทู ผักสด แกงป่าวุ้นเส้น ผัดผักรวมมิตร กุ้งก้อนเทมปุระ ปลากระพงนึ่งมะนาว ปอเปี๊ยะทอดและข้าวอีกจานใหญ่ อาตมารับประเคน ให้พรแก่เจ้าภาพแล้วลงมือฉันผัดไทยกุ้งสดไปสองคำก็หันมาฉันข้าวแทน ของแปลกก็คือแกงป่าวุ้นเส้น รสชาติเหมือนแกงป่าดี ๆ นี่เอง แต่วุ้นเส้นตักยากมาก ต้องเอาส้อมม้วน ๆ ขึ้นมาถึงจะได้กิน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22685&stc=1&d=1427486315
ข้าวเหนียวมะม่วง
ปอเปี๊ยะทอดและกุ้งก้อนเทมปุระใช้น้ำจิ้มถ้วยเดียวกับปาท่องโก๋ไดเอ็ต ฮ่า..ประหยัดดีเหมือนกัน ผัดผักรวมมิตรก็สามารถราดด้วยน้ำพริกได้ ฉันแบบอาตมาคนเห็นต้อง "ทำใจ" หน่อย เนื่องจากไม่เอาระเบียบแบบแผนอะไรทั้งนั้น เห็นว่าอะไรน่าจะไปกันได้ก็จับ "ยำ" รวมกันทันที เพราะท้ายสุดก็ลงไปรวมอยู่ในที่เดียวกัน ส่วนเรื่องรสชาติไม่มีปัญหา ถึงจะจับอะไรมารวมกันก็สามารถแยกรสออกมาได้ รู้สึกว่าอร่อยอยู่ดี...
ส่งอาหารที่ฉันแล้วออกไปโต๊ะใหญ่ "สาวใหญ่" น้ำหนักตัวน่าจะใกล้เคียงคุณนลินรัตน์ ในเสื้อยืดคอปกสีเหลืองที่เพิ่งมาถึงบ่นว่า "แทบไม่ยุบเลย" คุณนลินรัตน์บอกว่าเป็นเพื่อนที่มาทำธุรกิจอยู่ในกัมพูชาด้วยกันชื่อคุณเสนอ ขุขันธิน อาตมารับข้าวเหนียวมะม่วงที่คุณเธอยกมาถวาย ดูท่าว่าจะไม่ยุบอีกเช่นกัน เพราะอาตมาแพ้ข้าวเหนียว ฉันทีไรร้อนในทุกที แล้วนี้ยังราดกะทิมาจนเกือบท่วมจาน จึงหันไป "จัดการ" กับมะม่วงในข้าวเหนียวและองุ่นไร้เมล็ดเป็นหลัก ขณะที่คณะของเรา ๘ คนเข้าประจำการที่โต๊ะใหญ่ คุณนลินรัตน์กับคุณเสนอก็ลงไปลุยกับแขกด้วย พนักงานเอาเก้าอี้มาเสริมหัวท้ายให้กลายเป็นสิบที่นั่งพอดี...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22688&stc=1&d=1427568577
สามัคคีชุมนุม..กินกระจาย..!
ฉันของหวานเสร็จพนักงานก็ยกออกไป แล้วเอาชาร้อนกาใหม่มาถวาย เมื่อจดบันทึกเสร็จอาตมาก็ลุกไปบันทึกภาพคณะที่โต๊ะใหญ่ ด้านขวามีคุณเสนอ คุณนลินรัตน์ พี่ปราณี พี่วิไล ด้านซ้ายเป็นแม่ป๋อม พี่มุกดา ป้ามอยและน้องเล็ก มีลูกปุ๊กกับคุณณรงค์นั่งปิดหัวท้าย กินไปคุยไปเสียงค่อนข้างดังทีเดียว แต่บรรดาลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ ทั้งไทยและฝรั่งก็ไม่มีใครถือสา อาตมาเดินเลยไปดูการตกแต่งภายในรอบโรงแรม เห็นมีพานดอกบัวสวย ๆ ตั้งอยู่สองพาน จึงถ่ายรูปไปด้วย จะถ่ายรูปแหม่มสาวคนสวยที่นอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บน "ตั่งฝรั่ง" ก็เกรงใจ กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทและรบกวนเขา...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22690&stc=1&d=1427667805
คุณเก่งผู้ดูแลธนาคารคนเดียว ๔ สาขา..!
เพิ่งกลับมาถึงที่นั่งพี่ปราณีก็พาหนุ่มใหญ่ในเสื้อเชิร์ตแขนสั้นลายตารางหมากรุก มีแว่นกันแดดเสียบอยู่ที่อกเสื้อมาแนะนำตัว ว่า "นี่คือคุณเก่งค่ะ เป็นกรรมการผู้จัดการทั่วไป ดูแลธนาคารไทยพาณิชย์ในกัมพูชา ๔ สาขา คือพนมเปญ เสียมเรียบ พระตะบอง และสีหนุวิลล์ เป็นคนทำงานเก่งสมชื่อเลยค่ะ" อีกฝ่ายถามว่าอาตมามีบัญชีของธนาคารไทยพาณิชย์หรือเปล่า ? ต้องบอกไปตามตรงว่าไม่มี เพราะทองผาภูมิเป็นอำเภอหลังเขา มีธนาคารอยู่แค่ออมสิน กรุงไทย นครหลวงไทย (โดนควบกิจการเป็นธนชาติ) และธนาคารเพื่อการเกษตร แต่ลูกปุ๋ม (ชุติมา พยัตเทพินทร์) ลูกสาวคนรองของอาตมาเป็นหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อ ทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อเสวนากันเสร็จพี่ปราณีก็พาคุณเก่งไปกินข้าวด้วยกัน...
"จะนอนพักก่อนก็ได้นะคะหลวงพี่ รอเวลาใกล้บ่ายโมงแล้วค่อยออกไปถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราชด้วยกัน" พี่วิไลชี้มือยัง "ตั่งฝรั่ง" ที่ยังว่างอยู่ แฮ่..มิบังอาจจ้ะ พระจะนอนต้องอยู่ในห้องที่มีประตูปิดมิดชิด ศีลข้อนี้มีที่มาจากการที่พระถูกผู้หญิง "ลักหลับ" มาแล้วในสมัยพุทธกาล และพระหลายรูปเวลานอนแล้วขาดสติ มีอาการพิลึกพิลั่นจนทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธา ยิ่งสมัยนี้เขานิยมถ่ายคลิปโพสต์ลงยูทูบออกไปทั่วโลก ทำอะไรไม่ระมัดระวังจะพาให้พระพุทธศาสนาเสียหายหนัก อาตมายังไม่อยากจะดังด้วยวิธีการแบบนี้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22694&stc=1&d=1427741472
พานดอกบัวที่เตรียมไว้ถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราชกัมพูชา
นั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะเล็กที่วางพานดอกบัว "ยายจ้อ" ยื่นหน้ามาใกล้ ๆ "กัมพูชามีสมเด็จพระสังฆราชสองพระองค์เจ้าค่ะ เพราะมีพระสงฆ์สองนิกายเหมือนกับประเทศไทย แต่แรกก็มีแค่มหานิกายอย่างเดียว ต่อมาพระมหาวิมลธรรม (ทอง) ได้ไปศึกษาในประเทศไทย แล้วนำเอารูปแบบการปฏิบัติแบบพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตของประเทศไทยมาเผยแผ่ในกัมพูชา จนเกิดเป็นนิกายธรรมยุตขึ้นมา และได้รับพระราชศรัทธาจากสมเด็จพระนโรดมหริรักษ์รามาธิบดี (นักองค์ด้วง) สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายธรรมยุตในพ.ศ. ๒๓๙๘ ตั้งแต่นั้นมากัมพูชาก็มีพระสังฆราชของทั้งสองนิกาย" มี "ยายจ้อ" อยู่ด้วยนี่ดีจริง ๆ ประวัติศาสตร์ยุคไหน ๆ ก็รู้ไปหมด...
"พ.ศ. ๒๕๒๑ เขมรแดงร่วมมือกับเวียดนามบุกยึดกรุงพนมเปญ จับพระสงฆ์ฆ่าบ้าง ติดคุกบ้าง ส่วนใหญ่ถูกบังคับใช้แรงงานเหมือนกับคนทั่วไป จนต้องสึกหรือลี้ภัยไปอยู่ในประเทศไทยและฝรั่งเศส ทำให้การปกครองคณะสงฆ์ในกัมพูชาสลายตัวลง มาถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ เหตุการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี พระสงฆ์ที่ลี้ภัยกลับมาสู่กัมพูชาใหม่ ซึ่งมีแต่พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายเท่านั้น สมเด็จพระมหาสุเมธาธิบดี (เทพวงศ์) จึงได้รับจากการยกย่องจากคณะสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่มีการสถาปนา เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกล้มล้างไปแล้ว" เด็กท็อปวิชาประวัติศาสตร์เขมรดำเนินการ "ต่อยหอย" ต่อไป...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22699&stc=1&d=1427832655
สมเด็จพระสังฆราชกัมพูชาทั้งสองพระองค์
"ล่วงเลยมาจนถึงพ.ศ. ๒๕๓๔ สมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงสถาปนาสมเด็จพระอภิสิรีสุคันธามหาสังฆราชาธิบดี (บัวคลี่) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายธรรมยุต กัมพูชาจึงมีสมเด็จพระสังฆราชทั้งสองนิกายอีกวาระหนึ่ง พอปีพ.ศ. ๒๕๔๙ สมเด็จพระนโรดมสีหมุนีจึงได้สถาปนาสมเด็จพระมหาสุเมธาธิบดี (เทพวงศ์) ขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมหาสังฆราชาธิบดี ประมุขสงฆ์ฝ่ายมหานิกายมาจนถึงปัจจุบัน" แสดงว่าหลวงปู่เทพวงศ์ท่านได้รับการยกย่องจากทางคณะสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชแบบลูกน้องตั้งถึง ๒๕ ปี จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชตัวจริงเสียงจริงอีกวาระหนึ่ง...
"นั่งหลับหรือหลวงพี่ ? เตรียมเดินทางได้แล้วค่ะ" พี่วิไลถามอาตมาที่กำลังนั่งหลับตาฟังบรรยายจาก "ยายจ้อ" อยู่ มัวแต่เพลินกับประวัติพระพุทธศาสนาในกัมพูชา จึงไม่ทันสังเกตว่าทุกคนมาห้อมล้อม ยกพานดอกบัวเตรียมเดินทางกันแล้ว "ใช่..หลับและฝันถึงสมเด็จพระสังฆราชเขมรด้วย" อาตมา "ตามน้ำ" ไปเลย เพื่อไม่ให้ใครสงสัย เรื่องแบบนี้ถ้าพูดออกไปก็มีผลแค่สองอย่าง คือคนเห็นว่า "ขลัง" แล้วมารบกวนไม่เลิก กับคนเห็นว่า "บ้า" แล้วเลิกคบกับเราไปเลยซึ่งไม่ใช่เรื่องดีทั้งคู่ จึงต้อง "ไหล" ตามเหตุการณ์เฉพาะไปเรื่อย ๆ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22706&stc=1&d=1427918519
ตำหนักสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายธรรมยุต
คุณนลินรัตน์ถวายซองปัจจัยเพื่อร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย ลักษณะอย่างนี้แหละที่เคยมีเด็ก ๆ ถามเมื่องานเจริญพระพุทธมนต์และฉันเพลจบแล้วว่า "แม่..แม่จ้างพระมากินข้าวหรือ ?" เล่นเอาทั้งพระทั้งแม่ "จุก" สนิทไปกับความ "ร้ายเดียงสา" ของลูก คนอื่น ๆ ควักกระเป๋าคนละหนุบคนละหนับ ได้เงินไทย ๒,๐๒๐ บาทและเงินดอลลาร์ ๒๓๙ ดอลลาร์ อาตมาควักเพิ่มให้ครบ ๓,๐๐๐ บาทและ ๓๐๐ ดอลลาร์ เอาใส่รวมกันในซองของคุณนลินรัตน์นั่นแหละ...
ทุกคนบอกลาและขอบคุณเจ้าของโรงแรมใจดีแล้ว แทนที่พี่ทั้งสองจะต้อนพวกเราขึ้นรถ กลายเป็นพวกเราเกี่ยงให้ผู้อาวุโสขึ้นรถก่อน แล้วค่อยตามขึ้นไปทีหลัง โบกมืออำลาผู้มาส่งแล้ว คุณณรงค์ก็พารถเข้าสู่การจราจรบนท้องถนน เพิ่งลับจากโรงแรมมานิดเดียว ก็เป็นซุ้มประตูวัด มีรั้วสีน้ำตาลอ่อนตัดขอบขาว ด้านบนเป็น "ลูกกรงแก้ว" สีน้ำตาล พลขับกิตติมศักดิ์จอดรถข้างประตูที่เป็นเหล็กทาสีเหลือง มีฉัตรโลหะ ๙ ชั้นอยู่บนซุ้ม ตรงกับประตูเป็นตัวอาคาร ๓ ชั้นที่ดูเหมือน "กล่อง" มีเชิงชายโล้น ๆ หลังหนึ่ง พลางบอกว่า "พระตำหนักสมเด็จพระสังฆราชครับ" อาตมาลงจากรถโดยมีทุกคนตามลงมาเป็นพรวน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22712&stc=1&d=1428004647
ถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราชกัมพูชาฝ่ายธรรมยุต
พี่ปราณีเดินนำหน้าในฐานะที่เคยมาแล้ว ประตูหน้าอาคารที่เป็นเหล็กทาสีเหลืองเปิดอยู่ ไปถึงมีพระหนุ่มในชุดจีวรสีกรักแบบพระวัดป่า เปิดประตูกระจกชั้นในที่ติดม่านโปร่งออกมายกมือไหว้ พูดไทยอย่างชัดเจนว่า "นิมนต์ท่านอาจารย์พระครูด้านในครับ พระองค์ท่านประทับรออยู่แล้ว" พลางแหวกม่านให้ อาตมาขอบคุณแล้วเดินเข้าไปด้านในก่อน พี่ปราณีและคณะตามหลังมาแบบใกล้ชิด...
ห้องด้านในกว้างประมาณ ๖ X ๘ เมตร ทั้งสองฝั่งมีหน้าต่างกระจกติดม่านโปร่งอยู่ด้านละสองชุด ด้านในสุดเป็นผ้าม่านจีบสีกรักยาวถึงพื้น ตรงกลางมีพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๒ ศอก พระพักตร์คล้าย "หลวงพ่อเมตตา" ที่อินเดีย แต่ฐานพระเหมือนกับ "พระไพรีพินาศ" ของวัดบวรนิเวศวิหาร ด้านบนของพระพุทธรูปเป็นฉัตร ๕ ชั้นสีเหลือง ปักลวดลายสวยงามทีเดียว แต่อ้วนม่อต้อไปหน่อย ทางซ้ายของพระพุทธรูปเป็นพัดยศสมเด็จพระสังฆราช สีเหลืองอ่อนคล้ายพัดยศ "ชั้นธรรม" ของบ้านเรา พื้นห้องปูเสื่อจนเต็ม มีพรมผ้าชนิดบางขนาด ๓ X ๕ เมตรปูอยู่สามผืน...
สมเด็จพระสังฆราชบัวคลี่ประทับอยู่บนอาสนะแบบเก้าอี้ พระพักตร์แจ่มใสอ่อนโยน ดูแล้วน่าจะมีพระชันษาประมาณ ๖๐ ปีเศษ อาตมารับพานดอกบัวจากคุณณรงค์ คลานเข่าเข้าไปจนใกล้ ยกพานขึ้นแล้วน้อมตัวลงถวาย "เกล้าฯ พระครูวิลาศกาญจนธรรม เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จังหวัดกาญจนบุรี ขอประทานโอกาสถวายเครื่องสักการะเหล่านี้ด้วยครับ" พระองค์แย้มยิ้มอย่างมีเมตตา ยกพระหัตถ์พนมรับการกราบของอาตมา "ขอให้เจริญไพบูลย์ในพระพุทธศาสนาตลอดไปเทอญ"...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22720&stc=1&d=1428088257
ประทานโอกาสให้คณะของเรา "ถอดรูป" ด้วย
อาตมารับพรแล้วรับพานธูปเทียนกับซองปัจจัยมาถวายอีกครั้ง พระองค์แตะพระหัตถ์ที่พานเป็นการรับ แล้วให้อาตมาเอาพานวางลงที่โต๊ะเล็กข้างองค์ท่าน "มาถึงตั้งแต่เมื่อไรครับ ?" เสียงของพระองค์ค่อนข้างเบา "สามวันแล้วขอรับ แต่เดินทางไปชมนครวัดก่อน วันนี้จึงขอโอกาสมาเข้าเฝ้า ได้ยินว่าพระองค์เพิ่งกลับมาจากฮ่องกง ต้องกราบขอบพระเดชพระคุณที่เมตตาให้เกล้าฯ และคณะได้เข้าเฝ้าในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่งขอรับ"
"ด้วยความยินดี พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานอกจากเป็นพี่น้องกันในทางธรรมแล้ว พระสงฆ์ไทยและกัมพูชายังมีไมตรีอันดียิ่งต่อกันเสมอมา" อาตมากราบขอประทานโอกาสให้คณะของเราได้ "ถอดรูป" ด้วย ซึ่งได้รับความเมตตาอนุญาตเป็นอย่างดี พี่ปราณีกับแม่ป๋อมใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือ ส่วนคุณณรงค์ใช้กล้องของอาตมาเอง จัดการ "ถอดรูป" ให้อาตมาก่อน เสร็จแล้วทุกคนเข้าไปนั่งเรียงสองข้าง โดยมีอาตมาเป็น "เจียงถอดรูป" บ้าง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22727&stc=1&d=1428175205
ธุตังคเจดีย์วัดปทุมวดีราชวราราม
เสร็จแล้วอาตมากราบลาด้วยความเกรงใจ ปล่อยให้พี่ปราณีกับคนอื่น ๆ สนทนากับพระองค์ท่านตามสะดวก ออกมาเดินถ่ายรูปบริเวณวัด มีพระเจดีย์ ๑๓ ยอดขนาดไม่ใหญ่นักแต่สวยงามทีเดียว น่าจะสร้างในลักษณะธุตังคเจดีย์ คือสรรเสริญคุณของธุดงวัตร ๑๓ ประการ มาถึงซุ้มประตูวัดที่ค่อนข้างเรียบง่าย เห็นภาษาขอมเขียนไว้ว่า "วัดปทุมวดีราชวราราม" มองดูแล้วที่เหลือเป็นกุฏิพระไม่มีอะไรเด่น จึงกลับมารออยู่ที่รถ สักครู่หนึ่งพี่ปราณีก็พาทุกคนออกมาขึ้นรถ...
พอออกรถพี่ปราณีก็บอกว่า "เพิ่งจะบ่ายโมงเอง อีกตั้งสองชั่วโมงกว่าจะได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเทพวงศ์ พี่พาพวกเราไปไปซื้อของที่ตลาดรัสเซียก่อนดีกว่า" ทุกคนได้ยินก็เฮลั่น สนับสนุนกันเป็นเสียงเดียว อาตมาจะไปคัดค้านอะไรได้ นอกจากติดรถไปด้วยแต่โดยดี คุณณรงค์พารถวิ่งไปถึงวงเวียนวิมานเอกราช แล้วเลี้ยวเข้าถนน "เพรียะนโรดม" ตรงไปทางทิศใต้ไกลทีเดียว จนไปตัดกับถนนสายค่อนข้างใหญ่ ที่มีป้ายภาษาขอมว่า "มหาวิถีเมาเซตุง" จึงเลี้ยวขวาวิ่งยาวไปอีกเกือบสิบห้านาที ก็เห็นร้านรวงเรียงเป็นตับ ผู้คนรถราแน่นไปหมด...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22728&stc=1&d=1428264278
"เนียงลออ" ที่ตลาดรัสเซีย
"ถึงตลาดรัสเซียแล้วค่ะ เชิญทุกคนซื้อของกันตามสบาย ต่อได้ทุกร้านนะคะ" พี่วิไลเอ่ยขึ้น รถของเราจอดอยู่แถวบริเวณร้านขายของเก่า อาตมามองข้ามฝั่งไปทางร้านขายของที่ระลึกอื่น ๆ ทั้งเสื้อผ้า อัญมณี ภาพเขียน ฯลฯ ที่เป็นซอยเล็กซอยน้อย คล้าย ๆ คลองถมบวกกับตลาดโบ๊เบ๊แล้วก็ถอดใจ ทางก็แคบ คนก็มาก ตูจะไปเบียดกับใครไหว ?
"ทุกคนไปเลือกซื้อของตามสบายเถอะ เดี๋ยวจะเดินดูของแถวนี้แหละ กลับเมื่อไรมาเรียกด้วยก็แล้วกัน" ทั้งหมดเฮข้ามถนนไปยังร้านขายเสื้อผ้า ไม่มีใครห่วงใยอาลัยอาวรณ์หลวงตาแก่อย่างอาตมาเลย "ตลาดนี้เปิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ตอนแรกมีคนรัสเซียเอาสินค้าจากรัสเซียมาขาย ส่วนมากเป็นพวกยุทธปัจจัยทางทหาร จึงเรียกกันว่าตลาดรัสเซีย เมื่อมีคนมาหาซื้อกันมากเข้า ร้านค้าประเภทอื่น ๆ ก็ตามมา ช่วงนี้ข้าวของจากรัสเซียจริง ๆ มีน้อยมากเจ้าค่ะ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากจีนและไทย และเป็นสินค้าเลียนแบบทั้งนั้น" เออ..อย่างน้อยก็ยังมี "ยายจ้อ" ที่ไม่ทิ้งอาตมา ฟัง "ยายรอบโลก" นี่แล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเพียบเลย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22735&stc=1&d=1428350739
สารพัดของที่วางขาย ส่วนมาก "แกล้งเก่า" แทบทั้งนั้น
ร้านของเก่าร้านแรก มีพวกเทวรูปเขมร เทวรูปกรีก เทวรูปอินเดีย เทวรูปจีน ล้วนแต่เป็นของ "แกล้งเก่า" ทั้งนั้น พวกโคมไฟแก้วแขวนเพดานมีของเก่าแท้บ้าง แต่อาตมาไม่รู้ว่าจะซื้อไปทำอะไร ร้านที่สองมีพวกเครื่องเงินรูปพรรณต่าง ๆ จำพวกตลับ พาน คนโท ใหม่เอี่ยม แต่ดูแล้วผสมทองขาว (อัลปากา) มากไปหน่อย พวกวัสดุหินแกะยังฝีมือค่อนข้างหยาบ ส่วนไม้แกะสลักเป็นศิลปะแบบจีน จำพวกเต่ามังกร พระสังกัจจายน์ ดูดีมีสกุล แต่ราคาที่ติดไว้แพงหูดับเลย...
ร้านถัดไปมีพวกเขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ ของจริงทั้งนั้น แสดงว่าที่เขมรยังหาของพวกนี้ง่าย จึงไม่คุ้มค่าที่จะปลอมเหมือนกับทางบ้านเรา เจอร้านหนึ่งที่มีเทวรูปเขมรล้วน ๆ แต่ก็เป็นของแกล้งเก่าตามเคย ยกเว้นชิ้นหนึ่งที่เป็นพญานาค ๗ เศียรที่เป็นของแท้ เจ้าของร้านบอกราคาหมื่นสองพันดอลลาร์ ขออภัย..ราคานี้ถึงเป็นของแท้ก็ไม่มีปัญญาที่จะซื้อโว้ย..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22744&stc=1&d=1428436446
ลองเสื้อผ้าและต่อราคาแบบไม่ดูฟ้าดูดินเลย
เดินดูจนหมดทุกร้านแล้ว เห็นฝั่งโน้นมีซอยที่คนค่อนข้างน้อย อาตมาจึงข้ามถนนไปดูของบ้าง เดินหลบหลีกผู้คนทั้งฝรั่งทั้งคนไทยเข้าไป ทางนี้มีพวกเสื้อผ้าเป็นส่วนใหญ่ พวกอัญมณีเครื่องประดับที่น่าสนใจก็มีแต่พวกประคำ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ประคำเทอร์คอยส์ดูไกลร้อยเมตรก็รู้ว่าปลอมแบบไม่มีฝีมือเอาเลย พวกฆ้อง ระฆังก็ไม่มีของแท้ ยกเว้นพวกกระดึงคอควายที่เป็นไม้ บางร้านรับจ้างวาดรูป บางร้านขายอาหารเฉยเลย รอบข้างมีแต่ร้านเสื้อผ้า แล้วกลิ่นอาหารไม่ติดเข้าไปหมดหรือ ? เพิ่งผ่านไปสองซอยก็ได้ยินเสียงพวกเราต่อราคาเสื้อผ้ากันอุตลุด...
อาตมาเดินไปถึง ถ่ายรูปไปสองรูปแล้ว พวกเราที่เมามันกับการต่อราคาถึงได้เห็น ที่นึกไม่ถึงก็คือ คุณเก่งกับคุณนลินรัตน์ก็อยู่ที่นี่ด้วย ตอนกินข้าวได้ยินพี่วิไลบอกว่าจะพาพวกเรามาที่ตลาดรัสเซีย จึงตามมาบ้าง และเป็นคนแนะนำร้านนี้ให้ อาตมาบอกกับทุกคนว่าเบียดนักท่องเที่ยวไม่ไหว ขอออกไปรอที่เดิม แล้วมุดออกมาทางที่คนน้อยที่สุด มัวแต่ถ่ายรูปเจ้าของร้านคนสวย เลยโดนแหม่มถ่ายรูปเอาบ้าง ข้ามถนนมายืนรออยู่ข้างรถตู้เลย สักครู่หนึ่งพี่วิไล พี่มุกดา น้องเล็ก และลูกปุ๊กก็ออกมาก่อน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22748&stc=1&d=1428522660
ตามไปตามมา กลายเป็นไปซื้อของกันใหม่
พี่ปราณี คุณณรงค์ ตามมาบอกว่าคุณเก่งกับคุณนลินรัตน์ยังหาซื้อของฝากอยู่ คุณณรงค์ซื้อน้ำอ้อยกับน้ำเปล่าแช่เย็นมาถวาย อาตมาบอกว่าไม่รับ เพราะฉันของหวานแล้วความดันขึ้น ส่วนน้ำเย็นเจอเข้าไปเมื่อไรก็มาลาเรียถามหา กลายเป็นคนเลี้ยงง่ายไปโดยปริยาย รอป้ามอยกับแม่ป๋อมอยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่ออกมาเสียที พี่มุกดา น้องเล็กและลูกปุ๊กจึงไปตาม กลายเป็นหายไปด้วย สักพักป้ามอยกับแม่ป๋อมออกมา คนที่ไปตามก็ยังหายจ้อย แม่ป๋อมกลับเข้าไปใหม่ ครู่ใหญ่ก็เดินหัวเราะออกมา บอกว่าคณะนั้นกลับไปซื้อของรอบสอง เผื่อคนขายจะใจอ่อน ยอมลดราคาให้อีก เฮ้อ..การจ่ายทรัพย์เป็นความสุขอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้จริง ๆ...
กลับมากันครบแล้วก็เอาข้าวของออกมาอวดกัน เสื้อยืดตัวละ ๔ ดอลลาร์ ผ้าคลุมไหล่ผืนละ ๓.๗๕ ดอลลาร์ ราคานี้ไม่ถือว่าถูกนะ เมื่อขึ้นรถกันหมดแล้วพี่ปราณีบอกว่า เพิ่งจะบ่ายสองกว่าเอง เมื่อครู่โทรถามคุณจีรนันท์แล้ว ได้รับแจ้งว่า สมเด็จพระสังฆราชเทพวงศ์จะกลับถึงตำหนักราวสี่โมงเย็น ให้พวกเรากลับไปพักที่บ้านก่อนดีกว่า ทุกคนเห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพวกที่ไปเดินซื้อของ อยากอาบน้ำกันเต็มแก่แล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22755&stc=1&d=1428609834
ถ้าเป็นบ้านเราก็ใช้แรงงานเด็กชัด ๆ
พลขับหนึ่งเดียวคนนี้พาพวกเรากลับตามมติของเสียงข้างมาก พอเลี้ยวรถเข้าบ้านไปก็เห็นเด็ก ๆ วัยรุ่นนับสิบคนกำลังล้อมดูโทรทัศน์กันอยู่ พี่ปราณีบอกว่าเป็นพวกคนงานช่วยเย็บผ้า วันหยุดอยู่กับบ้านคงจะเบื่อ จึงมาดูโทรทัศน์กันที่นี่ นอกจากไม่โดนพ่อแม่ด่าแล้ว ยังได้เจอเพื่อนฝูงอีกด้วย พวกเรากลับขึ้นห้องพัก อาตมาวางสมุดบันทึกได้ก็เข้าห้องน้ำ จัดการ "ลอกคราบ" ตัวเองออกไปชั้นหนึ่ง แล้วห่มดองพาดสังฆาฏิ รัดอกเรียบร้อยพร้อมเข้าเฝ้าได้ทันที...
กำลังนอนภาวนาอยู่ได้ยินเสียงเคาะประตู เปิดออกไปเจอแม่ป๋อม จึงชวนไปนั่งตรงระเบียงด้านนอก คุณแม่มาปรึกษาเรื่องไปเมืองจีน ถามว่าอาตมาอยากไปที่ไหนบ้าง ? ฮ่า..อยากไปทั้งประเทศเลยครับ ? "หลวงพ่อก็พูดไปเรื่อย..จะเอาเวลาที่ไหนมา" ก็จริง..เอาเป็นว่าป้าปุ๋มอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ก็ขอไป Buddhist Palace ไหว้หลวงพ่อโตที่เขาหลิงซาน (Mt. Lingshan Grand Buddha) แล้วกัน เพราะไม่ห่างกันมากนัก ที่อื่นแล้วแต่จะแถมให้ตามสมควร ระยะเวลาไม่น่าจะเกิน ๗ วัน มากกว่านั้นก็เสียงานอื่น ๆ หมด...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22760&stc=1&d=1428740812
"ยายวรรณ" ที่ตอนเด็ก ๆ เคยสร้างวีรกรรมมุดจีวรมาแล้ว
เสียงลิฟท์เลื่อนขึ้นมา "หลวงน้าาาา...วรรณมาแล้วค่ะ คิดถึงหลวงน้ามากกกก..!" เสียงดังมาก่อนตัวนั่นคือยายวรรณ (ทิวาวรรณ ภูมิธเนศ) ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าใครเป็นใคร ถลาเข้ามาก่อนเลย "เฮ้ย..เฮ้ย..เอ็งไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อนนี้แล้วนะเว้ย..!" จะไม่ให้อาตมาเอ็ดตะโรห้ามได้อย่างไร ก็ยายนี่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เคยสร้างวีรกรรมด้วยการมุดจีวรมาแล้ว จนทุกวันนี้ทางบ้านยังเล่ากันไม่รู้จบ...
"มาถึงตั้งสามวันแล้ว ไม่ได้เจอหน้าหลวงน้าเลย คิดถึงหลวงน้ามากค่ะ พอหลวงน้าออกจากวัดท่าซุงไปอยู่ป่า พวกหนูก็ต้องทำงาน กำลังจะมีโอกาสไปหา น้าไลก็ให้ย้ายมาอยู่ขแมร์ด้วย เลยไม่ได้เจอกันเสียที วันก่อนหนูออกไปหาลูกค้า กลับมาหลวงน้าก็หนีไปเที่ยวเสียมเรียบแล้ว" ยายวรรณ "จ้อ" น้ำไหลไฟดับ ทำเอาแม่ป๋อมนั่งตาปริบ ๆ คงสงสัยว่าลูกศิษย์แต่ละคนนี่ไม่มีอะไรต้องปิดบังหลวงพ่อเลยใช่ไหม ? แต่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวหรอก ยังคง "ฉอด ๆ" ไปเรื่อย "เดี๋ยวหนูขอไปด้วยนะคะ จะได้เป็นไกด์ให้หลวงน้าด้วย" เออ..ถ้าไม่ถึงกับตะกายขึ้นตักหรือมุดจีวรเหมือนสมัยก่อน จะไปด้วยก็ได้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22761&stc=1&d=1428782531
วัดอุณาโลม ที่ประทับสมเด็จพระสังฆราชกัมพูชาฝ่ายมหานิกาย
เห็นว่าเกือบบ่ายสามครึ่งแล้ว อาตมาจึงชวนแม่ป๋อมกับยายวรรณลงไปข้างล่าง เจอพวกเรากับคุณอารีที่มารออยู่ด้วย บอกว่าจะไปช่วยเป็นล่ามให้ เพราะสมเด็จพระสังฆราชเทพวงศ์พูดไทยได้ไม่กี่ประโยค เมื่อพร้อมแล้วพี่วิไลก็ต้อนให้ขึ้นรถ บอกว่าพี่ปราณีไปพบลูกค้า พวกเราจึงต้องไปกันแค่นี้ คุณณรงค์ขับตรงไปยังวงเวียนวิมานเอกราชตามเคย เลี้ยวขวาตรงหน้าวงเวียนไปตามถนน "เพรียะสีหนุ" แล้วมาเลี้ยวซ้ายเข้าสู่มหาวิถีสุธารส ซึ่งด้านนี้มีป้ายภาษาอังกฤษเขียนว่า "Samdach Sothearos Blvd." หรือ ถนนสมเด็จสุธารส วิ่งผ่านหน้าพระราชวังเขมรินทร์ มาถึงสี่แยกถนนสาย ๑๗๘ ที่ด้านซ้ายมือมีป้ายบอกว่าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกัมพูชา เลยไปอีกแยกหนึ่งก็มาถึงวัดใหญ่ที่มีรั้วทาสีน้ำตาลยาวเหยียด คุณณรงค์เลี้ยวซ้ายตัดถนนเข้าซุ้มประตูที่มีรูปปั้นนูนต่ำของพระพุทธเจ้า ที่กำลังแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ ลวดลายปูนปั้นเหมือนกับศิลปะสมัยพุกาม...
"วัดอุณาโลมนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๑๔๔๓ เจ้าค่ะ ใกล้เคียงกับยุคสมัยอาณาจักรพุกาม ถ้าจะติดศิลปะพุกามมาบ้างก็ไม่น่าแปลกใจนะเจ้าคะ" เฮ้ย..เก่าแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ ? แล้วทำไมอาคารสถานที่ต่าง ๆ ใหม่อย่างนี้เล่า ? "อ๋อ..เกิดจากช่วงเขมรแดงปกครองประเทศ ได้ทำลายศาสนาสถานต่าง ๆ ไปมากมาย วัดนี้เป็นวัดที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายมหานิกาย จึงเป็นเป้าหมายแรก ๆ ในการทำลายของเขมรแดง อาคารสถานที่ต่าง ๆ ที่พระคุณท่านเห็น ส่วนมากเพิ่งจะมาสร้างใหม่หลังจากรัฐบาลเขมรแดงถูกล้มล้างไปแล้ว โดยสร้างให้เหมือนกับของเดิมมากที่สุด จึงเป็นของใหม่ในศิลปะยุคเก่าเจ้าค่ะ" อือม์..ตอบได้ทุกปัญหาจริง ๆ เลยแม่คุณ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22765&stc=1&d=1428864907
ถ่ายรูปหมู่กับ "ลิงอุ้มแตง"
พวกเราลงจากรถโดยมีคุณอารีกับยายวรรณประคองพานพุ่มดอกบัวลงมาด้วย การบูชาด้วยพุ่มดอกบัวแบบนี้ ในกัมพูชาถือว่าเป็นการบูชาด้วยความเคารพสูงสุด เนื่องจากแต่ละพานมีดอกบัวนับร้อยดอก สองสาวจึงทำท่าเหมือน "ลิงอุ้มแตง" ก็ไม่ปาน ข้างหน้าที่จอดรถของเรา เป็นอาคารหลังใหญ่ หน้าตาเหมือนโบสถ์วัดพระแก้วเขมรเลย เพียงแต่ลวดลายและฝีมือหยาบกว่าเท่านั้น น่าจะเป็นโบสถ์ของวัดอุณาโลมนี่เอง แต่ประตูปิดสนิท บันไดหน้าโบสถ์เป็นปูนซีเมนต์ขัดเรียบแบ่งเป็นสองตอน ช่วงล่างเป็นขั้นบันไดเปลือยจากใหญ่ไปหาเล็กรวม ๘ ขั้น มีกระถางดอกไม้วางปิดหัวท้ายของขั้นบันได กันคนเดินตกลงไป ช่วงบนมีราวบันไดสกัดทำให้ ๗ ขั้นนี้กว้างเท่ากัน ข้างบันไดมีรูปปั้นวัวขาวกับควายดำขนาดเท่าตัวจริงหมอบอยู่ข้างละตัว...
ที่เด่นสะดุดตาก็คืออาคารจตุรมุขทรง "กล่อง" ซึ่งด้านบนเป็นยอดปรางค์ เพราะนอกจากหลังคากระเบื้องเกล็ดปลาสีเหลืองจัดจ้านแล้ว ยอดปรางค์และช่องว่างของหน้าบันทาสีแดงสด จึงดูโดดเด่นกว่าใครเพื่อน คุณอารีอุ้มพานดอกบัวไปวางที่ซุ้มเยื้องกับโบสถ์ที่มีพระเจดีย์เล็ก ๆ ตั้งอยู่ แล้วเดินเข้าไปหา "สัปปุรุสะ" คนหนึ่งสอบถามรายละเอียด เขาชี้ไปที่อาคารข้าง ๆ หลังใหญ่ซึ่งมีสองชั้นผนังทาสีเหลืองเข้ม น่าจะเป็นศาลารับแขก แต่เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ..บันไดสูงลิบโลกเลย อาตมาเดินขึ้นพร้อมกับนับไปด้วย กว่าจะถึงระเบียงหน้ามุขชั้นสองนับได้ตั้ง ๒๕ ขั้น..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22767&stc=1&d=1428952124
น่าจะเป็นรูปหล่ออดีตสมเด็จพระสังราชฮวนตาลแห่งกัมพูชา
ยังดีที่น้องเล็กหอบพานดอกบัวขึ้นมาแทน ขืนปล่อยให้คุณอารีที่เอวบางร่างน้อยหอบขึ้นมาเองอาจจะถึงกับเป็นลม พระหนุ่มผู้ดูแลสถานที่ซึ่งใส่แว่น ห่มดองพาดสังฆาฏิเรียบร้อย ไหว้อาตมาแล้วชี้เข้าไปในศาลา อาตมารับไหว้แล้วจึงเดินนำคณะเข้าไปด้านใน ที่ผนังฝั่งตรงข้ามกับประตูเป็นภาพเขียนสีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ขนาดใหญ่ติดอยู่ ๕ รูป ข้างใต้รูปเป็นตู้กระจกขนาดใหญ่มีพระพุทธรูปหลายองค์ สองข้างตู้น่าจะเป็นเทียนพรรษาต้นใหญ่ ติดกระดาษสีจนแทบมองไม่ออกว่าเป็นต้นเทียน ด้านซ้ายของตู้เป็นรูปหล่อ ซึ่งน่าจะเป็นอดีตสมเด็จพระสังฆราชฮวนตาล ซึ่งสมัยเขมรแดงเรืองอำนาจ รูปหล่อนี้โดนอุ้มไปทิ้งแม่น้ำโขง หลังจากเขมรแดงสิ้นอำนาจมีคนหาปลาไปพบเข้า จึงช่วยกันอัญเชิญกลับมาไว้ที่เดิม...
คุณอารีส่งภาษาขแมร์ถามพระท่านเร็วจนอาตมาฟังไม่ทัน เมื่อได้ความแล้วจึงหันมาบอกพวกเราให้นั่งรอไปก่อน สมเด็จพระสังฆราชเทพวงศ์ท่านไปเทศน์ จะกลับมาถึงราวห้าโมงเย็น เออ..ดีแฮะ ยิ่งมาก็ยิ่งกลับช้าลงไปเรื่อย ๆ แต่ข่าวนี้น่าจะตรงที่สุด เพราะตอนนี้สี่โมงครึ่งแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววของพระองค์เลย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22768&stc=1&d=1429040930
ระหว่างที่รอก็ดูข้าวของไปเรื่อย
อาตมาเดินดูข้าวของในศาลาไปเรื่อย มีตู้ไม้แบบเก่า ๆ ที่ทั้งหนักทั้งแข็งแรงอยู่หลายใบ ภายในมีทั้งพระไตรปิฎก ผ้าจีวร ข้าวของพวกพานและชุดน้ำชา อีกด้านเป็นแท่นมีพระพุทธรูปแบบพระแก้วมรกตทรงเครื่องฤดูร้อนของเราประดิษฐานอยู่ ข้างหน้าพระพุทธรูปเป็นงาช้างคู่หนึ่งที่เล็กเรียวมาก ยาวประมาณ ๑ เมตร กระหนาบข้างด้วยหม้อน้ำมนต์ ถัดออกมาเป็นกลองเล็ก ๑ คู่ และฆ้องวงที่เป็นทองเหลืองอีกชุด ถัดไปทางขวามือเป็นหัวกระทิงทำจากไม้ตั้งอยู่บนลูกกลึงไม้ แต่ติดเขากระทิงของแท้ลงน้ำยาไว้เงาวับเลย...
มีโยมผู้หญิง ๓ คนขึ้นมาศาลา คนหนึ่งใส่เสื้อขาวกระโปรงดำแบบนักศึกษาด้วย มาถึงก็จัดข้าวของใส่พานเตรียมไว้ถวายพระ พี่วิไลจึงไปถามหาพานจากพระเจ้าหน้าที่ ซึ่งท่านก็นำมาให้แบบทันใจ อาตมาเอาซองปัจจัยที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ทับหน้าด้วยธูปญวนทั้งห่อ เพิ่งจะเตรียมของเสร็จสมเด็จพระสังราชเทพวงศ์ก็เสด็จออกมาจากประตูข้างศาลา พระองค์มีรูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ แต่ดูแข็งแรงแบบไม่น่าเชื่อ เพราะเจริญพระชนมายุถึง ๘๐ พรรษาแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22769&stc=1&d=1429146749
ทรงบัญชาให้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
ทรงมีบัญชาให้อาตมายกพานดอกบัวขึ้นตั้งแทนพานเดิมที่พระผู้ดูแลยกลง แล้วให้จุดธูปเทียนบูชาพระ เมื่อกราบพระเสร็จแล้ว พระองค์จึงประทับลงบนอาสนะเตี้ย ๆ ลักษณะคล้ายกับอาสนะสำหรับสวดพระปาฏิโมกข์ ซึ่งกั้นกลางด้วยตั่งแปดเหลี่ยมแกะลวดลายศิลปะจีนตัวเตี้ยติดพื้น...
อาตมากราบถวายความเคารพแล้ว น้อมเอาไทยธรรมเข้าไปถวาย พระองค์รับแล้วให้พรเป็นภาษาบาลี ก็คือบทสัพพีติโยฯ นั่นแหละ เสร็จแล้วถอยออกมาให้พี่วิไลพาน้อง ๆ เข้าไปกราบรับพร ทรงโปรยข้าวตอกและกลีบดอกบัวแทนน้ำมนต์ โดยมีโยมสามคนที่มาทีหลังเข้าไปรับด้วย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22771&stc=1&d=1429210737
ในห้องรับแขกส่วนพระองค์
จากนั้นเสด็จนำพวกเราไปยังประตูที่เสด็จออกมาในตอนแรก พระผู้ดูแลซึ่งน่าจะเป็นเลขานุการในพระองค์กันโยมสามคนเอาไว้ ให้เฉพาะคณะของเราเข้าไปข้างใน ซึ่งเป็นห้องปิดทึบติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ตรงกลางด้านในสุดเป็นตู้ไม้ใบใหญ่บรรจุพระพุทธรูปทั้งยืนและนั่งหลายองค์ สองข้างตู้เป็นประตูไม้ซึ่งไม่ทราบว่าเปิดออกไปไหน...
พระองค์ประทับลงบนเก้าอี้รับแขกลาย "หลุยส์" ตัวกลางหน้าตู้ พลางชี้ให้พวกเรานั่งบนเก้าอี้ตัวอื่น ๆ ที่เหลือ อาตมานั่งด้านในใกล้องค์ท่านที่สุด ถัดไปเป็นลูกปุ๊ก ป้ามอยและยายวรรณ มีคุณอารีนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้องค์ท่านอีกฝั่งหนึ่ง ต่อด้วยพี่วิไล พี่มุกดา แม่ป๋อม ส่วนน้องเล็กทำหน้าที่ "ยายกล้อง" งานนี้คุณณรงค์ไม่ได้ขึ้นมาด้วย ต้องอยู่คอยขยับรถเผื่อมีใครเข้าออก วัดใหญ่ขนาดนี้แทบจะไม่มีที่ให้จอดรถเลย...
อาตมากราบทูลว่าเป็นอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่พระองค์เคยเสด็จไปร่วมงานของทางมหาวิทยาลัยมาแล้ว อยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์กัมพูชาเพื่อนำไปสอนพระนิสิต กราบขอประทานอนุญาตทูลถาม ตอนแรกทรงตอบเป็นภาษาไทย แต่ค่อนข้างจะติดขัด คุณอารีจึงเป็นล่ามคอยแปลให้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22795&stc=1&d=1429297403
เล่าถวายเรื่องการศึกษาของพระภิกษุสามเณรในเมืองไทย
พระองค์ตรัสว่ากัมพูชามีพระภิกษุสามเณรประมาณ ๕๐,๐๐๐ รูป (ข้อมูลตรงนี้มากเกินไปจนน่าสงสัย) เพราะเป็นประเทศเล็ก มีประชากรประมาณสิบล้านคน จึงไม่ได้มีพระภิกษุสามเณรมากเหมือนเมืองไทย พระสงฆ์แบ่งเป็นสองนิกายเหมือนไทย การศึกษาของพระสงฆ์มีมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาพระสีหนุราชที่สอนถึงระดับปริญญาโท แต่พระภิกษุสามเณรที่มีกำลังส่วนหนึ่ง เข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยของไทย...
อาตมากราบทูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการศึกษาของพระภิกษุสามเณรของไทย แบ่งออกเป็นการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ซึ่งเรียนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค แผนกธรรม เรียนถึงนักธรรมชั้นเอก และแผนกสามัญเรียนถึงระดับปริญญาเอกแล้ว ทางคณะสงฆ์กำลังหาทางสนับสนุนให้เปิดกองวิปัสสนาธุระ เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสามเณรและญาติโยมทั่วประเทศ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22796&stc=1&d=1429388147
สิ่งที่ตอบมาทำเอา "ล่าม" ถึงกับตะลึง..!
คุณอารีแปลแบบติด ๆ ขัด ๆ เนื่องจากเป็นศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย ที่ตลกก็คือเรียกพระองค์ท่านว่า "โลกตา" เป็นเพราะแปลความผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เมื่อพระองค์ตอบกลับมาคุณอารีถึงกับตะลึง มองหน้าอาตมาเหมือนกับถามว่าจะแปลดีหรือไม่ ? อาตมาที่พอฟังทันบ้างจึงพยักหน้าให้แปลไปเลย คนอื่น ๆ จะได้รู้ว่าตรัสอะไร คุณอารีจึงแปลสิ่งที่พาทุกคนตะลึงไปด้วย..!
"อย่าเพิ่งไปตั้งอะไรใหม่เลย แค่ของเก่าที่มีอยู่ก็เรียนให้ดีแล้วสอนชาวบ้านให้ดีเถอะ จะได้ไม่มาระรานเพื่อนบ้านอย่างที่ผ่านมา ถ้ายังเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์อยู่ผมจะไม่ต้อนรับคณะของท่านเลย ยังดีที่ตอนนี้เป็นรัฐบาลของนายกฯ ยิ่งลักษณ์แล้ว..!"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22797&stc=1&d=1429481343
"แล้วพระองค์ทราบได้อย่างไรว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ?"
ฮ่า..ปีที่แล้วตอนไปร่วมงานวิสาขบูชาโลก พระองค์ท่านก็ "ปรี๊ดแตก" ใส่นักข่าวไทยที่ไปถามว่า "ทางคณะสงฆ์กัมพูชามีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาเขาพระวิหารอย่างไรบ้าง ?" คุณอารีทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ บอกว่า "กลับเถอะ" เฮ่ย..เรื่องแค่นี้ทำเป็นจะตาย ถ้ากลัวก็นั่งเฉย ๆ ที่เหลือตูลุยเองก็ได้..! คุณอารีจึงกัดฟันแปลต่อไปดังนี้...
"เกล้าฯ ก็ไม่ทราบว่าทรงรับข้อมูลมาจากทางไหน รัฐบาลทุกประเทศต่างก็ต้องพูดถึงตนเองในด้านที่ดี มักจะเอาความไม่ดีไปโยนให้ประเทศอื่น เพื่อรักษาฐานเสียงและกระแสสนับสนุนจากประชาชนของตน บางประเทศโกหกประชาชนแบบหน้าด้าน ๆ ก็มี..!"
"ทำไมผมจะไม่รู้ ? ผมดูข่าวโทรทัศน์อยู่ทุกวัน..!"
"แล้วพระองค์ทราบได้อย่างไรว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ? ต่อให้ได้ข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายใครจะรับรองได้ว่าเป็นความจริง ? ปัจจุบันนี้การเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือ อินเตอร์เน็ต แต่การเข้าถึงความจริงกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะต่างฝ่ายก็พูดเฉพาะเรื่องที่ทำให้คนอื่นมองว่าตัวเองเป็นคนดีเท่านั้น"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22800&stc=1&d=1429557469
"เกล้าฯ ขอประทานโอกาสยุติเพียงนี้"
"ผมมั่นใจว่าประชาชนเขมรรักความสงบ ไม่ไปรังแกใครก่อนอย่างแน่นอน"
"ถูกต้องขอรับ แต่ทหารเขมรรักสงบเหมือนประชาชนหรือเปล่า ? เพื่อรักษาฐานเสียงของตนที่ตกต่ำ วิธีที่ดีที่สุดก็คือกระตุ้นความชาตินิยมของประชาชนขึ้นมา แล้วอะไรจะเรียกเลือดรักชาติได้ดีกว่าการสร้างสถานการณ์ว่าอีกฝ่ายรุกล้ำชายแดนละขอรับ..?"
"พระอาจารย์..กลับเถอะ"
"ผมก็ต้องเชื่อเรื่องที่คนของผมพูด จะให้ไปเชื่อเรื่องที่คนอื่นพูดได้อย่างไร ?"
"ถูกต้องอีกแล้วขอรับ เกล้าฯ ดีใจที่ได้มาเฝ้าพระองค์ซึ่งมีความรักชาติรักแผ่นดิน สมกับเป็นพระเถระที่เป็นหลักชัยของบ้านเมือง ถ้ามีโอกาสเกล้าฯ จะนำเรื่องนี้ไปแจ้งต่อผู้มีอำนาจในเมืองไทย ว่าพระองค์มีดำริเช่นนี้ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนับสนุนให้พูดคุยกันในเรื่องการเมือง เกล้าฯ จึงขอประทานโอกาสยุติเพียงนี้ กราบขอบพระเดชพระคุณที่อนุญาตให้เข้าเฝ้าในครั้งนี้ขอรับ"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22803&stc=1&d=1429647582
"ถอดรูป" เสร็จ ออกมาก็นินทากันใหญ่..!
อาตมาขออนุญาต "ถอดรูป" ร่วมกับพระองค์ท่าน ซึ่งรู้สึกว่าจะได้คิดและเริ่มเย็นลงแล้ว พวกเราทุกคนจึงได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปด้วยดี พอกราบลาออกมาขึ้นรถได้ คราวนี้เสียงนินทาก็กระหึ่มไปทั้งรถ มีทั้งประเภท "หัวรุนแรง" "เล่นการเมือง" ฯลฯ ซึ่งจะไปว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะในยุคเขมรแดงพระองค์เคยโดนการเมืองเล่นเอาปางตายมาแล้ว..!
"กลับกันหรือยัง ? โกเฮงมารออยู่นานแล้ว" พี่ปราณีโทรมาตาม คุณณรงค์จึงต้องรีบพาพวกเรากลับบ้าน ยี่สิบกว่านาทีก็มาถึง พี่ปราณีก็รีบนำอาตมาขึ้นไปชั้นบน บอกว่า "โกเฮงมารอนานแล้ว ตั้งท่าจะกลับหลายที พี่ต้องดึงตัวเอาไว้ มีอะไรหลวงพี่ถามให้หมดเลยนะ" นับเป็นความเมตตาและหวังดีของพี่เขา ถึงอาตมาจะพอรู้อะไร ๆ บ้าง แต่บางเรื่องก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างโกเฮงจัดการให้จะดีกว่า...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22807&stc=1&d=1429729379
เขียนวันเดือนปีเกิดเป็นภาษาอังกฤษให้โกเฮง
หนุ่มใหญ่นักดูฮวงจุ้ยระดับนานาชาติ นั่งรออยู่ที่ชั้นสองตรงโต๊ะทำงานของพี่ปราณี วันนี้มาในชุดเสื้อยืดคอปกสีเปลือกมังคุดและกางเกงขายาวสีดำ ยกมือไหว้แล้วยังจับมือจับไม้ด้วยด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีก โกเฮงเชื่อว่าดวงของอาตมาสัมพันธ์กับดวงของตัวเอง ถ้าอาตมาเจริญก็จะพาโกเฮงเจริญไปด้วย จึงเต็มใจเสมอเมื่ออาตมาซักถามเรื่องอะไรที่จะสร้างความเจริญให้แก่ตนเอง ดังนั้น..พอนั่งลงแล้วอาตมาถึงถามเรื่องฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ที่ตั้งใจสร้างถวายในวาระครบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงปู่ ว่าควรที่จะทำในวันเดือนปีอะไร ?
โกเฮงถามวันเดือนปีเกิด อาตมาเขียนให้เป็นภาษาอังกฤษ ทำเอาบรรดากองเชียร์ที่นั่งกันหน้าสลอนสงสัย จึงต้องบอกว่าโกเฮงพอจะพูดภาษาไทยได้ก็จริง แต่เขียนภาษาไทยไม่ได้เลย ได้แต่ภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ท่านซินแสดันลืมเอาแว่นตามาด้วย อาตมาจึงถอดของตัวเองส่งไปให้ คาดว่าน่าจะใช้ได้เพราะอายุห่างกันไม่กี่ปี ซึ่งก็ใช้ได้จริง ๆ...
ดูแล้วดูอีก ทวนแล้วทวนอีก ในที่สุดโกเฮงก็แจ้งให้ทราบว่า ฤกษ์ดีที่สุดของอาตมาในการวางศิลาฤกษ์ ก็คือช่วงระหว่าง ๐๕.๓๐ น. ถึง ๗.๓๐ น. ของวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ปีหน้าโน่น ส่วนข้าวของต่าง ๆ นอกจากไม้มงคล ๙ อย่างแล้ว ต้องมี "โหงวจี้" หรือธัญพืช ๕ ชนิดเพื่อความงอกงามไพบูลย์ ทองคำและเงินเพื่อความร่ำรวย ใบส้มโอเพื่อความร่มเย็นและมีชื่อเสียงฟุ้งกระจาย น้องเล็กทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัว จดรายละเอียดยิก ๆ เพราะอาตมาไม่ค่อยใส่ใจ เดี๋ยวก็มีการลืมอีก เสร็จแล้วอาตมามอบพระนาคปรก (นาคขอม) ฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี องค์เล็กเนื้อเงินให้โกเฮงเป็นที่ระลึก พี่ปราณีกับพี่วิไลเห็นเข้าก็แบมือขอบ้าง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22813&stc=1&d=1429814245
แก่พอกันเลยใส่แว่นแทนกันได้
จากนั้นบรรดากองเชียร์ก็ล้อมพรึ่บเข้าไปจนโกเฮงกระดิกไม่ได้ แม้ทางบ้านจะโทรมาตามก็ไม่มีสิทธิ์กลับ ต้องยอมทำนายทายทักให้ทุกคนแต่โดยดี ของพี่ปราณีกับพี่วิไลยกไว้ เพราะว่าถามบ่อยมาก ของน้องเล็กกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะไปร่ำรวยมากในอีกไม่นาน ของแม่ป๋อมเหมือนทองคำตกน้ำ ทองคำต้องโดนไฟหลอมถึงจะมีการเปลี่ยนแปลง ไปตกน้ำแบบนี้ไม่จำเป็นอย่าไปทำอะไรเลย แค่ที่มีอยู่ก็พอกินพอใช้ไปตลอดชีวิตแล้ว...
ส่วนของพี่มุกดา ป้ามอยและลูกปุ๊ก ดวงชะตาค่อนข้างธรรมดาแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไม่มีอะไรหวือหวา อาตมาแกล้งถามว่าเมื่อไรจะอ้วนบ้าง ? โกเฮงกลับตอบแบบจริงจังว่า อาตมาเกิดธาตุไม้ แต่เวลาตกฟากเป็นธาตุไฟสูงสุด จึงต้องแห้งกรอบแบบนี้ไปจนกว่าอายุ ๖๐ ปี ถึงตอนนั้นธาตุน้ำหมุนมาช่วยหนุน ไม้เจอน้ำถึงจะเจริญงอกงาม นอนเฉย ๆ ก็อ้วนได้เอง..!
ตกลงว่างานนี้โกเฮงต้องดูดวงการกุศล ปกติแล้วการดูดวงแต่ละคนโกเฮงคิดครั้งละ ๕,๐๐๐ บาท งานนี้ดูไป ๖ คนได้พระไปองค์เดียว แต่ก็เต็มอกเต็มใจบริการให้ หลังจากเมียโทรตามประมาณครั้งที่ ๑๐ โกเฮงก็ขอตัวกลับบ้าน อาตมาสั่งว่าถ้าไปเมืองไทยก็ให้ส่งข่าวด้วย สร้างศาลาเสร็จเมื่อไรจะให้ไปดูสถานที่ตั้งพระประธานอีกที...
อำลากันแล้วอาตมาก็กลับขึ้นที่พัก เพิ่งสรงน้ำเสร็จพี่วิไลก็มาหา ขอร้องให้ช่วย "ฟื้น" กรรมฐานให้หน่อย เพราะทิ้งมานานจนสนิมขึ้นหมดแล้ว อาตมาทั้งที่เหนื่อยจนแทบหลับตาเดิน ก็ต้องช่วยนำกรรมฐานจนกำลังใจของพี่เขาทรงตัว แล้วปล่อยให้ภาวนาเองอยู่ในห้องพระ ตัวเองหลบกลับมานอน ส่งใจไปกราบพระ แผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วตัดหลับไปอย่างรวดเร็ว...
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.