เข้าระบบ

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๗


เถรี
18-09-2014, 06:06
ทุกท่านขยับตั้งกายให้ตรง กำหนดสติเอาไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะจับการกระทบฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐาน หรือว่ารู้ตลอดกองลมก็ได้ จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สำหรับการเจริญกรรมฐานนั้น เราจะทิ้งลมหายใจเข้าออกไม่ได้ เมื่อภาวนาตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก จนกำลังใจเริ่มทรงตัวแล้ว ก็มาพิจารณาทบทวนศีลของเรา ว่าภายในวันนี้ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา จนถึงปัจจุบันขณะนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ศีลข้อใดของเราได้บกพร่องไปบ้าง ?

เราได้ฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ให้เจ็บโดยเจตนาหรือไม่ ? เราได้ลักขโมยหรือหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้หรือไม่ ? เราใจเร็วด่วนได้ละเมิดของที่เขารัก คนที่เขารักหรือไม่ ? เราได้โกหกมดเท็จหรือไม่ ? เราได้ดื่มสุราเมรัย หรือเสพยาเสพติดบ้างหรือไม่ ?

ถ้าศีลของเราข้อใดข้อหนึ่งขาดตกบกพร่อง ก็ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลของเราต่อไป การรักษาศีลนั้นสำคัญที่การงดเว้น มีโอกาสแล้วไม่ล่วงละเมิดจึงเรียกว่าศีล ไม่ใช่ว่าต้องอาราธนาศีล ต้องสมาทานศีลถึงจะเป็นศีล การอาราธนาเป็นการขอร้องให้พระภิกษุสงฆ์บอกเราว่าศีลมีอะไรบ้าง การสมาทานก็คือการศึกษาว่าศีลแต่ละข้อคืออะไร ถึงอาราธนาศีลแล้ว สมาทานศีลแล้ว แต่ถ้าไม่มีเจตนางดเว้นก็ยังคงไม่มีศีล

เถรี
19-09-2014, 08:40
ดังนั้น..เมื่อเราทบทวนศีลของเราแล้ว เห็นสิกขาบทใดบกพร่อง ก็ให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกข้อ หลังจากนั้นก็ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่เท่าที่เราจะทำได้ เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้ว สภาพจิตจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ตรงนี้ก็ให้ทุกท่านพิจารณาว่า สภาพร่างกายของเรานี้ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด

มีความทุกข์เป็นปกติ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย เป็นต้น ในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพัง กลายเป็นธาตุสี่คืนให้แก่โลกไป ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเราเกิดมาอีก ก็มีแต่สภาพร่างกายที่ไร้แก่นสารเช่นนี้ เกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป เราปรารถนาอย่างเดียวก็คือพระนิพพาน

ถ้าหากว่าเราสิ้นชีวิตลงไปเพราะหมดอายุขัย หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ดี เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว เมื่อวางกำลังใจถึงตรงจุดนี้แล้ว ก็เอากำลังใจของเราเกาะภาพพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ ถ้ามีลมหายใจเข้าออกอยู่ ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้าลมหายใจเข้าออกหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้ว่าตอนนี้ลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป อย่าอยากให้ลมหายใจกลับมา และอย่าอยากให้ลมหายใจหายไป เรามีหน้าที่กำหนดดูกำหนดรู้เท่านั้น ส่วนสภาพลมหายใจจะเป็นอย่างไรก็ช่าง

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)