PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗


เถรี
09-09-2014, 08:48
ถาม : วัตถุมงคลของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง พิธีสุดท้ายที่ท่านทำไว้ จะได้รับพรทั้งหมดจาก พระ เทพ พรหม เทวดา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : นี่มาแนวโลภแล้ว เรื่องของการพุทธาภิเษก ถ้า พระ หรือ พรหม หรือ เทวดา ท่านเคยสงเคราะห์ไว้เท่าไร ครั้งต่อไปจะไม่ต่ำกว่านั้น ยกเว้นว่าถ้ามีอะไรพิเศษท่านจะบอกเพิ่มให้ ส่วนของวัดท่าซุงท่านจะได้หมดหรือเปล่า ? ต้องกราบเรียนถามหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเอง อาตมาตรัสรู้ไม่ได้

ถาม : แล้ววัตถุมงคล ที่ทำไว้ในพิธีต้น ๆ (เช่น ลูกแก้วมะเฟือง) ซึ่งผมบูชาจากวัดท่าซุงหลังหลวงพ่อฤๅษี ฯ ละสังขาร จะถือว่าได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกซ้ำแล้วซ้ำอีกได้รับพรจนกระทั่งพิธีสุดท้ายหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่ได้เอาเข้าพิธีก็ได้แค่นั้นแหละ

ถาม : แล้วถ้าสมมติว่าท่านเก็บวัตถุมงคลไว้ในคลัง แล้วมีพระหรือโยมอาราธนาขอพรท่านลงมา ?
ตอบ : โยมคงไม่เก่งขนาดนั้น เพราะพระท่านสงเคราะห์ให้เป็นการเฉพาะ

ถาม : วัตถุมงคลของหลวงพ่อเล็กเอง จะได้รับพรที่ พระ เทพ พรหม เทวดา ท่านสงเคราะห์มาตั้งแต่ต้นรวมกันมาจากหลวงพ่อฤๅษี ฯ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกันเลย ของใครก็นับหนึ่งเอาเอง อาตมาว่าคนถามออกแนวโลภดูท่าจะไม่ผิดแน่ เพราะจะเอาให้ได้

เถรี
09-09-2014, 08:49
ถาม : กรณีที่เรานำช่อดอกไม้ ที่พระอาจารย์อนุญาตให้โยมนำกลับไปบูชาพระที่บ้านได้ ไปบูชาพระแล้วพบว่า กิ่งดอกพุดที่ใช้ตกแต่งช่อดอกไม้นั้นงอกรากออกมา จึงนำกิ่งไม้นั้นไปปลูก โดยดอกไม้และกิ่งใบส่วนอื่น ๆ ที่เหี่ยวแห้งแล้วก็ขอขมาลาทิ้งไปตามปกติ เช่นนี้ถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : พระอาจารย์ติดหนี้สงฆ์ ไม่ได้เกี่ยวกับโยม เพราะพระอาจารย์เป็นคนให้

ถาม : และทำนองเดียวกัน ก้อนโอเอซิสที่ยังพอใช้ได้หากไม่ได้ทิ้งไปแต่นำกลับมาใช้ใหม่ จัดว่าเข้าข่ายติดหนี้สงฆ์ด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : คำตอบเดียวกัน

เถรี
09-09-2014, 08:52
ถาม : หากเราอยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้นำวัตถุมงคลเข้าร่วมงานพุทธาภิเษกที่วัดในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๗ แต่เราจัดวัตถุมงคลใส่พานไว้ที่ห้องพระ แล้วกราบขออาราธนาบารมีพระให้พร เสมือนได้เข้าร่วมงานพุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุน และให้มีอานุภาพเหมือนวัตถุมงคลที่หลวงพ่อได้พุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุนในวันดังกล่าว จะทำได้และมีอานุภาพเหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทำได้ แต่อานุภาพมีหรือเปล่าไม่รู้ ? ถามว่าทำได้ไหม ? ก็ทำได้ คุณอยากทำก็ทำ การพุทธาภิเษกเป็นการกราบอาราธนาขอบารมีพระท่าน ในเมื่อขอบารมีพระท่าน ผู้ใดขอท่านก็สงเคราะห์ผู้นั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าอยากได้ก็ขอเอาเอง

ถาม : ทำอย่างไรจะได้อานุภาพเหมือนกันคะ ?
ตอบ : ก็จัดพิธีให้เหมือนกัน เครื่องบวงสรวงชุดใหญ่เท่ากัน ปูผ้าขาว จัดเทียนสัตตบริภัณฑ์ให้เหมือนกัน แล้วถึงเวลาก็ขึ้นไปอาราธนาท่านให้ได้เหมือนกัน รับรองว่าได้แน่ ถ้าทำได้ไม่เหมือนก็เป็นอันว่าตกไป

ถาม : ในงานพุทธาภิเษก หลวงพ่อได้อธิษฐานให้พุทธาภิเษกครอบจักรวาลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แล้วจะครอบไปทำไม จักรวาลทำอะไรผิดหรือ ?

ถาม : แล้วถ้าเราอยู่ที่อื่นแล้วเราระลึกถึง ทำกำลังใจว่าจะขอบารมีพระช่วยสงเคราะห์เหมือนในพิธี จะพอมีผลบ้างไหมคะ ?
ตอบ : มีนิดหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้ทำ

ถาม : แล้วมีเทคนิคในการขอพรไหมคะว่าทำอย่างไรถึงจะได้ ?
ตอบ : ก็แค่จัดพิธีให้ได้เหมือนกันทุกอย่าง แล้วก็ไปขอให้ได้เหมือนกัน

เถรี
09-09-2014, 08:54
ถาม : คนที่ไม่แสดงอาการโกรธ แต่ไม่สนใจคนรอบข้างเลย เช่น กินข้าวก็กินช้า ๆ เขาทำงานกันก็ไม่สนใจช่วยงาน นั่งเขียนหนังสือ อ่านหนังสือและเดินจงกรม ทำวัตรสวดมนต์ก็จะช้ามาก เข้าห้องน้ำก็ราวครึ่งชั่วโมง ไม่สนใจจริยาของคนอื่นเลยและไม่แสดงอาการโกรธ ไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องผีเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ ปฏิบัติสติปัฏฐาน ฟังธรรมะด้วยความศรัทธามาก แต่เขาไม่ว่าร้ายใคร ไม่พูดพาดพิงถึงใครในด้านไม่ดี คำถามคือ คนเหล่านี้จัดว่ามีสติและกรรมบถสิบหรือไม่ครับ ?

ตอบ : สติมี..แต่เป็นในส่วนของมิจฉาสมาธิ ส่วนเรื่องของศีลหรือกรรมบถสิบต้องอยู่ที่เจตนางดเว้น ถ้าไม่มีเจตนางดเว้นก็ไม่ถือว่ามี

เถรี
09-09-2014, 09:00
ถาม : การถวายเงินหรือข้าวสารอาหารแห้งแก่พระสงฆ์ โดยเฉพาะเจาะจงถวายเป็นการส่วนตัวเฉพาะพระรูปนั้น ๆ เป็นการทำบุญผสมบาปหรือไม่คะ ? เคยอ่านเจอมาว่าเป็นการถวายของที่ผิดพระวินัยและสร้างกิเลสให้กับพระสงฆ์ที่เป็นผู้รับ หากอุทิศให้ใคร ผู้นั้นเสวยทิพยสมบัติได้ไม่นาน ทิพยสมบัติก็จะถูกไฟไหม้ ด้วยความไม่รู้จึงกราบเรียนถามพระอาจารย์ค่ะ ?

ตอบ : ก็ให้ถวายพระอื่น อย่าไปถวายพระวินัย ถ้าถวายพระอื่นก็จะได้ไม่ผิดพระวินัย เพราะพระวินัยไม่ได้รับ..! เรื่องของการถวายปัจจัยไทยธรรมอะไรที่สมควรแก่สมณบริโภค เป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นการถวายในลักษณะปาฏิปุคคลิกทาน คือเฉพาะเจาะจงตัวบุคคลก็ตาม เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ทรงศีลทรงธรรมอยู่แล้ว ถ้าบุคคลนั้นปฏิบัติได้ถูกต้อง ด้วยการแบ่งสรรปันส่วนให้แก่ส่วนรวม ไม่ได้เก็บเอาไว้คนเดียว เราก็จะได้ในอานิสงส์ของสังฆทานมากขึ้นด้วย

ขอบอกว่า ในเรื่องที่ว่ามานั้นเป็นการฟังมาผิด หรือว่าถ้าฟังถูกแปลว่าผู้บอกกล่าวต่อมานั้นเข้าใจผิด กลายเป็นอัตโนมติ คือความเห็นเฉพาะของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ฉะนั้น..ให้ลืม ๆ ไปเสีย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาถวายท่านต่อไป

เถรี
09-09-2014, 09:06
ถาม : การที่เราไม่เอาใจไปสัมผัสกับสิ่งใด ๆ จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้หรือไม่ ? และการวางอารมณ์ใจไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นกับตัวเรามีวิธีการใดบ้างครับ ?
ตอบ : การไม่เอาใจไปสัมผัสกับสิ่งใด ๆ เลย เป็นการพ้นทุกข์ชั่วคราวในลักษณะของการข่มกิเลสไว้ หรือเรียกว่า วิกขัมภนวิมุตติ ก็คือ เหมือนกับใส่เกราะป้องกันตนเองเต็มที่ แต่ถ้าให้พ้นทุกข์ได้จริง ๆ ต้องพิจารณาจนเห็นจริงแล้วก็ปล่อยวางได้ ถึงเวลาก็พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ประกอบไปด้วยความทุกข์ ไม่มีความปรารถนาสิ่งเหล่านั้นอีก สภาพจิตก็จะตัดละ ปล่อยวางเอง ไม่ไปยุ่งไปเกี่ยวโดยอัตโนมัติ ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนั้นก็จะพ้นทุกข์ได้

แต่ถ้ารักษาใจของตนเองไม่ให้ไปสัมผัสอะไรเลยนั้น ยังอยู่ระดับของการใช้สมาธิช่วย ทำให้ตนเองพ้นทุกข์ได้ชั่วคราวเท่านั้น

เถรี
09-09-2014, 09:08
ถาม : ผมเห็นสามเณรบิณฑบาตมาแล้วก็ฉันก่อนพระ อยากจะทราบว่าเณรบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าบิณฑบาตมาแล้วต่างคนต่างฉันไม่เป็นไร แต่ถ้าฉันรวมกันแต่แยกวงก็ควรที่จะฉันพร้อมกัน

เถรี
09-09-2014, 09:10
ถาม : ท่านที่ละกิเลสได้หมดอย่างพระอรหันต์ คนที่อยู่ใกล้ชิดจะสัมผัสได้ถึงความดีของท่าน เพราะกาย วาจา ใจของท่านล้นความดีออกมา แต่อย่างท่านที่ยังละกิเลสได้ไม่หมด เช่น พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี คนที่อยู่ใกล้ซึ่งไม่มีเจโตปริยญาณ พอมีโอกาสจะทราบบ้างไหมว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ? จะสังเกตอย่างไร ?
ตอบ : พระอริยะ แปลว่า ผู้เจริญขึ้นโดยส่วนเดียว ให้สังเกตจาก อันดับแรก..ท่านล่วงศีลหรือไม่ ? อันดับที่สอง..ท่านล่วงในส่วนของกรรมบถสิบหรือไม่ ? อันดับที่สาม..ท่านยังแสดงออกเรื่องราคะ โทสะ หรือไม่ ? เป็นต้น

ถาม : แล้วถ้าท่านแกล้งทำละคะ ?
ตอบ : ถ้าสามารถแกล้งได้ ก็ใช้ภาษิตโบราณที่ว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” การที่แกล้งทำ ต่อให้แกล้งเก่งขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่ใช่สภาพจริงแท้ของตนเอง ท้ายสุดหางก็จะโผล่ออกมาเอง

เถรี
09-09-2014, 09:13
ถาม : ระหว่างคำว่านินทา กับเล่าสู่กันฟัง เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ดูว่าเล่าสู่กันฟัง เล่าไปเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีประโยชน์ก็กลายเป็นนินทา

เถรี
09-09-2014, 09:14
ถาม : การที่เราหมั่นไส้ผู้อื่น เกิดจากกิเลสตัวไหน ? และต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : แก้ด้วยการเลิกหมั่นไส้เท่านั้นเอง จะไปยากอะไร การที่เราหมั่นไส้เขา จิตใจประกอบไปด้วยปฏิฆะและโทสะ ก็แสดงว่าสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาทำนั้น อาจจะไม่ถูกใจของเรา ดังนั้น..ตัวเราพึงระมัดระวังสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของตนเอาไว้ จะได้ไม่ไปกระทบกระทั่งให้เกิดความหมั่นไส้ขึ้นมาอีก

เถรี
09-09-2014, 09:15
ถาม : ถ้ามีคนที่เรารู้จักกระทำความผิด เราต้องการตักเตือนเขาด้วยเมตตา การเตือนแบบไหนที่แสดงว่าเราเมตตาโดยไม่ได้จ้องจับผิด ?
ตอบ : ถ้าเราจะเตือนในข้อบกพร่องเขาให้เตือนลับหลังคนอื่น คือต้องอยู่กันแค่ ๒ คน เพราะถ้าเขาโกรธชกปากเรา จะได้ไม่มีใครเห็น..! เขาบอกว่า "ถ้าพูดในสิ่งที่ไม่ดีของเขาให้พูดลับหลัง แต่ถ้าจะชมความดีของเขาให้ชมต่อหน้า" การจับผิดหรือไม่ตัวเรารู้เองอยู่แล้ว

เถรี
09-09-2014, 09:28
ถาม : ที่เขาบอกว่า ผู้หญิงทำแท้ง จะมีวิญญาณเด็กติดตามไปตลอด จริงไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จริงและก็จริง คำว่า "ไม่จริง" ก็คือ บางคนพอเด็กโดนทำแท้ง ก็ไปสู่ภพภูมิตามกรรมของตนเองเลย บางคนระยะอายุขัยความเป็นมนุษย์ยังเหลืออยู่ ไม่รู้ว่าจะไปไหน ก็ตามแม่ไปเรื่อย

ถาม : แล้วเราควรจะทำอย่างไรคะ ในกรณีผู้หญิงทำแท้ง ?
ตอบ : ก็อย่าทำ

ถาม : แล้วถ้าเขาพลาดทำไปแล้วละคะ ?
ตอบ : พลาดทำไปแล้วก็อย่าทำอีก

ถาม : แล้วมีวิธีทำบุญส่วนไหนที่จะช่วยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา ทำเท่าไรก็อุทิศให้เขาไปเรื่อย

ถาม : แล้วที่เขามีวิธีไปแก้กรรม นอนโลง ?
ตอบ : ได้ทำ ส่วนจะแก้ได้หรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง

เถรี
09-09-2014, 14:40
ถาม : การเรี่ยไรกับการบอกบุญต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าต่างกันโดยชื่อ เหมือนกันโดยอาการ ก็คือควักเงินจากกระเป๋ากู..!

ถาม : แล้วถ้ามีเพื่อนหวังดีอยากให้เราร่วมบุญด้วย มาสะกิด ?
ตอบ : บอกให้ไปสะกิดที่อื่น ถ้าสะกิดที่นี่โดนแน่

ถาม : หน้าบ้านวิริยบารมีได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องนอกรั้ว

ถาม : แล้วกรณีที่เพื่อน ๆ พี่น้องในเว็บบอกบุญกันมา แล้วนัดมารับวัตถุมงคลที่บ้านวิริยบารมีสามารถทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเปิดกระทู้อย่างเป็นทางการ แล้วถือว่าจุดนี้เป็นจุดนัดพบที่สะดวกก็ให้แจ้งมาให้ทราบก่อน เหมือนที่คุณโต (สถิระ ชัยชนะกลาง) ทำทุกครั้ง สามารถมาจ่ายวัตถุมงคลที่นี้ได้ แต่ถ้าประเภทไปงุบงิบกันเอง แล้วโผล่มาให้เห็นเป็นอันว่าเจอกัน ถ้าไม่เห็นก็แล้วไป..!

ถาม : ถ้าอย่างสมาชิกไปประกาศบอกบุญในเว็บสะพานบุญ แล้วแจ้งว่าสามารถมารับวัตถุมงคลได้ที่บ้านวิริยะฯ ได้ นี่รอดใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้บอกพระอาจารย์ก่อนก็ตายคาที่เหมือนกัน..!

เถรี
10-09-2014, 05:42
ถาม : การเล่นหมากล้อม หมากรุก หมากฮอส หรือหมากกระดานต่าง ๆ ผิดศีลแปดหรือไม่ และเหมาะสมกับผู้ถือบวชหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเขาปรับอาบัติทุกตัวที่จับ ก็แปลว่าหมากกระดานนั้น ถ้าเดินกี่ตาก็โดนปรับศีลขาดเท่านั้นครั้ง สำหรับฆราวาสแล้ว ถ้าเราถือบวช อย่างเช่นว่าศีล ๘ ควรที่จะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติอยู่ส่วนของ ศีล สมาธิ ปัญญา จะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งเล่นหมาก..!

เถรี
10-09-2014, 05:51
ถาม : ถ้าผมมีเงินติดตัวอยู่ ๑๐๐ บาท แต่ตัดใจทำบุญจนหมดตัว กับคนที่มีเงินอยู่ร้อยล้านบาททำบุญไป ๑ หมื่นบาท ถ้าตัดสินกันเฉพาะการทำบุญตรงนี้ ระหว่างผมกับเขาคนไหนจะได้อานิสงส์เรื่องทรัพย์สินเงินทองในชาติหน้ามากกว่ากัน ?
ตอบ : คนที่ตัดสินใจทำบุญหมดตัวจะได้ความโง่มากกว่า..! การทำบุญต้องไม่ให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อน แต่ว่ามีอยู่ประเภทหนึ่งก็คือพระโพธิสัตว์ ส่วนใหญ่แล้วแม้แต่ชีวิตของท่านเองก็ยังไม่กังวล ท่านจะทำบุญหมดตัวก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปต้องมีสติรอบคอบแล้วก็พิจารณาก่อนทำบุญด้วย

สมมุติว่าเราทำบุญสังฆทานครั้งละ ๑๐ บาท เงิน ๑๐๐ บาทเราทำได้สิบครั้ง ก็แปลว่าเราได้อานิสงส์สังฆทาน ๑๐ ครั้ง ขณะเดียวกันถ้าเราทำ ๑๐๐ บาทครั้งเดียว เราได้อานิสงส์สังฆทานครั้งเดียว แล้วตัวเราไปเดือดร้อนทีหลัง ก็ต้องคิดดูว่าถ้าเราทำแบบนี้เราโง่หรือเราฉลาด ?

ถ้ากล่าวถึงอานิสงส์ที่จะพึงได้ในภายภาคหน้า สมมติว่าเกิดเป็นมหาเศรษฐีก็จะได้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิเป็นพื้นฐาน ส่วนที่ทำมากทำน้อยนั้นเขาก็ได้มากน้อยกว่าตามจำนวนที่ทำไป อย่างเช่นท่านที่ทำมากกว่า อาจจะมี ๑๒๐ โกฏิ อาจจะมี ๓๕๐ โกฏิ แต่ว่าเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน ก็แปลว่าระยะต่ำสุดของตนเองมีอยู่ แต่ว่าระยะสูงสุดไม่ได้จำกัดไว้

ถาม : ขอพระอาจารย์เมตตาแนะนำการทำบุญแบบที่มีศรัทธาและประกอบไปด้วยปัญญา ?
ตอบ : บอกไปเรียบร้อยแล้ว

ถาม : แล้วเราจะวัดได้อย่างไรว่าคนที่ทำหมดตัวเขาเป็นพระโพธิสัตว์หรือว่าไม่มีปัญญา ?
ตอบ : ก็ต้องถามเราเองว่าโง่หรือฉลาด พระโพธิสัตว์เป็นคนฉลาด ทำอะไรเผื่อขาดไว้อย่าเผื่อเหลือ คำว่าเผื่อขาดก็คือต้องระมัดระวังอยู่เสมอว่า อาจจะต้องขาดแคลนอะไรบางอย่าง อย่างที่โบราณบอกว่า ขนาดเศรษฐียังขาดไฟ ฉะนั้น..เราระมัดระวังเอาไว้ย่อมดีกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าไปทำผิดที่ก็จะได้ไม่เสียหายมากมายนัก

มีโยมอยู่คนหนึ่งอาตมารู้จักดี สนิทสนมมาก ไม่ทราบว่ากรรมอะไรบันดาล เอาเงินไปถวายฤๅษีเพ่งอุจจาระไปหนึ่งล้านบาท แล้วฤๅษีเชิดหายเข้ากลีบเมฆไป ตอนนั้นจะมีฤๅษีอยู่ท่านหนึ่ง อยู่แถวไทรโยคของเมืองกาญจนบุรี มีปฏิปทาพิลึกพิลั่นคือเอาอุจจาระมานั่งพิจารณา หนังสือพิมพ์เขาเรียกว่าฤๅษีเพ่งอึ แล้วโยมรายนี้ก็คงเห็นขลัง ไปแล้วก็ควักกระเป๋าทำบุญไปล้านหนึ่ง ปัจจุบันตัวเองลำบากแทบตาย

เถรี
10-09-2014, 05:55
ถาม : ผมปรารถนาไปพระนิพพานในชาตินี้ แต่ผมก็ยังไปจีบผู้หญิงอยู่ โดยเลือกผู้หญิงที่เข้าวัดเหมือนผม เราจะได้ปฏิบัติธรรมด้วยกันอยากทราบว่า ถ้าผมยังคิดแบบนี้อยู่ โอกาสที่จะได้ไปพระนิพพานในชาตินี้จะริบหรี่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ริบหรี่หรอก เกือบจะเป็นศูนย์..! เห็นทำอย่างนี้มาเจ๊งมาหลายคู่แล้ว เอกายโน อะยัง ภิกขเว ทางนี้เป็นหนทางของบุคคลเดียว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา เป็นทางที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ได้ โสกะปริเทวานัง สะมะติกกะมายะ สามารถก้าวล่วงซึ่งความทุกข์โศกร่ำไรได้ ทุกขะโทมมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ สามารถทำให้ความทุกข์และโทมนัสตกล่วงไปได้ ท่านไม่ได้บอกให้ไปสองคน

เถรี
10-09-2014, 05:56
ถาม : บุคคลที่มีบุคลิกเป็นผู้นำ จะอ่อนน้อมถ่อมตนได้อย่างไร ?
ตอบ : ผู้นำก็สามารถที่จะใช้อปจายนมัยได้ อยู่ในการที่เราจะวาจา ใช้กิริยา อาตมาเจอผู้นำแบบนี้มาเยอะแล้ว เห็นขนาดพูดกับคนงานระดับต่ำสุดยังใช้คำว่า “คุณ” กับ “ผม” แล้วดุลูกน้องอย่าแรงสุดก็ “เฮ้ย..คุณทำไมทำอย่างนั้นวะ” เพราะฉะนั้น..ผู้นำก็สามารถอ่อนน้อมถ่อมตนได้ อยู่ที่จริตนิสัยของแต่ละคน

เถรี
10-09-2014, 05:58
ถาม : การที่เราจับเห็บหมามาบี้บ่อย ๆ จะเป็นกรรมปาณาติบาตหรือไม่ ?
ตอบ : อย่างนี้ยังไม่รู้อีกว่าปาณาติบาตหรือเปล่า ต้องฆ่าช้างก่อนถึงจะรู้ใช่ไหม ? เป็นปาณาติบาต ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์จ้ะ

ถาม : แล้วกรณีที่คนเขาเลี้ยงหมาแล้วมีเห็บ เราควรจะจัดการอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็เลิกเลี้ยงหมา ถ้าเลิกเลี้ยงหมาไม่ได้ก็อย่าไปยุ่งกับอนาคตของหมา..! ถ้าเลิกยุ่งไม่ได้อย่างน้อย ๆ ก็อาบน้ำให้ ใส่ยาให้ เพราะว่าสมัยนี้เขามียาบางอย่างกินแล้วรู้สึกว่าเลือดจะไม่อร่อย เห็บหมัดจะไม่กินหมาตัวนั้น

ถาม : แล้วที่คนเขาบอกว่าให้จับเห็บหมาไปใส่ขวดน้ำหรือน้ำมันแช่ไว้ ?
ตอบ : ก็ลองจับคน ๆ นั้นไปใส่ดูบ้างสิ..!

ถาม : ใส่ขวดแล้วตอนแรกยังไม่ตาย ปล่อยไปตามเวรตามกรรม ?
ตอบ : วิธีที่อาตมาว่าดีที่สุดแล้ว สมัยนี้ยาฉีดก็มี ยากินก็มี ฉีดเข้าไปหรือกินเข้าไปแล้วเห็บหมัดจะไม่กินหมาตัวนั้น

เถรี
10-09-2014, 05:58
ถาม : พระที่ท่านอาบัติสังฆาทิเสส สึกออกมาก่อนที่จะทำการแก้ไข จะมีโทษตามมาหรือไม่ แล้วต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : โทษตามไปยันตาย วิธีแก้ไขก็บวชกลับเข้าไปใหม่ แล้วไปอยู่ปริวาสให้พ้นโทษ

เถรี
10-09-2014, 06:00
ถาม : มีคำพูดว่า "พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก" ถ้าเราทำบุญกับพ่อแม่จะได้อานิสงส์เท่ากับทำบุญกับพระอรหันต์หรือไม่ ?
ตอบ : คำพูดนี้มาจากมหายานของจีน ไม่ได้มาจากเถรวาทของเรา พระพุทธเจ้าตรัสว่า บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร ไม่ได้บอกว่าเป็นพระอรหันต์ ยกเว้นว่าพ่อแม่ท่านจะเป็นพระอรหันต์จริง ๆ แล้วเราทำบุญกับท่าน ถึงจะได้เหมือนทำกับพระอรหันต์ แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นฆราวาส เป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็ไม่อยู่ให้เราทำบุญเสียด้วย

ด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่นั้น เราควรที่จะประพฤติปฏิบัติกับท่านให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เพราะอย่างน้อย ๆ ในส่วนของอานิสงส์นี้ จะส่งผลให้เราต่อไปในกาลข้างหน้า คือว่าเราทำตนเป็นแบบอย่าง ลูกหลานได้เห็นต่อ ไปก็จะประพฤติดีปฏิบัติกับเราเอง

ถาม : แล้วถ้ากรณีที่เราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เราจะมีวิธีปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ก็กลับไปอยู่กับท่าน

ถาม : แล้วถ้าไม่กลับละคะ ?
ตอบ : อ๋อ..ถ้าไม่กลับก็ไม่ต้องถามปัญหานี้ เพราะโอกาสที่จะทำไม่มีอยู่แล้ว

ถาม : แล้วการที่ลูกมาทำงานต่างจังหวัดแล้วส่งเงินกลับไปให้อย่างนี้ ?
ตอบ : อย่างนั้นพ่อแม่ก็ไม่ต้องเรียกร้อง ลูกส่งไปให้แล้ว ถึงเวลาวันหยุดก็โผล่ไปให้ท่านได้เห็นหน้าบ้าง

เถรี
10-09-2014, 07:29
ถาม : อย่างคนที่ใช้กรรมในนรกภูมิครบตามกำหนดแล้วต้องไปภูมิอื่นต่อ สมมติภูมิต่อไปที่เขาจะต้องไปเกิดคือสัตว์เดรัจฉาน สงสัยว่าอะไรเป็นตัวกำหนดว่าเขาจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้น ถ้าเกิดเป็นตั๊กแตน แปลว่าตอนเป็นคนเคยฆ่าตั๊กแตนไว้หรือคะ ?
ตอบ : ถูกต้องแล้ว ไปฆ่าอะไรไว้เท่าไรก็ต้องไปเกิดใช้เขาเท่านั้น ถ้าเป็นอาตมานี่ใช้บานเลย เพราะตั้งแต่เด็กยิงนกตกปลามาตลอด เพราะฉะนั้น..ชีวิตนี้ตูหนีหนี้สุดชีวิต..!

ถาม : แล้วมีลำดับไหมคะว่าเป็นสัตว์เล็กก่อนสัตว์ใหญ่ หรือว่าสัตว์ใหญ่ก่อนสัตว์เล็ก ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าฆ่าอะไรมาก่อน อย่างไหนใช้กำลังใจในการฆ่ามากก็โดนก่อน ไล่ไปตามลำดับ

เถรี
10-09-2014, 07:30
ถาม : ถ้าเราบวชพระ แล้วมีพระอุปัชฌาย์ หรือพระคู่สวด หรือพระอันดับ ต้องอาบัติปาราชิกหรือสังฆาทิเสส เราจะเป็นพระสมบูรณ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นได้แค่เณร

ถาม : การปฏิบัติของเราจะก้าวหน้าหรือไม่ ?
ตอบ : เจ๊งตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเป็นเณรแล้วดันไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับพระ ศีลของเราไม่สมบูรณ์ยังไม่พอ ไปทำให้พระท่านศีลขาดอีกต่างหาก..!

ถาม : แล้วกรณีที่เราพลาดแล้วไปเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราจะแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : สึกไปหาที่บวชใหม่..หรือไม่ก็ยอมเป็นแค่เณร

ถาม : แล้วถ้าเคยบวชแล้วสึกออกมาแล้ว ทราบภายหลังว่ามีโทษแบบนั้นจะมีหนทางแก้ไหมคะ ?
ตอบ : ขอขมาพระรัตนตรัย ยกเว้นว่าโทษอะไรที่หนักในระดับของสังฆาทิเสสต้องไปใช้คืน แต่ถ้าปาราชิกไม่ต้อง ปิดมรรคผลไปเรียบร้อยแล้ว หมดสิทธิ์ที่จะได้มรรคผลด้วยประการทั้งปวง

ถาม : หมดแค่ในชาตินี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ลองไปเกิดใหม่ดู เขาก็นับชาติเดียวนะสิ

เถรี
10-09-2014, 07:32
ถาม : เคยฟังท่านเทศน์เกี่ยวกับอานิสงส์ปล่อยนก แต่ถ้าเราหานกไม่ได้ จะปล่อยเป็ดปล่อยไก่แทนได้ไหมครับ เพราะเป็นสัตว์ปีกเหมือนกัน อานิสงส์จะเหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : ปล่อยเป็ดนะพอไหวแต่ปล่อยไก่นั่นขายหน้านะ..! หานกไม่ได้เอาหนังสติ๊กไปยิงเอาสิ พอได้มาแล้วค่อยไปปล่อย จะเชื่อดีไหมนี่..!?

ถาม : เขาคงคิดว่าเป็นสัตว์ปีกเหมือนกัน อานิสงส์อาจจะเหมือนกัน ?
ตอบ : เราก็ตั้งใจว่านี่เป็นนก อย่าไปคิดว่าเป็นไก่

ถาม : สรุปคือควรจะไปหานกใช่ไหมคะ ?
ตอบ : นกก็คือนก นกไม่ใช่ไก่ ยกเว้นทางวิทยาศาสตร์เขาถือเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันแต่คนละสายพันธุ์ เพราะฉะนั้น..หานกดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง

เถรี
10-09-2014, 07:33
ถาม : คนที่กำลังใจต่างกันสามารถคบหาสนิทสนมกันได้ไหมครับ หรือว่าไปไม่รอด ?
ตอบ : ไปกันไม่ได้หรอก

ถาม : คือต้องเปลี่ยนคนคบใหม่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ถึงเวลาก็เป็นไปเองแหละ ถึงเวลาไปกันไม่ได้ก็ต้องต่างคนต่างไป อย่างสมัยนี้เห็นแต่งงานกันเยอะแยะ แล้วท้ายสุดก็บอกว่าไปกันไม่ได้ โดยเฉพาะพวกดารา แล้วทำไมถึงไม่ดูให้ดีตั้งแต่แรก

ถาม : เกี่ยวกับเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา จาคะด้วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้คำว่า "กำลังใจต่างกัน" ก็จบเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปดูว่าต่างกันเพราะอะไร จะใช้คำว่าระดับความดีต่างกันก็แรงเกินไป

เถรี
10-09-2014, 07:34
ถาม : ขอให้พระอาจารย์พูดถึงพระองค์ขนาดเท่าใบมะขาม ที่พระอาจารย์แจกให้ในงานพุทธาภิเษกในวันเสาร์ที่ ๓๐ สิงหาคมที่ผ่านมา ว่าเป็นพระอะไร และมีที่มาอย่างไร เนื่องด้วยผมได้รับจากมือพระอาจารย์ก็ยังอยากจะบูชาอย่างดี และอยากทราบรายละเอียดของพระองค์นั้นครับ ?
ตอบ : อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะมีคนทำมาถวายก็แจกไปเรื่อย ๆ

ถาม : แล้วผ่านพิธีที่วัดท่าขนุนมากี่ครั้งแล้วคะ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจ ได้มาหลายปีแล้ว แจกเท่าไรไม่หมดสักที เพราะเขาให้มา ๘๔,๐๐๐ องค์ ขนาดแจกไปฟรี ๆ ยังไปออกในเว็บองค์ละ ๔๕๐ บาท บอกเขาว่าถ้าอยากได้ไปเอาที่วัดท่าขนุนนะ แจกฟรีทุกงาน

เถรี
10-09-2014, 07:39
ถาม : ผีเรื่องสัมภเวสีที่มาเกี่ยวข้องกับคน ซึ่งตามที่ผมเคยได้ยินมาแยกออกเป็นดังนี้
๑. คือพวกที่มาปรากฏกายเพื่อขอส่วนบุญหรือมาบอกข่าวในฝัน แบบนี้คือเราอุทิศบุญไปให้ หรือทำในสิ่งที่เขาขอแล้วอุทิศบุญไปให้ก็น่าจะจบ
๒. พวกที่เราไปรบกวนเขา เช่นไปนอนในที่ ๆ เขาอยู่ ไปปัสสาวะรดสถานที่เขา แบบนี้เราขอขมาและอุทิศบุญไปให้ส่วนใหญ่ก็น่าจะจบ
๓. พวกที่เขาต้องการเอาชีวิตคนเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนในบริเวณที่เคยมีคนตาย แบบนี้เราจะไม่มีทางรู้ตัวก่อนเลย คำถามคือทำไมเขาต้องการตัวตายตัวแทนครับ ? คิดตามหลักธรรมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมต้องมีคนไปอยู่ใหม่เขาถึงจะไปเกิดได้ครับ ?
ตอบ : ต้องหาคนมาเปลี่ยนเวรถึงจะออกเวรได้ มีอยู่ประเภทเดียวเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ คราวนี้ว่าในส่วนนั้นไม่มีอะไรน่ากังวล ก่อนจะไปไหนเราก็อาราธนาบารมีพระเสียก่อน เขาก็ไปเอาคนอื่นเองแหละ ความจริงแล้วถ้าเราไม่มีอุปฆาตกรรมมาถึง ต่อให้เขาอยากได้แค่ไหนเราก็ไม่ตายตรงนั้นหรอก คนที่จะตายตรงนั้นคือคนที่วาระของอุปฆาตกรรมมาตัดรอนพอดี ก็แปลว่าจะต้องมีกรรมบางอย่างที่คล้ายคลึงกับบุคคลเก่า พอไปแทนที่แล้วคนเก่าถึงจะพ้นไปได้ เหมือนอย่างกับว่าเวรผลัดใหม่มา คนเก่าถึงจะออกเวรไปได้ ซึ่งลักษณะนี้มีอยู่แค่ประเภทเดียว ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก โอกาสเป็นไปน้อยมาก

ถาม : กรณีอย่างนี้ถ้าเราพกวัตถุมงคลไว้จะช่วยไหมคะ ?
ตอบ : พกไว้เฉย ๆ ก็ไม่รู้จะช่วยอะไร หัดอาราธนาเสียบ้าง เราพกปืนไว้เฉย ๆ แล้วคิดว่าโจรจะไม่ปล้นเราหรือ ? เขาก็ปล้นเอาไปทั้งปืนนั่นแหละ

ถาม : แล้วกรณีที่ต้องการเอาชีวิตคนที่ตัวเองชอบเพื่อเอาไปอยู่ด้วย แบบนี้เราจะไม่มีทางรู้ตัวก่อนเลย ผมสันนิษฐานว่ากรณีที่อยู่ ๆ ก็มีคนกระโดดตึกตาย หรืออยู่ ๆ ก็แขวนคอตายเองโดยไม่มีสาเหตุ บางครั้งอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ คำถามคือเราจะป้องกันกรณีนี้อย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน ขอยืนยันว่าถ้าไม่มีวาระกรรมเข้ามาจริง ๆ ให้เขาชอบเราขนาดไหนก็เอาเราไปไม่ได้ ฉะนั้น..วิธีป้องกันก็คือพยายามที่จะสร้างบุญในลักษณะปล่อยชีวิตผู้อื่น อย่างเช่นว่านกหรือปลาที่เขาจะฆ่า พยายามปล่อยไว้ให้สม่ำเสมอ ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้เขารักเราจนสุดสวาทขาดใจขนาดไหนก็เอาเราไปไม่ได้หรอก

ถาม : ผมเข้าใจว่าคนที่ตายเพราะสัมภเวสี เขาก็มีกรรมเป็นเครื่องนำทางไป ถ้ากรรมดีก็น่าจะไปสวรรค์ ไม่น่าจะต้องไปอยู่ร่วมกับสัมภเวสีเหล่านั้น ซึ่งอยู่ในภูมิของอสุรกายนี่ครับ การฆ่าตัวตายแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขาทำเอง ก็ไม่น่าจะเป็นกรรมของเจ้าของร่าง ผมเข้าใจถูกไหมครับ ?
ตอบ : เข้าใจถูก...แต่ขณะเดียวกันก็อย่าเพิ่งมั่ว ในเรื่องของยถากัมมุตาญาณเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก ฝึกปฏิบัติให้ได้เสียก่อน แล้วก็ไปดูเอาเอง เพราะแต่ละอย่างต้องเรียกว่าพิลึกพิสดารเกินกว่าที่เราจะคิดถึง ฉะนั้น..เรื่องอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าผลอาจจะออกมาเป็นคนละอย่างก็ได้ ในส่วนนี้ต้องบอกว่าควรที่จะทำเองให้รู้แจ้งเห็นจริง อย่าไปด่วนสรุปแล้วก็เผยแพร่ความรู้ผิด ๆ ของเราต่อไป ทำให้คนอื่นเขาวิตกกังวลไปด้วย

เถรี
10-09-2014, 07:49
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ที่วัดท่าขนุน บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่สายเพิ่งจะรู้ว่ามีวัตถุมงคลรุ่น ๑๐๐ ปี วิ่งมาถึงก็ “แม่ชีทำไมไม่บอก โกรธแล้ว.!” อาตมาบอกไปเป็นชาติแล้วว่าจะทำวัตถุมงคลรุ่นนี้ ประชุมคณะกรรมการวัดกี่ครั้งก็บอก ทำบุญกี่ครั้งก็บอก ผ่านหูไปหมด พอเห็นคนอุ้มรูปหล่อหลวงปู่สายมา สวยถูกใจ คราวนี้วิ่งกันตีนพลิก

ไม่แปลกใจว่าในประวัติหลวงปู่ธุดงค์หนีไปตั้ง ๗ ปี เพราะทนในความอืดอาดยืดยาดของลูกศิษย์ไม่ไหว จนทุกวันนี้เขาก็ยังนิสัยเหมือนเดิม ประเภทถ้าไม่แปดโมงครึ่งก็ไม่เยื้องย่างออกจากบ้านมาวัด แล้วก็มาบ่นว่าบ้านเราแท้ ๆ แต่ไม่มีที่ให้นั่ง เพราะพวกเราไปจองที่ตั้งแต่ตีสี่ตีห้า มาแปดโมงครึ่งเขาจะเอาที่นั่ง แล้วจะไปเอาที่ไหน

อีกอย่างหนึ่งการจัดงานวัดท่าขนุน ข้อที่หนึ่ง..ไม่มีโฆษณาประชาสัมพันธ์ ข้อสอง..ไม่มีการปักธง ข้อสาม..ไม่มีการออกร้านค้า พวกเขากว่าจะรู้ก็ตรงที่มีรถวิ่งเข้าวิ่งออก ก็จะรู้ว่าวัดท่าขนุนมีงาน ซึ่งไม่ทันกินแล้ว จนกระทั่งทุกวันนี้ผู้บังคับบัญชายังไม่ค่อยจะชินเลย เพราะปกติถ้าวัดมีงานก็จะปักธง ปักทีหนึ่งหลาย ๆ กิโลเมตร อย่างไม่มี ๆ ก็ ๒ - ๓ กิโลเมตร ของวัดท่าขนุนไม่มีเลย แต่พอเข้าไปข้างในเห็นรถเยอะแยะไปหมด ค่อยโล่งอกไปที เขามีงานจริง ๆ กลัวไปผิดวัน..ว่าอย่างนั้น"

เถรี
10-09-2014, 07:54
"เดี๋ยววันจันทร์นี้อาตมาต้องปลีกตัวไปพุทธาภิเษกที่วัดราชคฤห์ (วัดมอญ) ถ้าใครจะไปโปรดอย่าเอารถไปเป็นอันขาด วัดนั้นไม่มีที่ให้จอดรถ หลวงพ่อพระราชวรเวทีท่านนัดเวลา ๑๔.๓๙ น. ท่านเป็นอาจารย์สอนตั้งแต่ปริญญาโท ปริญญาเอก โทรมาถึงก็ “ช่วยไปพุทธาภิเษกให้ผมหน่อย” อาตมากะว่าจะไปถึงสักบ่ายสอง

วัดราชคฤห์ จากบ้านวิริยบารมีไปสัก ๑๐ นาทีก็น่าจะถึง เพราะฉะนั้น.. ๑๓.๕๐ น. แล้วค่อยไปก็ทัน ยังไม่รู้เลยว่าท่านทำพุทธาภิเษกอะไร แต่ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง ตอนนั้นอยู่ปริญญาตรีอยู่ ท่านเอาครูบาต้นบุญมาพุทธาภิเษก เสร็จแล้วพวกตำรวจเขาลองยิงกันตรงนั้นเลย แล้วยิงไม่ออก ก็เลยฮือฮากัน หนังสือพิมพ์เอาไปลง ตอนนี้เอาพระอาจารย์เล็กไปรับรองออกทุกนัด เพราะอาตมาชอบเสียงดัง ๆ..!

อะไรที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้มาลักษณะแคล้วคลาดนี่จะชอบมากกว่า เสียงดังสนุกดี ประเภทเงียบ ๆ นี่ไม่สนุก จะว่าไปแล้วถ้าไม่ใช่มหาอุด คงกระพันชาตรีนี่โดนแล้วยังเจ็บนะ เพียงแต่ไม่เข้า เพราะฉะนั้น..แคล้วคลาดจะดีกว่า แคล้วคลาดนี่อย่างไรก็ไม่โดน อาตมาทดสอบมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ชายแดน ๑๓ เดือน ลองมาทุกรูปแบบแล้ว ทั้งปืน กับระเบิด เครื่องยิงจรวด กระสุนปืนใหญ่ แคล้วคลาดได้สะเด็ดยาดจริง ๆ แต่ถ้าคงกระพันของหลวงพ่อนี่ ท่านบอกว่านอกข้อจะไม่ให้ ข้อมือข้อเท้าออกมานี่โดนอย่างไรก็เข้า ท่านบอกว่าถ้าไม่มีจุดอ่อนไว้บ้างเดี๋ยวลูกศิษย์ท่านเป็นโจรหมด เพราะแต่ละคนกำลังใจเหลือเกิน

สงครามไม่น่ากลัวเท่าภัยธรรมชาติ ภัยธรรมชาติน่ากลัวมาก เพราะว่าทุกอย่างประดังเข้ามาหมด แม้กระทั่งที่เขาไปทิ้งระเบิดกันตูม ๆ พวกเราลองนึกดูว่า อากาศอยู่เฉย ๆ แล้วโดนอัดออกดันออกอย่างนี้ตลอด พอรวม ๆ กันเยอะเข้า ๆ ก็กลายเป็นพายุใหญ่ แล้วก็ไม่ไปไหนหรอก ไปขึ้นที่สหรัฐฯ ประจำ เอ้า..จริง ๆ นะ บรรดาทอร์นาโด ไซโคลน ถล่มสหรัฐฯ ตลอด กรรมสนองจริง ๆ "

เถรี
11-09-2014, 13:01
ถาม : เราจะรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร อย่างหายใจเข้าเรารู้ว่าหายใจเข้า ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็ใช่

ถาม : อย่างน้อยต้องฌานอะไรคะ ?
ตอบ : ปฐมฌานละเอียด

เถรี
11-09-2014, 13:27
ถาม : หมอดูฮวงจุ้ยเขามาดูที่บ้าน บอกว่าแก้ไม่ได้แล้ว คุณจะต้องอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ก็แก้ไขอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างหาลูกแก้วมาแขวนบ้าง หาขลุ่ยมาแขวน เพื่อกระจายพลัง เอาต้นไม้บางชนิดมาปลูกอะไรนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นก็เอาอย่างพี่ปราณี รื้อใหม่สร้างใหม่เลย พี่ปราณีเขาใช้วิธีครูพักลักจำ พอโกเฮงดูฮวงจุ้ยให้ พี่เขาก็จำว่าลักษณะอย่างนี้ ๆ ต้องทำแบบนี้ แต่ปรากฏว่าจำกลับข้างหมดเลย เวลาโกเฮงไปดูให้จริง ๆ ไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด ต้องไปอยู่ฝั่งโน้น ท้ายสุดพี่ปราณีก็เลยรื้อบ้านทำใหม่ แล้วก็ยังอุตส่าห์พาโกเฮงมาดูให้ที่วัดท่าขนุน โกเฮงบอกว่านี่ก็ถูก นั่นก็ถูก ดีหมด พี่ปราณีก็โกรธ "ทีของเรานะ..อะไร ๆ ก็ใช้ไม่ได้ ทีของหลวงพ่อทำไปเรื่อยเปื่อย อะไร ๆ ก็ดีหมด"

ถาม : ที่บ้าน บันไดไม่ดี บันไดทับผู้ชาย ?
ตอบ : บันไดวัดท่าขนุนตอนแรกทำ ๒ ฝั่ง ต้องเอาออกฝั่งหนึ่ง เพราะว่าถ้าทำ ๒ ฝั่งจะรั่วข้างหนึ่ง บันไดฝั่งข้างซ้ายตรงประตูใหญ่ พลังงานพุ่งตรงได้ก็ขึ้น ๓ ชั้นเลย จึงต้องตัดออก ให้เหลือแต่ข้างขวา ให้ค่อย ๆ เลี้ยวไปขึ้นบันไดแบบนุ่ม ๆ ไม่ต้องแรง เดี๋ยวจะรวยมาก รับเงินไม่ไหว เอาทีละน้อยแต่ได้ไปนาน ๆ ก็แล้วกัน

เถรี
11-09-2014, 13:34
ถาม : เทคนิคที่ทำให้เราทรงฌานง่าย ?
ตอบ : ทำ..ทำ..ทำ..และ..ทำ

ถาม : เดี๋ยวลืมอีกแล้วค่ะ ?
ตอบ : สติยังไม่พอ แปลว่าสมาธิแย่ สมาธิต้องดีกว่านี้แล้วสติจึงจะดีขึ้น

เถรี
11-09-2014, 14:50
ถาม : ลูกหนูเป็นภูมิแพ้ค่ะ ทำบุญแบบไหนจะให้บรรเทาคะ ?
ตอบ : ภูมิแพ้เขาก็เป็นกันทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องทำบุญก็ได้ เพียงแต่เลิกกินนม โดยเฉพาะนมวัวทุกยี่ห้อ ให้เลิกไปเลย นมวัวเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่แรงที่สุด ถ้าเลิกกินนมวัวได้ ดีไม่ดีก็หายเลย อาตมาเคยบอกมานานแล้วว่า นมเป็นอาหารของวัวกับฝรั่ง คนไทยไปกินนมก็เป็นเรื่องทั้งนั้น

เถรี
11-09-2014, 14:51
ถาม : ในกรณีคนที่โดนทำของใส่ มีคนแนะนำว่าให้ไปหาพ่อเฒ่าที่ต่างจังหวัดช่วย ควรไปไหมคะ ?
ตอบ : เรามั่นใจว่าโดนของ..ใช่ไหม ?

ถาม : ไม่มั่นใจค่ะ
ตอบ : ถ้าไม่มั่นใจก็ไม่ต้องไป ถ้ามั่นใจว่าเป็นแล้วค่อยไป

เถรี
11-09-2014, 14:58
พระอาจารย์เล่าว่า "วันนี้วันที่ ๕ กันยายน ครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่มรณภาพปี ๒๕๓๒ ถึงตอนนี้ ๒๕ ปีแล้ว ขึ้นปีที่ ๒๖

วันก่อนไปไล่สายครูบาอาจารย์ เพื่อเตรียมไว้สำหรับหนังสือประวัติตัวเองตอน ๖๐ ปี เพิ่งรู้ตัวว่าอาตมามีครูบาอาจารย์เยอะมาก ครูบาอาจารย์แบบสืบสาวได้จากตัวเองขึ้นไปถึงท่าน จากท่านขึ้นไปถึงครูบาอาจารย์ของท่าน ฯลฯ โอ้โฮ... ขนาดสืบสาวได้ยังเยอะขนาดนี้ แล้วพวกท่านที่มาบอกโดยที่คนอื่นไม่รู้เรื่อง มีอีกตั้งเท่าไร"

ถาม : รวมเบ็ดเสร็จแล้วเท่าไร ?
ตอบ : น่าจะถึง ๒๐ สายแล้วกระมัง ? บางสายก็มาตรงเลย ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ บางสายก็แตกออก ๆ ๆ แล้วค่อยเลี้ยวเข้ามา

เสียดายว่า วิชาการจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งมักจะด้อยลงไปเรื่อย ๆ เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าอันดับแรกก็คือว่า ลูกศิษย์ไม่มีความอดทนและเพียรพยายามเท่ากับอาจารย์ อันดับที่สองก็คือ ไม่มีความอดทนในการที่จะฝึกปรือตัวเองเพื่อให้มีความสามารถเท่ากับครูบาอาจารย์ อันดับที่สามก็คือ ครูบาอาจารย์บางท่านมีไม้ตายบางอย่างที่สูญสิ้นไปเฉพาะตัวเท่านั้น

แรก ๆ พออาตมาจับเรื่องเลขเรื่องยันต์ เอ..ทำไมแปลกมาก พอจับก็รู้เลยว่าขึ้นอย่างไร ลงอย่างไร ลงอักขระตัวไหนก่อน ทั้ง ๆ ที่บางทีเขาทำเป็นตารางกล ที่แท้ของบางอย่างพอศึกษามาชาติแล้วชาติเล่า เหมือนกับฝังอยู่ในดีเอ็นเอ พอจับเข้าไปหน่อยก็จำได้หมด

เถรี
11-09-2014, 15:05
ถาม : มีวิชาเกิดใหม่ไหมคะ ?
ตอบ : วิชาเกิดใหม่นี่แทบไม่มีเลย เพราะโบราณเก่งกว่า ถ้านับตั้งแต่อาภัสราพรหมมาเกิด สมัยนั้นเขาเหาะกันเป็นปกติ ดังนั้น..วิชาใหม่ ๆ ก็คือความรู้เก่า ๆ นั่นแหละ เพียงแต่กว่าจะเรียนไปถึงเท่าโบราณนั้นยากแสนจะยาก มานึกถึงสมัยนี้ของพวกเรามีพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ฯลฯ เขาใช้กันมาตั้งแต่ยุคแอตแลนติสแล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ต้องบอกว่ามนุษย์เราประกอบด้วยอวิชชาเป็นปกติ ก็เลยไปยึดมั่นถือมั่น เกิดความภาคภูมิใจว่าวิชาการนี้เราเป็นผู้ค้นพบ หารู้ไม่ว่าสาวขึ้นไป บรรพบุรุษทำมาไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว จนกระทั่งทุกวันนี้มีฝรั่งอยู่กลุ่มหนึ่งที่พยายามศึกษาเกี่ยวกับยานพาหนะพิเศษ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชจารึกเอาไว้ หน้าตาเหมือนจานบินทุกอย่างเลย แล้วท่านก็บอกว่ายานพาหนะพวกนี้สามารถไปได้เหมือนอย่างกับย้ายที่ไปเฉย ๆ เขาก็พยายามศึกษาว่า คงต้องผ่านการวาร์ป ผ่านรูหนอน ผ่านอะไรให้ยุ่งไปหมด พยายามจะเดาให้ได้

เถรี
11-09-2014, 15:12
ถาม : วัตถุธาตุที่ผ่านทะลุกันได้เป็นปกติ ทำไมคนเราจึงไม่สามารถทำให้ผ่านกันได้ เป็นเพราะว่าคนไปเห็นว่ามันติดทึบอยู่ หรือเพราะอะไร ?
ตอบ : ไปคิดถึงความมีตัวเราอยู่ ไปคิดว่าหนัก อะไรประมาณนั้นแหละ ก็เลยไปไม่ได้สักที

เถรี
11-09-2014, 15:45
ถาม : ขายบ้านมาเป็นปียังไม่ได้เลย ?
ตอบ : เรื่องของบ้าน อันดับแรกก็สถานที่ อันดับสองราคา เรื่องพวกนี้ถ้าเสนอไม่ตรงกับสนอง ก็ขายไม่ได้เสียที ลองใช้วิธีอย่างพวกเรา ๆ ดูบ้าง ก็จุดธูปเทียนบอกเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน ว่าถ้าขายได้แล้วจะถวายสังฆทานไปให้ ขอให้ช่วยให้ขายได้เร็ว ๆ และก็ได้ราคาที่เราต้องการ

ถาม : กังวลด้วย ?
ตอบ : ต้องบอกว่าประชาสัมพันธ์ไม่พอ ทำนองนั้น เอาเป็นว่าก็ไปนั่งภาวนาคาถาเงินล้านเอาก็แล้วกัน

เถรี
11-09-2014, 17:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าไปทะเลาะเบาะแว้งกันในโซเชียลฯ บ่อยนักนะ โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นเรื่องอันตราย เพราะว่าสามารถเผยแผ่กระจายกว้างได้ในระยะเวลาอันสั้น ถ้าสมมติว่าเราทำกรรมแล้วนับหนึ่ง ก็จะทวีคูณเป็นร้อย เป็นหมื่น เป็นล้านได้ ภายในเวลาไม่กี่นาที ฉะนั้น..สิ่งที่เราทำ ถ้าหากว่าไม่ดีก็จะก่อโทษมหาศาล"

เถรี
11-09-2014, 17:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมาอยู่ในช่วงเวลาพักผ่อน เพราะว่าเพิ่งทุ่มเททำหนังสือประวัติวัดท่าขนุนเสร็จ ประวัติวัดเล่มนี้จะแบ่งเป็นปกแข็งกับปกอ่อน ปกแข็งจะเอาไว้ขาย..!"

เถรี
11-09-2014, 17:16
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่องานวันแม่ พระอาจารย์วันชาติ (วัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อย) ท่านถวายมีดหมอหลวงพ่อเดิมมา ๑ เล่ม กับสมเด็จคำข้าวและสมเด็จหางหมาก น่าจะประมาณอย่างละ ๕๐ องค์ ท่านบอกว่าลูกศิษย์ท่านไม่ค่อยรู้คุณค่า ให้ไปยังถามอีกว่าแท้หรือเปล่า ? ก็เลยเอามาถวายพระอาจารย์ดีกว่า"

เถรี
14-09-2014, 13:01
ถาม : มีดหมอที่จะทำเป็นรุ่นสุดท้าย เปิดจองหรือยังครับ ?
ตอบ : ยัง..ปีหน้าโน่น...

ถาม : ราคากำหนดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กำหนด..แต่แพงโคตร..!

เถรี
14-09-2014, 13:04
ถาม : แม่เป็นมะเร็งค่ะ
ตอบ : จะว่าไปแล้วคนเป็นมะเร็งนี่โชคดีนะ อันดับแรก..ต้องคอยเตือนสติให้รู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าจะตาย อันดับสอง..ความเจ็บของมะเร็งบางทีมอร์ฟีนเอาไม่อยู่ พึ่งได้อย่างเดียวคือกำลังใจตัวเอง

ตัวอย่างชัดที่สุดก็คือหลวงพ่อเจ้าคุณไสว (พระเทพวิสุทธิเวที วัดอนงคาราม) ท่านมรณภาพแล้วไปเป็นพรหม ท่านบอกว่าตอนที่ท่านเป็นมะเร็งรู้สึกปวดมาก จนกระทั่งนึกอะไรไม่ออก กรรมฐานก็ไม่เคยปฏิบัติ แต่เจ้าคุณวีระ (หลวงพ่อวัดท่าซุง) ท่านพูดกรอกหูอยู่บ่อย ๆ ก็เลยต้องเอา ก็คือเวลาเจอหน้าหลวงพ่อวัดท่าซุงแต่ละครั้งท่านก็ชวนให้ปฏิบัติ จะได้ช่วยได้ ท่านก็เลยหันมาจับลมหายใจ หันมาภาวนา เออ..ทำให้อาการเจ็บปวดเบาลงจริง ๆ ก็เลยต้องเกาะลมหายใจเป็นหลัก ไม่อย่างนั้นท่านบอกว่า ตายแล้วยังไม่รู้เลยว่าจะหลุดไปไหน นี่ต้องบอกว่าเป็นความดีของมะเร็งที่ทำให้ไปถึงพรหม

ถาม : ให้แม่สวดมนต์ ?
ตอบ : ก็ดีแล้วนี่..ถ้าเราร่วมสวดได้ก็สวดไปด้วย

ถาม : กลัวว่าสวดด้วยแล้วคนอื่นจะตกใจ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก ให้ท่านรู้ว่าเราอยู่ใกล้ แล้วทำให้ท่านไม่ลืมความดี

เถรี
14-09-2014, 13:09
ถาม : คนที่จะเกษียณส่วนใหญ่เขาไม่รู้เรื่องภาษีบำเหน็จที่เขาจะได้ คราวนี้เรามีความรู้ตรงนี้อยู่ เราจะไปสงเคราะห์อย่างไรจึงจะไม่ไปยุ่งกับคนอื่นมากเกินไปครับ ? เพราะผมจะไปพูดให้เขาฟังว่ามีวิธีการทำผลที่จะต้องเสียภาษีแบบนี้ได้ โดยที่จำนวนภาษีตรงนี้จะน้อยลง ?
ตอบ : รวบรวมข้อมูลสักหน้าหรือสองหน้าเป็นเอสี่ แล้วก็พิมพ์ให้เขาไป

ถาม : ผมมาอ่านพบว่าไปได้อีกหลายทาง ถ้าทำต่อแบบขึ้นทะเบียนก็หลุดได้อีกเยอะ แต่ว่าสิ่งที่ผมคิดต่อก็ยังหมิ่นเหม่ว่า บางทีเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะตีความเข้าข้างแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : เรามีหน้าที่แนะนำ ส่วนเขาจะเอาหรือไม่เอาก็เรื่องของเขา

ถาม : แต่เราแนะนำเขาได้ใช่ไหมครับว่า เราตีความเป็นแบบนี้ ถูกหรือไม่ถูก ให้เขาไปตัดสินใจเอาเอง ?
ตอบ : อย่าลืมวงเล็บไว้ด้วยแล้วกันว่า เจ้าหน้าที่อาจจะตีความเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ถาม : แบบนี้ถือว่าเราไม่ยุ่งกับกรรม ?
ตอบ : เราไม่ได้ยุ่งอะไรกับเขาหรอก เราแค่ส่งให้เฉย ๆ เขาจะอ่านไม่อ่าน ทำไม่ทำ ก็เป็นเรื่องของเขา

ถาม : แล้วเราให้ความรู้ทางโลก จะอธิษฐานว่าเป็นความรู้ทางธรรมได้ไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นธรรมทานอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นธรรมทานอยู่แล้ว เราก็ตั้งใจว่าผลบุญนี้เราต้องการอะไร ก็อธิษฐานไป

เถรี
14-09-2014, 13:12
พระอาจารย์กล่าวถึงรูปหล่อหลวงปู่สายว่า "เป็นรูปหล่อหลวงปู่ที่เหมือนจริงมากที่สุดในโลก เพราะว่าถอดแบบด้วยคอมพิวเตอร์ เอาองค์เก่าเป็นต้นแบบองค์ท่าน แล้วก็เอารูปถ่ายเป็นต้นแบบใบหน้าของท่าน เพราะฉะนั้น..ไม่เหมือนก็ไม่ได้หรอก อย่างไรต้องเหมือน คุณบอลบอกว่า “หลวงปู่ท่านก็อายุมาก จะใส่รอยย่นที่หน้าผากสักหน่อยไหมครับ ?” อาตมาบอกว่า “มะเหงกแน่ะ...! ข้าไม่เคยเห็นหลวงปู่มีรอยย่นเลย” หลวงปู่ท่านเป็นคนผอม แล้วท่านผอมแบบประเภทหน้าตอบ ไม่มีรอยย่นเลย"

เถรี
14-09-2014, 13:14
พระอาจารย์เล่าว่า "มีพระวัดท่าขนุนท่านถามว่า พุทธาภิเษกงวดนี้ วัตถุมงคลมีหลายอย่าง ถ้าเป็นอาตมาจะเอาอย่างไหน ? อาตมาบอกว่าเอาหลวงปู่สายเป็นหลัก ท่านถามว่าทำไม ? ก็หลวงปู่สาย ๑๐๐ ปีมีครั้งเดียว แต่รุ่นอื่นอาจจะมี ๑, ๒ ,๓, ๔ ไล่ไปจนไม่รู้จบได้ แต่ ๑๐๐ ปีมีรุ่นที่ ๒ ไม่ได้ เพราะรุ่นถัดไปก็ต้องเป็น ๑๐๑ ปี"

ถาม : มีหลายรุ่นแล้วจะเอาไปตั้งตรงไหน ?
ตอบ : เออ...ถามเข้าท่า พูดถึงเรื่องนี้แล้วบางทีอาจจะต้องหาวัตถุมงคลไปใส่ตู้ไว้ให้ชม ไม่รู้ว่าจะหาได้ครบหรือเปล่า ? เพราะว่าเกือบทุกรุ่นอาตมาไม่มี โดยเฉพาะตะกรุดมหาสะท้อนรุ่นแรก แจกหมดเกลี้ยง

เถรี
14-09-2014, 13:17
"อาตมาทำตะกรุดมหาสะท้อนมา ๕ รุ่นแล้ว รุ่นแรกเป็นเนื้อเงินล้วน ๆ ๖๐ ดอก ต้องบอกว่าทำลองวิชา ดูว่าขลังจริงหรือเปล่า ? ก็เลยต้องไล่แจกเขาจนหมด รุ่นแรกนี่ม้วนแน่นเปรี๊ยะเลย พอมารุ่นที่ ๒ ทำตอนอยู่วัดท่ามะขาม รุ่นนั้นบอกให้เขารีดแผ่นเงินมากว้าง ๒ นิ้ว ยาว ๕ นิ้ว เขาดันรีดแผ่นเงินมากว้าง ๒ นิ้ว ยาว ๒ นิ้ว โอ้โฮ...ม้วนแทบตายกว่าจะได้ ขนาดให้พระครูน้อยประเภทลูกชาวบ้านแรงควายนะ บิดบุบไปนิดเดียว บอกว่าม้วนไม่ไป อาตมาก็เลยต้องม้วนอยู่คนเดียว แต่คราวนี้ถ้าดอกไหนที่ม้วนแรก ๆ นี่ก็จะแน่น ดอกที่ม้วนหลัง ๆ ก็ค่อนข้างจะบาน ๆ หน่อย เพราะแรงหมด กดไม่เข้าแล้ว นี่พอจะเป็นจุดสังเกตได้

พอมารุ่นที่ ๓ นี่สั่งทางโรงงานเขาทำ เขามีเจตนาชัด ๆ เลยก็คือว่า มาส่งเอาเช้าวันปลุกเสก จะพุทธาภิเษก ๗ โมงครึ่ง เขามาถึง ๖ โมงกว่า ไม่มีโอกาสตรวจรับอะไรเลย ถึงออกมาเป็นรุ่นมีห่วง แต่คราวนี้คำว่า "ห่วง" กับ "ห่วย" ก็ใกล้เคียงกัน แล้วก็เลยกลายเป็นเอกลักษณ์ไปว่า รุ่นนั้นไม่เหมือนใคร ห่วยจริง ๆ

มารุ่นที่ ๔ นี่นอกจากม้วนแน่นแล้วยังเขียนรหัสเลข ๔ ไทยไว้ด้วย ทั้งเนื้อทองคำทั้งเนื้อเงินเลย"

ถาม : มีทองคำด้วย ?
ตอบ : มี...รุ่น ๔ นี่ทองคำเยอะ น่าจะ ๕๐-๖๐ ดอกได้ แต่ว่าอาตมาจะมีรายชื่อเจ้าของอยู่ด้วย คิดเขาแพงโหดร้ายมากเลย คือให้เจ้าของหาทองคำมาเอง แล้วอาตมาคิดค่าเขียนเท่ากับตะกรุดเงิน ๑ ดอก

รุ่นล่าสุดนี่เพิ่งทำเสร็จ ถือว่าเป็นรุ่นที่ ๕ แต่ความจริงไม่ใช่รุ่นหรอก เพราะทำบรรจุในมีดหมอเพชราวุธ รุ่นนี้ทำแค่ ๑๐๘ ดอก แต่ว่ามีเกินมา ๔-๕ ดอก ถ้าใครเจอตะกรุดมหาสะท้อนที่แกะออกมาแล้วมีรหัสตัวขอม คือตัว "วะ" ให้รู้ว่าเป็นรุ่นพิเศษ ทำเพื่อบรรจุในมีดหมอเพชราวุธ ร่วมกับตะกรุดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ (ทองคำ) ตะกรุดมหาอำนาจ (นาก) และตะกรุดแก้วสารพัดนึก (เงิน)

เถรี
14-09-2014, 13:18
ถาม : มีดหมอออกเมื่อไรครับ ?
ตอบ : ปีหน้าจะออก

ถาม : เล่มหมื่นกว่าหรือครับ ?
ตอบ : เล่มเป็นแสนครับ..! เพราะว่าเป็นเนื้อนวโลหะที่อาตมาใส่ทองคำลงไปเกือบสี่สิบบาท แล้วบรรจุตะกรุดทองคำ นาก เงิน แล้วก็ตะกรุดมหาสะท้อน (เงิน) ด้วย เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องคิดเลยว่าจะราคาถูก ๆ

เถรี
14-09-2014, 14:02
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานไปงานหล่อพระที่วัดไร่แตงทอง พระครูวิโรจน์ท่านบ่นว่า “สมุดบันทึกประจำวันของผมหาย น้องชายซื้อคืนมาให้” แล้วท่านก็งัดซัมซุงแกแล็กซี่ออกมา อาตมาก็ถาม “แล้วใช้เป็นหรือวะ ?” “พอได้ครับ” นั่งจิ้มอยู่ได้เป็นวัน"

ถาม : หล่อพระอะไร ?
ตอบ : วัดไร่แตงทองเขาจะหล่อพระอัครสาวก ๘๐ องค์ให้ครบ เขาหล่อปีละองค์ไล่ไปเรื่อย ปีนี้เป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ ปีก่อนเป็นพระอุบาลี ปีก่อนโน้นเป็นพระอานนท์

ถาม : หล่อเมื่อวานกี่โมง ?
ตอบ : เมื่อวาน ๑๓.๑๙ น. สงสารแต่จามจุรีต้นนั้นแหละ กิ่งก้านไหม้แล้วไหม้อีกตอนหล่อพระ กำลังเริ่มแตกใบใหม่ก็หล่อองค์ใหม่ทุกที เพราะมีลานอยู่เฉพาะตรงนั้นที่ว่างพอ ไปทีไรท่านอาจารย์สายชลจะใช้วิธีว่า ไหน ๆ ก็มาแล้ว นิมนต์พวกเราไปนั่งพักที่คลังวัตถุมงคล ประจำเลย นั่งพักของท่านก็คือไปนั่งเสกวัตถุมงคลของท่านให้ด้วย

เถรี
14-09-2014, 14:03
ถาม : มีดหมอเพชราวุธที่จะทำยาวเท่าไรครับ ?
ตอบ : ใบ ๗ นิ้ว แหลมเปี๊ยบน่ากลัวมาก ไล่ได้ทั้งคนทั้งผี..!

เถรี
14-09-2014, 14:06
ถาม : วัตถุมงคล ทำให้เรายึดติดแล้วมาเกิดใหม่ครับ
ตอบ : อย่างน้อยก็ได้เกิดในที่ดี ดีกว่าลงข้างล่างตั้งเยอะ..!

คุณตือบอกว่าออกวัตถุมงคลแล้วทำให้โยมติด แล้วต้องมาเกิดใหม่ แต่ระยะนี้มีคนหากินกับวัตถุมงคลของอาตมาโดยเฉพาะ เล่นกันแพงมากเลย พอรับไปหมอเสือก็เอาไปออกเว็บ ๒๐,๑๐๐ บาท ๑๐๐ บาทเป็นค่าส่ง เขาคิดราคามากกว่าทางวัดแค่เท่าตัวเท่านั้น คุณล้อมเดชก็ ๑๘,๕๐๐ บาท ไปจ้อยเหมือนกัน เขาใส่ราคาแบบกล้าตายมาก แล้วดันมีคนสู้ราคาด้วย

ตะกรุดพระแม่ธรณีเนื้อทองคำ รุ่นแรก ออกมาของวัดท่าขนุน ๕,๐๐๐ บาท เขาไปลงให้บูชาในเว็บ ๒๘,๕๐๐ บาท แล้วก็ออกได้ด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือเอา ๒๓,๕๐๐ ใส่กระเป๋าฟรี ๆ แล้วก็มีหลายรายจับเสือมือเปล่า ทันทีที่ได้รูปจากเว็บท่าขนุนก็เอาลงกระทู้เลย พอคุณโอนเงินมาผมก็เอาเงินคุณไปจ่ายวัดท่าขนุนครึ่งหนึ่ง อาตมาไปไล่ดูแล้วมีอยู่ประมาณ ๓๐ รายชื่อ เปิดกระทู้กันครึกครื้นมากเลย ได้เก็บข้อมูลไว้หมดแล้ว มีทั้งชื่อนามสกุล เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัญชี คือไม่นึกว่าจะได้ราคากันขนาดนั้น ก็คิดดู..บูชาไป ๑๐,๐๐๐ บาท แล้วออก ๒๐,๐๐๐ บาทก็มีคนบูชาด้วย

เถรี
14-09-2014, 14:07
พระกริ่งพิชัยสงครามนี่ปลอมเต็มตลาดเลย ถ้าไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนอย่าไปแตะนะ

ถาม : เหมือนเลยหรือครับ ?
ตอบ : เหมือนเป๊ะ พิมพ์เดียวกันเลย เพราะสมัยนี้ถอดบล็อกด้วยคอมพิวเตอร์ เล็กกว่า ๑-๒ มิลลิเมตรจะไปวัดกันอย่างไร เขายอมลงทุนใช้เลเซอร์สแกน ต่อให้คุณมีตำหนิเท่าไรก็ได้หมด พระองค์ที่ ๑๑ นี่ปลอมกระทั่งองค์ ๙ นิ้ว ปลอมไม่เหมือนก็ยังอุตส่าห์ปลอม แล้วก็ยังยืนยันว่าเป็นของวัดท่าขนุน

ถาม : มีแล้วหรือครับ ?
ตอบ : มี..ท่าพระจันทร์มี ไปเดินหาเอา ขนาดองค์ ๙ นิ้วยังมีเลย แต่เขาไม่รู้ว่าของอาตมาหน้าตัก ๑๐ นิ้ว ทำใหญ่กว่าปกตินิ้วหนึ่ง คราวนี้ของเขาปั้นแบบมา ๙ นิ้ว ก็เห็นชัด ๆ ว่าไม่ใช่ ขอให้หากินได้เขาก็หากินไปเรื่อยแหละ

ถาม : อย่างนี้ถือว่าบาปไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจหลอกลวงเขาแล้วไม่บาปก็คงไม่มีหรอก

ถาม : ตั้งใจแค่สร้างให้คล้าย ๆ ?
ตอบ : เขาไม่ได้ตั้งใจให้คล้าย เขายืนยันว่าเป็นของวัดท่าขนุน ส่วนพวกปลอมตะกรุดมหาสะท้อนนี่ แหม..หากินง่ายเหลือเกิน เขาเอาแผ่นเงินมาม้วนเฉย ๆ ไม่มีอะไรเลย จะลงทุนเขียนอักขระสักหน่อยก็ไม่มี..!

เถรี
14-09-2014, 14:10
ถาม : มาจากกระบี่ครับ จะมาขอช่วยสร้างศาลาที่พักสงฆ์ที่กระบี่ครับ
ตอบ : จะมาช่วยอาจารย์สร้างศาลา ? ด้วยความยินดี

ถาม : มาขอความช่วยเหลือจากพระอาจารย์ครับ ?
ตอบ : ถ้าจะมาขอความช่วยเหลือไม่ต้องขอหรอก งานอาตมาท่วมหัวอยู่แล้ว สำนักสงฆ์อยู่แถวไหน ? (...อยู่ที่คลองยาครับ...)

ปัจจุบันนี้อาตมากำลังหน้ามืดอยู่ ค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าแรงช่างเดือนหนึ่ง ๘๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเรียนของบรรดาพระนักเรียนประมาณเดือนละแสนเศษ ถ้าช่วยหาเงินได้จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง แต่ถ้าให้ไปช่วยที่อื่นนี่ไม่ไหวแล้ว วันก่อนยังถามวิศวกรที่ไปคุมงานอยู่ “ใครวะ..ดันตีราคาศาลาให้กูราคา ๔๐ ล้าน ? ตอนนี้ ๓๑ ล้านบาทเพิ่งได้ชั้นเดียวเอง” พระที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่านบอกว่า “อาจารย์ครับ..นั่นเป็นวิธีหางานของเขา ถ้าเขาตีแพงเดี๋ยวท่านอาจารย์ไม่ทำ” อ๋อ..ที่แท้พอถึงเวลาทำไปแล้ว รายจ่ายบานปลายไปเรื่อย ๆ ประเมินราคามา ๔๐ ล้าน ตอนนี้ ๓๑ ล้านกว่าบาท เพิ่งได้มาชั้นเดียวเอง อีก ๒ ชั้นไปเอาที่ไหนจ่ายวะ ?

เถรี
14-09-2014, 14:17
แค่คนที่เขาต่อคิวขอความช่วยเหลืออยู่ก็ยาวเป็นหางว่าวแล้ว ตอนงานทำบุญวันแม่ อาตมาบอกกับท่านอาจารย์วันชาติว่า "การถวายเงินช่วยสร้างพระ ปีหน้าผมจะช่วยอีกปีหนึ่ง ถ้าต่อไปก็ตัวใครตัวมันนะ" ท่านรีบส่งเสียง “วู้...ส่งมาตั้งกลางทางแล้วมาปล่อยทิ้งได้อย่างไร ?” สำหรับท่านอาจารย์ชาติอาตมาให้ไปปีละล้านมา ๔ ปีแล้ว

ส่วนของท่านอาจารย์โนรี ตอนแรกก็ตกลงกันว่า พวกเรา ๙ รูปช่วยกันรูปละ ๑ ล้านบาท ปรากฏว่าเอาเข้าจริง ๆ เหลืออาตมาคนเดียว ก็เลยเหมาไปคนเดียว ๘ ล้านกว่าบาท พรรคพวกพอเขาถีบอาตมาออกหน้าได้ เขาก็ถอยกันแล้ว มีคนไปตายแทนแล้วนี่ อาตมาถวาย ๑ ล้านบาทให้ท่านอาจารย์โนรีไปก็สบายใจ ท่านอาจารย์โนรีบอกว่า “อาจารย์ครับ...เพิ่งจะมีอาจารย์ให้มา คนอื่นไม่มีใครให้เลยครับ” อาตมาก็เลยต้องช่วยหาให้เขา สรุปแล้วสมเด็จองค์ปฐมของท่านทำไปเกือบ ๒๐ ล้านบาท อาตมาช่วยไป ๘ ล้านเศษ

สมเด็จองค์ปฐมของท่านอาจารย์โนรีหน้าตักแค่ ๔๐ ศอก ส่วนสมเด็จองค์ปฐมของท่านอาจารย์วันชาติ ๕๐ ศอก จำไว้ว่าอย่าปากไว พอท่านเห็นท่านอาจารย์โนรีสร้าง ๔๐ ศอกก็ “ฮื้อ..ถ้าผมทำต้อง ๕๐ ศอก” เสียงสาธุสนั่นเลย..! หันไป..โอ้โฮเว้ย...พระ พรหม เทวดา พนมมือสาธุไปเรียบร้อยแล้ว ถอยไม่ได้แล้ว ต้องขึ้นหน้าอย่างเดียว

เพราะฉะนั้น..อย่าบารมีเข้มมาก บารมีเข้มมากนี่ลำบาก พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมี ท่านคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๙ อสงไขยกัป พูดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยกัป และทำกาย วาจา ใจ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างน้อยอีก ๔ อสงไขยกัป เพราะฉะนั้น..ถ้าพูดออกมาแสดงว่ากำลังใจใช้ได้แล้ว พระ พรหม เทวดาท่านสาธุเลย โมทนาด้วย คราวนี้คุณก็ทำตายชักไปเถอะ

อะไรที่เป็นของใหญ่ ๆ แพง ๆ อย่าเพิ่งหลุดปากไป คิดโครงการเงียบ ๆ ไว้ในใจก่อน พิมพ์ไว้ก่อนก็ได้ ยังไม่แน่ใจอย่าเพิ่งไปประกาศ อย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ถึงเวลาทำบุญท่านก็อธิษฐาน ถ้าท่านอยู่ใกล้เครื่องเสียงก็ออกไมค์เลยว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นเพื่อความปรารถนาในพระโพธิญาณ ถ้าคนที่กำลังใจไม่ถึงจะไม่กล้าประกาศออกมาอย่างนั้น พยานทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเยอะแยะไปหมด เท่ากับบังคับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ เพราะว่าพยานเยอะ

เถรี
14-09-2014, 14:18
ถาม : กำลังใจที่รับได้ กระทบกันอย่างไร ?
ตอบ : กระทบกันอย่างไร ? ก็เหมือนกับวิทยุคลื่นเดียวกัน พออยู่ใกล้กันก็รับกันได้ พออยู่ห่างหน่อย กำลังไม่ดีก็รับไม่ถึง

เถรี
14-09-2014, 14:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปงาช้างองค์นี้เป็นพระพุทธรูปประจำตัว ไปไหนอาตมาก็พกไปด้วย หลวงปู่มหาอำพันท่านพกพระแก้วมรกต พวกเราลองนึกดูว่าขนาดพระอย่างหลวงปู่มหาอำพันนะ ถึงเวลาท่านไม่ได้อยู่ในวัด ท่านก็จะอัญเชิญพระพุทธรูปออกจากย่าม มาตั้งตรงหน้า กราบงาม ๓ ทีแล้วก็เริ่มทำวัตรสวดมนต์ แล้วพวกเรายังจะประมาทอยู่อีกหรือ ?

องค์นี้เป็นฝีมือช่างหลวงสมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นงาแค่ซีกเดียว แสดงว่าต้องมีอีกองค์หนึ่ง แต่ไม่รู้อยู่กับใครที่ไหน ?"

เถรี
15-09-2014, 14:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านเปรียบบุคคลไว้ ๔ จำพวก
จำพวกที่หนึ่ง ฟ้าก็ไม่ร้อง ฝนก็ไม่ตก
จำพวกที่สอง ฟ้าร้อง แต่ฝนไม่ตก
จำพวกที่สาม ฟ้าไม่ร้อง แต่ฝนตก
จำพวกที่สี่ ทั้งฟ้าร้องและฝนตก

เหมือนกับบุคคลผู้ศึกษาธรรม

ไม่มีความรู้ก็ไม่พูด ก็เหมือนกับฟ้าไม่ร้อง ฝนไม่ตก
ไม่มีความรู้แต่พูด เหมือนอย่างกับฟ้าร้อง แต่ฝนไม่ตก
มีความรู้แล้วไม่พูด เหมือนกับฟ้าไม่ร้อง แต่ฝนตก
มีความรู้ด้วยแสดงแก่ผู้อื่นด้วย เหมือนกับฟ้าร้องและฝนตก"

เถรี
15-09-2014, 14:39
พระอาจารย์เล่าว่า "มีคนถามในเว็บพลังจิตว่า มีเงินอยู่ ๓,๐๐๐ บาท เอาไปหล่อพระ หรือว่าเอาไปช่วยหมาที่บาดเจ็บสาหัสจะตาย อย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากัน ? ปัญหานี้มีใครกล้าตอบบ้าง ? เถียงกันแหลกลาญเลย ปัญหานี้อยู่ที่ระยะเวลา ถ้าถามว่าอย่างไหนได้บุญมากกว่ากัน ? หล่อพระได้บุญมากกว่าจนประมาณไม่ได้อยู่แล้ว

แต่สำคัญที่ระยะเวลาต่างหาก ว่าหมาตัวนั้นบาดเจ็บจะตาย แล้วเราควรช่วยหมาก่อนหรือเปล่า ? คนตั้งคำถามนั้นตั้งผิด ถ้าเขาถามว่าหล่อพระกับช่วยหมาควรจะทำอย่างไหนก่อนถึงจะถูก เขาดันไปถามว่าอย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากัน แบบนี้ตั้งใจจะให้คนทะเลาะกันมากกว่า มีอีกวิธีหนึ่งนะ..ไปหล่อพระแล้วก็กลับมาบอกหมาว่า "เอ็งตายได้แล้ว โมทนาด้วยนะ.."

หลายต่อหลายครั้งที่รู้ว่าโยมตั้งคำถามผิด แต่อาตมาก็ตอบไปตรง ๆ ตามนั้นแหละ ส่วนเขาจะมีปัญญาพอหรือมีปัญญาไม่พอก็เป็นเรื่องของเขา"

เถรี
15-09-2014, 14:44
พระอาจารย์เล่าว่า "หลังงานทำบุญวันแม่ อาตมาขึ้นไปงานตุ๊ป้อสิงห์ที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ท่านก็เอาพานดอกไม้ธูปเทียนมากราบ ขอให้ช่วยเป็นประธานสร้างพระจุฬามณีให้ด้วย ความจริงตุ๊ป้อท่านกังวลเกินไป ท่านบอกว่าเห็นมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่ครูบาวงศ์ ว่าการสร้างพระจุฬามณีนั้นเป็นบุญใหญ่ เป็นเรื่องที่กระทำได้โดยยาก

หลวงปู่ครูบาวงศ์จะตัดไม้วามา แล้วก็อธิษฐานวัด เพื่อที่จะได้รู้ว่ามีบุญพอที่จะสร้างได้หรือไม่ ตุ๊ป้อท่านก็กลัวว่าวัดแล้วไม้จะยาวขึ้นกระมัง ? ก็เลยใช้วิธีง่าย ๆ มานิมนต์อาตมาเป็นประธาน หมดเรื่องหมดราวไปเลย

เรื่องของการวัดไม้อธิษฐานเป็นการเสี่ยงบารมีอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าจัดแล้วก็อยู่ในอธิษฐานบารมี แต่คราวนี้กำลังใจของบางคนตั้งผิด พออธิษฐานแล้วไม่เป็นไปตามนั้น บางคนก็หมดกำลังใจ เฉาไปเลย"

เถรี
15-09-2014, 14:47
"มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพใหม่ ๆ เวลาจะทำอะไรมีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ใช้วิธีอธิษฐานแล้วหยิบก้านธูปมา ว่าจะเป็นคู่หรือเป็นคี่ สรุปก็คือทำได้หรือทำไม่ได้ อาตมาได้ยินแล้วก็ แหม..ถ้าอยู่ใกล้ ๆ กำลังหยิบนี่จะยันให้สักที เพราะการหยิบลักษณะนั้นก็ครึ่งต่อครึ่ง ได้กับไม่ได้แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างหนึ่ง ก็เลยบอกว่า "ผมนั่งอยู่นี่ทั้งคน ทำไมไม่ถามผม ?" อาตมาอวดดีเกินไป ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็ก พอเห็นเขาทำอย่างนั้นก็เลยอวดดี ยังโชคดีที่ท่านไม่ถือโกรธ

จะลองเสี่ยงดูไหม ? จะทำอะไรก็หยิบเอา ก้านไม้ขีดก็ได้ หรือไม่ก็กำถั่วไปเลย ก็คู่คี่เหมือนกัน ถึงเวลาก็เอาโก๋แก่มาถุงหนึ่ง ฉีกเทเลย หลุดออกมาคู่หรือคี่ อย่างโบราณเขาบอกว่าห้าสิบห้าสิบ ครึ่งต่อครึ่ง วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์กว่านั้นมีตั้งเยอะทำไมไม่ทำ ?

เรื่องของการอธิษฐานวัดไม้ อาตมาทำไม่ได้ เพราะว่าวัดแล้วเกินทุกทีเลย ก็เลยเสี่ยงไม่ได้ สรุปว่าทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่างไรก็สำเร็จอยู่แล้ว ท่านให้ตัดไม้หรือว่าหาเชือกมาให้ยาวจากนิ้วกลางข้างหนึ่ง แล้วกางให้สุดไปถึงนิ้วกลางอีกข้างหนึ่ง อธิษฐานแล้ววัดใหม่ ถ้าเรื่องนั้นจะสำเร็จเชือกหรือไม้นั้นจะยาวขึ้น ถ้าเรื่องนั้นไม่สำเร็จ เชือกหรือไม้นั้นจะสั้นลง เขาใช้คำว่า "วัดวา" เพราะสมัยก่อนเขากางแขนออกมา คนโบราณเขาถือว่าได้หนึ่งวาพอดี"

เถรี
15-09-2014, 14:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดบ้านจ่าตุ่มนี่ เขามีคติว่าถ้าเห็นให้คว้าไว้ก่อน ถ้าช้าแล้วหายวับไปกับตา ในเว็บวัดท่าขนุนลงพระขรรค์โสฬสเหล็กดามัสกัสไปไม่กี่นาทีเอง โยมจองไปเรียบร้อยแล้ว ใครจะไปนึกว่าเร็วขนาดนั้น แสดงว่าคนที่เศรษฐกิจดีก็มีเยอะเหมือนกัน อย่างนั้นขอให้เศรษฐกิจดี ๆ ทุกคนแล้วกันนะ

ลูกกวางกล่าวหาหลวงพ่อ เขาบอกว่า "หนูคิดว่าหนูทำคาถาเงินล้านไม่ขึ้น ดูไปดูมาแล้วทำขึ้น แต่เงินไปอยู่กับหลวงพ่อหมด" แล้วใครไปบีบบังคับให้มาบูชาพระวะ ? แบบนี้กล่าวหากันชัด ๆ..!"

เถรี
16-09-2014, 09:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยปกติแล้วพระเกศาของพระพุทธเจ้าจะปลงครั้งเดียว ก็คือวันที่เสด็จออกผนวช เมื่อตัดแล้วพระเกศาก็จะขดเวียนขวา ลักษณะเป็นก้นหอย แล้วก็ไม่ยาวอีกเลย ก็แปลว่าไม่ต้องโกนทุกเดือนเหมือนกับของพวกเรา

คราวนี้บางตำราบอกว่า ที่เกศาของพระพุทธเจ้าเห็นเป็นก้นหอยอยู่นั้น เกิดจากว่าพระองค์ท่านนั่งภาวนาแล้วอากาศร้อน บรรดาหอยทากก็เลยคลานขึ้นไป แล้วก็รวมตัวกันอยู่เพื่อให้พระเศียรของพระองค์ท่านเย็น เขาก็ช่างคิดนะ...!"

เถรี
16-09-2014, 09:19
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงก่อน ๆ ที่เศรษฐกิจยังดีอยู่ พวกปฏิทินเขาลงทุนเอาบรรดานักกลอนฝีมือเอกมาเขียนกลอนทำปฏิทินกัน ต้องบอกว่าเป็นทั้งศาสตร์ เป็นทั้งศิลป์ เป็นทั้งความงาม จัดอยู่ในสุนทรียศิลป์ มาระยะหลังไม่ค่อยลงทุน คุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ ยังเคยบอกว่า “โอ๊ย...ผมคิดแทบตายตั้งหลายวัน เขาให้มาแค่หมื่นเดียว” ให้มาหมื่นหนึ่งถ้าเป็นงบประชาสัมพันธ์บริษัทใหญ่ ๆ นี่ถือว่าถูกมากเลย ไปขอให้เขาเขียนกลอนให้ แต่ว่าที่อ่านแล้วจำแม่นติดใจก็คือกลอนของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

พื้นดินถิ่นเก่าเจ้าเอย อบอุ่นคุ้นเคย คือเพื่อนคือมิตรชิดเชื้อ
เมตตาการุณย์อุ่นเอื้อ มีใจมาเจือ มีรักมีหวังรังรอง
ร่มเย็นเป็นหลักปักปอง ทุ่งท่านาทอง ในถิ่นมิ่งทิพย์มณฑล
ผาถ้ำน้ำเถื่อนเยือนยล ย่ำไพรเหยียบพน หยัดพื้นอยู่พ่างพสุธา
ฉ่ำพรำคล่ำคล้อยเมฆา ชีวิตชีวา ชุบวันชูวันฉานฉาย

เขาจะหารูปที่เข้ากับกลอนมาลง “พื้นดินถิ่นเก่าเจ้าเอย อบอุ่นคุ้นเคย คือเพื่อนคือมิตรชิดเชื้อ” เขากำลังปล่อยเนื้อทรายคืนสู่ธรรมชาติ แล้วเนื้อทรายก็เดินจด ๆ จ้อง ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ “เมตตาการุณย์อุ่นเอื้อ มีใจมาเจือ มีรักมีหวังรังรอง” เป็นนก ๒ ตัวกำลังไซร้ขนให้กัน “ร่มเย็นเป็นหลักปักปอง ทุ่งท่านาทอง ในถิ่นมิ่งทิพย์มณฑล” นี่เขาเอาภาพนกน้ำในบึงบอระเพ็ดมาลงไว้ “ผาถ้ำน้ำเถื่อนเยือนยล ย่ำไพรเหยียบพน หยัดพื้นอยู่พ่างพสุธา” เป็นเสือกำลังเดินจากลำห้วยขึ้นฝั่ง

ที่ขำก็คือเมียร์แค็ทหรือพังพอนแอฟริกัน เขาเขียนว่า “กลางมิตรกลางหมู่กรูกรำ กลางดงดึกดำ จักตื่นจักตั้งตาตระเวน" พังพอนพวกนี้ชอบยืนยามช่วยกันระวังภัย

"อยู่ป่ายืนป่าเป็นเกณฑ์ ปกพื้นปฐเพนทร์ พักผาผ่อนไพรพิงพง" เป็นภาพแม่ช้างกับลูกช้างกำลังยืนเล่นฝุ่นกัน

"ก่ายไม้กอดไม้ในดง ดีกว่านอนกรง จำกัดกั้นสิทธิ์เสรี” เป็นภาพลิงกำลังกอดกิ่งไม้หลับครอก กว่าจะครบ ๑๒ เดือนนี่ คนหารูปก็หาจนเหนื่อย ขณะที่คนเขียนก็เขียนยากเหลือเกิน"

เถรี
16-09-2014, 09:24
ถาม : เขียนก่อนหรือเอารูปมาก่อน ?
ตอบ : เขียนก่อนแล้วเอารูปประกอบทีหลังจะง่ายกว่า ถ้าเอารูปมาก่อนนี่คนเขียนต้องเซียนจริง ๆ ไม่อย่างนั้นไม่สามารถที่จะแต่งเนื้อหาให้เข้ากันได้ ที่มั่นใจว่ารูปมาทีหลังเพราะว่าพังพอนแอฟริกันไม่ใช่สัตว์บ้านเรา ส่วนที่เหลือเป็นสัตว์บ้านเราทั้งนั้น

“กลางมิตรกลางหมู่กรูกรำ กลางดงดึกดำ จักตื่นจักตั้งตาตระเวน อยู่ป่ายืนป่าเป็นเกณฑ์ ปกพื้นปฐเพนทร์ พักผาผ่อนไพรพิงพง” แม่ช้างกับลูกกำลังเล่นฝุ่นกัน “ก่ายไม้กอดไม้ในดง ดีกว่านอนกรง จำกัดกั้นสิทธิ์เสรี” ส่วน “หยุดอธรรมต่ำช้าราวี ยืนสัจจะวาที ดำรงยงยุคสุขสมัย” เอารูปหมีที่โดนขังไว้เพื่อตัดอุ้งเท้า

“คืนทุ่งคืนท่าชลาลัย คืนใจสู่ใจ ประดุจดังใจเดียวกัน” ปล่อยเต่าตนุลงทะเล รูปสุดท้ายเดือนธันวาคม เป็นรูปปลาสิงโตอยู่ท่ามกลางหมู่ปลาทะเลในดงปะการัง “ร่วมสุขร่วมสร้างรังสรรค์ ร่วมเหย้าเนาว์นิรันดร์ ร่วมรมณียามาตุภูมิ....” ลงทะเลไปแล้ว

มีอยู่ปีหนึ่งเขาเอารูปป่ากับเมืองมาประกบกันหน้าต่อหน้า แล้วเขาก็ดันแต่งกลอนได้ อันนั้นเชื่อว่าเขาเอารูปมาก่อน เพราะไม่อย่างนั้นเนื้อหาจะไปกันไม่ได้ “แดดฉ่ำและน้ำชื่น หมื่นภูสูง ยูงรำแพน” เป็นรูปป่าห้วยขาแข้ง “โปรยดอกประดับแดน ประดิษฐานพระสัทธรรม” ดอกไม้กำลังโปรยเกลื่อนเต็มพื้นที่อยุธยา ถ่ายออกไปแล้วเห็นรูปพระอยู่กลางซากปรักหักพัง

“ป่าใหญ่จักเป็นเหย้า ลำห้วยเย็นให้ย่างย่ำ” เป็นรูปช้างกำลังลุยไปในลำห้วย แล้วต่อมาก็เป็น "ยืนยงอยู่คงย้ำ สถิตอารยะยุค" ภาพอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย “โลดเริงกระเจิงผัน ราวป่าลั่นประเลงปลุก” รูปนี้เป็นรูปสัตว์ป่าที่ถ่ายได้สวยที่สุด เก้งกำลังตื่นหนีคน ไม่รู้คุณดวงดาว สุวรรณรังสีจับจังหวะถ่ายอย่างไร เก้งกำลังพุ่งลอยอยู่ทั้งตัวแล้วเขาถ่ายได้พอดี แล้วชัดมาก ไม่ใช่ภาพเบลอ ๆ ด้วย

อีกรูปหนึ่งก็เป็นรูปพระธุดงค์ น่าจะเป็นของวัดพระธรรมกาย กำลังจุดโคมอยู่ในกลดมืด ๆ แล้วเลยไปข้างหลัง เห็นเจดีย์เก่า ๆ หัก ๆ “ส่องทางให้สร่างทุกข์ รำงับทุกข์อิริยา” แล้วภาพต่อไปก็เป็นลำห้วย น้ำกำลังไหลริน ๆ “ร่วงเพชรระรินพลอย เป็นสร้อยน้ำประจำผา” แล้วก็เป็นรูปสระบัวที่อยู่ด้านหลัง น่าจะเป็นตระพังเงินตระพังทอง แล้วก็ถ่ายออกไปข้างหน้าที่เป็นอยุธยา “เบิกช่อขึ้นบูชา ประชุมชัย ณ ใจชน”

ปกติแล้วเดี๋ยวนี้อยากได้อะไรไปค้นจากกูเกิ้ลก็ได้ แต่พวกนี้ไม่มี ที่ไม่มีอาจจะเป็นเพราะว่างานมีลิขสิทธิ์ ก็เลยไม่มีลงในเว็บ อ่านแล้วจำ ๆ เอาไว้ ไปเจอปฏิทินที่ไหนมี ก็รีบอ่านแล้วก็จำใส่หัวไว้

เถรี
16-09-2014, 12:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนแก่เวลาลุกนั่งต้องระวัง ไปนึกถึงคุณพ่อของคุณศิลา โคมฉาย อายุ ๙๔ ปีแล้วยังแข็งแรง ท่านไปเดินออกกำลังทุกวัน ปรากฏว่าวันนั้นกะจังหวะพลาดอย่างไรก็ไม่รู้ จะนั่งลงบนตั่งแล้วท้าวผิด พอท้าวผิดก็เลยหน้าทิ่มลงไปโขกตั่งโป๊กเดียวไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าหมดอายุพอดีหรืออย่างไร แต่ว่าเป็นคนแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่นอนโรงพยาบาล ท้าวผิดหน่อยเดียวโขกโป๊ก เห็นว่าหน้าผากถลอกนิดเดียว อาจจะกระดูกคอเคลื่อน แต่ฉับพลันเกินไป เพราะว่าไม่มีดิ้นไม่มีอะไร โขกแล้วก็เงียบไปเลย ถ้ากระดูกคอเคลื่อนแล้วไปเบียดประสาทอะไรก็น่าจะไปเลยแบบนั้น แต่ก็น่าจะเป็นวาระที่ต้องไปด้วย ๙๐ กว่านี่ยังแข็งแรง ชวนเพื่อน ชวนพี่ ชวนน้อง ชวนหลานออกต่างจังหวัดทำบุญ นั่งรถกันทีข้ามวันข้ามคืน ท่านอยู่ปักษ์ใต้ นั่งรถไปทำบุญภาคอีสาน บอกให้ไปเครื่องบินก็ไม่ไป ชอบนั่งรถ สงสัยว่าจะไม่ไว้ใจเครื่องบิน

คุณแม่ของคุณอนันต์ อัศวโภคิน ก็อายุ ๙๐ กว่าปีแล้ว ยังต้องบริหารงานอยู่ทุกวัน รับรองว่าไม่เป็นอัลไซเมอร์แน่นอน เวลามีเรื่องประชุมตกลงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าเขาบอกว่าคุณแม่ของท่านประธานกรรมการมา ทุกอย่างจะตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว แสดงว่าคุณแม่ของคุณอนันต์นี่บารมีสุดยอดเลย แลนด์แอนด์เฮ้าส์เขาชุมนุมคนเก่งเยอะ ต่อให้เป็นเจ้านายกับลูกน้องก็ไม่ค่อยจะลงให้กัน ถ้าคิดว่าแนวความคิดของตัวเองดีกว่า พยายามนำเสนอก็เถียงกัน บางครั้งคุณอนันต์ถอดรองเท้าขว้างเลย ขว้างได้ก็ขว้างไป หลบเสร็จก็พูดต่อ..!"

เถรี
16-09-2014, 12:28
"สมัยนั้นจองบ้านกันไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีกว่าจะได้บ้าน แต่คุณอนันต์นี่แนวคิดของเขาก็คือ หิ้วกระเป๋ามาใบเดียวเข้าอยู่ได้เลย วางเงินดาวน์เสร็จเข้าอยู่ได้ กลายเป็นบ้านของตัวเองเลย ที่เหลือค่อยไปผ่อนเอา ทำให้เลือกได้ว่าบ้านหลังนี้ถูกใจหรือเปล่า เพราะว่าสร้างเสร็จแล้ว ไม่ใช่สร้างแล้วก็ยังต้องไปทะเลาะกับช่างอีก พอโครงการของคุณอนันต์ออกมา คนจองกันกระหน่ำเลย รวยเป็นพันล้านในพริบตา

ช่วงหลังมีของพฤกษาเรียลเอสเตทมา เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะว่าพฤกษาผลิตวัสดุก่อสร้างของตัวเอง ก็เลยทำให้คุมราคาที่ต่ำกว่าได้ เสนอของดีราคาถูก ในเมืองกาญจน์นี่น่าจะ ๑๐ กว่าโครงการของพฤกษา ขายเกลี้ยงไม่เหลือสักโครงการเลย ดูบรรดาคู่แข่งในวงการต่าง ๆ แล้ว บางอย่างเขาหักล้างกันรุนแรง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เขาถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน คนจีนเขาถือว่ามีเพื่อนดีกว่ามีศัตรู พอถึงเวลาเขาไม่ไหวก็ยื่นมือไปประคับประคอง พอเขาขึ้นมาเป็นคู่แข่งก็ทำให้ตัวเองต้องพากเพียรมากขึ้น

แต่สมัยนี้เขาหักกันแบบฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง ตัวอย่างก็โค้กกับเป๊บซี่ ไม่น่าเชื่อว่าโฆษณา ๒ นาที เป๊บซี่ช่วยโฆษณาให้โค้กไปนาทีกว่า ๆ ก็คือ เป็นภาพเด็กเขย่งไปหยอดตู้ขายน้ำอัดลมอัตโนมัติ โค้กกลิ้งมากระป๋องหนึ่งก็หยิบมา หยอดอีกทีโค้กกลิ้งมาอีกกระป๋องก็หยิบมา แล้วเอาโค้ก ๒ กระป๋องวางแล้วตัวเองขึ้นไปเหยียบ แล้วหยอดเหรียญช่องข้างบนที่ตอนแรกหยอดไม่ถึงเพื่อเอาเป๊บซี่ ยอมลงทุนเอาโค้ก ๒ กระป๋องมาต่อเพื่อซื้อเป๊บซี่ ๑ กระป๋อง เขาบอกใบ้ให้ว่าเป๊บซี่ดีที่สุด คิดดู..โฆษณาแบบนี้ฆ่ากันให้ตายดีกว่า ช่วยโฆษณาให้โค้กไปตั้งนาทีกว่า ตัวเองขอแค่ ๒๐ วินาทีสุดท้ายเท่านั้น

ส่วนเบียร์สิงห์กับเบียร์ช้างก็รบราฆ่าฟันกันมาตลอด โฆษณานั่งช้างเที่ยวป่า ปรากฏว่ากินเบียร์สิงห์บนหลังช้าง คนออกแนวคิดนี้ไม่รู้ว่าคิดได้อย่างไร กินสิงห์บนหลังช้าง ถ้าวันไหนไปบ้านโยมแล้วเขาเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ อาตมาจะดูโฆษณา ดูแนวคิดของเขา ว่าเราคิดได้อย่างเขาไหม โฆษณาบางอย่างต้องบอกว่าเป็นอมตะ พอถึงเวลาใคร ๆ ก็ต้องกล่าวขวัญยกตัวอย่างถึง อย่างถ่านไฟฉายตรากบ จนป่านนี้ก็โฆษณาเดิม ๆ มา ๔๐-๕๐ ปีแล้ว เรียบง่าย ตรงใจ หรือโฆษณาขายแฟล็ตปลาทอง วันที่ ๙ เดือน ๙ อย่างนี้เป็นต้น"

เถรี
16-09-2014, 12:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะช่วยทำบุญปลดหนี้ไปที่ข้างหลังนะจ๊ะ มีวัตถุมงคลใหม่ ๆ มา นโยบายของอาตมาก็แบบเดียวกับเถาจูกงนั่นแหละ กำไรน้อยแต่ขายได้มากก็เท่ากับกำไรมากไปเอง เอาถูกไว้ก่อน

เถาจูกงที่เป็นเทพเจ้าการค้าขายของจีน ตามประวัติเขาบอกว่าคือเสนาบดีฟ่านหลี พอเสนาบดีฟ่านหลีช่วยเหลือจนกระทั่งแคว้นเย่ว์สามารถปลดแอกจากแคว้นโง้วได้ แล้วตัวเองก็พาไซซีหนีไปเลย เพราะเข้าใจคำว่า "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" ว่าเป็นอย่างไร เก่งขนาดสามารถวางแผนให้เจ้านายตัวเองยอมทนอัปยศอยู่ตั้งหลายปีได้ ด้วยความที่เจ้านายตัวเองยอมทนอัปยศอยู่ตั้งหลายปี เสนาบดีคนนี้รู้ตลอด พอขึ้นครองราชย์แล้ววันไหนเกิดนึกขึ้นมาได้ อับอายขายหน้าขึ้นมา...ไอ้นี่รู้นี่หว่า เดี๋ยวก็โดนจนได้ จึงหนีไปเลย ปลอมชื่อเปลี่ยนแซ่เป็นเถาจูกง ไปทำการค้าขาย ด้วยความที่เป็นคนเก่ง ก็ร่ำรวยมหาศาลขึ้นมาอีก จึงกลายเป็นเทพเจ้าการค้าของจีนไป

ต้องถือว่าแผนการใช้หญิงงามเผด็จศึก แผนของไซซีนี่ถือว่าสุดยอดที่สุด เพราะว่าเตียวเสี้ยนนี่หลอกว้านจงก็เขียนมาจากเรื่องของไซซีนี่แหละ เขาบอกว่าเตียวเสี้ยนจริง ๆ ไม่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ หลอกว้านจงคงจะใส่เพิ่มขึ้นมา แต่ ๔ ยอดหญิงงามของจีนก็ยังอุตส่าห์มีเตียวเสี้ยนได้ ทั้ง ๆ ที่ในประวัติศาสตร์ไม่มีตัวจริง ไซซีมีแน่ หยางกุ้ยเฟยมีแน่ หวังเจาจวินมี เตียวเสี้ยนไม่มี เขาบอกว่า "มัจฉาจมวารี" ไซซีไปตักน้ำ ปลามองเห็นลืมว่ายน้ำ จมเลย อะไรจะสวยได้ปานนั้นนะ ส่วนหวังเจาจวินเขาบอกว่า "ปักษีตกนภา" นกบินผ่านมาเจอความสวยนี่ร่วงเลย..!"

เถรี
16-09-2014, 12:53
"หวังเจาจวินไม่ยอมติดสินบนบรรดาขันทีในวัง พอถึงเวลาต้องวาดรูปไปเสนอฮ่องเต้ เขาก็เลยวาดส่งเดช ไม่สวย พอถึงเวลาทางด้านบรรดาพวกหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ จากชายแดนบุกรุกแผ่นดินจีนขึ้นมา อยากจะผูกสัมพันธ์ด้วย ขอให้ส่งสาวงามไปให้เขา ฮ่องเต้ก็เลยเลือกรูปห่วย ๆ ให้เสนาบดีส่งตัวไป ปรากฏว่าวันที่ไปส่งเดินทาง ฮ่องเต้ไปเห็นหวังเจาจวินเข้า เสียดายเข่าอ่อนไปเลย เขาใช้คำว่า "ปักษีตกนภา"

เตียวเสี้ยนนี่นักประวัติศาสตร์หลายคนยืนยันว่าไม่มีตัวตน แต่หลอกว้านจงเขียนไว้ในสามก๊ก จนกลายเป็นยอดหญิงงามไปแล้ว กวีให้คำจำกัดความว่า "จันทร์หลบโฉมสุดา" แม้ว่าพระจันทร์ออกจากกลีบเมฆมาเห็น ก็ต้องถอยกลับเข้ากลีบเมฆใหม่ เพราะสวยสู้ไม่ได้

ส่วนหยางกุ้ยเฟยนี่เป็นเจ้าแม่เครื่องสำอาง ต้นตำหรับใช้น้ำหอม ใช้น้ำนม ใช้ไข่มุก ฯลฯ เพื่อที่จะประทินความงามตัวเอง จนกระทั่งนักประวัติศาสตร์บางคนกระแนะกระแหนว่า สงสัยคงตัวเหม็นจัด ก็เลยต้องใช้สารพัดน้ำหอมมาอบผิวตัวเอง หยางกุ้ยเฟยนี่ต้องบอกว่าความงามล่มบัลลังก์ ฮ่องเต้ไม่ออกว่าราชการเลย กวีจีนเขาบอกว่า "มวลผกาละอายนาง" เขาว่าเวลาเดินเข้าไปชมสวน ดอกไม้เหี่ยวหมดเลย สวยสู้ไม่ได้ ไม่อยากแข่งความสวยด้วย หุบกลีบดีกว่า หยางกุ้ยเฟยภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า "เอี้ยกุยฮุย"

สายท่าขนุน
16-09-2014, 13:08
มีอยู่ปีหนึ่งเขาเอารูปป่ากับเมืองมาประกบกันหน้าต่อหน้า แล้วเขาก็ดันแต่งกลอนได้ อันนั้นเชื่อว่าเขาเอารูปมาก่อน เพราะไม่อย่างนั้นเนื้อหาจะไปกันไม่ได้ “แดดฉ่ำและน้ำชื่น หมื่นภูสูง ยูงรำแพน” เป็นรูปป่าห้วยขาแข้ง “โปรยดอกประดับแดน ประดิษฐานพระสัทธรรม” ดอกไม้กำลังโปรยเกลื่อนเต็มพื้นที่อยุธยา ถ่ายออกไปแล้วเห็นรูปพระอยู่กลางซากปรักหักพัง

“ป่าใหญ่จักเป็นเหย้า ลำห้วยเย็นให้ย่างย่ำ” เป็นรูปช้างกำลังลุยไปในลำห้วย แล้วต่อมาก็เป็น "ยืนยงอยู่คงย้ำ สถิตอารยะยุค" ภาพอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย “โลดเริงกระเจิงผัน ราวป่าลั่นประเลงปลุก” รูปนี้เป็นรูปสัตว์ป่าที่ถ่ายได้สวยที่สุด เก้งกำลังตื่นหนีคน ไม่รู้คุณดวงดาว สุวรรณรังสีจับจังหวะถ่ายอย่างไร เก้งกำลังพุ่งลอยอยู่ทั้งตัวแล้วเขาถ่ายได้พอดี แล้วชัดมาก ไม่ใช่ภาพเบลอ ๆ ด้วย

อีกรูปหนึ่งก็เป็นรูปพระธุดงค์ น่าจะเป็นของวัดพระธรรมกาย กำลังจุดโคมอยู่ในกลดมืด ๆ แล้วเลยไปข้างหลัง เห็นเจดีย์เก่า ๆ หัก ๆ “ส่องทางให้สร่างทุกข์ รำงับทุกข์อิริยา” แล้วภาพต่อไปก็เป็นลำห้วย น้ำกำลังไหลริน ๆ “ร่วงเพชรระรินพลอย เป็นสร้อยน้ำประจำผา” แล้วก็เป็นรูปสระบัวที่อยู่ด้านหลัง น่าจะเป็นตระพังเงินตระพังทอง แล้วก็ถ่ายออกไปข้างหน้าที่เป็นอยุธยา “เบิกช่อขึ้นบูชา ประชุมชัย ณ ใจชน”

“สาดแสงสำเริงไพร ระบายใบ ระบัดบน”
“ปลุกอดีตบันดาลดล ด้วยเรื่องราวของแผ่นดิน”
“ปรางค์ธาตุสถูปสถาน ดวงวิญญาณพระธรณินทร์”
“โลกนี้คือชีวิน คือวิญญาณ อมรรตรัย”

จากกระทู้นี้ :
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3270&page=2

เถรี
16-09-2014, 13:40
"ไปนึกว่าบรรดาพระมหากษัตริย์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่ต้องเคยสร้างเนกขัมมบารมีเบื้องต้นมาแล้ว ถึงจะได้เกิดเป็นพระมหากษัตริย์ ไม่อย่างนั้นวัน ๆ ก็จมอยู่กับพวกบรรดานางสนม ไม่ต้องทำงานทำการ ตอนที่คุณกฤษณ์พาไปภักตรปุระ แกบรรยายว่า พระมหากษัตริย์ของเขามีมเหสี ๒ องค์ ของไทยมีเป็นสิบ ของอินเดียมีเป็นร้อย ของจีนมีเป็นพัน ฟังแกบรรยายแล้วก็ขำดี

ที่ว่าพระมหากษัตริย์ท่านต้องสร้างเนกขัมบารมีในเบื้องต้นมาแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นก็จะลุ่มหลงมัวเมา จนกระทั่งไม่เป็นอันทำงานทำการ เพราะต้องบอกว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อะไรทุกอย่างที่ดีที่สุดในแผ่นดินของท่านก็ต้องเป็นของท่าน ถ้าไม่ใช่คนที่สร้างบารมีมาจนถึงระดับหนึ่งนี่รับรองว่าถอนตัวไม่ขึ้น บางช่วงของแผ่นดินจีน บรรดาฮ่องเต้ก็มัวแต่ลุ่มหลงกับความสุขส่วนตัวจนกระทั่งลืมประชาชน เพราะฉะนั้น..ที่ภาษิตจีนเขาบอกว่า น้ำสามารถรองรับเรือได้ แต่ก็ล่มเรือได้ ก็คือประชาชนยกคุณขึ้นไปเป็นใหญ่ได้ก็จริง แต่ก็ทำให้คุณตกบัลลังก์ได้เหมือนกัน"

เถรี
16-09-2014, 13:46
ถาม : มีคนแนะนำว่าคนนี้ถอนของออกได้ ?
ตอบ : อย่าหาเรื่องใส่ตัว คนถอนของได้ก็ทำใส่เราได้ ตั้งใจสวดมนต์ภาวนาของเราไป ถ้ากำลังใจทรงตัว สิ่งไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ไปเอง

ถาม : ไม่จำเป็นต้องไปหรือคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องไปหรอก อาตมาไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย ถ้ากำลังใจเราดี อะไร ๆ ก็ดีหมด สรุปว่าไม่ต้องไปหรอกจ้ะ ตื่นเช้าขึ้นมาไม่มั่นใจก็สวดมนต์ไหว้พระ ขอบารมีพระคุ้มครองก่อนจะออกไปไหน

เถรี
16-09-2014, 13:46
ถาม : เป็นไปได้หรือที่คนจะวิ่งไปเหมือนกระโดดไปสองก้าว ภาพที่เห็นคือก้าวไปแค่ไม่กี่ก้าว ?
ตอบ : บางอย่างทำจนชินก็รู้สึกว่าง่าย คนที่เขาไม่ชินก็ว่ายาก ความรู้สึกของอาตมาก็คือแค่เดินขึ้นไป ไม่เห็นว่าจะยากตรงไหน

เถรี
16-09-2014, 14:02
พระอาจารย์เล่าว่า "หัวหน้าคณะปฏิวัติบ้านเราที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมีใครบ้าง ? จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม ที่เหลือก็ไม่มีแล้วนะ มีพลเอกสุจินดาอยู่ได้ไม่กี่วัน แต่ว่าพลเอกประยุทธ์นี่ต้องบอกว่ากระแสชาวบ้านไม่คัดค้าน เห็นว่ามาในจังหวะที่พอดี แต่ว่าเสียตรงที่ขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีนี่แหละ เพราะว่าทันทีที่ขึ้นไป จากสิ่งที่ตัวเองทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน คนส่วนหนึ่งจะมองว่าทำเพื่อตัวเอง ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนให้เขาตีได้ ถ้ากฎอัยการศึกยกเลิกเมื่อไรคงสนุกน่าดูแน่

สมัยที่อาตมาเรียนมัธยมอยู่เป็นยุค ม. ๑๗ ประหารอย่างเดียว ถ้ายุคนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ ก็ไม่มียุคไหนแก้ไขได้แล้ว เพราะว่ายุคนี้อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ผู้นำประเทศคนเดียว พอ ๆ กับสมบูรณาญาสิทธิราชเลย ในเมื่ออยู่ในลักษณะนี้แล้วยังไม่สามารถแก้ไขได้ ก็เป็นอันว่าหมดหวังแล้ว ยังดีว่าช่วงนี้ทุกฝ่ายก็พยายามทำเพื่อให้ประเทศชาติสงบ แม้ว่าจะสงบในลักษณะภูเขาไฟใต้น้ำก็เถอะ ฝ่ายโน้นก็คงคิดว่าอยู่ได้ไม่นานหรอก ทน ๆ ไปเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว

ที่บอกว่าน้ำสามารถรองรับเรือได้ ก็ล่มเรือได้ ก็เพราะว่าตอนช่วงนี้บรรดาท่านที่เป็นต้นเหตุของการปฏิวัติรัฐประหาร รู้สึกว่าทหารปฏิวัติไปแล้วไม่ได้ตอบสนองความต้องการของตัว ดูท่าว่าเริ่มแสดงปฏิกิริยากันแล้ว"

เถรี
16-09-2014, 14:12
"ถ้าทหารเอาจริงก็ไม่มีใครกล้าหือ เพียงแต่ว่าบางอย่างนั้นชัดเจนเกินไป อย่างตัดสินประหารชีวิตฝ่ายเสื้อแดงไป ๒๐ กว่าคน ศาลทหารเขาไม่มีอุทธรณ์ฎีกา แปลว่าตายอย่างเดียว แต่ขณะเดียวกันอีกฝ่ายหนึ่งศาลอาญาบอกว่าไม่รับฟ้องเพราะเป็นคดีการเมือง

เรื่องของการตัดสินลักษณะนี้จะเป็นบรรทัดฐานไปทั้งชาติ แต่ว่าเขาก็ยังตัดสินกันออกมา ก็สงสัยเหมือนกันว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้พิจารณารอบคอบดีแล้วหรือ ? ไม่อย่างนั้นต่อไปถ้าใครขึ้นมาเป็นรัฐบาล ถึงเวลาประชาชนประท้วงก็ฆ่าเล่นเป็นของสนุกได้ เสร็จแล้วก็ไม่ใช่คดีอาญา เพราะว่าปฏิบัติหน้าที่ของตน กลายเป็นเรื่องการเมืองไป ก็แค่ผิดมาตรา ๑๕๗ แต่ไม่ใช่คดีอาญา ถ้าคนตายตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่ใช่คดีอาญา ตกลงเรียกว่าคดีอะไร ? อาตมาก็งง ๆ เหมือนกัน บรรทัดฐานของศาลพอตัดสินไปแล้ว มีผลกระทบระยะยาวมาก ยังสงสัยว่าท่านเอามาตรฐานอะไรมาตัดสินกัน แต่ว่าก็อย่างว่าแหละ กองเชียร์เยอะ ประเทศไทยเรายิ่งรักง่ายหน่ายเร็วอยู่ด้วย ถ้าไม่มีผลงานชัดเจนนี่ลำบากเลย

คณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่แต่งตั้งมา อาตมาติดใจสงสัยอยู่ตำแหน่งเดียวก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ทั่วโลกเขาไม่ยอมรับง่าย ๆ เอาพลเรือนไปจะเข้าท่ากว่า เอาทหารไปถ้าเขาถามคำเดียวแล้วจะตอบเขาอย่างไร ก็เลยสรุปว่าถ้าไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการทหารด้วยกัน คงไม่มีประเทศไหนเปิดรับหรอก"

เถรี
16-09-2014, 14:25
"วันนี้เลี้ยวเข้ามาเรื่องการเมืองมากไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องของพระ เรื่องของพระเราปกครองวัดให้ดีก็พอแล้ว วันก่อนถามพระท่านว่า "ตอนที่บิณฑบาตบ้านแรก ผมเดินเลาะข้างรถไปอ้อมออกทางท้าย ใครเป็นคนแรกที่ไปอ้อมออกด้านหน้ารถ ?" ท่านแบงค์ก็ยกมือว่า "ผมครับ" "คุณรู้ไหมว่าคุณเห็นแก่ความสบาย แต่คุณไม่สงสัยหรือว่าทำไมผมยอมลำบากเลาะไปออกท้ายรถ ?" ท่านก็งง ๆ

อาตมาก็บอกว่า "เราเดินชิดขวา บ้านเรารถวิ่งชิดซ้าย ถ้าผมอ้อมไปออกท้ายรถ รถจะเห็นแต่ไกลว่าผมจะข้ามถนน แต่คุณอยู่ ๆ โผล่มาหน้ารถ ถ้าเขาเหยียบผ่านมาพอดีก็กระเด็นเลย การที่เราเดินอ้อมข้างรถแล้วไปโผล่ทางด้านท้าย ถ้ารถที่จอดอยู่ต้องการจะออกตัวสามารถไปได้เลย แต่คุณไปตัดหน้ารถ กว่าแถวพระจะหมดเขาต้องจอดรอพวกเราตั้งนาน ตกลงเคยคิดเรื่องแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า ? เวลาผมทำอะไรเห็นแล้วสงสัย เคยคิดบ้างไหม ? ไม่ใช่คิดว่าเดินตัดหน้ารถง่ายจะตาย ทำไมอาจารย์ต้องอ้อมไปตั้งไกลด้วย"

การที่เป็นผู้นำเขานั้นต้องคิดเผื่อ ขณะเดียวกันคนที่เป็นผู้ตามไม่ต้องคิดเผื่ออะไร ไปนึกถึงเรื่องจีนกำลังภายในเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องแส้สะบัดเลือด ใครลองไปหามาอ่านดู ที่มีพระเอกกับอีกคนหนึ่ง คล้าย ๆ ตัวโกงแต่ไม่ใช่ตัวโกง นัดสู้กันทุก ๓ ปี อีกฝ่ายหนึ่งแพ้ทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ฝีมือไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ไม่ว่าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมคดโกงอีท่าไหนพระเอกตามทันหมด

จนกระทั่งท้ายที่สุดเขาทนไม่ได้ เขาก็เอ่ยปากถามว่า ไม่ว่าเขาจะมุ่งโจมตีตรงจุดไหนก็ตาม ทำไมพระเอกรู้ทันหมด พระเอกเขาเป็นหัวหน้าพรรค มีลูกน้องในสังกัด ๓๐๐ กว่าคน กินพื้นที่ตั้ง ๕-๖ มณฑล เขาต้องคอยระมัดระวังว่าเจ้านี่จะไปเล่นหน่วยงานไหนของเขา แล้วจะใช้วิธีไหน เขาใช้วิธีคิดลักษณะว่าถ้าเขาเป็นศัตรูจะมาเล่นงาน เขาจะทำอย่างไร แล้วเขาก็คอยระวังป้องกัน เขาบอกว่าคนที่ต้องคิดเผื่ออีก ๓๐๐ ร้อยคนนี่ ต้องคิดให้รอบคอบกว่าคนที่คิดเพื่อตัวเองคนเดียว

คราวนี้พอมาเจอเหตุการณ์อย่างที่ว่า อาตมายอมเดินหลบไปออกท้ายรถ อันดับแรก..ก็คือไม่รบกวนรถคันนั้น ถ้าเขาจะออกรถเขาก็ออกได้เลย ขณะเดียวกันรถที่มา ก็เห็นได้ชัด ๆ เพราะเราอยู่ทางท้ายรถ ไม่มีอะไรบัง ไม่ใช่อะไรหรอก อาตมาเคยชนพวกทะเล่อทะล่าออกมาทางหน้ารถปลิวไปทั้งคนแล้ว ฉะนั้น..ถ้าลงจากรถ โปรดอย่าโผล่ออกทางด้านหน้ารถแล้วข้ามถนน ถ้าดวงยังดีก็ไม่เป็นไร ถ้าดวงตกวันไหนนี่เจอเต็ม ๆ จะดูปัญญาพระวัดท่าขนุนหน่อย สรุปแล้วปัญญาพอ ๆ กับชิมแปนซี..!"

เถรี
17-09-2014, 08:16
พระอาจารย์เล่าว่า "โอ..เอามีดหมอของหลวงพ่อวิชาไปประมูลด้วย ท่านเล่นลงมหาอุดมาด้วย ท่านทำแค่ไม่กี่เล่ม สมัยที่หลวงพ่อวิชายังอยู่ลานสัก อาตมาตั้งท่าจะไปขอวิชาท่าน จนป่านนี้ก็ยังไม่มีโอกาส เพราะว่าต้องเอาบายศรีไปขอเรียน ของหลวงพ่อวิชานี่คาถาสั้น ๆ บทเดียว หยิบอะไรขึ้นมาเสก วางลงยิงเดี๋ยวนั้นได้เลย ไม่ออกหรอก"

https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/orose/jjiv91410748270.jpg

มีดโต้ทองมหาลาภ ของหลวงพ่อวิชา

เถรี
17-09-2014, 08:31
พระอาจารย์พูดถึงคนช่างเลือกว่า "อาตมาเคยเจอคนช่างเลือกอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นยังจำหน่ายแก้วมณีรัตนะอยู่ที่วัดท่าซุง มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งมาขอดูลูกแก้ว เขากลิ้งดูทีละเหลี่ยมเลย สายตาดีจริง ๆ “องค์นี้บิ่นนะ ขอเปลี่ยน” เอ้า..ไม่เป็นไร เปลี่ยนก็เปลี่ยน กลิ้งดูต่อ ดูไปดูมา..กองเบ้อเร่อเลย

พออาตมาเห็นคนแล้วชอบสังเกตว่า คนนี้กำลังใจเป็นอย่างไร ลักษณะนี้ราคะจริตแน่นอน ชอบรักสวยรักงาม ละเอียดถี่ถ้วน นั่งดูไปเรื่อย ๆ แกก็กลิ้งของแกไปเรื่อยจนกองเบ้อเร่อ ท้ายสุดก็ "เอากองนี้ค่ะ" ขายได้ตั้ง ๔๐,๐๐๐ กว่าบาท คนเดียวคุ้มเลย หลวงตาวัชรชัยเดินหนีไปตั้งนานแล้ว ทนดูไม่ได้ เลือกเป็นชั่วโมงเลย เขาสบายใจว่าได้เลือกแล้ว อาตมาก็ดูใจตัวเองไปเรื่อย เราขุ่นมัวหรือเปล่า ? หงุดหงิดไหม ? ได้กำไรเหมือนกัน"

เถรี
17-09-2014, 08:57
พระอาจารย์เล่าว่า "ไม่ได้บอกพวกเราว่าวันพุทธาภิเษกเหรียญพุทธบารมี ฝนเขาหยุดให้เฉพาะตอนพุทธาภิเษกจริง ๆ นะ หลังเพลก็กระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาเหมือนเดิม เป็นอันว่าพอญาติโยมเบิกวัตถุมงคลกลับบ้านได้ ฝนก็ตกไล่ตูดไปเลย"

เถรี
17-09-2014, 11:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "เหรียญพุทธบารมีเนื้อนาก อาตมาอุตส่าห์แหกคอกกล้าตาย ให้เขาผสมทองเกิน ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่าออกมาดูไม่ได้เลย กลายเป็นสีเหลืองซีด ๆ ท้ายสุดก็ต้องกลับไปเหลือแค่ ๓๕ เปอร์เซ็นต์

ถ้านากมาตรฐานต้องผสมทองคำ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ คือจะเป็นทองแดง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วทองคำ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ จะออกมาเป็นนากสีเข้มสวย คราวนี้อาตมาให้เพิ่มขึ้นไปเป็น ๓๕ เปอร์เซ็นต์ แล้วออกมาซีด ๆ ถ้าถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์นี่ดูไม่ได้เลย กลายเป็นว่าใส่ทองเยอะกลับดูไม่สวย อยากจะคืนกำไรให้ประชาชนหน่อยก็คืนไม่ได้อย่างใจ ในความคิดของอาตมาก็คือผสมลงไปอย่างไรก็ต้องแดง ๆ แต่กลับไม่แดง กลายเป็นเหลืองซีด ๆ ซีดเหมือนทองเหลืองที่เราขัดด้วยบราสโซเต็มที่เลย"

เถรี
17-09-2014, 11:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณพ่อของน้องแอลลี่เป็นอิสลาม เวลาเขาไปรับลูกของเขา เขาก็จะไปยืนรออยู่หน้าโบสถ์ เพราะอิสลามห้ามเข้าศาสนสถานของศาสนาอื่น แต่แอลลี่ได้มโนมยิทธิชัดมากเลย เป็นไปได้เหมือนกันนะ ...(หัวเราะ)... แต่ดีตรงที่เขาไม่ห้าม ลูกเมียจะนับถือศาสนาพุทธก็ว่าไปได้เลย"

เถรี
17-09-2014, 12:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังวางแผนจะเกษียณตัวเองตอนอายุ ๖๐ ปี ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านายจะด่ามากแค่ไหน เขาเกษียณ ๘๐ ก็เกษียณไปสิ เราเกษียณ ๖๐ พอ เราไม่เอาเยอะ มาเป็นหลวงตาเฉย ๆ ดีกว่า ไม่ต้องมียศมีตำแหน่งอะไร

มีใครรู้บ้างว่าหลวงปู่มั่นเคยเป็นพระครูวินัยธรมาก่อน ? ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส ตั้งให้หลวงปู่มั่นเป็นพระครูวินัยธร ให้ไปปกครองวัดเจดีย์หลวง หลวงปู่มั่นอยู่ไม่นาน ไปเลย อะไรสักอย่างก็ไม่เอา

ถ้าหลวงปู่มั่นยังอยู่ดี วงศ์วานพระกรรมฐานคงไม่เกิดขึ้น ยังดีที่ท่านทิ้งไป แบบเดียวกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ใครจะรู้บ้างว่าท่านคือพระครูวิเวกพุทธกิจ พระครูสมัยนั้นยิ่งใหญ่กว่าเจ้าคุณชั้นธรรมสมัยนี้อีก"

เถรี
17-09-2014, 12:29
ถาม : ถ้าจับลมหายใจสามฐาน รู้สึกว่าไปบังคับ ไม่ได้สบาย แต่ตัวเองจับแค่ฐานเดียว รู้หายใจเข้าออกนี่สบาย จับภาพพระได้ ?
ตอบ : เอาที่เราสบาย ถ้าเราดูในวิสุทธิมรรคจะเห็น มี ผุสนา คือ จับฐาน กับ อผุสนา คือ ไม่จับฐาน ท่านใช้คำว่ารู้ตลอดกองลม ก็คือหายใจเข้าตามรู้เข้าไป หายใจออกตามรู้ออกมา สิ่งไหนที่สบายสำหรับเรา ทำแล้วได้ผลดี ให้ทำอย่างนั้น

ถาม : ถ้าสามฐานจะละเอียดกว่า ?
ตอบ : ถ้า ๗ ฐานแล้วละเอียดกว่า ๓ ฐานอีก แต่คราวนี้คนที่ไม่เคยชินก็จะทำให้เสียผลปฏิบัติ ดังนั้น..การปฏิบัติกรรมฐาน ให้เอาสิ่งที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่เอาตามคนอื่นเขา

ถาม : มีอะไรที่ควรทำเพื่อส่งผลหรือสนับสนุนการปฏิบัติ ?
ตอบ : ถ้าในเรื่องสนับสนุนการปฏิบัตินี่ให้แผ่เมตตาเลย อย่างอื่นเป็นอานิสงส์ในลักษณะของกามาวจร ก็คืออย่างไรเสียก็ไม่พ้นในเขตของสวรรค์ ๖ ชั้น แต่เรื่องของการภาวนานี่ตั้งแต่ระดับพรหมขึ้นไป จนกระทั่งสามารถหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน ส่วนสนับสนุนไม่ใช่บุญทางนี้ บุญทั้งหลายเหล่านี้เราทำได้ตามปกติ แต่ว่าในส่วนของสนับสนุนการปฏิบัติธรรมให้ใช้แผ่เมตตา

ถาม : อย่างอื่นไม่ช่วย ?
ตอบ : ช่วยเหมือนกัน อย่างน้อยเราทำแล้วเราปีติขึ้นมา แต่ว่าไม่เหมือนกับการแผ่เมตตาที่เป็นการเสริมกำลังใจโดยตรง

เถรี
17-09-2014, 14:52
ถาม : เรื่องกสิณยังเอาตัวไม่ค่อยรอด จับภาพพระไม่ได้ตลอดเวลา ทำกสิณกองหนึ่งคือกสิณแสงสว่าง จะติดว่าต้องทำอย่างไรให้ได้ตลอดเวลา ?
ตอบ : เอาพระแก้วเป็นองค์กสิณแทน

ถาม : พระแก้ว ?
ตอบ : ใช่...แก้วก็คืออาโลกกสิณ เราก็จับภาพพระแก้วแทน ถ้าภาพพระชัดเจนเท่าไร ดวงกสิณก็ชัดเจนเท่านั้น เราก็ประคองภาพพระไว้เหมือนกับประคองดวงกสิณ

ถาม : พระแก้วไม่ต้องสว่างก็ได้นะคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ...ถึงเวลาถ้าสมาธิทรงตัวภาพพระจะสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ เอง

เถรี
17-09-2014, 15:05
ถาม : เวลากราบพระพุทธรูปแบบนี้ ตั้งใจกราบพระพุทธรูปหรือน้อมใจกราบพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : สองอย่าง ร่างกายกราบข้างล่าง ใจกราบข้างบน ควบไปเลย ทำให้ชินไว้

ถาม : ต้องแบ่ง ?
ตอบ : แบ่งทีเดียวพร้อมกัน ๒ ที่ได้เลย ปกติเขาทำได้เป็นสิบ ๆ ที่พร้อมกัน

เถรี
17-09-2014, 15:08
ถาม : อาราธนาศีลเราต้องสวดอะไรไหมคะ หรือแค่ตั้งใจก็พอ ?
ตอบ : แค่เราตั้งใจว่าจะรักษาศีลก็พอ การอาราธนาก็คือการขอร้องให้พระท่านบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง พอพระท่านบอก เราก็สมาทาน คือ ศึกษาตามนั้นว่าศีลแต่ละข้อเราต้องปฏิบัติอย่างไร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วเราก็ทำไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาอาราธนา ไม่ต้องเสียเวลาสมาทาน

ถาม : มีคนบอกว่า ถ้าไม่อาราธนาแล้วไม่นับ ถ้าอย่างนั้นที่ทำมาก็เป็นศูนย์ ?
ตอบ : บางคนเขาก็เข้าใจอย่างนั้นแหละ ศีลอยู่ที่การตั้งใจงดเว้น ไม่ได้อยู่ที่การอาราธนาหรือสมาทาน

เถรี
17-09-2014, 15:22
ถาม : จะเข้าป่าก็มีความกลัวบ้าง เพราะตัวเองก็ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้เก่งอะไรเลย ?
ตอบ : ตั้งใจสวดบทกรณียเมตตาสูตรให้ได้ แล้วจะไปอยู่ป่าไหนก็ตั้งใจสวดสาธยายแผ่เมตตาไปก่อน รับรองว่าอยู่ได้ทุกที่

ถาม : จริง ๆ กลัวคนมากกว่ากลัวอย่างอื่น ?
ตอบ : ใช่..คนน่ากลัวที่สุด อาตมายืนยันเหมือนกัน

ถาม : กรณียเมตตาสูตรช่วยได้ ?
ตอบ : ช่วยได้ ถ้าหากว่าเราทำจนเป็นปกติคนจะไม่คิดร้าย

ถาม : จะช่วยคนที่เราพาไปด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจดีก็ได้ทั้งคณะ กำลังใจมีว่า แบบแย่ ๆ คือ แม้แต่ตัวเองก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แบบปานกลาง ก็คือ ช่วยเหลือตัวเองได้ ช่วยคนอื่นไม่ได้ อย่างดีก็คือ ช่วยตัวเองได้ ช่วยคนอื่นได้ด้วย ดังนั้น..ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเอง

เถรี
17-09-2014, 15:27
ถาม : หลวงตาเจ้าขา ทำอย่างไรหนูถึงจะมีพลังพิเศษ (เด็กน้อยถาม) ?
ตอบ : ต้องหัดภาวนาพุทโธ ๆ บ่อย ๆ จ้ะ พุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ ให้ได้เยอะขึ้น ๆ จนได้สักวันละชั่วโมง เดี๋ยวก็จะเริ่มมีพลังแล้ว ค่อย ๆ ทำนะจ๊ะ..รุ่นนี้เขารุ่นอภิญญา ต้องยกให้เขา

ถาม : หลวงตาเอากี่ชั่วโมง ?
ตอบ : ตอนนี้เอาสักสองสามนาทีก่อนจ้ะ พอได้แล้วค่อยเอาเป็นชั่วโมง

ให้ทำทุกวัน ทำบ่อย ๆ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ...นับหนึ่ง หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ...นับสอง ใหม่ ๆ เอาให้ได้ ๑๐๐ ครั้งก่อน พอนาน ๆ ไปแล้วค่อยเอาให้ได้เป็นชั่วโมง

เถรี
17-09-2014, 15:40
ถาม : เมื่อก่อนหนูนั่งสมาธิแล้วจะมีแสงสว่างขึ้น ไม่ต้องหลับตาก็มีแสงวาบเข้ามา ทำให้หนูรู้สึกว่าข้างในที่ไม่สงบก็รู้สึกสงบมากขึ้น แล้วก็เหมือนกับเคลื่อนออก พอรู้ตัวก็วูบเข้า ตาไปจับจ้องมาก ๆ ก็ไม่ขยับค่ะ ?
ตอบ : เพราะว่าเราไปจ้อง เขาก็อายสิ ทำใจสบาย ๆ พอเห็นแสงสว่างให้ตั้งใจว่าที่สุดของแสงอยู่ที่ไหนเราขอไปที่นั่น พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนเราไปที่นั่น แล้วเราภาวนาของเราไป จะไปหรือไม่ไปก็ช่าง

ถาม : หนูหลับแต่จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาค่ะ ?
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ เพราะถ้าเราเผลอหลับ กิเลสก็กินเราตอนหลับ จึงจำเป็นที่จะต้องหลับกับตื่นให้มีความรู้ตัวเท่ากัน แต่ไม่ต้องไปกังวล เพราะร่างกายนอนอยู่ ก็ได้พักอยู่แล้ว ถึงเวลาก็ปล่อยไป ถ้ารู้ตัวก็ดี เราก็ภาวนาของเราไปเรื่อย นึกถึงภาพพระไปเรื่อย ๆ

เถรี
17-09-2014, 15:44
ถาม : หลวงตาเจ้าขา ลูกแก้วไว้ทำอะไรคะ ? ...(เด็กน้อยถาม)... ?
ตอบ : หลวงตาก็เอาไว้มอง แล้วหลับตาลงนึกถึง เราจะนึกถึงลูกแก้วใส ๆ ได้พักหนึ่ง..ใช่ไหมจ๊ะ ? พอภาพหายไปเราก็ลืมตามองใหม่ แล้วก็หลับตานึกถึง จนกระทั่งหลับตาเราก็เห็นลูกแก้วใส ๆ ได้ หลังจากนั้นพอทำไปเยอะ ๆ แล้ว ก็จะเห็นได้อยู่ตลอดเวลา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น หนูก็ตั้งใจขอให้ลูกแก้วใหญ่ ๆ ขึ้น แล้วคราวนี้อยากเห็นอะไรล่ะ ?

สมมติว่าเราเรียนหนังสือแล้วอยากเห็นข้อสอบ เราก็ขอให้ข้อสอบโผล่มาในลูกแก้ว ข้อสอบก็จะโผล่มาในลูกแก้วให้เราเห็นเอง เพราะฉะนั้น..ตอนนี้ค่อย ๆ หลับตานึกถึง พอหายไปก็ลืมตาดูใหม่ หลับตานึกถึงลูกแก้วใหม่ พอนึกไม่ได้ก็ลืมตาดูใหม่ แล้วก็หลับตาลงนึกถึงใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาก็เห็นเหมือนกับลืมตา กลับบ้านไปแล้วทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ พอมีฤทธิ์แล้วค่อยมาอวดพี่ ๆ ป้า ๆ อา ๆ เขา

ถาม : หลวงตา..หนูอยากได้ลูกแก้วใส ?
ตอบ : เอาอีกลูกหนึ่งก็ได้ สรุปแล้วเราต้มหลวงตานี่หว่า..! กลับบ้านไปทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ คนอยากมีฤทธิ์ต้องขยัน กลัวอย่างเดียวว่ารู้ไม่ทัน โดนผู้ใหญ่หลอกให้ดูหวยเท่านั้นแหละ

เถรี
17-09-2014, 15:48
ไปนึกเสียดายหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณีให้หวยเขามา ๓๐ กว่าปี พอวันที่ท่านมรณภาพน่าจะปี ๒๕๓๐ ถ้าจำไม่ผิดนะ หลวงพ่อฤๅษีฯ บอกว่า “เฮ้อ...เขาขอหวยจนพระอรหันต์ตายไปทั้งองค์” ไม่เคยมีใครไปหาหลวงพ่อเนื่องแล้วอยากได้ธรรมะเลย มีแต่เอาหวยล้วน ๆ จนกระทั่งหลวงพ่อเนื่องท่านเบื่อ ท่านใช้วิธีเขียนใส่กระดานไว้เลย แล้วคนก็ไม่ค่อยรู้วิธีเล่นกัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาเปิดเผยว่า ถ้าอยากได้งวดนั้นเลยให้ตัดท้ายเล่นตัวเดียว แต่ถ้าอยากถูกตรง ๆ ๓ ตัว ให้ตาม ๑๒ งวด งวดที่ ๑ ถ้าเล่น ๑๐ บาท งวดที่ ๒ ให้เล่น ๒๐ บาท งวดที่ ๓ ให้เล่น ๓๐ บาท เพิ่มแบบนี้ไปเรื่อย ท่านบอกว่าถ้าถูกแล้วจะคุ้ม ท่านบอกไม่เกิน ๑๒ งวดก็จะออก

เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าคนที่บุญไม่มีก็จะไม่ได้ ถึงเวลาตาม ๆ ไปก็เบื่อเลิกไปเอง ขอหวยจนพระอรหันต์ตายไปทั้งองค์ ไม่คิดจะเอาอะไรเลย หลวงพ่อเนื่องมรณภาพปรากฏว่าคณะกรรมการไปค้นกุฏิ มีเงินอยู่ ๒๐ กว่าล้านบาท ท่านรับจากโยมมาก็ทิ้ง ๆ ไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ได้สนใจจะทำอะไรเลย อยู่บนเตียงบ้าง อยู่ใต้เตียงบ้าง บางคนเอาแบงค์ไปทั้งปึก เพื่อที่จะเอาให้ท่านให้หวย ท่านก็จะดึงคืนเขาไปใบหนึ่ง ก็คือใบที่จะออก แล้วอีก ๙๙ ใบ ท่านก็โยนโครมไว้ใต้เตียงเหมือนเดิม

จะว่าไปแล้วอาตมาก็เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อเนื่องเหมือนกัน เพราะว่าหลวงปู่สายไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเนื่อง หลวงปู่สายธุดงค์ขึ้นไปจนกระทั่งถึงสุโขทัย แล้วก็ย้อนกลับมาพิษณุโลก ได้ข่าวว่าหลวงพ่อเนื่องมีความสามารถขนาดนั้น จึงลงทุนนั่งรถไฟมาลงกรุงเทพฯ แล้วต่อออกไปแม่กลอง กราบเรียนวิชากับหลวงพ่อเนื่อง ด้วยความที่ถือสัจจะว่าธุดงค์ ท่านก็เลยต้องนั่งรถไฟกลับไปพิษณุโลก แล้วก็ไปเดินกลับ ที่ท่านรีบมาก็คือรีบมาศึกษาวิชาการ พอได้วิชาได้อะไรเสร็จ ซักซ้อมจนกระทั่งมีความมั่นใจ ก็นั่งรถไฟกลับไปที่เดิม แล้วก็เดินกลับ สมัยก่อนท่านถือสัจจะกันเคร่งครัดขนาดนั้น

เถรี
17-09-2014, 15:49
ถาม : จะทำมีดหมอนี่ ?
ตอบ : ปีหน้า ถึงเวลาจะเปิดฟรีสไตล์จ้ะ ใครมีมีดก็เอามาเข้าพิธี

ถาม : อย่างไรเราจึงจะรู้ว่าถึงเวลาใช้ ?
ตอบ : เหมือนกับพกปืน จะใช้หรือไม่ใช้อยู่ที่เรา

เถรี
18-09-2014, 08:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมถามว่า พระกราบแม่ ล้างเท้าให้แม่ได้หรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่า ถ้าพระรูปใดทำอย่างนั้นแปลว่าส่งแม่ลงอเวจีไปเรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย..!

อันดับแรก...พระถือศีล ๒๒๗ ข้อ จัดเป็นอุดมเพศ แม้แต่สามเณรที่ถือศีล ๑๐ พระยังไม่สามารถที่จะรับไหว้ได้ แล้วนี่เราไปกราบแม่ ก็สร้างโทษให้เกิดกับแม่หนักมาก

ลำดับต่อไป ก็คือ การล้างเท้าให้แม่ แม่เป็นผู้หญิง จัดเป็นวัตถุอนามาส ภิกษุจับต้องกายหญิงแล้วเกิดจิตกำหนัดขึ้นมา ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ขาดจากความเป็นพระ ต้องโดนลงโทษด้วยการอยู่ปริวาสจนกว่าจะครบตามกำหนด แล้วให้คณะสงฆ์อย่างน้อย ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มีจิตกำหนัด ร่างกายของผู้หญิง สิ่งของที่เนื่องด้วยกายหญิง อย่างเช่น เส้นผม หรือเสื้อผ้า ก็จัดเป็นวัตถุอนามาส จับแล้วโดนอาบัติทุกกฏ จะไปคิดว่าเป็นแม่ตัวเองไม่ได้ ก็แปลว่าแม้แต่ตัวพระเองก็เสี่ยงกับอาบัติหนักมาก

ลำดับต่อไปก็คือ เกิดโทษหนักกับตัวเองในลักษณะของอัญญสัตถุทเทส เพราะว่าไปกราบไหว้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา ถ้าวัดน้ำหนักกันแล้ว เขาให้น้ำหนักเท่าอนันตริยกรรมเลย ก็แปลว่าพระเองก็เกิดโทษหนักมาก โอกาสที่จะได้มรรคได้ผล ก็กลายเป็นไม่มีไปเลย

ลำดับต่อไป ก็คือ ไปปิดมรรคผลของบุคคลที่เป็นแม่ด้วย เนื่องจากว่าผู้เป็นแม่แทนที่จะเคารพพระรัตนตรัย กลายเป็นว่าจะรอให้ลูกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยมาทำความเคารพ ไม่เช่นนั้นก็จะมานั่งคิดว่า ปีที่แล้วลูกยังทำแบบนี้ แล้วปีนี้ทำไมลูกไม่มาทำ ทำให้แม่ขาดจากพระรัตนตรัย ปิดมรรคปิดผลไปเลย ชาตินี้ไม่ต้องคิดกัน

ดังนั้น...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะได้ยินว่าบุคคลที่ทำมีชื่อเสียง ซึ่งจะทำให้บรรดาท่านที่สิ้นสติเลียนแบบกันเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอนในปีหน้า"

เถรี
18-09-2014, 08:22
"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีพระไปกราบไหว้ฤๅษี ซึ่งฤๅษีนั้นก็สนิทสนมคุ้นเคยกับอาตมาดี นั่นก็เป็นเหตุคล้ายคลึงกัน ก็คือกราบไหว้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา นับถือผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา ท่านเรียกว่าอัญญสัตถุทเทส ก็คือถือผู้อื่นเป็นศาสดาแทน ก็เท่ากับปิดมรรคผลของตัวเองไปเลย

เนื่องจากอาตมาสนิทสนมใกล้ชิดกับฤๅษีท่านนั้นด้วย ก็รู้ว่าท่านเป็นพุทธภูมิ ก็คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีอยู่ ถ้าท่านยินดีในลักษณะที่ให้พระมากราบไหว้ ก็แปลว่านำตนเองห่างไกลความสำเร็จไปอีกมาก คงจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ลำบากลำบนอีกเยอะ กว่าที่จะกลับมาได้ในระยะที่ใกล้เท่าเดิม

เมื่อประมาณเดือนกว่าที่ผ่านมาก็มีข่าวทางเขมร พระภิกษุไปกราบไหว้ฆราวาสที่อ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิดใหม่ เราจะว่าพระภิกษุเขมรได้รับการศึกษามาน้อยกว่าของเราก็ไม่ได้ เพราะว่าพระภิกษุจากเขมรมาศึกษาพระวินัยจากเมืองไทยไป แล้วก็นำเอารูปแบบการปฏิบัติจากเมืองไทยไปใช้ จนกระทั่งเขมรก็มีมหานิกายและธรรมยุติกนิกายเหมือนกัน เราจะบอกว่าเขารู้น้อยก็ไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าเป็นความเข้าใจผิดแล้วทำให้ตนเองต้องลำบาก ขณะเดียวกันผู้อื่นก็ลำบากไปด้วย เกิดกรรมหนักทั้งสองฝ่าย

เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ทำให้ชัดเจน ไม่ชี้แจงให้ชัดเจน ต่อไปพอญาติโยมเห็นว่าพระไปกราบเท้าแม่ ล้างเท้าแม่ แล้วไปชื่นชม ก็เท่ากับว่าโมทนาสิ่งที่ไม่ดี ก็จะเกิดโทษกับตัวเองด้วย ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะว่าแค่กึ่งพุทธกาล นี่แค่ ๒๕๕๗ ปีเท่านั้น ถ้าเราจะนับตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็เพิ่งจะ ๒๖๐๒ ปีเท่านั้น การประพฤติปฏิบัติก็ยังนอกลู่นอกทางถึงขนาดนี้แล้ว ยิ่งนานไป ถ้าไม่มีใครทำให้ชัดเจน ก็จะยิ่งเละเทะหนักขึ้นไปอีก"

เถรี
18-09-2014, 08:26
"เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยว่าไว้ก็คือ “เป็นพระ จะไม่รู้ไม่ได้” เพราะว่าพระนั้นศีลจะขาดก็ต่อเมื่อ

๑. ต้องโดยไม่รู้ (อ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ บวชเข้าไปแปลว่าต้องรู้ว่าพระมีศีลอะไรบ้าง เขาถึงให้ไปเป็นนาคก่อน)
๒. ต้องโดยไม่ละอาย (นี่ก็คือรู้แล้วแต่ฝ่าฝืนไปทำ เรียกว่าพวกหน้าด้าน)
๓. ต้องโดยสงสัยแล้วขืนทำ (ไม่แน่ใจแล้วไปทำ ต่อให้ทำถูกก็โดนปรับอาบัติ ศีลขาด)
๔. ต้องโดยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
๕. ต้องโดยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖. ต้องโดยลืมสติ

เรื่องของพระเราโอกาสที่จะแก้ตัวก็นั้นไม่มี จะอ้างว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ อ้างว่าขาดสติก็ไม่ได้ อ้างว่าเข้าใจผิดก็ไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านปรับไว้ทุกรูปแบบ จำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ชัดเจนก่อนแล้วถึงบวช ไม่อย่างนั้นบวชเข้าไปพระอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องรีบชี้แจงให้ชัดเจนก่อน

อย่างของวัดท่าขนุน จะมีการชี้แจงในเรื่องของอาบัติที่โทษหนักและล่อแหลมคือ ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓ ไว้ชัดเจนมาก ถึงเวลาแล้วศีล ๑๗ ข้อนี้คุณต้องรู้ อ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ อาบัติอื่นสามารถแก้ไขแสดงคืนต่อหน้าคณะสงฆ์ได้ แต่อาบัติสองอย่างนี้ ปาราชิก ๔ ข้อ ถ้าโดนแล้วขาดจากความเป็นพระไปเลย แก้ไขไม่ได้ ส่วนสังฆาทิเสส โดนแล้วขาดความเป็นพระชั่วคราว จนกว่าจะได้รับโทษตามที่กำหนดไว้ แล้วให้คณะสงฆ์อย่างน้อย ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นพระให้ ถึงจะกลับเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง"

เถรี
18-09-2014, 08:35
"ปัจจุบันนี้วัดท่าขนุน มีพระโดนสังฆาทิเสสอยู่ ๒ รูป ต้องแยกวงไปฉันต่างหาก เพราะว่ากลายเป็นอนุปสัมบัน คือผู้ศีลไม่เท่าเขา รอให้ออกพรรษาแล้วจะส่งไปอยู่ปริวาส เพื่อรับโทษที่ตนเองติดอยู่ จนกว่าที่จะครบถ้วน แล้วคณะสงฆ์จะสวดอัพภาน คือคืนความเป็นสงฆ์ให้ ถึงจะกลับมาอยู่ร่วมกับพระอื่นได้

พระที่ท่านโดนอาบัติสังฆาทิเสสนั้น มีอยู่รูปหนึ่งน่าเสียดายมาก เพราะไปกล่าวโจทก์พระอีกรูปหนึ่งว่าขโมยของ การที่ไปกล่าวโจทก์ว่าเขาขโมยของ ก็คือกล่าวหาเขาว่าต้องอาบัติปาราชิก แต่คราวนี้โจทก์โดยไม่มีมูล อาตมาซักถามรายละเอียดแล้ว เห็นด้วยตัวเองหรือเปล่า ? ก็ไม่เห็น ได้ยินด้วยตนเองหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้ยิน มีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกกล่าวเรื่องนี้หรือเปล่า ? ก็ไม่มี ในเมื่อโจทก์โดยอาบัติที่ไม่มีมูลก็คือ ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ไม่ได้ยินด้วยตนเอง แล้วก็ไม่มีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกกล่าว ก็แปลว่ากล่าวโจทก์ผู้อื่นด้วยอาบัติที่ไม่มีมูล ตนเองต้องสังฆาทิเสสเอง พระพุทธเจ้าต้องกันเอาไว้ เพื่อป้องกันการใส่ร้ายกันในลักษณะอย่างนี้

อาตมาถามว่าไม่ชอบหน้ากันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า ? ท่านก็ไม่พูด แต่ถึงจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม ก็บอกท่านไปว่า "ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็ไม่ต้องอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์เขา ถ้าเขาลงสังฆกรรมก็ไม่ต้องไปลงกับเขา เพราะว่าสังฆกรรมเขาจะเสีย คราวนี้ก็รอเวลาว่าออกพรรษาเมื่อไรก็ไปอยู่ปริวาส รับโทษที่ตัวเองทำไว้" รายอื่นโดนอาบัติเพราะตัวเองทำเอง แต่ท่านนี้กล่าวหาผู้อื่นด้วยอาบัติที่ไม่มีมูล

ดังนั้น..ญาติโยมถ้าคิดจะบวช ศีลพระต้องแม่น ถ้าไม่แม่น โอกาสเดี้ยงมีสูงมาก ถ้าโดนอาบัติปาราชิกไป ก็เสียชาติเกิดเลย"

ถาม : ต้องอาบัติเพราะโจทก์อาบัติผู้อื่นโดยไม่มีมูล อาบัติที่ตนเองต้องโดนต้องเป็นสังฆาทิเสสหรือครับ ?
ตอบ :ไม่ใช่...ตัวเองจะโดนอาบัติที่รองลงไป เช่น โจทก์อาบัติสังฆาทิเสส ตนเองต้องปาจิตตีย์ ต้องอาบัติที่ต่ำกว่าลงไปเป็นชุด ๆ

เถรี
18-09-2014, 08:41
"ย้อนกลับไปเรื่องเดิมนิดหนึ่งว่า บุคคลทั่วไปสมควรที่จะกราบเท้าแม่ ล้างเท้าแม่ แต่เป็นพระไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง เพราะก่อให้เกิดโทษหนักทั้งตนเองและแม่ของตน ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ ถ้าแม่มีโอกาสจะได้มรรคได้ผล ก็เท่ากับไปปิดมรรคปิดผลของแม่ไปเลย

ถ้าแม่ไปปลื้มว่าลูกมากราบเท้า ดีเหลือเกิน แล้วตั้งหน้าตั้งตารออีกก็เฮง แม่พระสารีบุตรนั้น จนวินาทีสุดท้ายถึงยอมกราบลูก"

เถรี
18-09-2014, 09:24
พระอาจารย์กล่าวกับพระถึงเรื่องการสร้างธงมหาพิชัยสงครามว่า "ธงมหาพิชัยสงครามอย่าไปสร้างเลย ไม่มีประโยชน์หรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พ้นจากท่านไปแล้ว คนอื่นสร้างก็ไม่มีผล วัตถุมงคลบางอย่างก็ไปตามสายครูบาอาจารย์ ขณะเดียวกันบางอย่างก็ไปตามสายเลือด ธงมหาพิชัยสงครามไปตามสายเลือดตระกูล ถ้าจะทำก็ทำอย่างผม คือดัดแปลงเสีย ในเมื่อเราดัดแปลงก็ไม่ใช่ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ผิดกฎกติกา พระหรือพรหม หรือเทวดา ท่านก็สามารถสงเคราะห์ได้

เพราะว่าวิชาจากตำราพระร่วง ถ้าไม่ได้ครอบครูต่อกันมา ทำไปไม่มีผล ตอนที่ครอบครูก็มีแค่ ๙ รูป ที่สึกออกไปก็เยอะแล้ว หลวงพี่บัญชาสึก ท่านน้อยสึก ท่านชาติชายสึก ที่อยู่ข้างนอกก็มีผม หลวงตาวัชรชัย หลวงพี่วิรัช ออกจากวัดมารวมแล้วเกินครึ่ง

ถ้าจะทำ ทำเป็นอย่างอื่นดีกว่า ผมเห็นหลวงตาวัชรชัยทำ หลวงพี่ชลอทำ หลวงพี่องอาจทำ จะทำไปทำไม ? ทำไปแล้วไม่มีผล ทำแล้วญาติโยมเขาเอาไปใช้แล้วไม่ได้ผลก็เฮงอีก แม้กระทั่งการทำวัตถุมงคลแบบเดียวกับครูบาอาจารย์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังไม่ทำเลย มีคนขอให้หลวงพ่อวัดท่าซุงทำพระทรงสัตว์แบบต่าง ๆ เหมือนของหลวงปู่ปาน หลวงพ่อท่านก็ไม่ทำ ท่านบอกว่าไม่ควรที่จะวัดรอยครูบาอาจารย์

ผมก็เห็น..อย่างของวัดคู้สลอด หรือหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ทำแล้วดูสับสน ถอดแบบออกมาเลย คนรุ่นหลังตาไม่ถึงก็เหมาว่าเป็นของวัดบางนมโค ทำให้เซียนหากินกันเพลิน หลวงปู่ปานท่านสร้างพระคำข้าวองค์ใหญ่ ๕ นิ้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำองค์เล็ก เรื่องการบรรจุผงวิเศษ หลวงพ่อท่านบรรจุหลังพระ ท่านไม่ได้บรรจุด้านบนแบบพระหลวงปู่ปาน ต้องเลี่ยง ๆ อย่าให้เหมือนกัน เหมือนกันแล้วนานไปจะจำกันไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างสมเด็จองค์ปฐมมีสารพัดแบบ ถ้าจะทำต้องลงให้ชัด ๆ ไปเลยว่าของวัดไหน อย่างหลวงพี่ชลอถอดแบบทางวัดท่าซุงไปแทบทุกพิมพ์

นาน ๆ ไป ๓๐-๔๐ ปีญาติโยมสับสนตายชักเลย ทำก็ลงให้ชัด ๆ ที่องค์พระเลยว่า "สมเด็จองค์ปฐม วัดศาลพันท้ายนรสิงห์" คนรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องเล็งกันตาเหล่ สมัยนี้คอมพิวเตอร์สแกน เลเซอร์สแกน เล่นถอดแบบไปได้ทุกจุด คนรุ่นหลังก็แย่ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขนาดพวกเราทัน ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ยังสับสนจะตาย"

เถรี
18-09-2014, 09:29
"ขนาดของผมเขายังปลอมกันอุตลุด แต่ละรุ่นปลอมกันมาแล้วพยายามที่จะสร้างข่าว อย่างสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๓ ผมยืนยันว่าไม่ได้พุทธาภิเษก สมเด็จองค์ปฐมถ้าจะนับรุ่น ๓ จริง ๆ ต้องนับเหรียญรูปหลวงพ่อหลังสมเด็จองค์ปฐม หรือไม่ก็เหรียญหลวงพ่อหลังรูปพระศรีอริยเมตไตรย จะเสกพร้อมกับรุ่นที่แขวนหน้ารถ แต่รุ่นนั้นก็ซื้อจากท้องตลาด แล้วมีแค่ ๕๐๐ ชุด ตอนนี้ไม่ต้องห่วง..ซื้อจากท้องตลาดมีได้เป็นล้านชุด ถ้าไม่ใช่ที่เชื่อถือได้จริง ๆ ก็อย่าไปแตะ เขาพยายามออกข่าวว่า หลวงพ่อเสกไว้ให้ก่อนแล้ว

แม้กระทั่งเรื่องของเหรียญทำน้ำมนต์ เขาถอดเนื้อหาเหรียญทำน้ำมนต์ของผมไปทั้งแท่งเลย แล้วบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพูด คิดดูแล้วกัน..ขนาดผมลงชื่อ เขาตัดชื่อผมออก แล้วไปลงว่าเป็นของหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่นถอดไปทุกคำเลย ของผมพิมพ์เป็นเวิร์ด เขาคัดลอกไปหมด ต่อไปต้องเป็นแสกนเป็น pdf ห้ามแก้ไฟล์ ไม่อย่างนั้นแล้วไม่ลงทุนกันเลย คัดลอกไปอ้างเฉย ๆ "

เถรี
18-09-2014, 11:40
ถาม : จิตกับใจ ?
ตอบ : จิตกับใจจริง ๆ แล้วเป็นตัวเดียวกัน แต่บางคนก็ไปแยกว่าใจคือใจ จิตคือจิต แต่ตามที่อาตมาว่า สภาพจิตหรือการทำงานของจิต คือชวนะ ก็คือใจ บางคนเรียกว่าจิต บางคนเรียกว่าใจ บางคนไม่เข้าใจเรียกว่าวิญญาณ นึกว่าเป็นผีไปเสียอีก

ถาม : หลักการคิด ?
ตอบ : การคิดต้องดูว่าเราคิดเรื่องทางโลกหรือคิดเรื่องทางธรรม แต่ว่าการคิดทั้งหมดที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัว และหยุดความคิดนั้นไว้ที่จุดที่พอดี ถ้าเกินพอดีไปเมื่อไรก็ฟุ้งซ่าน หรือไม่ก็ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น

เถรี
18-09-2014, 11:45
ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับจักรวาลหรือไม่ ?
ตอบ : หลักธรรมะของพระพุทธเจ้าคือความเป็นธรรมชาติ ก็เท่ากับเป็นหลักเดียวของจักรวาล คือสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรทรงตัวอยู่ได้ วิทยาศาสตร์เพิ่งจะตามไปถึงแค่อนิจจังอย่างเดียว สรรพวัตถุล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงเพราะเป็นแรงดึงดูดระหว่างอนุภาคคือพลังงานนั่นเอง พอเลิกดึงดูดกันก็สลาย ไม่มีอะไรเหลือ

ถาม : .... (ไม่ชัด).....มายุคสมัยเรามีการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานตลอดเวลา ?
ตอบ : จะมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลาจะใช้ถึงระดับพลังงานนั้น ต้องได้รับการฝึกถึงระดับอภิญญา สังเกตว่าคนที่ได้อภิญญา สามารถมุดน้ำดำดิน เหาะเหินเดินอากาศได้ จริง ๆ ก็แค่ดึงเอาพลังงานในตัวมาใช้เท่านั้น

ถาม : เคยดูวีดีโอ....(ไม่ชัด)... เขาดึงเอาพลังงานมาใช้หรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือพลังจิต พลังจิตที่สำคัญที่สุด เพราะสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบกายหยาบที่เป็นวัตถุธาตุได้

ถาม : จริง ๆ เราจำเป็นต้อง.... ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องรู้ ทำให้ได้ก็พอ ส่วนใหญ่มัวแต่ไปฟุ้งซ่านคิดอยู่ ก็เลยทำไม่ได้สักที

เถรี
18-09-2014, 11:51
ลักษณะของการคิด เมื่อไปถึงระดับหนึ่งจะเกิดความคิดแตกฉานขึ้นมา แต่จะแตกกระจายกว้างออกไปเรื่อย ๆ คิดอะไรก็สมเหตุสมผลไปหมด แต่ให้สังเกตว่าไม่ได้สอนเราคิดเรื่องตัดกิเลส เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไปคิดอยู่ หลงเสียเวลาคิดตาม ๒๐ ปี ๓๐ ปี คิดว่าเราเก่ง คิดอะไรก็ถูก คิดอะไรก็ดี แต่วิธีการละกิเลสไม่มีเลย หลายคนก็เผลอว่าตัวเองต้องได้มรรคได้ผลอะไรบางอย่าง เพราะคิดอะไรก็สามารถหาเหตุเชื่อมโยงได้ทุกอย่าง แต่ขอให้สังเกตชัด ๆ ว่า ไม่มีวิธีการละกิเลสแม้แต่นิดเดียว มารหลอกให้เราเสียเวลาคิด รู้ตัวก็รีบเลี้ยวกลับ

มาถึงระดับนี้ถ้าต้องการเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกนี่สบาย เขียนทฤษฎีอะไรขึ้นมาก็ได้ จะสมเหตุสมผลไปหมด แข่งกับสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ได้สบาย แต่ไม่มีวิธีละกิเลส ฉะนั้น...ให้ระมัดระวัง มาถึงระดับนี้แล้วควบคุมตัวเองให้เป็น หยุดคิดให้ได้ หยุดไม่ได้ก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย พลังงานที่จะใช้ในการละกิเลส จะโดนดึงเอาไปใช้งานในการฟุ้งซ่าน กลายเป็นว่าผลการปฏิบัติหาความก้าวหน้าไม่ได้ พอถึงเวลา เอ๊ะ..ทำไมกิเลสกำเริบอีกแล้ว ? เพราะเราไม่ได้ละกิเลส เราดันไปคิดฟุ้งซ่านอย่างเดียว ถ้าจะเอาประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมก็แทบจะไม่มี

ถ้าจะเอาทางโลก ๆ เอาอะไรก็คิดได้หมด อย่าง ดร.อาจอง ใช่ไหม ? คิดระบบยานลงจอดดวงจันทร์ได้สำเร็จ ขณะที่ฝรั่งคิดไม่ได้ นั่นฟุ้งได้ขนาดนั้น แต่ก็ดี เพราะเขาทำให้วัตถุธาตุต่าง ๆ ก้าวหน้าขึ้น แต่ถ้าเราตั้งใจละกิเลส เสียเวลาอย่าบอกใครเลย

เถรี
18-09-2014, 15:41
พระอาจารย์กล่าวถึงการพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคมว่า "การพุทธาภิเษกวัตถุมงคลครั้งนี้ ปรากฏว่าวัตถุมงคลหลัก ๆ เป็นวัตถุมงคลหลวงปู่สายวัดท่าขนุน หลวงปู่สายท่านมรณภาพปีเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ช่วงทำบุญ ๑๐๐ วัน อาตมาก็วิ่งอยู่ ๒ วัดคือวัดท่าซุงกับวัดท่าขนุน สวดพระอภิธรรมที่วัดท่าซุงเสร็จประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง วิ่งมางานทำบุญเช้าที่วัดท่าขนุน เสร็จแล้ววิ่งกลับมาทำงานต่อที่วัดท่าซุง ถามว่าไกลมากไหม ? ไปกลับก็ราว ๆ ๗๐๐ กิโลเมตรต่อวัน แต่โยมจะเห็นหน้าอยู่วัดท่าซุงทุกวัน ก็ไม่คิดว่าออกจากวัดไป เพราะออกไปตอนกลางคืน

เนื่องจากว่าวัตถุมงคลหลัก คือ รูปหล่อและเหรียญรุ่น ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ตอนพุทธาภิเษกกราบขอบารมีพระ พรหม เทวดาและครูบาอาจารย์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ในเมื่อเป็นรูปหลวงพ่อสาย แกก็ไปขอหลวงพ่อสายสิ" เลยต้องกราบขออนุญาตหลวงปู่สายให้ช่วยพุทธาภิเษกรูปหล่อของท่านเอง

ไม่ทราบว่าหลวงปู่สายท่านดำดินมาท่าไหน โผล่ขึ้นมากลางกองวัตถุมงคลจนเต็มองค์ แล้วสมเด็จองค์ปฐมก็สวมลงไปทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นองค์ของสมเด็จองค์ปฐมก็ขยายจนเต็มโบสถ์ แล้วขยายออกไปด้านนอกโบสถ์ เพราะว่ามีญาติโยมรออยู่นอกโบสถ์เยอะมาก ขยายออกไปยังวัตถุมงคลที่ญาติโยมนำมาเข้าพิธี โดยเฉพาะวัตถุมงคลของอาจารย์โต หรือคุณนวศรี ที่ขนไปถึงก่อน ๑ วัน จอดรถรออยู่หน้าโบสถ์

ปรากฏว่าพอเต็มที่แล้ว อาตมามองที่กองวัตถุมงคล เห็นมีอยู่หน่อยหนึ่งไม่มีรัศมีในลักษณะของวัตถุมงคลที่ปลุกเสกแล้ว จึงกราบเรียนถามพระว่าเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตอบแทนพระว่า "พวกนอกคอกครูบาอาจารย์ ไม่รู้จะไปสงเคราะห์มันทำไม" อาตมาเองก็ไม่รู้ เพียงแต่สงสัยว่านอกคอกแบบไหน

มารู้ภายหลังว่ามีคนแอบเอาวัตถุมงคลยัดเข้าไปในโบสถ์ ทั้ง ๆ ที่ได้สั่งห้ามแล้ว บอกแล้วว่าถ้าเป็นวัตถุมงคลส่วนตัวให้เอาไว้ด้านนอก เพราะข้างในไม่มีที่ให้วางแล้ว เขาก็พยายามที่จะยัดเข้าไป เอาไปซ้อนไว้ด้านบน กลายเป็นว่าเข้าไปแล้วไม่ได้ดี ขณะที่คนอยู่ข้างนอกได้หมด

ถือว่าเป็นบทเรียนสำหรับบุคคลที่ทำอย่างนั้นว่า ต่อถ้าไปสั่งอะไรให้ทำเช่นนั้น เรื่องของพระ เรื่องของเทวดา ท่านพูดอะไรครั้งเดียว ถ้าหากเราไปฝืน ท่านก็จะไม่สงเคราะห์ให้ อาตมาเจอมาเองหลายครั้งแล้ว เรื่องของการฝืนไม่ใช่เรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องโก้เก๋เท่ระเบิด เราอาจจะคิดว่าเรารั้นแล้วเราจะได้ดีกว่าคนอื่นเขา..ไม่ใช่ ถ้าหากรั้นในการปฏิบัติธรรม อย่างเช่นว่าทำไม่ได้ กูจะเอาให้ได้ อย่างนี้โอกาสเจริญมีมาก แต่ถ้าคำสั่งครูบาอาจารย์แล้วไปรั้น โอกาสที่จะเจริญมีน้อยมาก"

เถรี
19-09-2014, 05:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะบอกให้ญาติโยมฟุ้งซ่านล่วงหน้า...ในอีกระยะหนึ่งข้างหน้า พอถึงเวลาที่สภาพจิตละเอียดมากกว่านี้ สามารถที่จะจับได้ถึงอนุภาคของพลังงานต่าง ๆ ที่ไหลเวียนอยู่ทั่วจักรวาลอนันตจักรวาล การพุทธาภิเษกของพระ จะใช้อำนาจจิตของตัวเองดึงเอาธาตุพลังทั้งหลายเหล่านี้บรรจุอยู่ในวัตถุ ก่อให้เกิดพลังงานในการป้องกัน ในการรักษาต่าง ๆ ฉะนั้น..ยังมีสิ่งให้พวกเรายึดติดอีกหลายระดับเลย ค่อย ๆ ทำไป ยังมีอะไรให้สนุกอีกเยอะ ค่อย ๆ ทำไป รู้ตัวเร็วก็หลุดเร็วหน่อย รู้ตัวช้าก็ติดกันนานหน่อย"

เถรี
19-09-2014, 05:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่มันงอก ๆ กินแล้วระวังโรคเก๊าท์ไว้ด้วย สารอาหารต้องเต็มที่เขาถึงงอกได้ ก็พอ ๆ กับการกินอาหารทะเล หรือกินไก่ อาตมาไม่ได้ตำหนิวิทยาศาสตร์ แต่ตำหนิคนที่เอาวิทยาศาสตร์ไปใช้ อย่าง...(น้ำผลไม้สกัดเข้มข้น)...ใช่ไหม ? ที่เอาน้ำผลไม้หลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ดี ๆ ผสมกัน ระวังไว้ด้วย..ถ้าใครแพ้ กินเข้าไป จะคันคะเยอไปทั้งคืน

เขาทำในห้องวิจัยว่า น้ำผลไม้อย่างนี้ดีอย่างนี้ ๆ เขาก็เอาหลาย ๆ อย่างที่ดี ๆ มารวม ๆ กัน แต่เขาไม่เข้าถึงเรื่องของธาตุต่าง ๆ สารต่าง ๆ ที่มีการหักล้างกัน มีการหนุนเสริมกัน ถ้าหักล้างกันก็จะเป็นพิษ ถ้าหนุนเสริมคุณภาพจะรุนแรงมากกว่าปกติ แล้วเรากินเข้าไปโดยไม่รู้ เพราะวิทยาศาสตร์เขาว่าดี แต่ดีแค่ไม่กี่คน คนที่ร่างกายไม่ดีนี่จะแย่ไปเลย

ฉะนั้น..เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้าว่ามัชฌิมาปฏิปทา ทุกอย่างต้องพอเหมาะพอดี มากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี เรื่องของวิทยาศาสตร์บางทีเขาคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า ค้นพบอย่างนั้น ค้นพบอย่างนี้ ท้ายที่สุดสิ่งที่ค้นพบมา เอามาใส่รวมกันเมื่อไรก็บรรลัยหมด โบราณเขายังใช้คำว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" คนบางคนเหมาะกับยาบางอย่าง ป่วยด้วยโรคเดียวกัน คนนี้กินยาตัวนี้หาย แต่ทำไมอีกคนกินไม่หาย ?

คนป่วยด้วยโรคเดียวกัน คนละเพศก็มีความต่างแล้วในการให้ผลของยา คนละขนาดน้ำหนักตัว คนละอายุ ก็มีความต่างกัน หมอโบราณจึงจัดยาตามธาตุ ตามลักษณะ ตามอายุ แต่ว่าปัจจุบันหมอฝรั่งมาถึง อย่างนี้กินหาย ก็ใส่เข้าไปอย่างเดียว แล้วเขาไม่สงสัยหรือว่าโรคอีโบล่า ทำไมบางคนเป็นแล้วหาย บางคนเป็นแล้วตาย ?"

เถรี
19-09-2014, 05:48
ถาม : วิธีการทอดกฐินกับวิธีการทอดผ้าป่า ?
ตอบ : กฐินสำหรับพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ว่า ในแต่ละปีพระรูปไหนมีผ้าเก่าจะได้มีผ้าไว้เปลี่ยน ส่วนผ้าป่านั้น ท่านเอาไว้เพื่อให้พระที่แสวงหาผ้าอยู่ จะได้นำไปเย็บเป็นจีวรใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำแบบไหน ผ้าป่าสามารถทอดได้ตลอดเวลา แต่กฐินจำกัดเวลา ทอดได้ปีละแค่ครั้งเดียว

เถรี
19-09-2014, 05:49
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่นั่งรอทำบุญถวายสังฆทานว่า "นึกถึงผู้ตายให้เขามาโมทนานะจ๊ะ ทำบุญให้คนตายต้องรีบทำให้เร็วที่สุด ไม่ใช่นั่งรอใจเย็น ๆ เขายิ่งลำบาก เขายิ่งต้องการไว ๆ "

เถรี
19-09-2014, 05:52
ถาม : มัชฌิมาปฏิปทา ?
ตอบ : มัชฌิมาปฏิปทาไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เป็นไปตามปัญญา ตามกำลังบารมีของแต่ละคนที่สั่งสมมา ในเมื่อมัชฌิมาปฏิปทาไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เราจึงต้องพยายามปรับให้เหมาะสมกับเรามากที่สุด

ถาม : มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนจะรู้ได้อย่างไร ?
ตอบ : ต้องหามุมของตัวเอง ไม่มีใครสามารถบอกได้ เพราะแต่ละคนไม่เท่ากัน แรก ๆ ทำให้เข้มข้นไว้ก่อน พอถึงเวลาเคยชินแล้วเราผ่อนจะพอดี ไม่ใช่ว่าแรก ๆ ทำตามสบาย แล้วพอผ่อนเมื่อไรก็ยาน ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว

ถ้าเราเข้มแข็งกว่า ก็จะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่า เหมือนคนที่แข็งแรงเดินทาง ย่อมได้ระยะทางที่มากกว่าและไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่า

เถรี
19-09-2014, 05:53
ถาม : ทำบุญไปแล้วสามีจะได้รับไหม ?
ตอบ : ต้องถามสามี อย่าไปถามคนอื่น ถ้าไปถามคนอื่นเดี๋ยวจะเดือดร้อน อาตมาเจอมาหลายคนแล้ว ไปถามหมอดูว่าทำบุญไปแล้วสามีจะได้รับไหม ? หมอดูก็บอกไม่ได้รับ ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ เสียเงินอีกเยอะแยะ

เถรี
19-09-2014, 05:55
ถาม : แฟนนั่งกรรมฐานแล้วมีเรื่องเข้ามาเยอะขึ้นครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่นั่งกรรมฐาน อุปสรรคจะหนักกว่านั้นอีก เรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องของบุญใหญ่ ถ้าบุญใหญ่มาถึง กรรมก็จะตามได้น้อย ถ้ารู้จักทำให้สม่ำเสมอกรรมก็จะตามไม่ทัน ยังโชคดีที่รู้จักทำสมาธิ ไม่อย่างนั้นถ้ามามากกว่านั้นก็จะรับไม่ไหว

ฉะนั้น..กลับไปทำให้เยอะกว่าเดิม ถ้าไม่ทำจะจุกกว่านี้อีก หลายคนมักจะเข้าใจผิด คิดว่าพอเข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้วเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นมาก โปรดทราบว่าถ้าไม่เข้าวัดปฏิบัติธรรม จะเจอหนักกว่านั้นอีก

ภาษิตจีนเขาบอกว่า "ขี้แตกแล้วค่อยขุดส้วม" ถึงจะไม่ทันกาลก็ขุดไปเถอะ งวดหน้าอย่างไรก็มีส้วมไว้ใช้แล้ว ถึงวันนี้ไม่ทันก็ขุดไปก่อน ตั้งหน้าตั้งตาขุดเอาไว้ การเข้าวัดปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เรามาในจังหวะที่โชคดีมาก ๆ แล้ว เข้าวัดแล้วค่อยเดือดร้อน ถ้าเดือดร้อนตั้งแต่ก่อนเข้าวัด เราจะไม่มีบุญกุศลอะไรไว้ผ่อนกำลังของกรรมที่เข้ามาเลย

ฉะนั้น..ถึงเวลาให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีไประยะหนึ่ง พอกำลังความดีเพียงพอ สามารถที่จะหนีห่างได้ กรรมก็ตามไม่ทัน ถ้ารู้จักทำให้สม่ำเสมอ ก็จะสามารถหนีต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เรื่องของความดีความชั่วไม่สามารถหักล้างกันได้ แต่ถ้าทำความดีมาก ๆ ท่านเปรียบว่ามีน้ำทะเลอยู่แก้วหนึ่ง ถ้าเราเทน้ำจืดลงไปมากเข้า น้ำทะเลก็หายเค็มไปเอง ฉะนั้น..ต้องเร่งทำความดีให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะต้องมาบ่นว่าน้ำทะเลเค็มปี๋ เป็นเพราะเข้าวัดแน่ ๆ เลย..!

เถรี
19-09-2014, 05:56
ถาม : พระพุทธเจ้าท่านบิณฑบาตทุกเช้าไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าดูในพระไตรปิฎก ต่อให้รับนิมนต์ไปฉันในบ้านหรือในวัง พระองค์ท่านก็เอาบาตรไป ก็แปลว่าพระองค์ท่านรับบาตรทุกวัน

ถาม : แล้วเวลามีนิมนต์ใหญ่ ๆ อย่างเศรษฐีนิมนต์ทุกวัน ท่านจะเดินบิณฑบาตไหมครับ ?
ตอบ : ปกติพระองค์ท่านก็ไม่ได้เดินบิณฑบาตทั่วไป แต่ไปโปรดเฉพาะคน เพียงแต่ว่าถ้าเขานิมนต์ไป พระองค์ท่านก็จะส่งบาตรไปให้คนนั้น ให้เขาจัดอาหารใส่บาตรให้

เถรี
19-09-2014, 05:57
ถาม : ถ้าเราต้องภาวนาคาถาเม สักมุกขาฯ ให้เรามีอำนาจมหาสะท้อนอยู่ในตัวตลอดเวลา ต้องภาวนาวันละกี่จบ ?
ตอบ : จนกำลังใจทรงตัวก็ใช้ได้แล้ว สมาธิสูงด้วยยิ่งดี

เถรี
19-09-2014, 05:57
ถาม : เวลาเราถวายบังคมพระพุทธเจ้า เรานั่ง แต่ทำไมเทวดา พรหม ถึงยืน ?
ตอบ : ปกติแล้วเทวดาเขาแสดงความเคารพด้วยการยืน แม้แต่คนในสมัยนั้นก็แสดงความเคารพด้วยการยืน ดังนั้น..ถ้าใครไม่กลัวเมื่อยก็ยืนไปเถอะ..!

เถรี
19-09-2014, 09:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้ (๘ กันยายน ๒๕๕๗) เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ พวกคนไทยในพม่าเขาทำบุญวันสารทกันพรุ่งนี้ คราวนี้คนไทยในพม่าเขาพูดภาษาเหมือนกับภาษาลาว เพราะเป็นภาษาไทยโบราณ พวกอยู่ตามตะเข็บชายแดนเขาเลยเรียกกันง่าย ๆ ว่าสารทลาว แต่สารทไทยนิยมทำสิ้นเดือนสิบ ช้ากว่าเขาไปครึ่งเดือน ถ้าพรุ่งนี้อาตมาอยู่วัด ก็รับกระยาสารทเป็นโอ่งเลย สมัยก่อนพอกระยาสารทเหลือมาก หลวงพ่อโต วัดระฆัง ถึงได้เอาไปผสมทำพระสมเด็จ

เดี๋ยวนี้ตรุษไทย สารทไทย คนไม่ค่อยจะรู้จักกันแล้ว สมัยก่อนตรุษก็ต้องกวนกาละแมทำข้าวเหนียวแดง พอมาสารทไทยก็กวนกระยาสารท แต่ปัจจุบันนี้เขารู้จักแต่สารทจีน สารทจีนเลยมาแล้ว เพราะว่าสารทจีนตรงกับเดือน ๗ ของจีน ตรงกับเดือน ๙ ของไทย ถ้าวันพร้อมกันก็จะตรงกับขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๙ แต่คราวนี้ของจีนบางทีเขานับก่อนวันหนึ่ง หลังวันหนึ่ง ส่วนสารทลาว ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ก็ตรงกับไหว้พระจันทร์ของจีน ไหว้พระจันทร์ตรงกับกลางเดือน ๘ ของจีนเขา ของเราเวลาเร็วกว่าจีน ๒ เดือน ก็เป็นกลางเดือน ๑๐

สมัยก่อนบรรดากษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก ๆ จะมีการปรับเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองด้วยการลบศักราช กำหนดวันเดือนปีเอาใหม่ ก็เลยทำให้วันเดือนปีไม่ตรงกัน อย่างพระนางเจ้าจามเทวีทำพิธีลบศักราช ทำให้วันเวลาเร็วขึ้น ๒ เดือน ฉะนั้น..กลางเดือน ๑๒ ของพวกเรานี่ ทางด้านเหนือเป็นเดือนยี่แล้ว เวลาเราลอยกระทงกัน ทางเหนือเขาเลยเรียกว่างานยี่เป็ง วันเพ็ญ เดือนยี่

ท่านลบศักราชเพราะว่าต้องการจะหลอกขุนหลวงวิลังคะ นัดแนะว่าให้สู่ขอ กำลังของตัวเองยังไม่พร้อมที่จะรบ ก็นัดว่าถึงเวลาให้มาขอวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น พอขุนหลวงวิลังคะกลับไปเตรียมตัว ทางด้านนี้ก็ทำพิธีลบศักราช ประกาศให้บรรดาประเทศราชต่าง ๆ รู้กันทั่ว ยกเว้นขุนหลวงวิลังคะไม่บอก พอเขายกขันหมากมาถึงก็บอกว่า เป็นกษัตริย์ทำไมผิดสัญญา เลยมาตั้งนานเท่าไรแล้ว ขุนหลวงวิลังคะไล่ให้คนไปสืบทีละบ้านทีละเมือง ทุกบ้านตอบเหมือนกันหมดว่าวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ เพราะท่านทำการลบศักราชแล้วตั้งวันเดือนปีใหม่

เป็นวิธีเอาตัวรอดที่สวยมาก แต่ขุนหลวงวิลังคะไม่ยอม ท้ายสุดก็ยกทัพมารบด้วย มารบด้วยตอนนี้ไม่กลัวแล้ว เพราะพร้อมแล้ว"

เถรี
19-09-2014, 09:13
ถาม : พิธีไหว้พระจันทร์ของจีนนี่มีผลไหมครับ ?
ตอบ : การไหว้พระจันทร์สมัยก่อนนี่เป็นของคนจีน อย่าลืมว่าถ้าเรานึกถึงเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งด้วยความเคารพ ก็จะมีเทวดาที่มีศักดานุภาพ หรือว่ามีความสามารถใกล้เคียงกับต้นตำรับที่เขาเคารพนับถือ มารับหน้าที่นั้น ก็มีผลอยู่ จัดเป็นเทวตานุสติได้

รู้สึกว่าตั้งแต่อเมริกาไปเหยียบดวงจันทร์นี่ การไหว้พระจันทร์ไม่ขลังแล้วนะ ลดความขลังไปเยอะ กลายเป็นการค้ามากกว่า ขายขนมไหว้พระจันทร์กัน..ใช่ไหม ? เดี๋ยวนี้ฝรั่งรู้จักมูนเค้กกันทั่วไปแล้ว แต่ว่าปีนี้เห็นเขาปรับหลายรูปแบบ มีบางคนทำขนมไหว้พระจันทร์หน้าตาเหมือนซาลาเปา ผ่าออกมาข้างในก็ไส้ทุเรียนไข่เค็มนั่นแหละ บางรายหน้าตาเหมือนขนมไหว้พระจันทร์แต่สีแปลก ๆ พอลองชิมดูรสชาติขนมฝรั่งชัด ๆ เลย ก็ดัดแปลงกันไปเรื่อย ถ้าอย่างไหนได้รับความนิยมก็ติดตลาด ขายดีไป

ญี่ปุ่นเขามีแต่ขนมโมจิ เพราะเขาเห็นว่าในดวงจันทร์มีกระต่ายกำลังตำขนม สมัยอาตมาเด็ก ๆ ขนมโมจิบ้านเราเขาเรียกกะลอจี๊ เป็นแป้งข้าวเหนียวที่เหนียวหนับเลย แล้วมาคลุกพวกถั่วพวกงากับน้ำตาล เด็ก ๆ ชอบกินมาก พวกนั้นขว้างติดข้างฝาไว้ได้ไม่หล่นหรอก เหนียวหนับเลย แล้วเขาเอามาดัดแปลง มีไส้ มีรสโน้นรสนี้ เมืองไทยเราดัดแปลงขนมโมจิจนญี่ปุ่นจำหน้าไม่ได้แล้ว มีหลายรสเหลือเกิน

เถรี
19-09-2014, 09:18
ถาม : ทำไมคนจีนเขาจะมีวันไหว้ต่าง ๆ เยอะมากครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนพวกภัยธรรมชาติมีเยอะมาก ก็เลยทำให้เขาเกิดความเชื่อขึ้นมาว่า เกิดจากการบันดาลของเทพเจ้า อย่างเทพเจ้าแห่งดิน เทพเจ้าแห่งน้ำ เทพเจ้าแห่งลม เทพเจ้าแห่งไฟ เทพเจ้าภูเขา คนจีนเขาเลยต้องกำหนดวันขึ้นมาเพื่อทำความเคารพเทพเจ้า เพื่อสร้างความพอใจแก่ท่าน แล้วท่านจะได้บันดาลให้เรือกสวนไร่นาอุดมสมบูรณ์

จะว่าไปแล้วก็คือต้องการจะเอาตัวรอดนั่นเอง จึงอ่อนน้อมถ่อมตนต่อธรรมชาติ พยายามไม่เบียดเบียนธรรมชาติ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนานั่นแหละ เพราะว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ เพียงแต่ว่าไม่ครบองค์ประกอบของศาสนา มาระยะหลังพอมีศาสดาประกาศหลักคำสอนขึ้นมา มีคนเชื่อถือปฏิบัติตาม มีสถานที่ทำพิธีกรรม องค์ประกอบศาสนาถึงได้ครบถ้วน ถ้าไม่มีศาสดา ไม่มีคำสอน ไม่มีผู้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม ไม่มีสถานที่ทำพิธีกรรม สิ่งเหล่านี้มีไม่ครบ เขาถือเป็นแค่ลัทธิเท่านั้น

อย่างลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์มีศาสดาคือคาร์ล มาร์กซ์ มีผู้เชื่อถือและปฏิบัติตาม มีหลักคำสอน แต่ไม่มีสถานที่ประกอบพิธีกรรมแบบศาสนสถาน

เถรี
19-09-2014, 09:21
ถาม : การสร้างพระพุทธรูปไว้ที่วัดกับไว้ตามสถานที่ราชการ จะได้อานิสงส์เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาอานิสงส์การสร้างในตอนแรกได้เหมือนกัน แต่ถ้าจะเอาอานิสงส์ระยะยาวที่มีคนไปเคารพกราบไหว้บูชา ในวัดจะได้เปรียบกว่า เพราะเป็นสถานที่ ๆ คนเขาเข้าไปเป็นปกติอยู่แล้ว เราสร้างไว้ข้างนอกนี่ ถ้าเขาไม่ได้ผ่านไปตรงนั้น ก็คงไม่มีโอกาสได้ไปกราบไหว้

ถาม : ผู้บริหารมีโครงการว่าจะไปสร้างไว้ริมทะเล แล้วมีศาลเสด็จในกรมหลวงชุมพร ?
ตอบ : ไม่มีความเห็นอะไร ถ้าเป็นไปได้ก็ให้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก หรือว่าทิศเหนือให้ได้ก็แล้วกัน

ถาม : หันไปตะวันออกเฉียงเหนือครับ
ตอบ : ก็ยังดี

เถรี
19-09-2014, 13:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าแน่ ๆ เป็นการตัดเคราะห์กรรมและเป็นการต่ออายุด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งอาตมาว่า "แกเป็นทหารมาทุกชาติ ออกรบฆ่าเขาไว้มาก กรรมเก่าที่ตามมาทันจะทำให้ป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยสัตว์ อย่างเช่น ปลาที่เขาขายไว้สำหรับฆ่า เดือนละตัวสองตัว แล้วจะบรรเทากรรมตรงนี้ลงได้"

อาตมาก็อวดรู้ กราบเรียนหลวงพ่อท่านไปว่า “การปล่อยปลาเป็นการต่ออายุ ในเมื่อผมไม่ต้องการอายุยืนอยู่แล้ว ผมจะปล่อยไปทำไมครับ ?” ท่านบอกว่า “แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า จะเป็นการต่ออายุก็ต่อเมื่อเรามีอุปฆาตกรรมเข้ามาในช่วงนั้น ถ้ากรรมหนักที่เราเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่ไว้มาถึง อุปฆาตกรรมจะตัดรอนถึงขนาดเสียชีวิต"

ท่านบอกว่า "ถ้ามีอุปฆาตกรรมเข้ามาอย่างนั้น จะเป็นการต่ออายุ แต่ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามา การที่เราปล่อยเขา ทำให้เขามีชีวิตรอด ได้รับความสุข ได้รับความสะดวกสบาย ต่อไปเราทำอะไรก็จะสะดวกสบายไปด้วย"

เมื่อทราบดังนั้นอาตมาก็ปล่อยตามที่ครูบาอาจารย์สั่ง จำได้ว่าปล่อยเดือนแรกคือวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ มาถึงป่านนี้ก็เกือบ ๓๐ ปีถ้วนแล้ว ปล่อยมา ๒๙ ปี นับชีวิตไม่ถ้วน เพราะว่าไม่ได้ปล่อยทีละตัวสองตัว ไปเห็นตาปริบ ๆ อยู่ก็เหมาหมด มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่ปล่อยได้สะใจที่สุด คือ ไปเจอปลาดุกอยู่ปีบหนึ่งเลยซื้อมาปล่อย อาตมาไม่รู้หรอกว่ากี่ร้อยตัว เป็นลูกปลาดุกตัวเล็ก ๆ แน่นไปทั้งปีบเลย โห..เขาอุตส่าห์ไปช้อนลูกครอกตัวเล็ก ๆ มาขายได้ ปลาขนาดปกติอาตมาก็ซื้อ แถมลูกปลาดุกนั่นอีกปีบหนึ่ง ต้องบอกว่าบ้านเรากินล้างกินผลาญ"

เถรี
19-09-2014, 13:45
ถาม : ทำไมพญานาคจึงปรากฏมากกว่าพญาครุฑครับ ?
ตอบ : เวลาครุฑมาเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ พญานาคมายังมีรอยให้เห็น มีคนบอกว่าเดี๋ยวตรงโน้นก็มีรอยพญานาค ตรงนี้ก็มีรอยพญานาค ไม่มีคนบอกว่ามีรอยพญาครุฑสักที ครุฑก็คือนกใหญ่ ที่มีขนาดใหญ่มาก ตามตำราเขาบอกว่าขยับปีกทีหนึ่งบินไปได้ ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร)

คนจีนก็มีนกเผิง นกเผิงนี่เขาบอกว่ากางปีกโบยบินที่หนึ่งสามารถไปได้รอบโลก ก็แสดงว่าการรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ คนสมัยก่อนเขารู้เห็นคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าเรียกไม่ค่อยจะตรงกันเท่านั้น เรียกกันไปคนละอย่างสองอย่าง แต่ว่าลักษณะที่อธิบายก็คือแบบเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าสรุปไว้ค่อนข้างจะปลอดภัยหน่อยก็คือเชื่อว่ามี แต่ถ้าให้เชื่อเต็มที่ก็คือขอเห็นด้วยตัวเองสักที

ถาม : ยูเอฟโอนี่ใช่ครุฑไหมครับ ?
ตอบ : คนละเรื่องเดียวกัน ยูเอฟโอเป็นของมนุษย์ต่างดาว เอาเป็นอันว่าที่เขาถ่ายมายังไม่มีหน้าตาเป็นพญาครุฑก็แล้วกัน พญาครุฑเขตประจำของท่านอยู่รอยต่อระหว่างชั้นจาตุมหาราชกับเขาพระสุเมรุ คราวนี้ในเมื่อที่ประจำของเขาอยู่ตรงนั้น การเข้าออกก็อยู่บริเวณนั้นประจำ ส่วนพญานาคนั้นทางเข้าออกมีอยู่ทั่วโลก ก็เลยปรากฏตัวให้เราเห็นได้มากกว่า ถ้าของเขาบังคับว่าต้องมีทางเหมือนกับไปตามถนน คนก็เลยได้เห็นรถยนต์ คราวนี้พญาครุฑเปรียบไปเหมือนเครื่องบิน เรากว่าจะได้เห็นสนามบินก็โน่นแหละ หลายจังหวัดกว่าจะมีสักที่ ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเราจะสัมผัสกับพญาครุฑได้น้อยกว่า ถ้าอยากเห็นก็แถวหน้าธนาคาร มีทุกที่แหละ..! ระยะนี้เห็นเขาฮิตเหรียญพญาครุฑกัน แล้วต้องปิดทองด้วยนะ

เถรี
19-09-2014, 13:47
ความจริงครูบาอาจารย์ท่านสอนคาถาบางบทไว้ เกี่ยวกับมหาอำนาจพญาครุฑ แต่คราวนี้การที่เราอยู่ ๆ จะไปสร้างเหรียญมีรูปพญาครุฑ ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของในหลวง เพราะว่าตราครุฑเป็นตราแผ่นดิน ก็เลยอย่าไปแตะดีกว่า เห็นหลายสำนักเขาทำกัน ทำเฉย ๆ ไม่มีปัญหา ถ้ามีใครหมั่นไส้แล้วเขาฟ้องขึ้นมานี่ซวยจริง ๆ ขนาดไม่มีเรื่องเขายังสามารถโยงเข้ามาเป็นผังล้มเจ้าได้ ขืนบังอาจใช้ตราครุฑนี่เสร็จแน่

ถาม : รูปพญาครุฑตามหน้าสถานที่ราชการต่างจะมีเทวดารักษาไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าผ่านการอธิษฐานจิตของครูบาอาจารย์มาก็จะมี เห็นว่าบางทีเขาอัญเชิญตราครุฑขึ้น ก็นิมนต์หลวงปู่หลวงพ่อที่เขาเคารพมาทำพิธีให้ ถ้าประเภทนั้นจะมีเทวดารักษา แล้วหลายที่ก็ดุเสียด้วย โดยเฉพาะพญาครุฑที่กองสลาก

ถาม : เขาจัดอยู่ประเภทไหนครับ ?
ตอบ : เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ อยู่ริมเขตของชั้นจาตุมหาราช

ถาม : อยู่ในการปกครองของท่านไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าผู้ปกครองโดยตรงก็ไม่มี แต่ว่าถ้าเทวดาที่มีศักดานุภาพขอร้องให้ช่วยอะไรหรือทำอะไร เขาก็เต็มใจทำให้

เถรี
19-09-2014, 13:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่อง "นางไพร" ที่คุณทองทิว สุวรรณทัตเขียน เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงชาวป่าคนหนึ่ง ที่มีอำนาจจิตเหนือสัตว์ป่าทุกชนิด เก็บตัวเงียบ ๆ อยู่กับบ้าน แต่ถ้ามีช้างตกมันหรือว่ามีสัตว์ป่าเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้าน ถ้าเธอไปถึงสัตว์นั้นจะสงบหมดเลย ต้องเรียกว่าเป็นกรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

แบบเดียวกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ท่านยืนยันตรงกับหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าช้างทุกตัวมีผีคุม หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพท่านบอกว่า ช้างทุกตัวมีเทวดารักษา ซึ่งก็คือข้อมูลเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น..หลวงพ่อเดิมท่านบอกว่า ถ้าจะคุยกับช้างให้รู้เรื่อง ให้แผ่เมตตาให้เทวดาที่รักษาช้างก่อน ถ้าแผ่เมตตาให้เทวดาที่รักษาเสร็จแล้ว คราวนี้จะคุยอะไรกับช้างก็ว่าไปเถอะ

ท่านบอกว่าถ้าสมาธิถึง ๆ นี่ต่อให้ช้างตกมันก็คืนสติกลับมาได้ เพราะว่าเทวดาที่คุมอยู่ท่านช่วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่าช้างนี่พูดรู้เรื่องทุกตัว อาตมาไปลองมาแล้ว อยู่กลางป่ากลางดง คุยกันรู้เรื่องจริง ๆ"

เถรี
19-09-2014, 14:04
ถาม : บางทีเวลาไปเจอช้าง แล้วเขามาหมอบมาทักนี่ เพราะเนื่องกันมาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตัวเมตตาของเราสูงจริง ๆ เทวดาที่รักษาช้างท่านก็จะยินดีที่จะช่วยสงเคราะห์ แล้วก็อีกอย่างก็คือว่ามีบุญมีกรรมเนื่องกันมา บางทีเหมือนอย่างกับว่าเจอหน้ากันแล้วจำได้

ถาม : เราแผ่เมตตาแล้วช้างได้ยิน ?
ตอบ : ไม่ใช่ช้างได้ยินหรอก เทวดาหรือผีได้ยิน ในเมื่อได้ยินก็ เอ้า...ช่วยไปจัดการหน่อยซิ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ต้องบอกว่าเป็นบูรพาจารย์สายตรงของวัดท่าขนุน เพราะว่าหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน ไปบวชกับท่าน เรียนวิชากับท่าน

เถรี
19-09-2014, 14:15
ถาม : พวกผีดิบ ซอมบี้มีจริงไหมครับ ?
ตอบ : มี..หากจะว่าไปแล้วพวกวิชาการเหล่านี้ ประเทศจีนเขามีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาเรียกว่าวิชาต้อนศพ เป็นของพวกนักพรตเหมาซาน สมัยก่อนการเดินทางในประเทศจีนนี่ สุดเหนือสุดใต้เป็นพัน ๆ กิโลเมตร แล้วรถราม้าช้างก็ไม่ได้คล่องตัวเหมือนกับสมัยนี้ ถึงเวลาไปตายต่างแดนก็ต้องจ้างพวกนี้ให้เขาต้อนศพกลับบ้าน เขาจะมี ๒ คน คุมหน้าคนหนึ่ง คุมหลังคนหนึ่ง ถึงเวลาก็ไปพักโรงเตี๊ยม

เขามีคำพูดว่า ถ้ามา ๓ คนกินข้าวแค่ ๒ คน ให้รู้เลยว่าเป็นพวกต้อนศพ เพราะอีกคนไม่ต้องกิน แต่ถ้าเดินระยะทางไกล ๆ เป็นเดือน ๆ ก็ต้องให้ศพกินข้าว เขาจะให้กินข้าวเปล่า ไม่ให้กินพวกกับข้าว เขาบอกว่าถ้าให้กินศพจะรู้ตัวว่าตายแล้ว และจะหนีไป ไม่ยอมกลับบ้าน

ทำไมเรื่องนี้ไปตรงกับทางด้านเฮติก็ไม่รู้ เพราะคนละซีกโลกเลย พวกเฮติที่เขาปลุกศพขึ้นมาใช้งานก็เหมือนกัน เขาให้กินแต่พวกข้าวเปล่า ถ้ากินเกลือเมื่อไรศพก็หนีกลับทันทีเหมือนกัน ไปตรงกันได้อย่างไรไม่รู้ แต่ว่าวิชาการพวกนี้ก็เหมือน ๆ กัน แต่ทางเฮตินั้นเขาต้องการแรงงานไปใช้งาน ไม่ต้องจ่ายค่าแรงนอกจากให้ข้าวกินวันละมื้อเดียว เพียงอย่าเผลอให้กินเกลือนะ ให้กินเกลือเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น ถ้าเราดูหนังประเภทผีกัด จะเห็นว่าเขาให้ผีกินแต่ข้าวเปล่า ไปตรงกันได้ ฉะนั้น..พวกที่ปลุกศพขึ้นมาใช้งานนี่แหละคือต้นตำหรับของซอมบี้

เถรี
19-09-2014, 14:22
ถาม : เขาคุมได้อย่างไร ?
ตอบ : เขาใช้คาถาสะกดเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เลี้ยงด้วยอาหาร พอจะมีอาหารหล่อเลี้ยงศพไว้ แต่ว่าต้องเป็นศพที่ตายใหม่ ๆ ถ้าตายนานแล้วเดี๋ยวอวัยวะภายในไม่ทำงาน

ถาม : มีแต่ตัวเปล่า ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่มีแต่ตัวก็คงใช้พวกสัมภเวสีหรือว่าอสุรกายบางอย่างไปบังคับร่าง แต่ว่าเขาก็เก่งนะ เพราะว่าคนจีนเขาใช้วิธีนี้มาเป็นพันปีแล้ว ถึงเวลาต้อนศพเดินทาง ถ้าคนไหนเก่ง ๆ ก็ต้อนไปที ๕ - ๑๐ ศพ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเขารับ ๑ ศพ จะมี ๒ คนคุมหัวคุมท้าย จนกระทั่งกลายเป็นวลีว่า "มา ๓ คนกินข้าวแค่ ๒ คน" ก็ให้รู้เลยว่าพวกนี้แหละ

แต่เขาจะบอกเลยว่า ไปถึงให้ทางญาติเตรียมโลงเตรียมอะไรไว้ให้พร้อม พอปล่อยผีลงโลงต้องรีบปิดเลย เพราะว่าตายมานานแค่ไหนก็จะเน่าเละแค่นั้น พอเขาถอนเวทย์มนต์คาถาหรือผีที่คุมร่างออก ศพจะเน่าเท่ากับที่ตายมา ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่งเหมือนกัน

เถรี
20-09-2014, 06:37
ถาม : กรรมสุราฯ ขวางการฝึกสติไหมคะ ?
ตอบ : ก็มีส่วน

ถาม : ถ้าตั้งใจฝึกปฏิบัติมาก ๆ จะทำให้อกุศลกรรมที่ทำไว้ยังไม่ส่งผลได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจฝึกปฏิบัติอย่างจริงจัง เรื่องของกรรมฐานเป็นบุญใหญ่ "อาจจะ" สามารถฝืนกรรมเก่าได้

เถรี
20-09-2014, 08:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมอยู่คนหนึ่ง อาตมารู้จักมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเรียนหนังสืออยู่ เขาทำงานแล้วเก็บเงินซื้อทองเดือนละบาท ๆ จนกระทั่งเก็บทองได้ ๑๕๐ บาทแล้ว มีคนประกาศขายตึกแถวที่เป็นอาคารพาณิชย์ เขาก็เลยขายทองไปซื้อตึกแถวแล้วก็มาทำกิจการอยู่ ปัจจุบันนี้ก็ผลิตขนมปังส่งร้าน 7 Eleven ทั่วภาคเหนือ บอกว่าจะเริ่มไปเก็บทองใหม่แล้ว ซึ่งเกิดจากว่าพ่อเป็นสายส่งหนังสือพิมพ์ ก็เลยทำงานแทนพ่อ พอพ่อจะจ่ายเงินเดือนก็ขอเป็นทองเดือนละบาท ตอนช่วงนั้นก็ได้สิ ทองบาทหนึ่ง ๒,๐๐๐ กว่าบาทเอง ตอนซื้อตึกนี่ทองขึ้นไปเจ็ดแปดพันบาทแล้ว ปัจจุบันนี้ก็เริ่มเก็บใหม่

เรื่องการเก็บทองก็ดีอยู่อย่างหนึ่งว่าราคาไม่ค่อยตก แต่ว่าไม่ค่อยสะดวกอยู่อย่างหนึ่งว่าเก็บยาก ถ้าคิดว่ามีทองสักแต่ว่าเก็บ ๆ ก็ไม่ใช่นะ บางทีถ้ามีคนเขารู้นี่ยุ่งเหมือนกัน ฉะนั้น..ถ้ารักจะเก็บนี่ต้องเงียบอย่างเดียวเลย ดาราสมัยก่อนมีคุณสมบัติ เมทะนี พอค่าแรงในการแสดงออกก็ซื้อทองเส้นหนึ่ง ถ้าได้ค่าแรงมากก็ซื้อเส้นใหญ่ ได้ค่าแรงน้อยก็ซื้อเส้นเล็ก แต่จะซื้อทุกครั้ง

คุณสมบัติ เมทะนีนี่ หนังสือ กินเนสบุ๊ค ออฟ เรคคอร์ด บันทึกไว้ว่า เล่นหนังเป็นตัวเอกมากที่สุดในโลก ๖๐๐ กว่าเรื่อง เราลองคิดดูว่าถ้าเขาเก็บทองเรื่องละบาท อย่างไม่มี ๆ ก็ ๖๐๐ กว่าบาทแล้ว การรู้จักอดออมตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้มีฐานะมั่นคง"

เถรี
20-09-2014, 08:37
"ดาราสมัยก่อนต้องบอกว่ารักเกียรติ รักชื่อเสียงครอบครัววงศ์ตระกูลมาก เราจะสังเกตว่าดารารุ่นเก่านี่แทบจะไม่มีเรื่องเสียหายอะไรให้ปรากฏเลย รักเกียรติยศ รักศักดิ์ศรี รักชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ฉะนั้น..ดารารุ่นเก่าพอมาสมัยหลังก็เป็นแบบอย่างให้รุ่นใหม่ ๆ เขา อย่างคุณพิศมัย วิไลศักดิ์ ไปไหนเขาก็เรียก "ป้าหมี" ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีเรื่องอะไรเสียหายเลย

ดารารุ่นหลัง ๆ ตั้งแต่หลังยุคของคุณจารุณี สุขสวัสดิ์มา รู้สึกว่าเริ่มเอานิสัยฝรั่งมาใช้กัน เปลี่ยนคู่กันเป็นว่าเล่น ไม่ได้เหมือนดาราสมัยก่อน เราดูอย่างคู่ของคุณสมบัติกับคุณกาญจนา คุณชรินทร์กับคุณเพชรา คนไปถามคุณชรินทร์ว่า "ภรรยาตาบอด ทำไมยังเลี้ยงดูอุ้มชูเสียอย่างดี ไม่รู้จักหาใหม่หรืออย่างไร ?" คุณชรินทร์บอกว่า “ก่อนหน้านี้กว่าจะได้มาสุดจะยากเย็นเข็ญใจ ได้มาก็ต้องทะนุถนอมรักษาไว้” หรือไม่ก็อย่างปัจจุบันก็คุณเศรษฐากับคุณอรัญญา ที่โฆษณาประกันชีวิตแบบผู้สูงอายุ

ดาราสมัยก่อนเขารักเกียรติรักชื่อเสียงมาก อย่างป๋าต๊อกนี่เราก็รู้ว่าเจ้าชู้จะตาย แต่ว่าไม่มีเรื่องเสียหาย มารุ่นหลัง ๆ นี่เขาจะไม่มีเกียรติยศชื่อเสียงให้รักษา หรืออาจจะประเภทไม่มีวงศ์ตระกูลให้รักษา ก็เลยเละเทะไปเรื่อย"

เถรี
20-09-2014, 08:42
"ในโภควิภาคของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านให้รู้จักแบ่งทรัพย์สิน ท่านว่า เอเกน โภเค ภุญเชยยะ ส่วนที่ ๑ ใช้ในการเลี้ยงชีพตนเอง ทวีหิ กัมมัง ปะโยชะเย ๒ ส่วนเอาไว้ใช้ในเรื่องของหน้าที่การงาน จะตุตถัญจะ นิธาเปยยะ ๑ ส่วน เก็บไว้เป็นทุนสำรอง โบราณเขาจึงผูกไว้เป็นกลอนว่า
ทรัพย์มีสี่ส่วนไซร้..................ปูนปัน
ส่วนหนึ่งพึงเกียดกัน...............เก็บไว้
สองส่วนคิดควรผัน การกิจ..........งานนา
เหลืออีกส่วนควรใคร่ ไว้ใช้..........ยามจน

ของโบราณส่วนใหญ่เอามาจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ถ้าเราพิจารณาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะแบ่งได้เป็น ๓ ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือความสุขในปัจจุบัน คือหลักธรรมต่าง ๆ เราประพฤติปฏิบัติแล้วก็เป็นคนชั้นดี คำว่า "คนชั้นดี" ในที่นี้ก็คือ มีศีล มีธรรม มีฐานะมั่นคง

ส่วนที่ ๒ สำหรับผู้ปฏิบัติแล้วมุ่งเอาสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป ส่วนที่ ๓ ก็มุ่งเอาการหลุดพ้นจากกองทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสธรรมะมา ถ้าเราพิจารณาดูก็จะไม่เกินใน ๓ ส่วนนี้"

เถรี
20-09-2014, 08:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมหลายท่านปวารณาไว้ก็ถามว่าเมื่อไรอาตมาจะขออะไรสักที ก็ไม่รู้จะขออะไร เพราะมีทุกอย่าง ส่วนใหญ่โยมจะเจอว่าพระขอโน่นขอนี่ ช่วยเป็นเจ้าภาพอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาออกระเบียบวัดห้ามบอกบุญห้ามเรี่ยไร จบเลย..หมดเรื่องไป

ฉะนั้น..โยมปวารณาของอาตมานี่ ประเภทมีแต่รายชื่ออยู่ในบัญชีเฉย ๆ ว่าปวารณาไว้ มีหลายท่านที่เสียชีวิตไปแล้ว อาตมาก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ได้ขอจนโยมตายเลยละ...!

มีอยู่รายหนึ่งนี่ปวารณาได้ดุมาก ปวารณาว่า “พระอาจารย์จะสร้างหนี้เท่าไรเชิญตามสบายเลยครับ สิ้นปีผมจะเคลียร์ให้” ไม่ต้องหรอกโยม อาตมามีปัญญาจ่าย มีโยมอยู่ท่านหนึ่งเป็นวิศวกร นั่งนับจำนวนคนอยู่เป็นวัน ๆ นับเสร็จแล้วก็บอกว่า “ที่มาหาพระอาจารย์อย่างเก่งก็ไม่เกินวันละพันคน พันคนถ้าทำบุญเฉลี่ยคนละ ๕๐๐ ก็ได้ห้าแสน แล้วอาจารย์เอาเงินที่ไหนไปจ่ายเดือนหนึ่งเป็นสิบล้านก็ไม่รู้” ก็มีให้จ่ายได้นี่นะ

สถิติล่าสุด เบิกเงินจากธนาคารห้าล้าน ปรากฏว่าวันนั้นจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงช่างไปแปดล้านกว่า ต้องบอกว่าเราทำได้..!"

เถรี
20-09-2014, 08:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาอาการข้อพลิกข้อแพลง ให้เอาใบพลับพลึงลนไฟให้ร้อนแล้วพันไว้จะหายเร็ว"

เถรี
20-09-2014, 12:42
ถาม : ลูกกำลังทำสมาธิ ลูกได้ยินเสียงแล้วทำให้ลูกตกใจค่ะ ลูกเลยต้องภาวนามากค่ะ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก แสดงว่าสติหลุดจากลมหายใจไปแล้วถึงได้ตกใจ ฉะนั้น..ถึงเวลาเราจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกก็พอ

ถาม : เสียงนี้ทำให้หนูสติแตกหรือกรรมฐานแตก...(ไม่ชัด).... ?
ตอบ : แล้วแตกหรือยัง ? เขาแค่กวนไม่ให้เรานั่งได้แค่นั้นเอง ไม่ต้องไปสนใจ ไม่รู้ไม่ชี้ อยู่กับลมหายใจเข้าออกก็พอ ถ้าเราไปสนใจ เผลอ ๆ ส่งใจไปที่อื่น ถึงเวลาเขากวนแล้วจะตกใจอีก

เถรี
20-09-2014, 12:44
พระอาจารย์เล่าว่า “วันก่อนอาตมายกบาตรใบใหญ่ทำจากหินอ่อนกลึง ถามว่าใหญ่แค่ไหน ก็แค่ฝาบาตรกว้าง ๑๖ นิ้ว ยกจากใต้บันไดออกมาตรงประตูของตึกแดง พระท่านเห็นก็วิ่งมาช่วยกันใหญ่ ปรากฏว่า ๒ รูปมาถึงก็ยกไม่ขึ้น มองหน้ากันแล้วส่ายหัว สรุปว่ายังแก่ไม่พอ เดี๋ยวรอให้แก่เท่าหลวงพ่อแล้วจะแข็งแรง ก็เลยไปนึกว่า รถสิบล้อถึงเก่าแค่ไหนก็บรรทุกได้มากกว่ารถกระบะใหม่ ๆ อยู่นะ”

เถรี
20-09-2014, 14:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ชาวนาบ้านเราลำบากไม่เป็นแล้ว ไถก็ใช้รถ ดำก็ใช้รถ เกี่ยวก็ใช้รถ สีก็ใช้รถ เดี๋ยวนี้เขาเล่นสีข้าวตั้งแต่ข้าวเขียว ๆ ที่พวกเราเคยใช้ทำข้าวเม่ากัน สีเสร็จแล้วก็เอาไปตาก ก็เลยกลายเป็นข้าวคุณภาพไม่ดี เพราะข้าวยังไม่แก่จัด เขารีบสีตั้งแต่ตอนนั้น เพราะเอารถลุยลงไปเกี่ยว เกี่ยวเสร็จสีเลย อาตมาเห็นว่ามักง่ายขึ้นเยอะเลย

ที่น่าสงสารที่สุดอะไรรู้ไหม ? เดี๋ยวนี้นกปากห่างหาหอยกินไม่ได้ เพราะหอยโดนยาชาวนาตายหมด สมัยก่อนนกปากห่างเวลาลงนานี่ลงกันทีสามสี่ร้อยตัวแน่นไปหมด เดี๋ยวนี้นกลงนาละ ๓-๔ ตัว เพราะลงมากก็ไม่มีอะไรให้กิน ลงนาละ ๓-๔ ตัวแล้วก็แยกกันเดินห่อเหี่ยว หาดูว่าจะมีหอยหลงอยู่สักตัวไหม เพราะถ้าไม่ใช้วิธีดาวกระจายแบบนี้ก็หากินไม่ได้ มีไม่พอให้กิน"

ถาม : ไม่ลงไปกินข้าวหรือคะ ?
ตอบ : นกปากห่างกินข้าวไม่ได้เพราะปากโบ๋อยู่ เอาไว้ใช้งับหอยโข่ง แล้วหอยสมัยนี้ที่โดนยาก็ตายหมด ไม่ได้กิน ตัวที่รอดจากยามาก็มีแต่สารพิษตกค้าง พอนกกินลงไปก็ทำให้ไข่เปลือกบางบ้าง เปราะบ้าง ถึงเวลานกฟักไข่ก็ทับแตกอีก คงจะสูญพันธุ์อยู่เร็ว ๆ นี้แล้ว ที่น่าสงสารคือนกปากห่างกินอาหารจำกัดมากเลย ไม่ใช่กินได้หลาย ๆ อย่าง จะให้ไปไล่จับปลากินก็ไม่ได้ เพราะปากเอาไว้สำหรับขบหอยโข่ง พอจะกินพวกตั๊กแตนอะไรได้ก็โดนยาตายหมดอีก

พอคนไปทุ่มเทในเรื่องของยาเรื่องของปุ๋ยหนัก ๆ รายจ่ายก็สูง พอร่ายจ่ายสูงขายข้าวไม่ได้ราคาก็เจ๊ง เพราะฉะนั้น..บ้านเราต้องใช้เกษตรอินทรีย์ อยู่อย่างพอเพียงแบบในหลวงท่านว่า ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ไหลตามกระแสบริโภคนิยม รถก็ผ่อน บ้านก็ผ่อน โทรทัศน์ก็ผ่อน ตู้เย็นก็ผ่อน ถ้าไม่รีบทำก็ดอกเบี้ยกินตาย ก็เลยต้องใช้วิธีเร่งปุ๋ยเร่งยา ยิ่งเร่งมากก็ยิ่งต้นทุนแพง

เถรี
20-09-2014, 14:02
พอทุกอย่างอยู่ในกระแสบริโภคนิยม ก็ต้องเร่งรัดหาเงิน แต่หามาเท่าไรก็ไม่ใช่เงินตัวเอง กลายเป็นเงินคนอื่นเขา อันนี้เงินผ่อนบ้าน นี่ผ่อนรถ ผ่อนโทรทัศน์ ผ่อนตู้เย็น หามาเท่าไรก็ของเงินชาวบ้านเขา โดยเฉพาะเรื่องรถ ถ้าไม่ใช่รถเพื่อทำมาหากินแล้ว อาตมาไม่ได้สนับสนุนการมีรถเลย โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ผ่อนรถ ๘๔ เดือน พอผ่อนเสร็จรถก็หมดสภาพ ต้องเอาไปเปลี่ยน ออกคันใหม่มาแล้วก็ผ่อนต่อ

อาตมาเคยซื้อรถอยู่ ๕ คัน ซื้อเงินสดตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะว่าดีลเลอร์รู้จักกันละก็ รับรองว่าโดนด่าไปแล้ว เพราะว่าลองไปคิดหักกลบลบล้างแล้ว ระหว่างซื้อเงินสดกับซื้อเงินผ่อน ซื้อเงินผ่อนมีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นคันละเกือบสามแสนบาทของตอนช่วงนั้น แต่พอน้ำมันดีเซลขึ้นถึงลิตรละ ๑๓ บาท อาตมาก็โละรถหมดวัด..เลิกใช้ บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงก็ยังไม่กระดิกตัว พอดีเซลลิตรละ ๒๐ บาทร้องจ๊ากเลย เขาบอกว่า "อาจารย์เล็กคิดถูกแล้วที่ไปนั่งรถแท็กซี่"

ปัจจุบันที่มีรถใช้เพราะโยมให้ยืม โยมมีหน้าที่ไปต่อทะเบียน ไปต่อประกัน อาตมามีหน้าที่ใช้อย่างเดียว ถ้าโยมมีปัญหาก็เอาคืนไปเลย ไม่มีรถจะได้ไม่ต้องรับกิจนิมนต์ จะได้บอกกับเจ้าภาพว่าไม่มีรถ ไปไม่ได้ นี่กำลังวางแผนว่าพออายุ ๖๐ จะโละรถทิ้งให้หมดแล้วไม่รับใหม่อีก แก่แล้ว ไม่มีรถไปไม่ได้หรอก ใครจะนิมนต์ต้องเช่าเฮลิคอปเตอร์มารับ ไปนึกถึงหลวงปู่เณรคำ ท่านมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว..ใช่ไหม ?

เถรี
20-09-2014, 14:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราต้องบอกว่าน่าชื่นชมตรงที่บางอย่างเอาหลักธรรมมาใช้กันจริง ๆ ก็คือรู้จักอโหสิกรรมและให้อภัย ไม่ยุ่งกับใครหรอก ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา ส่วนเรื่องที่ควรจะเอาหลักธรรมไปใช้จริง ๆ ไม่ค่อยเอากันหรอก..!

ระยะนี้สถานการณ์บ้านเมืองก็ต้องบอกว่า wait and see รอดูว่ารัฐบาลทหารมีฝีมือแค่ไหน ตอนนี้ทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาล ถ้ามีอำนาจที่ครบถ้วนขบวนความขนาดนี้แล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็ไม่ต้องไปรอรัฐบาลไหนแล้ว เพียงแต่ว่าชาวบ้านเขาตั้งความหวังไว้สูง แล้วคณะรัฐบาลก็ไม่ใช่ทศกัณฐ์มาเกิด มีอยู่แค่ ๒ มือทำงานไม่ไหวหรอก"

เถรี
20-09-2014, 14:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมทั้งหลายที่ได้บูชาวัตถุมงคลไป บางทีก็ไม่ชัดเจนว่าวัตถุมงคลเรามีไว้เพื่ออะไร อาตมาอธิบายรายละเอียดเอาไว้ในหนังสือประวัติวัดท่าขนุน ซึ่งจะออกประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ ถ้ามีโอกาสแล้วก็ไปดูว่า โบราณาจารย์หรือครูบาอาจารย์ท่านสร้างวัตถุมงคลเพื่อวัตถุประสงค์อะไร จะได้รู้กันแล้วก็ปฏิบัติได้ถูก

ต้องบอกว่าคนโบราณท่านลึกซึ้งมาก แต่คราวนี้บางทีท่านลึกไปจนเรามองไม่เห็น ฉะนั้น..บางทีในปัจจุบันของเราได้วัตถุมงคลไปก็ใช้ได้แค่ผิว ๆ เท่านั้น"

เถรี
20-09-2014, 14:41
ในเรื่องของวัดวาอารามต่าง ๆ มักจะมีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง คือ คนใกล้ชิดเจ้าอาวาสไปทำมาหากินในเรื่องพวกนี้ เมื่อเดือนก่อนมีโยมคนหนึ่งไปหาที่วัด บอกว่าโอนเงินให้กับหลานอาตมาไปแล้ว จะมารับวัตถุมงคล อาตมาก็นั่งกุมกบาล "กูจะเอาที่ไหนให้ ?" เพราะวัตถุมงคลวัดท่าขนุนก็รู้ ๆ อยู่ว่า คนที่ไม่มีเลยก็คือเจ้าอาวาส..!

อาตมามีหลานอยู่คนหนึ่ง เขาไปบอกคนอื่นว่าเป็นหลานที่ใกล้ชิด มีวัตถุมงคลรุ่นนั้นรุ่นนี้ ราคาเท่านั้นเท่านี้ คนก็เชื่อถือและก็โอนเงินไปให้ แต่ปรากฏว่าเขาหายเข้ากลีบเมฆไปเลย แล้วทุกวันนี้อาตมาก็ไม่ได้เจอหน้าหลานคนนี้มาเป็น ๑๐ ปีแล้ว อยู่ ๆ ก็มีคนไปจะรับวัตถุมงคล บอกว่าโอนเงินให้หลานไปแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร บอกเขาว่าไปแจ้งความข้อหาฉ้อโกงเอาก็แล้วกัน

เรื่องของคนใกล้ชิดเจ้าอาวาส ถ้าไม่มีจิตสำนึกจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับวัดอย่างมาก เพราะคนมักจะให้ความเกรงใจ นั่นก็พ่อแม่เจ้าอาวาส นี่ก็พี่ป้าน้าอาเจ้าอาวาส นั่นก็พี่ นี่ก็น้อง นั่นก็หลานเจ้าอาวาส บรรลัยเลย อาตมาถึงได้ออกระเบียบวัดว่า ถ้าผู้ใดอ้างว่าเป็นพวกพ้องหรือพี่น้องของพระภิกษุในวัด แล้วมาทำผิดระเบียบ ให้ไล่ออกจากวัดไป แล้วห้ามเข้าวัดตลอดชีวิตเลย จะมีระเบียบอยู่ข้อเดียวที่ห้ามเข้าวัดตลอดชีวิต

ตอนแรกมีคนสงสัยว่าน้องเล็กทำอย่างนี้หรือเปล่า ? ปรากฏว่าเขาเพิ่งรู้ว่าน้องเล็กเป็นผู้หญิง ตอนแรกคิดว่าเป็นหลานเจ้าอาวาสที่โทรคุยกันว่าเสียงผู้ชาย แล้วญาติโยมโปรดทราบว่า ก่อนอาตมาบวช บรรดาพี่ทั้ง ๘ คน หาหลานให้อาตมา ๓๒ คน แล้วอาตมาก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่บวชไปแล้วมีหลานเพิ่มหรือเปล่า ? แต่ตอนนี้มีเหลน ๒๐ กว่าคนแล้ว เมื่อครู่ก็อุ้มมาคนหนึ่ง คือบรรดาหลาน ๆ โตเป็นหนุ่มเป็นสาว มีลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วเยอะเลย

เถรี
20-09-2014, 14:44
ฉะนั้น..ใครอ้างว่าเป็นญาติเจ้าอาวาส ให้พวกเราดูด้วยว่าเป็นญาติเจ้าอาวาสแล้ว มีความประพฤติเหมือนกับเจ้าอาวาสบ้างหรือเปล่า ? ถ้าไม่เหมือนก็เอาปูนกาหัวไว้เลย สมัยก่อนเขากินหมาก สมัยนี้ไม่มีเอาอะไรดี ? เอาบุหรี่จี้หน้าผากก็แล้วกัน สมัยก่อนเขาใช้คำว่า "ปูนหมายหัว" เพราะว่าคนกินหมากกันเยอะ ทำเครื่องหมายเอาไว้ว่าคนนี้คบไม่ได้ สมัยนี้ไม่ค่อยกินหมากกันแล้ว เอาหมากฝรั่งแปะหน้าผากเขาไว้ก็ได้

แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ช่วงอาตมาเป็นหน้าห้องของหลวงพ่อท่าน มีคนมาอ้างเป็นญาติเยอะมาก มีอยู่รายหนึ่งมาถึงก็ส่งบัตรประชาชนให้เลย นามสกุลสังข์สุวรรณ บอกว่ามาจากพัทลุง เป็นญาติของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเห็นแก่นามสกุลนี้ก็เลยยอมให้หลวงพ่อด่า โทรศัพท์เข้าไป ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านไม่ด่า ท่านบอกว่าให้ไปพบตอนรับแขก คือตอนบ่ายโมงที่ตึกรับแขก อาตมาก็แจ้งเขาไป เขาก็ลังเล ๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วท้ายสุดก็กลับไป

จนกระทั่ง ๑๐.๔๕ น. หลวงพ่อออกจากห้องทำงานมานั่งพักผ่อน อาตมาก็เข้าไปกราบถามท่าน บอกว่า “หลวงพ่อครับ เขาเป็นญาติหลวงพ่อนะครับ ผมดูแล้วว่านามสกุลนี้ด้วย” ท่านบอกว่า “แกจำไว้เลยว่า ตอนที่ข้าลำบากไอ้พวกนี้ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็น แต่พอข้าดังขึ้นมาพวกนี้ก็ตั้งใจจะมาโหน จะมาขอความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น..ต่อไปคนประเภทนี้มาแกไม่ต้องเกรงใจ บอกไปรอพบตอนรับแขก”

แล้วอีกรายหนึ่งก็มาอ้างว่า บ้านอยู่ติดกับบ้านหลวงพ่อ รู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของหลวงพ่อดี ขอเข้าพบนอกเวลา อาตมาก็โทรเข้าไป หลวงพ่อบอกว่า “แกจำไว้นะ ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า มีลูกหลานพี่น้องนามสกุลสังข์สุวรรณอยู่ ๙คน ที่ดินติดกันหมดเกือบพันไร่ ไม่มีใครบ้านอยู่ใกล้ข้าหรอก พี่น้อง ๙ คนที่นาเกือบพันไร่ ใครจะมาอ้างว่าอยู่ใกล้บ้านข้าได้วะ ?”

พอได้ยินดังนั้นอาตมาก็หูตาสว่าง ใครอ้างขนาดไหนไม่ได้เข้าหรอก พี่น้อง ๙ คนตีว่าถ้ามีที่คนละ ๒๐๐ ไร่ ก็เกือบสองพันไร่แล้ว ท่านใช้คำว่าเกือบพันไร่ แสดงว่ามีคนละเป็นร้อยไร่เลย

เถรี
21-09-2014, 15:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ป้าจี๋เคยเข้าห้องพระเครื่องของเว็บพลังจิตไหม ? สักประมาณ ๓-๔ ทุ่มนี่คนเข้ากันเป็นหมื่นคนเลย อย่างไม่มี ๆ ก็สี่ห้าพันคน ฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าท่านที่สนใจธรรมะจริง ๆ ทำไมมีไม่เท่าไร"

ถาม : เมื่อก่อนทำบุญก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องวัตถุมงคล ?
ตอบ : การปฏิบัติธรรมแรก ๆ ก็ต้องพึ่งพิงข้างนอก พอนาน ๆ ไปจิตใจเกิดความมั่นคงขึ้นมา ก็ไม่ต้องพึ่งข้างนอกแล้ว แต่ว่าบุคคลที่มีปัญญา โดยความไม่ประมาท ใส่เกราะเอาไว้ย่อมปลอดภัยกว่า อาตมาเองก็พกวัตถุมงคลเป็นปกติ

เถรี
21-09-2014, 15:45
ถาม : คุณแม่ฝากมาถามว่าปฏิบัติธรรมแล้วไม่ขึ้นหน้า ไปต่อไม่เป็นครับ ?
ตอบ : ฉะนั้น..ก็จงไม่เป็นต่อไป เมื่อไม่สามารถจะบอกได้ว่าทำไปถึงตรงไหนแล้ว ใครจะบอกต่อได้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ?

ถาม : เหมือนกับไม่รู้จะพิจารณาอย่างไร เหมือนเป็นทางว่าง ๆ ?
ตอบ : ต้องให้ท่านมาเอง เพราะรายละเอียดอื่นมีมาก อาตมาซักถามไปคุณก็ตอบไม่ได้หรอก ส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่ก้าวหน้า ถ้าไม่ใช่ทำเกินก็ทำขาด ปัจจุบันนี้หาคนทำเกินไม่ได้หรอก..มีแต่ขาด

เถรี
21-09-2014, 15:49
ถาม : ได้ยินเสียงปั้ง ๆ ๆ ๆ แวบแรกที่ได้ยิน ก็ตกใจกลัวนิดหนึ่ง ?
ตอบ : เป็นธรรมดา ไม่ว่าใครก็ตามที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ย่อมกลัวตายทั้งนั้น อย่าลืมว่าความกลัวทุกชนิด มีสมุฏฐานมาจากความกลัวตาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เถรี
21-09-2014, 15:51
พระอาจารย์กล่าวถึงเสื้อยันต์เกราะเพชรพิชัยสงครามว่า “ถ้าจะให้ดีก็ให้ซักตัวเดียว อย่าไปปนกับเสื้ออื่น”

เถรี
22-09-2014, 09:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเกจิอาจารย์ของอยุธยาช่วงนี้ มีหลวงพ่อรวย วัดตะโก หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน เวลานิมนต์พุทธาภิเษกเขาก็เอา “รวย เพิ่ม พูน” ต้องบอกว่าชื่อของท่านได้เปรียบ

หลวงปู่พูน วัดบ้านแพน ท่านน่ารักมาก เจอหน้ากันทีไรท่านก็ให้ความรู้ตลอด ต้องบอกว่าท่านเป็นอาจารย์ที่ไม่หวงวิชา คุยกันไปท่านก็ช่วยแนะนำตลอด ที่ขำที่สุดคือไปรับพระครูพร้อมกัน บอกว่า “หลวงพ่อ หลวงพ่ออยู่มาจนเกือบ ๘๐ ปีแล้วนะ นี่ผมเพิ่ง ๕๐ กว่า ฉะนั้น..ผมถือว่าผมมาเร็วแล้วละ”

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเล่าเรื่องให้ฟังว่า ไปเจอหลวงพ่อรูปหนึ่งปลุกเสกปลัดขิก ปลักขิกก็ดิ้นดุ๊กดิ๊ก ๆ แล้วก็หล่นจากมือได้ ท่านก็บอกว่า “ข้ากำหนดใจดูแล้ว ก็ไม่ได้มีพลังอะไรเลย แล้วทำให้ปลัดขิกดิ้นได้อย่างไรวะ ?” แล้วท้ายสุดท่านก็สังเกตมือ คือเขาเสกในอุ้งมือ ๒ มือแล้วซ่อนนิ้วก้อยพับไว้ด้านใน พอถึงเวลาก็ใช้นิ้วก้อยช่วยดัน ไปเจอคนเป็นเข้าเขาก็ดู ไอ้นี่พลังสมาธิไม่มีเลย แล้วทำให้ปลัดขิกดิ้นได้อย่างไร ? ความลับเลยแตก

แล้วก็มีหลวงปู่หวล วัดพุทไธศวรรย์ โยมไปถามท่านเรื่องหลวงพ่อเสือดำ เสกจตุคามแล้วดิ้นจากบาตรได้ ท่านบอกว่า “เอ็งเห็นหรือเปล่า เขาเสกท่านี้ (ท่านทำท่าเขย่าให้ดู) แบบนี้ข้าก็เสกให้ดิ้นได้” หลวงพ่อหวลนี่พูดชัดมากเลย แล้วเวลาพระแก่ ๆ ท่านอยู่ด้วยกัน มีหลวงพ่อหวล หลวงพ่อแขก หลวงพ่อพูน ส่วนอาตมาก็เป็นพระเล็กเด็กน้อย ดันโดนนิมนต์ไปร่วมปลุกเสกด้วย ก็ไปนั่งอยู่ในวง ได้ความรู้เพียบเลย ท่านบอกว่า “เขาเสกท่านี้ ข้าก็เสกได้ อย่างไรเดี๋ยวก็เขย่าจนกระเด็นออกจากบาตรเองแหละ” ท่านทำท่าเขย่าให้ดูเลย

เดี๋ยวนี้หลวงพ่อหวล หลวงพ่อแขก เป็นเจ้าคุณกันหมดแล้ว ยังเหลือหลวงพ่อพูนว่าเมื่อไรจะได้เป็นบ้าง เพราะว่ายังเป็นพระครูอยู่ รู้สึกว่าแต่ละปีเขาจะมีตำแหน่งเจ้าคุณให้ฝ่ายพระเกจิอาจารย์ด้วย จะมีคำว่า "มงคล" อยู่ในพระราชทินนามให้รู้ว่ายกขึ้นมา เพราะว่าท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากจริง ๆ

อย่างหลวงปู่สุภา ถ้าไม่ได้อยู่ถึงร้อยกว่าปี ก็คงไม่ได้เหมือนกัน ไปได้เป็นพระมงคลวิสุทธิ์ ตอนอายุ ๑๑๔ ปี ถ้าอยู่ไม่ถึงจะได้เป็นไหม ? นึกถึงอีกท่านก็หลวงพ่อสำราญ วัดปากคลองมะขามเฒ่า อายุ ๘๑ ปี แล้วค่อยเป็นพระมงคลชัยสิทธิ์ อาตมาไปกราบถวายมุทิตาสักการะท่าน ถามว่า “หลวงปู่เป็นอย่างไรบ้างครับ เป็นเจ้าคุณแล้วหนักขึ้นบ้างไหม ?” ท่านบอกว่า “เฮ้ย..ข้าก็ทำความดีมา เขาก็ต้องเห็นบ้างสิวะ” โห..เห็นเร็วมากเลยครับหลวงปู่ มาเห็นเอาตอน ๘๐ กว่า ถ้าตายก่อนก็ไม่ได้กับใครหรอก

บางทีเวลาพระเกจิอาจารย์ท่านอยู่ด้วยกัน แล้วท่านไม่มีอะไรจะคุย ท่านก็นั่งกันเงียบ ๆ ส่วนอาตมาเป็นพระเล็กเด็กน้อย เข้าไปขอความรู้เรื่องนี้เรื่องนั้น พอท่านพูดกันขึ้นมา ท่านนั้นนึกได้ ท่านนี้นึกได้ ก็ช่วยเสริมให้ สนุกสนาน"

เถรี
22-09-2014, 10:06
ถาม : เคยได้รับตะกรุดจากหลวงพ่อพูนมา ท่านก็สอนว่าให้ใช้อย่างไร ?
ตอบ : "ถึงเวลาจะสู้เอาไว้ข้างหน้า ถึงเวลาจะหนีเอาไว้ข้างหลัง เข้าหาผู้หญิงเอาไว้ข้างซ้าย เข้าหาผู้ใหญ่เอาไว้ข้างขวา" ท่านแนะนำหมด หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพนนี่ ต้องบอกว่าถ้านับแล้วก็เป็นสายเดียวกัน เพราะว่าหลวงพ่อพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อฤๅษี อาตมากราบเรียนถามหลวงพ่อพูนว่า “พระครูรัตนาภิรมย์วัดบ้านแพนมี ๒ องค์ องค์ไหนที่เป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อฤๅษีครับ หลวงปู่จ้อยหรือหลวงปู่อยู่ ? ” ท่านบอกว่าหลวงปู่อยู่ เพราะว่าหลวงปู่จ้อยไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

พระอุปัชฌาย์สมัยนั้นเขาก็แต่งตั้งเหมือนกัน ถ้าไม่ได้รับการแต่งตั้งก็เป็นพระอุปัชฌาย์ไม่ได้ อาตมาเองไปคิดว่าเป็นหลวงปู่จ้อยอยู่ตั้งนาน เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเอ่ยถึงหลวงปู่จ้อยหลายครั้ง แล้วท่านก็งอนิ้วไล่ให้ฟังว่า เจ้าอาวาสตั้งแต่รูปแรกของวัดบ้านแพนมีใครบ้าง จนกระทั่งมาถึงท่าน โห...อายุ ๘๐ นี่ความจำเป๊ะเลย พ.ศ.นั้นถึงพ.ศ.นั้นไม่มีพลาดเลย

ถาม : เป็นความจำหรือความเป็นทิพย์คะ ?
ตอบ : พระที่ปฏิบัติสมาธิภาวนาส่วนใหญ่ความจำจะดี ต้องบอกว่าเป็นความเคยชินด้วย ท่านอยู่วัดของท่านมา ท่านย่อมรู้ว่าเจ้าอาวาสเดิม ๆ เป็นใครบ้าง แต่ถึงขนาดบอก พ.ศ.ละเอียดนี่เราต้องคิดนะ เป็นเราก็จำได้ว่านี่องค์ที่ ๑ องค์ที่ ๒ ไม่ถึงขนาดบอก พ.ศ.ได้ นี่ท่านเล่นไล่ ๑,๒,๓ แต่ละรูปตั้งแต่ พ.ศ. ไหนเลย อยุธยาอย่างหนึ่ง นครปฐมอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยขาดพระเกจิอาจารย์ จะต้องมีต่อเนื่องกันมาเรื่อย

เถรี
22-09-2014, 10:10
นครปฐมถ้าขาดหลวงปู่แผ้วแล้วก็คงเหลือรุ่นหลัง รุ่นหลังก็มีหลวงพี่ยุ่ง วัดปลักไม้ลาย หลวงพี่โรจน์ วัดสระพัง อย่างไรคงไปไม่ถึงหลวงพี่น้ำฝนหรอก เสาร์อาทิตย์อย่าวิ่งถนนเส้นนั้นนะ รถออกมาจากวัดหลวงปู่แผ้วนี่ เจ้าประคุณเถอะ..พารถติดไปทั้งสายเลย ท่านอาจารย์สังเวียนนี่ได้เปรียบ ทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลตอนนั้น ทำตะกรุดเป็นคันรถสิบล้อเลย ถึงเวลางานก็เอาออกจำหน่าย จำหน่ายทีรายรับเป็นล้านเพราะว่าท่านจะเปิดวีดิโอที่เขาลองตะกรุดหลวงปู่แผ้วกันให้ดูเลย

ท่านเคยพูดถึงทีหนึ่งเป็นใครจำไม่ได้ ที่พระรูปนั้นเวลาแจกวัตถุมงคลแล้วเอาขวานฟันหลังให้ ท่านบอกว่า “เอ็งเห็นไหม ?” ตอบว่า "เห็นครับ" ท่านก็บอก “รู้แล้วสิ ?” "รู้ครับ" คือท่านจะเอาขวานวางบนโต๊ะ เอาขวานไถกระดาษขาด แล้วก็ฟันหลังคนปั้ก..! ไม่เป็นไร ขวานนั้นมีคมอยู่แค่มุมหลังนิดเดียว นอกนั้นเขาลบคมหมด เพราะฉะนั้น..เวลาตัดกระดาษท่านจะต้องไถขึ้นหน้าอย่างเดียว ไม่สามารถจะไถกลับหลังได้ ไถกลับหลังกระดาษจะไม่ขาด แล้วเวลาฟันเอาหน้าขวานกินเต็ม ๆ มุมขวานด้านหลังที่มีคมนิดหนึ่งที่งอขึ้นก็ไม่โดน หรือถ้าใครโดนก็จะเป็นรอยเลือดไหลอยู่ด้านล่างนิดหนึ่ง เขาก็คิดว่า โอ๊ย..ฟันแรงขนาดนั้นเลือดออกนิดเดียวเอง เหนียวจริง ๆ

เวลาไปอยู่ ๆ กับพวกนี้แล้วก็ เออ..คนที่ไม่มีความสามารถ ก็พยายามแหกตาให้ชาวบ้านเขาคิดว่ามี ส่วนท่านที่มีความสามารถจริง ๆ ท่านก็นั่งเงียบ ๆ ถึงเวลาคนก็หยิบขวานของท่านไม่ได้ เพราะท่านใส่ย่ามไปเลย ถ้าหยิบขวานมาดูก็จะรู้ มีคมอยู่ตรงปลายหลังหน่อยเดียว ฉะนั้น..เวลาท่านตัดกระดาษท่านจะต้องไถขึ้นหน้า ถ้าขวานคมจริงก็หยิบกระดาษมาตัดให้เขาดูเลยสิ นี่ต้องวางกระดาษกับพื้นแล้วไถเอา

เถรี
22-09-2014, 10:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "นักเลงสมัยก่อนต้องเก่งจริง ไม่อย่างนั้นไม่ดังหรอก สมัยก่อนนี่แค่ประเภทหัวแตกเขาถือว่าหมดทางหากินแล้ว ไม่เก่งจริง ไม่เหนียวจริง ฉะนั้น..คนสมัยก่อนเขาจะสอนวิธีว่า ตีคมแฝกตีแบบไหนเป็นการตีสั่งสอน ตีแบบไหนที่จะเอาให้ตายเลย

คมแฝกมีแค่ ๒ จังหวะ จังหวะตีจริงกับจังหวะตีหลอก เขาเรียกไม้ยั่วกับไม้ยับ คมแฝกสมัยก่อนมักจะใช้ไม้มะเกลือ อาศัยตัวไม้อย่างเดียวก็หนักอย่าบอกใคร สมัยเด็กอาตมาเคยเล่นอยู่ระยะหนึ่ง แต่ว่าไม่ประทับใจ สู้หนังสติ๊กไม่ได้ หลวงปู่อินทร์ท่านบอกว่า “หนังสติ๊กดีที่สุดไอ้หนู เหนียวเท่าเหนียว ถ้าโดนเข้าไปก็ร้องจ๊ากทุกรายแหละ” ถามว่าทำไม ? ท่านว่ากระสุนดินเป็นปฐวีธาตุ ล้างอาถรรพ์ได้ ฉะนั้น..กระสุนดินยิงไปเถอะ เหนียวเท่าเหนียวก็จุกหน้าเขียว"

เถรี
22-09-2014, 11:23
ถาม : ป้าเขาบูชาพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านไป เขาอยากให้เป็นมงคลแก่ชีวิต จึงฝากถามว่า ควรจะเริ่มบูชาติดตัววันไหนดี ?
ตอบ : เริ่มได้เลย แต่ที่สำคัญคือให้ภาวนาคาถาเงินล้านทุกวัน บอกป้าว่าต้องขยันนะ

เถรี
22-09-2014, 11:40
ถาม : ศาลพระภูมิตั้งผิดทิศ จะถอน ?
ตอบ : ให้จุดธูปบอกว่ากล่าวท่านก่อน ว่าขออนุญาตย้ายไปในทิศที่ถูกต้อง ขอให้ช่วยให้มีความสุขความเจริญด้วย แล้วก็ย้ายไปเถอะ

ถาม : หนูจะนำท่านท้าวมหาราชใส่ไว้ในศาลด้วย ?
ตอบ : ก็ได้อยู่ แต่ท้าวมหาราชท่านเป็นเจ้านายของพระภูมิ ควรจะตั้งอยู่ที่ศาล ๔ เสาไม่ใช่ตั้งที่ศาลพระภูมิ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เสียดาย ไม่ต้องไปตั้งที่ศาลหรอก เอาบูชาไว้ที่หิ้งพระของเรานั่นแหละ ดีกว่าด้วย กราบพระจะได้กราบท่านไปด้วย

ถาม : แม่เขาจะถอนออกเลย ให้มีแต่ศาลตี่จู้เอี้ย ?
ตอบ : ถ้าถอนออกอย่างไรก็ต้องสร้างใหม่ บอกคุณแม่ด้วยแล้วกันว่า ถ้าถอนออกต้องสร้างใหม่ ไปถอนออกเฉย ๆ เดี๋ยวเป็นเรื่อง

เถรี
22-09-2014, 11:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสกวัตถุมงคลที่ไม่ใช่รูปพระให้มีอานุภาพเหมือนพระนี่สาหัสเลย อาตมาพยายามเลี่ยงสุดชีวิต วัตถุมงคลที่ปลุกเสกง่ายที่สุดคือพระพุทธรูป เพราะว่าเป็นพระอยู่แล้ว ถ้าวัดไหนนิมนต์ไปปลุกเสกพระพุทธรูปจะชอบใจมาก"

ถาม : พระปิดตาคือพระสงฆ์หรือครับ ?
ตอบ : พระปิดตาก็คือพระสงฆ์ อยู่ในพระรัตนตรัยก็ง่ายหน่อย ถ้าหลุดจากพระรัตนตรัยนี่ลำบาก อาตมาถึงได้ชื่นชมหลวงปู่หลวงพ่อที่ทำเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะท่านที่สามารถเสกให้อานุภาพเหมือนพระได้

เถรี
22-09-2014, 12:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงบ่ายวันจันทร์ถ้าใครไม่ติดงานก็เจอกันที่วัดราชคฤห์ ถ้าครูบาต้นบุญมาด้วย ก็จะเห็นคนที่เอาปืนลองวัตถุมงคลกันตรง ๆ เสียดายที่อาตมาเป็นพระจึงใช้ปืนไม่ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านรับรองไว้ว่า วัตถุมงคลเหนียวแค่ไหน อาตมาก็ยิงออก เพราะกำลังใจเกินวัตถุมงคล หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเองก็กำลังใจเกินวัตถุมงคล คือยิงออก ท่านบอกว่าถ้าไม่ใช่วาระกรรมจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาตายได้

สมัยที่หลวงพ่อท่านขึ้นจากเรือหลวงธนบุรีเพราะว่าเรือไปจมที่เกาะช้าง ก็เท่ากับว่าท่านตกงาน ไม่มีเรือให้ประจำการ ทางกรมตำรวจจึงขอตัวไปเอาไปปราบพวกอ้ายเสือที่หนังเหนียว เพราะหลวงพ่อทั้ง ๓ องค์เป็นประเภทยอดฝีมือ ถ้าเราอ่านประวัติหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าเฉพาะพวกที่สุดยอดที่ท่านต้องไปยิงทิ้ง เพราะตำรวจอื่นปราบไม่ได้ ก็มีตั้ง ๓๐ กว่าราย

คราวนี้ที่พื้นที่อยุธยามีขาใหญ่อยู่ท่านหนึ่ง ไม่ใช่โจร แต่เหมือนกับเป็นหัวหน้าชุมโจร เพราะว่าเวลาโจรไปปล้นวัวปล้นควายใครมา ก็แวะบอกกับเขาว่าซ่อนไว้ที่ไหน ต้องการค่าไถ่เท่าไร ถ้าเจ้าของมาตามก็ให้บอกเขาด้วย ถ้าเจ้าของเอาค่าไถ่มาส่ง ก็ให้บอกว่าวัวควายอยู่ที่ไหน ตำรวจพยายามจะจับแต่จับแกไม่ได้ เพราะว่ายิงไม่ออก จะค้นบ้านแกบอกไม่ให้ค้น "บ้านข้า ถ้าขึ้นมาค้น พ่อฟันหัวขาดเลย" แกยืนถือดาบอยู่บนบันได ตำรวจจะยิงก็ยิงไม่ออก ขึ้นไปโดนฟันหัวขาดเอาจริง ๆ

ปรากฏว่าพอทางกรมตำรวจขอให้หลวงพ่อไปปราบ ท่านบอกว่า ไปถึงความรู้สึกบอกเลยว่าคนนี้ฆ่าไม่ได้ เพราะว่าเขามีของดีจริง ไปถึงก็ตะโกนเรียก เขาก็ถาม "ไอ้หนูมาทำอะไร ?" "มาขอเลือดลุงเซ่นปืนหน่อย" นักเลงเขาคุยกันอย่างนี้ เขาก็หัวเราะ "ถ้าเอ็งสามารถเอาเลือดข้าออกได้แค่แมลงวันกินอิ่ม ข้ายอมกราบตีนเอ็งเลย"

หลวงพ่อท่านก็เลยต้องยิง ยิงเฉียดสะโพกให้ได้แผลหน่อยหนึ่ง เขายอมกราบจริง ๆ บอกว่า "คนดีมาแล้ว" ตอนหลังหลวงพ่อท่านก็เลยขอร้องว่า มีความสามารถขนาดนี้ให้มาช่วยราชการดีกว่า ก็เลยแนะนำทางกรมตำรวจไป ทางกรมตำรวจก็เลยบรรจุเข้ารับราชการ รู้สึกว่ายศสุดท้ายเป็นร้อยตำรวจเอกขุนบำราบปรปักษ์ พอแกไป ชุมโจรภาคกลางนี่ยอมหมด ไม่มีใครยิงออก แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าท่านยิงออก แต่ฆ่าเขาไม่ได้ ความรู้สึกบอกชัดว่า คนนี้ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ต้องปล่อยไปตามวาระ

พอมีคนทำหน้าที่แทน ไม่นานหลวงพ่อท่านก็มาบวช ไม่อย่างนั้นคงมีอีกหลายศพ ท่านบอกว่าเฉพาะพวกหนังเหนียวที่ตำรวจปราบไม่ได้ ท่านยิงไป ๓๐ กว่าศพ ตอนบวชนี่มานอนเป็นทางเลย เขาไม่ยอมอโหสิกรรมให้ ต้องประเภทนั่งกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตา บวชพระให้ตั้งหลายปี กว่าเขาจะยอมยกโทษให้

ถ้าเป็นอาตมามีคนมาขอเลือดเซ่นปืน ก็ต้องคุยกันหน่อย นักเลงท้ากันชัดมากเลย"

เถรี
22-09-2014, 12:23
"หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ได้ยิงปืนแม่นตั้งแต่แรกหรอก แต่เกิดจากการฝึก ช่วงนั้นเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เป็นเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ มีพลเรือตรีพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นนายทหารเรือที่มีชื่อเสียงมาก ท่านว่าวันนั้นเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ เรียกพบ พอ ๓ คนไปถึง เข้าไปเจอเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ กำลังเสวยน้ำจัณฑ์ก็คือสุรา อยู่กับเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ พอท่านเห็นหน้าก็อยากลองฝีมือ ตรัสว่า "เฮ้ย..แกเอามะม่วงลงมาทำน้ำปลาหวานแกล้มเหล้าหน่อย" หลวงพ่อวัดท่าซุงพอได้ฟังก็รู้ท่า ชักปืนยิงเปรี้ยง มะม่วงกระจาย เสด็จในกรมหลวงชุมพรท่าว่า "ทุด..ยิงแบบนั้นจะได้แดกหรือวะ ?" แล้วพระองค์ก็แสดงให้ดู ยิงตัดขั้วมะม่วงลงมาเลย บอกว่ายิงแบบเอ็งไม่ได้แดกหรอก วันนั้นที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ แวะไปหาเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ เพราะว่าฝรั่งเศสเอาเรือรบมาปิดอ่าว แล้วเขาก็แสดงฝีมือให้คนไทยดู ฝรั่งเศสให้ทหารไทยคาบบุหรี่ไว้ แล้วก็ยิงตัดบุหรี่ได้

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ท่านบอกว่าหยามเกียรติทหารไทย ท่านจะลงไปเล่นด้วยก็คนละชั้น ท่านเลยมาหาทหารที่มีฝีมือไปแสดงแบบเดียวกันบ้าง เสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ ก็แนะนำ ๓ ทหารเสือของท่าน แต่ฝีมืออย่างนี้ยังสู้เขาไม่ได้ ท่านบอกว่าให้ไปฝึกยิงให้ได้อย่างเขา อนุมัติให้เบิกกระสุนได้ไม่อั้น ตอนหลังท่านก็ถ่ายทอดคาถากระสุนคด ประเภทยิงไปข้างหน้าไปถูกเป้าข้างหลังอะไรได้

เสียดายว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตเหมือนเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ เพราะว่าท่านอยู่ยงคงกระพัน ชอบไปหาหลวงปู่หลวงพ่อเพื่อศึกษาวิชา มีคนไปยุยงในหลวงรัชกาลที่ ๖ ว่าท่านจะชิงบัลลังก์ จึงโดนกดเอาไว้ ส่วนเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ ได้รับความวางพระราชหฤทัย ดำรงตำแหน่งใหญ่ ๆ โต ๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ โดนถอดยศ พอโดนถอดยศท่านก็ไปศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ช่วยรักษาชาวบ้านจนเขาเรียกกันว่า "หมอพร"

จำไว้ว่าลูกผู้ชายไทยต้องรักชาติ ขนาดฝรั่งให้คาบบุหรี่แล้วยิงให้ดู ถือว่าหยามเกียรติกัน ต้องทำให้ได้อย่างนั้น..!"

เถรี
22-09-2014, 13:07
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนปี ๒๕๒๘ วัดท่าซุงงานยังไม่เร่งรัดมาก ตอนเย็น ๆ หลวงพ่อท่านยังแข็งแรง ท่านก็จะเดินตรวจงานรอบวัด พอตรวจงานเสร็จท่านจะมานั่งพักที่ม้านั่งหินอ่อน ตรงหน้าซุ้มประตูวัดหน้าโบสถ์ ตอนนั้นใครจะคุยเรื่องอะไรก็ได้ ท่านคุยด้วยหมด ถ้าเวลาทั่ว ๆ ไปคุยนอกทุ่งนอกท่าไม่เป็นอรรถไม่เป็นธรรมโดนทั้งนั้น

ช่วงนั้นเป็นช่วงผ่อนคลาย เห็นงานเรียบร้อยสบายใจดีท่านก็นั่งคุย แต่หลวงพ่อท่านไปไหนก็มีหมาเป็นองค์รักษ์ ต่อให้ไม่มีพระตาม หมาก็ตาม ตัวแรกก็ "แม่นม" พอแม่นมตายก็เป็น "โคล่า" ลูกแม่นมมาทำหน้าที่แทน รุ่นพวกเราทันแต่โคล่ากระมัง หลายคนก็ไม่ทัน"

เถรี
22-09-2014, 13:08
ถาม : พวกน้ำหมักต่าง ๆ รักษาโรคได้จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โบราณเขาบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา บางคนเหมาะกับยาบางอย่าง ดังนั้น..แม้ว่าบางคนรักษาหาย คนอื่นก็ไม่แน่ว่าจะหาย คนที่รักษาหายเขาก็บอกว่าจริง คนที่รักษาไม่หายเขาก็บอกว่าไม่จริง แต่ถ้าเป็นคำแนะนำของอาตมาก็คือ ถ้าราคาไม่แพงมากนักก็ลองดู ถ้าหายก็ถือว่ากุศลยังพอมีอยู่ ถ้าไม่หายก็เสมอตัว ทนป่วยต่อไป

เถรี
22-09-2014, 13:09
ถาม : ผมนั่งสมาธิรู้สึกแค่ฌาน ๑, ๒, ๓ หลังจากนั้นตัวก็ลอยไปตามที่ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมจริง บางครั้งเจอบางคนมาชวนคุยในเรื่องต่าง ๆ พอเราสนใจก็กลับมามีความรู้สึกที่ร่างกายเดิม อยากถามว่าตอนที่ลอยออกไปเป็นฌานอะไรครับ ?
ตอบ : เรื่องของสมาธิ โดยเฉพาะในส่วนของทิพจักขุญาณ หรือในส่วนของมโนมยิทธิ ถ้าเราเห็นได้จะเป็นส่วนของอุปจารสมาธิ ถ้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้จะเป็นกำลังของฌาน ๔

ถาม : ตอนที่ลอยออกไปแล้ว ให้ภาวนาต่อ รู้ลมหายใจ หรือคิดเรื่องเฉพาะหน้า ไม่สนใจเรื่องการภาวนาหรือลมหายใจ ?
ตอบ : ถ้าเรากลับมาดูลมหายใจและการภาวนา เท่ากับดึงจิตกลับมาสู่สภาพที่ต่ำกว่า ถ้าดึงกำลังใจมาที่ต่ำกว่าก็ไม่สามารถไปไหนได้ เพราะความรู้สึกทั้งหมดจะกลับมาที่กายเดิม ดังนั้น..ไม่ควรสนใจลมหายใจเข้าออกหรือเรื่องของร่างกาย ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้าตอนนั้น

ถาม : ทำไมตอนที่ออกไปแล้วถึงไม่ใช่สภาพแวดล้อมจริง ?
ตอบ : คุณรู้อย่างไรว่าไม่ใช่สภาพแวดล้อมจริง เนื่องจากว่าเราไปในเขตของความเป็นทิพย์ สภาพแวดล้อมนั้นเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นทิพย์ จะว่าไปแล้วคือสภาพแวดล้อมที่แท้จริง ที่เราเจอทุกวันนี้ของปลอมล้วน ๆ แต่สภาพแวดล้อมที่เป็นทิพย์จริงเฉพาะระดับนั้น มีสภาพที่จริงกว่านั้น ละเอียดกว่านั้นอีก ค่อย ๆ ทำไป

ถาม : เราควรสนใจคนที่มาชวนคุยหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงอยู่ที่หนึ่งที่ใด เขาชวนคุยก็คุยด้วย มีโอกาสก็ถามหวยมาแบ่งกันบ้าง..!

เถรี
22-09-2014, 13:13
ถาม : ทำอย่างไรถึงจะอยู่ในสภาพที่กายในออกไปได้นาน ๆ ?
ตอบ : ต้องซักซ้อมเรื่องของกำลังสมาธิให้สูงขึ้น และมีความคล่องตัวมากขึ้น ถ้ากำลังสมาธิของเราไม่เพียงพอ ออกไปได้ระยะหนึ่งกำลังตก ก็จะกลับคืนสู่ร่างกายตามเดิม หรือว่าเกิดอะไรที่น่าสนใจขึ้นเกี่ยวกับร่างกาย สภาพจิตจะกลับสู่ร่างกายเอง ก็ไม่สามารถไปต่อได้ ในส่วนที่กำลังตกนั้น ในเมื่อสมาธิของเรากำลังไม่พอ ให้สังเกตว่าความชัดเจนจะหมดไปก่อน หลังจากนั้นพอจิตดึงกลับสู่ร่างกาย ความชัดเจนจะไม่มี จะหายไปเลย

ถาม : ตอนที่ออกไปทำไมไปสวรรค์หรือพระนิพพานไม่ได้ หรือเพราะหาไม่เจอ ?
ตอบ : อันนี้เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ ที่สำคัญที่สุด คือไม่ได้พิจารณาตัดร่างกาย ถ้าเราพิจารณาจนเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง สภาพจิตไม่เกาะไม่ห่วงในร่างกาย ก็สามารถที่จะออกไปได้โดยง่าย แล้วจะรู้เห็นได้ละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้น

ข้อที่ ๒ คือ เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่าจะไปที่ไหน นั่งสมาธิจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ให้ตั้งใจว่าเราจะไปที่ไหน แล้วภาวนาต่อไป เมื่อสภาพจิตหลุดออกไป จะตรงไปยังสถานที่ที่เราต้องการ การที่เราออกไปแล้วไปไหนไม่ถูก บางคนออกไปแล้วมืดมาก เปะปะไปหน้าไปหลัง ไปซ้ายไปขวา ไปไม่ถูกแล้วย้อนก็กลับร่างกายตัวเอง ให้รู้ว่าเป็นเพราะเราขาดการพิจารณาวิปัสสนาญาณ ถ้าพิจารณาตัดร่างกายได้ละเอียดเท่าไร ก็สามารถรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ละเอียดเท่านั้น ก็แปลว่านอกจากไม่ได้ตัดร่างกายแล้ว เรายังไม่ได้ตั้งเป้าไว้ด้วยว่าออกไปแล้วจะไปไหน ก็เลยหาสวรรค์หาพระนิพพานไม่เจอ

ถาม : คนที่เข้ามาชวนคุยเป็นใครครับ ?
ตอบ : ตรงนี้ความจริงไม่ต้องถาม ในสภาพความเป็นทิพย์ ทันทีที่อยู่ต่อหน้าเขา สภาพจิตจะรายงานว่าเขาเป็นใคร ถ้าไม่มั่นใจให้ถามเขาด้วยตัวเราเอง ในเขตอื่นเขาไม่มีการโกหกกัน

ถาม : ถ้าทำสมาธิจนกายในออกไปได้แล้ว ต้องทำอย่างไรถึงจะก้าวหน้าในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ?
ตอบ : เป็นคำตอบที่ได้ตอบไปแล้วคือ หมั่นพิจารณาในวิปัสสนาญาณต่าง ๆ เอาไว้ ให้รู้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีอะไรที่ควรแก่การยึดถือมั่นหมาย เราออกไปในลักษณะนั้นจะเห็นชัดมาก เพราะเหมือนกับการถอดเสื้อ หรือเหมือนกับเราขับรถแล้วออกจากรถไป จะเห็นว่าเสื้อไม่ใช่ตัวเรา รถยนต์ไม่ใช่ของเราอย่างชัดเจน ในเมื่อร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายของคนอื่นก็ไม่ใช่ของเรา

ถ้าเห็นกว้างออกไป เออ...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่ของเราเลย ไม่มีอะไรควรค่าแก่การยึดถือมั่นหมายทั้งหมด ควรจะพิจารณาบ่อย ๆ ทุกวัน ๆ วันละหลาย ๆ รอบ ยิ่งพิจารณาละเอียดมากขึ้นเท่าไร ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะยิ่งมีมากเท่านั้น

เถรี
22-09-2014, 13:14
ถาม : ถ้าเราซื้อวัตถุมงคลมาในราคาถูก แล้วเก็บไว้ขายแพง ๆ จะบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าอีกฝ่ายยินดีซื้อต่อในราคาแพงก็ไม่บาป ถ้าเราไปบีบคอให้เขาซื้อในราคาแพงก็บาป

เถรี
23-09-2014, 09:26
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้รายจ่ายที่หนักของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย กลายเป็นพวกเครื่องเสียง ไฟฟ้า พัดลม ตอนแรกจะติดเครื่องปรับอากาศ ปรากฏว่ากำลังไฟไม่พอ เขาดูแล้ว พื้นที่หนึ่งไร่แล้วสูงตั้ง ๘ เมตร เครื่องปรับอากาศขนาด ๒๘,๐๐๐ บีทียู ชั้นหนึ่งต้องใช้ ๕๐ ตัวถึงจะพอ ในเมื่อกำลังไฟไม่พอ ก็เลยเปลี่ยนเป็นพัดลมแทน ติดพัดลมไม่ต้องนับตัวกันเลย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไม่เย็น

ชั้นสองก็ติดเท่ากับชั้นแรก ยกเว้นไฟฟ้าแสงสว่างที่ลดกำลังวัตต์ลงได้ เพราะแค่สูง ๔ เมตร เพดานเตี้ยกว่า อะไรที่เราคิดว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่น่าจะมาก เช่น มุ้งลวดเหล็กดัด หน้าต่างกระจก ของชั้นแรกโดนไปสองล้านกว่าบาท เหล็กดัดชั้นเดียว ช่างตีราคามาล้านสี่แสนกว่าบาท เพราะว่าทำทั้งทีก็อย่าให้น่าเกลียด จึงสั่งทำเป็นเสตนเลส คราวนี้ช่องหน้าต่างแต่ละช่องยาวเกือบ ๘ เมตร แต่ละช่องเท่ากับรั้วบ้านเลย จะไม่ติดก็ไม่ได้ เพราะจะเอาพระพุทธรูปเก่าที่มีราคาไปไว้ให้โยมได้เห็น ได้กราบ ได้ไหว้ รู้สึกว่าท้าทายดีเหมือนกัน เผื่อจะมีคนระเบิดตึกเข้าไปขโมย

ขนาดย้ำกับช่างว่าไม่ใช่กระชากทีเดียวหลุดนะ ต้องแข็งแรงที่สุด ช่างบอกว่าขอเวลาดำเนินการ ๓ เดือน แค่มุ้งลวดเหล็กดัดอย่างเดียวใช้เวลา ๓ เดือน ที่จะใช้ศาลาในงานทำบุญถวายหลวงปู่สาย วันที่ ๑๔ กันยายนคราวนี้ยังไม่มีพระประธาน พระประธานจะหล่อปีหน้า ในส่วนของไฟฟ้าแสงสว่าง พัดลมและพระประธาน พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม วัดปากน้ำภาษีเจริญและคณะศิษย์ ขอเป็นเจ้าภาพทั้งหมด ส่วนเครื่องเสียงนั้น ชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต โดยคุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา ขอเป็นเจ้าภาพ จะจัดเป็นผ้าป่าไปถวายเป็นค่าเครื่องเสียงทั้งหมดในศาลา

มณฑปตั้งพระพุทธรูปทองคำนั้น คาดว่ากว่าที่ช่างจะทำให้ได้ก็ต้องปีหน้า ช่วงนี้กำลังถ่ายแบบอยู่ ออกแบบแล้วต้องมาเขียนรายละเอียด กว้างเท่าไร สูงเท่าไร ขั้นตอนนี้ช้ามาก ช่างต้องคำนวณละเอียด เสร็จแล้วต้องเอาช่างฝีมือระดับสุดยอดเซียนมาทำ นอกจากช้าแล้วยังแพงอีกต่างหาก

เคยเห็นบุษบกตั้งพระธาตุหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่สิงห์ หลวงปู่มั่นไหม ? จะทำหน้าตาแบบนั้นแหละ จะเป็นบุษบกลักษณะเหมือนกับเรือแล้วมี ๓ ยอด ของเราจะเพิ่มบุษบกเล็ก ไว้สำหรับพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว สำหรับพระพุทธรูปทองคำองค์เล็กและ พระพุทธรูปหยกองค์เล็ก ช่างไปออกแบบเป็นปีแล้ว ออกแบบไม่นาน แต่ถ่ายแบบช้า เพราะต้องแจงรายละเอียดออกมาว่า แต่ละชิ้นกว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ใช้วัตถุแบบไหน กะว่าให้เวลาเขาสัก ๒ ปี พอเสร็จที ให้โยมเข้าไปเห็นก็ โอ้โห..อลังการ จะตั้งพระทองคำทั้งที เอาให้สวยแบบสุด ๆ ไปเลย ไม่ต้องไปเสียดายเงิน"

เถรี
23-09-2014, 09:31
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปรดน้ำศพป้านิภาและช่วยเอาลงโลง ป้าเขาไปง่าย ๆ เลย นั่งคุย ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็เงียบไปเฉย ๆ กว่าลูกหลานจะรู้ หมดลมไปสักพักหนึ่งแล้ว ป้านิภาอายุ ๙๑ ปี ไม่เสียทีที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ปฏิบัติธรรมมาตลอด ป้านิภาตายแล้วไปดี

เขาบอกว่ารดน้ำศพ ๔ โมงเย็น จัดงานศพที่วัดรางขามที่บ่อพลอย อยู่ใกล้ ๆ จุฬามณีที่ป้าเขาอยู่ อาตมาวิ่งจากกรุงเทพฯ ไป พอเอาศพลงเรียบร้อย มอบปัจจัยให้ลูกสาวป้า ๑๐,๐๐๐ บาท บอกว่าขอร่วมจัดงานศพให้ป้านิภาด้วย อาตมาไม่ได้มาเผาหรอกเพราะติดงาน

บรรดาลูกศิษย์ก็เหงาเลย ก่อนหน้านี้มีอะไรก็ต้องพึ่งป้านิภา ป้าเขาฝึกมโนมยิทธิมาแล้วใช้ในลักษณะดูหมอ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเยอะมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้แล้วว่า มโนมยิทธิถ้าไม่ถึงระดับดูหมอได้ ยังไม่จัดว่าคล่องตัว ฉะนั้น...ต้องดูหมอได้ ดูได้ต้องดูตรงด้วยนะ ไม่ใช่มั่วเอา"

เถรี
23-09-2014, 14:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีระเบียบบังคับไม่ให้เจ้าอาวาสออกใบอนุโมทนาบัตรเกิน ๕ แสนบาท เขากลัวจะมีปัญหาเรื่องไปขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สมัยเจ้าคุณ...ท่านเล่นออกใบอนุโมทนาบัตรครั้งหนึ่งเป็น ๑๐ ล้าน แต่โยมอาจจะถวายแค่ล้านเดียว พอยอดบริจาคถึงก็ไปขอเครื่องราชฯ ได้ คุณหญิงคุณนายเขาก็ชอบ

จนกระทั่งเจ้าคุณ...ท่านโดนจับสึก เขาก็เลยออกระเบียบบังคับไว้ว่า เจ้าอาวาสออกใบอนุโมทนาบัตรได้สูงสุดไม่เกิน ๕ แสนบาท ครอบครัวแสงอุทัยบริจาคมาล้านบาทเศษ ไม่ได้ต้องการใบอนุโมทนาบัตรหรอก แต่พระเอาโปร่งใสไว้ก่อนดีกว่า อาตมาจึงออกใบอนุโมทนาบัตรให้ แต่ต้องแยกเป็นใบละไม่เกินห้าแสนบาท"

เถรี
23-09-2014, 14:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานเพิ่งจะรู้ว่าเครื่องใช้สำนักงานลดราคาได้ถึงครึ่งหนึ่ง สั่งโต๊ะคอมพิวเตอร์ ๖ ตัวให้ห้องสมุด เพื่อให้เขาใช้ค้นคว้าข้อมูลกัน ราคาตัวละ ๗,๕๐๐ บาท ลดฮวบลดมาครึ่ง ส่งถึงทองผาภูมิเลย เพราะว่าอาตมาใช้ของเขามาตลอด ตู้หนังสือยุคแรก ๆ ๒๐-๓๐ ใบก็ของเขาทั้งหมด โต๊ะหนังสือก็ใช่ อาตมาสามารถวางหนังสือเต็มชั้นตู้โดยที่เหล็กรองของเขาไม่แอ่น ยี่ห้ออื่นแอ่นหมดเลย

เปิดห้องสมุดทั้งทีก็ให้มีอินเตอร์เน็ตบ้าง แต่ถ้าใครไปเล่นเกม จะโดนตบกะโหลก...! เพราะว่าทางองค์การโทรศัพท์เขาให้ฟรีมา ๑ ช่อง เขาขอเช่าที่ของวัดท่าขนุนเพื่อตั้งเครื่องส่งสัญญาณไวร์เลสให้ครอบคลุมทั้งอำเภอ เนื่องจากยอดเขาอยู่ในวัด อาตมาบอกเขาว่าไม่อยากเก็บค่าเช่า เขาเลยตกลงให้ทางวัดใช้คลื่นฟรี ๑ ช่อง

ตอนนี้หนังสือเข้าไปเยอะแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้จัดเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน เพราะว่าอันดับแรก..หนังสือมีไม่ครบทุกประเภท อันดับสอง..คนจัดไม่มีเวลา ได้แต่ขอร้องว่า ใครอ่านแล้วช่วยใส่คืนที่เดิมด้วย พอศาลาใหญ่ข้างในใช้ได้ ก็จะเปิดห้องสมุดได้เต็มที่ ไม่ต้องใช้พื้นที่จัดงานแล้ว ถ้าศาลาใหญ่ยังใช้ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยจัดงานที่ห้องสมุดใต้ฐานพระ ซึ่งกว้างเท่ากับศาลาหลังหนึ่ง ฐานพระขนาด ๙๐๐ ตารางเมตร ส่วนศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ๑,๖๐๐ ตารางเมตร"

เถรี
23-09-2014, 15:01
ถาม : คนที่เสกของ ระหว่างทำปรากฏว่าตัวเองหายและของหาย เหลือแต่ความว่าง พระอาจารย์เคยเป็นไหมครับ ?
ตอบ : ต้องตัวเองหายก่อน

ถาม : เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าพิจารณาจนถึงระดับนั้น เขาเรียกว่า อภิญญาผลสมาบัติ ไม่ใช่สมาบัติทั่วไป เพราะเป็นสมาบัติที่ประกอบไปด้วยวิปัสสนาญาณคือความรู้แจ้ง ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา

ถาม : แต่คนธรรมดาก็ทำได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำถึงก็ได้ ดึงกำลังใจให้เท่าพระโสดาบันขึ้นไปก็เป็นอภิญญาสมาบัติ

ถาม : แต่ได้แค่พักเดียวครับ
ตอบ : เราก็เอาแค่พักเดียว จะไปเอาอะไรมากมาย

ถาม : จะได้ทุกครั้งไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่คุณเอง ไปถามคนอื่นไม่ได้หรอก

เถรี
23-09-2014, 15:03
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เสือมเหศวรเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปส่งบ้าน ปรากฏว่ามอเตอร์ไซค์วิ่งออกนอกทาง คนขับไม่รู้จักแก เห็นแกอ้วน ๆ แต่งตัวดีหน่อย คาดว่าคงเป็นคหบดีบ้านนอกพกเงินเยอะ กะจะปล้น โดยอ้างว่าเป็นทางลัด พอไปถึงกลางดงอ้อยเบรกเอี๊ยด..! หันมาเจอเสือมเหศวรเอาปืนจิ้มพุง บอกว่า "มึงยังอ่อนนักไอ้หนู มึงยังไม่ทันจะเกิดเลย กูก็เลิกหากินแล้ว" แกเล่าให้ฟัง อาตมาก็ขำ"

เถรี
23-09-2014, 15:22
ถาม : พิจารณาแล้วว่ากำลังใจยังไม่ได้ ในเมื่อหลวงพ่อบอกว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา เราต้องบังคับร่างกายได้ แล้วเราจะไปบังคับบัญชาได้อย่างไร ?
ตอบ : เราสั่งร่างกาย ไม่ใช่ให้ร่างกายสั่งเรา ไม่ใช่ไปบังคับบัญชาให้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ถาม : แต่สั่งให้ทำงาน ?
ตอบ : ใช่..อุตส่าห์พูดชัด ๆ ว่าเราสั่งร่างกาย ไม่ใช่ร่างกายสั่งเรา ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องสั่งร่างกายได้ ไม่ใช่ให้ร่างกายมาสั่งเรา ตูจะใช้ซะอย่าง ก็เข็นกันไป ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา ร่างกายบอกว่าไม่ไหว แต่เราบอกว่ายังไหว ไม่ไหวก็จอดทิ้ง หารถคันใหม่..!

เถรี
23-09-2014, 15:24
ถาม : "ยอม" ของหลวงพ่อจำเนียร นี่กินความเยอะเลยนะครับ ใช้ได้หมด ?
ตอบ : รู้จักยอมแพ้บ้าง ลดได้ทั้งมานะ ลดได้ทั้งสักกายทิฐิ ทั้งเมตตาต่อตัวเราและเขา

ถาม : ตัววิจิกิจฉาของพระสกิทาคามี พระอนาคามีคือตัวไหนครับ ?
ตอบ : ยังยึดในบุญกุศลอยู่ บางทีก็เกิดความลังเลว่าทำอีกหน่อยก็น่าจะดี

เถรี
25-09-2014, 09:27
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ระบบไฟใต้ดินของวัดท่าขนุนเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว หมดไปเกือบ ๔ ล้านบาท ใช้เวลาดำเนินการเกือบ ๔ ปี เพราะว่ารอสายไฟอยู่เกือบ ๒ ปี โรงงานติดน้ำท่วมเลยส่งสายไฟให้ไม่ทัน เนื่องจากว่าเดินสายใต้ดิน อาตมาไม่อยากให้สายไฟมีรอยต่อ ถ้ามีรอยต่อต้องมีรอยต่อให้น้อยที่สุด ในเมื่อห้ามมีรอยต่อก็เลยราคาแพง ต้องสั่งเขาผลิตให้ได้ขนาดที่ต้องการ พอสั่งเขาต่างหากกลายเป็นชนิดพิเศษ ต้องรออยู่ ๒ ปี รวม ๆ แล้วกว่าจะเสร็จเกือบ ๔ ปี

ตอนนี้ชื่นใจมากเลย ค่าไฟจาก ๔ – ๕ พันบาท ขึ้นพรวดกลายเป็นเกือบ ๒ หมื่น เพราะถึงเวลาต่อไฟเข้าทั้งหมด กลายเป็นไฟของวัดโดยตรง เข้าหม้อแปลงใบที่ทางวัดซื้อเอง ไม่ใช่หม้อแปลงของเทศบาลที่เคยให้ใช้ฟรี เดือนนี้น่าจะตกประมาณ ๔ - ๕ หมื่นบาท เพราะต้องเชื่อมโครงหลังคาหมู่เรือนไทยชั้นบนของศาลา ๑๐๐ ปีฯ ซึ่งอาตมาให้ช่างเขาทำด้วยโครงเหล็ก

ช่างชุดนี้ฝีมือดีมากเลย สามารถดัดเหล็กได้อ่อนช้อยเหมือนไม้ หาช่างฝีมือถึงยากมาก สังเกตดูอาคารตั้งพระชำระหนี้สงฆ์สองหลังข้างหน้าวัด เฉพาะค่าแรงทำโครงหลังคาอย่างเดียวหลังละ ๔ แสนบาท วัสดุทุกอย่างทางวัดออกหมด ท่านเจ้าคุณปัญญาได้ยินกลืนน้ำลายเอื๊อกเลย "ไม่เอาแล้ว อาจารย์เล็กจ่ายไหว ผมจ่ายไม่ไหว" เพราะว่าโดยทั่ว ๆ โครงหลังคาเรือนไทย ถ้าดัดเหล็กไม่ได้ที่จะน่าเกลียด ทรงไทยทำให้ได้ทรงสวยยาก สมัยก่อนเขาใช้ไม้เพื่อที่จะได้เกลาเพิ่มได้ นี่ใช้เหล็ก..เกลาไม่ได้

พอหมู่เรือนไทยข้างบนเสร็จ ต้องจัดฉลองด้านบนสักงาน ให้ลองดูว่าพอโยมขึ้นไปเต็ม ๆ จะรับน้ำหนักได้ไหม พื้นผูกเหล็กข้ออ้อย ๖ หุน เทคอนกรีตหนา ๒๐ เซ็นติเมตร น่าจะรับไหว เฉพาะเทคอนกรีตงวดหนึ่งเป็นล้านเลย"

ถาม : ตอนนี้เราจ่ายไปเท่าไรแล้วครับ ?
ตอบ : ๓๑ ล้านบาทเศษ บ้านวิริยะฯ นี่ หมดค่าที่ดินไป ๑๓ ล้านกว่าบาท รวมค่าก่อสร้างรวมอะไรแล้ว ๓๐.๕ ล้านบาท แต่ศาลาที่วัดได้ชั้นเดียว ที่นี่ได้ ๓ ชั้นพร้อมที่ดิน

ถาม : พื้นที่ข้างล่างของศาลาพื้นที่เท่าไรครับ ?
ตอบ : ๑,๖๐๐ ตารางเมตร เราต้องตัดออก ๑๙๒ ตารางเมตร เพราะว่าเว้นช่องบันไดไป ๑ ช่อง เว้นช่องตั้งพระประธานไป ๑ ช่อง และเว้นช่องตั้งบุษบกพระทองคำอีก ๑ ช่อง จึงโดนตัดพื้นที่ใช้สอยไป ๑๙๒ ตารางเมตร

เถรี
25-09-2014, 09:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสื้อยันต์เกราะเพชรพิชัยสงครามอาตมาไม่ให้ใส่ชื่อวัดและไม่ให้ใส่ชื่อยันต์ลงไป เพราะว่าตั้งใจให้ไปวัดไหนก็ได้ เพื่อให้กลืนกับเขา ถ้าใส่ชื่อวัดแล้วไปเดินที่วัดอื่นก็ อ้าว..ไม่ใช่วัดนี้"

เถรี
25-09-2014, 13:33
ถาม : ไม่มีซองแจกหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มีจ้ะ...วัดนี้น่าสงสารมาก ซองยังไม่มีแจกเลย แล้วอย่าไปทำมาเชียวนะ เพราะว่าระเบียบวัดท่าขนุนมีว่า ห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร เป็นอันว่าโยมมาทำบุญตรงนี้ก็จบแค่นี้

ถ้าหากว่าโยมไปบอกบุญที่อื่นที่ไม่ใช่ในวัดท่าขนุนกับที่บ้านวิริยบารมี จะบอกบุญใครก็ไปเถอะ แต่ว่าในเขตนี้ห้ามบอก ในเขตนี้ต้องให้เขามาง้อทั้งน้ำตาแล้วจะรับไว้..!

บางคนก็ช่างบอกบุญเหลือเกิน กลายเป็นเรี่ยราดไปหมด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วบางคนไม่เกิดศรัทธา ไม่นึกจะทำ ก็ไปตื๊อจนเขารำคาญ อาตมาเองเจอมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส บางทีทำบุญไปแบบซื้อรำคาญ ไม่อย่างนั้นเขาตื๊อไม่เลิก พอมาเป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้รับผิดชอบสถานที่ ก็เลยออกระเบียบห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร

คราวนี้พออาตมาไม่บอกบุญ ไม่เรี่ยไร ก็มีคนมาฉวยโอกาสบอกบุญเรี่ยไร กลายเป็นว่าฝืนระเบียบสถานที่ จึงต้องประกาศให้ชัด ๆ อีกครั้งหนึ่ง ส่วนท่านที่ไปบอกบุญเรี่ยไรโดยมีวัตถุมงคลในเว็บต่าง ๆ ที่ขออนุญาต อย่างเช่น เว็บพลังจิต เว็บสะพานบุญ หรือเว็บวัดท่าขนุน ก็ถือว่าตรงนี้เป็นจุดพบปะที่มาหากันได้ง่าย ถึงเวลาจะเอาวัตถุมงคลมาแจกจ่ายในสถานที่เหล่านี้ก็ไม่ว่ากัน

เถรี
25-09-2014, 13:56
ถาม : กำลังใจตก..ตั้ง ๒ ปีแล้วนะครับ ?
ตอบ : ยังถือว่าเร็ว บางคนนี่ยาวหลายปีเลย เพราะไม่พยายามเอาคืน เวลากำลังใจทรงตัวได้ ต้องตั้งสติประคับประคองให้อยู่ ถ้าไม่อยู่ก็เหมือนกับคนโดนน้ำพัดไป ลอยไปตามกระแส จะว่ายคืนมายากมากเลย

เถรี
26-09-2014, 07:51
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเจรจาซื้อที่ข้างวัดใช้เวลา ๒๐ กว่านาที เสียเวลาไปอำเภอโอนอีกประมาณครึ่งชั่วโมง คนอื่นเขาสงสัยว่านี่เสร็จแล้วหรือ ? เสร็จแล้ว..คิดอะไรมากมาย ซื้อได้ก็ซื้อสิ"

เถรี
26-09-2014, 07:54
ถาม : กสิณอากาศจับอย่างไรครับ ?
ตอบ : เขาจับช่องว่าง เราต้องทำช่องว่างสักช่องหนึ่ง ประเภทว่าใช้ผ้าเจาะรู หรือเปิดหน้าต่างมองออกไป เสร็จแล้วก็จับเอาความว่างตรงจุดนั้น

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : วิธีการคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าวัตถุในการทำกสิณไม่เหมือนกัน พอได้กองหนึ่งที่เหลือก็ตามมาหมด หลักการเดียวกันแค่เปลี่ยนกองกสิณนิดเดียว ลำบากแค่กองแรกเท่านั้น พอกองแรกได้ที่เหลือก็สบายแล้ว

เถรี
26-09-2014, 08:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "เหรียญพระนาคปรก วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ตอนพุทธาภิเษกเห็นแสงสีม่วงคลุมวัตถุมงคล แล้วมีประกายเหมือนกับฟ้าแลบ อาตมาก็สงสัยว่าอะไร ? พระท่านบอกว่าทำให้เพื่อการป้องกันเป็นพิเศษ ถ้าใครคิดร้ายจะแพ้ภัยตนเอง ก็แปลว่ารุ่นนี้ดุมาก..!"

ถาม : เนื้ออะไรคะ ?
ตอบ : เนื้อเงิน..เขาทำแค่ไม่กี่เหรียญ ในฐานะที่ไปปลุกเสก เขาก็เลยถวายมาชุดหนึ่ง อาตมาจึงเอามาให้ร่วมทำบุญกฐินปลดหนี้

เถรี
26-09-2014, 08:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประมูลวัตถุมงคลกฐินปลดหนี้ บางจังหวะก็หายไปเป็นเดือน ๆ ไม่มีอะไรให้ประมูลใช่ไหม ? (มีกระทู้อื่น ๆ เยอะ) อ๋อ...เว้นวรรคให้กระทู้อื่น จะได้มีเวลาให้หายใจบ้าง อาตมาก็ว่าทำไมของตั้งเยอะ แต่กลับเงียบไปเฉย ๆ ไม่เอาลงประมูล ความจริงไม่ต้องเว้นวรรคหรอก ช่วงนี้โยมไม่ค่อยมีเงิน จะได้ประมูลถูก ๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นมีเงินแล้ว โอ้โห..ดันราคากันทะลุฟ้าเลย

วันก่อนมีใครก็ไม่รู้ ประมูลมีดหมอหลวงพ่อเดิมไป ถามราคาเขามาแล้ว เขาบอกว่าของเขาเอง ๒ แสนบาท ยังไม่ปล่อยเลย ทางเว็บพลังจิตมีลงมาเล่มหนึ่ง เป็นมีดสาลิกา อาตมาดูแล้วใช่แค่ฝัก ตัวมีดเป็นของใหม่ทำให้ดูเก่า แต่เขาภูมิใจมากเลยว่าได้มาราคาแพง อาตมาจึงต้องเงียบ ๆ ไว้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะเสียกำลังใจ

เรื่องของวัตถุมงคล อาตมาเคยเปรียบไว้ว่าเหมือนกับต้นไม้ ถ้าเรารู้จักต้นไม้ต้นนี้แน่นอนแล้ว ไปดูต้นไม้ที่ไหนก็รู้ว่าใช่ต้นนี้หรือเปล่า อย่างเช่นเรารู้จักต้นมะขามแน่ ต่อให้ต้นมะขามนั้นแคระแกร็น โดนโรคกินหงิกงออย่างไรก็เป็นต้นมะขามอยู่ดี สำคัญที่ว่า ต้องเคยได้เห็นของจริงมาจนชินตา อาตมาเสียดายแทน เสียเงินไปเป็นแสนเลยแต่ได้ของไม่แท้มา ได้มาด้วยความปลาบปลื้มยินดีว่าราคาไม่สูงมากอีกด้วย

มีดหมอหลวงพ่อเดิมนั้น อันดับแรก..ดูที่ด้ามก่อน ด้ามต้องเป็นงาเก่า ถ้าดูเนื้องาเก่าเป็นก็หมดปัญหาเลย บางเล่มถ้าเขารักษาดี งาจะไม่มีรอยแตก โดยทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่แล้ว มีดหมอหลวงพ่อเดิมด้ามจะแตก เพราะว่ากั่นมีดข้างในเป็นสนิม แล้วสนิมดันออกมาจนด้ามแตก ประการที่ ๒ ให้ดูที่ฝักมีด ตัวคาดและการถักเงินที่เรียกว่า "แหม" รายละเอียดยิบ เส้นละเอียดเหมือนกับเส้นผมเลย ถ้าเป็นของหยาบ ให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ายังไม่ใช่

ประการที่ ๓ มีดหมอหลวงพ่อเดิมคนทำเขามีฝีมือ จะเหมือนกับมีล็อกอยู่หน่อยหนึ่ง ดันเข้าจะตึงหน่อยหนึ่ง ดึงออกจะตึงหน่อยหนึ่ง คือจะมีอาการ "กึก" หน่อยหนึ่ง ถ้าเข้าออกสะดวก หรือติดแน่นตลอด ให้คิดไว้ก่อนว่าไม่ใช่ อันดับต่อไปต้องดูเนื้อเหล็กเป็น ว่าเหล็กเก่าขนาดนี้จะมีลักษณะเป็นอย่างไร ขึ้นสนิมแล้วจะเป็นอย่างไร อันดับสุดท้าย คือต้องจำฝีมือช่างได้ ว่านี่เป็นฝีมือช่างไข่ นี่เป็นฝีมือช่างฉิม นี่เป็นฝีมือช่างสอน แต่ฝีมือช่างยังไม่แน่ เพราะมารุ่นทัน ๆ กันอย่างมีดหมอหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ช่างรุ่นนี้ยังอยู่ ก็ทำมีดส่งไปให้

ที่สำคัญต้องระวัง "มีดกระเทย" ไว้ให้ดี พลาดเมื่อไรจะโดนเหมือนกับรายที่ว่ามา อาตมาเจอมีดกระเทยมาหลายเล่ม มีดกระเทย เช่น ฝักใช่แต่ตัวมีดไม่ใช่ หรือตัวมีดใช่แต่ฝักมีดไม่ใช่ อย่างไรเสียก็เอาตัวมีดใช่ ถึงฝักไม่ใช่ก็ช่างเถอะ"

เถรี
26-09-2014, 08:21
:4672615:เก็บตกเดือนกันยายนปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน