เถรี
21-08-2014, 13:18
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามความถนัดของเรา
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ วันนี้มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งนอนอยู่โรงพยาบาล ก็คือคุณเฟิร์ส ปรากฏว่าเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไปเครียด ไปกังวลอยู่กับอาการเจ็บป่วยของตนเอง เรียกง่าย ๆ ว่าอยู่ในสภาพกินไม่ได้นอนไม่หลับ เสียทีที่ฝึกปฏิบัติไปเสียมากมาย
ก่อนหน้านี้เวลาอาตมาป่วยหนัก ๆ ก็เคยมีคำถามว่า “แล้วทำอย่างไรถึงเหมือนกับคนไม่ป่วย ?” ก็ต้องบอกว่าสามารถทำได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกก็คือ ถ้าหากว่าเราฝึกปฏิบัติกรรมฐานจนกำลังใจคล่องตัว สามารถทรงฌานได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ เราสามารถอาศัยกำลังของฌานหลบเวทนาทางร่างกาย เมื่อถึงเวลาเราเข้าฌานสมาบัติเสีย จิตกับประสาทแยกเป็นคนละส่วนกัน ก็ไม่รับรู้อาการเวทนาทางร่างกายที่เกิดขึ้น
อีกวิธีหนึ่งก็คือพิจารณาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เมื่อเห็นชัดก็จะเกิดความเบื่อหน่าย อยากจะไปเสียให้พ้น เมื่อเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น แทนที่จะไปโอดโอยกับอาการเจ็บป่วย ก็จะเกิดความปีติยินดีขึ้นมาว่า เราจะได้ไปพ้นจากร่างกายนี้แล้ว
ดังนั้น..การที่ญาติโยมทั้งหลายฝึกปฏิบัติธรรมมา สิ่งที่สำคัญที่สุดได้กล่าวไปเมื่อวานนี้ก็คือ ต้องสามารถใช้งานจริงได้ ถ้าไม่สามารถที่จะใช้งานจริงได้ ถึงเวลาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นหนัก ๆ เราจะมัวแต่ทุกข์ทรมานและกลัดกลุ้มอยู่กับอาการเวทนาทางร่างกาย สภาพจิตอาจจะเศร้าหมองและเผลอ เกิดตายลงไปตอนนั้นเราก็ตกสู่อบายภูมิ
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ วันนี้มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งนอนอยู่โรงพยาบาล ก็คือคุณเฟิร์ส ปรากฏว่าเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไปเครียด ไปกังวลอยู่กับอาการเจ็บป่วยของตนเอง เรียกง่าย ๆ ว่าอยู่ในสภาพกินไม่ได้นอนไม่หลับ เสียทีที่ฝึกปฏิบัติไปเสียมากมาย
ก่อนหน้านี้เวลาอาตมาป่วยหนัก ๆ ก็เคยมีคำถามว่า “แล้วทำอย่างไรถึงเหมือนกับคนไม่ป่วย ?” ก็ต้องบอกว่าสามารถทำได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกก็คือ ถ้าหากว่าเราฝึกปฏิบัติกรรมฐานจนกำลังใจคล่องตัว สามารถทรงฌานได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ เราสามารถอาศัยกำลังของฌานหลบเวทนาทางร่างกาย เมื่อถึงเวลาเราเข้าฌานสมาบัติเสีย จิตกับประสาทแยกเป็นคนละส่วนกัน ก็ไม่รับรู้อาการเวทนาทางร่างกายที่เกิดขึ้น
อีกวิธีหนึ่งก็คือพิจารณาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เมื่อเห็นชัดก็จะเกิดความเบื่อหน่าย อยากจะไปเสียให้พ้น เมื่อเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น แทนที่จะไปโอดโอยกับอาการเจ็บป่วย ก็จะเกิดความปีติยินดีขึ้นมาว่า เราจะได้ไปพ้นจากร่างกายนี้แล้ว
ดังนั้น..การที่ญาติโยมทั้งหลายฝึกปฏิบัติธรรมมา สิ่งที่สำคัญที่สุดได้กล่าวไปเมื่อวานนี้ก็คือ ต้องสามารถใช้งานจริงได้ ถ้าไม่สามารถที่จะใช้งานจริงได้ ถึงเวลาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นหนัก ๆ เราจะมัวแต่ทุกข์ทรมานและกลัดกลุ้มอยู่กับอาการเวทนาทางร่างกาย สภาพจิตอาจจะเศร้าหมองและเผลอ เกิดตายลงไปตอนนั้นเราก็ตกสู่อบายภูมิ