เถรี
27-07-2014, 11:54
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติทั้งหมดเอาไว้เฉพาะหน้า คือให้ความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นการปฏิบัติธรรมวันที่ ๒ ของเดือนนี้ วันนี้จะกล่าวถึงเรื่องที่ใกล้ชิดกับเราที่สุด ก็คือร่างกายของเรานี้เอง ถ้าแยกแยะร่างกายนี้ออกก็จะมีส่วนประกอบอยู่ ๕ ส่วน ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือที่เรียกรวมกันว่าขันธ์ ๕ หรือการรวมอยู่ของสิ่ง ๕ ประการ
รูป คือ ร่างกายนี้ ซึ่งประกอบขึ้นจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง เมื่อถึงเวลา รถยนต์คันนั้นหมดอายุการใช้งาน เราซึ่งเป็นจิตอาศัยอยู่ในรถยนต์คันนี้ ก็ต้องทิ้งรถเก่าไปหารถใหม่ ซึ่งก็จะได้ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างเอาไว้
เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญา คือ ความรู้ได้หมายจำต่าง ๆ สังขาร คือ ความนึกคิดปรุงแต่งของใจ วิญญาณ คือ ความรู้สึกที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทร่างกายเช่น เจ็บ ป่วย หนาว ร้อน หิวกระหาย เป็นต้น
ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ เกิดขึ้นมาได้เพราะอวิชชาคือความไม่รู้ ทำให้เรายึดถือมั่นหมายในร่างกายนี้ ในเมื่อเรายึดถือมั่นหมายก็ทำให้เกาะติดอยู่กับที่ ในเมื่อเกาะติดอยู่กับที่ก็ต้องเกิดมา เมื่อเกิดมามีร่างกายนี้แล้ว เรื่องของความสุข ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นของแถมที่มากับร่างกาย แต่เราก็มักจะไปยึดว่านี่เป็นความสุข เราชอบใจ นี่เป็นความทุกข์ เราไม่ชอบใจ นี่เป็นความไม่สุขไม่ทุกข์ เราเฉย ๆ
สัญญาคือความรู้ได้หมายจำนั้น ก็สามารถที่จะเสื่อมสิ้นไปตามสภาพสังขาร ถ้าหากว่ากายสังขารไม่ดี สมองได้รับการกระทบกระเทือน หรือว่าสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ความจำของเราก็ไม่ดี มีการเปลี่ยนแปลง มีความทุกข์เป็นปกติ
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นการปฏิบัติธรรมวันที่ ๒ ของเดือนนี้ วันนี้จะกล่าวถึงเรื่องที่ใกล้ชิดกับเราที่สุด ก็คือร่างกายของเรานี้เอง ถ้าแยกแยะร่างกายนี้ออกก็จะมีส่วนประกอบอยู่ ๕ ส่วน ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือที่เรียกรวมกันว่าขันธ์ ๕ หรือการรวมอยู่ของสิ่ง ๕ ประการ
รูป คือ ร่างกายนี้ ซึ่งประกอบขึ้นจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง เมื่อถึงเวลา รถยนต์คันนั้นหมดอายุการใช้งาน เราซึ่งเป็นจิตอาศัยอยู่ในรถยนต์คันนี้ ก็ต้องทิ้งรถเก่าไปหารถใหม่ ซึ่งก็จะได้ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างเอาไว้
เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญา คือ ความรู้ได้หมายจำต่าง ๆ สังขาร คือ ความนึกคิดปรุงแต่งของใจ วิญญาณ คือ ความรู้สึกที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทร่างกายเช่น เจ็บ ป่วย หนาว ร้อน หิวกระหาย เป็นต้น
ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ เกิดขึ้นมาได้เพราะอวิชชาคือความไม่รู้ ทำให้เรายึดถือมั่นหมายในร่างกายนี้ ในเมื่อเรายึดถือมั่นหมายก็ทำให้เกาะติดอยู่กับที่ ในเมื่อเกาะติดอยู่กับที่ก็ต้องเกิดมา เมื่อเกิดมามีร่างกายนี้แล้ว เรื่องของความสุข ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นของแถมที่มากับร่างกาย แต่เราก็มักจะไปยึดว่านี่เป็นความสุข เราชอบใจ นี่เป็นความทุกข์ เราไม่ชอบใจ นี่เป็นความไม่สุขไม่ทุกข์ เราเฉย ๆ
สัญญาคือความรู้ได้หมายจำนั้น ก็สามารถที่จะเสื่อมสิ้นไปตามสภาพสังขาร ถ้าหากว่ากายสังขารไม่ดี สมองได้รับการกระทบกระเทือน หรือว่าสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ความจำของเราก็ไม่ดี มีการเปลี่ยนแปลง มีความทุกข์เป็นปกติ