PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมกราคม ๒๕๕๒


เถรี
27-04-2009, 20:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ทุกคนเห็นว่าเป็นเทศกาลแห่งความรื่นเริง แต่อาตมากลับมองไปที่ภัยจากความตายหรือมรณานุสติซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้

แค่ในช่วงที่อาตมาเดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯ ระหว่างทางก็พบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เฉพาะแค่วันที่เดินทางเข้ามา มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นถึง ๔ ราย แถมเป็นขาเข้าเสียด้วย

การที่เราเป็นนักปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ต้องรู้จักมองในหลาย ๆ ด้าน รู้จักพิจารณาในด้านของตน แล้วก็พิจารณามองออกไปในด้านอื่น ๆ เป็นอนุโลม ปฏิโลม มองออกไปและมองเข้ามา ถ้าเรารู้จักมองอย่างนี้ก็จะได้มุมมองอะไรที่ดี ๆ และเป็นธรรมะอีกมาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมุมมองที่ถูกต้องเสียด้วย"

เถรี
27-04-2009, 20:27
ครั้งหนึ่ง อาตมาเคยนั่งรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ปรากฏว่าแท๊กซี่ขับ ๆ ไป รถเกิดติดตรงไฟแดงพอดี โดยที่รถคันข้างหน้าได้ทำการแหกไฟเหลืองไปได้ทัน โชเฟอร์ก็เลยหันมาบอกกับอาตมาว่า "แหม..ท่าน ผมช้าไปนิดเดียว" อาตมาจึงบอกโชเฟอร์ไปว่า "โยมต้องคิดอย่างนี้สิว่า น่าดีใจออก ที่เราได้อยู่เป็นคันแรก"

เถรี
27-04-2009, 20:28
นอกจากนี้ พวกเราต้องมองทุกอย่างให้เป็นครู ภาษิตจีนเขาบอกว่า"ขงเบ้งคนเดียว ก็สู้ช่างถักรองเท้า ๓ คนไม่ได้" จำไว้ เห็นขอทาน ๓ คนเดินมา ต้องคิดว่า อย่างน้อย ๆ ๑ ใน ๓ คนนั้นต้องเป็นครูให้แก่เราได้

เถรี
27-04-2009, 20:28
มีเหตุรถน้ำมันพลิกคว่ำบริเวณจุดลงทางด่วนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ห่างจากที่บ้านอนุสาวรีย์ของพวกเราไม่ไกลนัก น่าจะสักประมาณ ๑๐๐ เมตร
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่มีความมั่นใจในคุณพระศรีรัตนตรัย หรือมีพระศรีอินทราทิตย์เนื้อดินเผาที่อาตมาแจกในงานกฐิน ก็ลองอาราธนาแล้วเดินเข้าไปจุดไฟตรงบริเวณรถน้ำมันพลิกคว่ำ จะได้เป็นการพิสูจน์ความมั่นคงของจิตใจ และอานุภาพของคุณพระศรีรัตนตรัย

บุคคลผู้มีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ อาตมานับเอาตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนะ เพราะว่าถ้าต่ำลงมากว่านั้นจะบอกว่าเชื่อมั่นจริง ๆ ก็คงจะยังไม่ได้

ท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ ได้ให้พรกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไว้ว่า หากบุคคลใดตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านก็จะสั่งให้เทวดาคอยให้การคุ้มครองทันที"

เถรี
27-04-2009, 20:28
"กฎกติกาแห่งความเป็นพระโสดาบันไม่มากหรอก แค่เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง ๆ ๓ ข้อแล้วล่ะ อีกข้อก็คือมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่ทำเอง ไม่ยินดีที่เห็นคนอื่นทำ และไม่สั่งให้คนอื่นไปทำ ข้อสุดท้ายก็คิดว่าเราจะต้องตายแน่ ตายแล้วเราจะไปนิพพาน

ถ้า ๕ ข้อมันมากเกินไป ก็ลดมาเหลือ ๓ ข้อ คือ ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวบเป็นข้อเดียวคือความเคารพในคุณพระศรีรัตนตรัย มีศีลบริสุทธิ์ คิดว่าตายจะไปพระนิพพาน

ถ้า ๓ ข้อมันมากเกินไป ก็ลดลงเหลือแค่ข้อเดียว คือ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ โดยคิดว่าเราจะรักษาศีลก็เพราะเราเคารพในคุณของพระรัตนตรัย เพื่อที่ตายแล้วจะได้ไปพระนิพพาน"

เถรี
27-04-2009, 20:29
พระอาจารย์ยกตัวอย่างพระที่วัดท่าขนุน ซึ่งต้องเสียนิ้วเท้าด้วยเหตุจากโรคเบาหวาน "ท่านป๊อบกำลังใจเข้มแข็งและเด็ดขาดในหลาย ๆ เรื่อง แต่แพ้อยู่เรื่องเดียวคือเรื่องการกิน เห็นเป็นไม่ได้ต้องกิน

อาตมาบอกกับท่านป๊อบไปว่า "ถ้าคุณสามารถอดใจในเรื่องการกินได้ คุณก็สามารถที่จะอดใจในการไม่ละเมิดสิกขาบททั้งปวงได้ เพราะมันใช้กำลังใจเท่า ๆ กัน"

พวกเราทั้งหมดก็เช่นกัน หากเราสามารถระงับจิตใจระงับความอยากของตนเองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้แล้ว การระงับความชั่วในด้านอื่น ๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะมันใช้กำลังใจเท่า ๆ กัน"

เถรี
27-04-2009, 20:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "บุคคลที่ก้าวข้ามสิ่งสมมติได้แล้วอย่างแท้จริง จะเคารพสมมติด้วย จะไม่มีการย่ำยีหรือดูถูกสิ่งสมมตินั้น

ยกตัวอย่างหลวงปู่มั่น ในวันที่หลวงปู่บรรลุธรรม หลวงปู่ได้ก้มกราบกระท่อม กราบแล้วกราบอีกอย่างสุดซึ้ง เพราะหลวงปู่ได้ใช้กระท่อมนั้นเป็นที่บำเพ็ญเพียรภาวนา

ในขณะที่พระอีกรูปหนึ่งได้ย่ำยีพระพุทธรูป โดยเอาน้ำกรดราดพระพุทธรูปและตบเศียรพระ แล้วบอกว่า พระพุทธรูปเป็นแค่เพียงสิ่งสมมติ การทำเช่นนี้เป็นการขวางทางมรรคผลของเขาชัด ๆ "

เถรี
27-04-2009, 20:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่า เจองูกับเจอแขก ให้ตีแขกก่อน

พวกแขกนะ เขาถือคติที่ว่า เขาทำอะไรคนอื่นได้ แต่ถ้าใครทำเขาไม่ปล่อยไว้แน่ เพราะฉะนั้น..ใครที่จะคบค้าหรือทำธุรกิจกับพวกนี้ อย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า"

เถรี
27-04-2009, 20:41
ถาม : เวลาที่อยู่ในฌาน ๔ แล้วสามารถฟังเสียงสัตว์รู้เรื่องได้ใช่หรือไม่คะ?
ตอบ : ถ้าไม่มีพื้นฐานนิรุตติมาก่อน ก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก

นิรุตติ หรือนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ = มีปัญญาแตกฉานในด้านภาษา

เถรี
27-04-2009, 21:07
ถาม : แล้วที่บอกว่า โคตรภูญาณมีตั้งแต่ โสดาบัน สกิทาคา อนาคามี และอรหันต์ นั่นแสดงว่า อารมณ์โคตรภูญาณมีอยู่ในทุกระดับหรือคะ?
ตอบ : ใช่

ถาม : ถ้าอย่างนั้นอารมณ์โคตรภูญาณใช่อย่างเดียวกับมรรคหรือไม่คะ เช่น สกิทาคามิมรรค?
ตอบ : โคตรภูญาณจะบางกว่า แต่ถ้าจะเปรียบเป็นมรรค ก็เหมือนกับมรรคเมื่อเริ่มต้น

เถรี
27-04-2009, 21:11
ถาม : ถ้าอยากจะตั้งโรงทานเพื่อเลี้ยงสัมภเวสี เปรต และอสุรกาย จะทำได้หรือไม่? และหากทำแล้วจะมีผลดีหรือผลเสียกับผู้ทำอย่างไร?
ตอบ : ทำได้ ก็นำเอาอาหารคาวหวานและเหล้า ไปวางไว้ที่ทางสามแพร่ง แล้วก็จุดธูปเชิญให้มากินกัน

ถาม : ถ้าไม่มีเหล้าจะได้หรือไม่ครับ?
ตอบ : ได้

สมัยก่อนหลวงปู่ปานท่านก็ทำ โดยหลวงปู่ท่านจะวงสายสิญจน์ไว้เป็นบริเวณ แล้วนำอาหารคาวหวานไปตั้งเอาไว้ ท่านว่ามีขนมจีน ๘ หาบ น้ำยาอีก ๘ หม้อ จากนั้นก็ทำพิธีเชิญหรือเรียกเขามากินนั่นแหละ หลังจากเชิญเสร็จ ก็ปรากฏว่า เขาแห่มากันจนท้องฟ้ามืดครึ้มไปหมด และในบริเวณนั้นก็จะปรากฏเสียงคนเดิน คนคุย และกินอาหารกันให้แซ่ดไปหมด ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยินเสียงชัด แต่ไม่เห็นตัว..!

พอผ่านไปสักพักหนึ่ง พอมีลมกรรโชกวูบมา และท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างส่องกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ปรากฏว่า อาหารคาวหวานทั้งหลายมีขนมจีนเป็นต้น ได้อันตรธานหายไปจากวงพิธีแทบทั้งหมด นี่เขาไม่เรียกว่ากินแต่นาม แต่มันล่อรูปไปด้วยจนเกลี้ยงเลย..!

เถรี
27-04-2009, 22:05
ถาม : แล้วจะมีผลดีหรือผลเสียกับผู้ทำ?
ตอบ : พวกนี้ก็จะตามเราไปตลอดเวลาเลย

ถ้าพวกนี้ตาม ขณะใดที่กุศลยังให้ผลกับเราอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอกุศลกรรมเข้าหรือดวงตกเมื่อไหร่พวกนี้มันเอาแย่แน่ ๆ แบบผิดใจไม่ยอมให้มันกินอีกเสียที มันก็เล่นงานเอา ต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา

ถาม : แต่หลวงปู่ท่านทำได้
ตอบ : ก็นั่นหลวงปู่

เถรี
27-04-2009, 22:08
ถาม : พิจารณาอสุภะแล้ว เท่าไหร่ ๆ มันก็ยังไม่รู้สึกเหม็นเสียที
ตอบ : ลองไปดูเขียงหมูแถว ๆ ตลาด ที่นั่นนะเหมือนกันไม่มีผิด

ถาม : รู้สึกว่าปฏิบัติไปเรื่อย ๆ มันยิ่งยากขึ้น เพราะเมื่อก่อนเวลาที่มีอะไรเข้ามาทางอายตนะ จะเห็นว่ามันเป็นตัวรัก โลภ โกรธ หลง แต่เดี๋ยวนี้มันไปลงที่สักกายทิฏฐิทั้งหมด เลยกลายเป็นว่าเห็นว่ามันมีเยอะแยะบานตะไท ต้องระวังใจเยอะเลยค่ะ
ตอบ : ถ้าจิตเราสามารถเห็นได้ละเอียดขนาดนี้ ก็แสดงว่ามีสติปัญญาสามารถพอที่จะสู้กับมันได้

ถาม : แต่ก็เห็นว่าสติเราช้ากว่ามันอยู่ดีค่ะ
ตอบ : ถึงแม้จะช้า แต่ก็ยังดีที่ยังเห็นมัน

เถรี
27-04-2009, 22:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาที่พวกเรารู้สึกตกใจนั้น มันเป็นการส่งจิตออกนอกแล้วสติมันดึงกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมือนกับใจมันวูบออกไป
ถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งแล้วจะเห็นได้เองว่า เวลาเจออะไรก็ไม่รู้สึกตกใจ ต่อให้สิ่งนั้นเกิดต่อหน้าแบบฉับพลันก็ตาม มันก็ยังนิ่งอยู่ได้"

เถรี
27-04-2009, 22:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมารู้สึกว่าตัวเองเกิดมาแล้วรู้สึกคุ้ม เพราะอาตมาเจออะไรมาเยอะ ผ่านอะไรมาเยอะ คงเป็นเพราะอาตมาเป็นคนไม่กลัวอะไร ทีนี้ก็เลยชอบลองไปทั่ว รู้สึกว่าตัวเองเจออะไรมาเยอะกว่าคนอื่นเขา

เคยไปกินหูฉลามที่ภัตตาคารหนึ่ง สมัยนั้นชามเดียวเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนเลย ปรากฏว่าพอลองแล้ว รสชาติไม่เป็นที่ถูกปาก เพราะอาตมาชินกับรสชาติจัดจ้านในแบบอาหารไทย"

เถรี
28-04-2009, 10:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อในอดีตเรามีรูปร่างอย่างไร จะไม่ต่างจากในชาติปัจจุบัน"

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะให้รูปร่างเปลี่ยนไปในทางที่สวยงามขึ้น?
ตอบ : ให้สร้างหรือหล่อพระพุทธรูปให้งาม ๆ แล้วอธิษฐานขอให้ตนเองมีรูปงามดั่งพระพุทธรูปนั้น

เถรี
28-04-2009, 10:28
พระอาจารย์บอกว่า "บุคคลที่ถวายตาลปัตร ธรรมาสน์ หรืออาสนะรองนั่ง พวกนี้เป็นบุคคลที่มักโดนถีบให้เป็นผู้นำอยู่เสมอ เพราะตาลปัตรทำให้เด่น ธรรมาสน์ อาสนะ ทำให้สูงกว่าคนอื่นเขา"

เถรี
28-04-2009, 10:32
หลวงพ่อบอกว่า "ในเรื่องการปฏิบัติเราต้องทำเสมือนว่าเป็นก้อนหินที่อยู่กลางลำน้ำ โดยไม่หวั่นไหวลอยตามกระแสน้ำไป แต่อย่าทำเป็นเสมือนใบไม้ใบหญ้า ที่แตกแพ ลอยไปตามกระแส"

เถรี
28-04-2009, 10:35
พระอาจารย์บอกว่า "จงทำจิตใจของเราให้เหมือนดั่ง ดิน น้ำ ไฟ ลม คือ

แผ่นดิน รองรับคนและสัตว์ สิ่งที่ทั้งดีและไม่ดีอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยไม่แบ่งแยกว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ไม่ดี

น้ำ มีความเต็มอยู่เสมอในขอบทั้ง ๒ ฝั่งอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกสถานที่

ไฟ เผาผลาญทั้งสิ่งดีหรือไม่ดีโดยเสมอภาค ไม่เลือกว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หากโยนเข้าไปในกองไฟ ไฟก็จะแผดเผาให้มอดสูญสลายไปเท่าเทียมกันโดยทั้งสิ้น

ลม พัดไปในทุก ๆ สถานที่โดยเท่าเทียม ยังความสดชื่น เย็นสบายให้กับทุกสิ่งที่ลมพัดไปสัมผัส โดยเท่าเทียม ไม่มีเลือกว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี"

เถรี
28-04-2009, 10:45
พระอาจารย์เล่าเรื่องหลวงปู่ครูบาธรรมชัยให้ฟังว่า "หลวงปู่ครูบาธรรมชัยเป็นพระที่อ่อนน้อมมาก เวลาที่หลวงปู่นำผ้าไตรไปถวายให้หลวงพ่อ พอลูกศิษย์หลวงปู่ถือผ้าไตรใส่พานมา หลวงปู่ก็หยิบเอาผ้าไตรนั้นแล้วทูนไว้บนศีรษะ เดินเข้าไปถวายหลวงพ่อ ประมาณว่า ไม่มีสิ่งใดที่มีค่าพอที่จะใส่ผ้าไตรไปถวายหลวงพ่อได้อีกแล้ว เลยเอาศีรษะของท่านนี่แหละ เป็นที่รองรับผ้าไตรนั้น แล้วน้อมไปถวายหลวงพ่อ

หลวงปู่เป็นพระที่มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ แต่ท่านไม่ถือตัวเลย และอีกประการ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เปลี่ยนใจไปเป็นพระอัครสาวกของพระศรีอริยเมตไตรย มานะท่านแทบจะไม่มีเลย

อาตมาถ่ายรูปตอนนั้นไม่ทัน กำลังจะหยิบกล้องมาถ่าย หันมาอีกทีหลวงปู่ถวายเสร็จแล้ว ซึ่งภาพที่หลวงปู่กำลังถวายนั้นเป็นภาพที่งดงามมาก "

เถรี
28-04-2009, 10:48
ถาม : เมื่อก่อนปฏิบัติไปด้วยความรู้สึกที่ว่าปฏิบัติเพื่อละกิเลส แต่ตอนนี้รู้สึกว่าปฏิบัติไปเพื่อปล่อยวาง เพื่อปล่อยจากการยึด จากการปรุงแต่ง ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า?
ตอบ : เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามองคนละมุม เมื่อก่อนเราปฏิบัติในแบบที่ว่า ต้านกิเลสไปหมด ทีนี้กิเลสมันมีกำลังมหาศาลไปต้านมันเราก็กระจุยพอดี แต่ตอนนี้เรารู้จักหลบมันเป็น เขาจึงได้บอกว่าให้หัดเป็นผู้รู้จักหลบเสียบ้าง มองคนละมุมจากเมื่อก่อน มีสติปัญญาขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

เถรี
28-04-2009, 10:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระยามิลินท์เป็นคนช่างถาม ชนิดที่ว่า พระต้องพากันหลบหนีเข้าไปอยู่ในป่า ท่านถามเหมือนกวน ๆ นั่นแหละ แต่กวนของท่านนั้นต้องเป็นผู้มีระดับปัญญาสูงจึงจะมาตอบได้ อย่างพระนาคเสน หรือไม่ก็พระกุมารกัสสปะที่สามารถตอบปัญหาของพระเจ้าปายาสิได้

พระกุมารกัสสปะ ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางแสดงธรรมอันวิจิตร ลองไปหาอ่านใน ปายาสิราชัญญสูตร อยู่ในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย

สำหรับพระกุมารกัสสปะนี้ ท่านสามารถตอบคำถามของพระเจ้าปายาสิได้วิจิตรมาก การตอบคำถามของท่านจะเป็นในลักษณะยกความมาเปรียบ และเปรียบให้ยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ"

เถรี
28-04-2009, 10:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเข้าสู่ปีใหม่แล้ว ในเรื่องการปฏิบัติให้เรารู้จักใช้วิมังสา ไตร่ตรองดูว่าปีที่ผ่านมาการปฏิบัติของเราเป็นอย่างไร

วิมังสาในอิทธิบาท ๔ ก็เหมือนกับการสรุปและประเมินผลการปฏิบัติของเรา ควรมีการไตร่ตรองอยู่เสมอ ๆ และการไตร่ตรองในที่นี้ต้องเป็นการไตร่ตรองที่ไม่เข้าข้างหรือปิดบังความชั่วตัวเอง และควรกระทำให้การปฏิบัติของเรานั้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป"

เถรี
28-04-2009, 10:59
ถาม : ท่านมีอะไรจะแนะนำผมเพิ่มเติมอีกหรือไม่ครับ?
ตอบ : ตูนึกแล้ว..! ถ้ามาถึงกราบ ๆ ลาแล้วออกไปเลย แสดงว่ากำลังใจดีมาก แต่ถ้ายังอาลัยอาวรณ์กันอย่างนี้ แสดงว่ากำลังใจยังใช้ไม่ได้ ยังต้องปฏิบัติอีกนาน

การยึดติดแม้ในกระทั่งบุญก็ดี บาปก็ดี มันก็อาจจะกลายเป็นมาร ที่ท่านเรียกว่า อภิสังขารมาร คอยขัดขวางเราจากการทำความดีที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่างเช่นเราบอกว่าจะไป ๆ ที่นั่น แต่มือมันยังกอดเสาอยู่ตรงนี้ แล้วมันจะไปได้อย่างไร

เถรี
28-04-2009, 11:00
ถาม : แล้วประเภทที่ว่า บทจะกลับแล้วกลับเลยไม่บอกไม่กล่าวนี่เป็นอย่างไรครับ?
ตอบ : เป็นประเภทที่ไปไม่ลามาไม่ไหว้ ไร้มารยาทมาก ๆ ยังต้องปฏิบัติอีกนาน..!