View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗
ถาม : เคยอ่านเจอข้อความจากเก็บตกบ้านอนุสาวรีย์เรื่องการล้างไตครับ ว่าถ้ายังไม่ถึงขั้นฟอกไต ให้ใช้หญ้าหนวดแมวสัก ๓ - ๕ ช่อ มาต้มน้ำกินแทนน้ำไปเลย มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ต้องขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะช่วยล้างไตให้สะอาด ถ้าเราใช้ยาสมุนไพรหญ้าหนวดแมวที่มีจำหน่ายแบบเป็นเม็ดแคปซูลกินแทน จะให้ผลเหมือนกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : หญ้าที่ว่าหมายถึงยอดสด ๆ เด็ดจากต้นมาเลย โปรดอย่ามักง่าย ของแห้งสู้ของสดไม่ได้ทุกกรณี
ถาม : หน้าตาหญ้าหนวดแมวเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : จะเป็นช่อลักษณะเหมือนกับทรงกรวยไอศกรีม แต่ว่าปลายงอนหน่อย แล้วก็จะเป็นเส้นขาว ๆ ยาวเหมือนหนวดแมวเปี๊ยบเลย ไปค้นรูปในกูเกิ้ลน่าจะมี
ถาม : แล้วต้มน้ำกินสด ๆ เหมือนน้ำชาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ลักษณะนั้นแหละ
ถาม : ใส่น้ำตาลได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ควรใส่อะไรทั้งสิ้น กินยายังจะเอาอร่อยอีก
ถาม : คนปกติกินได้ไหมครับ ?
ตอบ : นาน ๆ ที ไม่อย่างนั้นขับปัสสาวะมากไป ร่างกายจะขาดเกลือแร่ได้
ถาม : เคยมีคำทำนายที่บอกว่าทรัพย์แผ่นดินจะปรากฏขึ้น เมื่อมีคนดีเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ แล้วการที่ค้นพบทองคำในสวนปาล์มพัทลุงดังที่เป็นข่าวในขณะนี้ เกี่ยวข้องกับการเมืองของประเทศที่ปฏิวัติโดยทหารหรือไม่ ?
ตอบ : เกี่ยวมากเลย เพราะว่าไปพบตอนที่ปฏิวัติแล้วพอดี เกี่ยวด้วยเวลาและเหตุการณ์
ถาม : แล้วเกี่ยวกับที่ว่ามีคนดีมาปกครอง ?
ตอบ : ได้ทองมานิดหนึ่งก็แสดงว่ามีคนดีนิดหนึ่ง แต่ก็เริ่มดีแล้ว
ถาม : แต่ทองที่ว่าจะขึ้นมาเมื่อมีคนดีเป็นทองธรรมชาติหรือว่าเป็นทองรูปพรรณ ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นทองธรรมชาติ อีกอย่างหนึ่งเป็นทองที่ทำเป็นแท่งแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่ที่ทำเป็นแท่งแล้วมักจะเกิดในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ ของเราตอนนี้ก็หวังที่เป็นธรรมชาติไปก่อนแล้วกัน แต่ถ้าอยากเห็นทองแท่งของพระเจ้าจักรพรรดิ เห็นแล้วจะหมดอยากไปเอง แต่ละแท่งอย่างกับเสาไฟฟ้า เราแบกไม่ไหวหรอก
ถาม : ตัวเองและลูกสาวมีอาการเจ็บป่วย โดยลูกสาวกระดูกสันหลังคด ส่วนตัวเองไหล่ติด ไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัฐชื่อดังหลายปีก็ยังไม่หาย ตอนหลังหมอใช้วิธีรักษาโดยการใช้พลังจิตฉายแสง ตอนจะเริ่มรักษาหมอบอกว่า ตัวเองและลูกสาวมีของอะไรบางอย่างต่อต้านพลังเขาอยู่ คุณแม่ก็บอกว่าเขาเคารพพระรัตนตรัย เคารพหลวงพ่อ เคารพพระอาจารย์ รับยันต์เกราะเพชรจะมีอะไร แต่หมอเขาบอกว่าคุณมีคุณไสย มีของต้านพลังผมอยู่ ต้องเอาออกให้หมด แล้วผมถึงจะรักษาได้ พอรักษากลับมาจากอาการปวดไหล่ก็ปวดเอวเพิ่มขึ้น แต่เวลาอยู่กับเขาแล้วหาย กราบเรียนถามว่าควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ย้ายบ้านไปอยู่กับหมอ ก็บอกว่าอยู่กับเขาแล้วหาย
ถาม : อย่างนี้เกิดจากสาเหตุอะไรอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องถามหมอ อย่ามาถามอาตมา อันดับแรก..อาราธนาวัตถุมงคลติดตัวใหม่ อันดับที่สอง..มีโอกาสไปเป่ายันต์ใหม่เพื่อความมั่นใจของตัวเอง การเจ็บไข้ได้ป่วยทุกอย่างเกิดจากกรรมเก่าทั้งสิ้น จริง ๆ แล้วอาการไหล่ติดไปหาหมอฝังเข็มดีกว่า ส่วนกระดูกสันหลังคดโอกาสหายน้อยมาก แต่ว่ามี โดยเฉพาะหมอทางรัสเซีย เขาผ่าตัดจัดเรียงกระดูกสันหลังใหม่ได้ แต่ต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่กับเตียง ๖ เดือน เขาจะทำเป็นเตียงตาข่ายที่ให้ความชื้นระบายออกได้ นอน ๖ เดือน แล้วผลพลอยได้คือจะสูงเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๑๐ เซนติเมตร เพราะว่าเขาเรียงกระดูกให้ใหม่ แต่ไม่ทราบค่าใช้จ่าย โปรดค้นคว้าเอาเอง
ถาม : อย่างนี้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคุณไสยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : กระดูกสันหลังคดไม่ได้เกี่ยวกับคุณไสย
ถาม : เพราะหลังไปหาหมอเขาก็ทักว่าไปโดนของมา มีผ้าขี้รี้วอะไรต่ออะไร
ตอบ : บอกหมอว่า “ใช่..เพิ่งจะโดนผัวเตะมา เขาฝากมาด้วยว่า ถ้ามาหาหมออีกจะเตะหมอด้วย..!"
ถาม : เคยได้ยินว่าเวลาใส่บาตรตอนเช้าแล้วรับพรตรงข้างถนน จะถือว่าเป็นบาปทั้งคนให้และพระจริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากลัวอย่างนั้นก็ใส่หน้าบ้าน จะได้ไม่ใช่ข้างถนน
ถาม : เขาอาจจะสงสัยจากที่ว่าพระวินัยเกี่ยวกับกรณีต่าง ๆ ที่ห้ามพระแสดงธรรม ?
ตอบ : ให้พรไม่ใช่การแสดงธรรม ถ้าเป็นบาป อาตมาบาปทุกวันแหละ เพราะว่าให้ข้างถนนประจำ เรื่องนี้เคยตอบไปแล้ว ไปค้นหาดูในเว็บวัดท่าขนุนก็ได้ ขี้เกียจอธิบายเพราะสมัยนี้คนเก่งมีเยอะ ส่วนใหญ่ก็คิดว่า คาดว่าไปเรื่อย โดยเฉพาะทางด้านวัด....
วัด...ตอนนี้มีศีลแค่ ๑๕๐ ข้อเท่านั้น ที่เหลือบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึงไว้ อาตมาฟังแล้วเซ็งมาก ที่ท่านอ่านในพระไตรปิฎกแล้วยืนยันว่าท่านกล่าวไว้ ๑๕๐ ข้อ เพราะว่าเป็นช่วงแรกที่พระพุทธเจ้าเพิ่งจะบัญญัติศีลไว้แค่นั้น แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นแล้วบัญญัติเพิ่ม ไม่มีการกล่าวไว้ว่าเพิ่มกี่ข้อ แต่พระเถราจารย์ท่านรวบรวมไว้จนเป็นศีลในพระปาฏิโมกข์ ๒๒๗ และอภิสมาจารอีกเกือบสองพันข้อ ถ้าเอาแค่ ๑๕๐ ข้อก็แปลว่าวัดของท่านละเมิดศีลอยู่ทุกวัน..!
ถาม : เพราะว่ายึดถือพุทธวจนะที่มีในพระไตรปิฎก ?
ตอบ : ชัดมากเลย แต่เป็นการอ่านพระไตรปิฎกแล้วก็ตีความมั่ว เอาแค่ปัจจุบันนี้ถ้าบอกว่า “ผมจะยึดถือกฎหมายตามรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ.๒๕๕๐” ลองดูสิว่าคสช.เขาจะเล่นด้วยไหม ? หรือไม่ก็ “ผมจะถือกฎหมายตราสามดวงของรัชกาลที่ ๑ เพราะว่าท่านบัญญัติไว้ดีแล้ว” ไม่ได้ไปดูบัญญัติสุดท้าย เรียกว่าอ่านเจอก็คว้ามา ไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วไม่ต้องชวนอาตมาไปทะเลาะกับท่านนะ ขี้เกียจทะเลาะด้วย เพราะท่านเก่งกว่า
พระอาจารย์สอบถามโยมว่า "เสื้อของที่ไหนจ๊ะนี่ ? (วัดหลวงปู่ท่อนครับ) บอกคนทำให้ตรวจสอบให้แน่นอนกว่านี้หน่อย เพราะว่าผิดเยอะ ขายหน้าครูบาอาจารย์เขา วันก่อนก็มีว่า “ไวปากเสียศีล ไวตีนตกต้นไม้” นั่นก็ผิด จริง ๆ แล้วต้อง “พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้”
ส่วนที่เสื้อนี้ต้อง “ขันติ ธีรัสสะลังกาโร” ธีใช้ตัวธ.ธง ลังกาโร คือเครื่องประดับ “เครื่องประดับของธีระคือนักปราชญ์ ได้แก่ความอดทน” ถ้ากะโรนี่ผิดวิภัติ แปลไม่ได้ กะโรแปลว่าการกระทำ
ถ้าเมื่อวานผิดพอให้อภัย แต่วันนี้เป็นพระพุทธวจนะแล้วเป็นบาลี ผิดแล้วความหมายจะเสีย ด้วยความภูมิใจว่าวัดหลวงปู่ จะพาหลวงปู่เสียไปด้วย เวลาจะทำอะไรออกมา ตรวจสอบให้แน่นอนก่อนว่าเป็นถ้อยคำหรือพระพุทธวจนะที่ถูกต้อง
หลวงปู่ท่อนท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่อาตมาให้ความเคารพนับถือมาก เพราะฉะนั้น..อะไรบางอย่างที่บกพร่อง โดยเฉพาะข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้ท่านเสียหาย เกิดจากลูกศิษย์ ไม่ควรจะมี ไม่ต้องเอาคำว่า “พุทธวจนะ” ไปแปะไว้กับขนม ไม่ต้องเอาไปแปะกับของที่ระลึกก็ได้ เพราะอันนั้นไม่ได้เกี่ยวพุทธวจนะเลย มีก็ขายไปเถอะ คนเห็นเขาซื้อเองแหละ ตกลงอาตมากำลังว่าใครวะ..??!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อวิชชา ความไม่รู้ ถ้ามีอยู่เราก็โง่เขลางมงาย หลงเชื่อผิด ๆ พอวิชชาคือความรู้เกิดขึ้น เหมือนกับแสงสว่างก็คือแสงแห่งดวงปัญญา มาขับไล่ความมืดออกไป เราก็จะรู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของสถานการณ์บ้านเมือง อุเบกขาเป็นไทยเฉยไว้จะปลอดภัยที่สุด ไม่อย่างนั้นคุณอยู่ต่างประเทศก็ต้องมารายงานตัววันนี้
จะเล่าเรื่องเมื่อคืนที่ถูกผีหลอกให้ฟัง ปกติอาตมาบ้าจนผีไม่หลอกมาหลายสิบปีแล้ว ปรากฏว่าด้วยความป่วย ก็คงทำให้สภาพจิตอ่อนแอลงไปหน่อย เมื่อคืนก็เลยมีผี ๓ ตัวโผล่มา เป็นเด็กนักเรียน ๒ คนกับเด็กวัยรุ่นไม่ได้แต่งชุดนักเรียนคนหนึ่ง คาดว่าเป็นเพื่อนของนักเรียนนั่นแหละ เขาตกน้ำตายตายแถว ๆ นี้ ที่รู้ว่าเป็นตรงจุดนี้ เพราะความเป็นทิพย์บอกว่าเขาตกน้ำตายแถวนี้
แต่คราวนี้พอถามว่าเป็นใคร ? มาธุระอะไร ? ถามอย่างไรก็ไม่ตอบ ยืนก้มหน้าเงียบ อาตมาเองสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนที่ยังปรารถนาพุทธภูมิอยู่ พอรู้ว่าเขาลำบากก็จะตะเกียกตะกายไปช่วย ต่อให้เขาว่าเสือกก็ยังจะช่วย แต่สมัยนี้ไม่ใช่ สมัยนี้ไม่เอาแล้วพุทธภูมิ เพราะว่าเหนื่อย เอาแค่เหตุการณ์เฉพาะหน้า เคยประกาศไว้นานแล้วว่า ถ้าไม่ได้มาล้มทับตีนจนอาตมาเดินหนีไม่ได้นี่ไม่ช่วยหรอก
ในเมื่อพูดแล้วไม่คุยก็เรื่องของเอ็งเถอะ จะไปไหนก็ไป เมื่อคืนก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเดิมว่าเวลาผีมาแล้วขนสันหลังลุก เคยถามตัวเองมานานเนกาเลแล้วว่า นี่เรายังกลัวอยู่ใช่ไหม ? สรุปได้ว่าไม่ใช่กลัว เกิดจากเวลาผีเขาจะแสดงตัวตนให้เราเห็น เขาต้องดึงเอาธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เข้ามารวมกัน เพื่อปรากฏเป็นกายให้เราสามารถรู้เห็นได้ ตอนที่เขาดึงเอาสิ่งต่าง ๆ ไปทำให้อุณหภูมิลดลง เราจะขนลุกเหมือนตอนกำลังหนาว ฉะนั้น..ถ้ารู้สึกเย็นยะเยือกแล้วขนลุกเกรียว ๆ ก็อาจจะมีอะไรมาอยู่ใกล้ ๆ แล้ว เขาพยายามแล้วแต่ยังโผล่ไม่ได้ พวกฝีมือไม่ถึงนี่บางทีมาได้แต่กลิ่น มาได้แต่เสียง บางทีก็เห็นแวบ ๆ แล้วก็หายไปเพราะกำลังไม่พอที่จะทำได้นาน ส่วนที่ปรากฏได้ชัด ๆ นั่นไม่ค่อยลำบากหรอก เพียงแต่ว่าถ้าคุณไม่ค่อยลำบาก อยากได้ดี แต่ถามอะไรไม่พูดด้วยก็เรื่องของคุณเถอะ..!
อาตมาขอยืนยันว่าปัจจุบันนี้ถ้าผีฝีมือไม่ถึงจะหลอกยากมาก เนื่องจากว่าแสงไฟฟ้าของเรากะพริบด้วยความถี่ประมาณ ๕๐ รอบต่อวินาที ในเมื่อมีการกะพริบกระแทกอยู่ตลอดเวลา เวลาผีเขาพยายามรวบรวมอณูของ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ามา ก็ถูกกระแทกกระจายหมด ทำให้ไม่สามารถที่จะปรากฏตัวได้ พวกที่เปิดไฟนอนเพราะกลัวผีถือว่าถูกต้อง แต่ใช้ได้แค่ผีบางจำพวกเท่านั้น ผีระดับอนุบาลนะ ถ้าหากผีระดับมัธยม ระดับปริญญาความรู้เขาสูง เขาหลอกจนได้แหละ ถ้าระดับด็อกเตอร์ก็มาเที่ยง ๆ เลย แดดกูก็ไม่กลัว อาตมาโดนมาเยอะแล้ว"
"แล้วบางท่านหนักกว่านั้นอีก แดดเปรี้ยง ๆ แท้ ๆ กลัวจะเล่นเราไม่ถนัด ทำให้มืดฟ้ามัวฝนได้ด้วย ถ้าประเภทนั้นต้องระวังนะ ส่วนใหญ่จะเป็นมหิทธิกาเปรตหรือกาลกัญจิกอสุรกาย ถ้าเจรจากันไม่รู้เรื่องนี่เรามีสิทธิ์เดี้ยง กำลังเขาสูงมาก คล้าย ๆ เทวดาเลย
พวกนี้ส่วนใหญ่เคยเป็นพ่อมดหมอผีมาก่อน แต่เมื่อเป็นมิจฉาทิฐิ ตายแล้วไปเสวยทุกข์ในนรก พ้นขึ้นมาก็มาเป็นมหิทธิกาเปรตหรือกาลกัญจิกอสุรกาย มิจฉาทิฐิเต็มหัวอยู่ ถือตนเป็นใหญ่ ก็มักจะตั้งตนเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ พอเราไปในเขตของเขาถ้าไม่ชอบใจนี่เขาก็เล่นงานเลย
ถ้าเจอผีระดับนั้นเที่ยง ๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก อาตมาเจอนี่..เที่ยง ๆ เดินทะลุข้างฝามาเลย ตัวใหญ่เกือบเท่าภูเขา เอื้อมมือกำอาตมาอย่างกับเด็กกำตุ๊กตา ไปนึกถึงตุ๊กตาขอฝนของญี่ปุ่น เหมือนตัวเราเหลือประมาณแค่นั้นเอง แล้วตัวเขาจะใหญ่แค่ไหน ? พยายามใช้อะไรก็สู้เขาไม่ได้ เพราะเขาอยู่ในความเป็นทิพย์ มีความคล่องตัวมากกว่า
ท้ายสุดก็ตัดสินใจว่า “ตายก็ตายละวะ ในเมื่อตายก็ควรตายอย่างผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์” จึงแผ่เมตตาให้เขา ปรากฏว่าไปขี้ตรงร่องท่าไหนก็ไม่รู้ เขาแพ้เราตรงนี้ พอแผ่เมตตาตัวเขาก็หดเล็กลง ๆ ท้ายสุดเราก็ใหญ่กว่า แบบนี้เอ็งก็เสร็จข้าแหละ..!
ฉะนั้น..พวกเราไปลองดูได้นะ ถ้าเราแผ่เมตตาด้วยความจริงใจ บางทีก็ชนะได้ทุกอย่าง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าเป็นอาวุธของท่าน ท่านเรียกว่า "อาวุธพระพุทธเจ้า" หลวงปู่ดู่ท่านเรียก "พระขรรค์เพชรพระพุทธเจ้า" ก็คือบท เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปริมาณังฯ เรียกง่าย ๆ ว่าบทกรณีฯ ที่ขึ้นด้วย กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะฯ นั่นแหละ ไปไหนให้ภาวนาเอาไว้จะปลอดภัย อาตมาเสกพระขรรค์โสฬสก็ด้วยบทนี้แหละ ไม่มีคาถาอะไรมากกว่านี้หรอก"
"ตอนที่ไปเจออสุรกายนี่ไปอยู่ที่บ้านคลิตี้บน สมัยที่ยังต้องเดินเท้าเปล่าเข้าไป อาตมาไปถึงคลิตี้บนใหม่ ๆ ปี ๒๕๓๒ สมัยนั้นนอกจากรถบรรทุกแร่แล้ว ต้องเดินเท้าอย่างเดียว
อาตมาเดินเท้าปีนเขาข้ามมาจากทางด้านบ้านองหลุเข้าไป ปรากฏเจ้าอาวาสคือหลวงพ่อไกโพ่ท่านกำลังไม่สบายอยู่ พระลูกวัดท่านก็จัดอาตมาไปพักที่กุฏิแห่งหนึ่ง พอดูแล้วปรากฏว่ามีแต่โกศเก็บกระดูกเกือบจะเต็มข้างฝา เหมาะจริง ๆ เลยไอ้ที่ ๆ ใครไม่พัก เขายัดอาตมาเข้าไปทุกที
เมื่อกราบพระเสร็จก็ปลดข้าวของเครื่องธุดงค์ลง เตรียมตัวสรงน้ำ กะว่าเสร็จสรรพเรียบร้อยจะสวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตาแล้วเจริญกรรมฐาน สรงน้ำกลับมาแต่งตัวไม่ทันเสร็จ ไอ้อสุรกายโผล่มาก่อน เพราะอาตมาไปแย่งที่นอนเขา ตายแล้วยังไม่อยู่ส่วนตาย..!
ไอ้เจ้านี้เป็นหมอผีกะเหรี่ยงเก่า ตอนหลังหลวงพ่อไกโพ่ก็โดนหมอผีกะเหรี่ยงเล่นจนตาย ช่วงที่อาตมาไปก็ท้องบวมอืด ร้องโอย ๆ คนโน้นรักษาก็ไม่หาย คนนี้รักษาก็ไม่หาย ท้ายสุดอาตมาก็เลยต้องทำน้ำมนต์ให้..
พอท่านฉันเข้าไปแล้วสั่นพั่บ ๆ เป็นเจ้าเข้า สักพักก็ลุกไปยืนแอ่นตรงระเบียงปัสสาวะเฉยเลย แต่อัศจรรย์ตรงที่ว่าปัสสาวะท่านกลิ่นเหมือนกับเนื้อเน่า..เหม็นสุด ๆ แล้วท้องท่านก็ยุบ หายเป็นปกติ ท่านย้ายวัดหนีไปอยู่วัดทิพุเยเลย กลัวจะโดนอีก
ท่านเป็นเจ้าอาวาส ๒๗ พรรษาแล้ว ย้ายวัดหนีเฉยเลย ตอนนั้นอาตมาพรรษาน้อยกว่าท่านตั้งเยอะ ปรากฏว่าท้ายสุดไปตายที่วัดทิพุเย เขาตามไปเล่นที่นั่นต่อ แล้วท่านเองก็ไม่รู้ว่าอาตมาอยู่ที่ไหน เพราะตอนนั้นยังอยู่วัดท่าซุง ท่านรู้แต่ว่าเป็นพระธุดงค์มา ไม่ได้ถามรายละเอียด เลยไปขอให้ช่วยไม่ได้ แสดงว่าเรื่องของไสยศาสตร์เขายังทำกันอยู่เป็นปกติ"
"ถ้าในทองผาภูมิต้องนับหลวงพ่อมณฑล ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์หลักที่มีคนเคารพนับถือกันกว้างขวาง ปรากฏว่าไปโดนไสยศาสตร์เหมือนกัน เพราะท่านดูแลวัดทุ่งสมอตั้งห้าหกพันไร่ พวกตัดไม้นี่เข้าไปแหลมไม่ได้เลย ท่านเล่นกระจายหมด ในเมื่อยิงท่านก็ยิงไม่ออก ปืนก็ไม่มีประโยชน์ โดนท่านอัดกองหมด เขาก็เลยต้องเล่นไสยศาสตร์แทน
ปรากฏว่าวันนั้นท่านกำลังฉันอยู่ ไม่ทราบว่าไปเผลอสติอีท่าไหนจึงโดนเข้า สงสัยปนว่ามากับอาหาร ปรากฏว่าท้องท่านบวมขึ้น ๆ จนหายใจไม่ออก ตะโกนบอกแม่ชีดาวว่า "หลวงพ่อเป็นอะไรไม่รู้โว้ย อยู่ท้องมันใหญ่เอา ๆ อย่างกับคนจะคลอด หายใจจะไม่ออกแล้ว..!" แม่ชีดาวพอเห็นเข้าก็คว้าน้ำมันงา ที่เอาไปเข้าพิธีเสาร์ห้าที่วัดท่าขนุนมาทาให้ ปรากฏว่าท้องยุบแฟบไปทันตาเห็น ท่านก็เลยถามว่าของใคร แม่ชีดาวบอกว่าของพระอาจารย์เล็กที่วัดท่าขนุน ท่านบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อ แม่ชีดาวบอกว่าท่านเพิ่งจะมาอยู่ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยได้รู้จักกัน
ฉะนั้น..พวกไสยศาสตร์เป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะว่าเท่าที่พบมาไสยศาสตร์กะเหรี่ยงน่ากลัวที่สุด ไสยศาสตร์เขมรน่ากลัวตรงความอุบาทว์ของเขา ไสยศาสตร์เขมรเขามีตำราสร้างอสุรกายสร้างผีไว้ใช้งาน ไสยศาสตร์อิสลามแก้ไขยาก เพราะว่าส่วนมากผสมอาหารให้กินไป กลายเป็นเลือดเนื้อตัวเองจึงถอนยาก แต่ไสยศาสตร์กะเหรี่ยงน่ากลัวที่สุด เพราะโดนแล้วส่วนใหญ่ตายทุกราย ไสยศาสตร์กะเหรี่ยงก็เลยแทบจะไม่มีชื่อเสียง เพราะคนโดนไม่มีโอกาสได้ไปบอกใคร"
พระอาจารย์กล่าวว่า "กะเหรี่ยงทุกหมู่บ้านจะมีผู้นำตามกฎหมายคือผู้ใหญ่บ้าน แต่ผู้นำโดยพฤตินัยคือการกระทำได้แก่หมอผี มีทุกหมู่บ้าน แล้วมีบางบ้านน่ากลัวมาก เป็นหมอผีหนุ่ม ๆ เลย อายุประมาณสิบกว่ายี่สิบเท่านั้นเอง แสดงว่าคนเก่งทางด้านนี้เขามีอยู่ อาตมาเคยไปร่วมพิธีในงานของเขามาแล้ว ปรากฏว่าพอไปอยู่ที่นั่น ผีไม่กล้าเข้ามา ไปยืนหัวค้ำภูเขาอยู่ ตัวใหญ่มาก
บรรดาหมอผีทั้งหมดเขาก็ไม่เริ่มพิธีเสียที เพราะผีไม่เข้ามา แสดงว่าเขาเห็นผีกันทุกคน ถ้าไม่เห็นก็คงเริ่มพิธีไปแล้ว อันนี้เขาเห็น เขาถึงเริ่มพิธีไม่ได้ ท้ายสุดอาตมาจึงต้องบอกลา บอกว่าขอตัวกลับไปนอนก่อน พอเดินพ้นไป ทางด้านนี้ก็เริ่มพิธีเพราะผีเข้ามาได้ แสดงว่าเขารู้จริง ถ้าไม่รู้จริงนี่ผีมาไม่มาเขาก็คงทำพิธีไปแล้ว
อาตมาเดินไปพักที่ตีนเขาเทวดาซึ่งห่างออกไปไม่มาก เดินไปสักสามนาทีก็ถึง กำลังเหยียบบันไดขึ้นกุฏิ ปรากฏว่าขนหัวลุกตั้งทุกเส้นเลย จึงบอกท่านชาติชายว่า “เฮ้ย..คราวนี้ใครไม่รู้ว่ะ..เล่นหนักขนาดนี้ ไม่เคยเจอมาก่อน” พวกเราก็อาราธนาบารมีพระป้องกันตัวเสียดิบดี ปรากฏอีกไม่นานคุณมงคลเดินเริงร่าหน้าบานมา บอกว่า “หลวงพี่..ผมเล่นแม่..เองแหละ อาราธนาธงมหาพิชัยสงครามแปะหลังคาเลย พวกหมอผีเกือบจะพุ่งหลาวลงมา.."
แสดงว่าพวกเขารู้กันทุกคน พวกผีกระเจิงหมด หมอผีก็เผ่นนะสิ ตอนนั้นอาตมาก็สงสัยว่าใคร เพราะไม่เคยเจอหมอผีแรงได้ขนาดนี้ ที่ไหนได้..พวกเราเล่นกันเอง เล่นอาราธนาธงมหาพิชัยสงครามแปะหลังคาศาลาพิธีเลย ถ้าอยากรู้เรื่องนี้ไปถามคุณมงคลให้เขาเล่าต่อก็แล้วกัน หรือไม่ลองถามทิดตู่ก็ได้ เรื่องผีกะเหรี่ยงนี่ทิดตู่โดนจนเข็ด ที่ขำที่สุดคือผีกะเหรี่ยงดันพูดติดสำเนียงกะเหรี่ยงด้วย กลายเป็นผีแล้วยังพูดไทยไม่ชัด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทิดตู่ตอนนั้นยังเป็นสามเณรอยู่ ถือว่าไปฝึกวิชาชั้นสูงโดยไม่รู้ตัว ไปเป็นเป้าให้หมอผีซ้อมมือเล่น พวกนี้เขามีค่านิยมว่าถ้าเล่นงานพระธุดงค์ได้ถือว่าดัง พระอาจารย์ชะลอ วัดใหม่ฉายหิรัญนี่บวมทั้งตัวเลย ท้ายสุดต้องย้ายหนี อยู่บ้านตะเพินคี่ไม่ได้ อาตมาไปก็โดนปางตายอยู่หลายรอบ แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ถึงเวลาอาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ หายดีเรียบร้อยก็ไปตีหน้าตาย เขาให้อะไรก็กินหน้าตาเฉย
เรื่องของไสยศาสตร์นี่ ถ้าเรามีของดีของขลังอยู่กับตัว ให้อาราธนาป้องกันตัวก็พอ อย่าไปตอบโต้ใคร เพราะว่าเท่าที่มีประสบการณ์มา พอเราสวนกลับไปเขาสู้ไม่ได้ เขาจะหาคนที่เก่งกว่ามา ถ้าหาคนเก่งกว่ามาไม่ได้เขาก็หาพวกมามาก ๆ แล้วก็ผลัดกันทำ กลายเป็นว่าเราไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ของเขาผลัดกัน ท้ายสุดเราก็พลาดจนได้ อาตมาต้องแกล้งทำตายไปหลายยกแล้ว คือมีปัญญาก็ทำไป ตูไม่รู้ไม่ชี้รับไปเลย สองวันสามวันเขาเห็นไม่มีการตอบโต้ คิดว่าน่าจะตายไปแล้วเขาก็เลิก ไม่อย่างนั้นก็เล่นไม่เลิก..น่ารำคาญ
อย่างงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ผ่านมา พวกเราก็คงจะเห็นว่าเยอะแค่ไหน มีทั้งนักร้อง มีทั้งนักดิ้นครบครัน ถ้ามีหางเครื่องอีกหน่อยก็ตั้งวงดนตรีได้เลย แสดงว่าสมัยนี้ไสยศาสตร์ก็เฟื่องฟูไม่แพ้กัน แล้วโดยเฉพาะว่าเรื่องของ ยันต์เกราะเพชรนี่เป็นคู่ปรับกับไสยศาสตร์โดยตรง เพราะว่า พุทธศาสตร์ คือ ศาสตร์แห่งความตื่น ไสยศาสตร์ คือ ศาสตร์แห่งความหลับ พุทธะ แปลว่า ตื่น ไสยะ แปลว่า หลับ เป็นข้าศึกกันโดยปริยาย เพราะฉะนั้น..มีการเป่ายันต์เกราะเพชรที่ไหน ไสยศาสตร์ก็มักจะอาละวาดอยู่เรื่อยแหละ เขาอยากลองดูว่าแน่จริงหรือเปล่า อาตมาก็ต้องทำโง่ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย เขามาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ว่ากันตามมารยาทไทย พอเขาเล่นเราแล้ว เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้สวนคืนไป..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนพระครูน้อยถามว่า "อาจารย์จันทร์จะขออนุญาตมาวัดท่าขนุน ท่านอาจารย์จะอนุญาตไหมครับ ?" อาตมาถามว่า “นี่ท่านกลัวข้าขนาดนี้เลยหรือ ?” พระครูน้อยบอกว่า "กลัวมากเลยครับ" อาตมาบอกว่า "ไม่ได้ถือโกรธอะไรท่านหรอก จะมาก็มาเถอะ" คือตอนแรกก็คบหาสมาคมกันดี ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดซายากงที่หงสาวดี ถึงขนาดพาไปธุดงค์ด้วยกัน พาเที่ยวเมืองไทย ขึ้นเครื่องบินไปเชียงใหม่ คราวนี้ท่านอยากให้อาตมาไปสร้างวัดให้ท่าน อาตมาก็บอกว่ารอให้วัดหนองบัวเสร็จก่อน เพราะไม่อยากทำงานหลายแห่ง ปรากฏว่าพอเผลอ ๆ ท่านใช้ไสยศาสตร์ครอบ เพื่อที่จะดึงอาตมาไปสร้างวัดให้ท่าน
ช่วงนั้นพอดีอยู่ในระหว่างที่ทำพิธีถวายสิ่งก่อสร้างวัดหนองบัวทั้งหมดไว้ในพระพุทธศาสนา กำลังนั่ง ๆ อยู่เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงบนหัว สติขาดไปประมาณ ๒ วินาทีก็ตั้งหลักจับภาพพระได้ใหม่ หันไปกระซิบบอกพระครูน้อยกับครูบาน้อยและทิดเอ ซึ่งตอนนั้นทิดเอยังบวชอยู่ บอกว่าช่วยดูด้วยว่าพระที่มาวันนี้ มีใครที่อยู่ ๆ ก็เดี้ยงไปบ้าง เขาเล่นผมหนักขนาดนี้ โดนสะท้อนกลับไปรับรองหนักกว่าหลายเท่า เขาถามว่า "พระอาจารย์โดนหรือครับ ?" บอกว่า "โดนสิ..แต่พวกคุณไม่รู้" ท่านเห็นอาตมาพูดหน้าตาเฉย ก็สงสัยว่าโดนอีท่าไหน
ปรากฏว่า..พระครูน้อยไปเดินวนอยู่พักเดียว กลับมาถึงหน้าซีด บอกว่า “อาจารย์จันทร์ครับ พวกเราเอง” ถามว่าเป็นอะไร ท่านบอกว่าอยู่ ๆ กระดูกสันหลังเคลื่อน ขยับตัวไม่ได้ เหมือนเป็นอัมพาต พอถามว่าเป็นอะไร ท่านบอกว่าขยับตัวผิดจังหวะ อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้าทำอย่างนี้อีก ก็ผิดจังหวะอยู่เรื่อยแหละ
ก่อนกลับเมืองไทยก็ไปลาแกแล้วก็กลับ เป็นอะไรเรื่องของเอ็ง ข้าขี้เกียจรักษา ได้ยินว่ารักษาตัวอยู่ ๕ - ๖ เดือนกว่าจะดีขึ้น นี่หลายปีแล้วเพิ่งจะติดต่อมา คงนึกว่าไม่มีใครช่วยสร้างวัดแน่ ๆ แล้ว จะใช้วิธีดึงไปด้วยกำลังไสยศาสตร์ก็ไม่มีปัญญาจะทำ จะมาขอขมาเองก็กลัวอาจารย์จะเฉ่งคืน ส่วนใหญ่แล้วไปนึกโดยใช้กำลังใจตัวเอง ว่าถ้าตัวเองโดนแบบนี้แล้วจะโกรธ เลยบอกกับพระครูน้อยไป ให้บอกท่านว่า ถ้าเข้ามาเมืองไทยได้ก็มาเถอะ ไม่ได้ถือโกรธอะไรหรอก เพียงแต่ว่าถ้าไม่เข็ดจะลองอีกก็ไม่ว่ากัน
ของอาตมานี่พื้นดวงบังคับ เกิดมาดวงตกที่อริเป็นมรณะ ในเมื่ออย่างนี้ใครตั้งตนเป็นศัตรู อาตมานั่งมองเฉย ๆ เขาก็ตายเอง โยมอาจจะสงสัยว่า ทำไมอาตมาทำตะกรุดมหาสะท้อนขึ้นนักขึ้นหนา ก็เพราะพื้นดวงให้ อริเป็นมรณะ ใครเป็นศัตรูก็หาเรื่องตายเอง..!"
ภาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ทำหน้าที่ต่อ ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร พวกเราก็เอามาดัดแปลงว่าตายในสนามรบเป็นศพของทหาร ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่ ก็เป็นตายเสียดีกว่าที่จะอยู่ที่นี่
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : คือ เกิดความรู้สึกว่าเราต้องตายอยู่เสมอจ้ะ ตายแล้วขึ้นชื่อว่าต้องเกิดมามีร่างกายอย่างนี้ เราไม่ต้องการอีก เราต้องการพระนิพพานเท่านั้น
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : พอนึกถึงพระนิพพานก็นึกถึงพระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว แล้วก็เอาภาพพระควบกับลมหายใจเข้าออก ถ้าหายใจเข้าให้ภาพพระไหลเข้าไป หายใจออกให้ภาพพระไหลออกมา ตราบใดที่เราเห็นท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป อย่าอยาก ถ้าอยากอยู่แล้วเราจะไปตามจี้ว่าขั้นตอนนี้เป็นอย่างนี้ ตอนนี้เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นอย่างไรช่างมัน เดี๋ยวเดียวก็ได้เลย
ถาม : โดนแฟนทิ้ง อยากให้เขากลับมาดีกันใหม่ (ไม่ชัด)
ตอบ : อยู่คนเดียวเปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ ถึงสนุกก็ไม่สบาย ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเถอะ เดี๋ยวก็เจอคนที่ใช่เอง ไม่ได้สอนให้เราหลายใจ แต่ให้รู้ว่าวาระกรรมของคนเป็นอย่างนั้นเอง ช่วงนี้เราเจอคนนี้ แล้วอีกช่วงเราอาจจะเจออีกคนหนึ่งที่เคยร่วมสร้างกรรมกันมาก่อน แล้วก็จะมีการผูกพันกันเป็นระยะ ๆ พระพุทธเจ้าท่านถึงต้องสอนให้เราอยู่ในศีลในธรรม แต่คราวนี้ไอ้การอยู่ในศีลในธรรมของพวกเราในปัจจุบันนี้ ดูเชย..โบราณ ก็ต้องใช้วิธีแบบแล้ว ๆ กันไป ทำไม่รู้ไม่ชี้ เดี๋ยวเจอใหม่เอง แล้วถึงเวลาหนีให้พ้นแล้วกัน
ถาม : ยังรักเขาอยู่ (ไม่ชัด)
ตอบ : ต้องทำใจจ้ะ ผู้ชายเป็นเพศที่มีหน้าที่กระจายพันธุ์ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แม้ไม่รักผู้หญิงคนนั้น ส่วนผู้หญิงเราต้องรักเขาถึงจะยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงเราจะขาดทุนทุกครั้งไป ท่านถึงบอกว่าต้องหักห้ามใจไว้ด้วยศีล ไม่อย่างนั้นจะเสียเยอะ ไอ้อะไรที่ผิดแล้วก็ช่างมัน ถึงเวลาเราก็เริ่มต้นใหม่ ถ้าเขาไม่มาง้อเราก็แล้วไป ถ้ามาง้อก็เล่นตัวเสียบ้าง
ถาม : ทำอย่างไรเขาถึงจะกลับมา (ไม่ชัด)
ตอบ : ต้องบอกว่าถ้าเขาไม่ใส่ใจแล้วเป็นฝ่ายจากเราไป เขายังมีคุณค่าพอที่เราจะไปไขว่คว้ากลับมาหรือเปล่า ? เราต้องพิจารณาตรงจุดนี้ด้วย แล้วไขว่คว้ากลับมาแล้วมั่นใจหรือว่าเขาจะไม่เป็นอย่างนี้อีก ? ไป..เสียเวลาคิด ไปนั่งภาวนาดีกว่า มาก็ช่างไม่มาก็ช่าง
ถาม : ถามเรื่องโดนทำไสยศาสตร์ (ไม่ชัด)
ตอบ : ออกมาดีกว่าไม่ออกไม่ใช่หรือ ? ถ้ากำลังใจดี สิ่งที่ไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ จะโดนขับออกไป ก็ให้รู้ว่ามีคนรักเรามาก จึงส่งของมาให้เรื่อย ๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป เราภาวนาสวดมนต์ของเราไปเรื่อย ถ้ากำลังใจของเราสูง ของพวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก ของอาตมาออกมาเป็นไม้จิ้มฟันแขนงไผ่ โผล่ออกมา ๒ อัน เจ็บฉิบห..เลย..!
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ ภาวนาไป แล้วไอ้ที่ออกมานั่นหมดอานุภาพแล้ว
ถาม : ถามเรื่องการจับภาพพระ (ไม่ชัด)
ตอบ : แสดงว่าคบไม่ได้ใช่ไหม? เปลี่ยนอยู่เรื่อย ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธหรือพระสงฆ์อยู่ไม่เป็นไร จับเป็นอนุสติต่อไปได้ ยกเว้นว่าเราทำกรรมฐานเฉพาะกอง อย่างเช่นว่าเพ่งกสิณอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นรูปพระ รูปเทวดา รูปวิมาน ฯลฯ ให้ตัดทิ้งไป หันมาจับกสิณของเราใหม่
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ต้องทำถึงจะรู้ว่าดีไม่ดี คนเราจะทำอะไร ถ้าไม่มีสมาธิจะทำได้ไม่ดีหรอก ถ้าหากว่านั่งสมาธิ มีสมาธิมากขึ้นก็จะทำทุกอย่างได้ดีขึ้น แต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะลองทำเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราแรกเริ่มจะเป็นอย่างนั้นเอง พอรู้ตัวก็พยายามปรับ ก็ต้องลดทิฐิมานะของตัวเองลง ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมองไม่เห็น แล้วคนอื่นบอกก็ไม่ฟัง เพราะฉะนั้น..ต้องพยายามฝึกทางจิต เพราะถ้าสภาพจิตมีความละเอียดมากขึ้น จะมองเห็นเรื่องพวกนี้ได้ และแก้ไขได้เอง ถ้าสภาพจิตยังไม่ละเอียดพอก็มองไม่เห็น ดูที่ตัวเองแก้ที่ตัวเอง คนอื่นบอกก็ไม่ฟังหรอก ดีไม่ดีหาว่ามาเสือกอะไรเรื่องของเราด้วย"
ถาม : ถามเรื่องการปฏิบัติ (ไม่ชัด)
ตอบ : ไปสงสัยเกินความสามารถของเรา ทำไปให้ถึงแล้วจะรู้เอง ถ้ายังทำไม่ถึงก็สงสัยทุกคนแหละ ถ้าสงสัยก็คือสงสัย เมื่อสงสัยก็ค้นคว้าให้รู้จริง ทำไปเรื่อย ๆ ถึงเมื่อไรก็จะเลิกสงสัยเอง
ไม่มีใครช่วยทำแทนได้ ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ ถ้าหากว่ายึดศีลเป็นหลักจะไม่หลง ถ้าศีลทรงตัวแล้วก็ทำสมาธิไปด้วย ถ้าศีลสมาธิทรงตัวแล้ว ปัญญาจะเกิดเอง
พระอาจารย์กล่าว่า "ไปนึกถึงผู้นำกะเหรี่ยง แกแซวพวกเราเจ็บ ๆ แกบอกว่า “ผมก็เพิ่งรู้ว่าพวกท่านเอาผมไปขายได้” เพราะว่าที่วัดท่าขนุนเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนของอำเภอ แล้วคราวนี้ถ้ามีวัฒนธรรมอะไรที่มีความต่าง มีความแปลก มีความเด่น ก็ต้องรวบรวมเอาไว้
เขาเองเขาอยู่กันอย่างนั้น ทำกันอย่างนั้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เขาก็ไม่รู้ว่ามันมีอะไรดี มีอะไรผิดปกติ มีอะไรน่าสนใจ พอเห็นคนแห่ไปดูก็ยังงง ๆ ว่ามาดูอะไรกัน"
ถาม :(ไม่ชัด)
ตอบ : จริง ๆ ต้องบอกว่ากะเหรี่ยงเขาอยู่กับป่ากับดง แล้วความชื้นมันเยอะ ถ้าไม่กินเผ็ดมาก ๆ นี่อยู่ยาก ต้องกินเผ็ดมาก ๆ ขับเหงื่อขับความชื้นในร่างกายออก ก็เลยกลายเป็นว่าเขากินเผ็ดกันจนเป็นปกติวิสัย คนไทยเราไปเจอพริกกะเหรี่ยงครั้งแรกเผ็ดกระโดดทุกคน น้องเล็กกินไปคำเดียวหัวหูแดงหมด ช่วงที่ไปธุดงค์ไปอยู่ที่นั่น กินทุกวัน เพราะว่าจะมีน้ำพริกกะเหรี่ยงเป็นหลัก แล้วก็พวกผักหญ้าที่เขาหาตามธรรมชาติ อยู่ไปเป็นเดือน พอออกมาข้างนอกฉันอะไรก็ไม่รู้สึกเผ็ดเลย พอถึงเวลาเขาเอาน้ำปลาพริกมาถวายนี่ กวาดพริกมาเคี้ยวเล่นได้เลย แต่เขาว่าพริกที่เผ็ดที่สุดเป็นของเม็กซิโก ไม่ใช่พริกกะเหรี่ยง พริกกะเหรี่ยงเผ็ดแค่ ๑๒๕,๐๐๐ สโควิลล์ ส่วนของพริกเม็กซิโกล่อไป ๕ แสนกว่าสโควิลล์ ประเภทเดินผ่านต้นก็คงจามแล้ว สโควิลล์เป็นมาตราวัดความเผ็ด
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครจะซื้อมีดจ่าตุ่มก็ให้รีบซื้อ เพราะว่าอาตมาจะทำมีดหมออีกรุ่นหนึ่ง แต่ว่าอย่าไปซื้อมีดพับ เพราะว่ามีดพับเข้าพิธีแล้วเป็นมีดหมอไม่ได้ มีดพับเป็นได้แค่วัตถุมงคล ถ้าจะใช้เป็นมีดหมอต้องเป็นมีดที่ใช้งานแบบปกติ จะเป็นอีโต้ โบวี่ มีดปาดตาลอะไรก็เอา ถ้าไม่อย่างนั้นเดี๋ยวถึงเวลาแล้วต้องมาเสียเงินบูชาแพง ๆ อีก ซื้อมีดจ่าตุ่มยัดเข้าไปก็หมดเรื่อง
อาตมาก็จะไปสั่งให้บ้านจ่าตุ่มทำนั่นแหละ กะว่าสัก ๒ ปีน่าจะเสร็จ คือมีดชุดนี้อาตมาเห็นภาพมาตั้งแต่บวชใหม่ ๆ แล้ว สงสัยอยู่ว่าเมื่อไรจะได้ทำ ทางบ้านจ่าตุ่มบอกว่า ถ้าทำโดยไม่ทำให้ใครเลย จะได้เดือนหนึ่งประมาณ ๒๐ เล่ม ๑๐ เดือนได้ ๒๐๐ เล่ม อาตมาต้องการสัก ๓๐๐ เล่มก็รอกันอ่วมเลย แล้วเขาต้องทำมาหากินเป็นระยะ ๆ ไป ก็ต้องมีหยุดไปทำอย่างอื่น งานนี้จะให้เขาแถมปลอกหนังให้ด้วย แต่ว่าอย่าใส่ปลอกหนังทิ้งไว้นาน ๆ เพราะว่าปลอกหนังจะมีความชื้น พอชื้นแล้วต่อให้เป็นสเตนเลสสนิมก็กิน"
พระอาจารย์กล่าวกับพี่จี๋ว่า "ถ้าปอดอักเสบนี่แสดงว่าต้องติดเชื้ออะไรบางอย่าง เพราะว่าปอดเราโดยปกติ ถ้าไม่โดนใครกระทืบเสียอ่วม ไม่มีทางที่จะช้ำหรือว่าอักเสบข้างในได้ มีโอกาสอย่างเดียวคือติดเชื้อมา เท่าที่เจอมาคนที่มีอาการอย่างนี้ ส่วนใหญ่เปิดพัดลมหรือเปิดแอร์พุ่งใส่ตัวเองตรง ๆ ถ้าเปิดพัดลมหรือเปิดแอร์พุ่งใส่ตัวเองตรง ๆ ร่างกายรับความเย็นมากเกินไป ถ้าหมอจีนเขาบอกว่าความเย็นแทรกซึม ร่างกายเย็นเกิน ต้องหาอะไรร้อน ๆ กินเข้าไปบ้าง พริกไทยก็ได้ พริกไทยนี่โบราณบอกว่าร้อนสุขุม ก็คือกินลงไปใหม่ ๆ ไม่รู้สึกเผ็ดหรอก แต่ถ้ากินไปเรื่อย ๆ จะเผ็ดมากขึ้น ๆ
สมัยก่อนเวลาคนป่วยต้มยาหม้อกิน บางคนไม่อยากให้หาย แอบเอาพริกไทยใส่ห่อผ้าสักกำมือหนึ่ง โยนลงไปในหม้อต้ม คราวนี้พอร่างกายร้อนเกิน ไข้ก็ไม่ลดเสียที เขาแกล้งกันอย่างนั้น ส่วนใหญ่คนที่ไม่รู้ก็คิดว่าเป็นยาดำ ที่ไหนได้เขาเอาพริกไทยใส่ลงไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาเพิ่งส่งค่าเหล็กโครงสร้างศาลางวดสุดท้ายมาให้ สามแสนกว่าบาท เป็นงวดที่จ่ายน้อยที่สุด ตอนนี้การสร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย หมดไป ๒๓,๒๓๐,๐๐๐ กว่าบาทแล้ว ได้แค่นี้เอง เดี๋ยวกลับไปต้องไปจ่ายหนัก ๆ อีก ๒-๓ ชุด ก็คือพวกหน้าต่าง กระจก มุ้งลวด กระเบื้องปูพื้น ไฟฟ้า แล้วก็สีทาภายในภายนอก จะพยายามให้ใช้งานวันที่ ๑๒ สิงหาคมให้ได้ ถ้าไม่ได้ กันยายน หรือตุลาคมต้องได้ ใช้งานชั้นหนึ่ง ชั้นอื่นเขาทำไป..ไม่ว่ากัน
ถาม : ปีไหนครับ?
ตอบ : ปีนี้ นี่ปีกว่าแล้วนะ ชน ๒๗ มีนาคมก็ครบปีแล้ว นี่ปีกับ ๒ เดือนแล้ว งานตกแต่งอย่างอื่นก็เรื่องของเขา แต่ว่าให้ใช้งานได้ก่อน ญาติโยมหลายท่านเห็นแล้วเครียดแทน ว่าเอาเงินมาที่ไหนเยอะแยะมาสร้าง อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงเวลาใช้ไปเรื่อย ๆ มีให้ใช้ก็ใช้
ในเรื่องของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่อาตมาจะไม่ลังเลสงสัยเลย เพราะว่ามีประสบการณ์มา ๒๐-๓๐ ปีแล้ว ว่าถ้าเราให้ความศรัทธา ความเชื่อมั่นจริง ๆ จะเป็นไปได้ทุกอย่าง เทปูนเพดานชั้น ๓ เกือบ ๆ ๒๘๐ คิว รถ ๗ คันวิ่งกันเช้ายันค่ำ ปรากฏว่าระหว่างนั้นก็ฝนตกไปเรื่อย เขาเว้นให้เฉพาะวัดท่าขนุนกับแพลนท์ปูน ๒ ที่เท่านั้นที่ฝนไม่ตก คนขับรถยังงง ๆ ว่าเป็นไปได้อย่างไร พอขึ้นไปดูบนชั้น ๓ มองไปรอบข้างนี่มืดไปหมด เว้นไว้ให้ ๒ ที่
แล้วทางบริษัทยงสวัสดิ์ส่งวิศวกรเครื่องกลมา ๓ คน เตรียมที่จะซ่อมเครื่องโม่ปูน เพราะเขาบอกว่างานใหญ่ ๆ แบบนี้เครื่องพังทุกงาน แต่นี่ล่อกันเช้ายันค่ำไม่เห็นเป็นอะไรเลย
เริ่มเทปูนประมาณ ๙ โมงเช้า เพราะว่าต้องรอรถปั๊มปูนเขาต่อท่อก่อน แล้วพวกช่างทางด้านโน้นก็ได้เปิดหูเปิดตา เพราะว่าเป็นการใช้ท่อพ่นปูนเป็นครั้งแรกของทองผาภูมิ ชั้นที่ ๒-๓ ตอนนี้เขาเริ่มเป็นงานกันแล้ว รู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร พอถึงเวลาอาตมาไปคุมงานก็จะคอยชี้ “ตรงนั้นเป็นหลุม” “ก็เรียบดีนะอาจารย์” “เรียบกับเตี่ยเอ็งนะสิ น้ำปูนขังเป็นแอ่งเลย ใส่ปูนลงไปอีก ๓-๔ ถัง” พวกนี้เขาปาดหน้าเรียบแล้วเขาคิดว่าเสมอกันแล้ว แต่ความจริงที่ตรงนั้นต่ำ เพราะว่าประสบการณ์เขาน้อย ก็เลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เห็นว่าเรียบแล้วก็แล้วกันไป
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางวัดเป็นเจ้าแรก ๆ ที่สั่งแพลนท์ปูนมาเทในงานจนกระทั่งถนน พอคนอื่นเห็นก็เลียนแบบกันหมด เพราะว่าอันดับแรกก็คือมาตรฐานการผสม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีผิดเพี้ยน ของเขาคันรถหนึ่ง ใช้ปูนเท่าไร ใช้ทรายเท่าไร ใช้หินเท่าไร มีสูตรแน่นอน ไม่เหมือนพวกเราที่ตักผสมกันเอง ตอนเช้ายังแรงดีหน่อยก็โกยเสียปุ้งกี๋เบ้อเร่อเลย พอบ่าย ๆ แรงหมดก็เหลือครึ่งปุ้งกี๋ แต่ดันไปนับเท่าเดิม จึงหามาตรฐานไม่ได้
แล้วประการที่ ๒ ก็คือเร็วมาก ถึงเวลาเทพรวดลงช่างก็มีหน้าที่ปาดเรียบอย่างเดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปผสมกันนาน แล้วอันดับที่ ๓ ก็คือราคาเป็นที่รับได้ ถ้าเรามาโม่กันเองเทกันเอง จะเสียค่าแรงเยอะมาก ๒๘๐ คิวถ้าลำพังเทกันเองเป็นอาทิตย์ก็ไม่เสร็จ อันนี้เขาเทวันเดียวเสร็จ
ตอนสมัยทำเขื่อนที่เกาะพระฤๅษี อาตมาสั่งปูนมาทีหนึ่ง ๓๐๐ ลูก เพราะว่ารถบรรทุกได้แค่นั้น พอรถจากบริษัทปูนมาทีหนึ่ง ๓๐๐ ลูก โม่กันค่ำยันเช้า เช้ายันค่ำ ๒ วันหมดแล้ว โม่จนเครื่องไหม้เลย แล้วพวกนี้ถ้ารู้ว่างานอาจารย์เล็ก เขาทำกันตายไปข้างหนึ่งเลย เพราะว่าได้เงินแน่นอน ไปที่อื่นทำยังไม่รู้ว่าเขาจะโดนเบี้ยวหรือเปล่า ทำไป ๔๕ วัน จ่าย ๓๐ วัน ทำ ๕๐ วัน จ่าย ๓๐ วัน ของอาตมาไม่มีกั๊ก ทำเท่าไรจ่ายเท่านั้น
บางวันเห็นเอ้อระเหยลอยชายอาตมาก็ด่าออกอากาศ “ถ้ายังทำแบบเอาค่าแรงรายวันอยู่ เดี๋ยวพวกเอ็งจะได้ไปทำที่อื่น ที่นี่อยู่สบาย กินสบาย อาหารก็ไม่ต้องเดือดร้อน กินกับครัววัด ค่าแรงก็ได้รับเต็ม ๆ ยังทะลึ่งมาทำงานอู้กันอีก” คราวนี้พวกเขากลัวโดนไล่ออก เพราะว่าอาตมาเอาจริง ๆ ถ้าโดนไล่ออกไปทำงานที่อื่น ค่าแรงจะไม่ดีอย่างนี้ ส่วนใหญ่ก็ทำเกินเวลา แล้วเขาติดมัดจำไว้หน่อย มักจะติดค่าแรงไว้ ๑๐-๑๕ วัน จะได้ไม่หนีไปที่อื่น ของอาตมาไม่มี พลาดเมื่อไรไล่ออกไปเลย..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานกับวันนี้จ่ายไป ๗ แสนกว่าบาท โยมถวายมายังไม่ถึง ๗๐,๐๐๐ บาทเลย เมื่อวานโอนค่ามัดจำทำประตูหน้าต่างและมุ้งลวดไป ๔ แสนบาท มาวันนี้ก็ค่าเหล็กงวดสุดท้าย ๓ แสนกว่าบาท จ่ายกันเพลินมากเลย อาตมาเป็นลูกล้างลูกผลาญ
สมัยที่ซ่อมตึกแดงใหม่ ๆ ตั้งใจว่าทำเป็นห้องกระจก ปรากฏว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาบอกว่า ห้องกระจกราคาแพงมาก แล้วก็แตกง่าย ใครตัดหญ้าดีดหินไปสักเม็ดเดียวก็บรรลัยแล้ว แล้วท่านก็สรุปว่า "ให้รู้จักประหยัดบ้าง เงินข้าเป็นคนหา ไม่ใช่แกหา.." เพราะฉะนั้น..ที่ตึกแดงก็เลยกลายเป็นมุ้งลวดแทน เพราะอาตมาต้องการแสงจากข้างนอกด้วย ตอนแรกปิดทึบหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปกติมาลาเรียลงกระเพาะจะอาเจียน แบบเดียวกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงอาเจียนตอน ๔ โมงเย็นทุกวัน พวกนี้มาตรงเวลาทุกวัน ตอนที่อาตมาเป็นใหม่ ๆ ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ฝืนเอาไว้ได้ กลั้นไม่ให้อาเจียน กลั้นไปกลั้นมาขึ้นข้างบนไม่ได้ เลยไปลงข้างล่างแทน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ถ้าลงกระเพาะเมื่อไรก็จะถ่ายแทน..แย่พอกัน หมดแรง จะปวดท้องเหมือนกับเป็นบิด เด็กสมัยนี้รู้จักโรคบิดหรือเปล่า ? เหมือนกับมีอะไรทิ่มอยู่ในพุง แล้วเวลาถ่ายก็จะไม่มีอะไร นอกจากจะเป็นฟอง ๆ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ความที่คนเรารักตัวเองมาก ฉะนั้น..อะไรที่เกี่ยวกับสุขภาพจะขายดีเป็นพิเศษ พูดง่าย ๆ คืออะไรที่ทำให้สวยทำให้หล่อ ทำให้อายุยืน แข็งแรง ขายได้หมด แล้วสังเกตไหมว่าเขามาแบบตีหัวเข้าบ้าน มาพักเดียว น้ำลูกยอ น้ำทับทิม น้ำหมัก สารพัด ส่วนใหญ่พวกนี้จะหาสมาชิกแบบขายตรง คนแรก ๆ ก็รวยไป คนหลัง ๆ ก็รับเละไป ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เป็นที่น่าเสียดายว่า จากการสำรวจของนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ประเทศไทยเรามีลิงวอกเหลืออยู่ฝูงเดียวที่อยู่กับธรรมชาติ นอกนั้นอาศัยคนกินทั้งนั้น ลิงเขาใหญ่ด้วย ลิงเขาใหญ่โดนรถชนตายไปเยอะแล้ว เพราะเห็นรถแล้ววิ่งมาขออาหาร ทางด้านลพบุรีทำโครงการจะย้ายลิงไปอยู่กับธรรมชาติ มีเสียงคัดค้านกันมากว่าลิงไม่เคยอยู่กับธรรมชาติมาก่อน หากินไม่เป็นหรอก
พวกลิงที่เขื่อนวชิราลงกรณเห็นพระแล้วจะหนี เพราะโดนอาตมาไล่เตะบ่อย ๆ ตอนแรกเจ้าหน้าที่เขื่อนเขาก็แปลกใจ จึงบอกว่าต้องทำให้กลัวใครไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครเอาอยู่ เขาจำได้หน้าตาอย่างนี้ไล่เตะบ่อย ๆ ต่อไปก็ไม่กล้าหือ พวกนี้ก็แปลก..ถ้าเรากลัวจะโดนข่ม โดนขู่ โดนกัดเลย ถ้าเราไม่กลัวไล่เตะเข้าจริง ๆ ลิงก็เผ่นเหมือนกัน...
ตอนแรกพวกเจ้าหน้าที่เขื่อนเขาไม่เข้าใจ แปลกใจว่าอาตมาไปจองล้างจองผลาญอะไรกันนักหนา ตัวไหนโผล่มาเป็นวิ่งใส่ ต้องบอกเขาให้เข้าใจว่า ต่อไปถ้าลิงเห็นจีวรแบบนี้มาก็จะหนีไปเอง”
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมานี่ไม่ต้องอาศัยคนนอกเลย เพราะว่าตอนแม่ตาย แกมีเหลน มีโหลนแล้ว ลูก ๑๓ คน หลาน ๓๐ กว่า แล้วคิดดูว่าเหลนจะเท่าไร ไม่ต้องอาศัยแขกข้างนอกเลย มีหลานอยู่คนหนึ่งอายุ ๕๕ แกเป็นหลานนะ ของอาตมาลำดับรุ่นสูงมาก แม่นี่ลำดับรุ่นสูงที่สุด ถัดมาก็รุ่นลูกของแม่ รุ่นอาตมาลำดับรุ่นสูงมากเลย เพราะว่าไม่มีแม่แล้ว ก็เป็นรุ่นที่สูงที่สุด หลานอายุ ๕๕ มาบอกว่าตัวเองเป็นปู่แล้ว ฉะนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมแขกมาเยอะ ตั้งแต่อายุ ๑๐ กว่าอาตมาก็เป็นเจ็กกง แปะกงแล้ว ตอนนั้นคนอายุ ๖๐ กว่าเป็นหลาน คนอายุ ๗๐ กว่าเป็นได้แค่พี่”
พระอาจารย์บอกกับเจ้าของหมาที่ป่วยหนักว่า “เราอย่าไปเอาความคิดฝรั่งมาใช้ ความคิดฝรั่งเขาจะใช้การุณยฆาต คือ ฆ่าให้พ้นทุกข์ แต่อาตมาขอยืนยันว่าต่อให้คนหรือสัตว์บาดเจ็บปางตายแค่ไหน เขาก็พยายามดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ ฉะนั้น..ถ้ามีหน้าที่ก็ดูแลเขาให้เต็มความสามารถไป เขาจะตายเมื่อไรก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของเขา
ของฝรั่งอย่างเช่นว่า ม้าตกหลุมขาหัก เขาจะยิงทิ้งเลย เพราะว่าไปนอนทรมานอยู่กว่าจะตายก็เป็นปี ๆ แต่ของเราเองต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าท่านว่า กมฺมสฺสกา มีกรรมเป็นของตน ในเมื่อต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตัวเอง ต่อให้เขาทรมานอยู่ ก็ต้องถือว่าเป็นกรรมของเขา แล้วก็ไม่มีใครอยากตาย ถ้าเรามีโอกาสดูแลเขา ก็ดูแลให้เต็มความสามารถ อย่างน้อย ๆ ถ้าใจเขาเกาะคน ก็จะได้เกิดเป็นคน ถ้าใจเกาะพระเกาะความดีได้ ก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ส่วนการที่จะอยู่นานเท่าไรก็แล้วแต่เวรแต่กรรม
อย่างนั้นต้องทำใจ ถ้าทำใจไม่ได้เราจะเศร้าหมอง ถ้าตายตอนนั้นเราจะแย่เอง”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวนี้เจ้าอาวาสแถว ๆ สุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร เป็นลูกศิษย์ของอาตมาเกือบหมด ท่านมาเรียนหนังสือกัน บางคนอายุมากกว่า พรรษามากกว่า มาเรียกอาจารย์ ๆ ฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ ไม่ค่อยชินเหมือนกัน
ประโยค ๙ เขาให้เทียบเท่าปริญญาตรี ก็เลยมาต่อปริญญาโท แต่พวกที่เป็นประโยค ๙ แล้วมาเรียนปริญญาโทนี่จุกทุกราย เพราะไม่มีพื้นฐานเลย ลองมานึกถึงคนทั่ว ๆ ไป เรียนมาตั้งแต่อนุบาล ป.๑ ป.๕ มศ.๕ ไล่ไปเรื่อย เรียนปริญญาตรี แล้วมาต่อปริญญาโทยังยาก แล้วนี่ท่านไม่มีพื้นฐานอะไรเลย มาถึงก็ต่อโทเลย กว่าจะจบได้แทบตายกันทั้งนั้น”
ถาม : ถามเรื่องการปฏิบัติในอานาปานุสติ (ไม่ชัด)
ตอบ : รับรู้ได้ตามปกติ แต่ถ้าบางคนจิตหยาบ จะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงหรือหายไป ส่วนวิตก วิจารณ์ เราไม่ได้ไปละ แต่ถ้าสมาธิสูงขึ้น ก็จะเลิกนึกถึงไปเอง
ถ้าหากว่าจิตหยาบ บางทีตอนปลายของปฐมฌานก็รู้สึกว่าไม่มีลมหายใจแล้ว แต่ถ้าหากเอาให้แน่ ๆ ต้องเป็นส่วนของฌานที่ ๒ ถ้าจิตละเอียดต่อให้ฌาน ๔ เต็มที่ก็ยังรู้ถึงลมหายใจอยู่ แต่ว่าลมหายใจจะละเอียดมาก อย่างกับเส้นเอ็นเล็ก ๆ บาง ๆ ใส ๆ เหมือนใยแมงมุม ถ้าหากว่าใยเส้นนี้ขาดเราตายแน่ แต่คราวนี้สภาพจิตละเอียดมาก รับรู้ได้ชัด อย่างไรก็ไม่ขาด
ถาม : การจับอานาปานุสติแล้วเกิดอุคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต (ไม่ชัด)
ตอบ : คนที่เคยมีพื้นฐานเก่ามาก่อน จะสามารถเกิดนิมิตขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่ามาก่อนจะไม่มี
ถาม : แล้วพื้นฐานเก่านี่รวมถึงกสิณด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราฝึกกสิณมาหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ฝึกกสิณมาก่อน นิมิตก็ไม่แน่ว่าจะปรากฏ แต่ถ้าหากว่าเราฝึกกสิณอยู่ ถึงเวลาปฏิภาคนิมิตจะสามารถปรากฏขึ้นเองได้ ขยายให้ใหญ่ได้ ให้เล็กได้ ให้มาได้ ให้ไปได้ ถ้าหากว่าตรงกับกองกรรมฐานที่ทำอยู่ เราก็พิจารณากำหนดปฏิภาคนิมิตได้ ถ้าหากว่าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ต้องปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ อย่าไปสนใจ ในช่วงนั้นถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็กำหนดรู้ลมหายใจพร้อมกับนิมิต ถ้าไม่มีลมหายใจก็ให้จับนิมิตอย่างเดียว
เมื่อสภาพจิตเราเริ่มทรงตัว นิมิตต่าง ๆ จะปรากฏขึ้น แล้วส่วนใหญ่จะไปเสียตรงนั้น พอถึงเวลาภาวนาเมื่อไรก็อยากเห็นนิมิตอีก ตัวอยากฟุ้งซ่านก็เลยไม่เห็น เลยทำให้เสียคนไปเลย จนกระทั่งมีนักปฏิบัติที่มาทางสายวิชาการหลายคนบอกว่า ใครทำแล้วได้นิมิต ครั้งต่อไปอย่าหวังเลยว่าจะได้เพราะเขามั่นใจว่า ไอ้นี่ต้องฟุ้งซ่านจนกระทั่งไม่มีทางได้เห็นอีก
แต่ละคนที่เคยมีพื้นฐานเก่ามาก่อน จะสามารถเกิดนิมิตแบบนั้นได้ ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่ามาก่อนจะไม่มี แสดงว่าชาติก่อน ๆ คุณเคยฝึกมาแล้ว แต่เรื่องอย่างนี้ถ้าไปพูดกับสายวิชาการเขาไม่ยอมรับ เขายืนยันอย่างเดียวว่าไม่มี
ให้กำหนดลมหายใจเป็นปกติ ตามดูตามรู้อย่างเดียว ถ้านิมิตเกิดขึ้นตรงกับกองกรรมฐานก็สามารถจับต่อได้ ถ้าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ทิ้งไปเลยถ้ายังรู้ลมอยู่ก็กำหนดรู้ลมไป ถ้าไม่รู้ลมแล้วก็จับนิมิตอย่างเดียว
ส่วนใหญ่แล้ว แรก ๆ ประเภทศึกษามาน้อย มักจะจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ถ้าถึงตรงนั้นแล้วเดี๋ยวก็มั่วถูกไปเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า “การกำหนดอานาปานสติขณะที่เคลื่อนไหว ถ้าไม่ชำนาญจริง ๆ ถ้าหากว่าลมครบ ๓ ฐานเมื่อไร ร่างกายจะหยุด เดินไม่ได้ ต้องซักซ้อมให้ชำนาญจริง ๆ ถึงจะเคลื่อนไหวได้ เพราะว่าช่วงนั้นสภาพจิตและประสาทจะแยกออกจากกัน ถ้าไม่ใช่ซ้อมกันมาจนช่ำชองจริง ๆ จะติดแหง็ก ไปต่อไม่ได้”
ถาม : ทำสมาธิแล้วรู้สึกว่ามีเงาดำ ๆ ใหญ่ ๆ มาอยู่ข้าง ๆ เขาคือใครคะ ?
ตอบ : แล้วตอนนั้นทำไมไม่ถามว่าเขาเป็นใคร มาธุระอะไร ขอเบอร์โทร ขออีเมล์ ขอไลน์ไว้ด้วย ถึงเวลาจะได้ติดต่อได้ คราวหน้าถ้าอยากรู้ ตอนนั้นให้กำหนดจิตถามว่าเขาเป็นใคร จะได้คำตอบเอง มัวแต่ตื่นเต้นละสิ..คราวหน้าเอาใหม่ เพราะว่าช่วงนั้นสภาพจิตเริ่มเป็นทิพย์ อยากรู้อะไรจะรู้เรื่องนั้นได้ คราวหน้าตั้งใจถามเลยว่า เป็นใครมาจากไหน มีธุระอะไร แล้วจะได้คำตอบเดี๋ยวนั้นเลย ไป..เริ่มต้นใหม่
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางอย่างสำหรับบางคน ถึงรู้อยู่ก็บอกไม่ได้ อย่างโยมเมื่อกี้ที่ถาม แกถามว่าใคร ถ้าอาตมาบอกว่าคือสมเด็จองค์ปฐม คงช็อกตาย ถ้าไม่ช็อกตายก็คงไปกวนท่าน เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน จนกระทั่งท่านมา "ตื้บ" อาตมาอีก ความจริงการที่เจอเองก็น่าจะถามท่านตรง ๆ ว่าเป็นใคร แต่ไม่ถาม..เล่นมาถามคนอื่นทีหลัง”
พระอาจารย์กล่าวกับผู้เอาศิลปะวัตถุของไอนุมาถวายว่า “ไอนุนี่ผู้หญิงเขามีรอยสักทุกคน ถ้าไม่สักเขาถือว่าไม่ใช่ไอนุ คนที่ไม่รู้ว่าไอนุคือต้นตระกูลญี่ปุ่นโบราณ ก็คงจะงง ๆ
มีพวกชนเผ่าจำนวนมากที่เขาถือว่า นกฮูกเป็นนกแห่งปัญญาหรือความรู้ อาจเป็นว่าตาโต ๆ มองโน่นมองนี่ โดยเฉพาะฝรั่ง นกฮูกนี่เป็นผีหลอกฝรั่งมาเยอะแล้ว ตอนดึก ๆ มาร้อง ฮู ๆ (Who..Who ?) ถามว่าใคร ๆ อยู่ ๆ กลางคืนได้ยินเสียงคนถามว่าใคร ๆ เป็นเราก็คงใจหายวาบ แต่นกฮูกหลอกคนไทยไม่ได้ เพราะพูดคนละภาษากัน”
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนเพื่อนผู้หญิงสะพายกระเป๋าข้ามถนน แล้วสายสะพายขาด กระเป๋าตก เขาเลยหยุดกึก หันไปหยิบกระเป๋า บรรลัยเลยคราวนี้ รถวิ่งมาเลยต้องหักหลบ คว่ำสิ..ปรากฏว่าบรรทุกไก่สดมา กระจายเต็มถนน คือถ้าหากว่าเขาวิ่งต่อไปจะไม่มีปัญหา ดันวิ่งกลับไปเอากระเป๋ารถวิ่งมาเร็ว เบรกไม่ทันเลยต้องหักหลบ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปีนี้ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ประทานเทียนพรรษาให้วัดท่าขนุนอีก ปีที่แล้วอาตมาจุดจนเกลี้ยงเลย”
ถาม: การใช้สมาธิข่มอาการป่วย (ไม่ชัด)
ตอบ : อย่าไปสนใจอาการป่วยก็พอ ถ้ากำลังสมาธิดี ก็เอาอยู่เอง สำคัญตรงนั้น ถ้าไม่มีกำลังสมาธิก็ตายแน่ แต่ถ้าไม่มีกำลัง ก็ไม่ใช่สมาธิสิ
ขอยืนยันว่าอาการป่วยของอาตมาไม่ได้ ๑ ใน ๑๐๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาท่านอาเจียนหรือถ่ายออกมา ไปจับกระโถนยังรู้สึกร้อน ลองนึกดูแล้วกันว่าความร้อนในร่างกายท่านขึ้นขนาดไหน
ดูตัวเราก่อนว่าก่อนนี้เป็นอย่างไร ถ้าดูยาก..ก็ดูย้อนไปว่าวันนี้เป็นอย่างไร เมื่อวานเป็นอย่างไร สองวันก่อนเป็นอย่างไร สามวันก่อน ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง ย้อนไปเรื่อย จนกระทั่งเป็นชาติที่แล้ว ๆ เป็นอย่างไร พอดูของเราชำนาญแล้ว ดูของคนอื่นลักษณะเดียวกัน แต่ว่าดูของคนอื่นกลายเป็นรู้ของเขาจะเป็นจุตูปปาตญาณ ย้อนไปดูอดีตเขาก็เหมือนกับเราฝึกปุพเพนิวาสานุสติญาณ ไปดูอนาคตเขาก็เป็นอนาคตังสญาณ เราต้องซ้อมที่ตัวเองก่อน แค่เรากำหนดดูว่าตอนนี้สภาพจิตของเราเป็นอย่างไรก็พอ ถ้าเรากำหนดเป็นรูปพระหรือเป็นดวงแก้ว ให้ดูว่าใสหรือมัวอย่างไร ถ้าสภาพจิตของเราไม่ดีก็จะมัว ถ้าจิตของเราผ่องใส ก็จะใส
ถาม: (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าหากว่าคล่องตัวจริง ๆ ต่อให้เราหลับอยู่ รอบข้างเป็นอย่างไรเรารู้หมด ไม่ใช่แต่ในบ้านอย่างเดียว ไกลออกไปมาก ๆ ก็รู้ได้ แต่บางทีรู้แล้วยุ่ง รำคาญด้วยซ้ำไป
ถาม: ถามเรื่องการอธิษฐาน (ไม่ชัด)
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าตั้งใจสร้างพระก็ได้อานิสงส์เป็นพุทธบูชาอยู่แล้ว ตั้งใจอุทิศให้เขา ถ้าเขียนเฉย ๆ ไม่ได้อะไรหรอก สร้างพระได้บุญใหญ่อยู่แล้ว ผลบุญที่เราได้มา เราจะขอให้เป็นอะไรเป็นอย่างไร ก็อธิษฐานเอา ตั้งใจจะให้ประเทศชาติสุขสงบอย่างไรก็ว่าไป
ถาม: ถามเรื่องการอธิษฐาน (ไม่ชัด)
ตอบ : ถึงเวลาอาจจะมาไม่ตรงจังหวะที่เราต้องการ เราหิวข้าวตอนนี้กว่าจะมาอีก ๓ วันเราก็หน้ามืดสิ อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องของคนฉลาด เพราะว่าเรื่องของบุญ ของบาป เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เกิดผลแน่ ๆ คราวนี้อธิษฐานบารมีเป็นการกำหนดเจาะจงว่า จะให้เกิดผลเมื่อไร เกิดผลอย่างไร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า บุคคลที่ใช้อธิษฐานบารมีเป็น ต้องระดับอุปบารมีขั้นปลายขึ้นไป บางคนเข้าใจผิดว่าทำบุญแล้วยังโลภอีก ไปอธิษฐานโน่น อธิษฐานนี่ กลายเป็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ดีแท้ ๆ และเป็น ๑ ในบารมี ๑๐ ที่ต้องสร้างให้เต็ม เขากลับไปเข้าใจผิด เข้าป่าเข้าดงไปเลย
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : คงต้องวางเฉยอย่างเดียว หรือไม่ก็ท่อง เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา
เทวปุตตมาร จริง ๆ แล้วเป็นเทวดาหรือพรหมนี่แหละ บางทีก็ตั้งใจมาทดสอบเรา บางท่านก็ตั้งใจมาก่อกวนจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะลักษณะไหนก็ตาม ถ้าเรามั่นคงอยู่ในศีล ท่านก็เล่นเราได้ยาก
ถาม : ถามเรื่องการวางกำลังใจ เพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนขี้อิจฉา ?
ตอบ : ถือว่าเป็นเรื่องปกติ คราวนี้เราก็เปลี่ยนใหม่ แทนที่จะอิจฉาเขา ก็ให้คิดว่า เราทำอย่างไรให้ได้อย่างเขา แสดงว่าตอนนี้เราขาดมุทิตาจิต ต้องเน้นในพรหมวิหาร ๔ ยินดีในความดีของคนอื่นเขา และอุเบกขา วางเฉย ไม่ซ้ำเติมใคร แปลว่าสมาธิยังน้อยไป ไม่สามารถที่จะห้ามใจตัวเองได้ ไปเน้นการฝึกสมาธิอีกหน่อย สมาธิน้อยไป กำลังไม่พอ เมื่อกำลังไม่พอ กิเลสก็โผล่มาก่อน
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาไปประเทศเนปาลมา พระพุทธศาสนาในเนปาลส่วนใหญ่เป็นมหายาน เพราะว่าสืบสายมาทางทิเบต แล้วเป็นพระพุทธศาสนาที่แปลกมาก คือเขาไม่ต้องมีพระสงฆ์ก็อยู่กันได้ ถึงเวลาญาติโยมก็จะเข้าวัด ไปสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าอยากรู้อะไรก็ไปค้นพระไตรปิฎกมาอ่านกันเอง ดูแล้วยังงง ๆ ว่าเขาทำอย่างไร ? ถ้าเป็นบ้านเรามีหวังได้ตีกันบ้านแตก แล้วที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือวัดพุทธมีแต่คนฮินดูเข้ากันมากมาย
ขณะเดียวกันคนพุทธก็ไปเข้าเทวสถานของฮินดู เหมือนกับว่าเขาไม่รังเกียจว่าจะเป็นศาสนาไหน ขอให้เป็นที่เคารพที่บูชา เขาเข้าหมด ทุก ๓ ก้าว ๕ ก้าว จะต้องมีที่ให้เขาบูชาสักแห่ง แม้กระทั่งตามพื้นตามอะไรเดินไปส่งเดชไม่ได้นะ เดี๋ยวไปเหยียบที่บูชาของเขา เขาขุดดินลงไปเจอหินกลม ๆ ก้อนหนึ่งก็ก่อขอบล้อมไว้ บูชาเป็นศิวลึงค์ เออ..ดูแล้วบ้านเขาใจคนอยู่กับเทวตานุสติตลอด
เขาจะมีที่สักการะที่บูชาของเขาทั่วไปหมด บางทีกลางถนนเลย รถก็แน่นอย่าบอกใคร บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว กลางถนนเลยดันมีเทวาลัยให้คนไปบูชา ไม่ยักโดนรถเหยียบตาย คนของเขาค่อนข้างจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แล้วก็ใจเย็นมาก บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว พวกเราฟังไม่รู้หรอก แต่เขาดันรู้ว่าคันไหนบีบ แล้วบีบเตือนเรื่องอะไรก็ดันรู้อีกด้วย ถึงเวลาถนนบางสายรถวิ่งไปคันเดียวเต็มถนนเลยนะ แล้วดันมีรถสวนมา เขาก็ไปของเขาได้ มีการหยุดรอ มองซ้ายมองขวา อ้อ..ข้างหลังมีที่ว่าง ก็ถอยปรู๊ดไปมุดเข้าซอย อีกคันวิ่งขึ้นหน้าเลยซอย คันนั้นออกมาก็วิ่งต่อ บางทีก็วิ่งไปกลับรถ รถติดเต็มไปหมด ติดซ้ายติดขวา แต่เขาก็ไปของเขาได้”
“ในเมื่อเขาสืบสายมาจากทิเบต การไหว้พระจะมี ๒ อย่าง คือ ยืนไหว้ และกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ คือกราบแบบองค์ ๘ ไม่ใช่องค์ ๕ อย่างเรา คือกราบราบลงกับพื้นเลย แล้วที่น่าทึ่งคือพวกฝรั่ง ไปตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันจริง ๆ จัง ๆ ไปนั่งสมาธิกันเป็นวัน ๆ ไปกราบกันเป็นวัน ๆ พวกนี้เขากราบกันทีเป็นพัน ๆ ครั้ง รู้สึกว่าฝรั่งเขาทำอะไรจริงจังกว่าพวกเรา พวกเรากราบเบญจางคประดิษฐ์ยังไม่ค่อยจะครบเลย ส่วนใหญ่แล้วลงไม่ถึงพื้น บางคนก็เอามือแปะ ๆ เท่านั้น ลงไม่ได้เพราะติดพุง ก้มไม่ลง ต้องไหว้อย่างทิเบต ลงไปทั้งตัว เล่นกราบเป็นพัน ๆ ครั้ง รับรองไม่มีพุง ไขมันละลายหมด ตอนเช้า ๆ ก่อนไปทำงาน เขาจะไปเดินสวดมนต์รอบพระสถูปเจดีย์ ๑๐๘ รอบ แล้วก็ไปทำงาน ตอนเย็นกลับมาสวดมนต์อีก ๑๐๘ รอบ แล้วค่อยกลับบ้าน ถ้าเอาคาถาเงินล้านไปเผยแผ่คงรวยกันทั้งประเทศ
การบูชาพระ การสักการะสถูป เขามีผางประทีป ส่วนใหญ่ก็ทำด้วยเนย มีไส้ เป็นผางประทีปเล็ก ๆ มีผงหอม ไม้หอมต่าง ๆ โดยเฉพาะไม้สน เขาเผาจนกระทั่งพวกเราที่ไม่เคยชิน รู้สึกว่าฉุนมาก แล้วก็มีพวกผงสีต่าง ๆ ผงสีจะใช้สีแดงสีเหลืองเป็นหลัก อันนี้มาจากฮินดูแน่นอน แล้วก็มีข้าวสาร ข้าวโพด ถั่วเขียว ในลักษณะของเมล็ดพืช ซึ่งจริง ๆ ก็คือข้าวปลาอาหารที่เป็นเครื่องให้ชีวิต ซึ่งเขาถือเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง อย่างที่ในสมัยพุทธกาล ท่านห้ามพระภิกษุจับข้าวเปลือกที่ติดอยู่กับรวง เพราะว่าถ้าหากมีเถยยจิตคิดจะขโมย จะต้องอาบัติปาราชิกไปเลย กลายเป็นว่าเขาถือว่าพวกธัญพืชต่าง ๆ มีข้าว มีถั่ว มีงา อะไรพวกนี้ เป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เอาไปบูชาพระพุทธเจ้า บูชาเทพกัน ก็เลยเป็นเหตุให้มีนกพิราบอยู่เป็นพัน ๆ ตัวทุกวัดเลย เพราะมีคนเอาอาหารไปให้กินโดยปริยายทุกวัน”
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนถึงได้บอกไปว่า พระเราไม่มีฤทธิ์บ้างเลยก็ไม่ดี มีมากไปคนก็ไปติดอยู่ตรงนั้นอีก พวกมาเลเซีย สิงคโปร์ เขามาแล้ว อย่างกับว่าจะให้เราเสกให้เขาสำเร็จเดี๋ยวนั้น โดยไม่คิดจะใช้ความพยายามของตัวเองเลย อาตมาไม่ค่อยอยากจะคบหรอก แต่คนอื่นบอกว่าคบพวกนี้ไว้แหละดี จะสร้างวัดกี่วัดก็ได้เพราะเงินเขาเยอะ คือพวกนี้เขาทำบุญ แบบคิดว่าทำมากได้มาก จะทุ่มเท พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ทำบุญโดยที่ตัวเองและคนรอบข้างไม่เดือดร้อน ดันมีการแปลงคำสอนเป็นทำมากได้มาก”
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ไปเทศน์งานทำบุญ ๕๐ วันหลวงพ่อพระเทพเมธากร วัดท่ามะขาม หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านไปเป็นประธาน ท่านประทานผ้าไตรมาชุดหนึ่ง อาตมาก็ดีใจ คราวนี้มีซองปัจจัยมาด้วย ก็ไม่ได้คิดอะไร รับไป กลับไปที่วัด รุ่งขึ้นเปิดออก ช็อก..! ท่านถวายกัณฑ์เทศน์มา ๕ หมื่นบาท ไม่นึกว่าจะได้เยอะอย่างนั้น กลับไปก็ทิ้งไว้เฉย ๆ รุ่งขึ้นจะลงบัญชี แกะออกมา ช็อกไปเลย
แต่คราวนี้ในงานที่เห็นแล้วไม่ชอบใจอย่างหนึ่งก็คือ ประธานฝ่ายฆราวาสใส่รองเท้าเดินลุยอยู่ในศาลา เขาปูพรมอย่างดี ปกติแล้วในเรื่องของศาสนาบ้านเราไม่ค่อยเคร่งครัด ถ้าของพม่าตั้งแต่ประตูวัดเลย ก่อนเข้าเขตวัดต้องถอดรองเท้า บางท่านพูดขำ ๆ ว่า บ้านเราถือดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระ แต่พม่าถือรองเท้าไปไหว้พระ เพราะถอดแล้วบางคนก็เหน็บหลัง บางคนก็ถือไป สถานที่สำคัญ ๆ อย่างพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เขาจะมีถุงพลาสติกให้ ถอดใส่ถุงแล้วหิ้วไป
อีกอย่างก็คือการกราบ ในพิธีต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะไปตั้งเก้าอี้กราบให้ ซึ่งไม่ควรจะมี เพราะว่าของเรากราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ กราบกับเก้าอี้ไม่ได้หรอก อย่างเก่งก็แค่หัวเข่าโดนพื้น ๒ ข้าง ข้อศอกกับศีรษะลงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะติดอยู่กับเก้าอี้ ฉะนั้น..เวลาอาตมาไปเป็นประธานในงานไหน เวลากราบจะถอยพ้นเก้าอี้แล้วกราบลงกับพื้น คนทั่ว ๆ ไปก็จะมองแปลก ๆ ว่า ท่านไม่รู้จักกราบกับเก้าอี้หรืออย่างไร ? ให้เขามองไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะถาม แล้วถึงจะบอก อะไรที่ทำแล้วถูกต้องเป็นแบบอย่างที่ดีได้ ให้ทำไว้ก่อน
อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำเหมือนกัน ท่านจุดธูปก่อนทุกครั้งแล้วค่อยจุดเทียน อย่างที่เราเรียกกันว่า "จุดธูปเทียน" แต่มาระยะหลังรำคาญโฆษกที่นิมนต์หรือเชิญท่านประธานจุดเทียนธูป การจุดเทียนธูปหมายถึงว่าไม่มีการเตรียมอะไรไว้เลย เราต้องจุดเทียน ตั้งเทียนเสร็จเรียบร้อยถึงจุดธูปได้ แต่ในงานพิธีเขามีการเตรียมไว้ก่อนแล้ว กรุณาจุดธูปเทียนเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็ทำผิดอยู่เรื่อย หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำก็จุดธูปเทียนของท่านให้ดู แต่ไม่มีใครจำเป็นตัวอย่างหรอก ดีไม่ดีไปคิดว่าท่านทำผิดอีกด้วย"
ถาม : มีผลต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : มันไม่ได้ต่าง แต่ว่าสิ่งที่เราทำเหมือนอย่างกับว่า พระรัตนตรัยมาก่อน เพราะว่าธูป ๓ นี่แทนพระรัตนตรัย เทียน ๒ เขาตีความหมายไว้ ๒ อย่าง ก็คือเทียนแทนดวงปัญญาคือพระธรรม อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเทียนหมายถึงแสงสว่างหรือดวงตาเห็นธรรม ก็ได้ เรื่องที่ว่านัตถิ ปัญญา สมาอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี แต่คนสวนใหญ่จะไปมองว่า ในเมื่อเป็นเทียนก็ต้องแทนพระธรรม แต่ความจริงไม่ใช่ เขาไปตีความว่าโลกียธรรม โลกุตรธรรม แต่วัดท่าขนุนบางทีใส่ไป ๔ ต้น ๕ ต้นแล้วจะตีความอย่างไร ยิ่งหลังงานวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะมีญาติโยมไปจุดธูปเทียนบูชาพระเยอะมาก ถึงเวลาก็ต้องมาจุดที่เหลือให้หมดทีหลัง บางทีอาตมาใส่เป็นราวเลย แล้วอย่างนั้นจะแทนอะไร สำคัญตรงใจเราตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย ถ้าตั้งใจบูชาก็ได้อานิสงส์บูชาด้วยของหอมคือธูป ด้วยแสงสว่างคือเทียน แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า ปฏิบัติบูชาดีที่สุด แต่ถ้าอย่างไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ควรจะบอกกล่าวเพื่อให้คนเขาจดจำเป็นแบบอย่างกันสืบไป
"อย่างปัจจุบันงานศพ อาตมาบ่นแล้วบ่นอีก ประเภทถึงเวลาพระท่านจูงสายสิญจน์ โยมก็แย่งกันจูง แถมยังดุพระด้วย ว่าปล่อยสายสิญจน์ยาว ๆ หน่อยไม่พอจูง ต้องบอกเขาว่า ผู้ที่จูงศพ นำศพขึ้นเมรุคือพระเณร ส่วนญาติโยมไปส่งศพ ไม่ต้องไปแย่งพระจูง ให้เดินส่งตามหลังไป คนที่จะเดินนำหน้าได้คือลูกหลานที่จะถือรูปถ่ายกับกระถางธูปเท่านั้น นอกนั้นให้เดินตามหลังโลงไป บอกแล้วบอกอีกกว่าเขาจะรู้กัน มาตอนหลังนี้เริ่มจะดีขึ้น
อีกอย่างคือการแต่งตัวไปงานศพ ปกติแต่โบราณมา ถ้าหากว่าคนตายสูงด้วยวัยวุฒิ คืออายุมากกว่า สูงด้วยคุณวุฒิคือฐานันดรศักดิ์สูงกว่า เราต้องแต่งชุดขาว แต่ปัจจุบันนี้คนตายอายุ ๘๐ คนไปอายุ ๑๐ กว่าขวบแต่งชุดดำ เราจะแต่งชุดดำได้ก็ต่อเมื่อ อายุมากกว่าคนตาย หรือว่ายศศักดิ์ใหญ่กว่าคนตาย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะดูเรื่องพวกนี้ ต้องดูสำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังยังยึดถือธรรมเนียมโบราณอยู่ อย่างเมื่อล่าสุดงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เราจะเห็นว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ท่านแต่งดำ เพราะว่าโดยฐานันดรศักดิ์ท่านสูงกว่า แต่คนอื่นที่ฐานันดรศักดิ์ต่ำกว่าต้องแต่งขาว เพราะเป็นการให้เกียรติว่าท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยยศและด้วยอายุ แต่ว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หรอก ตัวเองอายุไม่กี่ขวบ คนตายอายุ ๘๐-๙๐ ตูก็ไปดำปี๋อย่างนั้น
มีในหลวงรัชการที่ ๖ ที่บางงานผู้ตายยศศักดิ์ต่ำกว่า แต่พระองค์ท่านบอกว่ารักและสนิทมาก พระองค์ท่านทรงแต่งขาวให้ อันนั้นถือว่าให้เกียรติกันอย่างสูงเลย เพราะว่าในแผ่นดินจะเอาใครไปยศใหญ่กว่าในหลวงได้"
พระอาจารย์กล่าวเมื่อมีผู้ถวายธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทรุ่นใหม่ว่า "ของใหม่ ๆ ออกมาก็ไม่เคยชิน เดี๋ยวพอนาน ๆ ไปก็ชินไปเอง บางทีเอาธนบัตรรุ่นเก่าไปแล้วเด็กรุ่นใหม่ไม่เคยเห็น ท่านกอล์ฟเอาแบงก์ ๕๐๐ รุ่นเก่าใบใหญ่ ที่ด้านหลังเป็นเรืออนันตนาคราชไปซื้อของ เด็กวิ่งไปหาผู้จัดการ ผู้จัดการบอกว่า อ๋อ..ธนบัตรรุ่นเก่า ให้ทอนไปตามปกติ เด็กรุ่นใหม่ไม่เคยเห็น ของอาตมามีธนบัตรใบละ ๑๐๐ หยวน ของจีน รุ่นที่มีรูป ดร.ซุนยัดเซ็น ไปซื้อของแล้วคนจีนทอนมาให้แท้ ๆ แต่ร้านอื่นกลับไม่รับ บอกว่าเก่าจนตกรุ่นไปแล้ว พี่จี๋ขอแลกไปเป็นที่ระลึก อาตมาใช้เป็นที่คั่นหนังสืออยู่หลายปี"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การจัดธูปเทียนแพ ถ้าโดยทั่ว ๆ ไป อย่างพิธีชาวบ้าน เขาจะหันด้านที่เป็นเทียนขึ้นข้างบน กรวยดอกไม้ เทียนแล้วธูปอยู่ข้างล่าง
แต่ถ้าเป็นพิธีหลวง จะหันด้านธูปไม้ระกำขึ้นข้างบน จะเป็นดอกไม้ ธูป เทียน จำให้แม่น ๆ ถ้าเห็นลักษณะนั้น เราจะรู้ว่าเป็นพิธีหลวง หรือพิธีชาวบ้าน เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าไม่ต้องการให้ชาวบ้านทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย ถ้าเป็นสมัยก่อนทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย เขาจะถือว่าจัญไรจะกินหัว หรือว่าคิดขบถไปเลย
เรื่องพวกนี้มีหลายต่อหลายอย่าง อย่างเช่นว่า สมัยก่อนห้องส้วมจะอยู่นอกบ้านทั้งหมด ผู้ที่จะมีส้วมอยู่ในห้องนอนได้คือพระเจ้าแผ่นดิน ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครทำตามนั้นถือว่าขบถ มาสมัยนี้ขบถกันทั้งประเทศ"
พระอาจารย์เล่าว่า "ยายทวดมาอวยพรให้พระเรวัตตะ ตอนนั้นพระเรวัตตะยังเป็นเรวัตตกุมาร อายุ ๗ ขวบ โดนจับแต่งงานแล้ว ยายทวดอายุ ๑๒๐ มาอวยพรให้ บอกว่าขอให้เห็นธรรมที่ยายได้เห็น คืออายุยืนเหมือนยาย พระเรวัตตะเห็นเข้าแล้วใจหายวาบเลย อยู่ไปแล้วผมจะแก่แบบนั้นไหม ? ภรรยาผมก็เป็นแบบนั้นใช่ไหม ? ยายทวดบอกว่า ถ้าอยู่ถึงก็เป็นแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เอา เด็ก ๗ ขวบมีปัญญามากขนาดนั้น จะว่าไปแล้วถ้าเราดูในเถราปธาน หรือว่าเถรคาถา จะเห็นว่ามีหลายต่อหลายรูป อายุ ๔ ขวบบ้าง ๕ ขวบบ้าง บรรลุอรหันต์ ก็เลยกลายเป็นว่าที่เขาเอาเกณฑ์ ๗ ขวบเพื่อให้มีปัญญาพอที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะว่าเรื่องการบรรลุธรรม ถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็ไม่มีโอกาส แต่ว่าท่านที่บรรลุตอน ๔ ขวบ ๕ ขวบเป็นบารมีที่สร้างมาเต็มที่เลย เหมือนดอกบัวที่กระทบแสงแดดก็บานเลย
มีคนถามว่าแล้วอายุขนาดไหน จึงจะเหมาะสมที่จะบวชเณร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าหากว่าให้เฝ้าของไว้ แล้วสามารถไล่กาหรือสัตว์ที่จะมากินของได้ ก็บวชได้ ก็แปลว่ารู้ภาษาแล้ว
แต่บ้านเราเดี๋ยวนี้ตัดสินใจยาก ๗-๘ ขวบแล้วแม่ยังไล่ป้อนข้าวอยู่เลย ถ้าอยากนั้นบวชแล้วพระพี่เลี้ยงเหนื่อยแย่"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ของพระราหุลต้องบอกว่าบุญของท่านเอง พระนางพิมพาเห็นพระพุทธเจ้าพาหมู่สงฆ์ออกบิณฑบาต ก็ชี้บอกพระราหุลว่า “มหาสมณะที่เดินนำหมู่ ประดุจดวงอาทิตย์ที่แวดล้อมด้วยหมู่ดาว นั่นก็คือพระราชบิดาของเจ้า ให้เจ้าไปทูลขอราชสมบัติของพระราชบิดา” เพราะว่าตอนพระพุทธเจ้าประสูติ มีขุมทรัพย์เกิดขึ้นที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ แล้วขุมทรัพย์นั้นเป็นของคู่บุญ ถ้าไม่ใช่พระองค์ท่านแล้วคนอื่นเอาไปไม่ได้
พระราหุลได้ยินแม่สอนดังนั้นก็ย่องตามไป พระพุทธเจ้าบิณฑบาตเสร็จแล้วกลับวัดไปฉัน ท่านก็ตามไป ด้วยความที่เป็นเด็ก จิตใจยังบริสุทธิ์สะอาด พอเดินเข้าเขตวัดก็รู้สึกเย็น สบายกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ท่านก็หลุดปากออกมาว่า “โอหนอ..สมณะ ร่มเงาของท่านช่างร่มเย็นจริงหนอ”
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสถามว่า "ดูก่อน..ราชกุมาร ท่านมาด้วยเหตุใด ?" พระราหุลก็ทูลว่ามาขอราชสมบัติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทรัพย์อื่นที่จะยั่งยืนเหมือนอริยทรัพย์นั้นไม่มี ถ้าอยากได้สมบัติของพ่อ ก็ให้บวช" แล้วส่งให้พระสารีบุตรไปบวช พระเจ้าสุทโธนะเสียใจมากว่า พระพุทธเจ้าหนีไปบวชคนหนึ่ง ราชสมบัติไม่มีใครสืบทอด หวังให้พระราหุลที่เป็นหลานสืบทอด ก็มาบวชเสียอีก เลยขอร้องพระพุทธเจ้าไว้ว่า "ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากจะให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรใด ขอให้บิดามารดาอนุญาตก่อน" จึงกลายเป็นธรรมเนียม ถึงเวลาจะบวช พระคู่สวดต้องถามว่า “อนุญฺญาโตสิ มาปิตุหิ” บิดามารดาอนุญาตแล้วหรือยัง ?"
"แต่ว่าก็มีตัวอย่างเช่นพระเรวัตตะ แม่ท่านเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่รู้เป็นได้อย่างไร ลูก ๗ คนเป็นพระอรหันต์หมด แม่เป็นมิจฉาทิฐิ ต่างกันสุดยอด พระสารีบุตรรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วน้องชายคนเล็กต้องออกบวชแน่ จึงสั่งพระท่านเอาไว้ว่า ถ้ามีกุมารชื่อเรวัตตะมาขอบวช แล้วบอกว่าเป็นน้องของผมคืออุปติสสะ ก็ให้ทำการบวชได้ เพราะว่าโยมแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ผมเป็นพี่ชายคนโต ต้องถือว่าผมเป็นผู้ปกครองโดยธรรม ผมเป็นคนอนุญาต
พอพระเรวัตตะหนีการแต่งงาน ไปถึงสำนักสงฆ์ ก็ไปขอบวช พระท่านถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ท่านแจ้งให้ทราบว่าพี่ชายใหญ่ของผมบวชอยู่ที่นี่ชื่ออุปติสสะ พระส่วนใหญ่ท่านรู้จักในนามพระสารีบุตร ถ้าไม่ได้สั่งไว้ก็เรียบร้อย ดีที่สั่งไว้ พอรู้ก็ อ๋อ..จัดการบวชให้ บ้านนั้นก็มีพระสารีบุตรคืออุปติสสะ น้องรองก็คืออุปเสนะ น้องสาวชื่อจาลา อุปจาลา สีสุปจาลา น้องสาว ๓ คนติดกันเลย แล้วก็น้องชายคือจุนทะ น้องคนเล็กชื่อเรวัตตะ ๗ คน เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด แม่เป็นมิจฉาทิฐิจนนาทีสุดท้าย"
"พระสารีบุตรก่อนนิพพานกลับไปเทศน์โปรด ต้องบอกว่าไปถึงแม่ก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก แถมยังดุด่าว่ากล่าวอีก ว่ามีสมบัติอยู่มากมายมหาศาลไม่ชอบ ชอบเป็นคนกินเดน สมัยก่อนนี่เขาด่าคำนี้จะแสบมากเลยนะ พระสารีบุตรท่านก็ไม่สนใจ ว่าอะไรก็ว่าไป รับบิณฑบาตได้ก็ฉัน บรรดาพระติดตามก็บ่นว่า "อัศจรรย์จริงหนอ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรของเรา โดนคนด่าว่ากระทบกระเทียบแรงขนาดนั้นยังวางเฉยอยู่ได้" พระสารีบุตรท่านถึงบอกว่า สภาพจิตที่บริสุทธิ์ รับการกระทบจากโลกธรรมแล้วย่อมหาความหวั่นไหวไม่ได้
คราวนี้ก็ไปขอโยมแม่ว่าขอพักในห้องที่ตัวเองเกิด แม่ก็คิดว่าลูกชายใจอ่อนแล้ว อาจจะสึกออกมาครองเรือนทรัพย์สมบัติก็ได้ จริง ๆ แล้ว แม่ก็ลืม ลูกอายุมากขนาดนั้นแล้ว แม่ยังอยู่ได้..สุดยอดจริง ๆ แม่คงลืมว่าลูกแก่ขนาดนั้นแล้ว จะครองสมบัติอยู่ได้สักกี่วัน พระสารีบุตรท่านป่วย ถ่ายเป็นเลือด พระจุนทะก็ต้องนั่งเฝ้า แม่ก็ขยันตามแบบพราหมณ์ที่ดี นั่งสวดมนต์ทั้งคืน
พอยามต้นท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาเยี่ยม พอท่านมารัศมีสว่างไปถึงอยู่ สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า อยู่ ๆ สว่างขนาดนั้นแล้วได้ยินเสียงพูดคุย แม่ก็ตะโกนถามว่า “จุนทะเอ๊ย..ใครมาหาพี่แก ?” พระจุนทะตอบว่า “อ๋อ..ท้าวมหาราชมาเยี่ยมนะแม่” นางสารีถามว่า “พี่แกใหญ่กว่าท้าวมหาราชอีกหรือ ?” พระจุนทะก็บอกว่า “ใหญ่กว่าเยอะเลยแม่” นางสารีพราหมณีก็คิดว่า "ไม่เป็นไร ใหญ่ขนาดไหนก็ไม่ใหญ่กว่าพระพรหม ผู้เป็นเจ้าของเรา" ว่าแล้วก็สวดมนต์ต่อ
พอยาม ๒ พระอินทร์มาเยี่ยม เห็นแสงสว่างมาถึงอีก ก็ถามอีก “จุนทะเอ๊ย ใครมาเยี่ยมพี่แก ?” พระจุนทะก็ตอบ “ อ๋อ..พระอินทร์มาเยี่ยม” นางสารีเลยถามว่า “พี่แกใหญ่กว่าพระอินทร์อีกหรือ ?” พระจุนทะก็บอกว่า "ใหญ่กว่า" นางสารีถือทิฐิ ใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใหญ่กว่าพระพรหม ผู้เป็นเจ้าของเรา
พอยาม ๓ ท้าวสหัมบดีพรหมมาเยี่ยม คราวนี้สว่างหนักเข้าไปอีก แม่ก็แปลกใจถามว่า “จุนทะเอ๊ย ใครมาเยี่ยมพี่แกอีก ?” พอบอกว่าท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นอธิบดีของพรหมทั้งหลายมาเยี่ยม แม่ก็แปลกใจ "พี่แกใหญ่กว่าพระพรหมอีกหรือ ?" พระจุนทะบอกว่า "ใหญ่กว่าแม่" นางสารีก็เลยเข้าไปดู เห็นท้าวสหัมบดีพรหมอยู่จริง ๆ"
"ตัวเองเป็นพราหมณ์ เคารพพระพรหมเป็นใหญ่มาตลอดชีวิต ไม่เคยได้เห็นตัวจริง เพิ่งจะได้เห็นครั้งนี้ แล้วเห็นพระพรหมผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดด้วย ก็เพิ่งจะรู้ว่าลูกตัวเองมีความดีมากขนาดนั้น จึงกล่าวว่า "ในเมื่อพ่อคุณมีความดีมากขนาดนี้ ทำไมไม่บอกแม่บ้าง ?" คิดว่าบอกไปแล้วจะฟังไหม ...(หัวเราะ)...
พระสารีบุตรก็บอกว่า "เวลามีน้อย แม่อย่าเพิ่งต่อว่าเรื่องอื่น ให้ทำใจให้เลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยที่ลูกยึดเป็นที่พึ่ง แล้วตั้งใจฟังธรรม" นางสารีพอฟังธรรม ด้วยความเลื่อมใสอยู่แล้ว ส่งจิตตามธรรมไปก็บรรลุพระโสดาบัน พระสารีบุตรท่านก็หมดลมพอดี คราวนี้แม่บ่นอีก "ทำไมพ่อคุณมาสอนแม่ช้าไป"
แต่ต้องบอกว่าแม่ของพระสารีบุตรท่านรวยจริง สั่งเปิดคลัง สั่งสร้างจิตกาธานด้วยไม้หอม ไม้หอมธรรมดาท่อนหนึ่งก็แพงหูดับแล้ว นี่กองฟอนทั้งหมดสร้างด้วยไม้หอม สร้างอาคารอีก ๕๐๐ หลัง สำหรับรองรับพระภิกษุที่มาร่วมงาน ไม่รู้หมดไปเท่าไร จัดงานอย่างสมเกียรติ พอเผาเสร็จสรรพเรียบร้อย พระจุนทะก็เอาบาตรบรรจุอัฐิที่เหลือ ไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ"
"พระสารีบุตรนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๖ เดือน ท่านนิพพานวันลอยกระทงพอดี วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระพุทธเจ้ารับเอาอัฐิมาแล้วสั่งให้ก่อสถูปไว้ที่ใกล้ประตูเชตวันมหาวิหาร พระโมคคัลลานะก็ปรินิพพานก่อน ตอนช่วงนั้นเหมือนพระพุทธเจ้าไม่มีใคร พระน้านางก็คือ พระนางปชาบดีโคตมีก็ลาไปนิพพาน
ถามว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่ไปก่อน ไม่คิดห่วงพระพุทธเจ้าเลยหรือ ? ตอบได้ ๒ แบบด้วยกัน คือแบบแรกพระระดับนั้น ท่านปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวาระ ไม่มีความห่วงใยใด ๆ แล้ว
ประการที่ ๒ ท่านตรวจดูแล้วว่าโดยธรรมเนียมแล้ว ระหว่างพระอัครสาวกกับพระพุทธเจ้า ใครนิพพานก่อนกัน แล้วก็ได้คำตอบว่า พระอัครสาวกมีปกตินิพพานก่อน บางคนว่าเหมือนกับชิงตายก่อน กลายเป็นพระพุทธเจ้าต้องจัดงานศพให้
พระพุทธเจ้าจัดงานศพให้พระน้านางได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก เพราะว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นคนแบกแคร่ศพ มีพระอินทร์เดินนำไปที่จิตกาธาน มีพระพรหมพร้อมทั้งหมู่เทวดาและพรหมเดินตามยาวเป็นโยชน์ แล้วพระพุทธเจ้าเสด็จตามไปพร้อมกับหมู่ภิกษุสงฆ์ คิดว่าคงไม่มีงานศพใครในประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ก็คงลักษณะคล้าย ๆ กับสมเด็จพระสังฆราชจัดงานศพให้แม่ แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ยังไม่มีพระสังฆราชองค์ใดเหลือโยมแม่ให้จัดงานศพ ส่วนใหญ่โยมแม่ไปก่อนที่ลูกจะเป็นพระสังฆราช"
ถาม : ไปสัมภาษณ์งานมา เขาเรียกไปเริ่มงานเมื่อไรคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ใช่เจ้าของบริษัทนี่ถึงจะบอกได้ ฮ่วย..! ถามผิดที่แล้ว ถ้าถามว่าเขาจะเรียกสัมภาษณ์อย่างไรถึงจะได้งานก็พอบอกได้ ถามว่าเรียกวันไหนใครจะบอกได้ รอไปก่อนก็แล้วกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเทวดาจัดเป็นเทวตานุสติในคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีคนเคารพบูชาเมื่อไร พระอินทร์หรือท้าวสหัมบดีพรหมก็จะหาตัวผู้ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงมารับตำแหน่งนั้น ถ้าพูดกันแบบขำ ๆ ก็คือฮินดูตั้งเทวดาได้ คือต้องหาคนมาสวมตำแหน่ง แต่ว่างวดนี้ที่ไปเนปาลเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ปกติจะเจอแต่เจ้าพ่อหลักเมือง แต่เนปาลเป็นเจ้าแม่หลัก ถ้าในเขตนั้นถ้าใครบูชาเจ้าแม่อุมาเทวี ไภรวเทวี พระสุรัสวดี พระลักษมี แกรับหมด เหมาคนเดียวเลย ชื่อจริงชื่อนภิสราเทวี ชื่อก็เพราะ สวยมากอีกด้วย แต่หลอกต้มอาตมาหัวทิ่มหัวตำ เขาบอกว่าผู้หญิงคบไม่ได้ ยิ่งสวย ๆ แบบนี้คบยากใหญ่ อาตมาไม่ค่อยรอบคอบ เพราะเป็นคนซื่อ บอกอะไรก็เชื่อแค่นั้น ใครจะไปรู้ว่าแม่เจ้าพระคุณลื่นยิ่งกว่าปลาไหลแช่น้ำมัน..!
ส่วนเจ้าพ่อหลักเมืองที่มาเลเซีย เป็นอินทกะของท้าววิรูปักษ์ ท่านชื่อนาคเทวราช (อ่านว่านาคะ) แต่ท่านแต่งตัวราวกับงิ้วมา ถามว่าทำไมแต่งตัวอย่างนี้ ? ท่านบอกว่า ที่มาเลเซีย คนตั้งศาลหลักเมืองเป็นคนจีน เมื่อคนจีนเป็นคนทำพิธีเชิญ ท่านเองพอรู้ธรรมเนียมจีนก็เลยได้รับคำสั่งให้มาดูแลตรงนั้น ท่านเลยแต่งตัวราวกับนักรบจีนของงิ้ว ถือง้าวอันเบ่อเริ่ม ถ้าท่านหนวดยาวสัก ๓ ศอกแล้วหน้าแดงหน่อย อาตมาคงคิดว่าเป็นกวนอู แต่เผอิญว่าท่านหล่อมาก"
ถาม : แล้วบรรดาพระโพธิสัตว์องค์ต่าง ๆ ของมหายานท่านมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ตัวตนท่านมีเยอะ จริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน เพราะว่าท่านถือเป็นเรื่องที่เนิ่นช้า แต่พอคนรุ่นหลัง ๆ ตั้งแต่สมัยพระนาคารชุน ไปพบเห็นเข้าเกิดชอบใจแล้วไปเผยแผ่ เกิดเป็นสายมหายานขึ้นมา ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งระยะเวลานานมากกว่าที่จะได้บรรลุ พระพุทธเจ้าท่านหวังประโยชน์ในปัจจุบันของเรา ประโยชน์ในอนาคตคือตายแล้วจะเป็นอย่างไร และประโยชน์สูงสุดคือบรรลุธรรม
แต่คราวนี้การเป็นพระโพธิสัตว์จัดอยู่ในธรรมอันเนิ่นช้า เพราะเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ของเจ้าแม่กวนอิมท่านไปแล้ว แต่ว่าเขายังนับถืออยู่ก็มีคนทำหน้าที่แทน จริง ๆ ก็คือพระอรหันต์ อย่างอุ้ยท้อ คือองคุลีมาล ส่วนใหญ่ฟังคนจีนเขาสวดมนต์จะได้ยินเสียงเพี้ยน ๆ ฉะนั้น..ชื่อพระอรหันต์ก็จะเพี้ยนไปหมด
ไปอ่านชื่อพระอรหันต์ในภาษาจีนแล้วกลุ้มใจ บางทีทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ อยู่ ยังไม่รู้เลยว่าองค์นี้คือใคร พระราหุลเป็นราหู่ล้อ มาจากบาลีว่าราหุละ พระอานนท์เป็นอานันท้อ พระปิณโฑลภารทวาชเป็นปิงโทล่อ คนจีนจะดัดแปลงชื่อเป็นภาษาจีนหมด สินค้าจากต่างประเทศจะมีชื่อดังขนาดไหน ไปเมืองจีนจะมีชื่อจีนหมด
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่มหายานเขารุ่งเรืองแล้ว ตั้งแต่สมัยพระนาคารชุนมา พอรุ่งเรืองขึ้นมาโดยเฉพาะท่านมีความสามารถมากประเภทแสดงอภิญญา ขึ้นฟ้าลงดินกันเป็นปกติ คนก็เลื่อมใสกันมาก พอมีการตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทาขึ้นมาเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็มีคนนับถือไปศึกษากันมาก โดยเฉพาะรุ่นถัด ๆ มาไม่ว่าจะเป็นท่านวสุพันธุ ท่านอสังคะ ท่านอัศวโฆส แต่ละคนสุดยอดปฏิภาณทั้งนั้น ทำให้ทางด้านมหายานรุ่งเรืองเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะพระเจ้ากนิษกมหาราชให้การสนับสนุนด้วย พระเจ้ากนิษกะที่เป็นผู้ที่สนับสนุนการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๕ แล้วมีการจารึกเป็นภาษาสันสกฤตลงในแผ่นทอง ๑๐๐,๐๐๐ โศลก ต้องใช้ทองตั้งเท่าไร ? หลังจากนั้นก็ส่งธรรมทูตออกไปเผยแผ่ยังดินแดนต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นพระถังซัมจั๋ง หรือหลวงจีนฟาเหียน ก็ไปศึกษาที่นาลันทา ท่านเหล่านี้เสียสละมาก จากที่ไม่รู้อะไรเลย ต้องไปเรียนจนรู้ภาษาของเขา พอรู้ภาษาของเขาแล้ว ต้องไปศึกษาพระไตรปิฎกจนแปลเป็นภาษาจีนได้ ไปกันที ๒๐ ปี ๓๐ ปี สมมติว่าตอนไป ๓๐ กลับก็ ๕๐ แล้วเดินทางไกลขนาดนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่ามีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างมหาศาล"
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : พระพุทธโฆสาจารย์จนป่านนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นคนอินเดีย ถ้าอินเดียก็ยังมีอินเดียตอนเหนือ อินเดียตอนใต้ บางเสียงก็ยังบอกว่าเป็นคนมอญ เขมรก็บอกว่าเป็นคนเขมร เขมรเขามีหลักฐานน้อยมาก มีแค่วิหารหลังหนึ่งที่เป็นของเก่าชื่อวิหารพระพุทธโฆสาจารย์ แต่พม่าเขาเขียนประวัติพร้อมสถานที่เกิดเสร็จสรรพ ขณะที่อินเดียก็เองยังตกลงกันไม่ได้ว่าท่านเกิดอินเดียตอนเหนือหรืออินเดียตอนใต้ ถ้าอินเดียตอนเหนือจะเป็นพวกอารยัน ถ้าเกิดอินเดียตอนใต้จะเป็นพวกมิลักขะ ถ้าเป็นมิลักขะคนจะเสื่อมความนับถือไปเลย เพราะถือว่าส่วนใหญ่เป็นพวกวรรณะต่ำ
ในส่วนของพวกวรรณะ ยังมีการแบ่งแยกกันอีก อย่างเช่นว่าชูชกเป็นพราหมณ์ก็จริง แต่เป็นขอทาน วรรณะเขาแบ่งกันแล้วแบ่งกันอีก เขาบอกว่าต้องฟังดูว่าเป็นคนตระกูลไหน พอได้ยินว่าเป็นคนตระกูลไหนแล้วถึงจะรู้ว่าอยู่วรรณะไหน ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.วศิน กาญจนวณิชย์กุล ไปเรียนที่อินเดีย ไม่มีคนรังเกียจ ท่านถามว่า "โกนหัวห่มเหลืองเหมือนกัน ทำไมไม่มีคนรังเกียจ ?" อ๋อ..คุณเป็นวรรณะแพศย์ พวกพ่อค้า เพราะนามสกุลของท่าน วณิชย์กุลคือตระกูลพ่อค้า พอฟังแล้วเขาแปลออกเลย แปลกดีเหมือนกัน คนอื่นไปเป็นพระเหมือนกัน เขากลับรังเกียจ
ถาม : ถามเรื่องการประกอบอาชีพที่ผิดศีล ๕ (ไม่ชัด)
ตอบ : คนที่ไม่เข้าใจ จะคิดว่าเป็นการสนับสนุนให้เกิดการฆ่า ฉะนั้น..ผู้ที่เป็นพุทธมามกะ ไม่ควรทำอาชีพเหล่านี้ มี ขายสุรา ขายยาพิษ ขายมนุษย์ ขายสัตว์ที่มีชีวิต แค่ขายเนื้อก็เจ๊งแล้ว เพราะน้อยคนที่จะสามารถตัดกำลังใจของตัวเองได้ ถ้าตัดกำลังใจตัวเองได้อย่างภรรยาของพรานกุกกุฏมิตรก็จบ ตัดกำลังใจตัวเองไม่ได้ไม่พอ ยังไปว่าคนอื่นเขาอีก เป็นการสร้างกรรมเพิ่มขึ้น พระพุทธเจ้าท่านจึงห้ามไปเลย
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่ไปเนปาลนั่น วัดที่ลุมพินีอาตมาไม่ได้ไปถึง ที่ลุมพินีน่าจะเป็นวัดมหานิกาย เพราะว่าเจ้าคุณวีรยุทธเป็นพระมหานิกาย แต่ว่าที่ภักตรปุระ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านไปเริ่มไว้ เลยเป็นวัดธรรมยุต พระที่นั่นมาบวชมาเรียนที่วัดบวรฯ จนพูดไทยได้ชัดเลย ท่านชื่อวิปัสสี ตระกูลศากยะ เป็นตระกูลเดียวกับท่านเจ้าคุณอนิลมาน ท่านทำวัดให้เจริญดี วัดมีเนื้อที่แค่ครึ่งไร่กว่า ๆ ท่านจะซื้อเพิ่มอีกครึ่งไร่ ต้องใช้เงินตั้ง ๔ ล้านบาทไทย เลยแจ้งท่านไปว่าจะเอากฐินปลดหนี้ไปทอดให้ท่านซื้อที่ คราวนี้ท่านยังไม่ได้ตอบเมล์มา เลยไม่รู้ว่าท่านจะตอบหรือไม่ตอบ หรือป่านนี้ยังไม่ได้ดูเมล์ ท่านส่งพระเณรมาเรียนในเมืองไทย ๑๒๖ รูป ที่วัดยังมีพระอีก ๕ สามเณรอีก ๓๖ สามเณรกำลังหัดเรียนภาษาอยู่
คราวนี้กฐินที่นั่นน่ากลัว เพราะช่วงกฐินอากาศที่นั่นหนาวติดลบ ช่วงพฤศจิกายน ธันวาคม จะติดลบเลย ความจริงอาตมาไม่รู้จักวัดท่านหรอก เดินเปะปะ ๆ ไปเที่ยวดูบ้านดูเมือง แล้วมีสามเณร ๒ รูป กำลังย่อง ๆ กลับจากตลาด ก็เลยแปลกใจ มองไปข้างหน้าเห็นพระสีวลีแบบไทยชัดเลย คิดว่าต้องเป็นวัดไทยแน่ จึงตามไปดู
ปรากฏว่าเณรไปแล้วเข้าวัดไม่ได้ ต้องปีน เณรหนีเที่ยว เลยไปบอกท่านวิปัสสีเจ้าอาวาสว่า ผมตามเณรมา ท่านหัวเราะ บอกว่าจับได้แล้วว่าใครหนีเที่ยว ท่านบอกว่าวันนี้เพิ่งแจกเงินเณร พอมีเงินเลยเข้าตลาด คือที่โน่นรับเงินมาแล้วจะรวมเป็นกองกลาง ไม่เอาเป็นส่วนตัว แล้วจะแจกในวาระที่สมควร ปรากฏว่าวันนั้นเงินเดือนออก เณรหนีเที่ยว ถ้าเณรไม่หนีเที่ยวก็ไม่เจอกันหรอก"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัว อาการเป็นเหน็บจะไม่มีเลย ลุกขึ้นเดินได้เลย ช่วงที่ไปปฏิบัติแล้วส่งอารมณ์กับบรรดาวิปัสสนาจารย์สายพองยุบ เขาจะเน้นเรื่องเวทนา พออาตมาบอกว่าไม่มีเวทนาท่านไม่เชื่อนะ ท่านอาจารย์ประเสริฐ สุมงฺคโล จากวัดเพลงวิปัสสนา ซึ่งถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านพองยุบ พอบอกว่าไม่มีเวทนา ท่านว่าเป็นไปไม่ได้หรอก คุณนั่งเดี๋ยวนี้เลย นั่งต่อหน้าผมเลย อาตมาก็นั่งให้ดู เวลาประมาณ ๔๕ นาทีท่านก็เรียก พอลืมตาท่านก็สั่งให้เดินเดี๋ยวนั้น อาตมาก็ลุกเดินให้ดู จนในที่สุดท่านก็ครางอ่อย ๆ ว่า "เออ..เรื่องของสมาธินี่ระงับเวทนาได้จริง ๆ ด้วย"
ขอยืนยันเพราะว่าสมัยก่อนอาตมานั่งที ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ถ้าสมาธิทรงตัว ลุกขึ้นก็เดินได้เลย เหมือนกับว่าถ้าสมาธิทรงตัว ลมละเอียดจะเดินถึงกันหมด จึงไม่เป็นเหน็บ แต่ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว อื้อหือม์..เหน็บกินอร่อยเหาะ”
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่แน่เหมือนกัน สภาพร่างกายอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ แต่ขอยืนยันว่าถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะไม่รับรู้อาการทางร่างกาย พอถึงเวลาความรู้สึกกลับมา ก็จะค่อย ๆ กระจายไปยังปลายมือปลายเท้า พอความรู้สึกกระจายไปจนทั่วถึงแล้ว ก็จะถามตัวเองว่าพร้อมที่จะลุกหรือยัง ? ถ้าพร้อมแล้วลืมตา ขยับมือ ขยับขา จะบอกตัวเองทีละขั้น ๆ เหมือนกับหุ่นยนต์ เรารู้สึกว่าช้าจนเป็นขั้น ๆ แต่ความจริงเร็วมาก พอพร้อมทุกอย่าง เราก็ลุกได้เลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถาม : เรื่องการเข้าสมาธิในระดับต่าง ๆ (ไม่ชัด)
ตอบ : นึกจะตรงไปฌานไหนก็ได้ จะนึกโดดหกคะเมนตีลังกาไประดับไหนก็ได้ ถ้าคล่องแล้ว ไม่ต้องไปตามขั้น แต่ถ้าคนที่ไม่ชำนาญ ใหม่ ๆ จากระดับฌานสูงเช่น ฌาน ๔ ลดฮวบลงมาเหลืออุปจารสมาธิ หัวใจจะเต้นเร็วมากจนร่างกายรับแทบไม่ไหว ที่ต้องเร่งระดับการเต้นเร็วมาก เพื่อบังคับให้ร่างกายทำงานได้ ถ้าใครมีประสบการณ์อย่างนี้ให้รู้ว่า เป็นเพราะเราถอนสมาธิเร็วเกินไป
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปนั่งรถไฟความเร็วสูงแล้วประทับใจ นอกจากปลอดภัยแล้วยังนิ่มมากอีกด้วย จากเซี่ยงไฮ้ไปปักกิ่ง ๑,๕๐๐ กว่ากิโลเมตร ถึงตรงเวลาเป๊ะตามหน้าตั๋วเลย ที่ทึ่งมากก็คือเร่งความเร็วจาก ๐ ถึง ๓๐๐ กว่า เราไม่รู้สึกเลย ไม่มีประเภทกระชากหลังติดเบาะ ไปนิ่ง ๆ อยู่ ๆ สงสัยว่าทำไมฝรั่งหันกล้องมาถ่ายรูปกันใหญ่ อาตมานั่งอยู่ตั้งนานไม่ถ่าย ปรากฏว่าตัวเลขบอกความเร็วอยู่บนหัวพอดี นึกว่าทำไมเขาเพิ่งเห็นอาตมาเป็นดาราหน้ากล้อง ตอนแรกว่าจะไปเครื่องบิน โยมเขาบอกว่า ถ้าอยากควบคุมเวลาได้ให้ไปรถไฟ ก็งง ๆ อยู่ มารู้ตอนหลังว่าเครื่องบินประเทศจีนลงผิดเวลาเป็นปกติ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วเวลาท่านอาจารย์บางท่านขึ้นไปเป็นใหญ่เป็นโต มักจะไม่มีเวลาทำผลงานทางวิชาการ เลยไม่ได้ขยับ ลูกน้องแซงไปหมด ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพลบอกว่า ปีนี้ต้องกัดฟันทำผลงานทางวิชาการให้ได้ ไม่อย่างนั้นลูกน้องแซงไปหมดแล้ว ขนาดท่านอาจารย์หรรษาเพิ่งอายุ ๔๐ กว่าขอศาสตราจารย์แล้ว ท่านอาจารย์หรรษาต้องบอกว่ามนุษย์มหัศจรรย์ ท่านเขียนบทความทางวิชาการคืนละเรื่อง จริง ๆ นะ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ตอนนี้เป็น รศ. อายุตอนนี้ ๔๐ ปีเศษ ขอศาสตราจารย์แล้ว
คิดว่าผ่านด้วย เพราะผลงานของท่านท่วมโลกเลย อาตมามั่นใจว่าท่านอายุไม่ยืนหรอก เพราะเร่งตัวเองมากเกินไป เดี๋ยวเชื้อเพลิงหมด แต่ว่าท่านสอนประทับใจมาก พอเข้าห้องก็ เอ้า..ทุกคนนั่งสมาธิก่อน ๑๕ นาที ลูกศิษย์นั่งไม่นั่งไม่ว่า ท่านอาจารย์ไปก่อนแล้ว นั่งเงียบเลย
ท่านสอน ๙ ชั่วโมงจาก ๘ โมงครึ่งถึง ๑๑ โมงครึ่ง แล้วก็บ่ายโมงถึง ๖ โมงเย็น พอชั่วโมงท้าย ๆ เหลืออาตมานั่งดวลเดี่ยวกับท่านอาจารย์อยู่ ๒ คน เพื่อน ๆ เผ่นกันหมดแล้ว แต่บางวันสุขภาพของอาตมาไม่ไหว พอถึง ๕ โมงเย็นต้องขอร้อง "ท่านอาจารย์พอเถอะครับ สมองผมไม่ไหว ไม่รับอะไรแล้ว" เพื่อน ๆ เขาไว้วางใจ มีแฟล็ชไดรฟ์กองเบ่อเร่อวางเอาไว้ข้างอาตมา บอกว่า "สรุปเสร็จขอจุ๊บหน่อยนะครับ" แล้วพวกท่านก็ไปนั่งกินกาแฟ เพราะนิสัยต่างกัน นิสัยของอาตมาเรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องสอนเขาได้ ของเพื่อนเขาเรียนเอาแค่จบ"
พระอาจารย์เล่าว่า “ตอนนี้แม่ชีพิมพ์วรารอใจจดใจจ่อ รอคณะนิสิตที่ มจร.จะไปศรีลังกาวันที่ ๒๖ มิถุนายนนี้ อาตมาเตรียมของฝากให้ไปเพียบเลย โดยเฉพาะของกิน ที่ศรีลังกาเขากินเพื่ออยู่จริง ๆ มะพร้าวขูดแบบบ้านเรา ผัดกับเครื่องแกงแล้วคลุกข้าวกิน แม่ชีแกกินจนเซ็งแล้ว ขอปลากระป๋อง ขอน้ำพริก ขอปลาร้า ให้ยุ่งไปหมด ตอนนี้ไปเรียนภาษาอยู่เพราะว่ายังอ่านบาลีโรมันไม่ออก อาจารย์เขาถามว่าจบปริญญาตรีมาได้อย่างไร อ่านบาลีโรมันไม่ออก ก็เลยบอกว่า ของแม่ชีเรียนปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยข้างนอก ไม่ใช่มหาวิทยาลัยพระอย่าง มจร. แล้วเรียนปริญญาโท สาขาวิปัสสนาภาวนา เน้นการปฏิบัติอย่างเดียว เลยไม่ได้เรียนบาลีโรมัน อาจารย์จึงผ่อนผันให้ ตอนนี้ถ้าหากว่ากลับมาคงได้หลายภาษา คงได้สับสนกับชีวิตบ้าง พอใช้หลาย ๆ ภาษาบางทีอาตมาเองก็สับสนเหมือนกัน ต้องตั้งสติว่าตอนนี้อยู่ประเทศไหน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวลืม
เคยฟังแขกพูดภาษาอังกฤษหรือเปล่า ? ฟังยากอย่าบอกใคร โชคดีที่อาจารย์ของ มจร.ส่วนใหญ่จบมาจากอินเดีย แล้วตอนเรียนที่สถาบันภาษา อาจารย์ท่านก็เปิดแต่หนังอินเดียให้ดู ทำให้อาตมาฟังจนกระทั่งชิน ไปเนปาลก็เลยสบาย ไม่อย่างนั้นแล้วฟังไม่รู้เรื่อง คือสำเนียงแปลกมากเลย แต่ชอบใจอยู่อย่าง คือเขากล้าสื่อสารกล้าพูด ไม่อาย พูดถูกพูดผิดพูดไว้ก่อน เข้าใจให้ได้ก็แล้วกัน
พวกเราส่วนใหญ่เก่งแต่ตัวหนังสือ พอไปพูดจริง ๆ มักจะใบ้รับประทาน เพราะฟังไม่ทัน ถึงฟังทันก็มัวแต่คิดเป็นภาษาไทย แปลกลับเป็นภาษาอังกฤษก็จะช้าไปใหญ่ ห้ามคิดเป็นภาษาไทย ต้องคิดเป็นภาษาของเขาเลย”
ถาม : มีโยมกล่าวถึงหลวงปู่ไดโนเสาร์ ?
ตอบ : เขาเรียกท่านว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์ ไม่ใช่ว่าท่านหัวโบราณ ไม่ใช่ว่าท่านอายุยาวนาน แต่ท่านอยู่วัดภูกุ้มข้าว ที่เป็นแหล่งไดโนเสาร์ เลยเรียกท่านว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์ พระนักปฏิบัติของแท้ต้องอย่างนั้น ใครถามปัญหานอกทุ่งนอกท่าโดนอัดหมด..!
พระอาจารย์เล่าว่า "บรรดาอาจารย์ของ มจร. ท่านยิ่งแซวอาตมาอยู่ ท่านว่าอาตมาไม่เล่นเฟซบุ๊กแต่มีรูปลงเฟซบุ๊กมากที่สุดในโลก วันก่อนเจอท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์ ท่านเพิ่งจบ ดร.ปีที่แล้ว เจอหน้าท่านยังแซว โอ้..อาจารย์พระครูเล็ก ถึงแม้ว่าเราจะนาน ๆ เจอหน้ากันจริง ๆ แต่ผมเจอหน้าอาจารย์ในเฟซบุ๊กทุกวัน ใครเอาไปลงเยอะแยะขนาดนั้นก็ไม่รู้ ?"
ถาม : เรื่องการจับกสิณไฟ (ไม่ชัด)
ตอบ : การดูไฟของเตโชกสิณให้จับลักษณะของดวงไฟ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของสี ไม่ต้องไปดูว่าเป็นสีอะไร ไม่ต้องไปดูว่าสั่นไหวแบบไหน ไม่ต้องไปดูว่าข้างนอกสีออกแดง ข้างในสีส้ม ตรงกลาง ๆ เป็นสีฟ้า ๆ ให้สนใจแค่ว่าเปลวไฟเป็นลักษณะอย่างไหนก็พอ
ระหว่างที่ฝึกอยู่ ต้องจุดเทียนไว้ตลอดเวลา ลืมตามองแล้วหลับตาลงนึกถึงภาพเปลวไฟนั้น ถ้าหากว่าภาพหายไป ก็ลืมตามองใหม่ หลับตาลงนึกถึง ไม่ใช่ไปจ้องนาน ๆ ลืมตามองแค่พอจำได้ว่าเป็นอย่างไร แล้วหลับตานึกถึง ภาพก็จะติดตาติดใจอยู่พักหนึ่ง แล้วก็จะหายไป ให้ลืมตามองใหม่ หลับตานึกถึง พร้อมกับภาวนาควบลมหายใจว่าเตโชกสิณัง ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น จะหลับจะตื่นก็เห็นได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องใช้ไฟอีก
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : การฝึกของเราทั้งหมดที่ว่ามา เหมือนกับเราก้าวไปหาของเก่า แต่การที่เราไปหาของเก่า ก็อย่าทิ้งของเดิม ก่อนจะเริ่มต้นใหม่ต้องทวนของเก่าก่อนทุกครั้ง กสิณเคยผ่านมากี่กอง ต้องทวนให้หมดแล้วถึงไปเริ่มของใหม่ อย่างเช่นว่าเราเคยผ่านวาโยกสิณ ผ่านอากาสกสิณ ผ่านอาโลกกสิณ ให้ย้อนทวนต้นก่อนทุกกอง อย่างเช่นว่าย้อนทวนแล้วเป็นแก้วใส ค่อยย้ายกองใหม่ ต้องย้อนทวนของเก่าทุกครั้ง แล้วเสร็จแล้วค่อยขยับไปฝึกของใหม่
ทุกครั้งที่จะฝึก ให้เริ่มด้วยการทบทวนศีลของเรา จะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ตาม ให้ทบทวนจนมั่นใจว่าศีลของเราบริสุทธิ์แน่นอน ถ้าหากว่าเราตายลงไปตอนนี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว เอาพระนิพพานขึ้นหน้าไว้ก่อน ในเมื่อทบทวนจนเสร็จแล้ว ถึงเวลาจะพักผ่อน ให้ตั้งใจว่าถ้าเรานอนลงแล้วตายไปเลย ไม่ตื่นขึ้นมาใหม่ก็ตาม เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วเอาใจเกาะพระภาวนาให้หลับไป ไม่อย่างนั้นจะพลาดได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนการฝึกทิพโสต อันดับแรก เมื่อใจนิ่งสงบพอแล้ว ให้ตั้งใจฟังเสียงที่อยู่รอบ ๆ ข้างของเรา จะเป็นเสียงดัง เสียงเบาอะไรก็ตาม ฟังจนรู้สึกว่าชัดเจนทุกเสียง แล้วค่อยขยายวงให้กว้างออกไป อย่างเช่นว่าเราฟังอยู่ในห้อง ให้ได้ยินทุกเสียงที่ต้องการ ไม่ว่าเสียงพัดลม เสียงยุงบิน เสียงจิ้งจกร้อง เป็นต้น แล้วขยายวงให้เสียงออกไปห้องอื่น ออกไปทั้งบ้าน ออกไปทั่วขอบรั้ว ออกไปนอกรั้ว ทีละน้อย ๆ จนเราได้ยินเสียงชัดเจนหมด แล้วขยายออกไปทีละน้อย จนกระทั่งสามารถกว้างออกไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด ค่อย ๆ ไล่ไปทีละขั้นตอนอย่าใจร้อน แต่ถ้าฝึกวิธีนี้ต่อไปจะรำคาญ ถึงเวลาใครบ่นก็ได้ยินหมด
อย่าลืมว่าขึ้นต้นด้วยการทบทวนศีลของเราทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วทบทวนกรรมฐานเก่าทุกกองที่เรามั่นใจว่าได้แล้ว ถ้าทดลองอธิษฐานใช้ผลได้ยิ่งดี คือทันทีที่เรากำหนดเป็นแก้วใสได้ ให้กำหนดกสิณกองนั้น ๆ ให้ขยายใหญ่ได้ ให้เล็กลงได้ ให้มาได้ ให้หายไปได้ แล้วลองอธิษฐานใช้ผลดู ถ้าหากว่าใช้ได้คล่องตัวแล้ว ค่อยขยับไปกองใหม่ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับว่า เราจับแพะชนแกะไปเรื่อย ของเก่าก็ยังไม่ได้ ของใหม่ก็ยังไม่ดี กลายเป็นเหนื่อยเปล่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การฝึกกสิณต้องใช้ให้ได้ผลก่อน ถ้ายังใช้ผลไม่ได้ยังไม่ถือว่าได้จริง อย่างถ้าเราใช้วาโยกสิณ เราอยู่ตรงนี้ตั้งใจว่าเราจะไปบ้าน กำหนดจิตเข้าสมาธิตั้งใจอธิษฐานว่าเราจะไปบ้าน คลายสมาธิออกมาอธิษฐานใหม่ แล้วตัวเราไปอยู่ที่บ้านเลย นั่นคือใช้วาโยกสิณได้ผล
อย่าลืมเริ่มต้นด้วยการทวนศีลแล้วเกาะพระนิพพานไว้ก่อน เพราะสภาพจิตเรามีการจำ เกิดผิดพลาดหมดอายุขัยตายลงไป เราก็ไปจุดที่เราต้องการ พอเลิกฝึกค่อยเอาใจเกาะพระนิพพานใหม่ พักผ่อนจับภาพพระของเรา พูดง่าย ๆ ว่านอนอยู่กับพระ หลับอยู่กับพระนิพพาน"
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : พอภาพไฟเป็นดวงแก้วก็ให้อธิษฐาน ขอให้เกิดแสงไฟขึ้นในบ้านก็ได้ หรือถ้าไม่มีอะไร มีอะไรก็ขอให้ติดไฟขึ้นมาก็ได้ เปลวไฟที่เกิดขึ้นเราบังคับได้ทุกอย่าง ต้องการให้ติดอยู่ที่ไหน ให้ทำอันตรายหรือไม่ทำอันตรายสิ่งใด จะเป็นไปตามความต้องการของเราทั้งหมด ฉะนั้น..ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้ ใช้กสิณไฟเป็นหลัก ไม่ต้องเปลืองค่าไฟดี ถ้ายังไม่สามารถทำได้ ยังไม่ถือว่าสำเร็จกสิณ จับเฉพาะกองจนกว่าเราจะอธิษฐานใช้ผลได้จริง ๆ พอเราอธิษฐานใช้ผลได้แล้ว ค่อยเปลี่ยนกองถัดไป ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนเราโดนหลอกให้หลงทาง ทำอันนี้ แล้วทำอันโน้น ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตลอด ไม่ได้จริงสักอันหนึ่ง ถ้าตายก่อนก็เสียท่า
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าไม่จำเป็นก็ปิดห้อง เพราะคนที่ไม่เข้าใจจะหาว่าเราบ้า บอกท่านว่าขอทีละอย่าง ขอทีละอย่างให้ได้จริง ๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นครูเยอะเกินไปต่างคนต่างสอน ลูกศิษย์ก็ตายพอดี
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ฝึกกสิณก่อน พอได้กสิณตามที่ต้องการแล้ว ต่อไปเราก็ใช้คำภาวนาของท่านให้เป็นปกติไปเลย การฝึกกสิณ เวลาทั้งวันและทั้งคืน ต้องประคับประคองให้อยู่กับนิมิตและคำภาวนานั้น ๆ จนกว่าจะได้อย่างแท้จริงแล้ว ชนิดนึกเมื่อไรก็ปรากฏเมื่อนั้น อธิษฐานใช้ผลเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ถึงจะเรียกว่าได้ผลจริง ๆ การฝึกกสิณจะยากแค่กองแรกเท่านั้น ถ้ากองแรกได้แล้ว กองอื่นง่ายเพราะว่าใช้กำลังเท่ากัน เพียงแต่เปลี่ยนกองเท่านั้น ถ้ากองแรกได้แล้ว กองอื่นไม่เกิน ๗ วันก็ได้หมด แล้วหลังจากนั้นค่อยไปยึด อิติสุคโต ตามที่ท่านบอก
ถาม : หากเกิดนิมิตบอกให้ทำสิ่งต่าง ๆ ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ทำให้ตัวเองมีความสามารถที่แท้จริงก่อน พอเราทำทุกอย่างได้แล้ว หลังจากนั้นเราจะรู้เองว่าควรจะทำอะไร ควรจะช่วยใคร ตอนนี้อย่าเพิ่งไปฟุ้งซ่านกับเรื่องอื่น จะทำให้เสียผลการปฏิบัติ
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : การปฏิบัติของเราจะอยู่ลักษณะกด รัก โลภ โกรธ หลง เอาไว้ คราวนี้กดไปนาน ๆ ถ้าเราพิจารณาตัดไม่เป็น ถึงเวลาจะเหมือนกับภูเขาไฟระเบิด บางคนสะกิดหน่อยเดียวโกรธเขาเป็นวรรคเป็นเวรไปเลยก็มี ฉะนั้น..ต้องมีสติคอยระมัดระวังไว้เสมอ ถ้าหากว่าสติสมาธิอยู่กับการฝึก อยู่กับกสิณ อยู่กับคำภาวนา เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นให้รู้ว่าสมาธิเราตก หรือว่าเราหลุดจากสิ่งที่เราทำแล้ว รู้ตัวก็ให้รีบตะกายกลับไปใหม่ คว้าเอากสิณขึ้นมาใหม่ ไม่อย่างนั้นโดนกิเลสตีตาย
ความจริงฝึกกรรมฐานตอนเป็นฆราวาสกิเลสเต็มหัวก็ดี สนุกมาก กว่าจะรู้ตัวก็โดนกิเลสงัดหงายท้องไปแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนอาตมาไปจ่ายค่าเทอม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นค่ารักษาสถานภาพนักศึกษาไปแล้ว เร็วดีแท้ ความจริงเขาเรียนกัน ๓ ปี ของอาตมาเพิ่ง ๒ ปีเอง ต้องจ่ายค่ารักษาสถานภาพนักศึกษาแล้ว ทำให้เผลอ ค่าเทอมของเทอมที่แล้วโอนไป ๒๐,๐๐๐ บาท สองคนกับพระครูปลัดปรีชา เป็น ๔๐,๐๐๐ บาท เขาบอกว่าไม่ใช่ ตอนนี้เหลือ ๑๐,๐๐๐ บาทเป็นค่ารักษาสถานภาพนักศึกษา อ้าว..เทอมนี้จึงต้องเอาสำเนาการโอนเงินไปยื่นที่ฝ่ายการเงิน บอกว่าผมโอนให้ล่วงหน้ามาแล้วครับ โอนทีเดียว ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ต้องเสียเวลาทำเรื่องคืนให้ยุ่งยาก มีอยู่รายหนึ่งเขาทำเป็นรายการให้ติ๊ก ท่านก็อ่านไม่รอบคอบ ท่านติ๊กให้โอนไปที่วิทยาเขตอื่น กว่าจะได้คืนตามอยู่ครึ่งปี ช่วงเทอมแรก ๆ จ่ายอยู่ ๙๐,๐๐๐ บาทก็เยอะสิ ถึงต้องรีบไปตามคืน"
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อะไรที่พระหรือเทวดาท่านสั่งมา ถ้าไม่เกินวิสัยที่จะทำได้ ก็ให้ทำตามนั้น อาตมาเองแหกคอกประจำเลย สั่งมาแล้วทำไม่ได้ก็ไม่ทำหรอก สั่งมาถ้าทำได้จะลองทำดู แล้วท่านรู้ว่าไอ้นี่หัวดื้อ ความจริงก็ไม่ได้ดื้อ ดูด้วยความสามารถของตนเอง กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ คำนวณทุกอย่างแล้วถ้าทำได้ก็ทำ ถ้าคำนวณแล้วว่าทำไม่ได้ก็เฉย ๆ เพราะว่าบางอย่างที่ท่านมาสั่งก็ไม่ใช่ของจริง ท่านอาจจะมาลองดูว่าเรามีปัญญามากพอหรือเปล่า ขณะเดียวกันเราเชื่อฟังท่านจริงหรือเปล่า รู้จักระมัดระวังในนิมิตที่มาหรือเปล่า ก็บอกแล้วว่าไม่เกินความสามารถก็ทำ ถ้าเกินความสามารถก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ต้องทำถึงจะรู้ ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
ถึงได้บอกว่าต้องรอเวลา ในขณะเดียวกันเรื่องการปฏิบัติต้องได้ผลจริง ถ้าได้ผลจริงก็แสดงว่าไม่ใช่อุปาทาน คราวนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง ผิดก็ผิดที่เรา ถูกก็ถูกที่เรา ไม่ต้องไปโทษใคร
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยนี้เป็นพระอุปัชฌาย์ยังโชคดี ส่วนใหญ่โยมที่บวชหาอัฏฐบริขารมาเอง เพราะในพระวินัยระบุไว้ชัดว่า ถ้าไม่มี พระอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องหาให้กุลบุตรผู้มีศรัทธา..เวรแล้ว ...(หัวเราะ)... สมัยนี้เฉพาะบาตรอย่างเดียว ใบหนึ่งก็สองพันสามพันบาทแล้ว บาตรสเตนเลสดี ๆ สองพันซื้อไม่ได้แล้ว”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็กยุคนี้มีใครกัดปลากัดกันบ้างไหม ? เด็กสมัยก่อนถ้าเลี้ยงปลากัด จะมีความสามารถในการดูแหล่งน้ำเพื่อหาแหล่งยุงหรือไรน้ำ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรเลี้ยงปลากัด แต่สมัยนี้เขาเล่นอาหารเม็ดยันเตเลย แต่อาหารเม็ดดีตรงที่ว่าสารอาหารครบถ้วน ทำให้ปลากัดสีเข้มมาก ถ้าเด็กบ้านนอกเขาจะแยกปลากัดเป็น ๓ ประเภท จะมีลูกป่า ลูกหม้อ แล้วก็ลูกสังกะสี ปลากัดลูกป่านี่ไปหาช้อนเอาตามแหล่งน้ำทั่ว ๆ ไป ตัวก็ไม่ใหญ่มาก ต้องบอกว่าใน ๓ ประเภท ปลากัดลูกป่าจะตัวเล็กที่สุด ส่วนปลากัดลูกหม้อเป็นปลาที่เขาเลี้ยงกันมาจนกระทั่งนับรุ่นไม่ถ้วน จะตัวใหญ่กว่าปลากัดลูกป่าเกือบ ๒ เท่า แล้วสีจะเข้มมาก แดงจัด เขียวจัด น้ำเงินจัด
ความที่เขาเลี้ยงในหม้อดินเขาเลยเรียกว่าปลากัดลูกหม้อ จนกระทั่งกลายเป็นสำนวนว่าใครก็ตามที่อยู่ในหน่วยงานไหนนาน ๆ ก็จะเรียกว่าเป็นลูกหม้อ ส่วนปลากัดลูกสังกะสีเป็นลูกผสมระหว่างลูกหม้อกับลูกป่า ถ้าหากว่าลูกหม้อใหญ่สักเบอร์ L ไอ้สังกะสีนี่จะเป็นเบอร์ M ส่วนลูกป่าจะเป็นเบอร์ S
ไอ้ที่กัดอึดที่สุดก็คือลูกหม้อ ปล่อยลงไปกัดกันเมื่อไรก็โน่น พระตีกลองเพลยังไม่เลิกเลย บางทีเด็ก ๆ ออกไปแข่งขันยิงนกตกปลา เล่นโยนหลุม ทอยกอง ตั้งเตกันจนเบื่อแล้ว กลับมาดูก็ยังกัดอยู่นั่นแหละ ต้องบอกว่าปลากัดลูกหม้ออึดที่สุดแล้วก็ทนที่สุด ฉะนั้น..คนไหนที่อยู่สังกัดในหน่วยงานนาน ๆ เขาถึงได้เรียกพวกลูกหม้อ เพราะอยู่ทน ไม่รู้จักไปสักที”
ถาม : แล้วปลากริมละครับ ?
ตอบ : ปลากริมนั้นมันอีกพันธุ์หนึ่งไม่ใช่ปลากัด ปลากริมนั้นเขาเรียกปลาจีน สวยอย่างเดียว ปล่อยลงไปกัดเมื่อไรก็ตาย เป็นลูกไล่ได้อย่างเดียว คือเวลาเลี้ยงปลากัดแล้วจะสอนให้ดุ เขาจะต้องมีไอ้ตัวที่ไม่ค่อยสู้ใครปล่อยลงไปให้ไล่กัด ดังนั้น..ใครก็ตามที่โดนคนอื่นเขารังแกอยู่ตลอด เขาจะเรียกว่าไอ้ลูกไล่ คือลงไปให้เขาไล่ฟัดอย่างเดียว แบบเดียวกับปลากัด
เรื่องของปลากัดนี่มีสำนวนเยอะ อย่างลูกหม้อก็มาจากเลี้ยงปลากัด ลูกไล่ก็มาจากเลี้ยงปลากัด ก่อหวอดนี่ก็ของปลากัดชัดเลย เพราะเวลาตัวเมียจะไข่ ตัวผู้จะพ่นฟองรวม ๆ กันเป็นก้อน เขาเรียกว่าหวอด ที่เขาบอกว่าเริ่มก่อหวอดแล้วก็คือเริ่มจะวางไข่แล้ว แต่ไอ้สถานการณ์การเมืองถ้าเขาบอกก่อหวอดแล้วก็คือจะหาเรื่องกันแล้ว
พอตัวเมียไข่แล้วตัวผู้ผสมเชื้อเสร็จ ก็จะคาบไข่ไปพ่นไว้ที่หวอด ไข่ก็จะอยู่ปริ่ม ๆ ผิวน้ำแล้วมีหวอดคลุมอยู่ จะได้ความอุ่นจากแดดพอดี ๆ พอถึงเวลาก็ออกเป็นตัว ตัวเล็กนิดเดียวแทบจะมองไม่รู้เรื่องหรอก เหมือนอย่างกับว่าเป็นจุดดำ ๆ แล้วมีขีดออกมาหน่อยเท่านั้นเอง แรก ๆ ก็ยังกินอะไรไม่ได้ ต้องเอารำโรยลงไปให้กินกันมุบมิบ ๆ พอเริ่มเป็นตัวเห็นชัดหน่อยก็เอาลูกไรให้กิน โตขึ้นมาพอกินลูกน้ำได้ก็เอาลูกน้ำให้กิน ปลาก็จะกินแต่ลูกน้ำตัวอ่อน ไม่กินไอ้โม่งเพราะจะเป็นยุงอยู่แล้ว ลูกน้ำไอ้โม่งตัวอย่างกับถั่วงอกเล็ก ๆ หัวแข็งโป๊กเลย..ขี้เกียจกิน
ส่วนใหญ่เด็กจะชอบปลากัดลูกป่า เพราะไปช้อนกันเองตื่นเต้นดี แล้วกัดกันเดี๋ยวเดียวก็รู้ผลแล้ว เหมือนอย่างกับว่าปลาลูกป่าเป็นปลานักเลง ถ้าอีกฝ่ายไม่สู้ก็ไม่รังแกซ้ำ แต่ปลาลูกหม้อนี่เป็นปลาหวงถิ่น ถึงเวลากัดกันตายไปข้างหนึ่ง กว่าจะแพ้ชนะแต่ละตัวนี่ล่อกันเยินไปตาม ๆ กัน ครีบขาด หางกุด ปากแหว่ง เกล็ดหลุดกระจายหมด บางทีกัดติดบิดกันอยู่ใต้น้ำเป็นนาที ไม่รู้ว่าอึดได้อย่างไรขนาดนั้น ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนตอนที่ยังไม่ได้ไปเป็นทหาร อาตมาโดนเขาจองตัวเป็นลูกเขย สาวคนนั้นถ้าลมพัดแรง ๆ ก็ปลิวไปเลย ด้วยความที่เขาจองตัวเป็นลูกเขยหลายบ้านไปหน่อย เลือกไม่ถูกจึงไปบวชดีกว่า บวชไปสิบกว่าพรรษาแล้วแม่เขาเพิ่งพาตัวคนจองมาหา บอกเขาไปว่าคืนสัญญาได้นะ..ไม่ว่าหรอก"
ถาม : ไม่ชัด
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเขามีแต่ลูกสาว ๒ - ๓ คน เสร็จแล้วเวลาไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ถูกอัธยาศัย บางทีก็ไปกินไปนอนเป็นลูกชายให้เขา คราวนี้บ้านโน้นบ้าง บ้านนี้บ้าง พวกน้องแบม จณิสตาสมัยนั้นขี้มูกราขี้ตากรัง เพราะคุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์เขาจะไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นประจำ
รายนั้นเรียกป้าไม่ได้ โกรธนะ..ต้องเรียกพี่อย่างเดียว อาตมาเรียกป้าเมื่อไรแกก็ให้เรียกพี่ทุกที ทำให้เห็นว่า คนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็มีกำลังใจหลายระดับด้วยกัน อาตมาถือว่าเปิดเผย ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง ส่วนของเขาอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีในสังคมเขาพยายามปิด ๆ บัง ๆ แต่อย่างว่าแหละ..เขาอยู่ในวงสังคมอีกระดับหนึ่ง เขายอมลงมาคบเด็กกะโปโลอย่างอาตมา ก็ถือว่าเป็นความเมตตาอย่างสูงแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งรับใช้อยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อเขาคงไม่คุยด้วยหรอก แต่ว่าความที่สนิทกันมาก ก็เลยเห็นพวกลูก ๆ หลาน ๆ เขาก็เหมือนพี่น้องไปด้วย ตอนไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เขายังตามไปปฏิบัติธรรมตั้งหลายรอบ แล้วคราวนี้ไปโดนขนบุ้งเข้าก็เลยเข็ดไม่ไปอีก
เขาเป็นภูมิแพ้ บุ้งพอถึงเวลาหน้าที่จะทำดักแด้ ก็จะเอาขนตัวเองทำรัง บุ้งพวกนี้แสบมากเลย คือจริง ๆ แล้วขนบุ้งจะมีพิษอยู่ ถึงเวลาก็จะเอาขนมาสานเป็นรัง แล้วตัวกลายเป็นดักแด้อยู่ข้างใน พอเลิกใช้รังขนก็ปลิวว่อนไปหมด คุณจิราหายใจเข้าไปแล้วคอบวมขนาดหายใจไม่ออก ต้องรีบไปหาหมอ ตั้งแต่นั้นก็เลยเข็ด..ไม่ไปอีก
ก่อนหน้านี้พอวันอาทิตย์อาตมาก็จะขี่จักรยานไปบ้านเขา มีอยู่ ๓ - ๔ บ้าน วนไปบ้านโน้นบ้างบ้านนี้บ้าง ก็แปลกดีเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่เขามีแต่ลูกสาว มีอยู่รายหนึ่งชื่อเจ้าตุ๊ก สูงเกือบเท่าอาตมาเลย เด็กผู้หญิงสูง ๑๗๐ เซนติเมตร สมัยนั้นก็เป็นตัวประหลาดนะสิ แกก็คงไม่รู้ว่าจะเดินกับใครมาเดินกับอาตมาค่อยยังชั่วหน่อย เดินกับคนอื่นต้องก้มมองเขา เวลานัดกันที่ป้ายรถเมล์นี่แกมาหรือยังอาตมาจะเห็นแต่ไกลเลย ผู้หญิงสูง ๑๗๐ ดูสูงมาก ผู้ชายสูง ๑๗๐ เซนติเมตร รู้สึกว่าไม่สูงเท่าไร
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อปลายเดือนรับสังฆทานอยู่ที่หาดใหญ่ แม่ชียิ้นเขาพาคุณเคนนี่จากมาเลเซียมาหา คุณเคนนี่เขาตั้งบริษัทผลิตพวกเครื่องปรุง พวกซอส ซีอิ๊ว น้ำปลา ปรากฏว่ากิจการไม่ค่อยดีก็เลยพามา น่าเสียดายที่คุณเคนนี่แกพูดไทยไม่ได้เลย แกสาธุได้อย่างเดียว ไม่อย่างนั้นจะให้แกไปภาวนาคาถาเงินล้าน ท้ายสุดไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยให้ลูกแก้วไป เขาส่งข่าวมาบอกว่ากิจการดีขึ้น คนซื้อสินค้ามากขึ้น ก็ดีใจกับแกด้วย
จะมีวิธีไหนล่ะ ? น่าจะต้องเปิดเสียงให้ฟัง แล้วให้แกเลียนแบบตาม ไม่รู้ว่าจะสวดได้หรือเปล่า เพราะว่าภาษาอังกฤษก็ไม่มีคำตรง ออกเสียงเพี้ยน ๆ แต่ถ้าหากว่าเขาศรัทธาก็น่าจะมีผล เพียงแต่ว่ายังไม่เคยลอง น่าเสียดายว่าถ้าเป็นคนไทยแนะนำไปอย่างนั้นนี่อย่างไรก็รุ่งแน่ ๆ คราวนี้เขาเป็นจีนมาเลเซีย แล้วพูดได้แต่ภาษาแคะลึก ที่ขำที่สุดก็คือแม่ชียิ้น เขาบอกว่าอาตมาเป็นลูกจีนแต่พูดจีนไม่ได้แล้ว แกก็อธิบายไปเรื่อย พอเขาอธิบายเสร็จ อาตมาก็อธิบายต่อให้โยมคนไทยฟัง แม่ชีก็ว่าของแกไปเรื่อย แกลืมไปว่าคนที่แปลได้ทุกคำจะพูดไม่ได้เลยหรือ ? ดีเหมือนกัน..อาตมาไม่ต้องเหนื่อยเอง”
ถาม : ถามเรื่องการตั้งศาล (ไม่ชัด)
ตอบ : เรื่องของศาลส่วนใหญ่เขาให้ตั้งวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือนคู่ แต่ให้เว้นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบเพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา เชิญเทวดาจ้างก็ไม่มาหรอก เพราะเขาถือศีลอยู่ข้างบน
ถาม : ไม่ชัด
ตอบ : เขาไม่นิยมกันจ้ะ เอาตามที่โบราณเขานิยมดีกว่า จะได้ไม่มีคนเขาตำหนิได้ แล้วสมัยนี้ก็มั่วไปหมด รู้ไหมว่าศาลพระพรหมควรมีแห่งเดียว ก็คือที่พระพรหมเอราวัณ ที่อื่นไม่ควรมี การที่จะมีพระพรหมดูแลสถานที่สักแห่งหนึ่งไม่ใช่หาง่าย ๆ เท่าที่เจอมาก็มีเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีเป็นพรหม นอกนั้นก็เป็นเทวดา ขนาดเจ้าพ่อหลักเมืองรักษากรุงเทพฯ ถือว่าดูแลทั้งประเทศยังเป็นแค่เทวดาชั้นดาวดึงส์เลย ไปเจอเจ้าพ่อหลักเมืองของมาเลเซียเขาก็ดูแลทั้งประเทศ นั่นเป็นอินทกะของท่านท้าววิรูปักข์ ของเนปาลยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เป็นเจ้าแม่ ผู้หญิงดุน่าดู เขามาชุดส่าหรีสวยพริ้งไปเลย ถ้าผู้หญิงสวยขนาดนี้จะส่งไปประกวดนางงามอะไรดีหนอ ?
พระอาจารย์เล่าว่า “นึกถึงคุณยายคนหนึ่ง สมัยนั้นยังทำงานที่ซอยอ่อนนุช คุณยายแกจะทำพวกขนม พวกขนมใส่ไส้ ขนมตาล ขนมถ้วย ใส่กระจาดแล้วกระเดียดขาย คุณยายพูดเพราะมาก แล้วพูดเป็นธรรมชาติจริง ๆ พอสนิทสนมกันก็ถาม คุณยายเขาก็เล่าให้ฟังว่า เคยรับใช้อยู่ในวังเจ้านายมาก่อน อายุ ๓๐ กว่าดันมีคนไปขอ พ่อแม่ก็เห็นด้วยว่าลูกจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา ก็เลยไปขอตัวคืนจากเจ้านาย ขอให้ลูกมาแต่งงาน เจ้านายก็อุตส่าห์ประทานเงินสินสอดมาให้ตั้ง ๒ ชั่ง
แต่ก็อย่างว่า พอแต่งงานไปมีลูกหลายคนก็เลี้ยงไม่ไหว ฐานะจึงแย่ คุณยายก็เลยต้องอาศัยฝีมือในวังทำขนมขาย แต่แกพูดเพราะได้เป็นธรรมชาติ กริยามารยาทเรียบร้อยจริง ๆ ดูแล้วอาตมาอายแทน “คุณเจ้าค่ะ คุณเจ้าขา” ตลอด ของอาตมาพูดแบบนั้นต้องดัดจริต ของยายแกเป็นธรรมชาติเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเกิดลัคนาสถิตราศีตุลย์ บังคับให้ต้องยุติธรรม เขาบอกคนเกิดราศีตุลย์ไม่แน่ว่าจะเป็นคนยุติธรรม แต่ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีตุลย์ ดวงเกิดบังคับว่าต้องเป็นคนยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ แล้วก็ดันไปเกิดเอาวันที่กลางวันกับกลางคืนยาวเท่ากันพอดีอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนจีนสมัยก่อนมาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ บางคนเสื่อยังไม่มีเลย เพราะว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ต้องรวมเป็นค่าเรือค่าอาหารให้กับไต้ก๋ง ไม่มีสตางค์พอจะซื้อเสื่อซื้อหมอนก็นอนดาดฟ้าเรือไป บางรายต้องเอาเชือกผูกตัวเองติดกับราวไว้ กลัวคลื่นตีตกน้ำ ถ้ามาผิดจังหวะเจอคลื่นลมแรงบางทีก็เรือล่มทั้งลำ
คนรุ่นนั้นมาถึงอันดับแรกก็ต้องหางานให้ได้ก่อน ส่วนใหญ่จะกินอยู่กับกงสี คำว่ากงสีถ้าเปรียบกับของเราก็คือบริษัท คราวนี้พอมีที่กินที่อยู่ก็ประหยัดกินประหยัดใช้ จะทำงานด้วยความขยันขันแข็งและซื่อสัตย์มาก แล้วคนจีนมีส่วนที่คนอื่นไม่ค่อยมีคือความกตัญญู ใครช่วยเหลือตัวเองไว้จะจดจำแล้วก็คอยทดแทน
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า คนจีนไปอยู่ที่ไหนก็เจริญเพราะมีความกตัญญู ความกตัญญูแม้แต่พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญว่า นิมิตตัง สาธุ รูปานัง กตัญญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ท่านบอกว่าคนจีนไปอยู่ที่ไหนก็ลำบากไม่นาน เดี๋ยวก็ตั้งหลักได้ ถ้าดูอย่างบ้านเราก็รุ่นแรก ๆ ที่มา เดี๋ยวก็เป็นเถ้าแก่ เดี๋ยวก็เป็นเจ้าสัวกันหมดแล้ว คำว่าเจ้าสัวมาจากคำแต้จิ๋วว่า "จ่อซัว" คือ ฐานะมั่นคงเหมือนภูเขา แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็นเจ้าสัว
คราวนี้พอรุ่นตัวเองประหยัดกินประหยัดใช้มา ก็เลยเข้มงวดกับลูก มีอยู่ครอบครัวหนึ่งดังมากเลย ถ้าเอ่ยชื่อตอนนี้ก็อ๋อทันที ลูกใช้เงินเป็นเบี้ยพ่อก็ดุเอา ลูกเขาก็บอกว่า “พ่อเป็นลูกคนจน พ่อต้องประหยัด แต่ผมเป็นลูกคนรวย พ่อเป็นเจ้าสัว ผมมีสิทธิ์ใช้” คนจีนเขาถึงมีคำคมหรือภาษิตอยู่ว่า "รุ่งเรืองขนาดไหนไปไม่เกิน ๓ รุ่น"
ถ้าหากว่ารุ่นปู่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาด้วยความสามารถ รุ่นพ่อไม่ลำบากเท่า อย่างเก่งก็ประคับประคองเอาไว้ มารุ่นลูกยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เลย ถ้าไม่ใช่บุญกุศลดีจริง ๆ ก็มักจะมาล่มสลายเอารุ่นลูกรุ่นหลานนี่แหละ เพราะว่าไม่เคยลำบาก รุ่นที่เคยลำบากมานี่เขาลำบากชนิดที่ต้องกินข้าวต้มกับก้อนกรวดคั่วน้ำเกลือ"
พระอาจารย์เล่าว่า “พวกเราที่อยู่เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ ที่เขาบอกว่าพอเรือเข้าปากอ่าวเจ้าพระยา คนจีนเห็นต้นไม้เขียวชอุ่มไปหมดเขาก็บอกว่ารอดตายแล้ว บ้านเขาไม่มีอย่างนี้ ไม่มีกินจริง ๆ บ้านเราไม่มีอย่างไรนี่หัวไร่ชายนายังพอหาได้ ฉะนั้น..เขาลำบากมาก็ขวนขวายเต็มที่ ส่วนเราอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ก็ไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะว่าคนไทยเราไม่นิยมค้าขาย คนไทยเรามีภาษิตประจำใจว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” ในเมื่อไม่นิยมค้าขาย นิยมแต่ส่งลูกรับราชการ หวังพึ่งใบบุญลูก แล้วจะมีสักกี่คนที่จะไปเป็นพระยาหรือเจ้าพระยาได้ ?
ก็เลยทำให้ครอบครัวคนไทยมาระยะหลังเหมือนกับว่า พอความเป็นใหญ่เป็นโตในหน้าที่การงานลดความสำคัญ มือที่กุมเศรษฐกิจกลายเป็นคนจีนหมด แล้วช่วงนั้นก็มีการบีบบังคับต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลกันให้ยุ่งไปหมด เพราะถ้ายังมีเค้าบอกว่าเป็นคนจีน อาจจะโดนเนรเทศกลับไปเลยก็ได้ เพราะว่ายุคนั้นมีการปฏิวัติรัฐประหารกันทุกบ่อย ถึงขนาดมีการลอบฆ่านายกสมาคมพ่อค้าจีนไป ๒ คน ถือว่าเป็นเรื่องสะเทือนขวัญหมู่ชาวจีนมาก หลายรายถึงขนาดหนีกลับเมืองจีนไปเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากลับไปก็ลำบากเพราะจีนเป็นคอมมิวนิสต์ แต่กลัวว่าอยู่เมืองไทยโดนหมายหัวเดี๋ยวก็ตาย"
ถาม : คนจีนก็มีเข้ารับราชการไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : มีน้อย ต้องเป็นลูกจีนที่เก่งจริง ๆ แล้วหลุดเข้าไปรับราชการ อย่างหลวงวิจิตรวาทการ สมัยอาตมาเองเข้าเรียนนักเรียนนายสิบ ยังโดนสอบประวัติ เพราะว่าพ่อเป็นต่างด้าว ตอนแรกเขาจะไม่เอา แต่อาตมาโวยวายด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกผมสมัครตามสิทธิ์ ประการที่ ๒ พ่อผมตายแล้วเกี่ยวอะไรกับผมด้วย ? ถ้าไม่ใช่คนปากหมาอย่างอาตมาก็ไม่ได้เรียนหรอก คราวนี้อาตมากล้าโวยเขาเลยต้องให้เรียน ปัจจุบันนี้ตระกูลสำคัญ ๆ ที่กุมเศรษฐกิจนี่ไล่ขึ้นไป เอาแค่รุ่นปู่จะต้องมีอากงอาม่าแน่นอน
ประเทศไทยเราเป็นประเทศเดียวก็ว่าได้ ที่คนจีนอพยพเข้ามาแล้วผสมกลมกลืนกลายเป็นเชื้อชาติเดียวกันแบบไม่แบ่งแยก ประเทศอื่นอย่างไรก็แบ่งแยก เขาจะมีไชน่าทาวน์ตรงโน้นตรงนี้ ของไทยไม่ต้องหรอก ทั้งประเทศ ไล่ไปเถอะ ถึงเวลาแล้วคุณจะเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าคุณ คุณพระอะไรก็จริง แต่ถึงเวลาต้องใช้เงินใช้ทอง ก็ต้องพึ่งพาบรรดาเจ้าสัว ต้องส่งลูกแต่งข้ามกันไปข้ามกันมา บรรดาเจ้าสัวถ้าได้ลูกเขยมีพ่อเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ หรือว่าได้ลูกสะใภ้ที่พ่อเขาเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ ก็ได้พึ่งพาอาศัยได้ จึงกลมกลืนกันไปเองโดยอัตโนมัติ
โดยเฉพาะของบ้านเราหลักยึดก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราต้องบอกว่าเป็นที่พึ่งได้จริง ๆ ทำให้คนจีนเขารักเมืองไทยเหมือนบ้านเกิดตัวเอง
ถาม : ในวังยังมีการทำกงเต็กด้วย ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องปกติ ในช่วงรัชกาลที่ ๕ สมาคมคนจีนยังร่วมกันสร้างพระตำหนักถวายในหลวงรัชกาลที่ ๕ อยู่ที่บางปะอิน พระที่นั่งเวหาสน์จำรูญ เขาเรียกเทียนเหม็งเต่ย (พระตำหนักฟ้ารุ่งเรือง) แปลเป็นไทยก็เวหาสน์จำรูญ แต่จริง ๆ คนจีนเข้ามาเมืองไทยมากตั้งแต่สมัยอยุธยา แล้วมามากสุด ๆ ช่วงกรุงธนบุรี เพราะเขาถือว่าคนจีนเป็นฮ่องเต้ เพราะว่าพระเจ้าตากสินมหาราชนี่มีพ่อเป็นคนจีน เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย คนจีนนี่เขารักแซ่ รักญาติ รักพวกพ้อง ถึงเวลารู้ว่ามีญาติเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ ต้องไปมาหากินได้แน่ก็มาเลย แห่กันมามืดฟ้ามัวดิน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นจีนแต้จิ๋วเพราะว่าพวกนี้อยู่ริมทะเล เดินทางได้สะดวก
พระอาจารย์เล่าว่า ตามหลักฮวงจุ้ยถ้าเป็นแอ่งน้ำใหญ่อยู่หน้าบ้านจะดี แต่ถ้าเป็นน้ำไหลถ้าจากหน้าบ้านหรือหลังบ้านนั้นหาดีไม่ได้เลย ยกเว้นอย่างเดียวว่าจะเป็นถุง แบบเดียวกับช่วงก่อนที่เขาจะตัดคลองลัดโพธิ์ ถ้าลักษณะอย่างนั้นตามหลักฮวงจุ้ยเขาจะเรียกถุงเงิน หรือที่เขาเรียกกระเพาะหมู แล้วในหลวงให้ตัดกระเพาะหมูลอยไปเลย ตั้งแต่นั้นมาน้ำไม่ท่วมพระประแดงอีก เนื่องจากว่าไหลลงทะเลได้ทัน ไม่ต้องอ้อมไปไกล ตัดตรงไปเลยไม่กี่กิโลเมตร พื้นที่ในลักษณะกึ่งเกาะ หรือกระเพาะหมูที่ว่าก็ต้องดูให้ดี ๆ ว่าอยู่ลักษณะที่น้ำไหลอ้อมเข้าหรืออ้อมออก ถ้าไหลออกก็อย่าไปเอาเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนที่หลวงปู่ทองเทศที่วัดท่าซุง อายุ ๙๖ พวกเราก็เป็นห่วงท่าน บอกให้หาลูกหลานมาดูแลหน่อย หลวงปู่ก็เห็นความหวังดีก็เลยจดหมายไปเรียกลูกชายมาดูแล ลูกชายอายุ ๗๗ เดินสั่นแหง็ก ๆ หลวงปู่อายุ ๙๖ ยังเดินตัวปลิวเลย ตกลงก็เลยไม่รู้ใครดูแลใคร ตอนนั้นอาตมาคุมโรงครัววัดอยู่ หลวงปู่ท่านขยันมาก ๙๐ กว่าแล้วยังออกบิณฑบาตทุกวัน แล้วคราวนี้ท่านไปหกล้ม คนแก่อายุขนาดนั้นแล้วเนื้อไม่เกิดแล้ว แผลกว่าจะหายตั้ง ๒ เดือนกว่า
ก็เลยบอกหลวงปู่ว่าไม่ต้องบิณฑบาตหรอก เดี๋ยวพวกผมจะบิณฑบาตเลี้ยงเอง ถ้าไม่มีใครบิณฑบาตเลี้ยง ผมสั่งให้โรงครัวไปส่งก็ได้ แต่ว่าหลวงปู่หาลูกหลานสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน ถึงเวลาจะได้มาหิ้วปิ่นโตจากโรงครัวไปถวาย หลวงปู่ส่งจดหมายไปบอกลูกชายมา เจ้าประคุณเอ๋ย..คนอายุ ๗๗ เดินถือปิ่นโตสั่นแหง็ก ๆ ไอ้เรากลัวกับข้าวจะหกหมด หลวงปู่ทองเทศท่านบวชตอนอายุ ๘๐ ท่านเอาเงินถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้สามพัน บอกว่า “ถ้าผมตายช่วยจัดงานศพให้ผมด้วย” หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ บอกว่า “ไม่รู้ใครจะได้เผาใคร” ปรากฏว่าหลวงปู่ ๙๐ กว่า หลวงพ่อ ๗๖ มรณภาพก่อน หลวงปู่อยู่มายัน ๑๐๓ ปีค่อยตาย
อาตมาออกจากวัดมาปีกว่าค่อยมีโอกาสไปได้เยี่ยมท่าน พอไปถึงหลวงปู่ก็ว่า “โอ๊ย..คิดถึงจังเลย ไปไหนมาตั้งนานไม่แวะมาดูกันบ้าง” บอกท่านไปว่า “ผมออกจากวัดไปเป็นปีแล้วครับ” หลวงปู่ก็บอกว่า “ไม่เห็นมีใครเขาบอกปู่เลย” ตอนแรกท่านอยู่ที่กุฏิ ๑๐ หลัง ทางด้านหลังโบสถ์ แล้วคราวนี้กุฏิเป็นบันได ขึ้นลงไม่สะดวก แล้วอากาศค่อนข้างจะร้อน มาระยะหลังเลยย้ายท่านไปอยู่ตรงสวนไผ่ อย่างน้อย ๆ อากาศร่มรื่นกว่าเยอะ แล้วอยู่ชั้นล่าง มีอาคารกั้นด้านบนอยู่ชั้นหนึ่ง แล้วอยู่ติดต้นไม้ก็เลยเย็นมาก หลวงปู่ท่านก็นั่งอ่านหนังสือ นั่งภาวนาของท่านไปเรื่อย อายุ ๙๐ กว่าแล้วไม่ต้องใช้แว่น นั่งอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจเฉิบ หลวงปู่ท่านร่างเล็กนิดเดียว หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นเล่มจัมโบ้ หลวงปู่ท่านก็นอนบนหนังสือพิมพ์แล้วก็อ่านเลย เวลาท่านอ่านหนังสือพิมพ์ดูมีความสุขมาก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้ท่านยิ้มเยาะหรือเปล่าที่อาตมาต้องใส่แว่น"
"อาตมาได้ไปงานศพหลวงปู่ทองเทศ ได้ไปงานศพหลวงตาสมชาย งานศพหลวงพี่สมพงศ์ งานศพหลวงพี่ประทีป รู้สึกว่าพระที่วัดท่าซุงตายนี่จะได้ไปทุกศพนะ ของหลวงตาสมชายพอไปถึง ท่านก็มาทุบหลังพลั่ก "ทำไมมาเอาป่านนี้วะ ?" แหม..ทำอย่างกับผมอยู่ใกล้ ๆ นี่ แล้วถามท่านว่า "หลวงตาตายแล้วไปไหน ?" ท่านบอกว่า "หลวงพ่อบอกให้ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละ"
ได้ยินว่าเดือนที่แล้วหลวงน้าอมรก็เพิ่งจะตาย แต่ของหลวงน้าอมรนี่ไม่ได้ไปงานแน่เลย เพราะช่วงนี้ภารกิจเยอะเหลือเกิน พวกรุ่นเก่า ๆ นี่ยังคิดถึงกันอยู่ ท่านจำอาตมาแม่นเพราะความแสบของอาตมา ส่วนที่อาตมาจำท่านแม่นเพราะท่านเคยให้ความอนุเคราะห์สงเคราะห์ ช่วยกันไปช่วยกันมา
ส่วนใหญ่แล้วพระผู้ใหญ่ท่านพออายุมากแล้ว มีพระลูกพระหลานคอยอำนวยความสะดวกอะไรให้แล้วรู้สึกดี อย่างหลวงตาสมชายท่านดูแลระบบน้ำประปาของวัดอยู่ แล้วอายุ ๗๐ แล้วต้องปีนขึ้นไปบนหอประปา ไปเติมคลอรีน เลยบอกท่านว่า "หลวงตาผสมอย่างไรบอกผมแล้วกัน เดี๋ยวผมขึ้นไปจัดการให้" เพราะว่าประมาณ ๓ วันถึงเติมคลอรีนที หลวงตาท่านก็สอน "ถ้าระดับน้ำแค่นี้ให้เติมเท่านี้ ๆ ถ้าเต็มถังเติมหมดถ้วยเลย" อาตมาก็รอให้น้ำสูบเต็มถังแล้วเติมทีเดียวก็หมดเรื่องไม่ต้องปีนขึ้นปีนลงบ่อย ๆ"
พระอาจารย์เล่าว่า "แต่ไม่ไหว..ใหม่ ๆ ขึ้นไปนี่หมาหลวงตาจะฟัดตาย หมาวัดแต่ละตัวรู้ว่าควรจะทำหน้าที่ตรงไหน พวกเฝ้าหอประปานี่นอนเฝ้า ๔ มุมเลยนะ ใครจะเอาอะไรไปเติมส่งเดชมีหวังโดนหมากัดตาย หอประปาสูงขนาดไหน ถ้าโดนหมารุมกัดมีอย่างเดียวคือต้องโดดหนี ลงไปก็ไม่เหลือหรอก ตอนแรกก็ไม่นึกว่าหมาจะกล้าขึ้นบันได เพราะว่าเป็นบันไดที่เป็นแผ่นเหล็กใหญ่ประมาณฝ่ามือแล้วขึ้นไปสูงลิบเลย แต่หมาก็ขึ้น เขารู้ว่าต้องทำหน้าที่ตรงไหนขึ้นไปก็นอนเฝ้า
อย่างของหลวงน้าอมรท่านมีชื่อเสียงในความเป็นคนใจร้อนใจเร็ว แล้วติดนิสัยฝรั่ง เพราะว่าท่านอยู่อเมริกาจนได้กรีนการ์ดมา การติดนิสัยฝรั่งของท่านคือว่า ถ้ามีปัญหาต้องเคลียร์กันตรงนั้น ซึ่งไม่ใช่นิสัยคนไทย นิสัยคนไทยไม่ใช่อย่างนั้น นิสัยคนไทยถ้ามีเรื่องแล้วเคลียร์กันตรงนั้นได้ต่อยกันแน่นอน คราวนี้หลวงน้าอมรพอมีเรื่องก็จะไปจับมือจับแขนคู่กรณี แล้วก็บอกว่ามีปัญหาอะไรให้ว่ามาตรงนี้เลย คนอื่นก็ยิ่งโกรธใหญ่ เพราะคิดว่าไปเอาเรื่องไม่ยอมเลิก อาตมาพอเห็นก็รู้ท่าว่าท่านติดนิสัยฝรั่งมา
ฉะนั้น..มีโอกาสก็ไปเลียบ ๆ เคียง ๆ หลวงน้าอมรชอบอ่านหนังสือ ท่านสะสมหนังสือเป็นห้อง ๆ เลย ก็ไปเที่ยวหา "หลวงน้ามีเรื่องนั้นไหม ? มีเรื่องนี้ไหม ? ผมเคยอ่านนาน ลืมไปแล้ว ขอยืมหน่อยเถอะ" หลวงน้าท่านคุยเรื่องหนังสือมีความสุข ท่านก็คุยไปเรื่อย ไป ๆ มา ๆ ระยะหลังท่านไม่รู้จะคุยกับใคร ก็หอบกาน้ำร้อนมาฉันน้ำร้อนไปคุยไปด้วย"
"กลายเป็นว่าบรรดาพระอายุมาก ๆ ที่ค่อนข้างจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ส่วนใหญ่ในวัดตอนนั้นอาตมามีหน้าที่ชวนคุย กลัวว่าท่านอยู่เงียบ ๆ แล้วจะเครียด จะมีหลวงน้ามีชัย หลวงน้าอมร หลวงตาสมชาย หลวงน้าสัมฤทธิ์ แล้วแต่ละท่านนี่ขวานผ่าซากทั้งนั้น พอนิสัยขวานผ่าซากแล้วคนอื่นเขากลัวโดนผ่าเลยไม่เข้าใกล้ อาจจะเป็นเพราะว่าอาตมาเป็นคนประเภทขวานผ่าซากเหมือนกัน เลยคุยกันรู้เรื่อง จนพี่ ๆ บางท่านเขายังสงสัย ว่าอาตมาไปตั้งนานแล้วทำไมไม่โดนสักที..!
หลวงน้าสัมฤทธิ์สึกไปครั้งหนึ่งแล้วไปบวชใหม่ เคยไปวัดท่าขนุน ๒ ครั้ง ไปเยี่ยม..แต่ว่าท่านก็แก่เต็มทีแล้ว ตอนไปครั้งสุดท้ายก็เกือบ ๘๐ แล้ว นี่ไม่ได้ข่าวไม่ได้คราวว่าเป็นอย่างไรบ้าง ลูกชายท่านบวชพรรษาเดียวกันแต่คนละรุ่น เพราะของอาตมาบวชนอกพรรษา บวชก่อนเข้าพรรษานานมาก แต่ว่าถือว่าปีเดียวกัน หลวงพ่อท่านจัดบวชหมู่ให้ แล้วคนอื่นก็ไปบวชตอนเข้าพรรษาอีกที"
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาเชื่อกันว่า คนเรากินยาลงไปแล้วไปทำลายจุลินทรีย์ในกระเพาะอาหารไปมาก ก็เลยเอาน้ำหมักจากพลูคาวมาถวาย อาตมารับไปไม่ถึงร้อยขวดก็ใกล้เคียง ก็ฉันให้เขาดู ถึงเวลาก็ยกกรอกอั้ก ๆ ลงไป ฉันเพื่อที่เขาจะได้ว่าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ว่า “เพราะไม่ฉันยาของผมก็เลยไม่หาย” ฉันให้รู้ว่าของเอ็งฉันลงไปก็เท่านั้นแหละ บางอย่างแรงกรรมก็มากกว่า แต่โยมก็มักจะคิดว่าตัวเองเก่งเกินกรรม พยายามจะช่วย เอาไม้จิ้มฟันไปงัดภูเขาชัด ๆ
ไปนึกถึงที่พญาวสวัตตีมาราธิราชด่าธิดาพญามาร ที่ดื้อไปรบกับพระพุทธเจ้าว่า “เหมือนอย่างกับขุดภูเขาด้วยเล็บมือ คงจะมีวันสำเร็จหรอก” ดุลูกสาวตัวเอง นางตัณหา นางราคา นางอรดี บอกว่า “พ่อแพ้พระพุทธเจ้ามา เดี๋ยวลูกไปจัดการให้ ไม่มีผู้ชายคนไหนในโลกรอดมือลูกไปได้” พ่อห้ามแล้วห้ามอีกว่าอย่าเลย “มหาสมณะนั้นไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่เธอคิด” ลูกสาวก็ไม่เชื่อ พอแพ้พระพุทธเจ้ายับเยินกลับมา พญาวสวัตตีมาราธิราชเลยดุเอาว่าเตือนแล้วไม่ฟัง จะไปสู้กับพระมหาสมณะองค์นั้นก็เหมือนไปขุดภูเขาด้วยเล็บมือ จะถอนตอไม้ใหญ่ด้วยการเอาอกไปกระแทก..คงจะหลุดหรอก
แต่ต้องบอกว่า ๓ ท่านนั้นสุดยอดเลยนะ ชายบางคนชอบหญิงวัยรุ่น ชายบางคนชอบหญิงสาว บางคนชอบหญิงโตเต็มสาว ชอบหญิงวัยกลางคน ชอบหญิงวัยแก่ เขาแปลงได้ทุกแบบ แต่ไม่สำเร็จสักแบบ จนพระพุทธเจ้าเหนื่อยแทน พระองค์จึงตรัสว่า พอเถอะ..ไม่มีประโยชน์หรอก"
พระอาจารย์กล่าวว่าที่วัดมีพระใหม่ท่านหนึ่งบอกว่า “อาจารย์ครับ ผมบวชได้ ๓ พรรษาแล้ว ขออนุญาตลาสึกครับ” อาตมาสะดุ้งเฮือก บอกว่า อะไรวะ ? เพิ่งเห็นบวชได้ไม่นาน ๓ พรรษาแล้ว” เขาบอก “ได้ ๙ เดือนแล้วครับ” อาตมาถอนหายใจเฮือกเลย เป็นการเข้าใจผิดเอง เขาไปเข้าใจว่า ๑ พรรษาคือ ๓ เดือน เขาไม่ได้เข้าใจว่าพรรษาของพระหมายถึง ๑ ปี แต่ต้องผ่านช่วงเข้าพรรษา ๓ เดือนนั้นด้วย อาตมาก็ว่าบวชพักเดียวท่านบอกว่าได้ ๓ พรรษาแล้ว มีอะไรเข้าใจผิดกันเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องของศัพท์แสงทางพระ
ถาม : อย่างการจะเรียกทิดจริง ๆ ก็ต้องบวชให้ได้พรรษาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ต้องบวชได้พรรษา แต่สมัยนี้เขาถือว่าสึกมาก็เป็นทิดหมดแหละ เพราะคำว่าทิดก็มาจากคำว่าบัณฑิต แต่สมัยก่อนคนเขาออกเสียง ฑ เป็น ท ก็เลยกลายเป็น “บัณทิด” แล้วก็ตัดเลยแค่ทิดคำเดียว อุบาสกเมื่อย่อลงเหลือ ประสก อุบาสิกาย่อลงเหลือ สีกา ที่เราสงสัยว่าคำว่าประสกกับสีกามาจากไหน
พระใหม่กับพระเก่าเราจะเห็นต่างกัน ความเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับเพศภาวะของตนยังไม่มี ก็ต้องค่อย ๆ ขัดเกลาไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็ไม่เคยชิน พระใหม่เยอะต่อเยอะด้วยกัน เจอญาติโยมอาวุโสกว่าก็ยกมือไหว้ เล่นเอาโยมสะดุ้งเฮือก”
พระอาจารย์กล่าวให้โอวาทพระที่บวชใหม่ว่า “เป็นพระเรา อยู่ต่อหน้าโยมให้สงบเหมือนอยู่ตัวคนเดียว อยู่ตัวคนเดียวให้ระมัดระวังเหมือนอยู่ต่อหน้าโยม พอเคยชินเข้าแล้วจะสบาย ๆ ไปเอง”
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีสีผึ้งหลวงปู่ครูบาอ่อนอยู่ครึ่งตลับ เพราะว่าตอนนั้นหลวงปู่ครูบาอ่อนท่านชวนไปปิดทองหลวงปู่ครูบาครอง ผู้เฒ่าท่านยกย่องกันเอง หัวเราะกันซะไม่มี ไปถึงก็กราบงาม ๓ ทีขออนุญาตเปิดสบง หลวงปู่ครูบาครองก็ถามว่าทำไม ? หลวงปู่ครูบาอ่อนท่านบอกว่า “พระผู้เฒ่าทรงความดีพอที่จะปิดทองบูชาได้แล้ว” แล้วท่านก็ส่งขี้ผึ้งให้อาตมาตลับหนึ่ง ช่วยกันถูช่วยกันทาเป็นการใหญ่ แล้วท่านก็ปิดทองตั้งแต่หัวเข่าไปยันหน้าแข้งเลย
เสียดายหลวงปู่ครูบาครองท่านอายุมากขนาดนั้น จึงไม่กล้านิมนต์ท่านไปงานที่วัด ครั้งล่าสุดปีก่อนที่ส่งฎีกาไปก็บอกหลวงพี่เอกแล้วว่า ถ้าหลวงปู่ไม่สะดวกด้วยธาตุขันธ์ไม่จำเป็นต้องมา นึกแล้วก็ขำ ๆ หลวงปู่ท่านเป็นผู้เฒ่าที่น่ารักมาก ถึงเวลาไปกราบลาท่านทีไร กราบ ๆ พอทำท่าจะขยับลุกท่านก็กอดหมับ คนเห็นก็เฮกัน แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยจะทัน
จริง ๆ ถ้าอยู่ใกล้จะไปอยู่อุปัฏฐากดูแลท่านเลย เพราะว่าเคยชินกับการดูแลพระผู้ใหญ่มา ตั้งแต่หลวงปู่องค์นั้นองค์นี้จนถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่ามะขาม จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็เจ้าคณะจังหวัดรูปใหม่ก็เหมือนกัน เลขาท่านส่วนใหญ่ปล่อยให้ท่านเดินจากรถไปจนถึงที่ แล้วท่านเป็นอัมพฤกษ์ไปซีกหนึ่ง ท่านคิดอยู่อย่างเดียวว่าพระผู้ใหญ่จะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เดี๋ยวถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่าทำงานไม่ได้แล้วจะปลดออกจากตำแหน่ง โอ๊ย..ใครจะไปหวงตำแหน่ง เจ็บไข้ได้ป่วยปานนั้น ถ้าคนนั้นรับไปได้เร็วเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น ฉะนั้น..ของอาตมาเห็นเมื่อไรก็วิ่งเข้าไปประคองท่านก่อน"
"อีกองค์ที่น่ารักมากเลยคือหลวงปู่ครูบาอุ่น วัดโรงวัว พระผู้เฒ่ามีไฟนี่หายากจริง ๆ ๘๐ กว่าแล้วอะไรจะคึกคักปานนั้น นั่งรับแขกได้ทั้งวัน มีหน้ามาแซวอาตมาอีกว่าหนุ่มกว่ายังสู้ท่านไม่ได้ โห..ผมไม่ได้ทำบุญมาดีอย่างหลวงปู่นี่ครับ แล้วท่านนั่งตอบคำถามคน คำถามเดียวตอบทั้งวันไม่เบื่อ เขามาถาม “หลวงพ่อมาจากไหนครับ ? ครูบามาจากไหนคะ ?” ท่านก็ “โอ้..ชื่อครูบาอุ่น วัดโรงวัว สันกำแพงโน้น” ตอบได้ทั้งวันไม่มีรำคาญใคร
สายหลวงพ่อฤๅษีฯ กับสายเหนือผูกพันกันมานับชาติไม่ถ้วน จนทิ้งกันไม่ขาดหรอก ถึงเวลาเห็นก็รู้สึกคุ้นเคยแล้ว ไม่ใช่แค่ยุคใกล้ ๆ ไล่มาโน่นเลย ตั้งแต่ยุคตาลีฟู น่านเจ้า หนองแส ลงมายันเชียงแสน ไกลลิบโลก คนรุ่นใหม่เอาศัพท์พวกนี้แล้วก็ไปหาในกูเกิลนะ จะได้รู้ว่าประวัติของสถานที่เกี่ยวข้องกับคนไทยอย่างไร ส่วนใหญ่เด็กรุ่นหลังเขาไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์แล้ว..ใช่ไหม ? ไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์ก็ด้วนไปเฉย ๆ ไม่รู้หรอกว่าคนไทยเป็นอย่างไร วิชาศีลธรรมก็ไม่มีแล้ว"
ถาม : พระอาจารย์เคยเรียนถึงเมืองลุงไหมครับ ?
ตอบ : เมืองลุง เมืองปา นั่นก็เคยเรียนอยู่ สมัยนี้เขาไม่ให้เรียนกันแล้ว ของพวกเรานี่ไม่ต้องมากหรอก ถ้าพูดถึงเมืองด้ง เราก็จะสงสัยว่าอยู่ที่ไหนวะ ? ตายละวา..เมืองด้งอยู่ที่ไหนไม่รู้จัก เมืองลุง เมืองปานี่ใกล้ ๆ กับรุ่นของหนองแส ตาลีฟู
คนแถวนั้นเขาจะนิยมเอาคำสุดท้ายของชื่อพ่อมาต้องเป็นชื่อลูก อย่างพีล่อโก๊ะ ก็จะมาเป็นโก๊ะล่อฝง จะไล่มาเป็นช่วง ๆ จะรู้ว่าเป็นลูกใครสืบกันมา เหมือนอย่างกับทางด้านมาเลเซีย ชื่อจะบอกเลยว่าเป็นลูกใคร อย่างเช่น นาจิบ บิน ฮัสซัน นายนาจิบลูกนายฮัสซัน บอกชัด ๆ เลย ฮัสซันคือที่ฝรั่งออกเสียงว่าฮุสเซน แล้วมามีชื่อ อับดุล บิน เน็งบัว เขาก็สงสัยว่าทำไมชื่อแปลก เขาก็บอกว่าชื่ออดุลย์ ลูกนายเหน่งกับนางบัว คราวนี้พอไปอยู่ที่มาเลเซีย เสียงเพี้ยนเป็นอย่างนั้น เขาเป็นตระกูลไทยเก่าที่อยู่มาเลเซีย
เวลาข้ามไปแถว ๔ รัฐ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิส คนไทยเยอะแยะไปหมด แล้วสุลต่านของทั้ง ๔ รัฐนี้โดนตัดสิทธิ์ไม่ให้พระราชาธิบดี รัฐอื่น ๆ เขาเลือกกันได้แต่ ๔ รัฐนี้ไม่เลือก เพราะเขากลัวว่าจะติดสายเลือดคนไทยไป อย่างหลวงพ่อซัง วัดวัวหลุง กับหลวงพ่อทวดที่โน่นเขานับถือกันมาก เพราะว่าพื้นเดิมของท่านไปสงเคราะห์คนแถวนั้นเป็นปกติ
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของวิทยายุทธ์โบราณนี้รุ่นหลัง ๆ รู้สึกว่ายังไม่มีใครกินบรูซ ลีลง อย่างของหลี่เหลียนเจี๋ยแม้ว่าจะฝึกชนิดที่เรียกว่าเป็นที่ยอมรับกัน จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุโบราณที่มีชีวิตของประเทศจีน แต่ว่าไม่ได้เท่าบรูซ ลี เพราะว่าหลี่เหลียนเจี๋ยเขาฝึกหลายอย่างจนเกินไป ในเมื่อหลากหลายจนเกินไป ความชำนาญเฉพาะอย่างก็เลยไม่มี
ของบรูซ ลีนี่เขาถึงขนาดเอาพวกหนังเก่า ๆ ของเขามาแล้วก็จับเวลาการออกหมัดออกเท้าของเขา แล้วสรุปได้ว่าเร็วที่สุดในโลก ๒ วินาทีออกได้ ๕ หมัด ใครทำได้ขนาดนั้นบ้าง ? มือปืนที่ยิงได้เร็วที่สุดก็คือบิล จอร์แดน กับ เจฟ คูเปอร์ ๒ คนนี่ก็ยังเถียงกันอยู่ว่าใครเก่งกว่า เพราะคนหนึ่งก็ถนัดลูกโม่ อีกคนหนึ่งถนัดเซมิ-ออโต้ คือ ปืนแมกกาซีน นั่นเร็วที่สุด ๓ วินาทีได้ ๕ นัด นั่นขนาดใช้กลไกเข้าช่วย แต่คราวนี้บรูซ ลีเขาใช้ความสามารถของตัวเอง ๒ วินาทีออกได้ ๕ หมัด เร็วกว่าอีก
ถาม : ไม่ชัด
ตอบ : เขาฝึกจนเป็นสภาพเดียวกับใจแล้ว บรูซ ลีเขาสอนลูกศิษย์ เขาชี้ดวงจันทร์ ลูกศิษย์ก็ชี้ เขาก็ถามว่า “คุณเห็นดวงจันทร์หรือเห็นนิ้ว ?” ลูกศิษย์บอกว่าเห็นนิ้ว เขาบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องเห็นนิ้วพร้อมกับดวงจันทร์ ลูกศิษย์ก็ถามว่าหลักการของอาจารย์คืออะไร ? คือ ออกอาวุธไวจนไร้เงา ถ้ายังมีเงาก็ยังมีช่องทางให้คนเขาป้องกันได้
ถาม : ก็ไม่น่าจะเร็วจนตาไม่เห็นนี่คะ ?
ตอบ : จริง ๆ ช้ากว่า แต่ว่าสายตาของคนพอเห็นแล้วต้องสั่งสมอง คราวนี้ของเขาเร็วกว่าการสั่งงานของสมอง คู่ต่อสู้จึงหลบไม่ทัน แล้วอีกอย่างหนึ่งพอความเร็วไปถึงระดับหนึ่ง สายตาคนจะปรับไม่ทัน จะเห็นเบลอ ๆ เท่านั้น
สรุปแล้วว่าท้ายสุดการฝึกทุกอย่างลงตรงจิต พอสภาพจิตนิ่ง ความที่จิตเร็วที่สุดจะเห็นทุกอย่างช้าไปหมด ถ้าถามว่าจิตเร็วขนาดไหน ต้องดูตอนเกิดอุบัติเหตุ พอเกิดอุบัติเหตุสภาพจิตของเราที่เขม็งตัวขึ้นมา จะรวมสิ่งที่สั่งสมมาทั้งหมด กลายเป็นคุณสมบัติเต็มที่ของตนแล้วแสดงออก เราจะเห็นภาพนั้นช้าทุกอย่าง
ฉะนั้น..เวลาเกิดอุบัติเหตุเราจะเห็นว่าทำไมถึงช้า แต่จริง ๆ ไม่กี่วินาทีเองก็ชนเข้าไปแล้ว แต่จริงสภาวะจิตเร็วกว่า ทุกอย่างก็เลยเห็นเหมือนกับช้า ถ้าหากว่ามือเท้าตอบสนองได้ทันก็สามารถป้องกันได้
ถาม : การปฏิบัติให้ผลดี สังเกตจากเวลาหกล้ม ระยะหลังเรารู้สึกว่าไม่กระแทกคือยั้งไว้ทันเหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่รู้ว่ายั้งไว้อย่างไร คราวล่าสุดถึงกับลื่นหงายหลังหัวลงพื้น แต่ไม่เป็นไร และรู้ด้วยว่าบังคับมือเท้า บังคับตัวอย่างไร... ข้อแตกต่างคืออะไรคะ?"
ตอบ : สมาธิเริ่มดีขึ้น การรับรู้เริ่มชัดขึ้น ขั้นตอนต่าง ๆ เริ่มช้าก็ทำให้เราเห็นรายละเอียดที่มากขึ้น ถ้าจะเอาละเอียดจริง ๆ ก็อย่างที่เคยอธิบายแล้ว ว่าจะตื่น ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าจะตื่นแล้วหรือยัง ? ถ้าพร้อมที่จะตื่นก็กระจายความรู้สึกไป จนกระทั่งตลอดปลายมือปลายเท้า ประสาทสมบูรณ์พร้อมก็สั่งตัวเองว่าลืมตา ขยับลุก นั่ง ยืน ไปห้องน้ำ เป็นขั้น ๆ เหมือนกับบัญชาการหุ่นยนต์ตามโปรแกรม แต่คนอื่นจะเห็นเราลืมตาแล้วลุกเลย แต่ความจริงแล้วช้ามาก ค่อย ๆ ทำไปเดี๋ยวก็สั่งได้ทั้งหมด
ถาม : ถามถึงเรื่องอกรณียกิจ ? (ไม่ชัด)
ตอบ : ตัวเดียวกัน แต่ว่าเขาเน้นในการห้ามฆ่ามนุษย์ คือถ้าหากว่าทำร้ายเขาไม่ถึงตายโดนอาบัติถุลลัจจัย หากว่าตายโดนอาบัติปาราชิก หากว่าฆ่าสัตว์อื่นมีห้ามอยู่ในสัปปาณวรรคอยู่แล้ว เป็นอาบัติปาจิตตีย์ไป อกรณียกิจนี่เขาเน้นการห้ามฆ่ามนุษย์โดยตรง
พระอาจารย์กล่าวว่า “ที่พระสถูปโพธานารถ กรุงกาฐมาณฑุ มีคนทิเบตไปปฏิบัติธรรมกันมาก เพราะความเชื่อทางทิเบตเขาว่า หุบเขากาฐมาณฑุเกิดจากพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ฟันวงรอบเขาเปิดช่องให้น้ำไหลออก เพราะก่อนหน้านี้เป็นบึงน้ำใหญ่ พอน้ำไหลจนแห้งก็เป็นหุบเขากาฐมาณฑุ ถึงเวลาก็สร้างเจดีย์บูชาพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พวกนี้เขานับถือพระโพธิสัตว์เป็นปกติอยู่แล้ว ทางสายวัชรยานจึงมากันเนืองแน่นไปหมด โดยเฉพาะตอนที่อพยพหนีจากจีนลงมา อยู่กันจนกลายเป็นทิเบตน้อยไปเลย
แต่หมาทิเบตที่นั่นน่าสงสารมาก กะรุ่งกะริ่งเป็นหมาขี้เรื้อน เพราะว่าเพิ่งพ้นหน้าหนาวมา หมาเพิ่งพลัดขนหนาวออก ก็หลุดบ้างไม่หลุดบ้างดูไม่ได้เลย ถ้าเป็นที่วัดท่าขนุน อาตมาจะไปช่วยตะกุยออกให้ ก็สวยทีเดียวเลย อันนี้ของเขาต้องรอให้หลุดเองจนหมด อยู่ที่วัดท่าขนุนถึงเวลาไปตะกุยออกมาเป็นหอบ ๆ สมัยเจ้าฟ้าตอนแรกไม่รู้หรอก อยู่ ๆ ทำไมขนหลุดเป็นม้วน ๆ ออกมา พอลองไปลูบดูม้วนมาได้เป็นก้อนเลย
คุณกฤษณ์ (มัคคุเทศก์) เขาบอกว่า กรุงกาฐมาณฑุเป็นลักษณะเหมือนมีดเล่มใหญ่ ทางด้านลลิตปุระหรือเมืองปาทานลักษณะเป็นมันดาลาคือทรงกลม แล้วภักตรปุระลักษณะเป็นทรงกรวย แสดงว่าเรื่องภูมิสถาปัตย์นี่ทางโบราณเขากำหนดไว้ชัดเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ที่เนปาลน้ำหายาก คนที่อยากทำบุญจะซื้อน้ำไปเทใส่รางน้ำสาธารณะให้คนเขาไปกินกัน นี่ถ้าบ้านเราน้ำหายากก็คงทำบุญด้วยน้ำเหมือนกัน เพราะว่าบ่อน้ำเขาลึก ๘ เมตร ๑๐ เมตร มีน้ำอยู่ประมาณคืบหนึ่ง ต้องโยนถังลงไป แล้วตะแคงถังให้ตักน้ำมาเทใส่หม้อทองเหลือง ก็ได้หน่อยเดียว แล้วค่อยตักใหม่อีก ถังเป็นสิบ ๆ ใบ ตักกันทั้งวันก็ไม่พอใช้หรอก
ลักษณะของธรรมเนียมเก่าที่พูดถึงในพระไตรปิฎก ที่มีนางกุมภทาสีทำหน้าที่ตักน้ำก็คงจะลักษณะอย่างนี้แหละ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนมหาติ๊กมาเล่าให้ฟังว่า ไปอังกฤษแล้วโดนโยมเขาถามเกี่ยวกับศาสนาพุทธว่า “พระพุทธเจ้าเป็นใคร ? สอนอะไร ?” ท่านก็อธิบายไปเรื่อย ท้ายสุดถามว่าทำไมถึงเชื่อพระพุทธเจ้า ก็ตอบไปว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เรามีความสุข พ้นจากความทุกข์ เขาก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่บันดาลให้เรามีความสุข มหาติ๊กบอกตกลงเสียน้ำลายเปล่า
เลยบอกกับท่านไปว่า ถ้าเป็นผมตอกกลับหงายท้องไปแล้ว ถ้าหากว่าพระเจ้าบันดาลให้ทุกคนมีความสุข ทำไมคนทุกข์เยอะแยะไป บ้านคุณพวก Homeless ก็เยอะแยะ ในแอฟริกาอดตายไปทั้งเท่าไร ถ้าพระเจ้าของคุณยุติธรรมและรักทุกคนเท่ากันจริง ๆ ทำไมทุกคนไม่รวยเสมอกัน แต่พระพุทธเจ้าของผมสอนว่าทุกอย่างเกิดจากกรรม ใครทำมาเท่าไรก็ได้เท่านั้น คนทำน้อยก็ได้แค่ที่เห็น ไม่ยุติธรรมกว่าหรือ ? ถ้าพระเจ้าของคุณบันดาลได้แค่นั้น ก็แปลว่าพระเจ้าของคุณไม่ยุติธรรมและรักชาวบ้านไม่จริง
จริง ๆ แล้วเรื่องแบบนี้ไม่ควรเสียเวลาไปเถียงกัน เอาชนะกันทางคารมไม่ได้อะไร นอกจากทำให้คนแพ้ถึงเวลาก็หาทางดิ้นรนเอาชนะ เกิดทิฐิมานะขึ้นมาเดือดร้อนไปเปล่า ๆ บางทีอาตมาก็ต้องถามเขากลับไปตรง ๆ ตั้งแต่สมัยฆราวาสแล้ว พวกเอลเดอร์ต่าง ๆ ต้องบอกว่าเขาเป็นสุดยอดเลยนะ พูดภาษาไทยก็ได้ ร้องเพลงไทยก็ได้ ถามเขาว่าฝึกมานานแค่ไหน ? เขาบอกฝึก ๓ เดือน แล้วก็มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ อาตมาเป็นคนชอบคุยก็ถามเขาไปเรื่อย เขาเห็นว่าคงจะขายคัมภีร์ไบเบิลได้แน่ก็ยิ่งคุยเข้าไปใหญ่
ท้ายสุดก็เขาว่าคุณเคยเห็นพระเจ้าของคุณไหม ? เขาบอกว่าไม่เคยเห็น อาตมาบอกว่า “ขอโทษเถอะ..ในเมื่อคุณไม่เคยเห็นแล้วคุณเชื่อได้อย่างไร ?” เขาบอกว่าความศรัทธาในพระเจ้าต้องเป็นไปโดยไม่มีข้อแม้ อาตมาบอกว่าถ้าอย่างนั้นถือเป็นความโง่ ศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบ ไม่ใช่เชื่อตามอย่างเดียว ศาสนาของผมสอนว่าอย่าเชื่อ แม้แต่ท่านผู้นี้เป็นครูของเรา
เขาถามว่า “แล้วท่านเห็นพระพุทธเจ้าไหม ?” บอกว่าเห็นอยู่ในบ้านองค์เบ้อเริ่มเลย เขาว่า "ไม่ใช่..ตัวจริงเคยเห็นไหม ?" อาตมาบอกว่า "ไม่เคยเห็น..แต่มั่นใจว่ามี" เขาบอกว่า "ไม่เคยเห็นแล้วมั่นใจได้อย่างไรว่ามี ?" ตอบไปว่า "คุณเคยเห็นปู่ทวดคุณไหม ?" เขาก็ตอบว่า "ไม่เคยเห็น" ... "แล้วย่าทวด ?" ..."ก็ไม่เคย" ...
"แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่ามี ? คุณมั่นใจว่ามีเพราะคุณมีปู่ คุณมีพ่อใช่ไหม ? ของผมก็เหมือนกัน ในเมื่อครูบาอาจารย์ของผมเป็นพระสงฆ์มีอยู่ พ่อของพระสงฆ์ก็ต้องมี พ่อของพ่อก็ต้องมี พระพุทธเจ้าที่เป็นพ่อใหญ่ก็ต้องมี" นั่งเถียงกับพวกนี้สนุกดี สมัยนี้ขี้เกียจเถียงแล้ว สรุปแล้วในสายตาของเขา อาตมาเป็นพวกซาตานที่โปรดไม่ได้”
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่เตรียมรูปหลวงปู่หลวงพ่อมาถวายว่า “โยมจ๋า..อย่างน้อย ๆ เอารูปหลวงปู่หลวงพ่อวางบนกล่องก็ยังดีจ้ะ วางบนพื้นต่ำไปหน่อย อาตมาถอนหายใจเฮือกมาหลายทีแล้ว ญาติโยมบางท่านก็สภาพจิตไม่ละเอียดพอ ทำอะไรบางอย่างเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว แบบเดียวกับการถวายสังฆทานที่นี่ วางองค์พระลงก็ยื่นสตางค์ข้ามหัวพระมาใส่ขัน อาตมายกขันตะแบงข้างให้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมต้องไปใส่ข้าง ๆ ด้วย เอื้อมข้ามพระมาเลยก็ได้..!
หลวงปู่หลวงพ่อของเรา พระพุทธเจ้าของเรา ถ้าเราไม่เคารพยกย่อง ก็ไม่มีใครเขาเคารพยกย่องแทนเรา ฉะนั้น..ถึงเวลาก็ระมัดระวังนิดหนึ่ง อะไรที่ทำแล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรง เป็นการยกย่องให้เกียรติท่านได้ก็ช่วยทำหน่อยเถอะ”
ถาม : (มีโยมมาอธิษฐานหลังจากถวายสังฆทาน) “ขอให้ผมได้ไปพระนิพพานชาตินี้ครับ”
ตอบ : เอ้า..พยายามเข้าหน่อย จะเอาใจช่วย ถ้ากล้าคิด กล้าพูด กล้าทำจริง ๆ สำเร็จแน่ เอาให้ได้ก็แล้วกัน
พระอาจารย์กล่าวเมื่อเห็นเด็กร้องไห้เพราะถูกถังสังฆทานทับมือ แต่ไม่ได้เอามือออก ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้นว่า “นี่แหละที่พระพุทธเจ้าท่านสอนอริยสัจถึงขึ้นต้นด้วยทุกข์ เพราะว่าพอคนเราเกิดทุกข์ขึ้นมา จะไม่ดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่จะรู้ว่าทันทีว่านี่คือความทุกข์ ฉะนั้น..เด็กโดนถังสังฆทานทับมือจึงร้องก่อน บางคนก็ร้องว่าเจ็บ ๆ แต่ไม่รู้หรอกว่าเจ็บเพราะอะไร พอถึงเวลาเจ็บจนกระทั่งหาทางออกไม่เจอ ก็เริ่มฉลาดขึ้นมาหน่อย จะเริ่มหาสาเหตุว่าทุกข์มาจากไหน จึงกลายเป็นสมุทัย เสร็จแล้วพอรู้สาเหตุ เพราะว่าไอ้ความใจร้อนก็เลยทำให้อยากจะให้ทุกอย่างจบลง จึงกลายเป็นนิโรธ ความดับเกิดขึ้น เสร็จแล้วในเมื่ออยากจะให้ทุกอย่างดับลง ก็จำเป็นที่จะต้องหาทางดับให้ได้ นั่นก็คือมรรค ฉะนั้น..พระพุทธเจ้าท่านจัดอริยสัจ ๔ จัดตามสภาพจิตของบุคคล ไม่ได้จัดตามหัวข้อธรรม"
พระอาจารย์กล่าวเมื่อมีโยมกำลังยกสังฆทานมาถวาย แต่ซุ้มเรือนแก้วพระพุทธรูปเกิดหักว่า "ไม่เป็นไรจ้ะ ถือว่าพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมให้เห็น ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่มีอะไรต้องหนักใจ เพราะอย่างไรก็ต้องพังแน่ ๆ ใช้งานมาหลายปีแล้ว คนทั้งประเทศท่านไม่แสดงธรรมะให้เห็น มาแสดงให้เราเห็น แสดงว่าเราต้องทำบุญไว้เยอะ"
พระอาจารย์กล่าวว่า “คาดว่าการห่มจีวรแบบมังกร คงจะมาจากพระใหม่ที่ห่มแล้วหลุดห่มแล้วหลุดนี่แหละ เขาก็เลยตัดสินใจให้หลุดอยู่อย่างนั้นเลย แต่ว่าเวลาห่มแล้วจะบิณฑบาตยาก จีวรจะรัดบาตรติดอยู่กับตัว แล้วถ้าเป็นพระใหม่ ผ้าใหม่ยังแข็งอยู่ ยังไม่แนบตัว ถึงเวลาดึงเวลาดึงจีวรขึ้นมาเพื่อจะเปิดบาตร ก็อาจจะถลกสบงตามมาด้วย
อย่างปัจจุบันจะมีมหานิกายที่ห่มแบบพันแขนที่เขาเรียกห่มมังกร เขาเรียกแบบมักง่าย เพราะสมัยก่อนนักเลงเขาสักมังกรพันแขน ในเมื่อพระเอาจีวรพันแขนเขาเลยเรียกห่มมังกร ส่วนห่มแบบทั่ว ๆ ไปเขาเรียกห่มแหวก เป็นแบบของพระธรรมยุติ คือพระมอญเขาห่มแบบนั้น ธรรมยุติเขาสืบสายมาจากหลวงพ่อซายของทางด้านมอญเขา เลยห่มตามแบบพระมอญ
ส่วนห่มดองพาดสังฆาฏิรัดอก เกิดจากหลวงพ่อเจ้าคุณภัทรมุนี ท่านเป็นอาจารย์สอนบาลี แล้วท่านเป็นคนเคร่งครัดมาก คือถึงเวลาต้องสวดมนต์ทำวัตร การสวดมนต์ทำวัตรของพระก็ต้องพาดสังฆาฏิด้วย คราวนี้พอท่านห่มเฉวียงบ่าเพื่อที่จะสอนบาลี เดี๋ยว ๆ ก็เลื่อนหลุด ต้องดึงมาเหน็บอยู่เรื่อย ดึงมาแล้วเอาแขนหนีบอยู่เรื่อยท่านก็รำคาญ ท่านก็เลยห่มดองพาดสังฆาฏิเอาผ้ารัดอก ดูทะมัดทะแมง ปรากฏว่าคนอื่นเห็นเข้าว่า เออ..เข้าท่าดี จึงเลียนแบบตามกันใหญ่ ก็เลยกลายเป็นว่ามีการห่มดองพาดสังฆาฏิรัดอกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปพม่าครั้งแรก ห่มดองพาดสังฆาฏิไปไหว้พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระพม่าเรียกอาตมาว่าภิกษุณี เพราะว่าในพระวินัย ภิกษุณีถ้าหากว่าต้องออกข้างนอกต้องมีผ้ารัดอก เนื่องจากว่าสมัยนั้นยกทรงชั้นในอะไรก็ไม่มี แล้วถ้าห่มจีวรผืนเดียวก็ค่อนข้างจะอนาจาร พระพุทธเจ้าท่านจึงบังคับว่า ต้องมีผ้ารัดอกถึงจะออกจากที่พักได้ พระพม่าเขาก็ช่วยกันวิเคราะห์ใหญ่ ว่าพระที่สืบสายพระพุทธศาสนาไปทางประเทศไทยน่าจะเป็นภิกษุณี ถึงได้สอนห่มแบบนี้ ปล่อยให้ท่านวิเคราะห์กันต่อไป
ถ้าถามว่าเจ้าคุณภัทรมุนีมีความสำคัญอย่างไร ต้องบอกว่าท่านมีศิษย์เป็นสามเณรที่สอบประโยค ๙ ได้เป็นรูปแรกของการสอบข้อเขียน ก็คือสามเณรเสฐียรพงษ์ วรรณปก ถ้าหากว่าสามเณรรุ่นแรกที่สอบปากเปล่าได้นั้นคือสามเณรสา ปุสฺสเทโว ซึ่งตอนหลังเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยรัชกาลที่ ๔
สามเณรสาพอเป็นพระ ก็ทำหนังสือทูลลาสิกขาบท อยากไปใช้ชีวิตฆราวาส เพราะเห็นว่าเพื่อนฝูงพอสึกหาลาเพศไป ก็เข้ารับราชการเป็นใหญ่เป็นโต เป็นคุณหลวงคุณพระ เป็นเจ้าคุณกันหมด ปรากฏว่ารัชกาลที่ ๔ ท่านเสียดายความรู้ พอสึกก็เลยสั่งเจ้าหน้าที่จับเข้าคุกไปเลย เอาพานใส่ผ้าไตรวางไว้หน้าประตู ถ้าอยากจะออกมาก็ต้องบวช อาจจะเป็นเพราะบุญของท่าน ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจอยู่ข้างนอกคุกดีกว่าในคุก บวชเป็นพระถึงจะอึดอัดใจหน่อย ก็ยังอิสระกว่าอยู่ในคุกตั้งเยอะ ก็เลยออกมาบวชใหม่
คราวนี้ช่วงที่ท่านเป็นสามเณรสอบประโยค ๙ ได้ กับช่วงที่เป็นพระจนกระทั่งสึกห่างกันหลายปี ท่านก็ไม่มั่นใจความรู้ของท่านว่า ยังมีความคล่องตัวในบาลีเหมือนเดิมหรือเปล่า ท่านจึงขอเข้าสอบใหม่อีกรอบ แล้วก็สามารถแปลจบ ๙ ประโยคได้ภายในวันเดียวเหมือนเดิม คนเขาก็เลยเรียกกันว่า "มหาสา ๑๘ ประโยค" มีอยู่คนเดียวในโลก คนเก่งจริงสอบเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น"
ถาม : เป็นเพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านชำนาญโหราศาสตร์อยู่แล้วหรือเปล่าคะ ท่านถึงได้ทราบว่าจะเป็นถึงสมเด็จพระสังฆราช ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วท่านต้องรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ก็อย่างว่า บอกตรง ๆ เขาคงไม่ค่อยเชื่อ ต้องใช้อำนาจบังคับเอา หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศสมัย ดิศกุล ตั้งข้อสังเกตกับเสด็จพ่อ ก็คือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ บอกว่า ในใบเกิดที่เสด็จปู่ตั้งพระนามให้ ไม่ได้บอกให้รวย ชาตินี้พ่อไม่มีทางรวยหรอก ก็จริง ๆ ด้วย สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ รับราชการตลอดชีวิตนี่ นอกจากบ้านหลังหนึ่งกับที่ดินที่ให้ลูกหลานแล้วไม่มีอะไรเลย คนอื่นถ้าเป็นใหญ่เป็นโตกันขนาดนั้น ป่านนี้ร่ำรวยไปถึงไหนแล้ว
ลักษณะเดียวกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก เป็นพระยาพานทองตั้งแต่อายุ ๒๕ ปรากฏว่าในหลวงรัชกาลที่ ๖ จะพระราชทานอะไรให้ท่านไม่เอาทั้งนั้น รุ่นไล่ ๆ กับมีเจ้าคุณรามราฆพกับเจ้าคุณอนิรุทธเทวา ๒ ท่าน นันเป็นเจ้าของบ้านพิษณุโลก เจ้าของบ้านนรสีห์ นั่นของพระราชทานทั้งนั้น แล้วบ้านพิษณุโลกเดี๋ยวนี้ก็เป็นทำเนียบรัฐบาล
ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านรับใช้ใกล้ชิดอยู่ข้างใน ท่านสงสารในหลวง เพราะท่านมีหน้าที่ชุนสนับเพลา คือเย็บกางเกงอยู่ทุกบ่อย ท่านบอกว่าในหลวงทำตัวจนขนาดนี้ ไอ้คนก็คิดว่าท่านมีอยู่เรื่อย คิดดู..คนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน นุ่งกางเกงปะแล้วปะอีก แล้วจะไม่ให้คนปะนั่งเซ็งได้อย่างไร ฉะนั้น..ให้อะไรท่านไม่เอาทั้งนั้น ท่านบอกว่าครอบครัวท่านมีมรดกพอ ไม่ต้องอาศัยท่านก็อยู่ได้ ส่วนคนอื่นเขาเห็นเป็นโอกาส พอมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดก็ทูลขอโน้นขอนี่ไปเรื่อย ถ้าไม่เหลือวิสัยพระองค์ท่านก็พระราชทานให้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่คำทำนายของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์สมัยอยุธยาที่ว่า “ราษฎร์ราชาจน” ทั้งชาวบ้านทั้งในหลวงจนด้วยกันทั้งคู่ พอมารัชกาลที่ ๗ ก็ “นั่งทนทุกข์” โดนออกจากราชสมบัติ รัชกาลที่ ๘ ก็ “ยุคทมิฬ” เกิดสงครามโลกขึ้น พระเจ้าอยู่หัวต้องพระแสงปืนสวรรคต รัชกาลที่ ๙ ก็ “ถิ่นกาขาว” คนอื่นเขาเป็นคอมมิวนิสต์กันหมด ประเทศไทยไม่เป็นหรอก ทฤษฎีโดมิโนของฝรั่งเจ๊งไม่เป็นท่าเลย มาเจอเมืองไทย เขาบอกว่าทฤษฎีอะไรที่ดี ๆ มาถึงเมืองไทยแล้วมักจะใช้ไม่ได้ เพราะคนไทยไม่เหมือนใคร อีกาเขาดำกันทั้งบ้านทั้งเมือง มีกาขาวอยู่ตัวเดียว
อย่างไร ๆ ประเทศไทยก็ไม่มีโอกาสล้ม ฉะนั้น..กัดฟันทนหน่อยเพราะรัชกาลที่ ๑๐ จะเป็น “ชาววิไล” แล้ว อาจจะเป็นชาววิไลเพราะ คสช. ก็ได้ ฉะนั้น..อย่าไปประท้วงทหาร เขาจะยกสามนิ้วหรือยกนิ้วกลางก็ช่างเถอะ ทหารเขาบอกให้ยกในบ้าน อย่าไปยกนอกบ้าน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณไม้ เมืองเดิม เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ทั้ง ๆ ที่ญาติตัวเองเป็นพระยา เป็นเจ้าพระยา ไม่ยอมไปพึ่งบุญเขา ประเภทมีสิบนิ้วเท่ากันตัวเองต้องหากินได้ เขียนหนังสือขายไปเรื่อย จนเขาแซวกันว่าเป็นนักประพันธ์ไส้แห้ง เพราะว่าเจ้าพระยารามราฆพกับพระยาอนิรุทธเทวา นามสกุลพึ่งบุญทั้งคู่ พึ่งบุญ ณ อยุธยา คุณไม้ เมืองเดิมเขานามสกุล พึ่งบุญ ณ อยุธยาเหมือนกัน คนสมัยก่อนเขามีศักดิ์ศรี จนแสนจนก็ตามก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง “อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ สงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้อง จับเนื้อ กินเอง” สรุปสั้น ๆ ว่าชาติเสืออย่าไปขอเนื้อใครกิน"
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนไปช่วยงานป้านิภา ไปถึงครั้งแรกยังไม่ได้รู้เลยว่าของเขามีอะไรกันบ้าง คุณป้าก็ยกไมค์ฯ ให้ บอกว่า “ว่าไปได้เลย” อาตมาก็ดำน้ำไปหน้าตาเฉยเหมือนกัน ในเมื่อผู้อื่นให้ความไว้วางใจ ก็จงทำตัวให้สมกับที่เขาไว้วางใจ”
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่มหาอำพันท่านเขียนติดหัวเตียงไว้ว่า “วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ จะพบพานจุดจบสบสุขเอย” ลงนาม แม่เฒ่าปักษ์ใต้ไว้ ไม่รู้ว่าใคร ก็คือท่านลอกของเขามา ท่านก็ใส่ชื่อเขาเอาไว้เป็นการให้เกียรติเจ้าของ"
:4672615:เก็บตกเดือนมิถุนายนปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.