View Full Version : ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๖
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21564&stc=1&d=1402564589
เผลอเมื่อไรจะคิดว่าอยู่ในป่าธรรมชาติ
เมื่อพักผ่อนกันพอสมควรแล้ว คุณแสงก็พาเดินไปทางขวามือ อ้อมหลบก้อนหินที่เกะกะไปหมดออกไปทางซุ้มประตูบานหนึ่งของกำแพง ทะลุออกมายังป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงสล้าง ถ้าไม่ใช่ยังมีก้อนหินอยู่เต็มไปหมด ก็ต้องคิดว่าเป็นป่าธรรมชาติไปแล้ว...
เดินไปตามทางเลือน ๆ ในป่าได้ไม่ไกล ทางขวามือก็มีโรงเรือนที่มุงหลังคาหญ้าแฝก ล้อมด้วยผ้าใบลายทาง มัคคุเทศก์บอกว่าเป็นโรงตัดหิน เมื่อต้องการซ่อมแซมปราสาทแห่งใด ก็จะเอาหินที่กองเกะกะอยู่ทั้งป่านั่นแหละ หาขนาดที่ใกล้เคียงที่สุด มาตัดแต่งแล้วเอาไปซ่อมแซม หรือไม่ก็หาของใหม่มาตัดแต่งให้ได้ขนาด แล้วเอาไปซ่อมในจุดที่ไม่สำคัญ เช่น พื้นทางเดิน เป็นต้น...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21565&stc=1&d=1402601997
ข้ามทางลูกรังไปก็เป็นปราสาทหินขนาดมหึมาอีกหลังหนึ่ง
ด้านหน้าโรงตัดแต่งหินเป็นทางลูกรังสำหรับรถยนต์ พอพ้นป่าออกมา คุณแสงก็พาเดินข้ามทางรถยนต์ ตรงไปยังตัวปราสาทหินขนาดมหึมาอีกหลังหนึ่ง ซึ่งมียอดปรางค์ที่สมบูรณ์อยู่มากมาย บนยอดปรางค์แต่ละแห่งนั้น มีพรหมพักตร์ขนาดมหึมาอยู่ทุกยอด...
“นี่คือปราสาทบายอน (Bayon) เป็นปราสาทหินในพระพุทธศาสนา มีขนาดกว้าง ๑๔๐ เมตร ยาว ๑๖๐ เมตร มีศิลปะการก่อสร้างที่แปลกกว่าทุกแห่ง เพราะด้านบนของยอดปรางค์ แกะสลักเป็นพระพักตร์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ตามความเชื่อในพระพุทธศาสนามหายานที่ว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้จะคอยตรวจตราดูสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อช่วยเหลือให้พ้นจากห้วงทุกข์...
ตัวปราสาทโดยรอบแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น ประกอบด้วยระเบียงคดชั้นนอก ระเบียงคดชั้นใน ช่วงบนสุดเป็นชั้นของปรางค์ประธาน ยอดปรางค์มีทั้งหมด ๕๔ ยอด แต่พังไปเหลือเพียง ๔๙ ยอด จึงมีพระพักตร์เหลือแค่ ๑๙๖ พระพักตร์ ปรางค์หลักองค์กลางมีความสูงถึง ๔๓ เมตร..” มัคคุเทศก์อรรถาธิบาย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21593&stc=1&d=1402829018
ใครว่าเป็นพระพักตร์ของจอมคนแห่งกัมโพชแปลว่าเดาเอาล้วน ๆ
เชื่อกันว่าพระพักตร์บนยอดปรางค์นั้น ความจริงเป็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน เป็นความจริงหรือไม่ ? อาตมาถาม จอมคนแห่งกัมโพชแย้มสรวล ก็ยืนอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ เหตุไฉนท่านจึงไม่เปรียบเทียบเอาเองเล่า ?
อือม์..ก็มีส่วนคล้ายอยู่นะ แต่พระพักตร์ของจอมคนแห่งกัมโพช เป็นรูปไข่มากกว่า ส่วนพระพักตร์บนยอดปรางค์ออกไปแนว คนหน้าเหลี่ยม แต่อาจเป็นเพราะว่าทรงเครื่องศิราภรณ์เข้าไป เครื่องทรงจึงทำให้พระพักตร์ออกไปทางสี่เหลี่ยมก็ไม่รู้ ?
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21616&stc=1&d=1402864155
๔ พักตร์แทนอะไร ? พรหมวิหาร ๔ ? อริยสัจ ๔ ?
“แล้วพระองค์ท่านตั้งพระทัยว่า จะสร้างเป็นพระพักตร์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จริง ๆ หรือ ?” อดีตมหาราชผู้ยิ่งใหญ่สรวล หึ..หึ..อีกแล้ว ได้ยินทีไรเหมือนกำลังจะเสียค่าโง่ทุกที “เอาเป็นว่าใช่ก็แล้วกัน ส่วนใครจะตีความไปถึง มหาทวีปทั้ง ๔ พรหมวิหาร ๔ อริยสัจ ๔ หรือไม่ ก็ต้องแล้วแต่ปัญญาของแต่ละบุคคล..”
นั่นแน่..มีมหาทวีปทั้ง ๔ ด้วย แสดงว่าเล็งจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอยู่เหมือนกันนี่นา คราวนี้ทรงสรวลดังยิ่งกว่าเดิม “ใครเล่าจักไม่หวังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แม้แต่ท่านเองก็เถอะ แต่นั่นเป็นความปรารถนาในครั้งกระโน้นที่คล้ายคลึงกับท่าน ในปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าหาได้มีความต้องการเช่นนั้นไม่..” ตูก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน เป็นขี้ข้าคนทั้งโลก เหนื่อยตายห่..กันพอดี..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21634&stc=1&d=1403208172
"มหาราช" กับ "ทรราช" ต่างกันแค่แนวความคิดเพียงนิดเดียว
พวกเราดูความยิ่งใหญ่อลังการของตัวปราสาท ซึ่งก็คือวัดในพระพุทธศาสนานั่นเอง ด้วยความรู้สึกกึ่งชื่นชมกึ่งพรั่นพรึง พระพักตร์มหึมา บ้างเคร่งขรึม บ้างเมตตา ทอดสายพระเนตรลงมา คงเห็นมวลมนุษย์ประหนึ่งผงธุลี ถ้าไร้ซึ่งพรหมวิหาร ๔ แล้วไซร้ ก็คงไม่ต่างกับมดปลวกที่จะบดขยี้ทิ้งเสียเมื่อไรก็ได้..!
จินตนาการไปถึงการรบทัพจับศึก บัญชาการให้คนเป็นหมื่นเป็นแสนไปตายเพื่อตนเองได้ ลักษณะเช่นนั้นก็เป็นการเห็นชีวิตผู้อื่นไร้ค่าเช่นกัน ไหนจะระดมคนนับหมื่นนับแสน มาสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมหึมาเช่นนี้ ผู้คนต้องลำบากล้มตายไปตั้งเท่าไร สิ้นเปลืองทรัพยากรของชาติไปเท่าไร ถ้าแนวความคิดเบี่ยงเบนเพียงนิดเดียว จาก “มหาราช” ก็จะกลายเป็น “ทรราช” ไปทันที..!
เป็นเพราะเห็นภัยในวัฏสงสารเช่นนี้เอง มหาราชแห่งกัมโพชจึงละวาง “ศาสตราวุธ” หันมาใช้ “ธรรมาวุธ” ในการปกครองแทน ส่งเสริมให้ประชาชนหันเข้าหากองบุญการกุศล ประดุจพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งปาฏลีบุตร ที่ละเลิก “ยุทธวิชัย” หันมาใช้ “ธรรมวิชัย” นั่นเอง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21648&stc=1&d=1403293749
ใครไม่ได้ "ครูดหิน" ก็ถ่ายรูปไป..!
ขนาดนี้คนรุ่นหลังบางคน ยังกล่าวหาว่าข้าพเจ้าเอาเงินทองมาทุ่มเทในการสร้างวัดวาอาราม จนประเทศชาติล่มจมเลย ตรัสเหมือนกับจะพ้อ แต่เห็นพระเนตรพราวไปด้วยแววสรวล อาตมาก็เข้าใจทันทีว่าเป็นการล้อเล่นเท่านั้น...
การนินทากาเลเหมือนเทแกลบ ไม่เจ็บแสบดังเอาตูดไปครูดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา.. เห็นจอมคนท่านเล่นอาตมาก็เล่นบ้าง แต่การแปลงกลอนโบราณมาเป็นปัจจุบัน เล่นเอาพระองค์ท่าน ทำหน้า เหมือนกำลังไปครูดหินเสียเอง ฮ่า..!
เห็นว่าแดดกำลังดี อาตมาจึงเรียกพี่มุกดา แม่ป๋อมกับน้องเล็กที่อยู่ใกล้ ๆ มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ส่วนลูกปุ๊กขอรูปเดี่ยว โดยเอนตัวนั่งหมิ่น ๆ บนพญานาคที่เป็นระเบียง ทำเอาคุณแสงสะดุ้งเฮือก รีบบอกว่าห้ามนั่งเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นมัคคุเทศก์อย่างเขาอาจจะถูกยึดใบอนุญาตได้ จึงต้องยืนขึ้นแต่โดยดี แล้วผลัดให้แม่ป๋อมถ่ายรูปเดี่ยวของอาตมาบ้าง ส่วนพี่วิไล ป้ามอย คุณอารีกับคุณปัญญา เดินหายเข้าไปภายในตัวปราสาทกันหมดแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21659&stc=1&d=1403381280
เข้าไปใหม่ ๆ แทบจะมองอะไรไม่เห็น
เมื่อตามเข้าไปในพระปรางค์องค์แรก ซึ่งนับจากทางด้านหลังตัวปราสาทที่พวกเราขึ้นมา ภายในมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น ยังดีที่ป้ามอยล้วงไฟฉายขนาดเล็กที่พกติดตัวมาด้วย เปิดส่องให้เห็นพระพุทธรูปปางสมาธิซึ่งแกะจากหิน ประทับอยู่บนฐานเตี้ย ๆ มีสัปทนสีทองกางกั้นอยู่อันหนึ่ง กับเครื่องบูชาพวกดอกไม้บายศรี ที่ตั้งไว้ระเกะระกะไปหมด...
คุณปัญญาล้วงเอาไฟแช็กออกมา จุดเทียนในถ้วยดินเผาที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูป จึงเห็นว่ามีโยมผู้หญิงนั่งดูแลสถานที่อยู่คนหนึ่ง เธอหยิบเอาธูปกำใหญ่มาจุดส่งให้พวกเราทุกคนได้ไหว้พระ เมื่อปักธูปแล้ว อาตมาวางเงิน ๑,๐๐๐ เรียลลงในพานเล็กด้านหน้าพระพุทธรูป เพื่อร่วมบุญในการบูรณปฏิสังขรณ์ วัด แห่งนี้ จอมคนแห่งกัมโพชยกพระหัตถ์สาธุ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21674&stc=1&d=1403824524
เขาถ่ายรูปกันอย่างนี้
จากนั้นคุณแสงพาเดินทะลุออกไปด้านหลังพระปรางค์ ชี้ไปทางมุมซ้ายมือซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างพระปรางค์ที่ไม่กว้างนัก บอกว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันมาก เพราะเมื่อยืนในมุมนี้แล้ว จะเหมือนกับยืนเอาจมูกชนกับนาสิกของพรหมพักตร์บนยอดพระปรางค์พอดี...
อาตมาหันไปหา “มัคคุเทศก์เถื่อน” เพื่อจะถามว่าควรทำเช่นนั้นหรือไม่ ? ลูกปุ๊กก็รี่เข้าไปยืนให้แม่ป๋อมถ่ายรูปเสียก่อน ตามไปด้วยพี่มุกดาอีกคน จอมคนแห่งกัมโพชสรวลแบบไม่ถือสา อาตมาจึงให้น้องเล็กเข้าไปยืนถ่ายรูปมุมนี้บ้าง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21685&stc=1&d=1403898426
"ยายแฉ่ง" เธอแอบยิ้มอยู่คนเดียว
เสร็จแล้วพวกเราต้องรีบจ้ำตามมัคคุเทศก์ตัวจริงไปข้างหน้า เพราะพ่อเจ้าประคุณชี้มุมให้ถ่ายรูปแล้ว ก็เดินดุ่ย ๆ ไปเลย มีพี่วิไล ป้ามอย คุณอารีกับคุณปัญญาตามไปด้วย อาตมาหยุดถ่ายรูปภาพแกะสลักตามขอบประตูและเสาพระปรางค์เป็นระยะ เลยได้ภาพนางอัปสราขี้เล่นมาภาพหนึ่ง ที่คุณเธอยิ้มจนหน้าบานเป็นจานเชิง คงคิดว่าแอบอยู่ข้างเสาแล้วไม่มีใครเห็นกระมัง ?
ตามมาทันพวกเราในพระปรางค์องค์ถัดไป ซึ่งข้างในดันเป็นศิวลึงค์เสียนี่ ซ้ำยังมีคนบูชาด้วยการรดน้ำใหม่ ๆ อีกด้วย จะเป็นฝีมือนักท่องเที่ยวที่เดินสวนกับพวกเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ถ่ายรูปศิวลึงค์แล้ว อาตมาก็เดินตามคณะออกไปทางด้านหน้า...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21696&stc=1&d=1403986397
ภาพแกะสลักของปราสาท "บรรยงก์"
คุณแสงพาพวกเรามาถึงระเบียงด้านทิศตะวันออก ซึ่งหลังคาพังหายไปทั้งแถบ ตลอดผนังที่สูงขึ้นมาจากพื้นประมาณครึ่งเมตร ด้วยความยาว ๓๕ เมตรและความสูง ๓ เมตร ถูกสลักเป็นภาพนูนต่ำ ของขบวนทหารและแม่ทัพนายกอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในขบวนทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นั่นเอง...
ภาพสลักถูกแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น คือด้านบน ตรงกลางและด้านล่าง การจัดขบวนทัพในสมัยนั้นประกอบด้วยกองลาดตระเวนนำ ทัพหน้า ทัพหลวง ทัพหลังและกองเสบียง แต่การแกะสลักที่ค่อนข้างตื้น ประกอบกับเชื้อราที่ขึ้นตามระยะเวลาที่ยาวนาน และแสงแดดที่จัดจ้า ทำให้ภาพบางช่วงต้องเล็งกันนาน กว่าที่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร...
การแต่งกายของทหารในภาพ มีรูปแบบความเป็นหมวดหมู่อย่างเห็นได้ชัด โดยแยกจากลักษณะของหมวก เสื้อ และผ้านุ่ง ตลอดจนอาวุธที่แตกต่างกันไป มีทั้งหอกซัด โล่กลม และดั้งที่มีปลายงอนแหลม หากกระแทกใส่หน้าใคร มีหวังบาดเจ็บสาหัส..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21708&stc=1&d=1404080191
กองทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ทัพหน้ามีกองกำลังทหารจากประเทศราช บางกลุ่มแต่งกายคล้ายทหารจีน ทั้งหมวก หนวดเครา ตลอดจนเสื้อเกราะและหน้าตา มีขุนศึกที่ถือหอกหรือทวนยาว นั่งบัญชาการมาบนหลังช้างที่มีงาค่อนข้างสั้นแบบ งาปลี ซึ่งเหมาะแก่การทำยุทธหัตถีเป็นอย่างยิ่ง เพราะปะทะเท่าไรก็ไม่ต้องกลัวว่างาของช้างศึกจะแตกหัก...
ทัพหลวงมีจอมทัพที่พระหัตถ์ซ้ายถือคันศร พระหัตถ์ขวาถือลูกศร ๓ ดอก ยืนใช้ลูกศรชี้บัญชาการอยู่บนหลังช้างที่มี งาปลี เช่นกัน แต่งาเรียวเล็กกว่าช้างของทัพหน้า รอบข้างเป็นกระบวนช้าง กระบวนม้า และทหารถืออาวุธครบครัน
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21729&stc=1&d=1404219328
ตรงนี้น่าจะเป็นกองเสบียง
ทัพหลวงนี้เห็นชัดว่าต่างจากทัพอื่น ๆ เพราะมีเครื่องแต่งกายที่ ดูดี กว่าเพื่อน ซ้ำยังมีสัปทน (ฉัตร) ขนาดใหญ่ ตลอดจนบังสูรย์บังแทรกมากมาย รอบข้างเป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นแทรกกระบวนทัพอยู่ น่าเสียดายที่แกะตื้นเกินไป จึงไม่งดงามอลังการเท่ากับปราสาทนครวัด...
ท้ายสุดเป็นกองเสบียง (เกียกกาย) ที่นุ่งผ้า ขัดเขมร เห็นง่ามก้นอย่างชัดเจน มีวัวเทียมเกวียนที่บรรทุกเสบียงและสัมภาระมากมาย ทหารบางคนจูงหมู บางคนแบกเต่าไปด้วย บางคนกำลังก่อไฟปิ้งปลา บางคนกำลังหุงข้าว ดูแล้วเห็นชีวิตทหารในกองทัพ และชีวิตของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี...
เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวชมภาพอยู่หลายคน ประกอบกับภาพที่ค่อนข้างตื้น เมื่อจะถ่ายภาพช่วงยาวตลอดผนัง แสงแดดที่จัดจ้าทำให้ภาพเลือนไปหมด อาตมาจึงถ่ายภาพตรง ๆ ไปเป็นบางช่วงเท่านั้น แล้วเดินตามมัคคุเทศก์กับคณะเข้าไปยังพระปรางค์อีกองค์หนึ่ง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21740&stc=1&d=1404243787
ไหว้พระทำบุญช่วงขาออกกันอีกรอบ
พระปรางค์องค์นี้มีพระพุทธรูปนาคปรกฐาน ๓ ชั้น แกะสลักจากหินทรายสีออกดำ พังพานของพญานาคค่อนข้างชะลูด มีกระถางธูปวางอยู่ตรงหน้าพร้อมกับพานไม่มีฐาน รอบข้างมีแต่กองหินปรักหักพังเต็มไปหมด โยมผู้หญิงใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้าเก่า ๆ และกางเกงขายาวสีดำที่เฝ้าอยู่ข้างใน พอเห็นพวกเราเข้าไปก็จุดธูปกำใหญ่กับตะเกียงน้ำมันที่ทำจากกระป๋องปลาตราสามแม่ครัว ส่งให้พวกเรามาแบ่งปันกันเอง...
พี่วิไลรับมาแบบไม่เกี่ยงงอน อาตมาและทุกคนจึงรับธูปมาคนละ ๓ ดอก ไหว้พระและอธิษฐานกันตามอัธยาศัย อาตมาปักธูปแล้ว ควักเงินเขมร ๓,๐๐๐ เรียล ใส่ลงในพานตรงหน้าพระพุทธรูป กราบงามสามทีแล้วเดินออกมาด้านนอก โดยมีเสียงสาธุการของจอมคนแห่งกัมโพชดังตามหลังมาด้วย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21754&stc=1&d=1404333245
กว่าจะเจอทางลงเล่นเอาเดินเกือบรอบ
เห็นรูปสลักตามเสาและผนังแล้ว อาตมาอดไม่ได้ที่จะหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนก็เดินหามุมที่ตนชอบใจเพื่อถ่ายรูป แต่พวกเขาเดินสวนทางเข้าไป ขณะที่พวกเรากำลังออกมา มีข้อสังเกตว่ารูปสลักของปราสาท "บรรยงก์" หลังนี้ค่อนข้างตื้น บางรูปคล้ายกับภาพร่างเท่านั้น และฝีมือไม่ได้สุดยอดเหมือนกับปราสาทนครวัด แต่ได้ความต่างตรงพรหมพักตร์จำนวนนับร้อยบนยอดปรางค์ที่ไม่เหมือนกับปราสาทหลังใดเลย...
หลุดพ้นจากยอดปรางค์และกำแพงระเบียง ที่ส่วนใหญ่เหลือแต่กำแพงกับเสาและกรอบประตู ไม่มีหลังคาเหลืออีกแล้ว พวกเราก็โผล่ออกมาทางด้านทิศตะวันตกของตัวปราสาท แต่ไม่มีบันไดลงทางด้านนี้ จึงต้องเดินวนขวาหาบันไดลง ไปเจอเอาด้านทิศเหนือโน่น ความจริงก็ไม่สูงมากนัก ถ้าไม่กลัวตับทรุดจะกระโดดลงทางทิศตะวันตกไปเลยก็น่าจะได้...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21755&stc=1&d=1404428932
มาถ่ายรูปหมู่ได้ในมุมที่จืดสนิท
อาตมาเดินลงไปก่อน แล้วเดินวนกลับไปทางทิศตะวันตก ป้ามอย แม่ป๋อมและพี่มุกดาที่ตามมาทีหลัง ลงบันไดตามมาบ้าง สักครู่ลูกปุ๊กกับน้องเล็กก็ตามมา อาตมาเห็นว่าทางด้านนี้มีที่ว่างพอ สามารถถ่ายรูปปราสาทบายนได้เต็มทั้งหลัง จึงให้ทุกคนมารวมตัวกันถ่ายรูปก่อน แต่น่าเสียดายที่ตัวปราสาทด้านนี้ปรักหักพังไปเสียมาก ภาพจึงออกมาจืดสนิททีเดียว...
จากนั้นอาตมาก็เดินตามพี่วิไล คุณแสง คุณปัญญาและคุณอารี ที่เดินขึ้นบนถนนลูกรังไปไกลแล้ว คงจะไปหาว่าคุณราญจอดรถอยู่ที่ไหน พอดีสายตาเหลือบไปเห็นอาคารข้างถนน หน้าตาเหมือนเป็นศาลา มีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยองค์ใหญ่ หน้าตักคงจะเกินสี่ศอกอยู่ข้างใน จึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ โดยมีป้ามอย แม่ป๋อม พี่มุกดา น้องเล็กและลูกปุ๊กตามไปด้วย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21766&stc=1&d=1404512455
ไม่รู้ว่าเป็นของเก่าหรือว่าของทำเลียนแบบ
พระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ในศาลาที่เหมือนห้องไม่มีข้างฝา เสาทุกต้นเป็นหินแกะสลัก ทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นอาคารเก่าสักหลัง ที่สร้างมาพร้อมกับปราสาทบายน แล้วคนมาปั้นพระพุทธรูปเพิ่มทีหลัง หรือว่าตั้งใจทำของใหม่เลียนแบบของเก่าขึ้นมากันแน่ “มัคคุเทศก์เถื่อน” ก็หายพระเศียรไปแล้ว มัคคุเทศก์ตัวจริงก็ไม่อยู่ ทำให้ไม่รู้ว่าจะถามใครดี ?
กราบพระแล้วอาตมาหยอดตู้ทำบุญไป ๑,๐๐๐ เรียล แล้วเดินถ่ายรูปรอบบริเวณ มีรูปปั้นปูนหงส์ตัวใหญ่ ที่ใหญ่จนศาลพระภูมิที่อยู่ติดกันโดนบังจนมิดไปเลย เสร็จแล้วรีบจ้ำไปยังรถตู้ที่จอดอยู่ใต้ต้นก้ามปูใหญ่ไกลลิบ ซึ่งมีพี่วิไลโบกมือเรียกอยู่โหวกเหวก โดยมีคุณอารียืนให้กำลังใจ “เจ้านาย” อยู่ใกล้ ๆ ไปถึงก็รีบตะกายขึ้นรถกันโดยด่วน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21767&stc=1&d=1404595039
วิ่งเข้าเมืองมาจอดแถวนี้แหละ ต้นไม้ใหญ่เยอะดีจริง ๆ
อาตมาเสียดายภาพมุมกว้างของปราสาทบายนที่มองจากบนรถ จึงถ่ายไป ๒ ๓ รูป ลองกดดูรูปก็ออกมาไม่เลวทีเดียว คุณปัญญาส่งน้ำเปล่ามาให้ทุกคนแบ่งกัน ขณะที่คุณราญนำรถออก วิ่งผ่านรถนักท่องเที่ยวมากมาย ออกไปทางประตูโกปุระที่มี สะพานเทวดายุดนาค ซึ่งพวกเรามาถ่ายรูปกันก่อนเพลนั่นแหละ วิ่งยาวผ่านหน้าปราสาทนครวัด มาเลี้ยวซ้ายเมื่อพ้นเขตคูเมือง แล้วมุ่งตรงเข้าสู่ตัวเมืองเสียมเรียบไปเลย...
ขนาดบ่ายสามครึ่งแล้ว ยังมีรถทัศนาจรวิ่งสวนพวกเราเข้าไปอีก แสดงว่าเวลาไม่ใช่อุปสรรคในการเที่ยวชมปราสาทหินแม้แต่น้อย รถของเรามุ่งเข้าเมืองอย่างเดียว ยิ่งใกล้ตัวเมืองรถราก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อย จนมาสู่การจราจรในเมืองจริง ๆ ซึ่งติดขัดไม่น้อยเลย เพราะถนนแคบ รถราก็มาก คุณราญนำรถตู้ฝ่าการจราจรไปเรื่อย จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่เรียงเป็นตับก็จอดลง...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21768&stc=1&d=1404674420
พระศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเสียมเรียบอยู่ในมณฑปหลังนี้
วิไลพาหลวงพี่มาไหว้พระศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเสียมเรียบ ใครมาที่นี่ก็ต้องมาไหว้ขอพร ให้ทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองกันทุกคน พี่วิไลแปลงกายเป็น มัคคุเทศก์เถื่อน แทน อ้าว..อาตมาเป็นพระ นอกจากบิณฑบาตแล้วจะให้ไปทำมาหากินอะไรกับใครเขาได้ ? แต่เมื่อเป็นพระก็เต็มใจที่จะกราบไหว้อยู่แล้ว...
พวกเราลงจากรถ มองไปยังสิ่งที่เป็นศาลหรือมณฑป มีหลังคาจตุรมุขลดชั้น ข้างบนเป็นยอดแหลม กระเบื้องหลังคาสีอิฐแดง ลวดลายอื่นสีเหลืองทอง มีรั้วรอบขอบชิด ด้านหลังมีร้านขายเครื่องบูชาเต็มไปหมด ที่ขายนกให้ปล่อยก็มาก ผู้คนแน่นขนัดทีเดียว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21773&stc=1&d=1404766081
มัคคุเทศก์ตัวจริงหนีไปซื้อเครื่องบูชา
หลวงพ่อสองพี่น้องนี้ชื่อ องค์เจก กับ องค์จอม ตามประวัติว่าเป็นพี่น้องกัน รักกันมาก ต่อมาป่วยตายทั้งคู่ พ่อเขาก็เลยสร้างพระพุทธรูปสองพี่น้องนี้ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับลูกสาวทั้งสองคน กลายเป็นหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ที่ใคร ๆ ก็เคารพกราบไหว้ วิไลรู้แค่นี้แหละ..
แหม..ประวัติสั้นกระจึ๋งเดียว ยังไม่ทันลงรถได้ครบคนก็จบซะแล้ว มัคคุเทศก์ตัวจริงก็ถูกคุณอารีลากตรงดิ่งไปหาซื้อเครื่องบูชา เจรจาต่อรองกับแม่ค้ามะพร้าวอ่อนอยู่ ไม่มีโอกาสได้ถามรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม เมื่อลงรถแล้วพวกเราจึงเดินเข้าไปบ้าง...
เพิ่งเห็นว่าที่นี่ก็ใช้มะพร้าวอ่อนเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนประเทศพม่า แต่เขามีดอกบัวกับธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม ปักอยู่บนลูกมะพร้าวอ่อน ล้อมรอบด้วยใบพลูที่ม้วนจีบแล้วใช้อะไรเป็นแกนก็ไม่รู้ ปักอยู่ ๔ มุม...
ของบูชาอย่างอื่นที่เห็นก็มีพวงมาลัยดอกมะลิ ดอกบัวที่มัดเป็นกำมีทั้งที่พับแล้วและยังไม่พับ กล้วยน้ำว้า ธูปเทียนและผ้าสีต่าง ๆ เสียงแม่ค้าร้องเรียกลูกค้าให้แซ่ไปหมด ส่วนใหญ่พูดไทยได้แทบทั้งนั้น...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21774&stc=1&d=1404849989
ยุวกาชาดที่นี่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
อาตมาเดินเลาะข้างรั้วมณฑป ผ่าน ยุวกาชาด ทั้งชายและหญิงเป็นสิบ ที่ตั้งตู้ชักชวนให้คนบริจาคเพื่อสาธารณกุศล เพิ่งเคยเห็นยุวกาชาดผู้ชายก็ที่นี่แหละ มิหนำซ้ำทุกคนยังมีผ้าพันคอที่ม้วนแบบลูกเสือของเราเสียอีก ทีแรกอาตมายังหลงประเด็นว่าเป็นลูกเสือสำรอง แต่ตรากาชาดสีแดงโร่บอกชัดว่าไม่ใช่ลูกเสือ เออ..ดีเว้ย บ้านเราเด็กผู้หญิงมาแย่งเด็กผู้ชายฝึกลูกเสือ ที่นี่เด็กผู้ชายมาแย่งเด็กผู้หญิงฝึกยุวกาชาด หักกลบลบล้างแล้วเสมอกันพอดี...
ทุกคนยกมือไหว้ โลกไทย แบบพร้อมเพรียงกัน อาตมาควักเงินออกมาปึกหนึ่งหยอดใส่ตู้ไปทีละใบ กว่าจะหมดก็ได้ ๘,๐๐๐ เรียลพอดี ทำเอาบรรดายุวกาชาด ชอบใจเป็นการใหญ่ ที่ โลกไทย บริจาคคนเดียวตั้งเยอะแยะ อาตมาจึงขอถ่ายรูปพวกเขาไปทั้งกลุ่มเลย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21777&stc=1&d=1404937050
ภายในมณฑปหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ มีแต่คนแน่นไปหมด
คุณอารีเอาดอกบัวกับธูปเทียนมาให้พวกเราคนละกำ อาตมาเดินหลบโยมผู้หญิงที่มาไหว้หลวงพ่อสองพี่น้องกันเนืองแน่น และไม่ได้ดูเสียด้วยว่ามีพระสงฆ์เดินแทรกเข้ามา หนุ่มใหญ่คนหนึ่งท่าทางน่าจะเป็นผู้ดูแลที่นี่ นำอาตมาไปถอดรองเท้าที่ชั้นวางรองเท้า แล้วพาหลีกคนเข้าไปทางด้านใน หาที่ว่างช่วยปูผ้าให้อาตมาได้กราบพระอีกด้วย...
อาตมาส่งธูปเทียนให้น้องเล็กที่ตามมาติด ๆ ไปช่วยจุดให้ เมื่อถวายดอกบัว ปักธูปแล้วกราบพระเสร็จ หนุ่มใหญ่นายนั้นก็เอาพานใส่น้ำ ที่มีกลีบดอกไม้และส้มป่อยลอยอยู่ด้วยส่งให้ บอกใบ้ว่าให้เอาไปบูชาหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ข้างใน...
อาตมารับมาแบบงง ๆ เดินหลีกผู้คนที่หนาแน่นตรงกลางออกไปด้านข้าง เห็นหลวงพ่อสองพี่น้องเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ องค์เจก ที่เป็นพี่ยกพระหัตถ์ขวา องค์จอม ที่เป็นน้อง และเตี้ยกว่าเป็นคืบยกพระหัตถ์ซ้าย ทั้งสองพระองค์ยืนอยู่บนแท่นสูง ๓ ชั้น มีฉัตร ๕ ชั้นกั้นถวาย มีผู้ถวายผ้าห่มพร้อมย่ามคล้องพระหัตถ์ไว้อีกองค์ละใบ...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21778&stc=1&d=1405020810
ต้องแอบดูก่อนว่าคนอื่นทำอะไร จะได้ทำตามบ้าง
อาตมามองดูว่าคนอื่นเขาเอาพานใส่น้ำไปทำอะไร เพื่อที่จะได้ทำตามบ้าง ก็เห็นว่าเขาเอาน้ำไปลูบพระหัตถ์หลวงพ่อสองพี่น้อง โดยมีพี่วิไลตรงเข้าไปทำแบบผู้ชำนาญการ อาตมาจึงเข้าไปถวายน้ำบ้าง มีน้องเล็ก ลูกปุ๊ก กับป้ามอยเดินเก้ ๆ กัง ๆ ตามหลังมา...
แม่ป๋อมยกกล้องส่องถ่ายตาม คงอยากเห็นพวกเราปล่อยไก่หมดเล้า แต่..ขอโทษ ถึงอาตมาจะไม่เคยฆ่าหมูกินเอง แต่ก็เคยเห็นและกินหมูมามากแล้ว จึงทำ เนียน ด้วยการถวายน้ำแล้ว ยังสรงน้ำที่พระบาทของหลวงพ่อทั้งสองพระองค์ด้วย มีคนขแมร์เห็นและทำตามด้วยแน่ะ..ฮ่า..!
ควักเงินหยอดตู้ไป ๓,๐๐๐ เรียล จากนั้นเดินออกมาส่งพานคืนให้กับพ่อหนุ่มใหญ่ ซึ่งเอารองเท้ามาส่งให้ อาตมาควักใบละ ๑,๐๐๐ เรียล ถีบ ให้ไป ๑ ใบ อีกฝ่ายยกมือไหว้แล้วไหว้อีก พร้อมกับ ออคุณเจริญ เป็นการใหญ่...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21779&stc=1&d=1405109140
ออกมาแถวนี้ก็โดน "ผีหลอก" ทันทีเลย..!
อาตมาเดินออกมาด้านนอก เห็นพื้นที่ร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่ประเภทยางนา ที่ปลูกไว้เป็นระยะอย่างสวยงาม ดูคล้าย ๆ ถนนต้นยางยักษ์สายสารภี ลำพูน เหมือนกัน แต่ต้นยางของที่นี่ต้นเล็กว่านิดหน่อย และขึ้นเป็นระเบียบสม่ำเสมอกว่า...
บนพื้นเป็นสนามหญ้าที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เขียวขจีเรียบกริบ สะอาดสะอ้านมาก แต่บนต้นไม้นั่นซิ..บรรดา นกมีหูหนูมีปีก ห้อยหัวอยู่ต้นละนับร้อยตัว อาจจะเป็นค้างคาวแม่ไก่พวกนี้แหละ ที่ช่วยกันใส่ปุ๋ยอยู่ทุกวัน จนต้นไม้ใบหญ้างอกงามได้ขนาดนี้...
เพิ่งเดินออกมาก็เผชิญหน้ากับลมแรง ที่พัดกรูเกรียวเข้ามาแบบกะทันหัน หอบเอาฝุ่นมาแบบมืดฟ้ามัวดิน บรรดานกมีหูหนูมีปีกกางปีกบินว่อน ร้องเอะอะเกรียวกราวไปหมด อาตมารีบกำหนดจิตดู เห็น บรรดาท่านที่อยู่อีกมิติหนึ่งจำนวนมหาศาล มาออกันแน่นไปหมด จึงอุทิศส่วนกุศลที่เพิ่งทำไปให้ พวกเขายกมือโมทนาแล้วอันตรธานไป ฟ้าดินกลับมาแจ่มใสเหมือนเดิม พวกค้างคาวแม่ไก่รีบบินกลับไปหาที่เกาะเป็นการใหญ่...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21781&stc=1&d=1405194225
รสแท้ที่แม่ทำ เอ๊ย..ฝีมือคุณแม่ถ่ายครับ
ที่แท้ท่าน “มัคคุเทศก์เถื่อน” ตามอาตมาไปติด ๆ เกือบทุกที่ ทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่กล้าเข้ามาใกล้ พอพ่อเจ้าประคุณ “หายพระเศียร” ไป จึงเป็นโอกาสให้ท่านที่รอจังหวะอยู่ รีบแห่กันมาขอส่วนกุศล ซึ่งอาตมาก็เต็มใจที่จะให้อยู่แล้ว จึงสมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อหมดธุระกับท่านเหล่านี้แล้ว อาตมาก็ออกเดินหามุมสวย ๆ ถ่ายรูปไปเรื่อย...
แม่ป๋อมเดินตามมาถ่ายรูปบ้าง ส่วนมากก็เป็นมุมเดียวกัน แต่คุณแม่ก็ถ่ายแบบเอาจริงเอาจัง อาตมาจึงขอให้ช่วยถ่ายรูปของอาตมา ยืนคู่กับเทวดาแกะสลักจากหินทรายสูงท่วมหัว ที่เฝ้าอยู่ข้างประตูมณฑปให้หน่อย คุณแม่รับบริการด้วยความยินดี...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21783&stc=1&d=1405282198
ถ้ารอดมาถึงที่นี่ได้ ยายรับรองว่าปลอดภัย..!
ยังไม่เห็นมีใครเดินออกมา อาตมาจึงเดินวนไปถ่ายรูป ศาล ที่ตั้งเป็นวงเวียนอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่กลางถนน เป็นรูปแกะสลักหินทราย คล้ายกับพระพุทธรูปนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง เพิ่งถ่ายรูปเสร็จพี่วิไลก็เดินตามมาถึง บอกว่า นี่คือ โลกยายแก้ว เป็นเทวดารักษาหนทาง ใครจะไปไหนมาไหน ให้มาไหว้ขอพรที่นี่ แล้วการเดินทางจะปลอดภัย.. แฮ่..แฮ่..แล้วก่อนที่จะมาถึงละจ๊ะ..พี่จ๋า..?
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21785&stc=1&d=1405367811
พระตำหนักของพระเจ้านโรดมสีหนุ
อาตมาควักเงินใส่ตู้บริจาค ๑,๐๐๐ เรียล แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับ โลกยายแก้ว พี่วิไลที่ไหว้ขอพรเสร็จแล้ว บอกให้กลับหลังหันแล้วชี้ให้ดูตัวตึกเตี้ย ๆ ชั้นเดียว หลังคาเป็นกระเบื้องสีแดงอิฐ พลางบอกว่า...
นั่นเป็นตำหนักของพระเจ้าสีหนุ ถ้ากลับมาขแมร์พระองค์ท่านจะมาพักที่นั่นเสมอ ตายห่..องค์กษัตริย์ที่ชาวขแมร์ให้ความเคารพรักมากที่สุด อยู่ตึกที่ใหญ่กว่ากุฏิเรือนไทยของอาตมานิดเดียว แถมยังมีชั้นเดียวอีกด้วย..!
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21791&stc=1&d=1405496363
นกตัวเท่าขี้ตายุง ตัวละ ๕๐ บาท..!
คนอื่น ๆ มัวแต่ไหว้ขอพรอะไรหลวงพ่อสองพี่น้องก็ไม่รู้ ? แต่ช้าเอามาก ๆ อาตมาจึงเดินไปดูบรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายนกปล่อย พอถามว่า “ราคาเท่าไร ?” แม่เจ้าประคุณบอกว่าตัวละ ๕๐ บาท..! นกกระจาบบ้าง นกกระติ๊ดบ้าง ตัวละ ๕๐ บาท..!
แบบนี้มันถลกหนังแมลงวันเพื่อรีดเอาน้ำมันชัด ๆ อาตมาชี้กรงใหญ่ที่มีนกประมาณ ๒๐ ตัวพลางต่อราคาว่า “ทั้งกรงนี่ ๑๐๐ บาท” อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงหลง ถ้าอย่างนั้นก็เก็บเอาไว้เองเถอะ กำลังจะลุกหนี คุณแสงก็มาช่วยต่อรอง พูดภาษาขแมร์เร็วปรื๋อจนอาตมาฟังไม่ทัน แต่แม่ค้าเธอจะ “รีดเลือดกับปู” ให้ได้ คุณแสงจึงหันมาถามอาตมาว่า “โลกจะให้เขาเท่าไร ?”
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21794&stc=1&d=1405542651
หลอกเด็กเป็นอาชีพ..!
อาตมาชี้ไปที่กรงเล็ก สองกรง ๑๐๐ บาท..! นี่เป็นลีลาการต่อราคาส่วนตัวของอาตมาเอง ยิ่งต่อยิ่งลดไปเรื่อย ๆ ถ้าใครขายช้าก็เจอราคาต่ำติดดิน แม่ค้าได้ยินเข้าทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก พอดีพี่มุกดาเดินนำป้ามอย น้องเล็กและลูกปุ๊กมาถึง อาตมาจึงลุกหนีจากแม่ค้ามาดื้อ ๆ...
เห็นเด็กน้อย ๓ ๔ คนนั่งบ้างยืนบ้างอยู่บนรถสามล้อ อาตมาถึงเดินไป ตีซี้ ด้วย ขอถ่ายรูปเด็กน้อยแล้วกดรูปให้ดู คราวนี้ทุกคนยื่นหน้าสลอนมาให้ถ่าย กว่าจะรู้ตัวอาตมาก็โดนแม่ป๋อมแอบถ่าย เบื้องหลัง ที่กำลังหลอกเด็กไปอีกแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21796&stc=1&d=1405624644
ขแมร์ไม่มีโรงแรม มีแต่สัณฐาคาร
พี่วิไลตะโกนชวนพวกเราขึ้นรถ บอกว่าจะไปที่พักแล้ว คุณแสงจึงเดินนำพวกเราไปยังรถตู้ พอขึ้นกันครบคนคุณราญก็นำรถออก วิ่งวนรอบวงเวียน “โลกยายแก้ว” แล้วย้อนกลับไปยังเส้นทางที่มาจากสนามบิน ซึ่งก็คือเส้นทางที่มีโรงแรมเป็นร้อยหลังนั่นแหละ...
พลขับเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังโรงแรม ๕ ชั้น ที่มีสามยอดคล้ายพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทของเรา แต่ความสวยด้อยกว่าเป็นร้อยเท่า ที่สวนหย่อมหน้าโรงแรมมีป้ายชื่อโรงแรม ภาษาขอมเขียนว่า “สัณฐาคาร สิธี อังกอร์” ส่วนภาษาอังกฤษเขียนว่า “Hotel City Angkor ”
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21797&stc=1&d=1405711574
นับดูดี ๆ โรงแรมนี้มีแค่ ๔ ชั้น..!
ไหนพี่บอกว่าที่นี่มีกฎหมายควบคุมการก่อสร้าง ไม่ให้มีอาคารสูงเกิน ๔ ชั้น แล้วโรงแรมนี้มีตั้ง ๕ ชั้น หลังโน้นก็ ๕ ชั้นเหมือนกัน ? อาตมาปุจฉา...
อ๋อ..ที่นี่เขาไม่นับชั้นที่ ๑ เพราะเป็นแค่ล็อบบี้โรงแรม ไม่ใช่ห้องพัก ๔ ชั้นของเขาก็คือนับเฉพาะชั้นที่เป็นห้องพัก เป็นการตีความแบบเลี่ยงกฎหมายของเขาค่ะ พี่วิไลวิสัชนา อาตมาฟังแล้วมึนไปเลย แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21798&stc=1&d=1405799765
เมื่อมาอยู่กัมพูชา นางมณีเมขลาก็ต้องแต่งตัวแบบสาวขแมร์
คุณอารีวิ่งปรื๊ดเข้าไปในโรงแรม ขณะที่คุณปัญญาช่วยพวกเราขนกระเป๋าเข้าไป เพิ่งผ่านประตูกระจกที่แกะเป็นรูปอัปสราที่เห็นชัดว่าคือนางมณีเมขลา เพราะมีดวงแก้วมณีโชติอยู่ในมือด้วยเข้าไป คุณอารีก็เอากุญแจห้องมาส่งให้ พวกเราจึงวางกระเป๋า ยืน แบ่งสมบัติ กันอยู่ที่ข้างตอไม้ ซึ่งเขาแกะสลักเพิ่มเติมบางส่วน แล้วทาแล็กเกอร์ไว้เงาวาววับเลย...
โรงแรมนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีของเรา เคยมาพักแล้วนะคะ มีพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงฉายร่วมกับเจ้าของโรงแรมที่ด้านโน้นด้วย พี่วิไลชี้มือไปที่มุมด้านใน เลยเคาน์เตอร์ของพนักงานต้อนรับเข้าไป พลางลดเสียงลงเป็นกระซิบว่า...
ปกติค่าห้องพักคืนละ ๑๕๐ ดอลลาร์ (ประมาณ ๕,๐๐๐ บาท) แต่นี่เราอาศัยเส้นของท่านผู้หญิงบุน รานี เขาลดให้เหลือคืนละ ๔๕ ดอลลาร์ (ประมาณ ๑,๕๐๐ บาท) เท่านั้น เฮ้ย..มีแบบนี้ด้วย...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21804&stc=1&d=1405887523
กุญแจห้องเป็นลูกบิด แต่ระบบไฟใช้คีย์การ์ด ??
พนักงานโรงแรมชายมาช่วยยกกระเป๋า ขึ้นบันไดไปส่งที่หน้าห้องพักชั้นที่ ๒ (ชั้น ๑ ของพวกเขา) อาตมาได้ห้องหมายเลข ๑๑๐ เป็นห้องพักเตียงเดี่ยว ซึ่งน่าจะแพงกว่าเตียงคู่ของคนอื่น กุญแจก็เป็นกุญแจลูกบิดธรรมดา แต่ต้องเอาบัตรพลาสติกที่ติดพวงกุญแจมาด้วย เสียบที่ช่องกุญแจแบบ Key Card ในห้อง ไฟฟ้าถึงได้ติดพรึ่บขึ้นมา แล้วทำไมไม่ใช้ Key Card ให้หมดเรื่องหมดราวไปเลยก็ไม่รู้ ? รู้สึกว่า “หัวมังกุท้ายมังกร” อย่างไรพิกล...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21809&stc=1&d=1405975428
ในห้องพักมีเบียร์เพียบเลย..!
อาตมาวางกระเป๋าเอาไว้บนเตียง เปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่ ๒๗ องศา แล้วเข้าห้องสุขาไปสรงน้ำ เสร็จแล้วออกมาสำรวจข้าวของเครื่องใช้ภายในห้อง ซึ่งภายในตู้เย็นมีน้ำอัดลมยี่ห้อ 7 up และ Coca Cola อยู่อย่างละกระป๋อง เบียร์ยี่ห้อ Angkor Tiger และ Heineken อย่างละสองกระป๋อง
ที่ฝาตู้เย็นมีน้ำแร่ขนาด ๖๐๐ มิลลิลิตรเสียบอยู่ ๒ ขวด เบียร์ยี่ห้อ Angkor อีก ๒ ขวด ติดราคาไว้เสร็จสรรพ ว่าน้ำอัดลมกระป๋องละ ๒ ดอลลาร์ เบียร์กระป๋องละ ๒ ดอลลาร์ น้ำแร่ขวดละ ๒ ดอลลาร์ เบียร์ขวดละ ๓ ดอลลาร์ ซึ่งไม่มีทางได้กินเงินอาตมาแน่ ๆ อยู่แล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21812&stc=1&d=1406059851
บริเวณหน้าห้องพัก
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น เปิดออกไปเจอลูกปุ๊กที่มาถามว่าจะซักผ้าหรือไม่ ? ไปถามทางโรงแรมมาแล้ว เขามีเครื่องซักผ้า แค่ ๒ ชั่วโมงก็ได้แล้ว อาตมาจึงเปลี่ยนผ้าส่งให้ แล้วนั่งเขียนบันทึกประจำวัน งานนี้ไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กมา จึงต้องบันทึกด้วยปากกาแทน...
เสร็จแล้วนั่งส่งใจไปกราบพระ จากนั้นแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย พอกำลังใจทรงตัวดีก็ ล็อก ระดับกำลังใจไว้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้เป็นแม่ป๋อมมาเคี่ยวเข็ญให้อาตมาฝึกโยคะ คุณแม่เธอใฝ่ฝันว่าจะเป็นครูสอนโยคะให้ได้ ไม่รู้จะไปหาความชำนาญจากไหนก็มาทดลองกับคุณลูกแก่ ๆ อย่างอาตมา ซึ่งกระดูกกล้ามเนื้อเสื่อมหมดแล้ว...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21820&stc=1&d=1406143573
ห้องเตียงเดี่ยว ไม่ได้ถามว่าราคาเท่าไร ?
กำลังยกตัวลอยในท่ากบอยู่ เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นอีก แม่ป๋อมไปเปิดรับ เจอลูกปุ๊กเอาผ้ามาส่ง อาตมาจึงฉวยโอกาสเลิกฝึก หอบผ้ามาสะบัดแล้วพาดตากในห้องแทน ลูกปุ๊กรายงานว่า ตัวเองและพี่มุกดาพักรวมกันห้องหนึ่ง ป้ามอย แม่ป๋อมกับน้องเล็ก พักอีกห้องหนึ่ง ส่วนพี่วิไลกับคุณอารีหายไปนอนกันที่ไหนก็ไม่รู้ ?
อาตมาถามว่ามีใครไปเดินดูบ้านดูเมืองหรือเปล่า ? คุณลูกบอกว่าไม่มีใครไปสักคน เนื่องจากแถวนี้ไม่มีอะไรนอกจากโรงแรมกับร้านอาหาร แล้วทุกคนไม่มีใครกินอาหารเย็นด้วย ออกไปเดินก็เหนื่อยเปล่า ๆ ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนกันแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า แม่ป๋อมกับลูกปุ๊กจึงลาไปห้องของตัวเอง ปล่อยอาตมานอนแผ่สี่สลึงส่งใจไปกราบพระอยู่คนเดียว...
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.