เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๗


เถรี
07-04-2014, 09:40
ถาม : ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้บ้านตรงทางสามแพร่ง ที่ถนนพุ่งตรงเข้าสู่ตัวบ้านไหมครับ ?
ตอบ : รื้อบ้านทิ้ง..!

ถาม : ทางสามแพร่งจะเป็นอัปมงคลหรือเปล่า แก้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่หรอก เป็นมงคลมาก..!

ถาม : อย่างไรครับพระอาจารย์ ?
ตอบ : ชีวิตคนเราท้ายสุดก็คือความตาย ถ้าสิบล้อมาเกยเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น..! เรื่องของการแก้ส่วนใหญ่แล้วเขาใช้หลักฮวงจุ้ยของจีน จะมีการติดกระจกสะท้อนสิ่งที่ไม่ดีออกไป หรือไม่ก็สร้างสระน้ำไว้หน้าบ้านเพื่อให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายลงไปในน้ำแทน ไปถามหมอดูฮวงจุ้ยดีกว่าจะได้เสียเงินเยอะหน่อย..!

ถาม : แล้วมีผลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ หรือเรื่องทางผีผ่านอย่างไรไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดมากก็มีผล มัวแต่แช่งตัวเองว่าไม่ดี ๆ อยู่นั่นแหละ ถ้ามั่นใจในคุณความดีของศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว ผลร้ายเกือบจะไม่มี

เถรี
07-04-2014, 09:41
ถาม : นิยตโพธิสัตว์ที่มีกำลังใจเข้มแข็งสามารถลาพุทธภูมิได้ใช่ไหมครับ แล้วอย่างนี้คำทำนายของพระพุทธเจ้าที่ท่านพยากรณ์ถือว่าผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เรื่องนี้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าโดยตรงดีกว่า จะได้รับคำตอบที่ถูกต้อง อาตมาตอบไปก็ไม่จบหรอก พวกลูกช่างสงสัย..!

เถรี
07-04-2014, 09:46
ถาม : ถ้าจะเดินทางไปเชียงตุงซึ่งตั้งอยู่ในรัฐฉานของประเทศพม่า นอกจากจะอาราธนาบารมีของพระพุทธองค์และครูบาอาจารย์ที่นับถือแล้ว ควรจะขอบารมีเทพเทวดาท่านใด เพื่อคุ้มครองการเดินทางให้ปลอดภัยคะ ?
ตอบ : ตั้งใจนึกถึงพระเจ้าเก้าเมือง จริง ๆ ก็คือเป็นเจ้าที่รักษารัฐฉาน ๙ องค์ด้วยกัน นึกถึงขอให้ท่านสงเคราะห์ อุทิศส่วนกุศลถวายท่านไปด้วย

เถรี
07-04-2014, 09:47
ถาม : ได้ดินจากวัดสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทยมาไว้ในครอบครอง โดยได้ต่อมาอีกทอดหนึ่งค่ะ ที่มาเป็นดินจากการก่อสร้างบูรณะโบราณสถานภายในวัด และช่างก่อสร้างได้ขนดินและเศษก่อสร้างออกมาทิ้งภายนอกวัด จึงเก็บมาโดยตั้งใจจะนำไปสร้างวัตถุมงคล อยากเรียนถามว่า เป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่และควรทำอย่างไรเพื่อให้ถูกต้องสมควร ?
ตอบ : ติดหนี้สงฆ์ ๒ เด้ง อันดับแรกหนี้สงฆ์คือดินนั้นเป็นของวัด อันดับที่ ๒ มาจากโบราณสถานที่เขาตั้งใจสร้าง ส่วนใหญ่ก็สร้างเพื่อเป็นพุทธบูชา เจอ ๒ เด้ง วิธีที่ดีที่สุดก็คือกะ ๆ ว่าราคาเท่ากับทองกี่บาทแล้วก็เอาถวายวัด

เถรี
07-04-2014, 09:48
ถาม : ถ้ามีคนทำความผิดและโดนตัดสินลงโทษไปแล้ว เราซึ่งเป็นคนรู้จักควรจะให้กำลังใจเขา เพื่อไม่ให้ใจของเขาเศร้าหมองโดยไม่สนว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองได้หรือไม่ อย่างนี้เรียกว่าเมตตาเกินไปหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เกิน ถ้าเมตตาเกินไปก็ต้องไปติดคุกแทนหรือรับโทษแทนเขา

ถาม : ถึงเขาจะเลวต่อไปเราก็ให้กำลังใจ ?
ตอบ : คบกันแค่ตอนดี ส่วนเขาทำเลวอะไรเราไม่รับรู้

เถรี
07-04-2014, 09:49
ถาม : การพูดจาประชดประชัน เหน็บแนม จิกกัด จัดเข้าในหมวดไหนของวจีกรรม ๔ ? และการพูดลักษณะนี้มีโทษหรือไม่คะ ?
ตอบ : ผรุสวาทา แปลเป็นไทยว่า “คำพูดเหมือนขวานถาก” ถากได้ทุกอย่างยกเว้นด้ามตัวเอง ฉะนั้น..ถือว่าบกพร่องในวจีกรรม ถ้าเป็นพระเขาปรับอาบัติทุพภาสิต ศีลขาด ฆราวาสเขาถือว่าในส่วนของกรรมบถบกพร่อง

เถรี
07-04-2014, 09:50
ถาม : เราซึ่งเป็นฆราวาสหรือแม่ชีต้องประเคนของให้เณรหรือไม่ ? เพราะบางที่ก็บอกว่าไม่ต้องประเคนให้ เณรสามารถฉันเองได้เลย
ตอบ : ถ้าเป็นธรรมยุตเขาบังคับว่าต้องประเคนก่อน เพราะว่าสามเณรคือผู้ที่เตรียมตัวจะเป็นพระ ต้องสร้างความเคยชินให้เขา แต่ถ้าทั่ว ๆ ไปเขาถือว่าเณรไม่มีศีลข้อนี้ ไม่ต้องประเคนก็ได้

เถรี
07-04-2014, 09:55
ถาม : หากนำวัตถุมงคลต่าง ๆ หลอมเพื่อสร้างเป็นวัตถุมงคลชิ้นใหม่ขึ้นมา วัตถุมงคลชิ้นใหม่จะมีอานุภาพของวัตถุมงคลชิ้นเดิมที่นำมาหลอมสร้างเป็นชิ้นใหม่ทันทีหรือไม่ครับ หรือว่าไม่จำเป็นเสมอไป ?
ตอบ : ถ้ายึดเอาหลักที่หลวงปู่ดู่อธิษฐานตอนปลุกเสกพระ ก็แปลว่าหมดอานุภาพไปเลย..!

ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : หลวงปู่ดู่ท่านอธิษฐานว่า วัตถุมงคลของท่านถ้าละลายเป็นน้ำเมื่อไรก็หมดอานุภาพ ฉะนั้น..ท่านใดก็ตามถ้าอธิษฐานไว้ลักษณะนั้น ก็แปลว่าเราจะไม่ได้อะไรเลย แล้วถ้าเป็นรูปพระสงฆ์หรือรูปพระพุทธก็ยิ่งเฮงเข้าไปใหญ่ เพราะถือว่าทำลายพระพุทธหรือทำลายพระสงฆ์ด้วย โทษต่ำ ๆ ก็ลงอเวจีหนึ่งกัป

ถาม : ถึงแม้เราจะเอาไปหลอมแล้วสร้างเป็นพระใหม่ ?
ตอบ : ทำลายของเก่าคือทำลายของเก่า สร้างใหม่คือสร้างใหม่ โทษคือโทษ บุญคือบุญ ไม่ได้เกี่ยวกัน

ถาม : แต่ถ้าเรานำไปบรรจุในพระประธานอันนี้ไม่ถือว่าเป็นโทษใช่ไหมครับ ?
ตอบ : การบรรจุเขาทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : แล้วถ้ามีคนเอาไปทำแล้วละครับ ถ้าไม่ได้อธิษฐานไว้อย่างหลวงปู่ดู่ละครับ พุทธานุภาพจะยังอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : น่าจะมีสักนิดหนึ่ง

เถรี
07-04-2014, 09:55
ถาม : หากวัตถุมงคลชิ้นเดิมเป็นรูปพระ หรือเป็นตะกรุดแต่จารอักขระเป็นองค์พระ หากนำมาหลอมจะโดนโทษทำลายพระเสมอไปหรือไม่ครับ ? มีวิธีแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : วิธีแก้ที่ง่ายที่สุดคืออย่าไปทำ

ถาม : แล้วพวกอักขระยันต์ละครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดมากก็ทำไม่ได้ เพราะถือว่าอักขระตัวหนึ่งเท่ากับพระองค์หนึ่ง ฉะนั้น..ห้ามคิดมาก ตัดสินใจว่ากูลงอเวจีแน่นอน แล้วก็ทำไปเถอะ..!

เถรี
07-04-2014, 10:00
ถาม : หากสร้างวัตถุมงคลแล้วนำไปขอพระอาจารย์เข้าพิธี เช่น สร้างเสือสมิง ลิงจับหลัก โดยอาจสร้างจำนวนมาก ๆ เช่นนี้ จะโดนปรับโทษใช้พระหรือไม่ครับ ? แล้วจะมีวิบากอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจก็เท่ากับว่าใช้ ตั้งใจว่าอย่างไรอาจารย์ต้องเสกให้กูแน่ แต่ไม่เห็นเขาจะกลัวกันนี่ หลวงพ่อคูณเดินไม่ไหวแล้วเขาก็เอานั่งรถเข็นออกมาเสก

ถาม : แล้วจะมีวิบากอย่างไรครับใช้พระแบบนี้ ?
ตอบ : ถึงเวลาก็โดนใช้คืนบ้าง แบบนางขุชชุตตรา ใช้นางภิกษุณีครั้งเดียวเป็นคนใช้เขาตั้ง ๕๐๐ ชาติ แต่เจ้านั่นเล่นหลวงพ่อคูณมาหลายยกแล้ว

ถาม : อย่างนี้ถ้าเรามีวัตถุมงคล อยากจะขอความเมตตาจากหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ละครับ ?
ตอบ : ขอวิธีไหนก็ตาม ถ้าตั้งใจเท่ากับใช้ท่าน ส่วนใหญ่พระท่านสงเคราะห์ให้ เพราะถ้าไม่ทำให้ เขาโกรธท่านคราวนี้ลงอเวจีไปเลย แต่ถ้าทำให้เขาโดนแค่โทษใช้พระ ก็แค่ไปเกิดเป็นคนใช้เขา

ถาม : อย่างเวลามีพิธีพุทธาภิเษก ค่อยเอาไปเข้าไม่ถือว่าใช้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างวัดท่าขนุนอนุญาตให้เข้าอยู่แล้ว หมดเรื่องไปเลย

ถาม : ถ้าคิดเฉย ๆ ไม่ได้ทำล่ะครับ ?
ตอบ : โทษก็เกิดแค่มโนกรรม

ถาม : ผลเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ถึงเวลาคนอื่นเขาก็คิดไม่ดีกับเราบ้าง

ถาม : แล้วเคยพลั้งพลาดไปแล้วแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่าเกิด..แก้ได้แน่นอนที่สุด

เถรี
07-04-2014, 10:00
ถาม : หากวัตถุประสงค์หลักที่สร้างวัตถุมงคลเพื่อการค้าหรือหากำไรส่วนตน ในการพุทธาภิเษกพระท่านจะสงเคราะห์ให้หรือไม่ครับ ? เพราะการสร้างไม่ได้เกิดจากพระสั่งหรือไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ?
ตอบ : ถ้าท่านอนุญาตให้เข้าพิธีได้ ก็แปลว่าใช้ได้ ส่วนในเรื่องอื่นนั้นถือว่าเป็นโทษเฉพาะตัวของท่านเอง

เถรี
07-04-2014, 19:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอเด็กคลอดแล้วอย่าให้เขากินนมผงหรือนมกระป๋อง ให้เขากินนมแม่อย่างเดียว เด็กก็เหมือนกับหมา ถ้าเขากินอะไรอร่อยแล้วจะเลือกกินแต่อย่างนั้น ไม่ยอมกินนมแม่ ปล่อยให้เขาหิวหน้ามืดไว้ แล้วเขาจะกินนมแม่เอง

โดยเฉพาะคนเป็นแม่อย่าไปกินของเย็น ทั้งที่เป็นอาหารธาตุเย็น หรือของแช่เย็น ของใส่น้ำแข็ง อย่าไปอาบน้ำเย็น ไม่อย่างนั้นน้ำนมจะหยุด คราวนี้จะไม่มีนมให้ลูกกิน ไปถามคนแก่ ๆ เอา แต่อาตมาก็แก่แล้วนะ เจอมาเยอะแล้ว

ที่แม่อ้วนตอนท้องเพราะต้องตุนไว้เผื่อลูกกินตอนคลอด คราวนี้ถ้าเราไม่ให้ลูกกิน ก็ไม่รู้จะยุบไปทางไหน อ้วนอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าลูกกินเยอะ ๆ พอถึงเวลาเราจะเหี่ยวเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีเด็กคนหนึ่งกินนมแม่จนซี่โครงขึ้นทุกซี่เลย เจ้านั่นร้ายกาจมาก ไม่ยอมกินนมกระป๋อง บังคับอย่างไรก็จะกินแต่นมแม่ อาตมากลัวแม่จะผอมตาย เพราะเหลือแต่ซี่โครง"

เถรี
07-04-2014, 19:33
พระอาจารย์เล่าว่า "วันที่อาตมาไปสาธยายพระไตรปิฎก พระท่านถามเลย “ท่านอาจารย์มีเฟซบุ๊กไหมครับ ?” “ไม่มีครับ..ไลน์ก็ไม่มี” “แต่รูปของท่านอาจารย์ลงเฟซบุ๊กเยอะจังเลย” “เออ..ใช่” มีแต่คนเอาไปลงให้ ไม่ต้องเล่นเอง รูปที่เขาลงให้เยอะกว่าเล่นเองอีก"

เถรี
07-04-2014, 19:55
ถาม : วัดตะคร้ำเอนอยู่ตรงไหนของราชบุรีคะ ?
ตอบ : วัดตะคร้ำเอนไม่ได้อยู่ที่ราชบุรี วัดตะคร้ำเอนอยู่ที่กาญจนบุรี แยกเดียวกับพระแท่นดงรัง เลี้ยวขวาเข้าไปไม่ถึง ๒ กิโลเมตร มีหลวงพ่อดำอยู่ ศักดิ์สิทธิ์สุด ๆ เขาว่าใครบนอะไรได้ทุกเรื่อง ท่านชอบดูหนัง เพราะฉะนั้น..จะมีจอใหญ่ขึงเอาไว้ตลอดปีตลอดชาติ เขาบอกว่าอย่างน้อยคืนหนึ่ง ๓ - ๔ เรื่อง คนไปบนพอสำเร็จก็จ้างเขาฉายหนังจอใหญ่เลย เขาเตรียมสถานที่ไว้เพื่อรับรถทัศนาจรโดยเฉพาะ

จากสี่แยกท่าเรือพระแท่น ถ้าขาลงจากท่าขนุนจะเลี้ยวซ้าย ถ้าขาขึ้นจะเลี้ยวขวา เข้าไปไม่ถึง ๒ กิโลเมตรหรอก เขาจะมีป้ายบอกแต่ไกลว่า ‘หลวงพ่อดำ วัดตะคร้ำเอน’ อย่าไปบนขอรางวัลที่หนึ่งพร้อม ๆ กันนะ เดี๋ยวพระเจ้าจะพลอยเครียดไปหมด..!

เถรี
07-04-2014, 20:06
ถาม : ช้างที่มีงาอ้อมจักรวาลพอมีอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : งาอ้อมจักรวาลก็เหมือนกับเขี้ยวแก้วของคนนั่นแหละ จะขึ้นจากเพดานปาก ทีนี้พอออกจากเพดานปากลงมาก็จะติดงวง ก็เลยต้องโค้งอ้อมงวงไป เพราะฉะนั้น..ช้างงาอ้อมจักรวาลจะมีงาเดียว พลายสุระเป็นช้างพลายปกติ งายาวใช้ได้เลย ประมาณ ๑.๒ เมตร เจ้าของนอนเฝ้าทุกคืน

ถาม : พระเศวตฯ ก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนไม่รู้ก็ว่าไปเรื่อย พระเศวตฯ ก็ไม่ใช่ คือช้างงาถ้าไม่ได้ใช้งาน งาที่ยาวไปเรื่อย ๆ ก็จะโค้งไปเอง ถ้าอยู่ในป่าใช้งานแทงนั่นงัดนี่ไปเรื่อย งาก็ไม่ยาวมาก เพราะฉะนั้น..ช้างงายาวสวย ๆ ส่วนใหญ่เป็นช้างเลี้ยงทั้งนั้น ช้างในป่าถ้างายาว ส่วนใหญ่จะอยู่ลักษณะงาปลี คือค่อนข้างจะใหญ่และสั้น เพราะใช้งานอยู่ตลอด อย่างรูปที่ถ่ายไว้สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เขาเอาขบวนช้างมารับเสด็จ ที่เขาเรียกจ๊างปู้เลื้อย ยาวเกือบติดดิน น่าจะ ๒ เมตรเศษได้

ถาม : รอยแตก ๆ นี่ ?
ตอบ : รอยแตก ๆ เป็นเรื่องปกติ ผิวงาจะเป็นอย่างนั้น พอขัดเข้าไปก็กลายเป็นสีขาวสวย ถ้าอยากรู้ว่าสีเดิมเป็นอย่างไรก็ดูตรงข้างงวง งวงช้างจะสีอยู่ตลอดเวลา ก็จะเป็นสีเนื้องาขาวอมเหลืองตามปกติ

ถาม : สีหม้อใหม่คือสีอะไรคะ ?
ตอบ : นึกถึงหม้อดินเผาสิจ๊ะ ไม่ใช่สีหม้อสเตนเลส..!

เถรี
07-04-2014, 20:25
ถาม : ที่แตกลายงาหมายถึงงาเขาแก่ตามสภาพ ?
ตอบ : ลายงาจริง ๆ อยู่ในเนื้องา ลักษณะคล้าย ๆ จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจิ๋ว ๆ อยู่ในเนื้องา เวลาเขาพูดถึงลายงานี่ต้องแยกให้ออก ถ้าแตกแบบเปลือกงาเป็นลักษณะแตกแบบของเครื่องลายครามหรือของเก่า แต่ว่าลายงาจริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าแตกลายงานี่ขอให้รู้ว่าเป็นลายเปลือกงา แต่ถ้าลายเนื้องาจริง ๆ จะเป็นอีกลายหนึ่ง

เถรี
10-04-2014, 11:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสร้างศาลาไม่ทันเสร็จก็โดนลอกแบบแล้ว สมัยนี้เขาลอกการบ้านกันสุดยอดขนาดนี้เลยหรือ ? แสดงว่าแบบของวัดท่าขนุนใครเห็นก็ชอบ สร้างยังไม่ทันจะเสร็จเลยมีคนลอกแบบแล้ว แบบวัดท่าขนุนอาตมาลอกแบบมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ลอกแบบมาจากหลวงปู่ปาน

หลวงปู่ปานท่านทำโบสถ์ ๒ ชั้น ชั้นล่างท่านทำเป็นนรก ๘ ขุม ต้องมุดลงไปดู หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำเป็นโบสถ์ ๒ ชั้น ท่านบอกว่าจะได้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น ส่วนอาตมาเคยชิน ในเมื่อครูบาอาจารย์เคยทำจึงทำบ้าง เพียงแต่ว่าทำเป็น ๓ ชั้นไม่พอ ชั้นล่างยังเอาสูงตั้ง ๘ เมตร เพื่อจะได้สร้างมณฑปเอาไว้ข้างในได้ โดยเฉพาะกำแพงหนามาก สั่งอิฐแดงก้อนใหญ่หนาพิเศษ ก่อโดยวางขวางตลอดแนว ปกติอิฐเขาจะก่อตามยาว ของอาตมาให้ก่อตามขวาง ซึ่งจะเปลืองของมากแต่จะได้ความหนา ในเมื่อมีความสูงและหนามาก อากาศข้างในจะเย็นเหมือนกับถ้ำ"

ถาม : ทำไมไม่ทำผนัง ๒ ชั้น ?
ตอบ : ผนัง ๒ ชั้นก็ดี เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ต้องอาศัยเครื่องปรับอากาศ เพราะทึบ ของวัดท่าขนุนอาศัยความสูง และได้ความโปร่ง ถ้ากลางวันปิดประตูหน้าต่างไม่ให้อากาศเข้า เดินเข้าไปก็เหมือนกับห้องปรับอากาศ ต้องรอให้เสร็จก่อน หมดไป ๑๗ ล้านกว่าบาทแล้วยังมีแต่โครงอยู่เลย จะไปหนักอีกทีตรงหมู่เรือนไทย ค่าแรงช่างทำโครงหลังคาเรือนไทย ๒ หลังที่ตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ข้างวัด เฉพาะค่าแรงทำโครงหลังคาอย่างเดียวนะ หลังละ ๗๐๐,๐๐๐ บาท วัสดุทุกอย่างเป็นของเรา

ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธิเมธี รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี รูปที่ ๑ ไปเห็นเข้าถามว่า “อาจารย์เล็กทำเรือนไทยสวยจริง ๆ เอาช่างมาจากที่ไหน ?” “บางปลาม้าครับ” “แล้วเขาคิดค่าแรงเท่าไร ?” “เจ้าคุณอาจารย์อย่าถามเลยครับ ผมไม่เคยบอกให้เขาตกลงราคา เขาทำเสร็จแล้วเอาเท่าไร ผมก็ให้เท่านั้น” ช่างเขาจะได้ทำแบบสบายใจ คุณมีปัญญาคุณก็ทำไป ต้องการเท่าไรมาเบิกแล้วกัน

ฉะนั้น..ช่างชุดนี้เขาอยู่กับอาตมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ จนป่านนี้ยังไม่ไปไหนเลย ทำงานกับอาตมาไม่มีขาดทุน ของทุกอย่างทางวัดออก คุณรับค่าแรงอย่างเดียว ต้องการเท่าไรมาเบิกได้ ไม่อย่างนั้นพอไปที่อื่น พอเซ็นสัญญากันว่ารับเหมาเท่านั้นเท่านี้ ถึงเวลาวัสดุขึ้นราคา หรือว่าระยะเวลายาวขึ้น ต้องจ่ายค่าแรงลูกน้องเพิ่ม เขามักจะขาดทุน อยู่กับอาตมาไม่มีขาดทุนหรอก มีแต่กำไร เบิกเท่าไรก็ให้เท่านั้น

เถรี
10-04-2014, 11:43
เมื่อวานสัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์ เจ้าคณะอำเภอดอนตูม วัดพระประโทณเจดีย์ ท่านบอกว่า “อาจารย์พระครู..สร้างศาลาร้อยปีหลวงปู่ด้วยจุดมุ่งหมายอะไร ?” อย่างแรกเลยก็คือ เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ และเป็นที่ระลึกในวาระสำคัญของท่าน

อย่างที่สองก็คือ อาคารของวัดไม่พอใช้งานจริง ๆ อย่างที่สามก็คือตั้งใจจะให้เป็นพิพิธภัณฑ์ กำลังดูว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพิพิธภัณฑ์บริขารของท่าน อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน เก็บของบางอย่างที่คนไม่ค่อยได้เห็น หรือไม่ก็อาจจะเป็นพิพิธภัณฑ์วัตถุมงคล เดี๋ยวจะดูความเหมาะสมอีกที

ช่วงนี้พระก็ตากแดดตัวดำปี๋ เพราะว่ากำลังพอกปูนที่ด้านหลังสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ดินที่ถมขึ้นมาไม่ได้พอกปูน พอโดนฝนแล้วน้ำพาหนีไปหมด พระท่านจึงไปช่วยกันทำ ดีอยู่อย่างว่าระบบของวัด อยู่ในลักษณะที่ว่าต่อให้เจ้าอาวาสไม่อยู่ งานก็ไปได้ เพราะว่าอาตมาทิ้งงบประมาณไว้ให้พระ ๓ - ๔ รูป แต่ละรูปรับผิดชอบงานต่าง ๆ กันไป ตัดสินใจจ่ายได้ในงบประมาณที่ตนเองมีอยู่ ถ้าเขาเห็นว่าสมควรก็ลุยไปได้เลย ถึงเวลาแจ้งรายละเอียดมาก็แล้วกันว่าใช้จ่ายไปอย่างไร

ระบบนี้ดีอยู่ตรงที่ว่า ไม่ได้ยึดติดอยู่กับตัวบุคคล ต่อไปถึงอาตมาไม่อยู่เขาก็อยู่กันได้ หน้าที่ตอนนี้ของอาตมาก็คือหาเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ เอาไว้ ถึงเวลาเขาก็ก็บริหารกันเอง

เถรี
10-04-2014, 11:49
พระอาจารย์พูดถึงเสื้อแจ๊กเก็ตยันต์เกราะเพชรพิชัยสงครามที่เพิ่งทำออกมา "สำหรับพวกที่อยากได้ลายแต่ไม่อยากสักจะได้มีไว้ เดี๋ยวเตรียมไปบูชาจากในเว็บ ข้างหลังคือส่วนหนึ่งของยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ข้างหน้าคือยันต์เกราะเพชร ไปเตรียมจองกันได้ ราคาค่าปักแพงมาก คิดว่าน่าจะตัวไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท พอไล่ลงมาดูเหลือตัวไม่เกิน ๕๐๐ บาท โอ๊ย...โล่งอก ถ้าอกผายไหล่ผึ่งเสื้อจะพอดี แต่ถ้าหลังค่อม ๆ เอวจะลอยขึ้นมา เพราะฉะนั้น..ใส่เสื้อตัวนี้แล้วห้ามนั่งหลังโก่งนะ"

ถาม : ไม่ใส่ชื่อวัดด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ใส่ชื่อวัดเพราะจะได้ไปวัดไหนก็ใส่ได้ ถ้าใส่ชื่อวัดแล้วจะจำกัดมากเกินไป เผื่อเอาไปเป็นของขวัญของฝากใครที่เขาไม่ชอบชื่อวัดท่าขนุนจะได้ใส่ได้ ต้องคิดเผื่อเขาหน่อย ต้องจ้างพรีเซ็นเตอร์หรือเปล่า ? คงไม่ต้องหรอกนะ สั่งทำไปตั้ง ๑,๒๐๐ ตัว..! ใส่ไว้สัก ๓ วันโชว์ให้เขาดู แล้วค่อยเปิดจอง ถ้าเสร็จทันน่าจะได้ในวันเป่ายันต์ ๓ พฤษภาคมนี้ ถ้าไม่ทันก็รอสิงหาคมอีกที

เถรี
10-04-2014, 13:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนคุยกับผอ.สำนักพุทธฯ จังหวัดกาญจนบุรี มีมติจากคณะรัฐมนตรีให้ข้าราชการสตรีสามารถลาปฏิบัติธรรมได้ ๑ เดือน ออกมติมาตั้งหลายปีแล้ว วัดต่าง ๆ ที่อยู่ในเกณฑ์ที่เข้าไปปฏิบัติธรรมได้ ก็ออกมา ๒๐๐ - ๓๐๐ แห่งแล้ว รวมทั้งวัดท่าขนุนด้วย แต่ไม่มีใครลาไปปฏิบัติสักคนเลย เขาบอกว่าเจ้านายไม่ให้ไป จนป่านนี้ยังไม่มีใครไปที่วัดท่าขนุนเลย อาตมาเองก็คิดว่าหน่วยงานเขาไม่รู้หรือเปล่า ?

ผู้ชายลาได้ ๔ เดือนเผื่อเข้าพรรษา แต่ผู้หญิงเขามีลาคลอดเลยได้ จึงได้สิทธิ์ลาปฏิบัติธรรมแค่ ๑ เดือน น่าจะถามเขาว่าถ้าไม่ใช้สิทธิ์ลาคลอด เอามาปฏิบัติธรรมทีเดียวเลยได้ไหม ? คลอดลูกไม่ใช่บวช จำไม่ได้ว่าประเทศไหน อนุญาตให้ผู้ชายลาไปช่วยเลี้ยงลูกได้ แต่บ้านเขาจ่ายภาษีแพง ได้ยินว่าฝรั่งเศสจะขึ้นไปถึง ๗๐% แสดงว่าบ้านเขานี่รัฐบาลรับผิดชอบ ชีวิตในส่วนที่เหลือไม่ต้องกังวล เข้าโรงพยาบาลรัฐ เจ็บไข้ได้ป่วยหนักแค่ไหนก็ได้ รัฐจ่ายให้ ถึงเวลามีโบนัสเที่ยวต่างประเทศให้อีกด้วย"

เถรี
10-04-2014, 13:59
ถาม : ผมเช่าที่วัดแล้วผมจะบอกขายสิทธิ์ต่อ ?
ตอบ : เราเช่ากับใคร ?

ถาม : เช่ากับกรมการศาสนา
ตอบ : ถ้าเช่ากับกรมการศาสนา ขายสิทธิ์ได้..ไม่เป็นไร เพราะแค่เปลี่ยนคนเช่าเท่านั้นเอง เงินค่าเช่าก็คือเงินชำระหนี้สงฆ์ เขาเรียกว่าผาติกรรม

ถาม : ถ้าผมขายเช่าจะจัดการกับเงินส่วนนี้อย่างไร ?
ตอบ : เงินส่วนนี้ก็เท่ากับเป็นสิทธิ์ของคุณ จะเอาไปทำอะไรก็ได้ แค่เปลี่ยนสิทธิ์เท่านั้นเอง เขาซื้อสิทธิ์เรา ไม่ได้ไปขายของสงฆ์อะไรหรอก เราแค่ขายสิทธิ์ในการเช่า เพราะว่าที่ดินวัดทุกอย่าง ถ้าจะจำหน่ายจ่ายโอน ต้องออกโดยพระราชบัญญัติเท่านั้น เขากลัวพระจะขายที่กิน แปลว่าต้องเข้าคณะรัฐมนตรีให้ตกลงกันว่าจะยอมให้ขายหรือเปล่า ยากขนาดนั้น

เถรี
10-04-2014, 16:21
ถาม : หาสังวาสมิได้คืออะไรครับ ?
ตอบ : แปลว่าคบกับใครเขาไม่ได้ อยู่ร่วมกับใครไม่ได้ คือพ้นสภาพพระไปแล้ว อยู่ร่วมกับพระอื่นไม่ได้

ถาม : ต้องอาบัติปาราชิกขาดความเป็นพระไปแล้ว ยังไม่ลงนรกหรือครับ ? การอวดอุตริมนุสธรรมคือการอวดเรื่องอะไรบ้าง ?
ตอบ : อาบัติปาราชิกนี่แค่ปิดมรรคผล แต่ไม่ได้ปิดสุคติ ถ้ายังรักษาความดีไว้ได้ ยังมีสิทธิ์ไปเป็นเทวดาเป็นพรหม อุตริมนุสธรรม (ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ทั่วไป) บาลีเขาว่า ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล ๕ อย่าง ไม่มีไปอวดว่ามี ท่านปรับขาดความเป็นพระไปเลย บวชใหม่ไม่ได้ ห่มผ้าเหลืองอยู่ก็ไม่ใช่พระ ถึงไม่ยอมสึกก็ไม่ใช่พระ

ถาม : ต้องมีโจทก์เท่านั้นหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มีโจทก์คณะสงฆ์ก็ปรับอาบัติไม่ได้ ก็มีที่ไหนขึ้นศาลแล้วมีแต่จำเลยฝ่ายเดียว ขนาดโจทก์ไม่เอาเรื่อง อัยการยังต้องฟ้องแทนเลย

เรื่องการขาดความเป็นพระนั้นขาดตั้งแต่ทำการอวดแล้ว แต่ถ้าหน้าด้านอยู่ในผ้าเหลือง ไม่มีใครฟ้อง ก็ลอยนวลอยู่ในโลก ไปรับโทษเอาตอนที่ตายไปแล้ว

เถรี
10-04-2014, 16:25
สติวินัย ท่านเอาไว้สวดประกาศสำหรับพระอรหันต์ ว่าไม่ปรับอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ในด้านอภิสมาจารแก่ท่าน อมูฬหวินัย สำหรับสงฆ์สวดประกาศให้ภิกษุผู้เป็นบ้า เมื่อคืนสติกลับมาไม่ให้ปรับอาบัติที่ท่านทำระหว่างเป็นบ้า ปฏิญญาตกรณะ เป็นการปรับอาบัติตามที่ผู้ผิดยอมรับสารภาพ เยภุยยสิกา เป็นการปรับโทษโดยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ ตัสสปาปิยสิกา เป็นการปรับโทษพวก "จอมแถ" ผิดอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าผิด ติณวัตถารกวินัย อยู่ลักษณะไกล่เกลี่ยให้ยอมความกัน แต่ว่าสมัยนี้ไม่ค่อยจะยอมกัน

จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเสียงข้างมากว่าเขาทำผิดธรรมผิดวินัย ประธานต้องชี้แจงว่าผิดตรงไหน แล้วที่ถูกคืออะไร เขาไม่ได้ตัดสินไปเลยทีเดียว จะต้องมีการประกาศว่าท่านนี้ต้องอาบัติอย่างนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศว่าท่านโดนอาบัติตัวนี้ สงฆ์ทั้งหลายมีใครจะคัดค้านบ้าง ? ถ้าเห็นว่าไม่เป็นธรรม สามารถคัดค้านขึ้นได้โดยไม่ต้องเกรงใจ แต่ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าเป็นธรรมแล้ว ก็ให้สาธุการขึ้น การตัดสินของพระท่านรอบคอบมาก

ถาม : แล้วถ้าเสียงออกมาเสมอกัน ประธานต้องทำหน้าที่ชี้ขาดหรือครับ ?
ตอบ : ของพระส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเสียงเสมอกัน เพราะถ้าหากว่าโจทก์ขึ้นมา ต้องความผิดชัดเจน ไม่อย่างนั้นถ้าสอบสวนแล้วจำเลยไม่ผิด โจทก์จะโดนอาบัติสังฆาทิเสส อยู่กรรมกันหน้ามืด..! แล้วส่วนใหญ่ท่านก็รู้อยู่ว่าศีลพระเป็นอย่างไร ในเมื่อรู้อยู่นี่ไม่มีเสียงก้ำกึ่งหรอก

ถาม : แล้วถ้าบังเอิญมีเสียงก้ำกึ่งละครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วผู้เป็นประธานก็สามารถทุบโต๊ะได้ แต่ไม่มีใครทำ เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้นคนเขาจะกล่าวหาได้ว่าไม่ยุติธรรม เขาจะว่าใช้อำนาจไม่เป็นธรรม มีอาบัติห้ามไว้เลยว่า ถ้าสงฆ์ตัดสินโดยธรรมแล้วรื้อฟื้นขึ้นใหม่ คนรื้อฟื้นจะโดนอาบัติ พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้เลย พระทั้งวัดร่วมกันพิจารณา แล้วทั้งหมดจะโง่ขนาดนั้นเลยหรือ ? ถึงบอกว่าจำเป็นต้องใช้สัมมุขาวินัย พร้อมหน้าทั้งโจทก์ ทั้งจำเลย จะได้ไม่ต้องถึงเวลาลับหลังไปพูดกันอีก คุณว่าอย่างนั้น ผมว่าอย่างนี้ เถียงลับหลังกันไม่จบเสียที ต้องว่ากันต่อหน้าเลย จี้ถามกันทีละประเด็น

เถรี
10-04-2014, 16:25
ถาม : การรื้อฟื้นอธิกรณ์คืออะไรครับ ?
ตอบ : เป็นการที่มีพระเอามาพูดว่าตัดสินไม่เป็นธรรม ต้องตัดสินใหม่ เอามาตำหนิกันภายนอก ก็ต้องเรียกมาในที่ประชุมสงฆ์ แล้วประกาศปรับอาบัติไอ้ปากหมานั่นด้วย เมื่อเห็นว่าไม่ถูกต้อง แล้วทำไมเอ็งไม่คัดค้านในที่ประชุม ? ศีลพระท่านรอบคอบ ก็ท่านประกาศแล้วว่าถ้าไม่เป็นธรรมให้คัดค้านขึ้นในท่ามกลางระหว่างสงฆ์ ไม่ได้บอกให้ไปพูดกันข้างนอก

ถาม : แล้วถ้าท่านเป็นสุขวิปัสสโก เข้าใจผิดว่าเป็นปฏิสัมภิทาญาณ แล้วไม่มีฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ไม่ได้อย่างที่คณะสงฆ์สั่งให้พิสูจน์ ?
ตอบ : ใครบอกไม่มี อธิษฐานฤทธิ์มี บุญฤทธิ์ก็มี เพียงแต่ว่าพิสูจน์ไปจะมีประโยชน์อะไร พระท่านทั้งหลายเหล่านั้นท่านเป็นของแท้อยู่แล้ว ถามหลักธรรม หลักการปฏิบัติอะไร ท่านบอกได้หมดว่าตรงไหนจริง ตรงไหนปลอม

เถรี
13-04-2014, 15:31
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่งอาตมาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ สภาพจิตออกจากร่างกายไปอรูปพรหม ซวยแล้วตู..! ถ้าเป็นของจริงวันนั้นยาวเลยนะ..ยังดีที่แค่ลอง ๆ ดูเท่านั้น"

เถรี
13-04-2014, 15:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครีมหน้าขาวที่เขาใช้กันในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่คิดจะไปเล่นงิ้วไม่ต้องใช้หรอกจ้ะ เพราะหลอกตามากเลย เดินเข้ามาแล้วสงสัยว่าเขาไปทำอะไรมา ? หน้าขาววอกมาเชียว ขาวจริง ๆ แต่ขาวแบบน่าเกลียด ผิดธรรมชาติ ถ้าเป็นสมัยก่อนพวกนางงิ้วพอกหน้าเสร็จแล้ว เขาก็เอาสีอื่นวาดทับได้สบายเลย สมัยนี้ครีมยี่ห้ออะไรที่เห็นทาแล้วขาววอกเลย อาตมาก็ไม่รู้จัก แต่เห็นเขาเดินมา แขนสีน้ำตาลแต่หน้าขาววอก คราวหน้าต้องโปะตัวมาด้วย เพราะขาวต่างกันเกินไปหรือเปล่า ? พอทาหน้าขาววอกแล้วก็เอาผ้าคลุมหัว โผล่ขึ้นไปทางหน้าต่างตอนดึก ๆ..!"

เถรี
13-04-2014, 15:42
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งเขียนจดหมายไปหาที่วัด บอกว่าขอให้ช่วยด้วย เพราะชีวิตมีแต่ปัญหา ติดขัดขลุกขลักทุกอย่าง ภาวนาคาถาเงินล้านก็ไม่ได้ผล เพราะไม่มีสมาธิ แล้วอาตมาจะช่วยได้อย่างไร ? แสดงว่าโยมเขารู้ปัญหาแต่แก้ไม่ได้

วิธีสร้างสมาธิแบบฉุกเฉินที่ง่ายที่สุดคือกลั้นหายใจ พอกลั้นหายใจ ร่างกายรู้ว่าตัวเองจะตายแล้ว จิตจะทรงตัวเอง แต่วิธีนี้ถ้าทำบ่อย ๆ จะเคยชิน ภาวนาตามปกติเมื่อไรก็จะกลั้นหายใจ ในเมื่อเขาเองบอกว่าไม่มีสมาธิก็ต้องใช้วิธีนั้น แต่แหม..ถ้ากลั้นใจว่าคาถาเงินล้านกว่าจะจบ ก็อาจจะขาดใจตายจริง ๆ เหมือนกัน

สมัยนี้คนไม่ค่อยมีสมาธิ เพราะใช้กำลังสมาธิหมดไปกับกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะนั่งเพ่งจอ นั่งเขี่ยไอแพ็ด นั่งเขี่ยไอโฟน ผ่านไปเป็นชั่วโมงไม่รู้ตัวหรอก ใช้กำลังระดับนิโรธสมาบัติเลย พอใช้กำลังสมาธิหมด ถึงเวลาให้ภาวนาก็ฟุ้งซ่าน สู้กิเลสไม่ได้ กิเลสเรียกร้องให้รีบไป เดี๋ยวจะกด Like ไม่ทัน

ตอนนี้ความนิยมใน Facebook ต่ำลง เพราะว่าพอ Add Friend แล้ว ผู้ใหญ่เข้าไปตรวจสอบได้ เด็ก ๆ ก็เลยทิ้งไปเล่นอย่างอื่นแทน ส่วน IG ลูกเล่นมีมากกว่า..ใช่ไหม ? อัพรูปได้ดีกว่า แต่อาตมาไม่เคยเล่น ขี้เกียจเป็นสาวก Apple ยี่ห้อน่าเกลียดมากเลย เต็มลูกก็ไม่เต็ม กัดแหว่งไปคำหนึ่ง เอาของกินเหลือมาเป็นยี่ห้อ ต้องเอาลูกเต็ม ๆ มาสิ..!

ไปนึกถึง "สหายเก่า" ที่แกบอกว่าแกครอบกิเลสเข้าไปตั้งกี่ชั้นไม่รู้กี่ชั้น สุดยอดจริง ๆ เอากิเลสมายัดใส่ถึงในมุ้งเลย นอนอยู่ต้องเขี่ยจอให้จบก่อน ตื่นขึ้นมาเมื่อไรรีบเปิดดู คนที่เปิดเครื่องใช้อิเล็กโทรนิกอยู่ใกล้ ๆ นอนหลับไม่สนิททุกคน เพราะคลื่นจากเครื่องไปรบกวนสมอง เพราะฉะนั้น..ใครอยากหลับสนิท ก่อนนอนให้ปิดเครื่องใช้พวกนี้ให้หมด เขาถึงขนาดแนะนำว่า แม้กระทั่งเครื่องปรับอากาศก็ให้ปิดด้วย แต่บ้านเรายุคนี้สร้างมาเพื่อเครื่องปรับอากาศ ขืนไปปิดก็ร้อนตายชัก"

เถรี
13-04-2014, 15:51
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ความดี ความงาม อันนี้ต้องถือเป็นความงาม เป็นของที่ใคร ๆ ก็ปรารถนา จึงพากันยึดติดอย่างเต็มอกเต็มใจ ผลักไม่ไหว ไล่ไม่ออก เลยไปไหนไม่ได้ ในส่วนของสิ่งไม่ดีที่เข้ามาในชีวิตของเรา แกะออกง่ายกว่า ตัดได้ง่ายกว่า เพราะเราไม่ชอบ ไม่ปรารถนาอยู่แล้ว ในส่วนนั้นก็เลยกลายเป็นว่า พอถึงเวลาท้ายสุดแล้ว พวกเราก็จะติดดีกัน แต่ว่าก็ต้องติดดีไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย หลังจากทำจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะปล่อยดีไปเอง

แม้กระทั่งพระนิพพาน แรก ๆ เราก็เกาะ แต่ถ้าเกาะก็ไปไม่ได้หรอก เราจะไปเชียงใหม่แล้วยืนกอดเสาอยู่ตรงนี้ จะไปได้ไหมเล่า ? ไม่ได้หรอก ต้องปล่อยเสาก่อน เพราะฉะนั้น..แรก ๆ เราก็เกาะความดี เกาะศีล เกาะสมาธิ เกาะปัญญา ท้ายสุดก็วาง คราวนี้ก็ตัวเบา ไม่มีอะไรให้ยึดให้เกาะ ลอยละล่อง คราวนี้ลอยไปไหน แรก ๆ ต้องตั้งเป้าให้ดี ไม่อย่างนั้นพอปล่อยแล้วลอยไปผิดที่ละยุ่งเลย

เถรี
14-04-2014, 17:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ท่านดูเหมือนองค์ใหญ่ แต่จริง ๆ ท่านองค์เล็ก ส่วนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศเหมือนจะองค์เล็ก แต่จริง ๆ แล้วท่านสูงใหญ่มากเลย"

เถรี
14-04-2014, 17:53
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "บางคน" ว่า "หลักการดำรงชีวิตง่าย ๆ ก็คือ อะไรที่เป็นความจริงก็ยอมรับไป อะไรที่ไม่จริงก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ แล้วชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ ถ้าใครพยายามปิดบังความจริง ก็ต้องสร้างเหตุขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วจะต้องต่อความยาวสาวความยืดไม่มีที่สิ้นสุด วิ่งชนความจริงให้หงายท้องไปเลย ใครรับได้รับไม่ได้เรื่องของเขา ก็เราเป็นอย่างนี้"

เถรี
14-04-2014, 18:02
มีโยมเอาหนังสือมาบริจาคที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ต้องเอามาอีกนะจ๊ะ อาตมาด่าทิดคอมไปครั้งหนึ่งแล้วว่าทำอะไรไม่ได้คิด เฉพาะหนังสืออาจารย์ก็ไม่มีตู้จะใส่อยู่แล้ว เสือกทะลึ่งไปบอกบุญคนอื่นเขาอีก ทิดคอมบอกว่าเดี๋ยวหลวงพ่อก็ซื้อตู้เพิ่มได้ อาตมาบอกว่าแล้วจะเอาไปตั้งไว้ที่ไหน เพราะที่เต็มแล้ว เจ้านั่นก็ประเภททำอะไรไม่เคยเอาหัวแม่ตีนตรองดู..!

ซื้อตู้เพิ่มอาตมาไม่ได้รังเกียจหรอก แต่ไม่มีที่จะตั้ง เฉพาะหนังสือของอาตมายังมีอีกเป็นห้อง ไม่ได้เอาออกมาเพราะที่ไม่พอ ฉะนั้น..ใครจะเอาหนังสือมาบริจาค ไม่ต้องเอามาเลยนะ ไม่มีที่จะเก็บ"

เถรี
14-04-2014, 18:05
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนดูการ์ตูนของคุณอรุณ วัชระสวัสดิ์ เขาเขียนภาพแผนที่อาเซียน แล้วก็มีรถไฟความเร็วสูงรอบบ้านเราเลย ยกเว้นประเทศไทยที่ยกเอาแผนที่สมัยอยุธยามา

สมัยนี้การสื่อสารเข้าถึงง่าย ข่าวสารต่าง ๆ ไปได้กว้างไกลมาก จึงไม่สามารถจะปิดหูปิดตาชาวบ้านได้เหมือนสมัยก่อน เพราะฉะนั้น..อะไรที่ส่อไปลักษณะ ๒ มาตรฐาน ทำให้คนที่เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมเกิดความคับแค้นใจ ที่แน่ ๆ ก็คือศาลซึ่งเป็นสถาบันยุติธรรม ดันโดดลงไปเล่นด้วย โดยเฉพาะการตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ บรรลัยจริง ๆ เลย

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าหมั่นไส้ใคร แค่ไปปิดหน่วยเลือกตั้งสักหน่วยเดียวก็พอแล้ว เขาไม่ได้นึกว่าใช้งบประมาณชาติไป ๓ - ๔ พันล้าน ไม่ได้นึกถึงคน ๒๐ ล้านคนที่ไปเลือกตั้ง นึกอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรที่จะโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามที่ส่วนใหญ่ได้รับเลือกเข้าไปเป็นส.ส. กลายเป็นช่วยกันสุมฟืนสุมไฟเผาประเทศของเราไปเรื่อย

เขาไม่ได้นึกถึงภาพส่วนรวม คือเขาเอาเฉพาะผลประโยชน์ของพวกเขา เมื่อเห็นแค่ผลประโยชน์ของตัวเอง มุมมองจะไม่กว้างไกลพอ งบประมาณ ๒ ล้านล้านบาทนั้นจำเป็น ถ้าไม่ลงทุนวันนี้ก็เหมือนกับสนามบินหนองงูเห่า หนองงูเห่าเริ่มต้นที่ ๕ พันล้านบาท มาจบที่ ๘ หมื่นกว่าล้านบาท ให้สิงคโปร์ตีกินไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จนกระทั่งสมัยนั้นเขาพูดกันว่า นักการเมืองคนไหนอยากได้เงินสิงคโปร์ ให้พูดว่าจะสร้างสนามบินหนองงูเห่า พูดวันนี้ วันรุ่งขึ้น ลีกวนยูจะมาเยือนประเทศไทย

แปลกมากที่ตรงว่า ทำไมคนที่แย้งส่วนใหญ่มีการศึกษาสูง ๆ ทั้งนั้น เจตนามองไม่เห็นใช่ไหม ? ลาวตอนแรกว่าจะไม่สร้าง ตอนนี้เริ่มลงมือตอกเสาแล้ว สรุปว่ารอบบ้านเราสร้างหมด แต่บ้านเราศาลห้ามสร้าง..!"

เถรี
15-04-2014, 14:44
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ที่วัดมีเด็กมูเซอ มีเด็กพม่า เด็กกะเหรี่ยง มาขออยู่เพื่อให้อาตมาส่งเรียนหนังสือ คนล่าสุดชื่อไข่หวาน กำลังเข้า ม.๑ กำลังทะมัดทะแมง พวกนี้เวลามาฝากเนื้อฝากตัว ผู้ปกครองเขาจะทำแบบสมัยเก่า คือเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวายตัวอย่างเป็นทางการ ดูแล้วเห็นว่าเป็นแบบธรรมเนียมที่ดี เอาลูกมาฝากให้หลวงพ่อช่วยส่งเรียนหนังสือด้วย นาน ๆ ไปจะอยู่ลักษณะว่า ถ้าพ่อแม่ไม่มีปัญญาส่งเรียนหนังสือให้ไปอยู่วัดท่าขนุน คราวนี้จำนวนเริ่มมากแล้ว

ต้องตั้งใจเรียนและต้องขยัน เพราะว่างานวัดโดยเฉพาะงานครัวมีเยอะ นอกเวลาแม่ชีก็ยังใช้ไปปลูกผักและเลี้ยงหมาทั้งวัน เด็กพวกนี้จะขยันไปโรงเรียน เพราะอยู่ที่วัดจะโดนใช้หัวทิ่มหัวตำ..!"

เถรี
15-04-2014, 14:50
พระอาจารย์กล่าวถึงคนตั้งครรภ์ว่า "ถ้าท้องยกขึ้น โบราณเขาว่าเป็นลูกชาย ถ้าท้องลาดลงจะเป็นผู้หญิง ฉะนั้น..ไม่ต้องไปทำอัลตร้าซาวน์หรอก โบราณท่านไม่ค่อยพลาด

ส่วนตำราของอาข่าหรืออีก้อ ที่เขาหามิดะ ก็คือ ผู้หญิงที่จะสอนเพศศึกษาให้กับพวกวัยรุ่นในหมู่บ้าน เขาจะเอาเด็กผู้หญิงที่เกิดมาคว่ำหน้าลง เขาบอกว่าผู้หญิงที่คลอดออกมาท่านั้นจะเป็นหมันทุกคน ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เขาเลือกกันมาอย่างนั้น แล้วก็เป็นหมันจริง ๆ ลองสังเกตดู ใครคลอดธรรมชาติ ถ้าลูกผู้หญิงออกมาคว่ำหน้าลง ลองดูว่าจะเป็นหมันไหม ?

เรื่องมิดะ ทางเหนือเขาปฏิเสธว่าไม่มี เพราะว่าเขาอาย ความจริงเป็นเรื่องที่โคตรจะทันสมัยเลย ต้องบอกว่าเป็นการเปิดกว้างมาก เพราะว่าผู้หญิงถ้าท้องจะมีแต่คนแย่งกันสู่ขอ เขาถือว่าลูกเทวดามาเกิด ขณะเดียวกันถ้าแต่งงานผู้หญิงสาวมาจะขาดทุน ถ้าแต่งงานผู้หญิงท้องมาได้แรงงานเพิ่ม ฉะนั้น..ผู้หญิงท้องค่าตัวจะแพงกว่าปกติ

ปรากฏว่างานวิจัยที่พวกฝรั่งไปทำ เขาว่ามีทั้งนั้นแหละ สรุปว่าคุณจรัล มโนเพ็ชร โดนด่าฟรี ขนาดว่าเพลงมิดะเปิดไม่ได้เลย มีใครเก็บเพลงนี้ไว้หรือเปล่า ? บนฟ้ามีเมฆลอย บนดอยมีเมฆบัง มีสาวงามชื่อดังอยู่หลังแดนดงป่า มีกะลาล่าเซอ ฯลฯ ...... กะลาล่าเซอคือลานสาวกอด

จริง ๆ พวกลานสาวกอดต้องบอกว่าเป็นทางออกของสังคมอย่างหนึ่ง ถ้ามีอย่างนั้นคงไม่มีใครเสียเวลาไปฉุดสาว เพราะเลือกได้ตามใจชอบ ถ้าผู้หญิงเขาชอบผู้ชายคนไหน เขาจะหยิบหรือขโมยอะไรบางอย่างของผู้ชายไป ผู้ชายต้องไปขอว่าจะคืนหรือไม่คืน ไปตกลงกันเป็นคืนเป็นวัน..!"

เถรี
15-04-2014, 15:45
มีโยมมาปรึกษาเรื่องการมีบุตร พระอาจารย์บอกว่า "โชคดีที่สุดในโลกแล้ว ถ้ามีลูกจะสาหัสกว่านี้อีกเยอะ ไม่รู้หรอกว่าไอ้ตัวเล็กกว่าจะเลี้ยงโตนั้นแสบแค่ไหน เลี้ยงโตมาแล้วจะดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้อีก

ถ้าอยากมีลูกจริง ๆ ลงไปแถว ๆ อำเภอธารโต จังหวัดยะลา พวกเงาะซาไกแถวนั้นแม้จะล้าหลังก็จริง แต่เขามีสมุนไพรบางตัว กินแล้วไม่ให้มีลูก และถ้าอยากมีลูก ต้องไปกินสมุนไพรอีกตัวถึงจะมี ลองไปถามเขาดู แถวนั้น ขออย่างที่กินแล้วมีลูกมาลองดู

คนที่เขามีลูก เลี้ยงลูกไปก็แทบจะผูกคอตาย ส่วนคนไม่มีลูกก็ตะเกียกตะกายเพื่อจะให้ได้ผูกคอตาย เป็นเรื่องอะไรที่แปลกดีเหมือนกัน"

เถรี
15-04-2014, 15:49
มีคนถามเรื่องหลวงปู่เนียม ว่าน่าจะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่โต วัดระฆัง เพราะส่งลูกศิษย์ไปเรียนบาลีที่วัดระฆัง พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนหรือสมัยนี้ก็เหมือนกัน มีสายสัมพันธ์ที่ไหน ถึงเวลาก็ติดต่อไปที่นั่น อย่างวัดปากน้ำไปบูรณปฏิสังขรณ์วัดบางปลาหมอจนสวยเลิศเลอไปเลย ถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วจะไปทำทำไม ?

แถวอำเภอสองพี่น้องก่อนนี้มีหลวงปู่องค์หนึ่ง ที่ชอบนั่งเรือพายไปพายมา ไม่ค่อยอยู่วัด นั่นก็สุดยอดฝีมือเหมือนกัน คนก็คิดว่าท่านเองไม่ค่อยอยู่กับวัดกับวา เตร็ดเตร่ไปเตร็ดเตร่มา ใครจะไปรู้ว่าพระดีขนาดนั้นท่านไปลอยเรืออยู่ในแม่น้ำ"

เถรี
15-04-2014, 16:17
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งบอกว่า มาวัดแล้ว พวกน้า ๆ เตือนว่าอย่าไปวัดบ่อยนัก เดี๋ยวจะโดนพระทำเสน่ห์ สรุปว่าในสายตาเขานี่พระเลวร้ายมากเลย ไม่รู้หรอกว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ทำเสน่ห์

พระพุทธเจ้าสอนให้ทำเสน่ห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ท่านบอกว่ามีทาน คือการให้ปันกับผู้อื่นเขา ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ปิยวาจา พูดดีพูดไพเราะ ใครฟังแล้วก็ยินดีชอบใจ อัตถจริยา ช่วยเหลือในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เขาย่อมจะชอบใจในการช่วยเหลือนั้น สมานัตตตา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาชอบอย่างไรเราทำอย่างนั้น เขาไม่ชอบอย่างไรเราไม่ทำอย่างนั้น

ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้จะเป็นคนมีเสน่ห์มาก จริง ๆ แล้วเขาก็เตือนถูกนะ อย่าไปหาพระบ่อยนักเดี๋ยวจะโดนทำเสน่ห์"

เถรี
19-04-2014, 10:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีคนทำบุญมา เขียนหน้าซองว่า “สร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำ ๕๐ ศอก” ให้เขาไปสร้างเองก็แล้วกันนะ ที่สร้างอยู่ไม่ถึงศอกยังเกือบตาย คนเราก็มักจะจับแพะชนแกะกันไปเรื่อย ถ้าสร้าง ๕๐ ศอกนั้นต้องพากันไปภูเขาทองขนกันมา ไม่รู้ว่าเจ้าของเขาจะตีตายหรือเปล่า ? ตอนที่จะสร้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ ๔ ศอกที่วัดท่าซุง ช่างคำนวณว่าใช้ทองตันครึ่ง ถ้า ๕๐ ศอกนั่นต้องใช้เท่าไร ?"

ถาม : จะมีพอหรือคะ ?
ตอบ : มีพอ..แต่คนแบกจะไหวไหม ? เพราะตอนนั้นกะว่าเอาทหารไปขน คนหนึ่งสัก ๓๐ กิโลกรัม หมอนพพรต้องบอกยกเลิกโครงการ เพราะคน ๔๐-๕๐ คน ต่างคนต่างถือปืน คุมกันไม่อยู่หรอก หมอเขาว่าอย่างนั้น

ที่ประกาศสร้างพระทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้ว เพราะว่าทองคำ ๔๐ กิโลกรัม ไม่ได้หนักใจ ถ้าโยมบริจาคมาไม่พออาตมาก็ไปขนเอา คนเดียวยังพอแบกไหว แต่ ๕๐ ศอกนั่นไปสร้างเองเถอะ ไม่ไหว..ขนลูกศิษย์ไปครบทุกคนยังไม่รู้ว่าจะแบกมาพอสร้างหรือเปล่า ?

ต้องบอกว่าเป็นวาระของประเทศชาติ เหมือนจะดี ๆ แล้วก็กลายเป็นเละ ไม่อย่างนั้นบรรดาทรัพย์แผ่นดินต่าง ๆ ถ้าขึ้นมาช่วยช่วงนี้จะเหมาะมากเลย แต่ถ้าฝ่ายบริหารไม่ดี ขึ้นมาก็เป็นของคนไม่กี่คน ไม่ใช่ของส่วนรวม ถ้าไปขนเอามา รถไฟความเร็วสูงนี่สร้างได้ทั่วประเทศเลย

เถรี
19-04-2014, 10:24
ถาม : ถ้าไปสร้างรถไฟ เอาไปลงทุนเลือกตั้งไม่ดีกว่าหรือคะ ?
ตอบ : เขาไม่ได้นึกเลยว่าเลือกตั้งลงทุนไปตั้งเท่าไร สามสี่พันล้านบาท พอไปตัดสินเข้ากลายเป็นมาตรฐาน ครั้งต่อไปถ้าใครหมั่นไส้รัฐบาล แค่ปิดหน่วยเลือกตั้งหน่วยเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ต้องใช้คนมากเลย ก็จะกลายเป็นวุ่นวายไม่รู้จบไปตลอด

เห็นใครเขาวาดการ์ตูน เขาว่า “สมัยนี้ต้องเอียง” แล้วก็วาดหอเอนปีซ่าไว้ ความจริงผู้ที่ออกมาประท้วง น่าจะประท้วงประเด็นเดียวเรื่องศาลให้ชัด ๆ ไปเลย เพราะว่าเอียงชัดเจนในสายตาของคนอื่น

ถาม : จะเสียหลักนิติธรรมครับ ?
ตอบ : ทุกวันนี้ก็เสียหมดอยู่แล้ว เพราะขนาดฝ่าฝืน พรบ.ฉุกเฉิน เขายังยกฟ้องหมด

เถรี
19-04-2014, 10:29
ถาม : เราไปทำกรรมอะไรไว้คะ ถึงมาเจอแบบนี้ ?
ตอบ : ไปปล้นบ้านตีเมืองเขาจนระส่ำระสายไปหมด ก็เจอเอาคืนบ้าง ของเราเองที่ชัด ๆ เลยก็ ลาว เขมร ญวน เล่นเขาสาหัส ลองไปคุยกับคนลาวดูสิ เขาจะเกิดทัศนคติไม่ดีเหมือนกับที่เรารู้สึกกับพม่านั่นแหละ

ถาม : เราก็ชอบพูดจาดูถูกเขาด้วย ?
ตอบ : เรื่องดูถูกอะไรไม่เท่าไรหรอก ที่หนักก็คือเรื่องที่เราไปปล้นบ้านตีเมืองเขานั่นแหละ ขนาดใครไปหลวงพระบาง (เชียงทอง) มัคคุเทศก์คุยไปคุยมาก็จะชี้ว่า นี่แหละแท่นพระเจ้าแก้ว แต่ตอนนี้คนไทยปล้นไปแล้ว

ฉะนั้น..ไม่ว่าจะลาว เขมร ญวน เราเคยไปเฉ่งเขาเอาไว้เยอะมาก ยิ่งสมัยเจ้าพระยาบดินทร์เดชา ตามตีกันทีเป็น ๑๐ ปี ถึงขนาดในหลวงรัชกาลที่ ๓ ต้องมีพระราชหัตถเลขาไป ขอให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชาพักทัพกลับมาเยี่ยมลูกเมียบ้าง ตอนไปเมียจะคลอด กลับมาลูกอายุ ๑๒ ขวบแล้ว..! คนที่ทุ่มเทให้กับงานได้ขนาดนี้ก็มีนะ ๑๐ กว่าปีไม่ได้เจอหน้าลูกหน้าเมียเลย รบอย่างเดียว สมัยนี้มีแต่ในหลวงทุ่มเทให้กับงาน คนอื่นก็เช้าชามเย็นกาละมัง เช้าชามเย็นชามก็ยังพอสมควรใช่ไหม ? นี่เช้าชาม เย็นกาละมัง เกินสมควรไปหน่อย

คุณสุเทพประกาศเมื่อวาน..ใช่ไหม ? ว่าจะเป็นผู้เสนอนายกฯ คนกลาง และลงนามสนองพระบรมราชโองการเอง แล้วเขาจะเอาอำนาจที่ไหนมาเสนอ ? มีกฎหมายอะไรมารองรับ ? ก็คือบ้านเมืองไร้ขื่อไร้แปดี ๆ นี่เอง

เถรี
19-04-2014, 10:36
ถาม : ปฏิวัติครับ ?
ตอบ : ปฏิวัติก็ต้องให้หัวหน้าคณะปฏิวัติลงนาม ต้องโทษพวกเรียนนิติศาสตร์อย่างพวกคุณนี่แหละ ตาชั่งเอียงข้างเห็น ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าไม่ยึดหลักก็หลักลอย พอหลักลอยคนเขาก็เห็นชัดว่าเป็นอย่างไร แล้วนี่พวกเสื้อแดงจะไหวหรือแดดขนาดนี้ ? ยังขำ ๆ ที่เขาบอกว่าไปเกณฑ์ต่างด้าวมา เขาก็เลยต้องงัดบัตรประชาชนให้ดู เรื่องปล่อยข่าวทำลายกันนี่ต้องบอกว่าน่าเกลียดน่าชังมาก คือเรารู้ว่าการโกหกก็ไม่ดีแล้ว แล้วนี่การโกหกยังเป็นการทำลายคนอื่นด้วย

ส่วนใหญ่ที่เกิดเรื่องนั้นเกิดจากนักวิชาการ ถ้าเราดูประวัติศาสตร์ที่ผ่าน ๆ มา ศึกษาให้ลึกสักนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ราชวงศ์ไหน จะมีการหักล้างกันลับ ๆ อยู่ข้างใน เพื่อที่มุ่งหวังยศตำแหน่งที่ตนเองต้องการจะได้ จะมีการทำลายล้างผู้อื่นแบบไม่ต้องคำนึงถึงหลักการ เหตุผล หรือศีลธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้เกิดชัยชนะก็พอ

คราวนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ สูญเสียทรัพยากรที่มีคุณค่าไปโดยไม่สมควรที่จะเสีย อย่างตอนผลัดราชวงศ์แล้วฆ่าบริวารเก่าจนหมด ส่วนใหญ่ข้าราชการทั้งหลายเหล่านั้นกลายเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า มีฝีมือ มีประสบการณ์ในการทำงาน ในการบริหารประเทศ มาในยุคปัจจุบันอย่างเราที่เห็น ๆ ก็บ้านเลขที่ ๑๑๑ ตัดเอาคนมีฝีมือออกไป เหลือแต่มวยชั้นสองชั้นสามมายังอุตส่าห์แพ้เขาอีก เฮ้อ..!

เถรี
20-04-2014, 10:00
ถาม : ความรู้สึกที่ไม่ชอบว่ามีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าเราเกิดมาทำไม ไม่มีสาระ ?
ตอบ : อันนี้ต้องบอกว่าปัญญาเริ่มเห็นธรรม ในเมื่อปัญญาเริ่มเห็นธรรมก็ต้องเน้นเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่ายิ่งเน้นก็จะยิ่งชัดขึ้น จนกระทั่งท้ายสุดสามารถก้าวเข้าสู่สังขารุเปกขาญาณ ก็คือปล่อยวาง เห็นความเห็นธรรมดา ยอมรับกฎของกรรมได้ก็จะสบาย ไม่ว่าเกิดสภาวะอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าต้องไปต่อต้านดิ้นรน เพราะธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็จะเกิดความสุขขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

ถาม : กลัวว่าจะกลายเป็นตัวไม่พอใจ ?
ตอบ : ดูว่าถ้า รัก โลภ โกรธ หลง ยังเกิดก็เป็นกิเลส ถ้า รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิด พร้อมที่จะจากไปตลอดเวลา อันนั้นเป็นปัญญา

เถรี
20-04-2014, 10:05
มีโยมลองใส่เสื้อยันต์เกราะเพชรพิชัยสงคราม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เสื้อไม่สวยที่สุดในโลกหรอก แต่น่าจะขลังที่สุด เพราะด้านหลังมีพระพุทธเจ้า ๓๗ พระองค์เข้าไปแล้ว เขาเอาเคล็ดมาจากโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ธรรมที่เป็นเครื่องตรัสรู้ จะมีอิทธิบาท ๔ สติปัฏฐาน ๔ สัมปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ รวมแล้ว ๓๗ อย่างด้วยกัน แล้วก็มีสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วก็มีพระพุทธเจ้า ๓๖ พระองค์ล้อมอยู่

คาถา ๓ ตัวก็กำแพงแก้ว ๗ ชั้น พุทธัง สัตตะปการัง ธัมมัง สัตตะปะการัง สังฆัง สัตตะปะการัง ปกติจะไม่กล้ารบกวนสมเด็จองค์ปฐมท่าน แต่งานนี้เป็นรูปท่าน อย่างไรก็คงต้องเอา"

เถรี
21-04-2014, 09:50
ถาม : พี่ที่อยู่นอร์เวย์ได้รับเชิญไปพูดที่โบสถ์คริสต์ให้คริสตศาสนิกชนฟังเรื่องพุทธศาสนา ได้รับคำถามที่น่าสนใจจากคริสตศาสนิกชน เช่น เขาถามว่าอะไรคือแก่นของพุทธศาสนา ?
ตอบ : แก่นแท้ของพุทธศาสนา คือ ละเว้นความชั่วทั้งปวง (ละกายชั่ว - ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราเมรัย, ละวาจาชั่ว - ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาที่เพ้อเจ้อไร้ประโยชน์, ละความชั่วทางใจ - คิดโลภ อยากได้จนเกินพอดี (ถ้าไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมจัดเป็นสัมมาอาชีวะ) คิดอาฆาตพยาบาท (โกรธได้ แต่โกรธแล้วให้ลืมเสีย) มีความเห็นผิด (คิดว่าไม่มีศาสนาก็เป็นคนดีได้ ฯลฯ)

ทำแต่ความดีให้ถึงพร้อม (ดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ตรงข้ามกับข้างบน) พยายามละกิเลส (ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ = หลงผิด เห็นความชั่วเป็นความดี) ให้หมดไปจากใจ

ถาม : อะไรคือหลักคำสอนและหลักปฏิบัติของพระพุทธองค์ที่สามารถนำมาใช้ในการดำรงดำรงชีวิตประจำวันได้ ?
ตอบ : ศีล (สำหรับคนเริ่มต้น) สมาธิ (สำหรับคนที่รักษาศีลได้แล้ว) ปัญญา (สำหรับคนที่รักษาศีลและทรงสมาธิได้)

เถรี
21-04-2014, 09:52
ถาม : อะไรคือ Meditation ? ท่านปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : การสงบนิ่ง ไม่มีการปรุงแต่งให้ รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มปฏิบัติด้วยการกำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น รู้สึกตัวเมื่อไรให้รีบดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจใหม่ แรก ๆ ก็ต้องสู้กันหนัก นานไปเมื่อมีความคล่องตัว ก็จะสามารถสงบได้ในทุกเมื่อ

ถาม : ปรัชญาแห่งศาสนาพุทธและการเจริญสติมีส่วนเหมือนกันหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อมีสติก็จะระลึกได้ว่า เราต้องเว้นจากความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม (สมบูรณ์) เพื่อจะได้มีปัญญาในการชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกองกิเลส

เถรี
21-04-2014, 09:53
ถาม : เราสามารถนับถือศาสนาพุทธและคริสต์พร้อมกันได้หรือไม่ ?
ตอบ : ศาสนาไหนที่หลักการปฏิบัติไม่ขัดกัน ย่อมสามารถนับถือและปฏิบัติพร้อมกันได้

ถาม : หากให้ท่านจินตนาการว่าพระพุทธเจ้าและพระเยซูคริสต์สนทนากัน ท่านคิดว่าท่านทั้งสองจะสนทนากันเรื่องอะไร ?
ตอบ : เราทั้งสองสอนให้พวกเขาทำความดี ละเว้นความชั่ว หวังว่าพวกเขาคงไม่เอาหลักการเหล่านี้ไปคุยข่มกัน ว่าของใครดีกว่า เพราะจะเป็นการเพิ่มกิเลสแทนที่จะเป็นการลดกิเลส

เถรี
21-04-2014, 10:00
พระอาจารย์เล่าประวัติครอบครัวให้ฟังว่า "โยมพ่อแต่งงานกับแม่ใหญ่ที่เมืองจีน แต่ตอนอพยพมาเมืองไทย แม่ใหญ่กับพี่สาวคนโตไม่มาด้วย โยมพ่อก็เลยต้องมากับพี่ชายคนโตเพียงสองคน พอมาเมืองไทยก็มาแต่งงานกับโยมแม่ อายุห่างกันมาก ห่างกันเกือบสองรอบ เพราะถ้าพ่ออยู่ปีนี้อายุ ๑๑๓ ปีแล้ว แม่ยัง ๘๐ กว่าปีอยู่เลย

เมื่อทำงานได้เงิน โยมพ่อก็ฝากเงินไปทางโพยก๊วน สมัยก่อนพวกที่มาจากเมืองจีนต้องฝากเงินผ่านโพยก๊วนกลับไป เพราะไม่มีระบบธนาคาร พวกโพยก๊วนนี่ต้องบอกว่าเป็นต้นตำรับธนาคารนั่นแหละ แต่ว่าเป็นธนาคารที่ส่งไปต่างประเทศโดยเฉพาะ เสียค่าธรรมเนียมให้เขานิดหน่อย แล้วเขาส่งให้ถึงทุกที่ สมัยนี้ยังเก่งสู้ไม่ได้เลย

คนสมัยก่อนเขามีความซื่อตรง ประเภทที่เขาสอนกันว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” สมัยเด็ก ๆ เวลารถเมล์วิ่งมา เป็นรถที่มีโครงตัวถังเป็นไม้ ต้องใช้หมุน ๆ หัว กว่าจะสตาร์ทติดเหงื่อท่วมตัว ก็ฝากข้าวฝากของ ฝากเงินฝากทองไปได้ ไม่หาย ฝากไปถึงใครที่บ้านเป็นทางรถเมล์ผ่าน เขาก็ช่วยเอาไปส่งให้ ถ้าเราจะเอาของไปขายในเมือง แล้วตัวเองไม่ว่าง ก็ฝากเขาไปได้ กระเป๋ารถเมล์กับคนขับรถจะไปจัดการให้เสร็จสรรพ เขาก็รับค่าแรงไปนิดหน่อย ดู ๆ แล้วว่าสังคมยุคนั้นดีตรงที่ว่า เพื่อนบ้านรอบข้างช่วยเป็นรั้วแทน ถึงเวลาทำมาหากิน มีอะไรก็แบ่งสรรปันส่วนกัน บ้านโน้นแกงหม้อหนึ่งก็ตักมาแบ่งบ้านนี้ถ้วยหนึ่ง เวลาบ้านนั้นมีอะไรก็เอาไปแบ่งกัน แบ่งปันสู่กันกิน

คราวนี้พอโยมพ่อส่งโพยก๊วนหลายทีก็มีพิรุธให้แม่จับได้ แม่ก็เลยจัดการส่งเอง ถ้าบอกตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตั้งนาน แล้วแม่เขามีนโยบายอย่างที่บอกว่า ส่งลูกให้เรียนทุกคน พวกพี่ชาย พี่สาวส่วนใหญ่จะเรียนภาษาจีน เพราะตอนนั้นสังคมรอบข้างยังใช้ภาษาจีนกันหมด แม้กระทั่งรุ่นอาตมาไปโรงเรียนยังพูดไทยไม่ได้เลย ครูต้องตีบังคับให้พูดไทย พอครูตีอาตมาก็ด่าเป็นภาษาจีน ครูก็ตีหนักขึ้นเพราะครูฟังออก..!

คราวนี้เมื่อลูกเรียนกันมาก ๆ แม่ก็ส่งไม่ไหว รุ่นของพี่ก้องเรียนที่บางลี่บ้านตาบ้านยาย โรงเรียนอุภัยภาดาวิทยาคม มารุ่นของพี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์เรียนโรงเรียนบ้านยาง (อินทรศักดิ์ศึกษาลัย) ที่กำแพงแสน ต้องขี่รถจักรยานไปกลับวันละ ๒๒ กิโลเมตร รุ่นพี่มุกดากับอาตมาเรียนโรงเรียนการบินกำแพงแสน ต้องขี่รถจักรยานไปกลับวันละ ๑๒ กิโลเมตร"

เถรี
21-04-2014, 10:05
"อาตมาไม่เคยไปโรงเรียนสาย จะไปแต่เช้าทุกวัน ไปช่วยภารโรงเปิดห้องเรียน คราวนี้ห้องเรียนมีเยอะมาก เพราะมีทั้งโรงเรียนประถมฐานบินกำแพงแสน โรงเรียนมัธยมฐานบินกำแพงแสน พื้นที่มีเยอะก็เลยมีสารพัดห้อง ระดับมัธยมมีห้องภาษาอังกฤษ ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องภาษาไทย นักเรียนเดินเรียน ครูอยู่กับที่ พอถึงเวลาก็หิ้วกระเป๋า หิ้วรองเท้าเดินไป วางรองเท้าหน้าห้อง เข้าห้องเรียนไปสวัสดีคุณครูแล้วก็เรียน ถ้าอยู่ห้องคิงก์ ถึงเวลาชั่วโมงภาษาอังกฤษเขาจะมารับไปเข้าแล็บ จะมีลิงกัวโฟนที่เขาเอาไว้ฝึกนายทหารไปต่างประเทศ ก็เลยค่อนข้างจะได้เปรียบที่อื่นเขาในเรื่องภาษา

พอเรียนจบ มศ.๓ อยากจะเรียนต่อ แต่แม่บอกว่าส่งไม่ไหวแล้ว ให้น้องเรียนบ้าง เพื่อน ๆ ก็ชวนไปสมัครเรียนกัน อาตมาไปเป็นเพื่อนเขาเฉย ๆ ตอนนั้นโรงเรียนพาณิชยการบ้านโป่งเปิดเป็นปีแรกพอดี พอเอาใบสุทธิ สมัยก่อนไม่ใช่ รบ. นะ เป็นใบสุทธิ เอาไปให้ เขาเห็นเปอร์เซ็นต์การเรียน เขาบอกว่า “ไม่ต้องสมัคร รับเลย” แค่จ่ายค่าเทอมเท่านั้นพอ กลับมาบอกแม่ว่าค่าเทอม ๑,๒๐๐ บาท แม่บอกไม่มีปัญญาส่งหรอก แพงโคตรเลย..สมัยนั้น

สมัยนั้นการเรียนระดับพาณิชยการหรือว่า ปวช. เริ่มดัง คนนิยมเรียนกันมาก เพราะถือว่าเรียน มศ.๔ มศ.๕ กับมหาวิทยาลัยรวมแล้วเสียเวลาไปตั้ง ๖ ปี ไปเรียนพาณิชย์ ๒ ปีก็ทำงานได้แล้ว เขาก็เลยนิยมเรียนกัน อาตมาไม่มีสิทธิ์เรียน แม่ยืนยันว่าส่งไม่ไหว ฉะนั้น..ไปทำงานเถอะ ก็เลยต้องเข้ากรุงเทพฯ มาหัดงาน

ไม่อยากจะบอกว่า ที่แรกที่มาหัดงานในกรุงเทพฯ ก็คือตรงตลาดพลูนี่แหละ น่าจะประมาณต้นปี ๒๕๑๙ พอออกจากชั้น มศ.๓ ก็มาหัดงาน สมัยก่อนถ้าอยากทำงานเป็น ต้องไปรับใช้จนกระทั่งนายช่างเขายอมถ่ายทอดวิชาให้ พี่ชายคือพวกพี่ก้องเกียรติ พี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์ ไปหัดงานกันถึงปากช่อง นครราชสีมา ไปฝึกงานซ่อมรถยนต์ แล้วก็มาเปิดอู่ซ่อมรถกัน

อาตมาเองก็มาหัดงาน จำได้ว่าชื่อร้าน จ.แสงยนต์ เป็นตึกแถว ๓ ชั้น ตอนนั้นถือว่าเป็นอาคารที่ใหญ่โตมโหฬารในความรู้สึกของตัวเอง เพราะว่าสมัยนั้นอาคารที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คือตึกโชคชัยสเต็กเฮาส์ ของฟาร์มโชคชัย สูงตั้ง ๒๒ ชั้น อยู่ตรงสุขุมวิท แล้วก็มีอีกที่คือโรงแรมอินทรา ตรงประตูน้ำออกมาทางด้านราชปรารภ ที่สูงกว่าใครในช่วงนั้น เขาคงรื้อทิ้งไปนานแล้ว ตึกสูงที่สุดในประเทศไทยสูงตั้ง ๒๒ ชั้น สมัยนี้ ๒๒ ชั้นเป็นเรื่องปกติทั่วไป คอนโดมีเนียมที่ไหนก็ทำได้"

เถรี
21-04-2014, 10:09
"หัดงานอยู่ ตื่นตี ๕ นอนตี ๓ ไม่ได้พูดเล่นนะ เรื่องจริง เพราะว่าเขาต้องใช้งานจนคุ้ม ทำงานก็ดึก ๆ ดื่น ๆ งานหนัก แล้วบางทีง่วงมาก ๆ เวลาถอดล้อรถยนต์พวก ๖ ล้อจะโดนทับตาย เพราะว่าสมัยนั้นยังตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ อยู่ พอไปถอดล้อรถก็ต้องใช้กากบาท ไม่มีแม่แรงลมเหมือนสมัยนี้ ถอดน็อตเสร็จถึงเวลางัดล้อออกมา มัวแต่งงขี้ตาอยู่เพราะง่วงจัด จะโดนล้อรถทับตาย..!

ทำงานอยู่หลายปี น่าจะ ๒ ปีกว่าเริ่มเป็นงาน จึงไปสมัครงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม อยู่ท้ายซอยอ่อนนุช เป็นโรงงานผลิตตู้เซฟยี่ห้อโตโยมิสุ ตู้เซฟยี่ห้อนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีอยู่อาตมามั่นใจว่าปลดล็อกได้ทุกตู้ ไม่ต้องใช้คาถาอะไรหรอก เพราะจำรหัสได้ จะตั้งรหัสเดียวกันทุกตู้ เวลาออกจากโรงงานจะเป็นรหัสเดียวกันหมด ถึงเวลาก็ให้เจ้าของไปเปลี่ยนรหัสใหม่เอาเอง ถ้าใครไม่เปลี่ยนอาตมาสามารถปลดล็อกได้หมด

ทำอยู่ ๗ เดือนเขาเลื่อนให้เป็นหัวหน้าแผนกสี เข้าไปใหม่ ๆ ค่าแรงวันละ ๒๕ บาท ๖ วันจ่ายที เขาจะจ่ายเป็นสัปดาห์ แล้วก็รอไปเถอะ เถ้าแก่มาจ่ายเงินไม่เป็นเวลาหรอก บางวัน ๔-๕ โมงเย็นก็มาแล้ว บางวัน ๓ ทุ่มกว่ายังไม่มาเลย จนกระทั่งไปโวยวายกับแม่บ้านชื่อพี่เอื้อย ว่าทำไมเถ้าแก่ไม่เห็นใจพวกผมเลยหรือ ? มาจนดึกขนาดนี้ นี่พวกผมยังต้องกลับบ้านอีก เขาบอกว่า “เราก็ต้องเห็นใจเถ้าแก่ด้วย พกเงินมาทีเยอะ ๆ ถ้ามาตรงเวลาถูกเขาดักปล้นเอาได้เหมือนกัน” ก็จริงของเขา แกมาไม่เคยตรงเวลาสักครั้ง มาเช้า มาเย็น มาสาย มาดึก ค่าแรง ๒๕ บาทต่อวัน กินอยู่เอง รับเงินครั้งแรก ๑๕๐ บาทรู้สึกว่าเยอะจริง ๆ

ทำงานไปทำงานมา ๗ เดือน เขาเลื่อนขึ้นให้เป็นหัวหน้าแผนกสี ค่าแรง ๗๐ บาทต่อวัน ก็คิดว่า เออ..ฝีมือของเราเพียงพอที่จะหางานทำที่อื่นแล้ว ก็เลยลาออก เพราะว่าอายุก็น้อย โตเร็วเกินไป คนที่หมั่นไส้ก็มี เลยลาออกไปหางานทำที่อื่น ไปได้งานอู่ซ่อมรถยนต์ กลายเป็นเด็กหัดใหม่อีก การทำสีตู้เซฟ ตู้เซฟเป็นเหลี่ยม ๆ คุณทำอย่างไรก็ได้ ให้เป็นสี่เหลี่ยมเรียบกริบขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว แต่รถยนต์ชิ้นส่วนมีโค้ง ๆ ตายละวา..ต้องมาเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว"

เถรี
22-04-2014, 13:10
"พระครูแสงเขาทำงานมาก่อน พระครูแสงติดนิสัยพี่ชายคนใหญ่มา ทำงานละเอียดมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นคนใจร้อน นิสัยขี้โมโห แต่ถ้าเรื่องของงานศิลป์นี่เขาจะละเอียด พระครูแสงเขาวาดรูปเก่งมาตั้งแต่เด็ก เขาเลียนแบบการ์ตูนได้เหมือนต้นฉบับเลย เขาก็เลยทำงานได้ดีกว่า ทำไปทำมาพี่ประสิทธิ์เปิดอู่ซ่อมสีรถ พี่ก้องเกียรติเปิดอู่ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ พี่สุรกานต์ช่วยงานพี่ก้องเกียรติอยู่ พี่ชูชาติเป็นพี่เขยก็ซ่อมเครื่อง กลายเป็นคนละทิศคนละทางกันหมด

คราวนี้อาตมาถนัดงานสี ออกมาก็เลยกลายเป็นมาช่วยงานพี่ประสิทธิ์ จากที่ตัวเองมีค่าแรงวันละ ๗๐ มาช่วยงานพี่ประสิทธิ์กลับไม่มีค่าแรง เพราะพี่ประสิทธิ์เขาบอกว่า “เอ็งทำ ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวกิจการนี้ข้าก็ยกให้เอ็ง” พี่ประสิทธิ์เขาตั้งใจอยู่อย่างหนึ่งว่าจะบวช งานทุกอย่างก็ทำเพื่อพ่อ เพื่อแม่ เพื่อพี่น้อง ไม่ได้เพื่อตัวเองเลย แกคิดจะบวชอย่างเดียว

ช่วงที่มาทำงานกับพี่ประสิทธิ์นี่แหละ มีโอกาสได้เจอหลวงพ่อฤๅษี เพราะว่าช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๑๙ ปลาย ๆ ปี ได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อฤๅษีมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ตอนที่โยมพ่อตาย พี่ก้องเกียรติก็เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานไปให้ ตอนนั้นพิมพ์เป็นครั้งแรกเลย เห็นว่าอาตมาดูแลพ่อมาทั้งวันทั้งคืน ๖ ปีเต็ม ๆ ก็เลยเอาหนังสือกรรมฐานไปทิ้งไว้ให้ บอกว่า “อ่านดู..ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจที่พ่อตาย”

พออ่านก็เสร็จ..ติดหนับเลย ก็แอบฝึกไปเรื่อย คราวนี้พอความสนใจมากขึ้น ๆ ประกอบกับ ๒ ปีก่อนหน้านั้นครูเขาสอนพื้นฐานการปฏิบัติกรรมฐานให้แล้ว ช่วงนั้นใคร ๆ ก็เลยว่าครูกับลูกศิษย์คู่นี้มันบ้า อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าเขาชวนไปทำบุญกับหลวงพ่อ ใหม่ ๆ ไม่ไปหรอก ฝากเงินไปทำบุญครั้งละ ๑๐ บาท สมัยนั้นยังมีธนบัตรใบละ ๕ บาท ๑๐ บาทอยู่ พอทำไปทำมาก็สงสัยว่าเขาไปอะไรกันทุกเดือน ๆ ก็เลยเกาะท้ายมอเตอร์ไซค์พี่เขาไปด้วย เสร็จแล้วฝึกมโนมยิทธิได้ ท้ายสุดไม่ต้องให้เขาชวนหรอก ไปเองเลย"

เถรี
22-04-2014, 13:13
"ทำงานไปจนอายุ ๒๑ ปี มีหมายเกณฑ์มา ให้ไปคัดเลือกทหาร ช่วงนั้นเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อให้ตัดสินใจ เพราะว่าพี่ประสิทธิ์หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นคนรับช่วงกิจการ แต่ว่าพระครูแสงเขาไปทำอยู่ก่อนแล้วตั้ง ๓ ปี พระครูแสงเรียนจบ ป.๗ ก็เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเลย ไม่เรียนมัธยม ส่วนอาตมายังตื๊อเรียนมัธยมมาอีก ๓ ปี หาเงินเรียนเอง คราวนี้ด้วยความที่พระครูแสงมาก่อน แกก็ทำงานแบบไม่มีเงินเดือนเหมือนกัน โดยมีความหวังว่า ท้ายสุดกิจการนี้ก็เป็นของแกเหมือนกัน ก็มานึกแบบเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า ถ้าเรามาก่อน ๓ ปี เขาบอกว่ากิจการนี้จะยกให้เรา แล้วอยู่ ๆ พอพี่ชายมาเขาบอกจะยกให้คนอื่น ถึงเป็นพี่เราก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน จึงอยู่ในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจ

พอมีหมายเกณฑ์มาเลยตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า ตกลงเราไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาแย่งสมบัติกัน ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปเป็นทหาร แต่คราวนี้แม่สิ แม่ไม่เคยยอมให้ลูกเป็นทหารสักคน ไปวิ่งเต้นเสียเงินเสียทองให้กับทางอำเภอมาทุกคน ก็ห้ามแม่ไว้ว่าอย่าไปเสียเงิน แม่ก็เลยเอาแบบว่า มีหลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนศักดิ์สิทธิ์พาไปหมด ไปบนไม่ให้ลูกเป็นทหาร

อาตมาไปถึงก็จุดธูปจุดเทียนกราบงาม ๓ ครั้ง บอกว่า “หลวงพ่อครับ อยู่เฉย ๆ นะครับ ผมอยากเป็น” ไม่อยากให้หลวงพ่อมายุ่งกับอนาคตของตัวเอง ว่าอย่างนั้น พอถึงวันคัดเลือกก็ไปสมัคร เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ออกมาบอกว่า “แม่..เรียบร้อยแล้วครับ ได้ใบแดง” แม่บอกว่า “เอ็งไม่ต้องมาโกหก ปีที่แล้วเขาจับกันตอนบ่าย เอ็งไปสมัครใช่ไหม ?” แม่พาลูกมาหลายคน..แกรู้ จากอำเภอมาถึงบ้าน แม่แกด่าจากอำเภอยันมาถึงบ้านเลย..!"

เถรี
22-04-2014, 13:19
"วันแรกเขาพามาแยกตัวกันที่มณฑลทหารบกที่กรุงเทพฯ นี่แหละ ตรงกองพลที่ ๑ เขาแจ้งว่าวุฒิฯ มัธยม อายุยังไม่เกิน ๒๓ ปี สามารถเรียนต่อนักเรียนนายสิบ ได้จะเรียนไหม ? ก็เกิดแรงบันดาลใจว่า เราอยากเรียนมานานแล้ว สมัยนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าการเรียนทหารไม่เสียเงินเสียทอง เพราะไม่เหมือนกับสมัยหลัง ๆ ที่ทางโรงเรียนจะมีคนเข้าไปแนะแนวการศึกษาให้ สมัยนั้นต้องตรัสรู้เอง ก็เลยไม่รู้ ถ้ารู้นี่โดดเข้าไปเรียนนานแล้ว

พอเข้าไปแล้วถึงจะรู้ว่าไม่ต้องเสียอะไรเลย เสื้อผ้า ที่อยู่ที่กินอะไรเขาให้หมด แล้วมีเบี้ยเลี้ยงให้อีกต่างหาก พอมีให้เรียนก็เลยไปเรียน ผลการเรียนก็ดันออกมาเกินชาวบ้านชาวเมืองเขาอีก เพราะฉะนั้น..ถึงเพื่อนฝูงเขาจะเหม็นขี้หน้าขนาดไหน เขาก็ต้องพึ่งพาอาศัย เพราะเขาต้องให้ช่วยเขาในเรื่องเรียน

จนกระทั่งไปถึงจุดอิ่มตัวตรงที่ว่า ทำงานตรงไปตรงมาแล้วไปขวางทางเพื่อน เขาก็เลยฟ้องร้อง ตอนนั้นอาตมามีหน้าที่คุมพวกของหนีภาษีไปส่งคลัง ปกติแล้วจะหายหกตกหล่นเข้ากระเป๋าคนอื่นเป็นประจำ คราวนี้อาตมาไปลงบัญชีทุกชิ้น มีการเซ็นรับเซ็นส่ง เบี้ยวไม่ได้ กลายเป็นไปเกะกะทางเขา เขาก็เลยฟ้องเอา

ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวว่าโดน มารู้เอาตอนที่จ่ากองพันเขามากระซิบถามว่า “เอ็งไปทำอะไรผิดหรือเปล่า ? เจ้านายเขาสั่งตรวจสอบบัญชีทุกธนาคาร แล้วก็ไปรษณีย์ด้วย ว่ามีการฝากเงิน โอนเงิน ส่งเงินกลับบ้านหรือเปล่า ?” อาตมาก็สังหรณ์ใจว่าเรื่องอะไร อยู่ ๆ เจ้านายมาตรวจสอบ ตอนนั้นก็ยังซื่อเกินไป ไม่รู้หรอกว่าโดนเพื่อนเล่นเข้าให้แล้ว"

เถรี
22-04-2014, 13:20
"ในที่สุดก็มีหนังสือจากกองพันแจ้งมาว่า ให้เข้าไปที่กองพลเพื่อรับการสอบสวน พอได้ยินเท่านั้นแหละ เกิดความรู้สึกว่า “ในเมื่อกูทำดีไม่ได้ดี แล้วจะทำไปทำไม ?” ก็เลยพิมพ์ใบลายัดใส่อกเสื้อไปด้วย พอไปให้เขาสอบสวนก็ให้การตามความเป็นจริง ปรากฏว่าคณะกรรมการตัดสินว่าไม่มีความผิด อาตมาก็วางใบลาโป้ง..! ลงต่อหน้าคณะกรรมการเลย บอกว่าผมขอลาออกครับ บรรดาเจ้านายเขาก็ตกอกตกใจกัน

ส่วนใหญ่แล้วทหารไม่มีใครกล้าลาออกจากงาน เพราะเขาทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่อาตมาทำอะไรก็ได้ เขาก็ยังบอกว่า “ถึงออกไปแล้วมาทำงานให้กูแล้วกัน กินเงินเดือนกู” อาตมาก็บอกว่า “ไม่เอาหรอกครับ คนอย่างผมถ้าไปแล้วไปเลย” สรุปว่าเพื่อนเขาอ่านขาด แต่อาตมาไม่เข้าใจเพื่อนเอง เพื่อนเขารู้ว่าถ้ามัวหมองขึ้นมาลักษณะอย่างนี้อาตมาจะไม่อยู่ ต้องถอยให้เขาอยู่ดี แต่อาตมาเองไม่รู้จักเพื่อน ว่าเพื่อนเราถึงเวลาแล้วไปขัดผลประโยชน์ เขาก็มาเหยียบกันอย่างนี้ก็ได้..!

เพราะว่าถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีความผิด แต่ประวัติติดตัวแดงไปแล้ว ว่าเคยโดนสอบสวนข้อหาทุจริต พอถึงเวลาถ้าเป็นคู่แข่งใครเพื่อตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เขายกตรงนี้ขึ้นมาตีนี่เสร็จเลย ก็เลยตัดสินใจออก มาหางานทำใหม่"

เถรี
22-04-2014, 13:22
"ช่วงที่ไปสนุกสนานกับชีวิตทหาร พี่ประสิทธิ์ที่ตั้งใจว่าจะบวช กลับไปแต่งงาน เนื่องจากว่าพี่เขาไปถามหลวงพ่อฤๅษีกลางบ้านสายลมต่อหน้าคนเป็นร้อย ๆ เลย ด้วยความเคยชิน นิสัยไม่กลัวใคร เสียงดังฟังชัดอยู่แล้ว ไปถึงก็ถามว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าผมบวชแล้วจะได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ?” หลวงพ่อท่านก็ตอบกลับมาเสียงดังฟังชัดเหมือนกันว่า “โคตรแม่มึงทำเองแล้วกูจะไปบอกได้อย่างไรเล่า..!” เพราะถ้าขยันก็ได้ ถ้าขี้เกียจก็อด

แต่คราวนี้พี่ประสิทธิ์น่าจะวาระกรรมมาถึง เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาท่านทดสอบลูกศิษย์นี่ท่านใส่หนัก ๆ ชนิดไม่เลี้ยงเลย ประเภทที่ว่าถ้าผ่านได้ก็ไปเลย ถ้าผ่านไม่ได้ก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้นแหละ พี่ประสิทธิ์แกไปตีความว่าบวชไปก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น..แต่งงานดีกว่า น่าจะคิดว่าไปเป็นพระอรหันต์ของลูกดีกว่า อะไรอย่างนั้น

เรื่องการแต่งงานอาตมาต้องชมพี่สะใภ้ พี่สะใภ้เขาครอบพี่ชายอยู่หมัดเลย จนกระทั่งทุกคนในบ้านบอกว่า "ตกลงนี่เอ็งแต่งออกหรือแต่งเข้า ?" เพราะว่าจากที่ทำทุกอย่างเพื่อพี่ เพื่อน้อง เพื่อพ่อแม่ กลายเป็นทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวข้างโน้น ต้องบอกว่าพี่สะใภ้คนนี้เก่ง ขนาดพี่เขาถูกรางวัลที่หนึ่งพวกเราก็ไม่มีใครรู้ พี่สะใภ้แอบเอาเงินซื้อที่ไว้ ๒๐ กว่าไร่ที่หนองจอก พวกเรามารู้เอาตอนที่แกจะตายแล้ว ก็ต้องชมว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว แต่ว่าลูกผู้หญิงถ้าทำลักษณะอย่างนั้น ทางบ้านผู้ชายจะไม่มีใครคบด้วยแน่ ๆ"

เถรี
23-04-2014, 10:05
" ฝ่ายพี่ชายที่แต่งงานมีพี่ชายใหญ่แต่งกับพี่บุญฉัตร พี่วิเชียรแต่งกับพี่หงส์ ต้องบอกว่าเป็นพี่สะใภ้ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา พี่ก้องแต่งกับพี่หอม พี่ประสิทธิ์แต่งกับพี่เตียง พี่สุรกานต์คบหาสมาคมกับแฟนมาเป็น ๑๐ ปี ถึงขนาดประเภทส่งเสียให้ร่ำเรียน แต่ปรากฏว่าพอเขาไปเจอที่ถูกใจกว่าเขาก็ไปเลย ตกลงพี่สุรกานต์เขาเลยกลายเป็นโสด

ทางด้านฝ่ายพี่สาวมีพี่อรทัยแต่งกับพี่ไพบูลย์ ก็ไปเป็นเจ้าแม่ทุ่งคอก พี่อรทัยเขาขยัน ทำงานเก็บเงิน ได้เงินมาซื้อห้อง ซื้อตึก ซื้อจนกระทั่งตลาดทุ่งคอกเกือบทั้งตลาดเป็นของเขาหมด พอมีลูกก็ยกให้ลูกคนละหลัง ยกให้หลานคนละหลัง ลูกหลานแต่ละคนทำกิจการ กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ต้องบอกว่าพี่ไพบูลย์แกทำบุญมาโคตรจะดีเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย วัน ๆ ก็เดินแกว่ง กินกาแฟ เล่นหมากรุก กิจการทุกอย่างพี่อรทัยทำหมด พี่เขยคนนี้สุดยอดจริง ๆ ไม่เคยลำบากเลย

พี่พนารัตน์แต่งกับพี่อุดม ต้องบอกว่าพี่พนารัตน์เป็นที่พึ่งของครอบครัวอยู่หลายปี ก่อนหน้านั้นทางพี่อรทัยกับพี่พนารัตน์จะมีเพื่อนซี้อยู่ก็คือพี่อ๋ากับพี่แมว ทั้งสี่สาวนี่ดังระเบิดเถิดเทิง เหมือนอย่างกับว่าเป็นดอกไม้งามอยู่กลางป่า มีแต่คนกล่าวขวัญถึง ขึ้นบ้านกันหัวกระไดไม่แห้ง แล้วก็ประเภทหนังเหนียวจริง ๆ ไม่ยอมแต่งกับใครง่าย ๆ ช่างเลือก ท้ายสุดก็แต่งงานแต่งการไปทุกคน

ถ้าจำไม่ผิด พี่อ๋าไปแต่งกับเจ้าของโรงสีที่นนทบุรี พี่แมวแต่งกับเสมียนโรงแรมวันชัย ที่ปากช่อง ใกล้ทางขึ้นเขาใหญ่ แต่ว่าไม่ได้พึ่งกิจการสามีเท่าไรหรอก เพราะว่างานเสมียนสมัยก่อนก็อย่างว่าแหละ ดูแลกิจการเหมือนกับเป็นของตัวเอง ทุ่มเท แต่ได้เงินเดือนหน่อยเดียว พี่แมวเขามาเปิดร้านขายอาหารชื่อพรมงคลอยู่ที่ตลาดปากช่อง พอดีช่วงนั้นการออกอีสานมีอเมริกาตัดถนนให้ ปากช่องกลายเป็นชุมทางใหญ่ โอ้โฮ..รวยไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่ารถทัวร์พอถึงเวลาก็มาจอง ขนาดทำอาหารไม่ไหว จ้างลูกจ้างเป็น ๑๐ คนก็สู้ไม่ไหว ต้องบอกว่าแต่ละคนเขาก็มีทางชีวิตของเขาเอง

พี่อรวรรณแต่งกับพี่ชาติ พี่ชาติจริง ๆ ก็ทำงานอยู่กับพี่ก้องนั่นแหละ ทำไปทำมาก็เลยคว้าเอาพี่อรวรรณไปด้วย ประเภทที่ว่าทำงานอยู่ด้วยกันมานาน จากลูกน้องก็มาเป็นน้องเขยแล้วกัน"

เถรี
23-04-2014, 10:20
"คนสุดท้ายในบ้านที่แต่งงานก็คือพี่มุกดา คงไม่มีใครรู้ว่าพี่มุกดาก็มีครอบครัวเหมือนกัน พอแต่งงานก็ไปดูแลบริหารกิจการงานให้เขาเจริญรุ่งเรือง แต่พี่มุกดาตกต้นไม้ พิการตั้งแต่เด็กก็เลยไม่มีลูก ทางด้านคุณสามีเขาเป็นคนจีน ครอบครัวเขาเลยตั้งข้อรังเกียจ เขาก็เลยไปหาเมียน้อยมายัดให้ลูกชาย โดยที่พี่มุกดาได้แต่นั่งตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้

ท้ายสุดพี่มุกดาคงเห็นว่า ทำอะไรให้เขาทุกอย่างแล้วยังทำกันอย่างนี้อีก ก็อย่าไปอยู่กับเขาเลย จึงออกมาเฉย ๆ เขามาตามง้ออยู่เป็นปีเหมือนกัน แต่ว่าพี่เขาฉลาด เขาไม่กลับไปหรอก ด้วยความที่พี่มุกดาแกบริหารงานทุกอย่าง พอออกมาแล้วสะใภ้คนใหม่เขาทำงานไม่เป็น แล้วพี่เขยก็กำลังเล่นการเมือง คือสมัคร สก. ก็เลยไม่ได้ไปดูแล ให้พี่สะใภ้คนใหม่บริหารงาน เจ๊งเรียบร้อย เรื่องของงาน ถ้าไม่ได้ทุ่มเทดูแลใกล้ชิด แล้วไว้วางใจให้คนอื่นทำแทน ถ้าได้คนที่ไว้วางใจได้ก็ดี ถ้าไว้วางใจไม่ได้นี่มีโอกาสเจ๊งสูงมาก

สรุปว่าที่บ้านตั้งแต่อาตมาลงไปไม่มีใครแต่งเลย เพราะว่าแต่ละคนเขาเหมือนกับรอให้ไปตามลำดับ อาตมาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องรอ แต่งได้แต่งไปเลย จนกระทั่งท้ายสุดน้องสาวคนเล็กก็คือนิด มาแต่งเอาตอน ๔๐ กว่า เพราะว่าเห็นใจว่าผู้พันจี๊ดตามมาตั้งแต่สมัยเพิ่งจะติดนายร้อยใหม่ ๆ คิดดูว่าร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอก พันตรี ผ่านไปกี่ปี ? ในเมื่อผู้ชายเขาอึดขนาดนั้นจึงยอมแต่งด้วย

ตอนที่ขึ้นไปแต่งงาน เขากล่าวอะไรกันบนเวทียังขำ ๆ เขาบอกว่าเพื่อนฝูงอย่าหาว่าเขามีรสนิยมวิปริตนะครับ เขาก็นิยมพวกสูงยาวขาวตึงเหมือนกัน แต่กลายเป็นสูงอายุ สายตายาว ผมขาว หูตึง ไปแล้ว รอนานไปหน่อย เขารอได้นานขนาดนั้นจริง ๆ ต้องบอกว่าอึดใช้ได้เลย สมัยนี้นะหรือ ? ประเภทส่งไลน์ไป ๓ ครั้งไม่ตอบก็เลิกกัน เอาแค่นี้ก่อน..เดี๋ยวนินทาชาวบ้านเขาเยอะ"

ถาม : นี่ก็ครบพี่น้องทุกคนแล้วครับ ?
ตอบ : หลานยังมีอีกเยอะ หลาน ๓๐ กว่าคน เหลนอีกเป็น ๑๐ คน และยังมีตามมาอีกเรื่อย ๆ เลยจากหลานไปนี่จำได้ไม่กี่คน

เถรี
23-04-2014, 10:25
มีเรื่องตลกว่าพ่อกับแม่ส่งเงินไปเมืองจีนเท่าไร ๆ เขาก็บอกว่าไม่พอ จึงต้องถามว่าทำไม ? ท้ายสุดทางด้านพี่สาวใหญ่ทางโน้นบอกว่าจะเอาไปซื้อจักรยาน คือในสมัยนั้นจักรยานเป็นความใฝ่ฝัน เหมือนคนไทยอยากขี่รถเบนซ์ อย่าลืมว่าประเทศเขาเคยครองตำแหน่งประเทศที่มีจักรยานมากที่สุดในโลก เพิ่งจะมาเห่อรถยนต์กันไม่กี่ปีนี่เอง โตโยต้าวีออสโรงงานใหญ่ที่สุด กำลังผลิตเต็มที่ปีละ ๓๐๐ คัน คนจีนจองปีหนึ่งแสนกว่าคัน ผลิตให้ทันไหมล่ะ ?

ในช่วงเด็ก ๆ มีอาเจ็กอยู่คนหนึ่ง เรียกฮุ้นเจ็ก ชื่อแกแปลว่าเมฆ อาเจ็กคนนี้เป็นบัณฑิตแล้วหนีมา เพราะว่าสมัยนั้นเมืองจีนเขากวาดล้างปัญญาชน แกมาแล้วต้องบอกว่าแกคิดผิด แกคิดจะมายึดอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ แกมาก็มาอาศัยอยู่ในกลุ่มคนจีน เพราะว่าสมัยนั้นเขาจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ อย่างคนจีนก็จะรวมกลุ่มกันแถวนครปฐม แถวท่ามะกา หรือไม่ก็แถวสมุทรสาคร ท่าจีนแถวนั้น

ก็ปรากฏว่าอาเจ็กตระเวนไปหางานสอนหนังสือไม่ได้ เพราะว่าทุกคนที่มาล้วนแล้วแต่มาเริ่มต้นชีวิตกันทั้งนั้น ต้องทุ่มเทให้กับงาน พอมีลูกมีหลานก็ใช้เป็นแรงงานในบ้านหมด ไม่มีโอกาสไปเรียนหนังสือ จากบุคคลที่ต้องบอกว่าเหมือนจบปริญญาสมัยก่อน ซึ่งน่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด กลายเป็นคนที่ไม่มีความสำเร็จในชีวิตอะไรเลย เพราะผิดที่ผิดทาง พวกที่มาเป็นกรรมกรตั้งหลักได้ก่อน แต่บัณฑิตไม่มีงานทำ แกก็เที่ยวไปอยู่บ้านโน้นนิด บ้านนี้หน่อย อาศัยเขากินไปวัน ๆ ท้ายสุดมาอาศัยอยู่ที่บ้านอาตมานานที่สุด

เถรี
23-04-2014, 10:29
สมัยนั้นโยมพ่อไปหักร้างถางพงได้ที่มา ๒๐๐ ไร่ กลายเป็นที่พักชั่วคราวของพวกที่มาจากเมืองจีน พอถึงเวลาใครยังหาญาติพี่น้องไม่เจอ ยังไม่มีที่ทำกินของตัวเองก็มาอยู่มากิน มาทำงานที่บ้านก่อน ก็จะมีอาเจ็กคนนี้กับอาเจ๊อีกคนหนึ่งที่มาอยู่กันทั้งครอบครัวเลย จนกระทั่งจำได้ว่าเรียนหนังสือ ป.๓ หรือ ป.๔ แล้ว ครอบครัวเจ๊น่ำฮวยแกถึงลงหลักปักฐานได้ จึงย้ายไปอยู่ในที่ของตัวเอง

สมัยก่อนเรื่องการอาศัยกันอยู่ เขาถือว่าเพิ่มตะเกียบคู่เดียว ฟังดูแปลก ๆ ไหม ? ก็เพิ่มตะเกียบคู่เดียว ถึงเวลาก็เพิ่มอาหารให้เขาหน่อยแค่นั้นเอง เพราะอยู่กินกับกงสี แล้วพ่อทำไร่ยาสูบ ลูกน้องตั้ง ๓๐-๔๐ คน ก็แค่เพิ่มข้าวมาชามสองชามไม่ได้มากมายอะไร พึ่งพาอาศัยกัน แต่ว่าเห็นอาเจ็กแกเครียดเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่อาตมาเป็นเด็กยังรู้ รู้เพราะว่าตัวอาเจ็กความรู้สูงแต่หางานทำไม่ได้ ต้องมาอาศัยชนชั้นต่ำที่ตัวเองเคยดูถูกว่าเป็นคนละชั้นกันกิน

ที่รู้ว่าแกเครียดเพราะแกต้องเมาทุกวัน ไม่เมาแล้วจะคิดมาก ด้วยความที่แกเมานี่แหละ วันนั้นก็เลยกลายเป็นเรื่องตลก เพราะว่าโยมพ่อบอกให้ไปซื้อน้ำมันก๊าดมา อาตมาคว้าขวดเหล้าจอนนี่วอล์กเกอร์ได้ก็วิ่งไปซื้อมา พอกลับมาวางไว้ยังไม่ทันจะเติมตะเกียงเลย อาเจ็กแกเดินเซเข้ามาถึงแกก็กรอกอั้ก ๆ เข้าไปเลย แล้วสักพักแกก็ เอ๊ะ..ไม่ใช่เหล้านี่หว่า กินเข้าไปตั้งเยอะแล้วนะ

ดีตรงที่ว่าแกเคยเป็นโรคพยาธิ ถ่ายออกมาหมดเลย พยาธิก็คงไม่คิดว่ามีใครกินยายี่ห้อนี้ถ่ายพยาธิ ยี่ห้อน้ำมันก๊าด ไม่เป็นอะไรนะ..ถ่ายออกมาเฉย ๆ ในสมัยนั้นที่เห็นก็เห็นอาเจ็กคนนี้แหละ ฮุ้นเจ็กเรียนมาสูงแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นบัณฑิตแต่สู้กรรมกรไม่ได้ แล้วก็มาเห็นบรรดาเพื่อนฝูงที่เตี่ยช่วยเอาไว้ กลายเป็นว่าสนองคุณด้วยโทษ บุกรุกพื้นที่บ้าง ยึดพื้นที่บ้างอะไรให้ยุ่งไปหมด เพราะว่าเตี่ยไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ว่ากฎหมายไทยมีการครอบครองโดยปรปักษ์ได้ ให้เขาอยู่เป็น ๑๐ ปี เขายึดที่เป็นของเขาเองหมดเลย แล้วเตี่ยก็ไม่อยากมีเรื่อง คนจีนเขาถือว่าขึ้นโรงขึ้นศาลกินขี้หมาดีกว่า จึงเสียพื้นที่ให้เขาไปเยอะแยะ

ถึงได้เห็นว่าแม้ว่าเราจะตั้งใจช่วยเขาก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะสำนึกบุญคุณ พอถึงเวลาก็ตอบแทนด้วยความแสบชนิดที่เราคิดไม่ถึง พอดีโยมพ่อทำงานหนักมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ พออายุมากก็เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาตัวเอง เงินทองต้องรักษาตัวเองด้วย ส่งให้ทางเมืองจีนด้วย ลูก ๑๐ กว่าคนแม่ก็ตั้งใจให้เรียน ก็เลยกลายเป็นชักหน้าไม่ถึงหลัง พอถึงเวลาแม่ไปเที่ยวหยิบยืมเขา คนที่เราเคยช่วยเขามากลับไม่ช่วยเลย เป็นเรื่องแปลกมาก เหมือนอย่างกับต่างคนต่างมีข้ออ้าง เขาไม่ได้นึกถึงตอนที่เขาลำบากแล้วมาให้เราช่วยบ้างเลย

เถรี
24-04-2014, 13:48
อาประเสริฐเป็นคนที่พ่อช่วยเขาน้อยที่สุด แต่เขาช่วยกลับมาเยอะที่สุด ก็อย่างว่านั่นแหละ ทางแม่ถือเรื่องศักดิ์ศรี ติดหนี้ใครก็ต้องใช้คืนเขา พยายามที่จะรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด จำได้ว่าหลังงานศพของพ่อทุกคนเหลือแต่ตัว พี่ชายมีตึกสามชั้นอยู่ตลาดพลูต้องขายตึก อีกคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์วิบากอย่างดีก็ต้องขาย เอาเงินมาทำกงเต๊กให้พ่อ ๗ วัน ๗ คืน

ถ้าจำไม่ผิดกงเต๊กตอนนั้นคืนหนึ่งตั้งเจ็ดแปดพัน แล้วทองบาทละ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น ถามว่ามีความจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องทำ ? เพราะว่าลำบากทุกคนนะ..ไม่ได้ลำบากคนเดียว พี่ ๆ บอกว่าถ้าไม่ทำเดี๋ยวคนอื่นดูถูกเอา อาตมาได้ยินแล้วเซ็ง ทำอย่างกับว่าทำไปแล้วเขาจะไม่ดูถูกอย่างนั้นแหละ กลายเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และทำให้ทุกคนต้องขยันโดยอัตโนมัติ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทำกันเหมือนไอ้บ้า อย่างที่บอกว่านอนตี ๓ ตื่นตี ๕ ประมาณ ๔-๕ ปีกว่าจะกลับมาตั้งหลักได้ตามเดิม แล้วพี่ ๆ ก็ทยอยกันแต่งงาน

อาตมาเองตอนดูแลพ่อ เหตุผลของพี่ ๆ ก็คือ “เอ็งเป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน” เหตุผลตอนที่ดูแลแม่ก็คือ “เอ็งเป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน” อาตมาโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ตอนดูแลพ่อยังเรียนหนังสืออยู่นี่ เป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน พอมาดูแลแม่ก็เป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่แต่งงาน เป็นอะไรที่ตลกแต่หัวเราะไม่ออก

จำได้ว่าตอนดูแลพ่อ พอถึงเวลามีหนังขายยา มีลิเก มีงานวัด ถึงอยากจะไปก็ไม่ได้ไปหรอก คนอื่นเขาไปกันหมด อาตมาต้องดูแลพ่อ แล้วพ่อก็เรียกทั้งคืน เพราะแกเป็นโรคอะไรไม่รู้ กึ่ง ๆ อัมพฤกษ์ พอนอนไปสัก ๕-๑๐ นาทีเหมือนกับแข็งเกร็งไปทั้งตัว จะปวดเมื่อยทรมานมาก ต้องเรียกให้นวดทั้งคืน คราวนี้เด็กที่เรียนระหว่าง ป.๕ ถึง ม.ศ.๓ โดนปลุกทั้งคืนก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น..!

เถรี
24-04-2014, 13:53
ไปโรงเรียนต้องไปขออนุญาตครูนอนหลับในห้อง ถึงเวลาก็ยกมือ “ครูครับ..ไม่ไหวแล้วครับ ผมขออนุญาตนอนครับ” คุณครูก็รู้ สมัยก่อนนี่ครูเขารู้จักลูกศิษย์ลึกซึ้งจริง ๆ แต่ละคนพื้นฐานครอบครัวเป็นอย่างไรท่านรู้หมด ครูบอกว่า “นอนได้..แต่วิชานี้ห้ามตกนะ” ด้วยความที่กลัวครู เกรงครูด้วย เลยกลายเป็นว่าถึงหลับก็ต้องพยายามฟัง เพราะถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้เรื่อง เลยกลายเป็นฝึกกรรมฐานได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ประเภทหลับแล้วหูต้องได้ยิน ฝึกอยู่ตั้งหลายปี เล่นจนคล่องเลย

ฉะนั้น..เวลาอาตมาหลับอยู่นี่ห้ามนินทานะ ได้ยินชัดกว่าตอนตื่นอีก ต้องฝึกนอนโดยให้ได้ยินอย่างหนึ่ง แล้วก็ได้พื้นฐานการเรียนกรรมฐานจากท่านอาจารย์ณรงค์เดช บุญมี อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์ณรงค์เดช บุญมีจะสอนอยู่ ๒ แนว ก็คือตามแนวหลวงพ่อวัดปากน้ำก็คือ สัมมาอะระหัง ผ่าน ๑๘ กายให้ได้ และตามแบบของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม สอนให้ภาวนาคาถานั่นคาถานี่ไปเรื่อย แล้วค่อยเลี้ยวกลับมาพิจารณาใหม่ แต่ตอนช่วงนั้นไม่มีโอกาสกลับมาพิจารณา เพราะมัวแต่สนุกกับคาถาอยู่ ไปได้พื้นฐานจากตรงนั้นมามาก

พอโยมพ่อตาย พี่ชายเอาตำราคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปให้ ก็เลยกลายเป็นของง่าย พอมาปี ๒๕๒๑ ไปฝึกมโนมยิทธิได้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คราวนี้ตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนีแล้ว จากที่เคยคลุกคลีตีโมงกับหลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าโยมแม่ไปเป็นกรรมการร่วมสร้างมหาเจดีย์ให้หลวงพ่อวิริยังค์ที่วัดธรรมมงคล ไปบวชชีทุกปี ๆ ละ ๑๐ วัน แม่ก็เอาอาตมาไปเป็นเพื่อน

เถรี
24-04-2014, 13:55
จำได้ว่าหลวงปู่ฝั้นที่ถือว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ มรณภาพวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๐ ได้ตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงปี ๒๕๑๘ ฝึกปฏิบัติมาด้วยตัวเอง แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นอยู่ เหมือนท่านวางพื้นฐานให้ก้าวผ่านมาทางสายนี้ เพราะตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะบวชกับสายหลวงปู่มั่นนั่นแหละ เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านมีความสามารถจริง ๆ

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า อาตมาขอหวยแม้กระทั่งหลวงตาบัวมาแล้ว คราวนี้พอปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ พระราชทานเพลิงเสร็จ ปี ๒๑ ได้มาฝึกมโนมยิทธิ ก็เลยมาติดอยู่ทางด้านหลวงพ่อวัดท่าซุงแทน เพราะว่าคำสอนท่านปฏิบัติได้ง่าย สายหลวงปู่มั่นแต่ละท่านจะใช้คำว่า “ไปทำเอา ไปภาวนาเอา” ส่วนทำอย่างไร ภาวนาอย่างไรให้ไปปล้ำเอาเอง พอติดขัดอย่างไรค่อยมาถามท่าน มาเล่าถวายท่าน แล้วท่านค่อยแก้ให้ ก็เลยรู้สึกว่าลำบาก

แต่ของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะบอกรายละเอียดทั้งหมดเลย แล้วให้เราไปทำ จดจำรายละเอียดได้ ปฏิบัติไปเป็นขั้นตอน ก็จะรู้ว่าตัวเองมีความก้าวหน้าแค่ไหน ในเมื่อมาด้านหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วปฏิบัติได้ง่ายกว่า จึงถูกใจมากกว่า ท้ายสุดก็ติดหนับอยู่ทางด้านนี้แทน

ที่เล่าให้เขาฟังเรื่อย ๆ เพราะคนเขาสงสัยว่า ทำไมอาจารย์เล็กไม่เขียนประวัติตัวเอง ? จะไปเขียนทำไม ? ก็เล่าให้เขาฟังอยู่ทุกวัน เดี๋ยวเอาเดือนก่อนโน้นกับเดือนนี้ไปต่อกันก็ได้ประวัติแล้ว

เถรี
26-04-2014, 14:59
ถาม : มีคนป่วยคนหนึ่งเขามีลูกหลายคน แต่ลูกต่างคนต่างเกี่ยงไม่เอา ไม่ดูแลพ่อ ?
ตอบ : คุณไปรับเขามาเลี้ยง เป็นการสร้างความดีมหาศาล ลูกผู้ชายอย่างคุณควรทำเป็นอย่างยิ่ง..!

ถาม : ไม่มีปัญญาเลี้ยงครับ ?
ตอบ : แต่ละคนมีเวรมีกรรมของเขามา ในเมื่อผูกกรรมกันมาก็ต้องไปชดใช้กัน ไม่ควรไปยุ่งกับกรรมของคนอื่น

เถรี
26-04-2014, 15:27
ถาม : ลูกชายติดสุรามากค่ะ มีวิธีแก้ไขไหมคะ ?
ตอบ : ทางโรงพยาบาลมียาอดเหล้า ไปติดต่อรับกับหมอแล้วอย่าให้เขารู้นะ แอบใส่ให้เขากิน ถ้ากินเข้าไปนี่อ้วกแตกอ้วนแตนเลย แต่เขาจะโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ไปขอตามโรงพยาบาลรัฐหรือพวกคลินิกบำบัดต่าง ๆ จะมีอยู่ บอกเขาว่ายาอดเหล้าก็ใช้ได้แล้ว

ถาม : มีวิธีอื่นไหมคะ ?
ตอบ : วิธีอื่นไม่มี มีแต่ไม้หน้าสาม สลบแล้วก็หายเมาไปเองแหละ ถ้าเรื่องของคนเมาอาตมาไม่เคยยุ่งด้วยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยกเว้นว่าเมาแล้วอาละวาดก็ช่วยเสริมให้ โบ๊ะ..!ให้หลับไปเลย

ถาม : ไม่ทราบจะทำอย่างไร ?
ตอบ : พวกนี้ต้องคิดได้เอง ถ้าคิดไม่ได้ใครห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง สำหรับอาตมานี่แค่อย่ามาซ่าในวัดก็แล้วกัน จะกินที่ไหนก็ไปเถอะ เคยนั่งคุยกับคนกินเหล้าจนเขาทนไม่ได้ ถามว่า “อาจารย์จะไม่ห้ามผมจริง ๆ หรือ ?” อาตมาบอกว่า “เงินก็เงินของมึง ตัวก็ตัวของมึง อยากกินก็กินไปสิ” เขาบอกว่าพระอื่นไม่ต้องเห็นหรอก แค่ได้ยินว่าเขากินเหล้าก็ห้ามอุตลุด นี่อาจารย์นอกจากไม่ห้ามแล้วยังนั่งคุยได้หน้าตาเฉย เลยบอกเขาไปว่าเคยมีประสบการณ์มา ประสบการณ์ที่ว่าถ้าเขาคิดไม่ได้เองอย่างไรก็จะกิน แก้ไม่ได้หรอก ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเขาแล้วกัน

ถาม : โยมเกลียดคนกินเหล้ามาก ๆ
ตอบ : โบราณเขาบอกแล้วว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ ฉะนั้น..เปลี่ยนใจไปรักเขาหน่อยจะได้เลิกกิน ไม่ต้องไปห้ามเขาหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ ยังกินได้ถือว่ายังดีอยู่ กินไม่ได้วันไหนจะสาหัส อาตมานึกถึงพี่ชายคนโตที่มาจากเมืองจีน แกกินเหล้าแทนน้ำ คนอื่นไปทำงานหิ้วแกลลอนน้ำไป แกหิ้วแกลลอนเหล้าไป แต่ก็อยู่มาจนป่านนี้ อายุเท่าในหลวง ก็แปลว่าปีนี้อายุก็ขึ้น ๘๗ ปีแล้ว ยังสงสัยเหมือนกันว่าถ้าไม่กินเหล้าแกจะแข็งแรงขนาดไหน ?

ถาม : ตับจะไปก่อน ?
ตอบ : ช่วงนี้หยุดแล้ว หมอบอกว่าถ้ากินอีกก็ตาย เขาเลยหยุด กลัวตายเหมือนกัน

เราไม่ต้องไปกังวล เขาจะเอาไปลงขวดหมดก็เรื่องของเขา ไม่อย่างนั้นเราเครียดตายเลย ถ้าหมดวาระกรรมของเขา เขาก็จะกลับมาเอง แบบเดียวกับน้องชายอาตมา สมัยก่อนพระครูแสงเอาทุกเรื่อง จะเหล้า จะเบียร์ จะบุหรี่ จะกัญชา เล่นหมด เย็น ๆ ก็เดินหน้าแดงก่ำออกไปปากซอยแล้ว บทถึงเวลาจะเลิกก็เลิกโครมเดียวหมดเลย ทิ้งทีเดียวหมดเลย เออ..คนอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน ปกติเขากว่าจะเลิกกันได้แทบเป็นแทบตาย แต่นี่โครมเดียวไม่เอาเลย ฉะนั้น..รอก็แล้วกันว่าสักวันเขาคงหมดกรรมอันนี้

ถาม : ไม่รู้ใครจะไปก่อนนะสิ ?
ตอบ : นึกว่าเราไปก่อนแน่เพราะเราเป็นแม่ ไม่ต้องไปทนอยู่ดูเขาก็หมดเรื่อง

ถาม : ต้องสร้างบุญไว้
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป บุญที่ดีที่สุดคือใส่บาตรไว้ทุกวัน ใจจะได้เกาะความดี ใส่บาตรทุกวัน ตั้งใจว่าผลบุญนี้ขอเราไปพระนิพานในชาตินี้ก็ว่าไป

เถรี
29-04-2014, 10:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้บ้างว่า "โลงศพ" กับ "หีบศพ" ต่างกันอย่างไร ? ทำไมถึงมีแต่ร้านขายหีบศพ ไม่มีร้านขายโลงศพ ? หญ้าปากคอกแท้ ๆ ถ้ายังไม่ได้ใช้งานเขาเรียกว่าหีบศพ ถ้าเอาไปใช้งานเขาเรียกว่าโลงศพ เพราะฉะนั้น..ทุกร้านเขาจะขายแค่หีบศพ ถ้าขืนขายโลงศพไม่มีใครซื้อหรอก ฟังดูแล้วเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เราก็นึกไม่ถึง

แบบเดียวกับช้างเป็นเชือกกับช้างเป็นตัว ช้างเป็นเชือกคือช้างเลี้ยง สมัยก่อนเขาใช้เชือกล่าม เขาเรียกเชือกพรวน เป็นเชือกที่ควั่นมาจากป่านเส้นใหญ่ ๆ ถ้าล่ามช้างแล้วใช้เชือกพรวนไม่ได้ก็ต้องใช้เชือกหวาย เพราะหวายมีคุณสมบัติพิเศษว่าถ้ากระชากแล้วจะบาดเนื้อ ช้างจะไม่กล้ากระชาก"

ถาม : ไม่ได้ใช้หนังควายมาควั่นหรือครับ ?
ตอบ : พวกนั้นเขาใช้กันทางอีสาน

เถรี
29-04-2014, 10:29
ถาม : จะพยายามวิญญาณสังวรของตัวเอง ?
ตอบ : ใช้คำว่า อินทรียสังวร สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเห็นรูปอย่าไปยินดียินร้ายด้วย หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด อย่าไปยินดียินร้ายด้วย เพราะความยินดีจัดเป็นราคะ ความยินร้ายจัดเป็นโทสะ โดนทั้งคู่

ถาม : เราไม่ได้ไปยินดียินร้าย แต่เป็นไปโดยสัญชาตญาณค่ะ ?
ตอบ : ต้องพยายามมีสติ หยุดให้อยู่ จะอ้างสัญชาตญาณไม่ได้ เดี๋ยวโดนพาหลงไปไกลกู่ไม่กลับ

เถรี
29-04-2014, 10:30
ถาม : ทำไมพระฉันมื้อเดียวถึงอ้วนได้คะ ?
ตอบ : อาจจะฉันมากก็ได้ สมัยที่อาตมาฉันมื้อเดียวนี่ข้าวครึ่งบาตรฉันหมดนะ ข้าวครึ่งบาตรนี่ ๔-๕ จานใหญ่ ๆ เลย ถ้าสมมุติว่าทั่ว ๆ ไปเราฉันมื้อละจาน สองมื้อสองจาน แต่ว่ามื้อเดียวเจอไป ๔-๕ จานก็เกินคุ้ม จะไม่อ้วนได้อย่างไร ?

เถรี
06-05-2014, 10:05
ถาม : ถ้าเราจะฝึกสวดคาถาเงินล้าน สมาธิที่ใช้เพื่อให้ได้ทิพจักขุญาณ...(ไม่ชัด). ?
ตอบ : เวลาเราภาวนานึกถึงคาถาเงินล้านขึ้นมาตรงหน้าเป็นตัว ๆ ยิ่งเห็นตัวคาถาชัดเท่าไร ก็จะเห็นผีเห็นเทวดาชัดเท่านั้น

เถรี
06-05-2014, 10:12
พระอาจารย์เล่าว่า "งานพุทธาภิเษกที่วัดสระเกศ ด้วยความที่อาตมาไปก่อนก็นั่งก่อน ไม่รู้ว่านั่งไปนานแค่ไหน อยู่ ๆ ก็เหมือนกับฟ้ามืดวูบลงมา กำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านมา แล้วท่านชี้ให้ดูว่า มีหลวงพ่อหลายท่านมาทางไสยศาสตร์โดยตรง กราบเรียนท่านว่าแล้วจะให้ผมทำอย่างไรดีครับ ? ท่านบอกว่าไม่ต้องทำ ไม่รู้เหมือนกันท่านไปหยิบกระบวยมาจากไหน แล้วก็ไม่รู้ท่านไปตักน้ำมนต์มาจากไหน สาดพรึ่บลงไป กลายเป็นน้ำทองคำไหลลงมาคลุมวัตถุมงคลทั้งหมด สว่างโร่เลย ท่านแก้ง่ายนิดเดียว"

เถรี
06-05-2014, 10:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "อัลปาก้า ในภาษาไทยต้องเรียกว่าทองขาว คนจีนเรียกแปะตั๊ง แพลทตินัมคือทองคำขาว รูทีเนียมคือทองคำดำ ก็จะมีทองคำ ทองคำขาว ทองคำดำ ทองเหลือง ทองขาว ทองแดง ส่วนนากจัดอยู่ในพวกโลหะผสม มีทองคำปนอยู่ร้อยละ ๓๐"

เถรี
07-05-2014, 12:58
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "โยมมักจะลืมไปว่าใช้ร่างกายมาหลายสิบปีแล้ว บางทีเจ็บแล้วก็บ่น ถ้าร่างกายของเราเป็นรถยนต์คงพังไปหลายรอบแล้ว แสดงว่าร่างกายเราจริง ๆ แข็งกว่าเหล็กอีก รถยนต์ดูแลรักษาดี ๆ ใช้ ๑๐ ปีก็พัง นี่ใช้มา ๖๐-๗๐ ปีแล้ว จะไม่ให้เสียเลยก็เกินไป"

เถรี
07-05-2014, 13:01
ถาม : จะไปสัมภาษณ์งานครับ ?
ตอบ : ก่อนสัมภาษณ์ให้ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ ภาวนาแล้วขอความคล่องตัวทุกอย่าง

เถรี
07-05-2014, 13:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากกรรมเก่า แต่เป็นแค่เศษกรรม ถ้ามีโอกาสก็ปล่อยชีวิตสัตว์เป็นทานทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละครั้ง ความป่วยทุกเรื่องเกิดจากเศษกรรมเก่า..ไม่ต้องหนักใจ ทยอย ๆ ใช้เขาไป"

เถรี
10-05-2014, 11:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีประสบการณ์แห่นางแมวมาบ้าง ? สมัยอาตมาเด็ก ๆ เจอบ่อยเลย แม้ว่าจะสงสารแมว แต่ผู้ใหญ่บอกว่าเอาน้ำสาดไปเยอะ ๆ ฝนจะได้ตก เหมือนกับว่าพวกผู้ใหญ่เขาหาเรื่องกินเหล้ากัน แห่นางแมวก็กินเหล้าไป ถ้าปีไหนแล้งมาก ๆ แล้วฝนล่า ฝนล่าคือมาช้า เข้าเดือน ๖ แล้ว ฝนยังไม่ลงอย่างเป็นทางการ ก็จะมีการแห่นางแมวกัน

ปกติจะมีฝนชะลาน หรือฝนชะช่อมะม่วง มาก่อนหรือช่วงมาฆบูชา แล้วก็ฝนสงกรานต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะลมแรง เป็นพายุฝนฟ้าคะนอง คราวนี้ถ้าหลังงานแรกนาขวัญ งานพืชมงคล แล้วฝนยังไม่ลง คือล่าไปถึงเดือน ๖ ข้างแรมแล้วฝนยังไม่ลง ชาวบ้านจะทำการแห่นางแมว แมวตัวไหนเคราะห์ร้ายโดนจับได้ถือว่าเฮงเลย เขาจะสานกระชุใส่แมว แล้วใส่คานหามแห่ไป ร้องเพลงก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ "นางแมวเอย..มาร้องแจ้วแจ้ว ขอฟ้าขอฝน ขอน้ำมนต์รดหัวนางแมว ฯลฯ" รำกันไป กินเหล้ากันไป แห่กันไป ผ่านบ้านไหน ก็เอาน้ำสาดแมวเยอะ ๆ แมวจะหนาวตายเพราะสัตว์ตระกูลแมวเกลียดน้ำ

แต่ก็แปลกดีนะ หลังการแห่นางแมวเดี๋ยวเดียวก็ฝนตก สงสัยเทวดาทนสงสารแมวไม่ไหว ก็เลยตกให้หน่อย ถ้าไม่ได้แห่นางแมวก็ตั้งเวที นิมนต์พระสวดมนต์ขอฝน อันนี้ทรมานกว่านางแมวเยอะเลย ถ้าฝนไม่ตก พระก็ลงจากเวทีไม่ได้ นั่งสวดไปเถอะ ก็คงประเภทเดียวกัน เทวดาสงสารพระ เลยตก ๆ ให้หน่อย

บทสวดเขาเรียกว่าคาถาพญาปลาช่อน สมัยพระพุทธเจ้าเป็นพญาปลาช่อนโพธิสัตว์ น้ำแห้ง ปลาเล็กปลาน้อยในสระจะตายหมด ท่านต้องตั้งสัตยาธิษฐานขอให้ฝนตก อันนั้นถือว่าเป็นอธิษฐานฤทธิ์ อย่าลืมว่าท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่มีจิตประกอบด้วยเมตตาเป็นปกติ สงสารบรรดาปลาเล็กปลาน้อยจะแห้งตาย"

เถรี
10-05-2014, 11:55
ถาม : อสุรกายคืออะไรคะ หมอผีส่งเขามาเข้าคนในบ้าน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ผอมโซ อดอยาก หิวโหย มีแต่พวกกาลกัญจิกอสุรกายที่ตัวใหญ่บึ้ม ใครจับได้ก็สุดยอดหมอผีแล้ว เพราะว่าพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นพ่อมดหมอผีมาก่อน

ถาม : จะทำอย่างไร ?
ตอบ : เจรจากับเขาดี ๆ ถ้าเจรจาไม่รู้เรื่องก็เตรียมมีศัตรูที่สามารถยุ่งกับเราได้ทุกเวลา แม้กระทั่งเวลานอน

เถรี
10-05-2014, 11:58
:4672615:เก็บตกเดือนเมษายนปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน