View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๗
ถาม : ในบางครั้งที่กำลังหลับตาภาวนาพระคาถาในมือ ก็จับพิจารณาความกลมของลูกประคำไปด้วย ปรากฏดวงแก้วสว่างขึ้นมาให้เห็นแล้วก็หายไป ถ้าครั้งหน้าปรากฏดวงสว่างขึ้นมาอีกควรปฏิบัติอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : อย่าไปสนใจ ภาวนาของเราไปเฉย ๆ ถ้าให้ความสนใจ เมื่อสมาธิเคลื่อนภาพจะหายไป แต่ถ้าเราไม่สนใจก็จะอยู่ได้นาน
ถาม : ถ้าเจ้าของที่ดินได้เอ่ยปากยกที่ดินส่วนหนึ่งถวายให้เป็นที่ของสงฆ์ แต่ยังไม่ได้มีการโอนกัน แล้วเจ้าของที่ดินได้เสียชีวิตไปก่อน ทางวัดได้สร้างศาลาบนที่ดินนั้น ต่อมาภายหลังลูก ๆ ได้ขายที่ดินไปทั้งหมด โดยไม่ได้ทำเรื่องโอนให้กับวัด คนที่ซื้อที่ดินต่อจากลูก ๆ เจ้าของที่ดินได้มีการปักแนวเขตเข้าไปในที่ดินที่ถวายวัด ทางเจ้าของที่ดินคนใหม่จะมีโทษขโมยของสงฆ์หรือทำลายของสงฆ์หรือไม่ครับ ? ถ้ามีจะแก้ไขอย่างไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : เต็ม ๆ เลย ก็คืนให้สงฆ์เขาไปก็เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมมักจะเข้าใจว่า เรื่องของสิทธิ์ในการครอบครองต้องโอนกันก่อนถึงจะเป็นของสงฆ์ แต่ในความจริงถ้าหากว่าสงฆ์ให้การอนุโมทนาแล้ว ก็ถือว่าเป็นของสงฆ์ไปเลย เพราะฉะนั้น..จะไปบุกรุกครอบครองอีท่าไหน ก็กลายเป็นเอาของสงฆ์มาเป็นของตัวเอง ซึ่งมีที่ไปอยู่ที่เดียวเป็นปกติ..!
ถาม : มวลสารที่ใช้ในการสร้างวัตถุมงคลมีความสำคัญแค่ไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากำลังใจใช้ไม่ได้ ได้ยินว่ามีมวลสารดี ๆ เกิดกำลังใจขึ้นมาก็ถือว่ามีส่วนสำคัญอยู่ แต่ว่าในสมัยโบราณนั้น โบราณาจารย์ท่านต้องการให้พระภิกษุที่ศึกษาวิชาการลบผงต่าง ๆ ซักซ้อมในเรื่องของสมาธิสมาบัติให้เกิดความคล่องตัว จึงกำหนดตัวบทพระคาถาต่าง ๆ ในการลบผงขึ้นมา แต่ว่าในสมัยหลัง ๆ นี้ให้ความสำคัญตรงส่วนนี้น้อยลง เพราะว่ามักจะให้โรงงานผลิตออกมาเลย
ถ้าสามารถทำได้อย่างโบราณาจารย์เขาทำ ก็จะมีประโยชน์มากกว่าอย่างมหาศาล เพราะเกี่ยวกับเรื่องของมรรคผล ตลอดจนกระทั่งสมาธิสมาบัติของตนเอง แล้วขณะเดียวกันก็มีผลในการคุ้มครองป้องกันรักษาตามหลักวิชานั้น ๆ ด้วย
ถาม : ผมเลี้ยงกุมารต้องสอนเขาหรือเปล่าครับว่าให้ถือศีล ๕ ต้องอย่าดื้อ อย่าซน เชื่อฟัง สวดมนต์ ทำสมาธิ ฯลฯ ถ้ากุมารเป็นเทวดาสามารถสอนเขาได้ไหมครับ ? เกรงว่าถ้ากุมารเป็นเทวดาแล้วเกิดไปสอนท่านเดี๋ยวท่านเตะเอา
ตอบ : อย่าไปยุ่งกับท่านก็หมดเรื่อง แต่ว่าลองสอนดูนะ เผื่อจะสำเร็จ เพราะยังไม่เคยได้ยินใครสอนมาก่อน
ถาม : แฟนกำลังจะสร้างบ้านหลังใหม่ตามประเพณีแถวภาคเหนือ จะต้องมีพิธีนำเสาลงหลุม ตามฉบับสายหลวงพ่อ ไม่ทราบว่าต้องใส่ของมงคลอะไรบ้างที่เป็นสิริมงคลจริง ๆ ครับ ?
ตอบ : เคยตอบไปแล้วว่าทองคำ ๒ ตัน..!
ถาม : ฤกษ์ยามต่าง ๆ ตามสายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ สามารถใช้ได้กับทุกภาคของประเทศไทยหรือทั่วโลก ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราจะใช้ ถ้าเราจะใช้ก็ได้ทั้งโลกนี้และโลกอื่นด้วย
ถาม : การเสกไม้กันขโมยมีวิธีการปลุกเสกและใช้งานอย่างไร ?
ตอบ : มีวิธีการปลุกเสกก็คือเข้าสมาธิให้สูงสุดที่ทำได้ ส่วนใช้งานอย่างไร ก็มีหน้าที่แค่ตีลงไปในที่ดินแล้วก็จบแค่นั้น
ถาม : สามารถเอาไปเข้าพิธีที่วัดท่าขนุนได้ไหมคะ ?
ตอบ : เอาไปเข้าพิธีไม่มีผล เพราะว่าต้องทำต่างหาก
ถาม : เรื่องการจับภาพพระ เวลานั่งสมาธิผมตั้งใจกำหนดภาพพระเป็นองค์ปฐมอิริยาบถนั่ง แต่อยู่ดี ๆ ภาพในนิมิตเป็นพระพุทธชินราชหรือพระองค์อื่น ผมควรจะไปจับภาพพระองค์เดิมหรือว่าไปจับภาพพระองค์ที่ปรากฏครับ ? แบบนี้แสดงว่าผมเป็นคนฟุ้งซ่านไหมครับ เพราะเกิดบ่อยมาก ?
ตอบ : แสดงว่าพอจะรู้ตัวเหมือนกัน เรื่องของการจับภาพพระ ถ้าตั้งใจเป็นพุทธานุสติ ภาพเดิมเราจับอย่างไรถึงจะเปลี่ยนไป ถ้ายังเป็นพระพุทธรูปอยู่ก็ใช้ได้เหมือนกัน ยกเว้นว่าภาพที่เรากำหนดเป็นไปตามกองกรรมฐาน ถ้าเปลี่ยนไปก็ให้ยึดของเดิมเป็นหลักไว้
ถาม : การนั่งสมาธิหรือว่ากรรมฐาน หากไม่เกิดอาการปีติเลย แสดงว่าเราไม่เคยเข้าถึงอุปจารสมาธิเลย จริงไหมครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นความจริงถึง ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าคนที่ปฏิบัติแล้วไม่เคยเกิดปีติเลย อาตมายังไม่เคยเจอมาก่อน แต่ว่ามี
ถาม : มีเยอะไหมคะ ?
ตอบ : ๑ เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ
ถาม : ผมเคยไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลมมา แต่ว่าไม่ได้สานต่อ แล้วการที่อยู่ดี ๆ ผมก็นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็เห็นภาพพระในหัว คิดว่าอยู่ข้างหลังท่านก็อยู่ข้างหลัง จะให้อยู่ซ้าย ขวา ใหญ่ เล็ก ก็เห็นภาพตามนั้นหมดครับ ทั้งที่ไม่ได้ภาวนาตามนั้นเลย แบบนี้เป็นอาการคิดไปเองหรือว่ามโนมยิทธิครับ รวมทั้งภาพเปลวไฟก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ?
ตอบ : ถ้าสามารถกำหนดให้ไปไหน ๆ ได้ก็เป็นมโนมยิทธิ ถ้ากำหนดไปไหนไม่ได้ ก็เป็นแค่ส่วนของทิพจักขุญาณ ที่เกิดจากอำนาจของอุปจารสมาธิเท่านั้น
ถาม : เคยได้ยินร่างทรงคนหนึ่งพูดให้ฟังว่า เวลาเทพลงร่างเขา เขาจะเรอครับ ของผมเวลาผมจะสวดมนต์แล้วอาราธนาพระรัตนตรัย พอกล่าวเชิญเทพมาก็จะเกิดอาการเรอครับ ทั้งที่เวลาคุยปกติหรือว่าตอนสวดมนต์จะไม่อาการนี้เลย เป็นอุปาทานหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ถือว่าเป็นอุปาทานไปก่อน เพราะถ้าทรงก็คงรู้เรื่องกันไปแล้ว บางคนมีสัมผัสไวเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่คนละภพภูมิกัน มีอาการแสดงออกต่าง ๆ กัน บางท่านก็ขนลุก บางท่านก็หาว บางท่านก็เรอ จึงไม่แน่หรอกว่าจะเป็นการลงทรง แต่อาจจะเป็นอาการที่รับสัมผัสได้ว่ามีสิ่งอื่นมาอยู่ใกล้ ฉะนั้น..ก็ถือว่าเป็นอุปาทานไปก่อนแล้วกัน
ถาม : แล้วถ้าไม่อยากรับละคะ ?
ตอบ : ไม่อยากรับก็อย่าไปเชิญ
ถาม : การกราบพระ กราบเทวดาหรือว่าพ่อแม่ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส อยากทราบว่ามีการกราบจำนวนครั้งอย่างไร ? แล้วก็เรื่องของการแบมือด้วยคะ ?
ตอบ : ถ้าเอาตามมารยาทไทยก็กราบพระ ๓ ครั้งแบมือ กราบพ่อแม่ครั้งเดียวไม่ต้องแบมือ กราบพรหมเทวดาควรจะกราบสัก ๑๐๘ ครั้ง เพื่อแสดงว่าเราเคารพท่านจริง..! อันนี้ไม่เกี่ยวกับมารยาท
ถาม : หลวงพ่อมีความเห็นอย่างไรกับการสักยันต์บ้างครับ ? ในยุคนี้เหมาะสมไหมครับ ? แล้วถ้าสักแล้วจะมีผลต่อการปฏิบัติธรรมไหมครับ ?
ตอบ : อันดับแรกมีความเห็นว่าอย่างไร ? มีความเห็นว่าจะเจ็บตัวไปทำไมวะ ? อันดับที่ ๒ มีผลไหม ? สำคัญที่ว่าเราเชื่อถือและปฏิบัติตามกฎกติกาของเราหรือเปล่า ? ระยะหลังวัดท่าขนุนเขาสักยันต์กันมาก และก็มีญาติโยมบางท่านถามว่า "ตกลงนี่ลูกไปบวชหรือลูกไปติดคุกมา ?" อาตมาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
ถาม : เรื่องคาถาเงินล้านที่ท่านบอกว่าห้ามใช้ในทางมิจฉาชีพทุกชนิดและการพนันต่าง ๆ ถามว่าการพนันต่าง ๆ รวมถึงล็อตตารี่และหวยใต้ดินด้วยหรือไม่คะ ?
ตอบ : รวมทั้งหมด
ถาม : นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงแต่ว่าจิตฟุ้งมาก ฟุ้งไปประมาณ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ของเวลา หมายความว่าได้บุญแค่ช่วงใจสงบใช่หรือไม่ ? ซึ่งเป็นบุญใหญ่จากการภาวนา ส่วนบุญที่เกิดตอนฟุ้งเป็นแค่บุญที่กายเราไม่ทำชั่วซึ่งเป็นบุญที่น้อยใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ถามว่าผลบุญเกิดไหม ? เกิดตั้งแต่ตั้งใจทำสมาธิแล้ว แต่เวลาที่พระภูมิเจ้าที่หรือว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชท่านบันทึกความดีที่เราปฏิบัติ ท่านจะบันทึกตอนช่วงที่กำลังใจของเราสูงสุด เพราะฉะนั้น..ก็เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะเอาบุญอย่างไหน เพราะได้ตั้งแต่คิดจะทำแล้ว
ถาม : นั่งสมาธิได้บุญมากกว่านอนสมาธิใช่หรือไม่ ? เพราะว่าการนั่งต้องใช้ความเพียรมากกว่า เมื่อยกว่า การได้บุญมากตัดสินตรงความยากลำบากในการทำบุญฝ่าอุปสรรคใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ตัดสินตรงใครได้สมาธิสูงกว่า กำลังใจเข้าถึงระดับสมาธิสูงกว่าอานิสงส์ก็มากกว่า ถ้าทำลำบากกว่า อาตมาคงได้เยอะแล้ว เพราะเคยตีลังกาทำสมาธิมามาก..!
ถาม : ในวันที่ฟุ้งมาก ๆ แล้วพยายามสวดมนต์ พยายามสงบก็สงบไม่ได้ ปากสวดไปเองแต่ใจคิดเรื่องอื่น จะได้บุญมากน้อยแค่ไหน ? และควรสวดไปเรื่อย ๆ หรือว่าควรหยุดดีคะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจทำความดี กุศลเกิดตั้งแต่แรกเพราะว่าเป็นมโนกรรม คราวนี้ว่าถ้าเราสามารถสวดไปเรื่อยจนใจสงบได้ ก็แปลว่าเราตั้งใจทำความดีเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า ผลบุญจะมีมากกว่า แต่ถ้าทนรำคาญไม่ไหวแล้วเลิกไป ก็ได้เท่านั้นเอง
ถาม : แม้จะฟุ้งเราก็ทำไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหายฟุ้ง
ถาม : มีคนส่งของมาให้ผิดที่ แต่จ่าหน้าซองถึงเรา แล้วเราเอาของนั้นมาใช้ ผิดไหมคะ ?
ตอบ : รู้ว่าไม่ใช่ของเรา เจตนาเบียดบัง ตามกฎหมายเขาถือว่าฉ้อโกง อาตมาจะแกล้งฟ้องธนาคารไปทีหนึ่งแล้ว มีคนโอนเงินผิดมาสองแสนบาท แล้วอาตมาไม่ได้เบิกไม่ได้ถอน เขาเสือกโอนออกไปเอง จริง ๆ ถ้าฟ้องนี่ธนาคารหัวโตเลย เพราะคุณมายุ่งอะไรกับบัญชีผม คราวหน้าใครเจอลองดูสักทีนะ เผื่อจะได้ค่าปิดปากสักแสนสองเหมือนท่านพุทธอิสระบ้าง..!
ถาม : มงคล ๑๐๘ เป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : มงคล ๑๐๘ ก็คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมกัน สวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ก็ได้ครบแล้ว
ถาม : ทำไมถึงเป็นเลข ๑๐๘ ?
ตอบ : เขาเอาคุณพระพุทธ ๕๖ คุณพระธรรม ๑๔ คุณพระสงฆ์ ๓๘ ไล่ไปก็ครบพอดี เขาก็เลยเอาหลักว่าเลขสำคัญ ๑๐๘ เพราะเป็นคุณพระรัตนตรัย
ถาม : ถ้าสวดมากกว่า ๑๐๘ ?
ตอบ : เกินได้ยิ่งดี แต่ขาดไม่ดี เพราะขี้เกียจ
พระอาจารย์กล่าวว่า "เหตุที่คนในปัจจุบันมีสัญญาและปัญญาที่ทรามลงเรื่อย ๆ เพราะขาดสมาธิ ในเมื่อขาดสมาธิ ทุกอย่างก็เสื่อมหมด"
พระอาจารย์กล่าวกับพระด้วยกันว่า "เรื่องของพระเรา เรื่องยศหรือตำแหน่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรไปคิด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไปไขว่คว้าหามาก็ผิดธรรมชาติ แต่ถ้าเขาให้ก็ไม่ต้องไปปฏิเสธ รับไปเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็โดนผู้บังคับบัญชาด่าอย่างผม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตามประวัติของท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านภาวนาแล้วเหนื่อย ท่านก็เลยไม่เดินจงกรม แล้วก็มีหนูมาเดินให้ดู หนูเดินสี่ขาไปสุดทาง แล้วก็ยืนสองขากอดอกแบบตั้งสมาธิ แล้วก็ลดลงเดินสี่ขากลับมาสุดทาง แล้วก็ยืนกอดอกตั้งสมาธิ เป็นพระอาจารย์ใหญ่ยังโดนหนูสอนขนาดนั้น
แต่ถ้าไปดูประวัติพระอนุรุทธเถระ ท่านปฏิบัติโดยไม่นอนเลย ถือเนสัชชิกอยู่ ๕๕ พรรษา ท่านบอกว่า ๒๕ พรรษาแรกไม่นอนเลยแม้แต่นิดเดียว พอ ๓๐ พรรษาหลังใช้นั่งหลับเวลาปัจฉิมยาม ก็คือยามสุดท้ายก่อนสว่าง ต้องคิดนะ ๕๕ ปีไม่ยอมให้หลังแตะพื้น ตอนนั้นท่านเป็นพระอรหันต์แล้วนะ แต่ช่วงแรกยังไม่ได้เป็น พระอนุรุทธเป็นช้ามาก อย่างพระสารีบุตรว่าช้าก็ ๑๕ วัน แต่พระอนุรุทธติดอยู่หลายปี เพราะว่าท่านตรึกในมหาปุริสวิตกไม่ขาด มัวแต่ห่วงอยู่
พอพระพุทธเจ้ามาตรัสข้อสุดท้ายว่า พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้ที่ยินดีในธรรมอันไม่เนิ่นช้า ก็คือละเสียซึ่งธรรมอันเนิ่นช้า ได้แก่ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ ตรองตกถึงได้บรรลุ ท่านได้ทิพจักขุญาณตั้งแต่แรก ๆ แล้วทิพจักขุญาณของท่านก็เกิดปัญหา บอกว่าบางทีกำหนดก็เห็นภาพ บางทีกำหนดก็เห็นแต่แสง ก็ต้องไปถามพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็บอกให้ว่า ถ้าเราตั้งใจกำหนดถึงแสง ภาพก็จะหายไป ถ้าตั้งใจกำหนดภาพ แสงก็จะหายไป เพราะฉะนั้น..ต้องเลือกเอาอย่างเดียว แล้วท่านก็เพลิดเพลินกับการดูอุปนิสัยสัตว์โลก ก็เลยไม่บรรลุสักที ติดอยู่หลายปี"
ถาม : การชุมนุมเขาเอาเรื่องในหลวงมาเป็นประเด็นว่าอีกฝ่ายคิดจะล้มล้าง ?
ตอบ : ปล่อยเขา อย่าไปยุ่งเรื่องนี้ ด้วยความที่พวกเรารักในหลวงเกินไป รักสมเด็จพระเทพฯ เกินไป ทำให้คนเขาเอาไปหากินเป็นปกติ ยกเว้นหน้าด้านอย่างผม มหาโรจน์ชวนเข้าวังผมยังไม่ไปเลย เพราะวังไม่ใช่ที่ของเรา
ถึงเวลาพระองค์ท่านเสด็จมาเอง จึงรู้สึกว่ามีคุณค่า ผมไปนึกถึงพระเถระบางรูป ต้องไปนั่งรออยู่ครึ่งค่อนวันเพื่อที่จะได้เข้าเฝ้า ก็เลยเกิดความรู้สึกว่า เราต้องขวนขวายขนาดนั้นเลยหรือ ? แต่ที่ขำที่สุดก็คือตอนรับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักร ซักซ้อมกันอย่างดีขนาดไหนก็ตาม อยู่ต่อหน้าท่านก็ลืมหมด พระท่านประหม่า พอเห็นผมทำตามขั้นตอนได้ไม่ผิดพลาด ก็มาสงสัยว่าเพราะอะไรถึงทำได้ จึงบอกไปว่า คุณก็อย่าไปฟุ้งซ่านสิ จำขั้นตอนไว้แล้วเข้าไปทำก็หมดเรื่อง ถึงเวลาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้วประหม่า ทำผิดทำถูก ผมดูแล้วขำก็ขำ สงสารก็สงสาร
ถาม : ตอนนี้ทองคำที่จะหล่อพระได้เท่าไรแล้วครับ ?
ตอบ : ประมาณ ๒๐ กิโลกรัม มาครึ่งทางแล้ว กำลังหาเงินไปคืนบัญชี เพราะซื้อเกินไป ๔ ล้านกว่าบาท ไปซื้อตอนทองถูก ถ้าจับจังหวะดี ๆ จะได้ ตอนนั้นซื้อที่ราคา ๑๘,๓๐๐ บาท อย่างกับฝันไป ต้องบอกว่าเอาเปรียบชาวบ้านเขานิด ๆ ที่เขาบอกว่า มีวิชาอยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ไปแอบซื้อ พอรุ่งขึ้นราคาก็พุ่งพรวดเลย เจ็บใจตรงที่ว่าซื้อของแพงมาหลายทีแล้ว เพราะฉะนั้น ๒ งวดหลังนี่เอาตอนที่ถูกสุด
ตอนที่หล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทองคำองค์ใหญ่ ตอนนั้นทองราคา ๒๐,๐๕๐ บาท แล้วก็ขึ้นพรวด ๆ ไป ๒๗,๐๐๐ กว่าบาท ก็แสดงว่าจังหวะที่ซื้อจริง ๆ ก็เป็นจังหวะที่ใช่นะ แต่ถ้ามาเปรียบกับปัจจุบันนี่คือขาดทุน
รายการนี้กำลังทำตะกรุดพระแม่ธรณีรุ่น ๒ เนื้อทองคำอย่างเดียว เขามาเบิกทองคำเพิ่มไปอีก ๑๐ บาท ใครต้องการเตรียมเงินไว้คนละหมื่นบาทก็แล้วกัน เอาไว้ทำบุญกฐิน จะได้ไม่ต้องไปประมูลในเว็บแพง ๆ ในเว็บชุดทองคำราคาไป ๒๓,๐๐๐ บาทแล้ว
ช่างเขาทำผิดแล้วเป็นผลดีกับคนใช้ เพราะว่าเขารีดทองมาหนากว่าที่เราสั่ง ก็เลยเปลืองทองคำเพิ่มไปอีก ๑๐ บาท รวม ๆ แล้วใช้ทองคำไป ๙๕ บาท เพราะฉะนั้น..อย่าบ่นเป็นอันขาดเชียวนะว่าแพง อาตมาออกราคาไป โรงงานโวยกันให้ขรมเลยว่าออกถูกขนาดนั้นได้อย่างไร ก็เลยบอกว่า เผื่อให้พวกเอาไปลงขายกันในเว็บ จะได้รวยบ้าง
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเรายิ่งห่วงใยสุขภาพ ร่างกายก็ยิ่งแสดงความไม่เที่ยงกับความทุกข์ให้เห็น เหมือนกับยิ่งรักษาก็ยิ่งป่วย ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้ นอนกลางดินกินกลางทราย จะไม่ค่อยเป็นอะไร
๒-๓ วันที่ผ่านมานี่อาตมาตากแดดจนตัวไหม้เลย ไปคุมงาน เป็นช่วงเทคอนกรีตพื้นชั้น ๒ ของศาลา คราวที่แล้วเท ๒ ใน ๕ คนงานใช้เวลาเกือบทั้งวัน ครั้งนี้เท ๓ ใน ๕ ก็เลยต้องไปดูเอง โดยให้สัญญากับคนงานไว้ว่า เสร็จเมื่อไรเอ็งเลิกได้เลย รับค่าแรงไปเต็มวัน บ่ายสองก็เสร็จแล้ว สมควรตายจริง ๆ..! เมื่อให้ค่าแรงรายวัน เขาก็แค่ทำให้ได้วัน แต่คราวนี้พอรู้ว่าเสร็จแล้วเลิกได้เลย พักเดียวก็เสร็จ
วันก่อนไปโค่นต้นมะม่วง เทพื้นเสร็จ รุ่งขึ้นทดสอบเลย ต้นมะม่วงใหญ่เป็นโอบ ช่างเขาไม่ยอมให้โค่น เขาบอกว่าเทพื้นแล้วพื้นยังไม่แห้ง ฟาดลงไปพื้นจะแตกหมด อาตมาก็เลยบอกว่าวิศวกรกับอาตมาคนละทฤษฎีกัน ของอาตมานี่พื้นยังไม่แห้งย่อมยืดหยุ่นได้ ฟาดลงไปเถอะ แต่ถ้าแห้งแล้วฟาดลงไป ยืดหยุ่นไม่ได้พื้นจะแตก ว่าแล้วก็ทดสอบให้ดูด้วยการโค่นใส่ไปเลย ปรากฏว่าทฤษฎีของอาตมาถูก ของเขาผิด
เพราะฉะนั้นพวกวิศวกรโครงสร้างต้องไปเรียนทฤษฎีใหม่ เรียนตำรามาหัวจะผุ เขาต้องให้คอนกรีตเซ็ตตัว ๒๐ วัน โอ้โฮ...แล้วอีก ๒๐ วัน เราทำงานได้ตั้งเท่าไร กิ่งมะม่วงใหญ่ขวางอยู่ ต้องขอยืนยันว่าไม่ใช่ต้นนะ แต่ใหญ่เป็นโอบเลย ก็ต้องเอาลง ฟาดลงไปตูม..! แผ่นดินไหวเลย พวกช่างไม่มีใครกล้ายืนดูสักคน คงคิดว่ายับเยินแน่ ๆ เพราะโรงพยาบาลรามาธิบดีเพิ่งพัง แล้วอีกวันก็อ่างเก็บน้ำพัง แค่เขาทดสอบครั้งแรกก็พังเลย"
"อาตมาสร้างศาลาผ่านไป ๑ ปี หมดเงินไป ๑๗,๖๓๐,๐๐๐ กว่าบาท ยังเห็นแค่ซี่โครงอยู่เลย ๑๒ เดือน จ่ายไป ๑๗ ล้านกว่าบาท ก็ตกเดือนละล้านกว่าโดยเฉลี่ย มีคนถามอยู่เรื่อยว่าตีราคาไว้เท่าไร เมื่อ ๓-๔ ปีก่อนตีไว้ ๔๐ ล้านบาท แต่อาตมาคิดไว้ว่าน่าจะถึง ๑๐๐ ล้านบาท
ศาลาหลังนี้ตั้งใจจะทำให้เหมือนถ้ำ ก็เลยใช้อิฐก้อนใหญ่ก่อ แล้วใช้วิธีก่อแบบขวาง จะใช้อิฐมากกว่าปกติประมาณ ๔ เท่า แล้วอิฐน่าถึง ๑๐-๑๒ นิ้ว พูดง่าย ๆ ก็คือกำแพงหนาเป็นฟุต อากาศจะเย็น เพราะความร้อนเข้าไม่ถึง"
พระอาจารย์เล่าว่า "หมอฉลองเขามาฉีดยากันบาดทะยักให้ เขาสงสัยว่าทำไมอาตมาต้องเอาน้ำลายแตะแล้ววน ๆ อาตมาบอกถ้าไม่ได้วน หมอก็ไม่ต้องฉีด อาตมาต้องเอาของออกก่อน เดี๋ยวค่อยอาราธนาใส่ใหม่ ขนาดหมอผลัดกันจิ้มแล้วไม่เข้า เขาก็น่าจะรู้แล้วว่าเกิดจากอะไร แต่เข็มแทงไม่เข้านี่เจ็บกว่าเข้าเยอะเลย"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่มาขอเอากุมารไปเข้าพิธีเสาร์ห้า "อะไรที่ไม่ใช่พระจะเสกยาก แต่เอาไปเถอะ..อย่างดีอาตมาก็แค่ทนนั่งนานหน่อย ระวังไว้อย่างหนึ่งว่า งานบางอย่างจะมาอยู่เรื่อย ๆ จนเราไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม เป็นการโดนหลอกอย่างหนึ่งเหมือนกัน"
ถาม : ทำไมปฏิบัติไปแล้วถึงยิ่งมีกิเลส ?
ตอบ : นักปฏิบัติส่วนใหญ่พอทำไปก็จะมีลักษณะเดียวกัน คือรู้สึกว่ากิเลสมากขึ้น ความจริงแล้วกิเลสมีเท่าเดิม แต่เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ ก็คือ เราเก็บกดไว้ด้วยอำนาจของสมาธิ พอถึงเวลากิเลสมีโอกาสแสดงออก ก็ต้องดิ้นรนเต็มกำลังของเขา เลยเหมือนกับมีกิเลสมากขึ้น
อีกสาเหตุหนึ่งก็คือสภาพจิตละเอียดขึ้น เห็นหน้ากิเลสชัดขึ้น ก่อนหน้าอาจจะเห็นแค่เล็กน้อย ตอนนี้อาจจะเห็นมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันมีมากกว่านั้นอีก แต่ใจเราละเอียดขึ้น จึงรับสัมผัสได้มากขึ้น เห็นหน้ากิเลสชัดเจนขึ้น
ดังนั้น..กิเลสมีเท่าเดิม เพียงแต่เราเห็นชัดขึ้น จึงระมัดระวังให้มากขึ้น ประคับประคองกำลังใจเราอยู่ในด้านดีไว้ อย่าให้รัก โลภ โกรธ หลงกินใจของเราได้
ถาม : แล้วควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนเดิม พังก็ตั้งต้นใหม่ พังก็ตั้งต้นใหม่ เดี๋ยวก็ดีไปเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "เครื่องรางรูปลิง เขาถือเคล็ดว่าหนุมานไม่มีวันตาย โดนหนักแค่ไหนพอลมพัดมาก็ฟื้นใหม่ ส่วนองคตเขาก็ถือว่า ทำหน้าที่ของทูตได้อย่างเด็ดขาด ในประเทศไทยของเรา สำนักที่สร้างเครื่องรางรูปลิง หลัก ๆ ก็มี หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน จังหวัดนนทบุรี หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จังหวัดฉะเชิงเทรา หลวงพ่อเชย วัดบางกระสอบ จังหวัดสมุทรปราการ หลวงพ่อเชยนี่ไม่ได้สร้างหนุมาน ท่านสร้างองคต
หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ท่านบรรจุผงพรายกุมารด้วย นอกนั้นที่สร้างกันหลาย ๆ สำนักก็ไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือ รุ่นหลังสุดเลยที่ได้รับความเชื่อถือก็เห็นจะมี ลูกอมหนุมานครองเมืองของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม
โดยเฉพาะการสร้างของโบราณ เคล็ดวิธีเยอะมาก พระเกจิอาจารย์จะสร้างลิงทีหนึ่งต้องปลูกต้นไม้ก่อน ปลูกต้นรักซ้อน ปลูกต้นพุด เสกน้ำรดทุกวัน พอโตได้ที่ก็ขุดหารากที่อยู่ทิศตะวันออกเท่านั้น แล้วก็ทำพิธีพลีกรรมเพื่อขอเอารากมาตากแห้ง แล้วก็ให้ช่างแกะเป็นรูปหนุมานหรือรูปลิง ช่างก็จะต้องบังคับว่าให้ถือศีล ๘ หรือศีล ๕ นุ่งขาวห่มขาวก่อนแกะกี่วัน เสร็จแล้วก็ต้องหาฤกษ์หายามที่เหมาะสม โดยเฉพาะหนุมานส่วนใหญ่ก็รบราฆ่าฟันกับพวกยักษ์ ต้องใช้ฤกษ์วันแข็งที่สุด ประมาณว่าต้องเสกเจ็ดเสาร์ เจ็ดอังคารอะไรอย่างนั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสักครู่นี้ไปส่งฎีกานิมนต์หลวงพ่อวัดใหม่ยายนุ้ย ว่าจะทำบุญบ้านวิริยบารมีวันที่ ๓๐ มีนาคม งานนี้จะขนพระไพรีพินาศ ขนาด ๑ เซนติเมตร เนื้อชุบทองพ่นทรายมาให้บูชาองค์ละ ๕๐๐ บาท แบบไม่จำกัดจำนวน ให้ตีกันให้ตายไปเลย
ข้างวัดใหม่ยายนุ้ย ตรงที่เคยเป็นฟาร์มจระเข้โดนรื้อกระจายไปแล้ว ถามหลวงพ่อว่าเขาจะทำอะไรกัน ท่านบอกว่าเขาจะทำคอนโดมีเนียม ๒ หลัง หลังหนึ่งสูง ๓๕ ชั้น อีกหลังสูง ๔๑ ชั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเห็นลิงปริศนา ๓ ตัวของนิกายเซนไหม ? ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นรับข่าวสารบ้านเมืองเข้าไปมาก ๆ แล้วเครียด โดยเฉพาะข่าวพวกนี้อยู่ลักษณะตอกย้ำเข้าไปใต้จิตสำนึก แล้วเราเองก็จะเกิดความรักชอบเกลียดชังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นอะไรกันมาเลย แต่เขาย้ำว่าคนนี้เลว ๆ เราก็เชื่อเขาไปโดยอัตโนมัติ แบบเดียวกับการหาเสียง เขามีการทำวิจัยเชิงจิตวิทยามาแล้ว “เบอร์หนึ่ง ๆ” กรอกหูไปเรื่อย เดี๋ยวก็ชิน ถึงเวลาเข้าคูหาก็เผลอกาเบอร์ ๑ ไป
เพราะฉะนั้น..อะไรที่รับเข้ามาแล้วร้อนหูร้อนตา รวมไปถึงร้อนใจ ก็ทิ้ง ๆ ไปบ้างเถอะ อาตมาไม่ได้ดูโทรทัศน์มา ๓๐ ปีพอดี รู้สึกมีความสุขมากเลย ไม่ต้องไปรับรู้อะไร เสียอย่างเดียวเวลาเขาแนะนำว่าคนนั้นเป็นดารา คนนี้เป็นดารา ไม่รู้จัก วันก่อนอนันดาไปวัดท่าขนุน เขาวิ่งไปดูกันตีนพลิก อาตมาก็ไม่รู้จัก เขาบอก “รถเมล์มา ๆ” อาตมาก็ว่า “ไอ้บ้า...รถเมล์เพิ่งไปเมื่อครู่นี้เอง” ไม่รู้หรอกว่าดาราเขาชื่อรถเมล์ รถเมล์ทองผาภูมิออกชั่วโมงละคันแน่ ๆ อยู่แล้ว เพิ่งผ่านไป แล้วมาโวยวายอะไรว่ารถเมล์มา
ดารารุ่นหลัง ๆ นี่น่าสงสารมาก อาตมาไม่รู้จักหรอก คนดังรุ่นหลังที่พอรู้จักก็มี น้องป๊อบ อารียา ดาราคนสุดท้ายที่รู้จักจริง ๆ นางเอกชื่อจารุณี ตอนนี้น่าจะไปเล่นเป็นคุณยายทวดได้แล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลังคนนิมนต์มากขึ้น แต่อาตมารับนิมนต์เขาได้น้อย เพราะว่าปกติถ้ารับรายไหนไว้แล้ว ใครมานิมนต์ซ้ำก็ไม่ไป แล้วถ้านิมนต์เป็นการเฉพาะ อย่างไปฉันเพลที่บ้านนี่ไม่ไปหรอก กินข้าวมื้อหนึ่งต้องวิ่งผ่าน ๓ - ๔ จังหวัด เหนื่อยจะตาย เอาไว้แก่เท่าอาตมาแล้วจะรู้ว่าเหนื่อยขนาดไหน
โดยเฉพาะเวลารถเขย่า ๆ อวัยวะภายในของเรา โดนเขย่าเหมือนกับวิ่งอยู่ตลอดเวลา จะเหนื่อยมากเลย จะเห็นว่าพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เลือกนั่งรถเบนซ์กัน เพราะวิ่งแล้วนิ่มกว่า จะได้เหนื่อยน้อยหน่อย อาตมานั่งไม่ไหว ขนาดเขาถวายมายังบอกคืน ไม่เอา..กินน้ำมัน ๔ กิโลเมตรต่อลิตร..เลี้ยงไม่ไหว"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่ได้สัมภาษณ์ ดร. สันติ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม จึงได้บอกไปว่าการเรียนปริญญาเอก ต่อให้ไม่ต้องรับปริญญาก็ไม่เป็นไร เพราะว่าประสบการณ์ที่ได้จากผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่าน เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องไปศึกษาเอง ๒๐ – ๓๐ ปี ถาม ๆ แล้วก็ได้ข้อมูลมา
จากประสบการณ์มุมมองของหลาย ๆ ท่านโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติ ระยะเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนความพร้อมของสถานที่ อย่างเมื่อครู่นี้ ดร.สันติท่านสรุปว่า “สำคัญที่สุดคือตัวครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์โอเค อย่างอื่นถือเป็นส่วนประกอบที่ทนได้” มิน่า..วัดท่าขนุนหาความพร้อมไม่ได้เลย แต่โยมก็ไปกันจัง อย่างอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้นเอง
ตรงมุมนี้เราต้องอาศัยมุมมองของคนข้างนอกที่เป็นกระจกสะท้อนเข้ามา โดยเฉพาะว่าการปฏิบัติในช่วงเช้า อาตมาเองหวังจะซักซ้อมให้ญาติโยมมีความคล่องตัวในการเข้าออกฌานและทรงฌานใช้งาน แต่โยมส่วนใหญ่นั่งกรรมฐานเสร็จขยับมาจะทำวัตรก็มักจะหลุดเกือบหมดแล้ว
อย่างที่ดร. สันติท่านว่ามาก็ใช่ คือว่าการปฏิบัติช่วงเช้าสำคัญ ถ้าปฏิบัติแล้วรักษาอารมณ์ไว้ได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองไปทั้งวัน กะว่าถ้าจะปรับปรุงก็คือทำวัตรเสร็จแล้วก็เจริญกรรมฐานซ้ำอีกสัก ๑๕ – ๒๐ นาที ไม่อย่างนั้นพวกเราลุกขึ้นก็หล่นหายหมด"
พระอาจารย์เล่าว่า "พระพุทธเจ้าทรงประกอบพุทธกิจ ๕ ประการตลอดชีวิต ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพาน ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เช้าขึ้นมาเสด็จออกบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ บางครั้งกว่าจะกลับก็เลยเพลแล้ว ส่วนใหญ่พระองค์ท่านก็ฉันมื้อเดียว สายณฺเห ธมฺมเทสนํ ตกบ่ายแดดเริ่มคลายร้อนลง ถ้าเป็นบ้านเราเรียกว่า "บ่ายควาย" เริ่มต้อนควายกลับคอกแล้ว เวลาบ่ายพระองค์ท่านแสดงธรรมโปรดญาติโยม
เขาบอกว่าตอนเย็น ๆ ญาติโยมจะถือดอกไม้ธูปเทียน ถือน้ำปานะ ตรงไปเพื่อฟังธรรมจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงเป็นช่วงบ่าย แต่ว่าเป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ ประมาณ ๔ - ๕ โมงเย็น ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ พอค่ำลงก็ให้โอวาทแก่พระภิกษุ คาดว่าน่าจะอยู่ประมาณ ๑ - ๒ ทุ่ม อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ครึ่งคืนก็คือเที่ยงคืน แก้ปัญหาของพรหมเทวดาที่มาถาม ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ พอใกล้รุ่งก็ตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลก เตรียมที่จะเสด็จไปโปรดตอนออกบิณฑบาตอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอด ๔๕ ปี
เที่ยงคืนพระพุทธเจ้าทรงแก้ปัญหาพรหมเทวดา คาดว่ากี่ชั่วโมงดี ? สองชั่วโมงก็พอนะ ถ้าปัญหายาวก็หยุด ก็ตีว่าพระองค์ท่านได้จำวัดตอนตีสอง ปจฺจูเสว คเต กาเล เวลาใกล้รุ่ง ตีเสียว่าตีห้า ตีห้าต้องลุกขึ้นตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกแล้ว แปลว่าพระองค์ท่านจำวัดคืนละ ๓ ชั่วโมงตลอด ๔๕ ปี นี่ยังดีนะ..พระอนุรุทธตลอด ๕๕ ปี ไม่เคยนอนเลย นั่งอย่างเดียว ท่านบอกว่า ๒๕ ปีแรกของท่าน ไม่เคยหลับทั้งกลางวันและกลางคืน ๓๐ ปีให้หลังยอมหลับตอนยามสุดท้าย แต่ว่านั่งหลับ พออายุเริ่มมากแล้วร่างกายก็ชักจะไม่ไหว
พวกเรามีบ้างไหมที่นั่งตลอดทั้งคืน ? ไม่ใช่เข้าอินเตอร์เน็ตแล้วนั่งเล่นคอมพิวเตอร์นะ นั่งธรรมดา ถ้าลูกสาวเข้าอินเตอร์เน็ตถึงตีสี่หรือว่าเล่นเกมถึงตีสี่แสดงว่าฉันทะเพียงพอแล้ว เพียงแต่ว่าใช้ผิดเท่านั้น ตัวฉันทะก็คือความพอใจ ความต้องการที่จะกระทำมีเต็มที่แล้ว เพียงแต่ว่าเอาไปใช้ผิดด้าน"
"พระอนุรุทธองค์หนึ่ง พระมหากัสสปะองค์หนึ่ง ท่านชอบดูอุปนิสัยสัตว์โลก พระมหากัสสปะไม่มีปัญหา เพราะว่าท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านถึงได้ไปดู ส่วนพระอนุรุทธะท่านดูตั้งแต่ยังไม่บรรลุธรรม ก็เลยเพลินอยู่อย่างนั้น เพราะว่าอยู่ในสมาธิตลอด กิเลสไม่เกิด ในเมื่อกิเลสไม่เกิดจึงไม่ได้ดิ้นรนขวนขวายอะไรเพิ่มขึ้น จนกระทั่งพระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปตรัสบอก จึงได้เร่งปฏิบัติจนกระทั่งได้อรหัตผล
แต่ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือพระอานนท์ พระอานนท์เป็นเสขบุคคลคือเป็นพระโสดาบัน พระอานนท์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าตลอด ๒๕ ปีสุดท้ายท่านบอกว่าไม่เคยเกิดกามสัญญาขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยเกิดปฏิฆสัญญาขึ้นเลยแม้แต่น้อย สมาธิทั้งหมดทุ่มเทอยู่กับงานตรงหน้า จะไปแวบคิดถึงเพศตรงข้ามแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ทั้ง ๆ ที่ทำหน้าที่อยู่ตรงนั้นมีสารพัดคนที่จะต้องผจญกับเขา โทสะจะเกิดสักนิดก็ไม่เคยมี
ตอนนี้ถือว่าอัศจรรย์..เพราะท่านเป็นแค่พระโสดาบัน ก็แปลว่าพระอานนท์เริ่มอุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้าตอนที่พระอานนท์อายุ ๕๕ ปี พระอานนท์ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ๒๕ ปีเต็ม ไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อมรรคผลของตัวเอง เพราะว่าบางทีท่านเดินอยู่รอบคันธกุฎีแทบทั้งคืน ท่านใช้คำว่าจุดคบไฟอันใหญ่เดินวนอยู่อย่างน้อยคืนละ ๔ รอบ
๔ รอบนี่หมายถึง ๔ ครั้ง ไม่ใช่หมายถึงเดินรอบกุฏิ ๔ รอบ แต่ละครั้งบางทีอาจจะเดินไปครึ่งค่อนชั่วโมง เพราะท่านเกรงว่าถ้าพระพุทธเจ้าตื่นบรรทมเวลาไหนแล้วตรัสเรียก ท่านอาจจะไม่ได้ยิน พอพระพุทธเจ้าท่านไปพระนิพพาน ท่านจึงเร่งปฏิบัติธรรม ได้เป็นพระอรหันต์ก่อนสังคายนาแค่ชั่วข้ามคืน ก็คือบรรลุตอนใกล้รุ่ง รุ่งเช้าก็เริ่มสังคายนา ท่านบรรลุธรรมตอนอายุ ๘๐ ปี ก็แปลว่าเริ่มถวายการรับใช้พระพุทธเจ้าตอนอายุ ๕๕ ปี บวก ๒๕ ปีก็เป็น ๘๐ แล้วยังอยู่มาจนอายุ ๑๒๐ ปีถึงได้ไปพระนิพพาน
ปรากฏว่าตอนจะไปพระนิพพานมีปัญหา เพราะว่าพอสิ้นพระพุทธเจ้า บรรดาญาติเขามายึดพระอานนท์กัน เพราะพระอานนท์เป็นผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า พระญาติทั้ง ๒ ฝั่ง ทั้งฝั่งศากยวงศ์และฝั่งโกลิยวงศ์ คือญาติข้างพ่อและญาติข้างแม่ ยกทัพมารอว่าท่านจะไปพระนิพพานเมื่อไร เตรียมจะแย่งอัฐิธาตุกัน พระอานนท์ก็เลยต้องเหาะขึ้นไปกึ่งกลางแม่น้ำโรหิณี แม่น้ำที่พระญาติแย่งน้ำกันจนพระพุทธเจ้าต้องไปห้าม ที่เรียกว่าปางห้ามญาติ พระอานนท์อธิษฐานเตโชธาตุเผาตัวเอง แล้วให้อัฐิหล่นลงไปฝั่งละซีก ทำให้ไม่ต้องทะเลาะกัน
การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าประกอบไปด้วย โลกัตถจริยา กระทำเพื่อโลก ญาตัตถจริยา กระทำเพื่อญาติ พระอานนท์ก็เลียนพุทธจริยานี้มา ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวญาติได้ฆ่ากันตาย เพราะต่างคนต่างจะเอาอัฐิไปบูชา"
"ได้ยินแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ? ไม่นอนเลย ๕๕ ปี พวกเราเอาแค่ ๕ ปีพอไหม ? อย่างพระอนุรุทธท่านก็นั่งหลับ หลังจาก ๒๕ ปีไปแล้ว ๓๐ ปีให้หลัง หลับตอนยามสุดท้าย แปลว่านั่งหลับ ๒ – ๓ ชั่วโมง ที่เหลืออยู่คือการปฏิบัติธรรมโดยตลอด
คราวนี้ทิพยจักขุญาณของพระอนุรุทธประณีตที่สุด นับจากพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครเลิศไปกว่าท่าน ท่านก็เลยดูอุปนิสัยสัตว์โลกเพลิดเพลินเจริญใจ แต่พระมหากัสสปท่านดูอุปนิสัยสัตว์โลก เพราะตั้งใจจะแบ่งเบาภาระพระพุทธเจ้า ถ้าสงเคราะห์ใครได้ จะไปสงเคราะห์แทน ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีปรากฏเฉพาะหน้า ตรัสว่า “กัสสปะ ดูก่อน..กัสสปะ งานนี้เป็นงานของตถาคตโดยเฉพาะ ไม่ใช่งานของสาวกอย่างพวกเธอ” ดังนั้น..ตรงนี้ไม่ต้องช่วย"
พระอาจารย์เล่าว่า "พระเรวัตตะอายุ ๗ ขวบ พ่อแม่ก็บังคับให้แต่งงานแล้ว คนอินเดียเขาแต่งกันแบบนี้ แม้กระทั่งปัจจุบันอายุน้อย ๆ ก็จับแต่ง รอเวลาเป็นผู้ใหญ่แล้วค่อยส่งตัวเข้าหอ แต่ปรากฏว่าหลายคนอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบก็เป็นหม้ายเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายหนึ่งตาย
พระเรวัตตะท่านเห็นคุณยายอายุ ๑๒๐ ปีมาให้พร ยายขอให้อายุยืนเหมือนยาย พระเรวัตตะถามว่าอายุยืนแล้วภรรยาผมจะหน้าตาเหมือนยายหรือเปล่า ? ยายบอกว่าคนแก่ก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ พระเรวัตตะเผ่นเลย คนสั่งสมบุญมาดี อายุแค่ ๗ ขวบ มีปัญญาขนาดนั้น ทำอุบายหนีไปวัด ไปถึงก็ขอบวช พระท่านก็บอกว่าถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาต บวชให้ไม่ได้หรอก พระเรวัตตะบอกว่า "พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ พี่ชายผมคืออุปติสสะ" เขาไม่รู้จักกัน "ที่พวกท่านทั้งหลายเรียกว่าพระสารีบุตร" "ถ้าเป็นพระธรรมเสนาบดีก็บวชได้ เพราะท่านสั่งไว้แล้ว พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าน้องชายหนีมาบวช ถือว่าท่านเป็นผู้อนุญาต"
ส่วนพระนันทะไม่อยากบวช แต่พระพุทธเจ้าให้บวช ท่านอยากสึกวันสึกคืน พระพุทธเจ้าเลยพาไปดูนางฟ้า บอกว่าอยากได้ไหม ? ถ้าอยากได้ก็ให้เร่งปฏิบัติสมณธรรม ถ้าตั้งใจปฏิบัติ ตถาคตรับรองว่าจะได้นางฟ้าแน่นอน คราวนี้ท่านทำเกินจนกลายเป็นพระอรหันต์ไป ก็เลยบอกว่าเรื่องนางฟ้าไม่เอาแล้ว พระท่านไปพูดกันว่า พระนันทะตั้งใจปฏิบัติธรรมเพราะต้องการนางฟ้า สามารถยังมรรคผลให้เกิดขึ้นจากการฟังคำสอนเพียงครั้งเดียว แต่จะว่าไปแล้วเหตุที่ท่านปฏิบัติธรรมเพราะถูกล่อด้วยมาตุคาม คือเอาผู้หญิงมาหลอกให้ทำ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่าท่านไม่ได้หลอกพระนันทะด้วยเรื่องผู้หญิงแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อน ๆ ก็หลอกด้วยวิธีนี้แหละ"
"ท่านก็เล่าว่าสมัยที่พระนันทะเกิดเป็นลา สามารถบรรทุกของได้มาก เดินทางได้ครั้งละ ๗ โยชน์ ก็น่าจะประมาณ ๑๑๒ กิโลเมตรสมัยนี้ เมื่อขนสินค้าไปขาย พ่อค้ายืนขายสินค้าอยู่ เอาสินค้าลงหมด ลาก็เดินหากินอยู่แถวนั้น ไปเจอลาตัวเมียเข้า ก็ชวนคุยตามประสาลา ท้ายสุดก็เกิดชอบใจขึ้นมา พ่อค้าขายของหมด จะเดินทางกลับ ลาบอกว่าไม่ไปแล้ว พ่อค้ามองซ้ายมองขวา เห็นนางลาตัวเมียเข้าเลยบอกว่า ถ้าไม่ไปจะแทงด้วยปฏัก
ลาอดีตพระนันทะบอกว่า "ถ้าท่านแทงด้วยปฏักเราก็จะตอบโต้" พ่อค้าถามว่าตอบโต้แบบไหน "เราจะยกขาหน้าขึ้นยืน ให้สินค้าตกลงมาให้หมด" พ่อค้าเลยบอกว่า "ถ้าเจ้ายอมเดินทางกลับ เราก็จะหานางลาที่สวยกว่านี้มาให้" พอได้ยินอย่างนั้น ลาอดีตพระนันทะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเดินทาง ๑๔ โยชน์ก็ไหว ไม่ต้องแค่ ๗ โยชน์หรอก พอกลับไปก็ทวงสัญญาพ่อค้า "ไหนว่าตกลงเรื่องนางลา ว่าจะหามาให้ ?"
"หามาให้ได้ แต่เราจะให้อาหารเจ้าแค่ส่วนเดียวตามปกติ ส่วนนางลาที่เป็นภรรยาของเจ้าจะมีกินหรือเปล่าเราไม่รู้ แล้วถ้าเจ้ามีลูกมีหลาน เราจะให้อาหารเจ้าแค่ส่วนเดียวเท่าเดิม ส่วนพวกตัวเล็กของเจ้าจะมีกินหรือเปล่าเราไม่รับผิดชอบ เพราะเราสัญญาว่าจะหาเมียมาให้เท่านั้น" เสร็จ...ชาตินั้นหมดอยากที่จะมี ส่วนชาตินี้เป็นพระอรหันต์ไปเลย"
"เรื่องที่แขกเขาแต่งงานกันตั้งแต่อายุน้อย ๆ ไม่ใช่แค่อินเดียนะ แขกอิสลามบ้านเราก็แต่งตั้งแต่อายุน้อย ๆ สมัยก่อนอาตมาอยู่ท้ายซอยอ่อนนุช ที่เรียกว่าประเวศ หนองจอก-ประเวศ ครอบครัวอิสลามหน้าบ้านเขาแต่งงานกัน ผู้ชาย ๑๗ ปี ผู้หญิง ๑๔ ปี ยังขอเงินแม่ใช้ทั้งคู่ อายุแค่นั้นจะทำมาหากินอะไรได้ แต่ก็ให้แต่งแล้ว เพราะเขาต้องการคนเยอะ ๆ
สมัยนั้นมีเพื่อนอิสลามเยอะแยะเลย ถึงเวลาเดือน ๔ ก็ไปกินบุญบ้านนั้นบ้าง บ้านนี้บ้าง ข้าวหมกไก่ ซุปหางวัว กินจนเบื่อไปเอง แต่งานบุญของอิสลาม กินเสร็จแล้ว เจ้าของงานต้องจ่ายเงินให้แขก ช่วยค่ารถกลับ งานของเราต้องเอาเงินไปช่วยเจ้าภาพ งานของอิสลามไปกินเฉย ๆ ไม่พอ ต้องให้ค่ารถกลับด้วย
อิสลามไม่ว่าผู้หญิงแต่งกับฝั่งโน้นก็ดี หรือผู้ชายแต่งกับฝั่งโน้น ต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามทั้งคู่ ในประเทศพม่าเขาเลยยื่นเสนอกฎหมายในประเทศพม่าว่าใครแต่งงานกับคนพุทธ ต้องเปลี่ยนมานับถือพุทธ เห็นว่าประธานาธิบดีเต็งเส่งจะเริ่มพิจารณากฎหมายนี้ในอีกไม่กี่วัน คาดว่าคงจะผ่านไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าฝ่ายพิจารณาเป็นพุทธทั้งนั้น คนที่เป็นต้นคิดกฎหมาย ให้คนที่แต่งงานกับฝ่ายพุทธต้องเปลี่ยนมาถือศาสนาพุทธก็เป็นพระ ก็ถือว่าเป็นหัวหน้าม็อบ ชื่อหลวงพ่อวีรสุ ไม่ได้ชื่อพุทธะอิสระ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมมีความเห็นว่าพระควรจะยุ่งกับการเมืองไหม ? สมัยก่อนมีพระยุ่งกับการเมืองคือ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนทำยุทธหัตถี กองทัพตามไม่ทัน สมเด็จพระนเรศวรชนะพระมหาอุปราชแล้ว จะประหารแม่ทัพนายกองที่ตามไม่ทันทั้งหมด สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ก็เลยต้องเข้าวัง กราบทูลสมเด็จพระนเรศวร ขอชีวิตแม่ทัพนายกองไว้
พระนเรศวรท่านให้เหตุผลว่า "ในเมื่อพวกนี้กลัวข้าศึกมากกว่าโยม ก็สมควรที่จะโดนประหารแล้ว" สมเด็จพระพนรัตน์ท่านบอกว่า ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนั้น อาจเป็นเพราะว่าอำนาจของเทพยดาบันดาล อยากจะแสดงให้เห็นซึ่งกฤษฎาอภินิหารของพระองค์ ก็เลยบันดาลให้กองทัพตามไม่ทัน เหมือนอย่างกับสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผจญพญามาร บรรดาพรหมเทวดานับแสนนับล้านมีเยอะแยะ ถ้าหากว่ามาช่วยก็สามารถจะสู้กับกองทัพมารได้อยู่แล้ว แต่ว่าด้วยพุทธบารมีก็เลยทำให้บรรดาพรหมเทวดาเกิดความหวาดเกรงแล้วก็หลีกหนีไปทั้งหมด ให้พระองค์ท่านผจญอยู่เพียงผู้เดียว เมื่อชนะได้จึงเป็นพุทธานุภาพอย่างแท้จริง ไม่ได้ชนะเพราะผู้อื่นช่วย
ดังนั้น..สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็เช่นเดียวกัน ถ้าชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยกองทัพ ก็จะมิได้ปรากฏกฤษฎาอภินิหารเป็นที่เลื่องลือ แต่นี่กลายเป็นว่าลุยเดี่ยวเข้าไปในกองทัพแล้วชนะได้
พอสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฟัง ก็รู้สึกชอบพระทัยบอกว่า "ตรัสไปแล้ว ถ้าคืนคำ..เดี๋ยวต่อไปคนจะไม่เชื่อถือ ถ้าเว้นชีวิตก็ให้ไปตีมะริด ทวาย ตะนาวศรี คืนมา" พูดง่าย ๆ คือทำคุณไถ่โทษ ตกลงว่าแม่ทัพนายกองทั้งหมดออกศึกอีกรอบหนึ่ง ไปยึดเอามะริด ทวาย ตะนาวศรี คืนมา
สมเด็จพระพนรัตน์บอกว่า เรื่องของการรบ ไม่ใช่วิสัยของสงฆ์ ที่ท่านมาเพื่อขอชีวิตแม่ทัพนายกองไว้ เมื่อได้ดั่งใจแล้วก็ขอลากลับวัด จะเห็นว่าสมเด็จพระพนรัตน์ท่านมาแบบพอดี ก็คือช่วยชีวิตเสร็จแล้วก็กลับ ไม่ได้อยู่ต่อ เขาประกาศยุบเวที กูก็ไม่ยุบ จะเห็นว่าคนละอย่างกัน ถ้าพระสงฆ์จะไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ต้องเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แล้วต้องมีความพอดีของตัวเองอยู่ ไม่ใช่ว่าไปนำม็อบเสียเอง ถ้าไปทำในลักษณะนั้นก็ต้องรอวันแตกดับไปเอง"
"ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านสร้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ปกติแล้วสมัยนั้น พระมหากษัตริย์สร้างวัดในรัชกาลที่ ๔ ถึงที่ ๙ จะสร้างถวายฝ่ายธรรมยุต แต่รัชกาลที่ ๕ สร้างวัดเบญจมบพิตรฯ ให้ฝ่ายมหานิกาย แต่ความจริงก็ตั้งใจให้ธรรมยุต
ช่วงนั้นศึกเสือเหนือใต้รอบด้าน เสียดินแดนไปเรื่อย พระองค์ท่านก็ปรึกษามหาเถระฝ่ายธรรมยุตว่า ถ้าศึกมาประชิดบ้านเมือง พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นชายฉกรรจ์จำนวนมาก จะขอให้สึกมาช่วยป้องกันบ้านเมือง พระมหาเถระจะมีความเห็นว่าอย่างไร ทางฝ่ายธรรมยุตท่านตอบว่า เรื่องของการรบราฆ่าฟันไม่ใช่วิสัยของพระ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบ้านเมือง พระมหาเถระฝ่ายมหานิกายว่า ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระองค์ท่านก็ยินดีปฏิบัติตาม พระองค์ท่านเห็นว่าทางมหานิกายตอบได้ถูกพระทัยมากกว่า จึงยกวัดเบญจฯ ถวายให้มหานิกายไปเลย"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานมีโยมมาบูชาพระมหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๑ เนื้อนวโลหะ บอกว่าองค์ของตัวเองให้พี่สาวไปแล้ว ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าเทวดารักษาพระไปเข้าฝันพี่สาว บอกว่าขอไปอยู่ด้วย พี่สาวก็ไม่รู้จัก เห็นแต่ว่าเป็นพระลักษณะแบบนี้ ๆ พอเจอน้องชายเห็นแขวนอยู่ที่คอ ก็เล่าให้ฟัง น้องชายก็เลยต้องสละให้ไป ตัวเองมาบูชาองค์ใหม่ แสดงว่าเทวดาท่านเลือกเจ้าของเอง น้องชายสงสัยว่าพี่สาวเห็นพระก็ทำขนลุกขนพอง ที่แท้พระองค์นี้เองที่ไปเข้าฝัน"
ถาม : บางทีเราเดิน ๆ อยู่ก็สะดุด เหมือนมีใครมาทำ แต่ก็ไม่มีใครครับ ?
ตอบ : นึกว่ากรรมแล้วกัน เรื่องแบบนี้มีเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าสติของเราสมบูรณ์ก็ไม่โดน พวกนี้จะแทรกมาตามวาระกรรม
ถาม : ตอนนี้ฟุ้งซ่านค่ะ
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกจะไม่ฟุ้ง คิดเรื่องอื่นก็ดึงกลับมาที่ลมหายใจใหม่ ถ้าอยู่กับลมหายใจได้ก็ไม่ฟุ้งแล้ว
พระอาจารย์เล่าว่า "พวกเราน่าจะรู้จักเจงกิสข่านกันทุกคน ท่านถือเป็นจอมจักรพรรดิคนหนึ่งของแผ่นดินจีน ซึ่งตอนนั้นเป็นจักรวรรดิมองโกล เจงกิสข่านสร้างจักรวรรดิที่ใหญ่โตมโหฬารมาก กินพื้นที่ทั้งเอเชียและยุโรป ปรากฏว่าทุกวันนี้เขาค้นหาสุสานเจงกิสข่านไม่เจอ เขาเชื่อว่าบรรดาสมบัติต่าง ๆ ที่ตีชิงมาได้จากการยึดบ้านยึดเมือง จะยังฝังรวมอยู่กับศพของเจงกิสข่าน แต่ขออภัยเถอะ หากันทั้งชาติก็คงไม่เจอหรอก ที่เจอก็เป็นของคนอื่น
ตอนเจงกิสข่านตาย เขาให้เอาศพไปเลี้ยงอีแร้ง ไม่มีซากเลย เป็นการกระทำที่ฉลาดที่สุดในโลก ไม่สูญเสียทรัพยากรใด ๆ ทั้งสิ้น แถมไม่ต้องเสียเวลาฝังหรือเผาอีก"
พระอาจารย์กล่าวถึงแหวนปลอกมีดว่า "พวกเรารุ่นหลัง ๆ ไม่เคยทำเหล็กรัดปลอกมีด เขาทำปลอกขึ้นมากันมีดบาด สมัยก่อนใช้โลหะ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง แม้กระทั่งทองคำ ตีเป็นปลอกรัดมีดไว้ ถามว่ารัดปลอกมีดเขารัดแบบไหน ? ก็เผาไฟให้ขยาย ขยายแล้วก็สวมเข้าไป พอเย็นลงก็รัดแน่นพอดี เขาเลยเรียกโลหะเกลี้ยง ๆ ที่รัดปลอกมีดว่า แหวนปลอกมีด
สมัยนี้เห็นแล้วรำคาญตา บางทีเขาเขียนว่า "แหวนปอกมีด" ไม่รู้เห็นมีดเป็นผลไม้หรืออย่างไร คนสมัยหลังไม่ค่อยรู้ศัพท์ เจอเยอะมากเลย "รักสามเศร้า" จะเศร้าอะไรนักหนา หรือเห็นว่ามี ๒ คนแล้วอีกคนมายุ่งด้วย ก็เลยเศร้าทั้ง ๓ คน
เส้า ที่นี้หมายถึงก้อนเส้าที่วางรองหม้อไห เวลาสมัยก่อนเขาหุงต้มกัน แล้ว ๓ เส้าคือ มี ๒ คนแล้วคนที่ ๓ แทรกขึ้นมาเลยเป็นรักสามเส้าคือ ๓ คนแย่งกัน เดี๋ยวก็มีรายการทะเลาะกันบ้านแตกสาแหรกขาด แต่สมัยนี้เขียน รักสามเศร้า อาตมาก็สงสัย จะดราม่าอะไรนักหนาวะ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนโบราณเขาอวยพรให้เด็ก เขาว่าให้เย็นเหมือนฟัก ให้หนักเหมือนแฟง ให้อยู่เรือนเหมือนก้อนเส้า ให้เฝ้าเรือนเหมือนแมวคราว เวลาเขารับขวัญเดือนเด็กก็เลยมีพวกฟักแฟง มีก้อนเส้า แล้วก็มีแมวคราว คือ ตัวผู้ตัวโต ๆ
เย็นเหมือนฟัก หนักเหมือนแฟง คือให้เป็นคนใจคอเยือกเย็นหนักแน่น อยู่เรือนเหมือนก้อนเส้า ก้อนหินที่เอามาตั้งหม้อตั้งไหให้เราหุงต้ม จะไปไหนได้ ก็อยู่แต่ในบ้าน เฝ้าเรือนเหมือนแมวคราว แมวกลางคืนไม่นอนหรอก จะเดินร้องหง่าว ๆ ทั้งคืน ก็ถือว่าเฝ้าบ้าน ความจริงกลางคืนเป็นเวลาที่แมวออกหากิน แต่ความเชื่อของโบราณเขาว่าแมวเฝ้าบ้าน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนจำนวนหนึ่งไม่มากนัก แต่มักจะเป็นนักวิชาการมีชื่อเสียง เขาจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบุคคลมี ๔ ประเภท มีอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ และปทปรมะ ถ้าไปเอาประเภทธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวเนยยะก็ตาย ศาสนาก็ไปไม่ได้
อย่างศาสนาของเรา นักวิชาการสร้างแผนภาพเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ฐานล่างสุดมีขนาดใหญ่ ก็คือพวกที่ยังติดพิธีกรรม ในช่วงกลางก็เป็นพวกที่เริ่มเข้าหาศีล สมาธิ ในช่วงปลายเป็นพวกที่ปฏิบัติครบในไตรสิกขา ก็คือมีปัญญาร่วมด้วย ก็แปลว่าขึ้นไปก็เหลือนิดเดียว คราวนี้ในส่วนที่ว่ามา เคยบอกไว้หลายครั้งแล้วว่า ต่อให้คนพูดเอง เอาธรรมะบริสุทธิ์ไปให้ล้วน ๆ ก็ไม่ทำหรอก แต่มักจะแสดงความเห็นให้ดูเก๋ เท่ ฉลาด
ถ้าเราไปดูบาหลีซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ของอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรอิสลามมากที่สุดในโลกถึง ๒๕๐ กว่าล้านคน บาหลีเป็นเกาะเล็ก ๆ นิดเดียว แต่เป็นฮินดู และความเป็นฮินดูเหนียวแน่นชนิดอิสลามแทรกไม่เข้า วันหนึ่ง ๆ มีการบวงสรวงบูชาพระเจ้า ๔ - ๕ รอบ เช้ายันค่ำ ต้องมานั่งเตรียมเครื่องบูชาไปถวายที่เทวาลัย กลับมาทำงานหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็ไปต่ออีกรอบแล้ว หากเป็นงานเทศกาล วันเกิดของเทพเจ้าองค์นั้น วันฉลองของเทพเจ้าองค์นี้ ก็แทบไม่ต้องทำมาหากิน ไปกันทั้งวันเลย
นั่นพิธีกรรมล้วน ๆ แต่ทำไมพิธีกรรมเขาถึงได้เหนียวแน่นจนอิสลามแทรกไม่เข้า ? เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะว่าเขาใช้พิธีกรรมทำจนกระทั่งเป็นฌานไปแล้ว เป็นอนุสติ คือระลึกถึงเทพเจ้าของเขา นึกถึงเทวดาที่เขาเคารพ
แบบเดียวกับอิสลาม อิสลามที่เคร่งครัดทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง การที่เขาทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง ก็คือหลักปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เน้นตรงตัวสมาธิ ดังนั้นบรรดาอิสลามที่เคร่งครัด เขาถึงยึดพระเจ้าของเขาอย่างเหนียวแน่นสุดชีวิต เพราะเขาสร้างสมาธิจากการละหมาด ถ้าไม่มีตัวนี้อยู่ ไม่สามารถที่จะรักษาอิสลามิกชนเอาไว้ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรหล่อเลี้ยงจิตใจเขา
ดังนั้น..จะเห็นว่าในเรื่องของพิธีกรรมจริง ๆ ถ้าทำถูก ทำเป็น แล้วทำแบบจริง ๆ จัง ๆ ต้องบอกว่าเป็นส่วนในการค้ำจุนพระศาสนาที่สำคัญ ต้นไม้ต้นหนึ่ง เราจะเอาแก่นอย่างเดียว ต้นไม้อยู่ไม่ได้หรอก..ตายแน่ ต้องมีกระพี้ด้วย ต้องมีเปลือกด้วย นักวิชาการส่วนใหญ่จะเป็นนักวิชาเกิน อะไรที่ยากแล้วดูดีก็พยายามที่จะพูด"
"พุทธศาสนาของเรา ถ้าเอาพิธีกรรมที่เห็น ๆ คือใส่บาตรตอนเช้า ถ้าเราสามารถใส่บาตรได้ทุกเช้า ถึงเวลาเกิดความรู้สึกขาดไม่ได้ แสดงว่าการให้ทานของเราควบกับศีลไปในตัว เพราะว่าตอนเราใส่บาตรเราไม่ได้ล่วงศีลแม้แต่สิกขาบทเดียว จึงก่อให้เกิดสมาธิ เท่ากับว่าสามารถสร้างฌานสมาบัติจากพื้นฐานของทาน หลังจากนั้นเราจะไปต่อยอดอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่เราจะพิจารณา
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่า ถ้าไม่มีโอกาสใส่บาตรก็ให้ถวายข้าวพระทุกวัน แล้วก็จะมีพวกนักวิชาเกินคอยเที่ยวมาไล่งับ ไล่กัด ไล่ตำหนิชาวบ้าน บอกว่าไม่ใช่คำสอนของพุทธศาสนา ไม่มีในพระไตรปิฎก จะเรียกพวกนี้ว่าอย่างไร ? ปทปรมะ ก็ดูจะยกย่องเกินไป ต้องเรียกว่ามิจฉาทิฐิ
ปทปรมะเป็นคนฉลาด ฉลาดมาก ๆ เลย แต่ฉลาดแบบไม่รับความคิดคนอื่น จึงเข้าถึงธรรมไม่ได้ แต่มิจฉาทิฐิไม่เอาใครไม่พอ หลงทางอีกต่างหาก แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ ให้ปฏิบัติธรรมก็ไม่เอาหรอก กูอ่านพระไตรปิฎกอย่างเดียว แล้วมาวิเคราะห์ว่าพระไตรปิฎกมาจารึกขึ้นหลังพุทธกาลล่วงมาแล้วตั้ง ๓๐๐ - ๔๐๐ ปี ต้องมีการแต่งเติมขึ้นมาเพื่อสรรเสริญคุณศาสดาของตน ว่าให้ชุ่ยไปหมด อ่าน ๆ ไปแล้วก็สงสารเขา ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนตายแล้ว ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ทัน
เขาโจมตีเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ว่ากลบแก่นแท้ของศาสนา เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก เสกวัตถุมงคลขึ้นมาทำให้ชาวบ้านยึดติด อย่างกับว่าถ้าไม่มีวัตถุมงคลแล้วชาวบ้านจะไม่ยึดติดอย่างอื่น หลวงปู่ดู่ท่านถึงบอกว่า "ติดวัตถุมงคลยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล" แล้วเป็นเรื่องแปลกว่า นักวิชาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะจบด็อกเตอร์กัน มีตำแหน่งทางวิชาการ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ ฉลาดจริงหรือเปล่า ? แม้กุศโลบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โบราณจารย์ทำให้ใจเราเกาะความดีเบื้องต้นก็ยังมองไม่เห็น แล้วจบด็อกเตอร์มาได้อย่างไร ?"
ถาม : ถ้าเราร่วมทำบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าองค์พระยังสร้างไม่เสร็จ ทองยังไม่ได้ติด อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์จะสมบูรณ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : บุญได้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำ แค่คิดจะทำก็ได้แล้ว แต่ถ้าลงมือทำเมื่อไรก็สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น..รีบทำ มีที่ไหนก็ทำ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐๐ บาท ทำไปเถอะ สำคัญตรงที่ได้ทำ
ถาม : ปฏิบัติธรรมมา เกิดอาการทางร่างกายก็คือเกร็ง แรก ๆ ก็เป็นอย่างนี้ พอหลังไปนาน ๆ จะตึงมากขึ้น เวลาเดินออกกำลังกายจะเหมือนเกร็งตลอดเวลา จะมีวิธีแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : รู้ตัวก็ผ่อนคลายสิ ประเภทรู้แล้วไม่ผ่อน ก็ฉลาดน้อย
ถาม : บางจังหวะก็ไม่รู้ตัวครับ ?
ตอบ : ดีแต่เข้าออกไม่เป็น ลักษณะของการทรงสมาธิ ต้องทำให้เกิดความชำนาญในการเข้า ความชำนาญในการออก ความชำนาญในการไปตามลำดับ ความชำนาญในการไปสลับกัน คุณทำได้อย่างเดียวก็คือเข้าแล้วไม่ออก
เรื่องการตอบปัญหาจริง ๆ ครอบคลุมเอาไว้หมดแล้ว ยกเว้นพวกขี้เกียจหา เลยมาเอาถามใหม่ สรุปว่าถามเหมือนเดิม
ถาม : การชำระหนี้สงฆ์ ได้ตั้งแต่ตอนที่จิตเราคิดจะสละออกแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ได้แค่ส่วนเดียว ถ้าลงมือทำถึงจะได้เต็ม ส่วนพระจะสร้างเสร็จไม่เสร็จเป็นเรื่องของเขา
ถาม : ถ้าเราตั้งจิตเอาเงินไปชำระหนี้สงฆ์ แล้วคนเขาเอาเงินที่เราทำนี้ไปใช้ในทางที่ไม่ชอบ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกับเรา อานิสงส์ของเราได้ไปแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาแล้วพบกันในโลก ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมานั้นไม่มีเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาวางแผนจะสร้างที่พักสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ตอนแรกว่าจะเอาอาคารแบบหอพักสัก ๕ ชั้น นึกไปนึกมาแล้ว คงจะแออัดน่าดู เอาหลังเดี่ยว ๆ ดีกว่า หลังเดี่ยวนอนสักหลังละ ๕ - ๑๐ คน แบบรีสอร์ท"
ถาม : สร้างอยู่แถวไหน ?
ตอบ : ว่าจะสร้างไว้รอบ ๆ เมรุ ถ้าใครอยากสบายก็ไปผจญกับผีหน่อยแล้วกัน ไปเห็นเขาทำแล้ว อยู่แถว ๆ เลยแยกแก่งเสี้ยนไปไม่ไกล ว่าจะไปถามราคาเขาดู ถ้าราคาไม่โหดมากก็จะให้เขายกไปตั้งทีละหลัง
ตอนช่วงนี้ผลิตเงินไม่ค่อยทันใช้ แค่ค่าก่อสร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ตกเดือนละล้านกว่าบาท ศาลาผ่านไปหนึ่งปี จะครบหนึ่งปีวันที่ ๒๗ มีนาคมนี้ จ่ายไปแล้ว ๑๗ ล้านกว่าบาท ได้แค่ที่เห็น ที่เขาตั้งงบไว้ ๔๐ ล้าน อาตมาบอกแต่แรกแล้วว่า ร้อยล้านไม่รู้จะอยู่หรือเปล่า ? พอศาลาเสร็จก็จะเริ่มทยอยทำที่พักของโยม
เรื่องซื้อที่ไม่ต้องซื้อแล้ว คนอื่นเขาซื้อไปแล้ว เพราะว่าเขาไม่ยอมแบ่งขาย ส่วนอาตมาต้องเก็บเงินไว้เผื่อสำรองในการก่อสร้าง ก็เลยไม่กล้าเอาไปใช้ เพราะถ้าเอาไปใช้หมด เกิดฉุกเฉินขึ้นมาจะยุ่ง ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมาว่าจะซื้อที่ไว้ทำสถานที่ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะที่ตรงนั้นแถวรอบ ๆ บึงน้ำน่าสร้างกุฏิปฏิบัติธรรมมาก แหล่งน้ำซับแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ อาตมาทำเกาะพระฤๅษี ชาวบ้านเขาก็บอกว่าสร้างรีสอร์ทไปทีหนึ่งแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระของหลวงพ่อโหน่งต้องบอกว่าเอาอานุภาพอย่างเดียว เพราะท่านทำด้วยดินท้องนา ถึงเวลาเผากันทีเป็นลำเรือ ๆ สมัยนั้นใครขอก็ขนไปเลย กว่าเขาจะรู้ว่าของดีก็หมดไปแล้ว"
ถาม : หลวงปู่จีน เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ยิ้มอีกทีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : องค์เดียวกัน หลวงปู่พระครูพรหมวิหารคุณนั่นแหละ
ถาม : พระครูพรหมวิหารคุณนะครับ ?
ตอบ : องค์เดียวกัน ท่านยิ้มทั้งวันเขาเลยเรียกว่า หลวงปู่ยิ้ม คราวนี้ท่านเป็นลูกจีน บางคนก็เรียกหลวงปู่เจ๊ก หลวงปู่จีน อย่าลืมนะว่าสมัยนั้นขึ้นเป็นพระครูได้นี่เกียรติคุณต้องดังระเบิดเลย หลวงปู่ปานกว่าจะเป็นพระครูได้เล่นเอาอายุเกือบเกษียณแล้ว หลวงปู่จงท่านอยู่มาเป็นหลวงตาธรรมดา ๆ จนกระทั่งมรณภาพไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะท่านไม่เอายศไม่เอาตำแหน่ง ท่านช่วยเขาไปเรื่อย
หลวงปู่จงออกจากวัดไป บางทีครึ่งปีไม่ได้กลับวัด ด้วยความมักง่ายของคน พอเจอท่านในงานก็ “บ้านดิฉันอยู่ไม่ไกลค่ะ นิมนต์หลวงพ่อด้วย” ต่อไปเรื่อย ๆ ท่านก็ไปกับเขาเรื่อย ลูกศิษย์ต้องเอาเกวียนไปตามกลับ บางทีข้ามไป ๔ - ๕ จังหวัด ครึ่งปีไม่ได้กลับหรอก จากตรงนั้นไปไม่ไกล แต่จากวัดท่านไกล นิมนต์กันต่อไปเรื่อย ท่านเองก็เมตตาเขาเหลือเกิน นิมนต์ก็ไปสงเคราะห์เขาทั่วไปหมด
หลวงปู่จงท่านอายุยืนจริง ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับหลวงปู่ปาน แต่หลวงปู่ปานมรณภาพแล้ว หลวงปู่จงอยู่มาอีก ๓๐ กว่าปี หลวงปู่จงมามรณภาพตอนอาตมาจะเข้าชั้นป.๑ อยู่แล้ว มรณภาพปี ๒๕๐๘ สมัยอาตมานี่เขาเข้าเรียนกัน ๘ ขวบ
งานประจำปีวัดบางนมโค เขาเอารูปปั้นหลวงปู่ปานมาตั้งไว้ แล้วก็มีตู้รับบริจาค หลวงปู่จงนั่งลงนะหน้าทอง เป่ากระหม่อมให้เขาอยู่ตรงนั้น ๙ วัน ๙ คืน ผ่านไปนับเงินได้ ๘,๐๐๐ บาท เปิดตู้หลวงปู่ปานนับเงินได้ ๘,๐๐๐ บาท หลวงปู่จงบอกว่า “เสียท่าท่านปาน นั่งเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรได้ ๘,๐๐๐ บาท เราเป่าหัวคนจนจะเป็นลมได้ ๘,๐๐๐ บาท” แต่นึกถึง ๘,๐๐๐ บาทสมัยนั้น สร้างโบสถ์สวย ๆ ยังแค่ ๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น ๘,๐๐๐ บาทเทียบกับรายรับสมัยนี้ก็หลายล้านบาท.."
พระเครื่องหลวงปู่ปานท่านบอกว่าให้ญาติโยมบูชาองค์ละบาท สมัยนั้นแพงสุด ๆ ก๋วยเตี๋ยวชามละไม่กี่สตางค์ อาตมาจำได้ว่า ตัวเองเข้าเรียนชั้นป.๑ ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งเพิ่งจะสลึงเดียว
หลวงพ่อฤๅษีขออนุญาตว่า หลวงปู่ปานเป็นหนี้อยู่ ๔,๐๐๐ บาท ก็เกือบสร้างโบสถ์ได้หลังหนึ่ง จึงขอกรรมการวัดว่าไม่ให้ตั้งราคา ให้โยมเขาบูชากันเอง กรรมการก็บอกว่า “ถ้าเกิดไม่พอล่ะ ?” หลวงพ่อบอกว่า “ถ้าไม่พอเดี๋ยวข้าเทศน์ใช้หนี้ให้เอง” กรรมการก็เลยตกลง
ปรากฏว่าได้เงินถล่มทลายเลย ท่านบอกว่าต่ำสุดเขาให้ ๓ บาทอยู่ ๒ คน แล้ว ๕ บาทอยู่ ๒ คน นอกนั้นให้ ๑๐ บาทขึ้นไปทั้งนั้น ได้มากกว่าที่ต้องการหลายเท่า สมัยนี้องค์งาม ๆ ราคาเป็นล้าน สมัยนั้นองค์ ๕ บาท ๑๐ บาทเอง ค่าของเงินก็ต่างกันจริง ๆ
อาตมาไปทำความสะอาดคลังหลวงปู่มหาอำพัน เจอทองแผ่นหนัก ๓ บาท เขาเขียนราคาติดหน้ากระดาษที่ห่อเอาไว้ กระดาษนี่กรอบหมดแล้ว “บาทละ ๔๐๐” โอ้..เมื่อไรจะมีบาทละ ๔๐๐ ให้พวกเราซื้อบ้าง ? ไม่รู้เขาถวายหลวงปู่มหาอำพันไว้ตั้งแต่ตอนไหน เพราะว่าท่านทิ้งเอาไว้ก้นคลังพัสดุ แล้วก็ไม่มีใครได้ไปดูไปแลเลย เพราะพระธรรมยุตท่านจับเงินจับทองไม่ได้
มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาก็ซื้อ-ขายทองอยู่อย่างนี้แหละ จนกระทั่งคุ้นอยู่กับร้านอยู่ ๒ - ๓ ร้าน อย่างบ้วนฮั่วล้งหรือฮั่วเซ่งเฮง ร้านบ้วนฮั่วล้งนั้นเป็นเพื่อนกัน เขาเรียนจบวิศวะฯ มา พ่อแม่ไม่ยอมให้ไปทำงาน ให้อยู่ช่วยขายทอง แล้วจะเรียนไปทำไม ? วิศวะฯ สมัยก่อนนี่สุดยอดพอ ๆ กับแพทย์เลย แต่เรียนจบมาให้ไปขายทอง ขายทองอาศัยแค่ประสบการณ์ ไม่ต้องใช้หัวขนาดนั้นก็ได้
ช่วงที่ทองไมครอนออกมา ร้านทองโดนหลอกไปเยอะ เพราะว่าตัดอย่างไรก็เป็นสีทอง แล้วข้างนอกเขาเคลือบหนา ๆ ไว้ เอาหินลองทองไปขูด ๆ หน่อยแล้วหยอดน้ำกรดลงไปก็เป็นทอง หลอกกินไปเยอะ สมัยนี้ถ้าเป็นทองแท่งใหญ่ ๆ ก็อันตราย เพราะเขาฝังข้างในมา แล้วพวกนี้เก่งมาเลย คำนวณน้ำหนักได้พอดี เขาใช้วิธีเคลือบทองแท้เข้าไปแล้วกะให้ได้นำหนักเดียวกับทอง
ยังเคยคิด ๆ อยู่ว่าความจริงเรามีวิธีหาเงินง่าย ๆ นะ คือไปที่ภูเขาทอง โกยมาทีละถุง สัก ๓ - ๕ กิโล แล้วก็หิ้วเข้าร้านไปขาย แต่ก็อันตรายเหมือนกัน อันดับแรก ถ้าคนรู้ก็ไม่ปลอดภัย อันดับที่สอง ไม่มั่นใจว่าการซื้อขายแบบนั้นต้องเสียภาษีหรือเปล่า ถ้าต้องเสียภาษี เราเป็นพระก็ต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระแบบไม่รู้ตัว ซวยพอกัน
ถาม : ที่ภูเขาทอง ทองเป็นทรายหรือครับ ?
ตอบ : เป็นทรายเม็ด ๆ ถ้าอย่างเม็ดใหญ่ ๆ ประมาณเม็ดข้าวโพด เป็นตะปุ่มตะป่ำหน่อย ตอนแรกด้วยความที่ไม่เคยเห็น ก็นึกว่าเป็นทองก้อน ๆ พอเห็นของจริงจึงรู้ว่าเป็นทราย ที่ซาอุดิอาระเบียก็มีภูเขาทอง ใครไปเที่ยวเขาก็ใส่ขวดเล็ก ๆ ขายให้เป็นที่ระลึก แต่ไม่ใช่ทองแท้ นั่นเป็นแร่ไพไรต์ เขาบอกว่าตันหนึ่งสามารถสกัดทองได้ ๒ บาทซึ่งก็คุ้ม แต่ว่าคนซาอุฯ รวยจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไรแล้ว จึงปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ปัจจุบันนี้ถ้าอพยพต่างด้าวออกจากซาอุดิอาระเบียหมด พวกนั้นตาย เพราะทุกวันนี้เขาทำอะไรไม่เป็น ต้องอาศัยคนอื่นทำทั้งนั้น เป็นแต่กินกับนอนแล้วก็ผลิตลูก
ประเทศกาตาร์ พัฒนาประเทศจนล้ำยุคสุดยอด เพราะประเทศเขามีขนาดเล็ก วิ่งสุดประเทศแค่ ๘๐ กิโลเมตร ผู้ปกครองของเขาชื่อเจ้าชายอะไรจำไม่ได้แล้ว ขับรถสำรวจประเทศทุกวัน ดูความเป็นอยู่ของประชากรอย่างใกล้ชิด ดูพวกโครงการก่อสร้างอะไรต่าง ๆ วิ่งพักเดียวก็ทั่ว วนดูทุกวัน
สิงคโปร์ประเทศเล็ก ๆ เขาก็บริหารได้ดี ต้องบอกว่าดูแลทั่วถึง กาตาร์ประเทศเล็ก ๆ เขาก็บริหารได้ดี ใครจะไปนึกว่ากลางทะเลทรายจะทำให้เจริญได้ขนาดนั้น อาบูดาบี ดูไบ พวกนี้เขาเรียกสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คือหลายประเทศมารวมกันเป็นประเทศใหญ่ แต่ว่าการปกครองของเขาก็ยังต่างคนต่างดูแลแต่ขึ้นกับศูนย์กลาง
ถาม : พม่านี่ขึ้นกับคนกลางไหมครับ ?
ตอบ : พม่านั้นต่างคนต่างอยู่ เมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวว่าพม่าพบหยกหนัก ๕๐ ตัน ที่จริงเขาเจอมาเป็น ๑๐ ปีแล้วนะ แต่เขาปิดข่าวเอาไว้แล้วค่อย ๆ สกัดขึ้นมาขายทีละหน่อย เพราะเขารู้ว่าถ้าข่าวหลุดไปแล้วทหารจะมายึด ในที่สุดข่าวก็รั่วไปจนได้ เขาเจอตั้งแต่สมัยที่อาตมาไปพม่าใหม่ ๆ จะ ๒๐ ปีได้แล้ว
ถาม : นิโรธสัญญาในสัญญา ๑๐ กับนิโรธในอริยสัจ มีอรรถะต่างกันอย่างไรหรือคล้ายกันครับ ?
ตอบ : คล้ายกัน ถ้าจะเอาแน่ ๆ ก็นิโรธในอริยสัจ เพราะแปลว่าหลุดพ้นแล้วแน่ ๆ
ถาม : ถ้านิโรธสมาบัติมีส่วนของวิปัสสนาญาณอยู่ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : อยู่กึ่งกลาง ไม่ใช่สมถะและไม่ใช่วิปัสสนา
ถาม : เป็นไปได้ไหมครับที่คน ๆ หนึ่งแขวนพระองค์หนึ่งสายหนึ่งก็ใช้ได้ปกติ ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอคนนี้มาแขวนปุ๊บ จะต้องมีเรื่องมีปัญหาทุกที ?
ตอบ : เท่าที่ประสบการณ์ผ่านมา มีพระรุ่นไฟไหม้มือของหลวงพ่อฤๅษี พกเมื่อไรนี่ แหม...ฮึกเหิมอยากตีกับชาวบ้านเขาประจำ แต่อาตมารู้ทันอารมณ์ตัวเอง ก็เลยระงับได้ ไม่อย่างนั้นก็คงโดดใส่เขาไปแล้ว
ถาม : แต่นี่เป็นเหตุการณ์ข้างนอกนะครับ ?
ตอบ : กรณีนี้ยังไม่เจอ เพราะว่าเท่าพกมาก็มีแต่ส่งผลในด้านดี
ถาม : ที่เขาบอกเกี่ยวกับผู้ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตวงศ์..?
ตอบ : โตเทยยพราหมณ์อยู่อเวจี พระเจ้าอชาตศัตรูอยู่สัญชีวนรก อยู่ข้างล่างทั้งคู่จ้ะ สมัยนี้คนเก่งมีเยอะ หลายท่านบอกว่า ตนเองเป็นท่านนั้นท่านนี้ในอนาคตวงศ์ แล้วเขาหากันได้ครบ ๑๐ องค์เสียด้วย อาตมาก็สงสัย เพราะในอนาคตวงศ์บางท่านไปพระนิพพานแล้ว ฉะนั้น..คนเก่งมีเยอะ อย่าไปเถียงกับเขาเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราตั้งแต่ลืมตาตื่น จะเด็กจะผู้ใหญ่ก็โดนกินทั้งนั้นแหละ"
ถาม : ในกรณีที่จิตปฏิสนธิก็กินตั้งแต่ตอนนั้นหรือครับ ?
ตอบ : กินมาก่อนนั้นอีก แต่นี่หมายถึงว่าในแต่ละวัน สภาพจิตของเราตอนหลับจะทิ้งไปชั่วคราว ลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็โดนกินใหม่
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำราโหงวเฮ้งฉบับแรกของโลกที่มีหลักฐานชัดเจนคือมหาปุริสลักษณะ ไม่มีใครเถียงได้ เพราะว่าเขาดูกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว"
ถาม : การงานสะดุด ?
ตอบ : ไปนั่งภาวนาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำให้สม่ำเสมอทุกวัน ถ้าทำจริง ๆ จัง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนเท่านั้นแหละ งานจะทับตาย เมื่องานสะดุดก็ต้องหาบุญใหญ่มาช่วย บุญใหญ่ที่สุดก็คือภาวนา แล้วถ้าภาวนาคาถาเงินล้าน ก็จะมีความคล่องตัวมาก
ถาม : อย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : อย่างเดียวก็พอแล้วจ้ะ ขอให้ทำจริงเท่านั้นแหละ
ถาม : กำหนดวันกฐินปลดหนี้ที่วัดรัตนานุภาพแล้วยังคะ ?
ตอบ : กำหนดไว้ตั้งนานแล้ว มีอยู่ในเว็บไม่ใช่หรือ ? ในกำหนดการประจำปี ๒๕๕๗ วันที่ ๒๖ ตุลาคม วันอาทิตย์ ต้องไปตั้งแต่วันศุกร์เหมือนเดิม เพราะเราจะไปถึงวันเสาร์แล้วค้างคืนหนึ่ง พอเช้าวันอาทิตย์ทอดกฐินเสร็จก็ตัวใครตัวมัน คงได้เหมารถไฟกันอีกแล้ว คราวที่แล้วเหมารถไฟเขาไปเท่าไร ? ๒ ตู้ใช่ไหม ? ๘๐ ที่นั่ง นอนคุยกันไป
ถาม : มีวัตถุมงคลที่เป็นคู่ปรับไสยศาสตร์ไหมคะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรอย่างไรเล่า คู่ปรับไสยศาสตร์โดยตรง พกติดตัวแล้วภาวนาอิติปิ โสฯ ๓ ห้องทุกวัน
ถาม : ยังมีตะกรุดมหาสะท้อนไหมคะ?
ตอบ : เลิกทำแล้วเพราะอันตราย บางคนเอาไปเล่นเขาถึงตาย อาตมาเลยโดนพระท่านตำหนิมา
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าใครเขาทำอภิญญาแล้วไปใช้วิธีนี้จะเสื่อม ส่วนใหญ่แล้วที่ไสยศาสตร์ทำแล้วมีผลเพราะว่าเรากลัว ถ้าไม่กลัวนี่ ประเภทเรียกว่าชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ถาม : พุทธวจนะที่กล่าวว่า “อวิชชาแต่ก่อนไม่ปรากฏ แต่บัดนี้มี” หมายความว่าอะไรครับ ?
ตอบ : ก็คือ สภาพของจิตของเราถ้ายังไม่ปรุงแต่ง สิ่งทั้งหลายที่เป็นโทษก็ยังไม่เกิดขึ้น พอปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อไร สิ่งที่เป็นโทษจะเกิดขึ้นทันที ก็แปลว่าเราทำไปโดยไม่รู้ ความไม่รู้ก็คืออวิชชา มีหลายท่านสงสัยว่าใครเป็นตัวสร้างกิเลส แต่ไม่สงสัยว่าตัวกูเป็นคนสร้างกิเลส..! เพราะว่ามีการปรุงแต่งถึงได้เกิดขึ้น ตัวเองไปชอบใจไม่ชอบใจ ยินดียินร้ายนี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
ถาม : เป็นเพราะเหตุปัจจุบัน ?
ตอบ : อวิชชาเป็นอดีตเหตุ การเกิดมาเป็นปัจจุบันผล ตัณหาเป็นปัจจุบันเหตุ การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบเป็นอนาคตผล ฉะนั้น..ถ้าเราไม่สร้างเหตุ ผลก็ไม่มี สร้างเมื่อไรก็มีเมื่อนั้น
ถาม : ในชีวิตประจำวันตอนที่เราไม่มีสมาธิ เราโดนกิเลสกินอยู่ตลอดเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถึงมีสมาธิ มีโอกาสโดนกิเลสละเอียดกินอยู่ตลอดเวลา แต่บางช่วงอย่างเช่นว่าสลบ หมดสติ แล้วไม่ได้ทำอะไร หรือว่าหลับไป ตอนช่วงนั้นก็แค่อยู่ในสภาพจิตของเราที่มืดบอด ไม่ได้ทำดีทำชั่ว
ถาม : “ในขณะแห่งญาณที่รู้แจ้งซึ่งอวิชชา” รู้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นช่วงเวลาที่เห็นว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร ก่อนที่จะรู้เห็นอย่างนั้นได้ สติ สมาธิ ปัญญาต้องได้รับการสั่งสมมามากพอ ขณะเดียวกัน สภาพของความแหลมคมของปัญญาก็ต้องสามารถแทงทะลุไปถึงสิ่งที่ถูกปิดบังอยู่ตามลำดับ อย่างเช่นว่าส่วนของกิเลสหยาบที่แสดงออกภายนอก กิเลสปานกลางที่คุกรุ่นภายใน กำลังรอการระเบิดออกมา หรือกิเลสละเอียดที่เป็นสิ่งที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา
ถาม : จะมีอาการแบบไหนครับ ที่เป็นญาณทัสนะ ?
ตอบ : ประกอบไปด้วย ๑. รู้เห็น ๒. ใช้ความพยายามในการละ ๓. ตัดละได้ ๔. รู้ชัดว่าตนเองละได้ ๕. ทบทวนอยู่เสมอ ก็คือไม่ประมาท ในตอนสุดท้าย จะทบทวนขึ้นหน้าถอยหลัง ถอยหลังขึ้นหน้า เพื่อความมั่นใจว่าตนเองสามารถละได้แน่นอนแล้ว ถ้ารู้เห็นเฉย ๆ เรียกว่าญาณทัสสนะ ถ้าตัดละได้ เรียกว่าวิมุตติญาณทัสนะ
ถาม : อนุปาทิเสสนิพพานยังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้ไหม ?
ตอบ : เขาบอกว่า ถ้าตราบในที่ไตรสิกขายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ตราบนั้นเกิดได้อยู่ตลอด วิสัยของแต่ละคนสั่งสมมาไม่เหมือนกัน ถ้าวิสัยของท่านสั่งสมมาอย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
ถาม : จะมีความแตกต่างอย่างไรระหว่างสอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน ?
ตอบ : ท่านอธิบายไว้ว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสแล้วยังมีขันธ์ ๕ อยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสพร้อมกับดับขันธ์ไปด้วย พูดง่าย ๆ คืออย่างหนึ่งเข้าถึงมรรคผลพร้อมกับตาย กับอีกอย่างหนึ่งเข้าถึงมรรคผลแล้วยังอยู่ได้
ถาม : แต่ในพระพุทธวจนะท่านแสดงว่า “ปรากฏแม้ในปัจจุบันอยู่”
ตอบ : ในเรื่องของพวกนี้ เรามากล่าวถึงไม่มีประโยชน์ เหตุที่ไม่มีประโยชน์เพราะว่าเราเข้าไม่ถึงจริง ได้แต่คิดว่า คาดว่า ตอบไปก็ไม่รู้ว่าตอบถูกหรือเปล่า คนถามก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถามไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร
ถาม : ในขณะแห่งมรรคแต่ละมรรค ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตตมรรคมีความแตกต่างอย่างไรบ้างเป็นนิมิต เป็นอารมณ์ ?
ตอบ : ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคจะมีความรักในพระนิพพานเป็นอย่างยิ่ง ประเภทตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนี ถ้ามาถึงสกทาคามีมรรค เหมือนอย่างกับว่าความรักความโกรธหายไปเฉย ๆ ความจริงยังมีอยู่ แต่เนื่องจากอำนาจของการก้าวเข้าถึงสูงกว่าอารมณ์โสดาบันทั่วไปมาก ก็เลยกลายเป็นว่าในส่วนของ ราคะ โทสะ เบาบางลงเหมือนกับไม่เหลือ
ในส่วนของอนาคามิมรรคจะรู้สึกรังเกียจร่างกายนี้เป็นที่สุด ไม่ว่าจะตัวเราตัวเขา ประเภทเดินผ่านคนอื่นบางทีอ้วกแตกใส่เขา จะโดนเขาชกหน้าเอา ถ้าในส่วนของอรหัตตมรรคจะอยู่ในลักษณะที่ว่า "ไม่เห็นเลยว่าจะมีอะไรที่ควรค่าแก่การยึดถือไว้"
ถาม : อย่างไหนถึงเรียกว่ารูปในนาม ?
ตอบ : ถ้าส่วนไหนก็ตาม ที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทร่างกายของเรา ก็จัดอยู่ในส่วนของนามทั้งหมด ส่วนประเภทที่ว่ามือเราจับต้องแล้วสามารถสัมผัสได้ หรือว่าสายตามองเห็นเรียกว่ารูป คราวนี้ส่วนไหนก็ตามถ้าเกินจากตรงนี้ไปก็จัดอยู่ในนาม แต่ถ้าสายรูปนามที่เขาเรียนมาละเอียดจริง ๆ เขาก็มีรูปในนามอีกต่างหาก ก็คือเสียงที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ได้ยิน กลิ่นที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ได้กลิ่น เป็นต้น
ถาม : ประสาทร่างกายก็เป็นส่วนที่สัมผัสไม่ได้ ?
ตอบ : ประสาทร่างกายทั่ว ๆ ไปสัมผัสไม่ได้เขาจัดเป็นส่วนของนาม แต่อย่างของเสียง เราสัมผัสได้ แต่ว่ามองไม่เห็น เขาเลยเรียกว่ารูปในนาม ถ้าไปศึกษาสายนี้จะสนุกสนานไปอีกนาน สายนี้ที่สำคัญจริง ๆ ก็คือวัดปราสาททองที่สุพรรณบุรี มีคนปฏิบัติตามสายนี้มากเหมือนกัน
ถาม : คนที่ได้สมาธิแล้วเกิดญาณทัสนะ เห็นสภาพร่างกายมีความแปรเปลี่ยนไป จัดว่าเป็นวิปัสสนาญาณไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเห็นจริงแล้วสภาพจิตยอมรับ ว่าสภาพร่างกายมีธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็จัดเป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็เป็นแค่ญาณ คือเครื่องรู้เฉย ๆ
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ให้เห็นให้ได้ก่อน ส่วนปัญญาเพียงพอที่จะปล่อยวางหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที
:4672615:เก็บตกเดือนมีนาคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.