View Full Version : หลวงตาเล่าถึงหลวงปู่ชุ่ม
http://i398.photobucket.com/albums/pp69/tidtou/76038d79.jpg
หลวงปู่ชุ่มหรือครูบาชุ่มของชาวหริภุญไชย  เป็นศิษย์เอกขนานแท้ของของพระคุณหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย  พระมหาโพธิสัตว์สงฆ์ผู้เป็นประดุจเทพเจ้าของชาวลานนาทั้งผอง  ที่ว่าเป็นศิษย์เอกขนานแท้  ก็เพราะครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ประทานกำเนิดบวชเป็นสมณะให้  ครั้นตอนครูบาศรีวิชัยมรณภาพลงไป  หลวงปู่ชุ่มองค์นี้แหละ  ที่เป็นทายาทผู้รับมรดกครอบครองไม้เท้าและพัดหางนกยูงอันเป็นตราสัญลักษณ์ประจำองค์ครูบาศรีวิชัย  แสดงถึงคุณธรรมที่ท่านปฏิบัติได้ถึงขนาดนั้นแหละ  และที่สำคัญท่านมาเกี่ยวข้องกับพ่อเรา (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ  วัดท่าซุง)  ตั้งแต่อดีตชาติ  คือเป็นพี่ชายพ่อเรา  คู่กับหลวงปู่คำแสนเล็ก  สามองค์นี้แหละลูกหลานเอ๋ย  ที่เป็นต้นกำเนิดการสถาปนาแผ่นดินไทยสมัยเชียงแสน  นานนักหนามาแล้ว
อดีตพูดถึงก็พิสูจน์แบบมนุษย์ให้คนทั้งหลายยอมรับยาก  ก็ไม่เอาตรงนั้น   เอาตรงท่านทั้งสอง  คือพ่อเรากับหลวงปู่ชุ่มพบกัน  ก็ตอน พ.ศ. ๒๕๑๗  ต่างองค์ก็ต่างอายุเกิน  ๖๐  ปีแล้ว  พ่อก็นิมนต์  หลวงปู่ให้มางานฉลองวัดประจำปี  ๒๕๑๘ - ๑๙ - ๒๐  ทั้งสามปีนี่แหละ  ที่ผู้เขียนได้ย้ำประทับภาพอมตะแห่งขุนเขาุชุ่มบุญบารมีองค์นี้ไม่มีลืม
ปี ๒๕๑๘  ปีแรกที่หลวงปู่ชุ่มมาวัดท่าซุง  ท่านก็มากับสามเณรน้อยอายุ  ๘  ปีรูปหนึ่ง  พักอยู่กุฏิทรงไทยหลังที่  ๖  ต้องบอกกันก่อนว่าเรื่องของหลวงปู่ชุ่มเขียนยากที่สุด  เพราะท่านไม่ค่อยพูด   ท่าทางเคร่งขรึมมั่นคงเยือกเย็น  ก็เหมือนภูเขาชุ่มน้ำคลุมไปด้วยป่าเขียวสดอีกชั้นหนึ่ง   นั่นแหละ !  ผู้เขียนไม่มีโอกาสได้ประจ๋อประแจ๋  ถามนั่นถามนี่เหมือนกับหลวงปู่่องค์อื่น   คงได้แต่ดูแลปรนนิบัติ  เหมือนชื่นชมทิวทัศน์ป่าเขาลำธารน้ำใสอย่างไรอย่างนั้น  ไม่ค่อยจะได้เนื้อหามาเขียนเล่าถนัดใจนัก  ก็เล่าบอกตามลำดับกันมา
พ่อบอกว่าหลวงปู่ชุ่มเป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ  เวลาท่านมองเรานี่  มองเหมือนมองผ่านอากาศ  โธ่เอ๋ย  จะให้ความสำคัญกับเราสักนิดเหมือนยิ้มกับลูกหมาก็ไม่ได้  นี่เป็นจริยาอาการปกติของท่าน  ผู้เขียนนึกไปถึงนั่น  นึกถึงอากาสานัญจา  วิญญานัญจา  อากิญจัญญา  เนวสัญญานาสัญญา   แปลว่าอะไร...  ก็ไม่รู้  อรูปฌานทั้ง  ๔  นั่นแหละ   ใจท่านคงทรงอารมณ์นั้น ๆ  จนชิน   เวลาไม่มีธุระจะพูดคุยกับผู้คน   ก็อย่างนั้นแหละ  มองอะไรเป็นอากาศ  ไม่มีเหลือเลย  จะว่าจำได้  รู้จักมักคุ้นก็ไม่ใช่  โอย..ผู้เขียนเกรงหลวงปู่องค์นี้มาก   จะว่าไม่รู้จักไม่สนใจก็ไม่ได้  เพราะเวลาท่านจะเอาธุระกับเรา  ตาอย่างนี้มีประกายหมายมั่น  เสียงติดดุ ๆ  เอาด้วย
ที่พูดถึงสามเณรที่มาด้วยนั้น  ก็เพราะว่าหลวงปู่เป็นอย่างไร  เณรก็แทบจะอาการเดียวกัน  นั่งมองอะไรอย่างนี้ดูทะลุผ่านเลย  เราเข้าไปประเคนถวายข้าวน้ำนี่..เอามือรับ  แต่ตานี่เหมือนไม่สนใจเรานัก  คุณตั้ว  ศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อ  ซึ่งเป็นคนรับหน้าที่รับใช้พระที่กุฏิเบอร์  ๖  พูดถึงสามเณรว่า
"เณรนี่  ท่าจะไม่ค่อยเต็ม  ดูเหม่อ ๆ  อย่างไรบอกไม่ถูก"
แต่แล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องรีบไปกราบขอขมาท่านเณร  เพราะพ่อเรียกตัวเข้าไปบอกว่า
"แกอยากลงนรกหรือ  เณรนั่นทรงสมาบัติแปดได้เป็นปกติ  อย่าปากหมาหาเรื่อง"
แล้วคืนนั้นแหละยืนยันกันชัด  นี่ขอเล่าเรื่องสามเณรให้จบขาดไปก่อน  คืนนั้น  พ่อก็จัดพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในพระอุโบสถ  พระเถระที่มีโอกาสได้เข้าไปนั่งล้อมวัตถุมงคลมี  ๑๑  องค์  คือพ่อ  หลวงปู่สุปฏิปันโนอีก  ๑๐  แถมสามเณรหนึ่ง  เอาแล้วสิ  ตอนพระอาจารย์ทั้งหลายพรมน้ำมนต์ที่วัตถุมงคล  หลวงปู่ชุ่มให้สามเณรพรมแทน !
ขอเล่าต่อถึงตอนงานเสร็จสิ้น  หลวงปู่ชุ่มพาสามเณรไปลาพ่อกลับลำพูน  จำได้ติดตาตรึงใจว่า  พ่อกับหลวงปู่ชุ่มนั่งเก้าอี้เหล็กสีแดงบนพื้นลูกรัง  จุดนั้นปัจจุบันนี้คือศาลารายข้างพระอุโบสถ  ด้านหลังรูปหล่อหลวงพ่อใหญ่  ส่วนสามเณรนั่งกราบกับพื้น  พ่อมองเณรด้วยสายตาที่นุ่มนวลชื่นชมนักหนา
"รักษาตัวให้ดีลูกเอ๊ย  ต่อไปเณรจะเป็นผู้รับคุณธรรมทั้งหมดของหลวงปู่ไว้ได้  หลวงปู่เป็นอย่างไร  ลูกก็จะเป็นอย่างนั้น"
พูดจบก็ส่งเหรียญหลวงปู่ปาน  ข้างหลังมียันต์เกราะเพชรให้เณรเหรียญหนึ่ง  ผู้เขียนก็ยื่นมือเข้าไปบ้าง  แล้วก็หยุด...ถอยกลับออกมา  ๓  วา  เพราะสายตาพ่อที่มองมาที่เราไม่นุ่มแล้ว  โอย  เขียวกล้า  แปลว่า  อย่าเสือกได้ไหม !
ถึงเวลานี้ สามเณรองค์นั้นอยู่ที่ไหนหนอ  ปี  ๒๕๑๘  อายุครบ  ๘ ปี  ปี  ๒๕๔๓  นี่ก็อายุได้  ๓๓   ได้ยินแล้วกรุณาตอบด้วย  คิดถึงเหลือเกิน   จะพาท่านผู้อ่านลูกหลานไปกราบ
ทีนี้..เอาเรื่องหลวงปู่ชุ่มโดยตรง  เล่าเป็นเกร็ด ๆ  ไปเลย  คืนแรกที่มาถึง  ท่านก็นั่งพักสบายที่ชั้นล่าง  ก็มีศิษย์ผู้ใหญ่ของพ่อคนหนึ่ง  จำได้ว่าชื่อคุณพงษ์  คุณากร  เข้ามากราบหลวงปู่  พอเขากราบ  ความปีติกระมังทำให้ตัวเขาลอย   ลอยจริง ๆ  ลอยขึ้นมาสักศอกหนึ่ง  หลวงปู่ชุ่มจับหัวกดลงไปกับพื้น  ก้นแกก็ลอยโด่ง ปากก็ออกเสียงเหมือนคำราม  สักครู่ก็ราบกราบกับพื้นได้  หลวงปู่ว่า  "ดี  ดี  ใช้ได้"   แล้วก็มองคุณพงษ์กับผู้เขียนเหมือนมองอากาศตามเดิม  ท่านคงเห็นเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ  ของภาวะพระกรรมฐาน
แต่ผู้เขียนนี่  ขนลุกผึงทั้งตัวเลย  มันมีจริงนี่หว่า  ปีติตัวลอยได้นี่  มองหลวงปู่มั่นหมายเลยว่าจะถามอะไร  ให้พูดอะไรบ้าง  แต่ไม่เปิดโอกาสเลย  นั่งเคี้ยวหมากเฉย  นั่งค้อมไหล่ตาจับพื้น  ปากเคี้ยวเหมือนเคี้ยวกิเลส  เคี้ยวขาดเลย  นึกออกไหม ?
เดี๋ยวก่อน ! ลืมเล่าตอนท่านเข้าไปนั่งปรกพุทธาภิเษกวัตถุมงคล   หลวงปู่อะไร..ทางเหนือนะ  หลายองค์นั่งเรียงกัน  สักครู่หลวงปู่จากลานนาไทย  ทุกองค์รีบลุกขึ้นห่มจีวรพาดสังฆาฏิใหม่แบบภาคกลาง  ค่อย ๆ  ทำ งามตานัก  แล้วนั่งลงหลับตาต่อ  ไอ้เราก็สงสัยกัน  ตอนหลังหลวงปู่ชุ่มเล่าให้ฟังว่า  หลวงปู่ปานวัดบางนมโคมาปรากฏกายตรงหน้าท่าน   ตั้งท่าท้าชกจรดมวยใส่ท่าน  เสียงหลวงปู่ปานพูดว่า
"พระอะไรนี่  แต่งตัวไม่เหมือนชาวบ้านเจ้าของถิ่นเขานี่"
พอหลวงปู่ภาคเหนือห่มเสร็จแล้ว  หลวงปู่ปานก็ยกมือไหว้เป็นเชิงโมทนาขอขมาโทษทำนองนั้น  พอมาถามพ่อ  พ่อหัวเราะเสียงดังเลย
"ข้าเห็นหลวงพ่อปานแต่แรกแล้ว  ที่ท่านทำอย่างนั้น  เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม  รอเวลาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  เรื่องระเบียบวินัยจารีตนี่  ท่านต้องเคร่งครัด  ที่ท่านยกมือไหว้  ก็เพราะหลวงปู่ชุ่ม  หลวงปู่คำแสน  เป็นพระอรหันต์นับคุณธรรมปัจจุบัน  หลวงปู่ก็ชื่อว่าบริสุทธิ์เต็มภูมิแล้ว  ส่วนหลวงพ่อปานยังอยู่ชั้นดุสิต  ยังไม่ใช่พระอริยะ  ต้องรอเป็นพระพุทธเจ้าเสียก่อน  จึงจะเหนือกว่า"
อย่างที่บอกแล้วว่าหลวงปู่ชุ่มเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ  เป็นพระอรหันต์ที่มีญาณหยั่งรู้ประมาณไม่ถูก  ยกตัวอย่างก่อนที่ในหลวงจะเสด็จ  นี่ขอเล่าควบ  ๓  ปี  ที่หลวงปู่มาวัดท่าซุงเลย  แต่ในหลวงเสด็จ  ๒  ปี  คือปี  ๑๘  กับ  ๒๐
มีมติของนักวิชาการจำนวนหนึ่ง ซึ่งสังเกตเองว่าน่าจะเป็นที่นิยมมากแล้ว ให้ใช้ว่า ล้านนา ครับ
เล่าต่อ...ก่อนในหลวงจะเสด็จตัดลูกนิมิต  ตอนนั้นหลวงปู่ชุ่มกำลังฉันเพลอยู่  ท่านหันมาพูดกับผู้เขียนว่า  "วันนี้  ในหลวงฉันก๋วยเตี๋ยวบนเรือบินนะ"  เล่าให้ท่านเจ้ากรมเสริมฟัง  (พล.อ.ท. มรว.เสริม  ศุขสวัสดิ์)  ท่านตาลุกเลย  บอกว่าจริง...จริง   ราชองครักษ์ที่ตามเสด็จบอกเจ้ากรมเสริมว่าในหลวงเดินทางมาวัดท่าซุงเวลาจำกัด  รับสั่งให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวเสวยบนเฮลิคอปเตอร์   แล้วลงต่อรถยนต์ที่นครสวรรค์เข้าวัดท่าซุง
บอกแล้วว่าเล่ายาก...จะขอสรุปผ่านงานทั้งสามปีไปเพราะกิจกรรมสงเคราะห์ญาติโยม   ระหว่างช่วงงานก็เหมือนกับหลวงปู่องค์อื่น
ส่งจิตคิดตามไปที่วัดวังมุย   ลำพูน  ท่านก็กลับวัดวังมุยไป   พ่อกับหลวงปู่ท่าน  จะคุยตกลงกันด้วยวาจา  หรือด้วยใจ  ก็อย่าไปรู้รายละเอียดของท่านเลย   เอาเป็นว่าหลวงปู่ชุ่มจะ 'นั่งหนัก'  หรือภาษาบาลีเรียกว่า 'เข้านิโรธสมาบัติ' เป็นเวลา  ๗   วัน  เพื่อจะให้พ่อพาศิษยานุศิษย์ไปทำบุญเพิ่มบารมีกัน
โอย...ตอนนี้ฟ้าจะถล่มทลาย  ลูกหลานพ่อ  ผู้เขียนด้วยต่างก็ฮือฮาสาธุการ  จัดหาสิ่งของเงินทองกันโกลาหล  ล้นศรัทธา  พอถึงเวลา  ก็เดินทางตามพ่อไป   รถบัสกี่คันหนอ...ถึงลำพูน   ฝนตกรินเป็นสายไม่ขาดเม็ด  ต้องพักถ่ายผู้คนขึ้นรถสองแถว   จากวัดจามเทวีไปถึงวัดวังมุย   คงจะเหมาสองแถวหมดเมืองลำพูนกระมัง   พี่อรรณพ (พ.ต.อ.อรรณพ  กอวัฒนา)  เป็นผู้จัดการอำนวยความสะดวกทั้งหมด   ทางเข้าวัดวังมุยก็แคบ
ฝนก็รินไหล   แต่ผู้คนก็เดินทางไปถึงวัดวังมุยแบบทุลักทุเลเฮฮากันได้ทั้งหมด
หลวงปู่ชุ่มท่านเข้านิโรธสมาบัติในป่าช้าใกล้วัด  ปลูกกระท่อมล้อมสายสิญจน์  กั้นรั้วกันผู้คนเข้าไปรบกวน   พ่อขึ้นไปรอหลวงปู่บนกุฏิรับรอง   ผู้เขียนเข้าไปจัดจีวรสิ่งของที่นำไปร่วมถวายมากมาย  โบสถ์แทบแตก  พระคุณหลวงปู่คำแสนเล็ก  นั่งยิ้มเย็นใจคอยอยู่ในโบสถ์
ณ  ที่นั่นเอง  ในกาลเวลาขณะนี้เอง  ที่หลวงปู่ชุ่มเคลื่อนเสลี่ยงคานคนหามออกจากกระท่อม  เมื่อตอนถอนจิตจากนิโรธสมาบัติ  ฝนก็กลายเป็นเม็ดฟูฝอยละเอียดเนียนสายตาฉ่ำอารมณ์นัก  คลื่นศรัทธามหาชนก็ร้องกระหึ่มโมทนา  แย่งกันแข่งกันโยนดอกไม้  ธนบัตรปัจจัยขึ้นไปบนเสลี่ยงพระอริยสงฆ์  แม้โลกธรรม  ลาภ  สรรเสริญ  ท่วมท้นเสลี่ยงอย่างไร  หลวงปู่ชุ่มก็นั่งสงบเย็นใจ  ประคองจิตรับรู้ศรัทธาเหล่านั้น  ไม่มีอาการหวั่นไหว
องค์หนึ่งนั่งเหนือเสลี่ยงชัย   ฉ่ำละอองฝน  ห้อมล้อมด้วยฝูงชนดุจดาวล้อมเดือน
อีกองค์หนึ่งนั่งยิ้มสงบคอยอยู่ในพระอุโบสถ  รอเวลาโมทนามหาทาน   ที่จะถวายบูชาครูบาน้อง
อีกองค์หนึ่ง...องค์ที่ผู้เขียนกลัวที่สุดรักเหลือแสน  กำลังกระทำสีหนาทลีลามาเป็นองค์ประธานในพิธี
ท่านผู้อ่านเอย..สามองค์พี่น้อง  ที่เวียนว่ายบำเพ็ญบารมีมาจนครบจบกำลังแล้ว            สามดวงประทีปแก้วกำลังจะมาร่วมในเขตพัทธสีมาพุทธเขตเดียวกัน  เพื่อให้ลูกหลานได้ชื่นชมสมปรารถนา
หลวงปู่ชุ่มหนึ่ง...หลวงปู่คำแสนเล็กสอง...พ่อ (หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง) รวมเป็นสามดวงแก้วสังฆรัตนะนี้  ตามที่ฟังพ่อเล่า   ก็ทราบว่าท่านเกิดร่วมอุทรเดียวกันมาหลายชาติหนักหนา  แต่ละองค์ก็ทรงลักษณะเป็นพิเศษเฉพาะตน
หลวงปู่คำแสนเล็กจะเป็นพี่ใหญ่อัธยาศัยรักสงบ  ขี้อาย  รักน้องจนตัวเองประมาณไม่ได้ว่ารักแค่ไหน   จะยอมเสียสละทุกอย่างให้น้องได้แม้จะเป็นบัลลังก์เศวตฉัตรตามสิทธิทายาทอันชอบธรรม  ขออย่างเดียวให้น้องได้มีความสุข
หลวงปู่ชุ่มออกจะดุ  มีความเด็ดเดี่ยว  ทุ่มชีวิตจิตใจให้กับงานทุกอย่างที่รับผิดชอบ  แต่วาสนาเอย..อานุภาพที่เด็ดขาดปานนั้น  ก็มีไว้ทำเพื่อน้องที่ท่านรักและชาติตระกูลเท่านั้น  จริง ๆ  แล้วท่านรักความเป็นอิสระ  ไม่ชอบนำคน  แต่ก็ไม่ชอบให้คนมานำท่าน   เสร็จจากภารกิจใดก็มอบความสำเร็จนั้นให้ส่วนรวม  แล้วก็อยู่กับตัวเองและโลกของตัวเองอย่างนี้มาทุกชาติ
ทีนี้มาถึงพ่อ  หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ  วัดท่าซุง  เขียนยากหน่อย  เพราะอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด   ใกล้เกินไปจนมองไม่เห็นความดีเต็มดีไม่ได้   หรืออีกอย่างหนึ่งเห็นความดีของพ่อจนบรรยายไม่สาสมใจรักของเรา
เห็นพ่อเดินมาจากกุฏิที่พัก  จะว่าเข้มแข็งปึงปังก็ไม่ใช่  จะว่าอ่อนโยนเหมือนคนไม่เคยลำบากก็ไม่เชิง  ถ้าท่านเคยเห็น  สมัยก่อน  เขาเรียกสีหะ   ถ้าตัวที่เป็นจ่าฝูงเขาเรียก  สีหราช  คือสิงโตในหนังทีวีนั่นแหละ  
หลวงปู่ชุ่มลอยเหนือศีรษะฝูงชนมาบนเสลี่ยง  แต่พ่อเดินผ่านฝูงชนที่จงรักต่อท่านมาแบบธรรมดา  แต่กลุ่มบุคคลผู้อื่นบุญเหล่านั้นกลับเปิดทางให้ท่านเป็นสายน่าอัศจรรย์  เขาเหล่านั้นนั่งประนมมือสองข้าง  แต่ตาจับจ้องหน้าพ่อด้วยความรักเทิดทูน   จะว่าท่านใดได้น้ำใจจากปวงชนมากกว่ากันหนอ  ระหว่างท่านลุงผู้ทรงเสลี่ยงกับท่านพ่อผู้กระทำสีหนาทลีลา  ทั้งสองท่านก็มารวมกันอยู่ในพระอุโบสถวัดวังมุย   ในกระแสสายตาที่ชื่นชมของท่านพี่องค์ใหญ่สุด..ท่านลุงคำแสน
ท่านผู้อ่านเอย...เมื่อทั้งสามท่านนั่งสามเส้ามีพ่อนั่งตรงกลาง  เราจึงได้เห็นอำนาจวาสนาบารมีและภาระรับผิดชอบของพ่อ   พ่อพูดนำให้ลูก ๆ  ที่ตามขบวนไปให้รู้จักอานิสงส์ของการทำบุญกับพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ  พ่อพูดไม่มีติดขัดเสียงกังวานกินใจ   หลวงปู่คำแสนนั่งยิ้มมองพ่อทำงานแบบ 'โมทนาด้วย  ช่วยเหนื่อยแทนหน่อย' หลวงปู่ชุ่มนั่งสงบสำรวม  เหมือนนั่งสบายคนเดียวในป่าร่มรื่นในโลกของท่านเอง
ต่างองค์ต่างทำหน้าที่   ต่างองค์ต่างเป็นสุขอิสระตามธรรมชาติของตนเอง  นาน ๆ  ครั้ง ก็จะหันมามองทางญาติโยมลูกหลานที่มาทำบุญกับท่าน  มองยิ้มสนิทใจ  เหมือนยิ้มพรมไปบนดอกไม้ที่ท่านได้ปลูกฝังรดน้ำมากับมือ
ใจเราเอย...ขณะนั้นใจเราอยากจะเป็นพระอรหันต์  อยากบวช  อยากยิ้มเย็นสนิทเหมือนท่าน   แม้ต้องแลกด้วยทุก ๆ  อย่างในโลกที่เราครอบครอง  รวมทั้งชีวิตของเราด้วย   เราจะยอมแลกกับผ้ากาสาวพัสตร์
เราปรารถนาจะบวชอุทิศแด่พระรัตนตรัย  เราจะเดินตามรอยเท้าพ่อและพระอรหันต์ทั้งหลาย   เราปรารถนาพระนิพพาน
จากวันนั้น..ถึงวันที่นั่งเขียนอยู่นี่กี่ปีแล้วหนอ...(๒๕๔๔)  ๒๔  กว่าปีแล้ว   เหตุการณ์นั้นแม้จะผ่านไปแล้ว  แต่ภาพเหตุการณ์ของบุญวาสนานั้นยังสะอาดแจ่มใส  ยังสามารถนึกถึงกลิ่นธูป  กลิ่นจีวร  กลิ่นน้ำหมาก
นี่กระมังที่มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า  กลิ่นแห่งศีลนั้นหอมทวนลม    ขจรขจายไปได้ไกลแสนไกล  ยิ่งมาได้ไออุ่นของพระธรรมจากใจของพระคุณเจ้าสามพี่น้องมาอบรมผสมผสานเข้าไปด้วย  จึงได้หอมมานานขนาดนี้หนอ
จากพิธีออกจากนิโรธสมาบัติวันนั้น  ผู้เขียนได้พบและปรนนิบัติหลวงปู่ชุ่มและหลวงปู่คำแสนเล็กอีกหลายวาระ  ส่วนใหญ่จะเป็นที่ 'บ้านซอยสายลม'ของพวกเรานั่นแหละ  จะเล่าสู่กันฟังตามลำดับเหตุการณ์จริง
weesamrandee
28-05-2009, 16:34
(ไม่รู้เป็นอะไร น้ำตาไหลออกมา ดื้อ ๆ)
สาธุ...อนุโมทามิ
ครั้งหนึ่งพ่อทำพิธียกฉัตรจำลองที่พระธาตุจอมกิตติ  เมืองเชียงแสน  จังหวัดเชียงราย   เหตุผลที่ทำพิธีนั้น  ท่านผู้อ่านก็คงจะได้ทราบจากหลวงพี่ชัยวัฒน์แห่งวัดท่าซุงเขียนเล่าและบอกเล่า   ขณะนำท่านผู้อ่านไปเที่ยวนมัสการพระธาตุประจำทุกปีอยู่แล้ว  ผู้เขียนจะเล่าเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับ 'ความเป็นพระ' ของครูบาชุ่มเท่านั้น   
ก่อนจะเดินทางขึ้นไปทำพิธี  เราได้จัดเตรียมการณ์ทุกอย่าง   รวมทั้งกำหนดองค์พระสุปฏิปันโนที่จะเข้าร่วมบวงสรวงด้วย  ทุกองค์จะต้องเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กู้ชาติเชียงแสนจากขอมโดยเฉพาะ  ก็มี....
พ่อเรา
หลวงปู่คำแสนเล็ก
หลวงปู่ครูบาชุ่ม
หลวงปู่ครูบาวงศ์
หลวงปู่ครูบาธรรมชัย
เหตุผลเป็นเพราะอะไรไม่ต้องเขียนแล้ว  พ่อก็อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสีแดงเป็นประกายดุจเพชรพลอยบรรจุในยอดพระธาตุจำลอง  (พระเจดีย์องค์เล็ก  ขณะนี้ตั้งอยู่ทางมุมซ้ายด้านในบริเวณพระธาตุจอมกิตติ) นำขึ้นไปจากซอยสายลม  จูงเอาลูกหลานที่มากมายและยุ่งบ้างซนบ้างเหมืือนลิง  มีผู้เขียนรวมอยู่ด้วยตัวหนึ่ง   ได้ฤกษ์อากาศดีตอนเช้า  ก็เอาพระธาตุจำลองประดิษฐานตรงหน้าองค์พระธาตุจอมกิตติ   หลวงปู่ครูบาทั้งหลายก็มาตามคำอาราธนาของคุณเฉิดศรี  ศุขสวัสดิ์  ณ  อยุธยา (พี่อ๋อย)  เจ้าของบ้านซอยสายลม  แม่งานคนสำคัญสมัย  ๒๐  กว่าปีที่แล้ว    หลวงปู่ทั้งหลายนั่งตรงพระวิหารคู่พระธาตุ  ซึ่งขณะนั้นเป็นศาลาไม้เก่ามาก   พ่อก็ทำพิธีบวงสรวงยกฉัตร   พอพ่อกล่าวคำบวงสรวงเสร็จก็จะยกฉัตรจำลองติดยอดพระธาตุ  พ่อก็หันมาพูดเบา ๆ  ว่า
"ไปบอก..."
เท่านั้นเอง...หลวงปู่ชุ่มซึ่งอยู่ในกลุ่มครูบาเจ้า   ห่างพ่อขนาดไม่ได้ยินเสียงสั่งนั้นแน่   ก็นำขึ้น
"ชยันโต  โพธิยา...."
พ่อให้ท่านเจ้ากรมเสริม  (พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม  ศุขสวัสดิ์  คู่บุญพี่อ๋อย)  ยกก้านฉัตรติดยอดพระธาตุ  แล้วหันมาพูดว่า
"ต้องอย่างนี้  พระดีต้องอย่างนี้  ต้องฟังคำสั่งพระพุทธเจ้าได้พร้อมกันถูกต้องอย่างนี้ !"
ตกลงก็ไม่ต้องไปบอกให้หลวงปู่ชุ่มขึ้นชยันโต  เพราะท่าน 'รู้' พร้อม ๆ กับที่พ่อรู้จากท่านผู้สั่งจากเบื้องบน  พ่อถึงบอกว่า 'พระดีต้องอย่างนี้' อันที่จริงก็ทั้ง ๕  องค์นั่นแหละ  เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ถูกกำหนดให้มาร่วมพิธีใหญ่ของประเทศชาติได้
ข้อพิสูจน์ที่เห็นชัดมันจะแจ้งตั้งแต่ก่อนพ่อจะบวงสรวง  ตอนที่หลวงปู่ต่าง ๆ  ทยอยมาไม่พร้อมกัน  หลังจากกราบพระธาตุจอมกิตติแล้ว  ทุกท่านหันมากราบองค์เล็กที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอย่างนอบน้อม  กราบแล้วกอบเทินหัว  ท่านนึกออกไหม   นั่นแหละทำอย่างนั้นทุกองค์  ก็ตามเคยเหมือนกันผู้เขียนเป็นต้องเข้าไปถามเสียจนได้
"หลวงปู่กราบอะไร?"
"หลวงปู่กราบพระบรมธาตุพระพุทธเจ้า  แสงสวยเหลือเกิน  เป็นบุญมากน้อ.."
ก็หายสงสัย  หายคันหัวใจ
ตามปกติจริง ๆ แล้ว  บ้านซอยสายลมจะมีงานยุ่งเฉพาะตอนที่พ่อมาสอนกรรมฐานเดือนละครั้ง  เป็นเวลา  ๓  วัน   พี่อ๋อยจะเดินสั่งงาน  จัดนั่นวางนี่ก่อนพ่อมาเพียง  ๒  วันก็เสร็จเรียบร้อย   แต่นับจากงานฉลองวัดท่าซุง  ปี  ๒๕๑๘   เป็นต้นมา  การจัดแจงสถานที่ก็มีการเพิ่มเติมขึ้นบ่อยครั้ง   เพราะหลวงปู่สุปฏิปันโนทั้งหลายจะโคจรมาพักเจริญศรัทธาตามคำนิมนต์ของท่านเจ้าของบ้านครั้งละองค์   ก็จัดที่พักไม่ยาก  บางคราวมาพร้อมกัน  ๓-๔ องค์  พี่อ๋อยก็สั่งงานเพิ่ม  คือบริเวณที่พวกเรานั่งตรงหน้าท่านเจ้าอาวาสรับแขกทุกวันนี้แหละ   เอาราวสลิงมาขึงรูดม่านกั้นเป็นห้อง  คูหาละองค์   บางคราวก็จัดกั้นฉากกั้นสายตาตรงพื้นที่จำหน่ายสังฆทานปัจจุบันนี้แหละ   หลวงปู่ทั้งหลายท่านไม่ติดความสุขสบายของเสนาสนะอยู่แล้ว   แต่ท่านกลับแสดงท่าเป็นสุขสบายใจสนิทสนมกับเสนาสนะเฉพาะกิจที่พี่อ๋อยสั่งเนรมิตถวายเสียจริง ๆ  
ยิ่งหลวงปู่ชุ่มกับหลวงปู่คำแสนเล็กละก็...จะนั่งสบายใจยิ้มอมความสงบสุขไว้เต็มอกเต็มใจเต็มใบหน้า   นึกเอาเองเถอะ  พระชราภาพแล้ว   นั่งหลังค้อมลงแล้ว..ใจปลงปลดโลกธรรม   ความทุกข์ออกจากใจเป็นอิสระเบิกบานเสียแล้ว   จับท่านไปนั่งตรงไหนก็เป็นสุข  ซ้ำพลอยทำให้สถานที่เยือกเย็น  คนในที่นั้นก็เป็นสุขอิ่มเอิบบุญไปด้วย   อย่างวันนั้นท่านนั่งฉันหมากกัน  ๒  องค์น้องพี่   ภายในฉากผ้าคูหาอาศัยสบายอิริยาบถ   มีผู้เขียนนั่งประจบประคบนวดอยู่  มาดูพระแท้ฉันหมากดีกว่า....
เคยได้ยินใครหนอ...พูดว่าพระที่ฉันหมาก  นัดยานัตถุ์ยังมีกิเลส  ให้เหตุผลที่น่าเอ็นดูว่า   ขนาดกิเลสปลายกิ่งแค่หมากกับยานัตถุ์  ก็ยังตัดไม่ได้  จะไปตัดกิเลสโลภ  โกรธ  หลงได้อย่างไร   ก็คงจริงของเขา  แต่ของหลวงปู่คำแสนกับหลวงปู่ชุ่มนี่ไม่จริงแน่   โธ่เอ๋ย...นั่งใจเย็น  ทรงอิริยาบถกำหนดรู้สบายอารมณ์  หยิบหมากใส่ปากเคี้ยว  ฟันก็ไม่ค่อยจะมี  บางเคี้ยวก็ต้องตะแคงมุมฟันมุมปากช่วย   หัวเราะขำตัวเอง
"มันแข็งน่อ..."
เอ้าหยิบพลูป้ายปูน  ช้าเชียว  ทั้งสายตาทั้งอารมณ์ทะลุไปไหน ๆ  ทะลุนะไม่ใช่ทะลวงเลอะเทอะฟุ้งซ่าน   ท่ามือห่อพลูทำเหมือนตะล่อมอารมณ์เป็นคำเดียว   ส่งใส่ปากเคี้ยวอารมณ์  กัดกิเลสให้ขาด  หลวงปู่ชุ่มเคี้ยวไปครู่เดียวก็หันมาทางหลวงปู่คำแสน
"มีหมากไหม"
"มี"
เอ้า...ยื่นกันหยิบกันแค่หมากแห้งซีกเดียว  มันไม่พอเคี้ยวพอสูตรผสม  เคี้ยวไปก็ยิ้มขำ  ยิ้มขอบคุณ  ยิ้มตอบรับ  ไม่เป็นไรเอาอีกไหม  พอแล้ว  ไม่เอาแล้ว  เอ้า..บ้วนน้ำหมากกันดีกว่า   ปากเคี้ยว..มือหยิบกระโถนรออารมณ์   พอใช้ได้ก็ขับน้ำหมากบ้วน  ๒ บ้วน  ๓  บ้วน  แล้วก็วางกระโถน  หลับตาเคี้ยว...  องค์หนึ่งนั่งเงยหน้าหลับตายิ้มเย็นเป็นสุข   อีกองค์ลืมตามองทะลุพื้นบ้านทะลุโลก ไม่เห็นสนใจน้ำหมากหรือกระโถนที่ท่านวางทิ้งแล้ว 
 
กิเลสอยู่ตรงไหนหนอ....
ผู้เขียนก้มกราบชิดเท้าเจ้าประคุณ   ไม่มีเหตุผล  ไม่ต้องการเหตุผล  ใจมันเป็นสุขอิ่มเอิบ
เนื้อนาบุญแห่งพุทธเกษตรเอย..เพียงพระคุณเคี้ยวหมาก  ขับน้ำหมากวางกระโถน  ก็บันดาลให้เกิดดอกงอกผลขึ้นในใจผู้เขียน  ให้เบิกบานอิ่มเอิบด้วยความหวัง   เราจะต้องได้บวช..เราต้องได้เคี้ยวหมาก  เราต้องยิ้มอย่างนี้บ้าง  (อันหลังนี่เลวนะ  วัดรอยเท้าช้างนะ)
ได้อ่านแล้วชุ่มชื่นใจ ขอบพระคุณทุกท่านที่หามาไว้ มีอีกไหมครับ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.