PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๗


เถรี
11-01-2014, 18:44
ถาม : ปวดหัวเกิดจากกรรมอะไรครับ ? ปวดบ่อยมาก ๆ ปวดหัวแบบตึง ๆไปหาหมอเขาบอกว่าเพราะเครียดเกินไป ปวดหัวมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ อยากถามเกี่ยวกับวิธีรักษาครับ
ตอบ : ปวดหัวเนื่องจากมีหัว ถ้าไม่มีหัวก็หาย..! ไปถามปูดูสิ ปูไม่เคยปวดหัวเลย เพราะปูไม่มีหัว..!

การปวดหัวส่วนใหญ่เป็นเศษกรรมจากการดื่มสุราเมรัยมาในอดีต ถ้าหมอหาสาเหตุรักษาไม่ได้ก็แปลว่าต้องยอมทนไป แต่ชาตินี้อย่าไปกินเหล้าเพิ่ม ไม่อย่างนั้นชาติหน้าก็เป็นต่ออีก

เถรี
11-01-2014, 18:44
ถาม : ไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลมมา แล้วทีนี้เราอยากจะกลับมาฝึกที่บ้านต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ทำแบบเดียวกับที่บ้านสายลม ส่วนใหญ่การฝึกมโนยิทธิ เรามักจะขาดความมั่นใจในตัวเอง อยู่ต่อหน้าครูฝึกไปได้ พอลับหลังครูฝึกแล้วไปไม่เป็น ก็แค่ลอกแบบลอกแผนอย่างเดิมเอามาใช้งานเท่านั้นเอง

เถรี
11-01-2014, 18:45
ถาม : อยากทราบเรื่องเกี่ยวกับผีถ้วยแก้ว ผีปากกา ผีเหรียญครับ ว่าเป็นอย่างไร ? ถ้าเล่นแล้วมีผลเสียอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ไปหาในอินเตอร์เน็ตดูก็รู้เอง สมัยนี้ค้นหาข้อมูลได้มาเป็นเกวียน เสียเวลามาถาม..!

เถรี
11-01-2014, 18:47
ถาม : อยากทราบว่ายักษ์ที่มาจับคนเป็น ๆ กินในสมัยก่อน ในสมัยปัจจุบันยังมียักษ์ที่มาจับคนกินเป็นอาหารอยู่หรือเปล่าครับ ? แล้วยักษ์ที่ว่ามานี่อยู่ภพภูมิใดครับ ?
ตอบ : มีใครเห็นบ้างไหม ? ถ้ามีคนเห็นก็แปลว่ายังมีอยู่ ถ้าไม่มีคนเห็นก็แปลว่าไม่มี..! ยักษ์ที่ว่านั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นอสุรกายประเภทหนึ่งเขาเรียกว่ารากษส ถ้ายักษ์ในความหมายที่แท้จริงจะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ฉะนั้น..อย่าเอาไปปนกัน

พวกนี้ถ้าวาระกรรมของคนส่วนหนึ่งในเขตนั้น จะต้องโดนทำลายลงไปในลักษณะนั้น เขาถึงจะปรากฏตัวขึ้นมา ถ้าไม่อย่างนั้นเขาไม่มาให้เสียเวลาหรอก

เถรี
11-01-2014, 18:48
ถาม : พระไพรีพินาศที่สร้างจากวัดอื่น ๆ จะใช้คาถา "คะสะชะนะ อิติศัตรู อย่ามาคะตา" ได้ด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องไปถามวัดนั้น..!

เถรี
11-01-2014, 18:49
ถาม : อยากทราบว่า การทำบุญแบบไหนถึงได้บริวารครับ บริวารที่อยู่ในวิมานของเราที่เราได้ทำบุญสร้างวิหารทานไว้ เมื่อเกิดวิมานขึ้นแล้วก็จะมีบริวารรอเราอยู่เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำบุญให้เกิดบริวาร ต้องชวนคนอื่นทำบุญเยอะ ๆ แต่ถ้าชวนเขาทำโดยที่ตัวเองไม่ทำ เกิดมาจนแต่คนช่วยกินเยอะมาก ถ้าทำเองไม่ชวนคนอื่น จะเกิดมารวยแต่หาคนช่วยงานไม่ได้ จึงต้องทำบุญเองด้วยและชวนคนอื่นด้วย จะได้เกิดมารวยและมีบริวารช่วยงานมาก

ส่วนบริวารที่เป็นไปตามบุญบารมีที่สร้างสมมา พอถึงเวลาไปสู่สุคติภูมินั้น ถ้าวิมานของเราปรากฏอยู่ บริวารก็จะไปรออยู่เลย

เถรี
12-01-2014, 19:29
ถาม : การดูฤกษ์หลวงปู่ปาน เราดูจากปีเกิดของเรา หรือว่าเราดูจากปีนักษัตรที่เราจัดงานครับ ?
ตอบ : ดูจากปีเกิดของตนเอง

เถรี
12-01-2014, 19:30
ถาม : ผมไปหาหลวงอาที่โรงพยาบาลสงฆ์ มีพระรูปหนึ่งมาใช้ให้ผมไปซื้อของให้ท่าน โดยที่ผมไม่รู้จักพระรูปนั้นเลย อย่างนี้สมควรที่จะไปซื้อให้ไหมครับ ?
ตอบ : พิจารณาเอา..ศีลพระบอกว่า ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ห้ามร้องขอต่อเขา ทั้งเรื่องของทรัพย์สินและการรับใช้

เถรี
12-01-2014, 19:31
ถาม : เราทำบุญ ถวายผ้าไตร ๑ ชุด พระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักขนาด ๙ นิ้ว ๑ องค์ และอาหารให้พระภิกษุสงฆ์แล้ว จะสามารถไม่ให้เจ้ากรรมนายเวรมายุ่งกับเราอีกเลย ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ฝันไปเถอะ..! ต่อให้ถวายพระ ๒๑ ศอกหน้าวัดท่าขนุน เจ้ากรรมนายเวรก็ยังเล่นงานอยู่ดี การสร้างบุญเราสามารถห่างกรรมได้แค่ชั่วคราว ถ้าไม่ได้ทำโดยสม่ำเสมอ วาระบุญขาดลงเมื่อไร วาระกรรมจะเข้าแทรกทันที

เถรี
12-01-2014, 19:32
ถาม : กรณีที่เราไปขออภัยคนที่ให้ร้ายหรือทำร้ายจิตใจเรา เพื่อให้เขาอโหสิเราโดยกล่าวว่า หากเราเคยทำผิดหรือล่วงเกินประการใดกับเขา ขอให้เขาอภัยเราด้วยแล้วเขาตอบปฏิเสธ ยืนยันว่าไม่มีเลยไม่มีอะไรที่เราทำผิดหรือล่วงเกินต่อเขาทั้งนั้น แบบนี้ถือว่าเขาอโหสิเราแล้วหรือไม่ ?
ตอบ : ตอนนั้นก็ตบเขาสักฉาดหนึ่งแล้วขอใหม่..! ถ้าเขาไม่เอ่ยปากบอกให้ก็เท่ากับว่าไม่ได้อโหสิกรรม ฉะนั้น..จะไปขอขมาใครก็อัดเขาตรงนั้นเลย แล้วค่อยขอ จะได้ชัดเจนว่าเราทำแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาบอกว่าไม่เคยอีก

เถรี
12-01-2014, 19:35
ถาม : ในพิธีพุทธาภิเษกพระไพรีพินาศ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ พระท่านสงเคราะห์เรื่องเมตตามหาเสน่ห์ให้สีผึ้งที่เข้าพิธี แล้วพระไพรีพินาศที่เข้าพิธีด้วยพร้อมกัน มีอานุภาพเมตตามหาเสน่ห์ด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : จะไปยากอะไร ถ้าไม่ได้ก็เอาพระไพรีพินาศใส่ตลับสีผึ้งไป..!

ถาม : แล้วพระท่านสงเคราะห์พระไพรีพินาศในด้านใดหรืออย่างไรไหมครับ ?
ตอบ : สงเคราะห์ในด้านแพงเป็นพิเศษ..!

ถาม : พระไพรีพินาศมีผลต่อศัตรู แต่หากบุคคลผู้นั้นไม่ถึงขนาดเป็นศัตรูแต่เพียงแค่คิดร้าย หรือคิดไม่ดีกับเราเท่านั้น หากอาราธนาบารมีพระไพรีพินาศแล้วจะมีผลให้บุคคลนั้นพินาศไปด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ปืนอยู่ในมือคุณ คุณจะไปยิงใครก็ตั้งใจสิ ในเมื่อไม่เห็นเขาเป็นศัตรูก็อย่าไปตั้งใจยิงเขา

ถาม : หากผู้ที่คิดร้ายหรือกลั่นแกล้งเราไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นผู้ที่อยู่ในภพอื่นเช่น เทวดามิจฉาทิฏฐิ อสุรกาย ภูตผีวิญญาณ ฯลฯ เมื่ออาราธนาพระไพรีพินาศแล้ว จะมีผลต่อผู้ที่อยู่ในภพภูมิอื่นด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วท่านหมายเอาเฉพาะบุคคล

ถาม : พระอาจารย์กล่าวในงานพุทธาภิเษกพระไพรีพินาศว่า ห้ามแช่งผู้อื่น ยิ่งถ้ากำลังใจทรงตัวแล้วไปแช่งเขาแล้วเป็นอะไรไป พระอาจารย์จะปรับ ถ้าเผลอไปแช่งใครจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ เช่น ขอขมาพระรัตนตรัยได้หรือไม่ ?
ตอบ : มี..ถึงเวลาก็แช่งใหม่ ให้เป็นตรงกันข้ามกับที่แช่งไปแล้ว

เถรี
12-01-2014, 19:36
ถาม : พระอาจารย์กล่าวถึงพระไพรีพินาศว่า ยิ่งวัตถุมีค่ามากเท่าไร จะยิ่งมีอานุภาพมากเท่านั้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นครับ ? จะเกี่ยวกับเทวดาที่ดูแลวัตถุมงคลหรือไม่ครับเพราะเคยได้ยินว่ายิ่งของมีค่ามาก เทวดาที่ดูแลจะเป็นเทวดาที่บารมีสูงและอานุภาพมากขึ้น
ตอบ : มีคำตอบอยู่ในตัวแล้ว

เถรี
12-01-2014, 19:37
ถาม : วันโกน วันพระ มีผลอย่างไรต่อมนุษย์หรือไม่ครับ ? เช่นวันปกติธรรมดาก็ไม่มีอะไร แต่พอถึงวันโกนหรือวันพระจะมีอาการสติหลุด โทสะแรง ฟุ้งซ่านมาก นั่งสมาธิก็ไม่สงบ ไม่สามารถรู้ทันกิเลสได้ โดนกิเลสลากเอาไปกินทุกครั้ง ซึ่งไม่ปกติเหมือนวันธรรมดาทั่วไปที่ปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าจิตมีพลัง รู้ทันกิเลสบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่วันพระนี่จะฟุ้งกระจายเลยครับ ?
ตอบ : ตกลงเขาเรียกว่าถอดกางเกงผายลม ถ้าถามว่ามีผลไหม แต่ที่บอกมานั่นผลทั้งนั้น การโคจรของดวงดาวมีผลต่อมนุษย์อยู่แล้ว โดยเฉพาะดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกที่สุด ผลก็ส่งง่ายที่สุด ถ้ากำลังสมาธิของเราอ่อนก็มีโอกาสโดนกระทบสูง แสดงว่าสมาธิคุณห่วยแตกมาก..! เพราะฉะนั้น..ไปเร่งรัดสมาธิให้สูงขึ้น ผลก็จะลดลง

เถรี
13-01-2014, 10:15
ถาม : ถ้าเราเคยล่วงเกินมารดาของเราด้วยเจตนาดี แต่คำพูดของเรากระทบกระเทือนใจท่าน เป็นบาปหรือไม่ ? ถ้าเป็นบาป เราขอขมากรรมแล้วท่านให้อภัย กรรมจะหมดหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าล่วงเกินแล้วสะเทือนใจก็บาปแน่ ๆ ถ้าขอขมาแล้วท่านให้อภัยก็จบแค่นั้น ถ้าจบแล้วกลัวว่าชีวิตจะเซ็งมากก็ไปทำใหม่..!

เถรี
13-01-2014, 10:16
ถาม : ถ้าเราถวายทานต่อสงฆ์ ๑ รูป แต่ว่าในใจเราถวายเป็นสังฆทาน โดยที่ไม่บอกให้ท่านรู้ จะเป็นสังฆทานได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ได้...หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งพระทั้งวัดไว้เสมอว่า ต่อให้เขาถวายเรามาคนเดียวก็ให้คิดไว้ว่าเป็นสังฆทาน อย่างน้อยต้องแบ่งกันฉัน แบ่งกันใช้ ๔ รูปขึ้นไป ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นโทษได้ เนื่องเพราะบางคนทำความดีแล้วอาย ไม่กล้าบอก ถ้าเกิดเขาตั้งใจว่าเขาจะถวายเป็นสังฆทาน แล้วเรารับมากินมาใช้อยู่คนเดียวก็เละ

เถรี
13-01-2014, 10:17
ถาม : ภัยพิบัติจากการยิงกันตอนกลางคืน ทำให้เราเกิดความหวาดผวา กลัว ใช้หลักธรรมข้อใดให้ใจเราไม่หวาดผวา กลัวได้คะ ?
ตอบ : ให้สวดธชัคคสูตรของพระพุทธเจ้า ที่ขึ้นว่า “ภูตะปุพพัง ภิกขะเวฯ” ให้กำลังใจของเราเกาะพระรัตนตรัยไว้ ธชัคคสูตรกล่าวถึงการรบของเทวดากับอสูร คราวนี้อย่างว่า ส่วนใหญ่ฝ่ายอสูรหน้าตาดูขึงขังน่ากลัว เทวดาขาดความมั่นใจตัวเอง ท้าวสักกะคือพระอินทร์บอกว่า ให้ดูธงของแม่ทัพเทวดา อย่างเช่นพระปชาบดี พระวรุณ พระอีสาน เป็นต้น เมื่อเห็นธงแล้วจะได้เกิดความกล้า ความกลัวจะหายไป

ท่านบอกว่านั่นเป็นเรื่องของเทวดาที่ยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่เต็ม ๆ แค่เห็นธงของผู้นำทัพก็เกิดความกล้า ไม่กลัวขึ้นมาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นผู้ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลงแล้ว ถึงเวลาให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ จะได้หายจากอาการกลัวนั้นได้

เถรี
13-01-2014, 10:18
ถาม : เจอเงินบนถนน ไม่ทราบเจ้าของ เราเอาไปทำบุญผิดศีลข้อ ๒ หรือไม่ หรือว่าบาปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ผิดศีลก็คือขโมยเขา เจอเงินถือเป็นลาภลอย ถ้าไม่มั่นใจก็ทำถูกแล้วที่เอาไปทำบุญ อย่างน้อย ๆ เจ้าของเดิมจะได้กุศลบ้าง

เถรี
13-01-2014, 10:18
ถาม : อยากทราบความเป็นมาของพระวิสุทธิเทพว่าเป็นใครคะ ?
ตอบ : พระวิสุทธิเทพคือพระวิสุทธิเทพ เทวดามีอยู่ ๓ จำพวก คือสมมุติเทพ เขายกขึ้นเป็นเทวดา อย่างเช่นพระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าจักรพรรดิ อุปัตติเทพ เกิดเป็นเทวดาเอง อย่างเช่น ภุมมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา พรหม วิสุทธิเทพ คือเทวดาผู้บริสุทธิ์ ได้แก่ พระอรหันต์ทั้งปวง พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้า ฉะนั้น..วิสุทธิเทพหมายเอาต่ำสุดคือพระอรหันต์ขึ้นไป

เถรี
13-01-2014, 10:19
ถาม : ทำอย่างไรให้ชีวิตทุกวันมีความสุขคะ ?
ตอบ : ให้สลักคำว่าความสุขไว้บนหน้าผากก็ได้ ถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุขก็รีบ ๆ ทำตนให้เข้าถึงความพระอรหันต์ แล้วจะมีความสุขทุกวัน

เถรี
13-01-2014, 10:19
ถาม : มารดาเคยทำแท้งตอนวัยรุ่น ไม่เคยศึกษาเรื่องเวรกรรม ทำอย่างไรให้วิญญาณเด็กไปสู่สุคติเร็ว ๆ และให้อภัยพ่อแม่และผู้เกี่ยวข้องหมดเวรหมดกรรมคะ ?
ตอบ : ทำบุญให้เขาบ่อย ๆ ทำบุญทุกครั้งอุทิศให้เขา ขอให้เขาอโหสิกรรม เดี๋ยวเขาใจอ่อนก็เลิกไปเอง

เถรี
13-01-2014, 10:47
ถาม : มารดาสุขภาพไม่แข็งแรง ลูกทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของมารดาได้ไหม และถึงเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ ?
ตอบ : ให้แม่ทำเองจะตรงที่สุด ลูกทำให้ได้ แต่เหมือนเราทำผิดกับคนอื่น แล้วให้ลูกไปขอโทษแทน อย่างนั้นให้แม่นั้นแหละทำเอง

เถรี
13-01-2014, 10:49
ถาม : อยากถามเรื่องการธุดงค์ของวัดพระธรรมกายครับ เหตุจากที่ผมเห็นในทีวีเรื่องที่พระเดินธุดงค์ในเมือง ในใจรู้สึกยินดีอยากร่วมบุญ ร่วมอนุโมทนาครับ แต่เท่าที่ผมทราบเรื่องธุดงควัตร ซึ่งของวัดพระธรรมกายไม่ตรงกับธุดงควัตรเลยสักข้อ ถ้าผมจะร่วมทำบุญหรืออนุโมทนาจะเป็นบาปหรือไม่ครับ ? จะเป็นการส่งเสริมให้สงฆ์ทำผิดวินัยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขอแนะนำว่า ให้ไปถามฝ่ายประชาสัมพันธ์ของวัดพระธรรมกาย จะได้คำตอบที่ตรงที่สุด

เถรี
13-01-2014, 10:49
ถาม : การเลี้ยงกุมารหรือว่าพราย ถ้าตัวเรามีผ้ายันต์พิชัยสงครามหรือในห้องมีพระ จะสามารถเลี้ยงได้ไหมครับ แล้วถ้าไม่ได้ เราสามารถอธิษฐานขอเลี้ยงได้ไหมครับ ?
ตอบ : วัตถุมงคลที่ว่ามาเหมือนกับแสงสว่าง แสงสว่างอยู่ที่ไหนเราสามารถเอาความมืดไว้ที่นั้นได้หรือไม่ ? ฉะนั้น..ถ้าอยากได้จริง ๆ ก็ต้องสละแสงสว่าง..!

เถรี
13-01-2014, 10:54
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่ไข้ขึ้นแล้วความดันขึ้น เวลาไอแต่ละครั้งเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตก ถ้าเส้นเลือดในสมองแตกส่วนใหญ่แล้วอัมพาตจะกินก่อน อาตมาก็ใกล้เคียงจะได้เป็นอัจฉริยะแล้ว พอถึงเวลาก็จารึกหน้าหลุมศพไว้เลยนะว่า "ไอซะตาย (ไอสไตน์)"

ถ้าได้ข่าวว่าอาตมาเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ต้องไปเยี่ยมนะ เพราะรำคาญพวกที่ไปเยี่ยมแล้วบอกให้พักผ่อนมาก ๆ อาตมาก็ได้แต่นึกในใจว่า ถ้ามึงไม่มากูก็พักไปตั้งนานแล้ว ครั้งนี้เจ้ากรรมนายเวรเล่นตลก อันดับแรก เขากำหนดกติกาว่ายาหมดแล้วจะหาย เขารู้ว่าญาติโยมพอเห็นอาตมาป่วยเมื่อไรต้องขนยามาให้ แล้วอาตมาก็ไม่มีปัญญาที่จะยัดลงไปหมด ส่วนเมื่อเช้าเขามาร้องเพลงขอนไม้กับเรือให้ฟัง เปรียบอาตมาเป็นขอนไม้ผุ ๆ จะส่งคนไปได้สักกี่คน ว่าอย่างนั้น

ถ้าอาตมาไม่ป่วยจะลุกขึ้นเตะมัน..! ร้องเพลงเพราะด้วยนะ แถมยังเสียงทองแดงเหมือนบ่าววีด้วย ภาษาจิ๊กโก๋สมัยก่อนบอกว่ากวนตีนสุด ๆ เป็นคนทำให้อาตมาป่วยแท้ ๆ ยังมีหน้ามาร้องเพลงยั่วโทสะอีก เปรียบอาตมากับขอนไม้ เดี๋ยวอาตมาแปรสภาพเป็นเรือกลไฟ เมื่อเป็นทีของเขาก็ต้องปล่อยให้เขาหัวเราะไป คนเราเกิดมาต้องแพ้เป็น ถ้าแพ้ไม่เป็นจะไม่ชนะอย่างแท้จริง

เวลาที่เหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย จะเป็นที่เวลาที่สมาธิรวนมากที่สุด จะวัดอารมณ์ตัวเองได้ว่ารัก โลภ โกรธ หลงกินใจเราได้หรือเปล่า ? ถ้าใครเป็นลักษณะนี้ต้องตั้งใจระวังเอาไว้ เมื่อวานนี้ก็มีนักเลงดีย่องมา ๕ - ๖ รายด้วยกัน จะหาโอกาสเล่นงานอาตมาตอนป่วย แต่เขาหารู้ไม่ว่าตอนที่อาตมาป่วย เป็นตอนที่อาตมาสมาธิดีที่สุด เข้าใกล้สบตาปุ๊บถอยกรูดไปเลย อาตมามองตามไปใจหายแวบ เขานั่งอยู่ ๕ - ๖ คนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ บอกทิดเฟิร์สว่า "ดูมันสิ.."

ตอนแรกก็สงสัย ถามทิดเฟิร์สก่อนว่าวันอะไร ได้ยินว่าวันเสาร์ก็ใช่เลย เพราะพวกนี้ของเขาจะแรงที่สุดในวันอังคารกับวันเสาร์ จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอก เพียงแต่เบื่อ ..เหมือนกับแมลงวัน ไปตบตายก็เลอะมือ จึงต้องเปล่งรังสีอำมหิตให้เขาเห็นถึงได้ถอยไป แปลว่าคนเรา ต่อให้ตั้งหน้าตั้งตาทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีคนที่เขาไม่ชอบใจอยู่ดี

ฉะนั้น..ในเรื่องของการเมืองที่วุ่นวายในปัจจุบันก็เหมือนกัน ไม่มีใครที่สามารถทำให้ทุกคนยินดีและพอใจได้เสมอหน้ากัน เราถึงต้องมีกฎเกณฑ์ มีกติกาขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตามนั้น คราวนี้พออีกฝ่ายหนึ่งแหกกฎเกณฑ์ แหกกติกาเลยธงไปไกล ก็ไม่นึกว่าจะมีพวกสิ้นสติเลยธงตามไปได้เยอะแยะขนาดนั้น"

เถรี
13-01-2014, 11:33
"ต้องบอกว่าความสามารถของอาตมาเกินครึ่ง ฝึกฝนมาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่ใช่อาการแย่สุด ๆ จริง ๆ ญาติโยมมักจะดูไม่ออก รอให้เป็นแบบเดียวกันเมื่อไรแล้วอาจจะม่องเท่งไปเลย เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วระงับกายสังขารไม่ไหว ดังนั้น..การปฏิบัติของพวกเราทุกวัน ควรจะซักซ้อมสมาธิให้คล่องตัวเข้าไว้ พอถึงเวลาสมาธิทรงตัว อาการป่วยมากก็เหมือนกับป่วยน้อย อาการป่วยน้อยก็เหมือนกับไม่เป็นอะไรเลย

ถ้าคล่องตัวจริง ๆ ต่อให้เจ็บป่วยขนาดถึงตายเลย ก็สามารถที่จะรักษากำลังใจตัวเองได้ เพราะต้องมีความคล่องอยู่หลายด้วยกัน คล่องตัวในการเข้าสมาธิ คล่องตัวในการออกสมาธิ คล่องตัวในการไปตามลำดับสมาธิ คล่องตัวในการสลับสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น ภาษาพระเขาเรียก วสี ๕ ประการ"

เถรี
13-01-2014, 11:36
พระอาจารย์พูดถึงเจ้ากรรมนายเวรว่า "ไม่ค่อยอยากดูหน้าพวกนี้ ดูแล้วเซ็ง..เพราะแถวยาวจัด จำนวนมากกว่ามวลมหาประชาชนอีก เพราะว่าเกิดแต่ละชาติก็เล่นเขามาบ่อย ๆ รวมแล้วมากกว่าที่เขามาชุมนุมกันอีก ที่ขี้เกียจดูหน้าไม่ใช่อะไรหรอก เกรงใจ..เดี๋ยวต้องทนอยู่ใช้ไปอีกหลายชาติ เพราะฉะนั้น..ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้หนีหนี้ไปเรื่อย ๆ"

เถรี
13-01-2014, 11:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานสวดมนต์ข้ามปีที่วัดท่าขนุนปีนี้ พลาดอยู่อย่างเดียวคือการที่ทิดกวางไปจัดแถวโยม ถ้าให้เขาต่างคนต่างนั่งถึงเวลาจะขยับได้ คราวนี้พอตัวเองไปจัดแถวแล้วปูอาสนะไว้ ถึงเวลาคนข้างนอกก็ไม่กล้าเดินเข้าไป ที่ก็จะโบ๋อยู่เป็นแห่ง ๆ เพราะฉะนั้น..ครั้งต่อไปโปรดอย่าหวังดีไปจัดแถวอีก พวกเราส่วนใหญ่ไร้ระเบียบจนเคยชินแล้ว จะดูดีไปเอง พอไปจัดแถวเข้าไม่เคยชิน จัดอย่างไรก็ไม่ตรง

ปีนี้อาตมาไม่ได้บิณฑบาตด้วยตัวเอง ก็เลยไม่รู้ว่าญาติโยมที่ใส่บาตรมีใครบ้าง แล้วใส่บาตรมากน้อยแค่ไหน แต่จากที่เห็นก็คือเขาให้วัดท่าขนุนเดินด้านหนึ่ง แล้ววัดที่เหลือเดินอีกด้านหนึ่ง เพราะวัดที่เหลือทั้งหมดเดินรวมกันแล้วยังไม่มากเท่าพระวัดท่าขนุน ปีนี้ไปในฐานะประธานของงานฝ่ายสงฆ์แทนท่านอาจารย์มิตซูโอะ

อาตมาก็มาไล่นับอายุตัวเอง อีก ๘ ปี ท่านเป็นจนอายุ ๖๓ ปี แล้วท่านสึก ส่วนอาตมา ๕๕ ปี ก็เหลืออีก ๘ ปี ไปนั่งเป็นประธานก็มีปู่ไลมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว ถึงเวลาแกก็ประเคนทองโยะ ประเคนกาแฟรอไว้ให้ บอกให้ฉันทุก ๆ ๓ นาที ๕ นาที เขาเห็นอาตมาไม่แตะเลย เขาไม่รู้ว่าอาตมาแสลงกับของหวานและกาแฟมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอฉันของหวานแล้วความดันจะขึ้น จะรำคาญตัวเอง ความดันขึ้นไป ๒ - ๓ วัน ส่วนกาแฟพอฉันเข้าไปแล้วหลับเลย

ตอนแรกพี่ ๆ ที่วัดท่าซุงไม่มีใครเชื่อ ประมาณปี ๒๕๒๙ หรือ ๒๕๓๐ ช่วยกันคัดแยกวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง องค์ไหนชำรุดจะได้ส่งคืนให้เขาไปซ่อมแซมได้ เขาเอากาแฟมาถวายก็รับไว้แล้วก็ส่งคืน บอกว่าไม่ฉัน เพราะฉันแล้วจะหลับ ก็มีแต่คนไม่เชื่อ ในสุดก็มีการท้าทายกันขึ้น “หลับไปเลย เดี๋ยวงานที่เหลือผมทำเอง” อาตมาก็เลยฉันให้ดู ไม่ถึง ๒ นาทีก็หัวไถพื้นหลับไปเลย เหมือนกับว่าผ่อนคลายอย่างมาก คล้ายยาคลายกล้ามเนื้อ แต่ได้ยินผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่า ถ้าฝืนไว้ได้สักครึ่งชั่วโมงคราวนี้ตื่นยาวเลย แต่ว่ามักจะฝืนไม่อยู่ มักจะหลับไปเลย"

เถรี
16-01-2014, 08:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเรียนเราเรียกว่า การศึกษา ภาษาบาลีว่าสิกขา ในคารวะ ๖ พระพุทธเจ้าตรัสถึง สิกขาคารวตา มีความเคารพต่อการเรียน ก็ในเมื่ออาจารย์มีแก่ใจสอน ลูกศิษย์ก็ต้องทุ่มเทเรียน ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมี

อาตมาเองขนาดสอนแล้ว ประเภทลูกศิษย์ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ก็ยังมีประเภทเด็กหลังห้อง สนใจแต่กิจกรรมหลังห้อง ไม่สนใจหรอกว่าอาตมาสอนอะไร แล้วถ้าไปเจออาจารย์ที่สอนแล้วไม่สนใจเขาด้วย ก็เจ๊งทั้งห้อง การศึกษาที่สมบูรณ์ต้องศึกษาตามแบบพระพุทธเจ้า คือไตรสิกขา ศึกษาในศีล ศึกษาในสมาธิ ศึกษาในปัญญา

องค์การยูเนสโก กำหนดแนวทางการศึกษาไว้ ๔ ประการ ถ้าจะว่าไปตามความจริงแล้ว ประการสุดท้ายไม่ได้เรื่อง คงไม่มีใครเรียนถึง เขาบอกว่าประการที่ ๑ Learning to know เรียนแล้วต้องรู้จริง แต่สมัยนี้เรียนแค่ให้จบ ไม่สนใจหรอกว่ารู้หรือไม่รู้ เอาแค่จบ แล้วยิ่งไม่มีการสอบตกด้วย ก็แปลว่าที่ทางด้านยูเนสโกเขากำหนดขึ้นมาก็คือ ต้องเรียนอย่างมีสมรรถภาพ อย่างแย่ที่สุดถ้าอาจารย์บอกเท่าไรเราต้องรู้เท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เขาถือว่าไม่ประสบความสำเร็จตามนี้ คือต้องศึกษาอย่างมีสมรรถภาพ

ประการที่ ๒ บอกว่า Learning to do เรียนแล้วต้องไปใช้งานจริงได้ คือสมัยนี้เขาย้ำกันนักย้ำกันหนาว่า ต้องเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ เขาเรียกว่าเป็นการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะถ้าเอาไปใช้งานไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม

ข้อที่ ๓ ส่วนใหญ่แล้วประชากรโลกยังเอื้อมไม่ถึง ไม่ต้องพูดถึงข้อที่ ๔ ข้อที่ ๓ เขากำหนดว่า Learning to live together เรียนอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ สหรัฐทำโครงการไอสไตน์น้อย เอาเด็กที่มีอัจฉริยภาพ ไอคิวตั้งแต่ ๑๑๐ ขึ้นไปมาเรียนรวมกัน พังเละเทะหมด โครงการต้องล้มกลางคัน เพราะพวกเก่งไม่ฟังใคร ออกแนวปทปรมะ แล้วอย่างปัจจุบันของเรา ถ้า Learning to live together ก็จบ ก็ไม่ต้องมาตั้ง กปปส. มาไล่เดินขบวนปิดกรุงเทพฯ ถ้าเรียนถึงระดับนี้ได้ ถึงจะกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษาอย่างมีคุณภาพ"

เถรี
16-01-2014, 08:48
"ย้อนกลับไปข้อ ๑ ศึกษาอย่างมีสมรรถภาพ เรียนแล้วต้องรู้ ข้อที่ ๒ ศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เรียนรู้แล้วต้องเอาไปใช้งานได้ ข้อที่ ๓ ศึกษาอย่างมีคุณภาพ สามารถใช้ผลการเรียน ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ในลักษณะการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ถึงจะก้าวถึงข้อที่ ๔ ได้ ข้อที่ ๔ เขาบอกว่า Learning to be เรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ บุคคลที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ต้องเป็นพระอริยเจ้า ถ้าสมบูรณ์จริง ๆ ต้องเป็นพระอรหันต์เลย ซึ่งดูตามกฎเกณฑ์ของยูเนสโกแล้ว คงไปกันไม่ถึง

เรียนรู้ในการที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ต้องเรียนรู้ภายในจิต ภายในใจของตนเอง ต้องรู้ว่าใจของตนเองตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าไม่มีความดี ก็เพียรพยายามสร้างความดีขึ้นมา ถ้ามีความดีอยู่แล้ว ยิ่งพยายามทำความดีนั้นให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้ามีความชั่วอยู่ ก็พยายามขับไล่ออกไป แล้วพยายามอย่าให้ความชั่วนั้นเกิดขึ้นอีก จึงจะประสบความสำเร็จในการเรียนจริง ๆ

สรุปแล้วว่า Learning to be การเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เรียกว่าการศึกษาเพื่อสันติภาพ ศึกษาอย่างมีสมรรถภาพ นำเอาการศึกษาไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ดำเนินชีวิตตามแนวทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ซึ่งจะถึงสันติภาพ ของตำราอื่นเรียนอะไรเรียนไม่ถึงตรงนี้ แค่ข้อที่ ๓ ก็ไปไม่รอดแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่า ยูเนสโกเขาไปแอบขโมยของใครมา อาจจะเอาไปจากพระพุทธศาสนานี่แหละ แล้วกำหนดเป็นหลักการศึกษา เขาเรียกว่า จตุสดมภ์ในการศึกษา ต้องพยายามเรียนให้ถึงตรงนี้ให้ได้

พระพุทธเจ้าของเรากล่าวถึงสีลสิกขา การควบคุมกายวาจาของเราเป็นอย่างน้อย จิตสิกขา ควบคุมใจของเราด้วย ก้าวล่วงข้อที่ ๑-๒ ของยูเนสโกไปอีก เกือบจะก้าวพ้นข้อที่ ๓ ด้วย เพียงแต่ว่าข้อที่ ๓ ศีลนี่เห็นชัด ๆ เลย ก็คือเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกับคนอื่น ด้วยการไม่เบียดเบียนเขาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ การที่เราจะไม่เบียดเบียนเขาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะต้องออกมาจากจิตที่ประกอบด้วยเมตตา บุคคลที่ทรงเมตตาบารมีได้ต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐาน ก็ก้าวจากสีลสิกขามาเป็นจิตสิกขา

คราวนี้ก็มาที่ปัญญาสิกขา ทำอย่างไรที่เราจะเล็งเห็นโทษ ในการที่ดำเนินชีวิตอยู่ในโลก แล้วทำอย่างไรที่จะเห็นประโยชน์ ในการชีวิตอยู่โดยสร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลกอย่างมากที่สุด โดยไม่เห็นแก่ตัวตนของตัวเอง ถ้าทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ การมีสันติภาพแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าเป็นไปได้ แต่คราวนี้ถ้าเราไปหวังว่าให้ได้ทุกคน โอกาสที่จะเป็นไปได้ก็มีน้อยมาก"

เถรี
16-01-2014, 08:57
"เราสามารถยกตัวอย่างบุคคล อย่างอเมริกาที่เขารบกันหนัก ๆ ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ จบลงได้ก็เพราะอับบราฮัม ลินคอล์น แล้วการกระทบกระทั่งของผิวดำกับผิวขาวจบเพราะมาร์ติน ลูเธอร์ คิง แม้กระทั่งเนลสัน แมนเดลลา การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพด้วยความสงบ ต้องนึกถึงมหาตมะ คานธี การช่วยเหลือคนยากจนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เราจะนึกถึงแม่ชีเทเรซ่า ท่านทั้งหลายที่กล่าวถึงนี้ ตายหมดแล้ว..!

ตอนนี้ถ้าพูดถึงการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ เพื่อสงเคราะห์ให้ทุกคนอยู่ดีกินดีเสมอกัน ก็จะนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ยังอยู่ แต่ทรงชราภาพมากแล้ว พวกเราเองโชคดีที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ได้เจอสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งที่อื่นไม่มี หรือมีแต่ก้าวไม่ถึง แต่เราเองแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ทางการศึกษาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง รักษาศีลส่วนใหญ่ก็กะพร่องกะแพร่ง สมาธิก็ทรงตัวบ้างไม่ทรงตัวบ้าง ตามแต่อารมณ์

ดังนั้น..ถ้าศีลกับสมาธิไม่ทรงตัว ปัญญาย่อมไม่เกิด เพราะว่าศีลสร้างสมาธิ สมาธิสร้างปัญญา เพราะฉะนั้น..เราต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ถึงจะก้าวไปสู่สันติภาพได้ คำว่า สันติ เป็นไวพจน์ คือคำที่ใช้แทนคำว่าพระนิพพาน นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี เราก็เปลี่ยนความสงบเป็นพระนิพพาน สุขอื่นยิ่งกว่าพระนิพพานไม่มี ใช้แทนกันได้เลย

ไวพจน์ที่ใช้แทนกันได้มีอยู่หลายคำ สันติก็เป็นคำหนึ่ง วิราคะ ความสิ้นจากราคะ สุขอื่นยิ่งไปกว่าความสิ้นจากราคะไม่มี ใช้แทนกันได้ วฏฺฏูปจฺเฉท การตัดขาดซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือการตัดขาดซึ่งวัฏฏะ ก็เป็นคำที่ใช้แทนได้อีกคำหนึ่ง สุขอื่นยิ่งกว่าการตัดการเวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่มี ตณฺหกฺขย การถอนเสียซึ่งจากตัณหาก็ใช้แทนได้ การถอนซึ่งตัณหาคือความอยากทั้งปวง สุขอื่นยิ่งกว่าการถอนเสียซึ่งตัณหา ได้แก่ความอยากทั้งปวงนั้นไม่มี อาลยสมุคฺฆาต การถอนซึ่งความอาลัย ไม่มีอะไรให้ห่วงใยให้กังวล

เราเนาว์สราญสุข นิรทุกข์เกษมสันต์
เฉกเช่นลดาวัลย์ สะพรั่งติด ณ แผ่นผา
ความทุกข์แลกำหนัด ก็สลัดมินำพา
วิเวกและเอกา ดุจทิพย์ที่ลอยลม
ผิว์แม้นจะลอยล่อง ก็มิต้องอาลัยสม
บ่คิด บ่ปรารมภ์ บ่มิห่วงอาลัยมีฯ"

เถรี
16-01-2014, 09:08
"เพราะฉะนั้น..สุขอื่นยิ่งไปกว่าการถอนเสียซึ่งความอาลัยนั้นไม่มี ใช้แทนกันได้ นิโรธ การเข้าถึงการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง สุขอื่นยิ่งไปกว่าการดับความทุกข์ทั้งปวงนั้นไม่มี เพราะฉะนั้นไวพจน์ก็คือคำที่ใช้แทนพระนิพพานได้นั้นมีเยอะ

การจะก้าวให้ถึงต้องลงทุน ลงแรง พากเพียร บากบั่น ท่านบอกว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา อาตาปีคือพากเพียรในการเผากิเลส ถามว่าต้องเพียรขนาดไหน ถึงเผากิเลสให้ตายได้ ? ถ้าถึงระดับนั้นก็คงต้องเผาเหล็กให้ละลาย

ความเพียรของเราพอไหม ? ประเภทฝนทั่งให้เป็นเข็ม ที่ศิษย์ขอไปเรียนวิชากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ อาจารย์ทิศาปาโมกข์บอกว่า เจ้ามีความพยายามจะศึกษาเท่าไร ? คนแรกบอกว่า ต่อให้อาจารย์เอาทั่งเหล็กมาให้ก็จะพยายามฝนจนกระทั่งเป็นเข็ม อาจารย์บอกอย่างนั้นมาเรียนได้ ถามลูกศิษย์คนที่สอง คนที่สองบอกว่า ถ้าอาจารย์จะใช้ตัวเขาต่างหินบด ฝนไปตั้งแต่ศีรษะไปตลอดจนปลายเท้า เขาก็ยินดี อาจารย์บอกถ้ากำลังใจอย่างนี้เรียนได้ เหมือนหินบดยา บดไปก็สึกไปเรื่อย สึกตั้งแต่หัวตลอดเท้า

สัมปะชาโน ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร ในเมื่อเราดิ้นรนจะหนีทุกข์ ต้องรู้จักเข็ด ถ้าเป็นคนไม่รู้จักเข็ด เราจะเป็นคนแวะเวียนกลับไปหากิเลสเอง

อย่างที่บอกว่าต้องทรมานพระนิสิตท่านสักวัน การปฏิบัติที่ทำตั้งหามรุ่งหามค่ำไปหลายวัน พอเจอทีมไทยเตะบอลเข้าประตูเดียว พังหมดเลย เผลอเฮกันขึ้นมา คงไม่รู้ว่าพระอาจารย์หูไวเป็นบ้า ได้ยินทุกอย่าง เขาคิดว่าอาตมาหลับไปนานแล้ว เลยบอกท่านอาจารย์ ผอ. บุญเลิศว่า “ขอเล่นไอ้พวกนี้สักยก” “เอาเลย จะได้รู้ฤทธิ์บ้าง”

ในเมื่อจัดการได้ไม่เป็นไร เลยอ้างคำสั่ง ผอ.ว่า ให้พักแล้วพวกเราไม่พักกัน เพราะฉะนั้น..วันนี้ไม่ต้องไปไหน อยู่ในนี้ อาบแดดตอนเช้าก็ไม่ต้อง ตากอากาศตอนบ่ายก็งด นั่นเพราะว่าเขายังไม่เข็ด รู้อยู่ว่าสิ่งที่อาตมามอบให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ปฏิบัติแล้วมีความสุขมาก แต่เผลอสติก็ตะกายกลับไปหากิเลสตามเดิม อยากดูบอล อาตมาอุตส่าห์ไม่ยึดเครื่องมือสื่อสาร ดันเสือกทะลึ่งเอาไอโฟนมาเปิดมุงดูกัน เพราะตามปกติถ้าตามระเบียบของมหาวิทยาลัย เขาจะยึดพวกเครื่องมือสื่อสารไว้เลย

สะติมา นอกจากมีสัมปชัญญะ ความรู้ตัวแล้ว สติต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่ตลอด ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านทรงฌานทุกวินาทีเลย คือถ้าทรงฌานไม่ได้ทุกวินาที แสดงว่าสติยังไม่จดจ่อต่อเนื่อง เผลอเมื่อไรก็หลุด"

เถรี
16-01-2014, 09:15
"เพราะฉะนั้นพวกหลักการต่าง ๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเอาไว้หมด ทุกอย่างสามารถเอามาโยงเป็นเนื้อหาเดียวกันได้หมด หลักธรรมของพระองค์ท่านเป็นของจริง เป็นของแท้ ไม่มีใครคัดค้านได้

แต่ยังขำตอนที่พระนิสิตท่านตั้งหน้าตั้งตาทำความดีลบล้างความผิด นั่งกันเงียบ ไม่มีกระดิกไปไหนเลย อยู่มาตั้ง ๗ - ๘ วัน เพิ่งเห็นพระอาจารย์เล็กด่า บอกท่านว่า "พวกคุณโชคดี หน้ายักษ์ของผมมักจะไปใช้ที่วัด ท่านอาจารย์พระมหาสมคิด (พระมหาสมคิด ยสพโล ป.ธ.๙ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์) ตามไปปฏิบัติต่อที่วัดท่าขนุน เจอเข้าพอดีเลย พระครูน้อยต้องบอกท่านว่า นี่พระอาจารย์ท่านใจดีขึ้นเยอะแล้วนะ สมัยพวกผมท่านเล่นกันตายไปข้างหนึ่งเลย"

ตอนนั้นให้พระท่านผลัดกันยถาฯ สัพพีฯ พอดีคิวของพระใหม่ท่าน ถ้าขึ้นบทมงคลจักรวาลน้อยมายาวยืด ในลักษณะนี้สวดเองไม่ได้หรอก ก็เลยบอกพระอื่นว่า เงียบให้หมด ให้ท่านรับผิดชอบคนเดียว แต่ท่านรับผิดชอบคนเดียวไม่ไหว จึงบอกว่า ต่อไปใครยถาฯ สัพพีฯ แล้วขึ้นบทให้พร ถ้าไม่ใช่บทที่ตัวเองสวดได้ อย่าทะลึ่งขึ้นมา ไม่อย่างนั้นกลายเป็นเรายังอาศัยคนอื่นอยู่ เป็นการปรามคนอื่นไปด้วย แล้วท่านปอมก็ซวย คือดันมาเป็นลิงโดนเชือดให้ไก่ดู ต้องเอาอย่างทิดอู๋ “โอ๊ย..ท่านอาจารย์เล็กด่า อย่าไปถือสาเลย แกอยู่ในวัยทองก็เป็นอย่างนั้นแหละ..!”

เมื่อตอนผ้าป่าซื้อเครื่องมือแพทย์ เพื่อตึกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลทองผาภูมิ ถ้าทิดอู๋รู้ว่างานนี้สามารถโชว์หน้าได้ ก็วิ่งมาเลย “สวัสดีครับท่านอาจารย์เล็ก” อาตมาเมิน..ไม่มองหน้า ไม่ทักด้วย แล้วบอกกับท่านกอล์ฟว่าใช้วิธีของทิดอู๋กับตัวมันเอง ถ้าวันไหนทิดอู๋มีอารมณ์ ก็จะวิ่งเข้ามาไหว้ ถ้าวันไหนทิดอู๋ไม่มีอารมณ์ จะทำเป็นเมินไม่เห็นอาจารย์เล็ก ก็เลยทำให้ดูว่า ที่ทิดอู๋ทำนั้นรสชาติเป็นอย่างไร

ตอนฉันเพลทิดอู๋วิ่งเข้ามาจะมาประเคนอีก “สวัสดีครับอาจารย์” อาตมาเฉยอีก เขาต้องถอยไปโต๊ะอื่น รู้แล้ว..ถ้าอาจารย์เล็กเงียบ ๆ นี่ใกล้โดนตีนแล้ว..!"

เถรี
16-01-2014, 09:19
พระอาจารย์เล่าว่า "คนเราถึงวาระที่กรรมจะมาสนอง อย่างไรเขาก็ทำให้เราโดนจนได้ อาตมาอยู่วัดจะระมัดระวังมาก พอถึงเวลาต้องพัก ไม่ยอมให้ใครกวนเลย ประเภทคนสำคัญยิ่งใหญ่มาจากไหนมาขอพบ ไม่เคยได้พบหรอก บางรายก็บอกเป็นญาติมา แต่สั่งพระสั่งโยมเอาไว้ว่า อาตมาเป็นคนไม่มีญาติ

วันก่อนก็มีรายหนึ่ง มากัน ๔ - ๕ คน บอกว่ารู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนบวช รู้จักกันที่วัดท่าซุง บอกเลยว่าประเภทนี้ไล่ไปไกล ๆ เลย ๓๐ ปีกว่าแล้วไม่เคยมา รู้จักตั้งแต่ก่อนบวช ๓๐ ปีให้หลังค่อยคิดถึง น่าให้พบไหมเล่า ? ไปนึกถึงสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกัน มาถึงก็ยื่นบัตรประชาชน มาจากพัทลุง นามสกุลสังข์สุวรรณ บอกว่าเป็นญาติของหลวงพ่อ อาตมาก็เสี่ยงกับการหัวขาด โทรศัพท์เข้าไปถามเดี๋ยวนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร

“หลวงพ่อครับ มีโยมมาจากพัทลุง นามสกุลสังข์สุวรรณ บอกเป็นญาติของหลวงพ่อ” ท่านบอกว่า “กูไม่รู้จัก ญาติมีเฉพาะที่ตำบลสาลี พี่น้อง ๙ คนของแม่ เขาสร้างบ้านติด ๆ กัน จนกระทั่งตำบลนั้นทั้งตำบลแทบจะนามสกุลสังข์สุวรรณหมด ถ้ามาจากที่อื่นไม่รู้จัก” พอท่านออกมาพักตอนฉันเพล ก็เข้าไปกราบเรียนซ้ำอีกทีหนึ่ง ท่านบอกว่าให้ไปรอตอนเวลารับแขก ท่านบอกว่า “พวกนี้ข้าไม่ถือว่าเป็นญาติหรอก ตอนข้าตกระกำลำบาก ข้าวแทบจะไม่มีกิน ไม่เห็นจะโผล่หัวมา พอตอนนี้ข้าดังแล้วเสือกมา”

เถรี
16-01-2014, 09:24
"ภาระทุกอย่างอาตมาจะพยายามแบกรับไว้แทน ไม่ให้หลวงพ่อท่านจะต้องเดือดร้อน แล้วมักจะตัดสินใจแทนเลย ซึ่งคนอื่นเขาไม่กล้าทำตรงนี้ แต่บางอย่างก็ตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ ช่วงที่ตัดสินใจให้ไม่ได้ก็คือช่วงที่ผู้ว่าฯ อุทัยธานีท่านมา

ปี ๒๕๓๐ ในหลวงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ วัดท่าซุงทำงานใหญ่หลายชิ้นร่วมถวายเป็นพระราชกุศล นำเข้าโครงการของจังหวัด ก็มีสร้างโรงพยาบาลแม่และเด็ก สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา สร้างตึกรับแขกใหม่ สร้างมณฑปแก้ว สร้างวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร สร้างมณฑปสมเด็จองค์ปฐม ถ้าเป็นงบประมาณหลวงก็หลายร้อยล้านบาท ทางจังหวัดเขาก็กระตือรือร้นกัน อยู่ ๆ ได้ผลงานขนาดนี้ แต่มาผิดเวลา มาตอน ๘ โมงกว่า ๆ มาขอเข้าพบหลวงพ่อ เรื่องโครงการที่จะถวายในหลวง

หลวงพ่อท่านรู้ ก่อนที่ท่านจะเข้าไปพัก ท่านบอกว่า “เล็ก..วันนี้พ่อจะให้น้ำเกลือ ใครมาอย่าให้รบกวนนะ บอกว่าไปพบเวลารับแขกอย่างเดียว” ก็เรียนท่านผู้ว่าฯ ไป “หลวงพ่อให้น้ำเกลืออยู่ครับ รอไว้พบตอนบ่ายดีกว่า” ท่านผู้ว่าฯ หลุดปากมาว่าอย่างไรรู้ไหม ? ท่านบอกว่า “ให้น้ำเกลืออยู่ก็คุยได้ไม่ใช่หรือ ?”

ตอนนั้นอาตมาตีหน้าไม่ถูก ไม่ได้โกรธคนมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นรู้ว่ากูโกรธมึงฉิบหายเลย แต่ว่าปั้นหน้าไม่ถูก ลืมไปว่าความโกรธเป็นอย่างไร ในเมื่อปั้นหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยหันหลังเดินกลับไปหน้าตาเฉย ปล่อยเขายืนหัวโด่อยู่นั่นแหละ ทั้งคณะก็ละล้าละลัง นายทวารไม่เปิดประตูให้ จะเข้าอย่างไรเล่า ? ท้ายสุดเห็นว่าอาตมาไม่คุยด้วยจริง ๆ ท่านก็กลับ

ก็เลยทำให้เห็นว่า คนเราต่อให้เก่งกล้าสามารถขนาดไหน แต่ถ้าถึงเวลาก็จะเอาผลประโยชน์ตนเป็นใหญ่ เล่นถึงขนาดให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาตัดรายชื่อผู้ว่าฯ ท่านนี้ออกจากสารบบความจำไปเลย"

เถรี
18-01-2014, 11:03
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิต วัดใหม่ยายนุ้ย ได้เลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรเทียบเท่าผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ท่านจัดงานฉลอง ๓ วัน แสดงว่างานที่อาตมาจัดงานนั้นผิด เพราะว่าจัดแค่ ๓ ชั่วโมง อาตมาเป็นคนไม่ค่อยชอบงานเอิกเกริกเฮฮา โดยดูต้นแบบมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง

หลวงพ่อวัดท่าซุงจัดงานไม่เคยมีมหรสพ มีหลุดไปอยู่ ๒ ปี ก็คือปี ๒๕๒๗ มีวงดนตรีของทหารม้าไปเล่นให้ เพราะว่าผู้การสถาพรนำไป พอมาปี ๒๕๒๘ ไม่ทราบว่าลุงเพชรไปบนอะไรไว้แล้วสำเร็จ ต้องแก้บนด้วยลำตัดหวังเต๊ะแม่ประยูร คราวนี้พระก็อยากดู แต่หลวงพ่อท่านห้ามดู ตอนนั้นพระจึงต้องขยัน ไปเป็นช่างคุมเครื่องไฟ ปรากฏว่าคุมไปคุมมา แม่ประยูรหยุดรำหยุดร้องหันมา "หลวงพี่..ไปนอนเสียทีสิ อยู่แล้วเล่นไม่ออก" พระอยู่แล้วเล่นหยาบไม่ได้ โดนไล่ ต้องยอมเขา เพราะเป็นเวทีของเขา

ช่วงหลัง ๆ อาจารย์บุปผาชาติ จากวิทยาลัยครูนครสวรรค์ เอานิสิตไปเล่นกลองยาวบ้าง เล่นอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีงาน พวกละครไม่ต้องเสียเวลาหรอก วัดท่าซุงไม่จ้าง วัดท่าขนุนก่อนหน้านี้งานประจำปีทุกปีต้องมีละครพม่า พอปี ๒๕๔๔ อาตมาไปอยู่เพื่อช่วยเขาบูรณะวัด ตอนนั้นไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านให้ไปช่วยบูรณะวัดหน่อย เขามีละครพม่าตามปกติ ละครพม่าเขาก็คล้าย ๆ ลิเกบ้านเรา พี่น้องทั้งมอญ ทั้งพม่า รู้ข่าวเขาก็มาดูละครกัน ไกลแค่ไหนก็ไป ไปดูกันมืดฟ้ามัวดิน

อาตมาสั่งพระเณรทั้งหมด ห้ามแม้แต่เดินผ่านบริเวณนั้น คืนนั้นเล่นละครพม่าตรงบริเวณที่เป็นลานธรรมปัจจุบัน ก่อนหน้านี้เป็นสนามหญ้าลึกลงไปศอกกว่า ๆ ถ้าหน้าฝนก็มีน้ำขัง ก็ปรากฏว่าพระเณรที่พักอยู่กุฏิประจวบดี ซึ่งอยู่ข้างสนาม มีเพื่อนมาอาศัยที่ห้องเพียบเลย กุฏิอื่นมาอาศัยอยู่ด้วย เพื่อเปิดหน้าต่างดูละคร พระอาจารย์ห้ามไม่ให้เดินผ่าน ไม่เดินก็ได้ อยู่บนกุฏิเลย เปิดหน้าต่างดูเอา

พอเห็นว่าอาตมาไม่เอาด้วยจริง ๆ ท้ายสุดก็ต้องเลิกไป เพราะว่าละครพม่าจริง ๆ ดึงคนได้ แต่เสียเงินเยอะ ค่าจ้างครั้งหนึ่งเป็นแสนบาท แล้วจะไปได้อะไรนักหนา เพราะเก็บที ๒๐ บาท ต้องคนดูเป็นหมื่น ถึงจะคุ้มทุน ท้ายสุดจึงเลิกไปโดยปริยาย

ตอนนี้เวลามีงานก็มีแต่ญาติโยมที่ตั้งใจไปรำถวาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีมหรสพอะไรกับใคร แล้วที่บรรดาเพื่อนพระวัดอื่น ๆ เขาสงสัยมากเลยก็คือ แม้แต่ธงยังไม่ปักเลย แล้วจัดงานได้อย่างไร ? ป้ายโฆษณาสักแผ่นก็ไม่มี ธงก็ไม่มี แต่จัดงานได้ทุกปี เลยบอกกับเขาว่า ถ้าปักธงเดี๋ยวเจ้าหนี้รู้ เห็นธงเยอะ ๆ รู้ว่าวัดมีงาน เดี๋ยวเขามาทวงหนี้..!"

เถรี
18-01-2014, 11:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปี ๒๕๕๖ ทำบัญชีเสร็จเมื่อสิ้นปี ปิดงานไป ๒ รายการ คือสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก กับหลวงพ่อพุทธลีลาประทานพร สร้างมณฑปถวายท่านเสร็จแล้ว รายรับทั้งปี ๓๑ ล้านเศษ รายจ่ายทั้งปี ๔๘ ล้านเศษ ขาดอีกประมาณ ๑.๒ ล้านบาท จะได้ ๕๐ ล้านบาท เดี๋ยวปี ๕๗ ต้องจ่ายให้ถึงห้าสิบล้าน..!"

เถรี
18-01-2014, 11:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพรุ่งนี้อาการยังไม่ดีขึ้น แล้วอยู่ ๆ ญาติโยมได้ข่าวว่าเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ต้องแปลกใจ หมอเขาพยายามจะล็อกตัวเข้าโรงพยาบาลมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาไป โรคนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่ขาดเวลาพัก โดยเฉพาะกลางคืนหลับ ๆ อยู่ ก็ไอจนตื่น เมื่อคืนก็ตื่น ๔ ทุ่ม ปกติตื่นตี ๒ แล้วภาวนาไปเรื่อย คราวนี้ตื่น ๔ ทุ่ม อาตมาก็ภาวนาจนไม่มีอะไรจะภาวนาแล้ว

ไม่ต้องเอายามาเผื่อนะ ดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เพราะเป็นโรคเวรโรคกรรม ยาที่ให้ ๆ มา พอที่จะฝังตัวเองแล้ว รู้ไหมว่าทำไมไม่หาย ? เจ้ากรรมนายเวรบอกว่าหมดยาเมื่อไรก็หายเมื่อนั้น แล้วญาติโยมก็เอามาให้วันละเยอะ ๆ อาตมาก็นั่งหัวเราะอยู่ทุกวัน ช่างกลั่นแกล้งกันจริง ๆ ยาหมดเมื่อไรก็หายเมื่อนั้น แล้วเมื่อไรจะหมด ?"

เถรี
18-01-2014, 11:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนพิธีแต่งงานจัดขึ้นเพื่อประกาศให้รู้ว่าบุคคลนี้มีคู่แล้ว คนอื่นจะได้ไม่มายุ่งด้วย มาระยะหลัง ๆ ประเพณีเปลี่ยนไป กลายเป็นหน้าเป็นตาไปแทน สมัยก่อนเขายึดหลักธรรมเป็นหลัก มีคู่แล้วประกาศให้คนอื่นเขารู้ จะได้ไม่มีใครมาละเมิดคู่ของตัวเอง อย่างอีสานเรียกว่า งานกินดอง เกี่ยวดองกัน จากคนละครอบครัว กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วมีงานกินเลี้ยงในหมู่ญาติ บางทีใช้คำว่า เกี่ยวดองข้องญาติ โดนล่ามติดกัน มาเป็นญาติกันแล้ว"

เถรี
21-01-2014, 11:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แล้วมีอีกหนึ่งภัทรกัปที่มีอีก ๕ พระองค์ แปลว่ามีภัทรกัปต่อเนื่องกัน ๒ ภัทรกัป เป็น ๑๐ พระองค์ ไม่มีโอกาสไหนที่มนุษย์เราจะมีหนทางหรือว่าบุญที่ยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญเอาไว้สักหน่อย ขอแค่หลุดเข้าไปแค่สวรรค์ชั้นต่ำสุดก็พอ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาท่านอีกตั้ง ๕ - ๖ พระองค์ อย่างไรเสียเราต้องไปได้สักองค์หนึ่งแหละ"

เถรี
21-01-2014, 12:01
ถาม : ถ้าเป็นรุกขเทวดาจะได้ด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ต่ำ ๆ เอาเป็นอากาศเทวดาดีกว่า รุกขเทวดาบางทีอยู่ไม่ถึงกัป เพราะวิมานโดนโค่นไปแล้ว กัปที่มีพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่จะเป็นกัปข้างที่ดีมาก เขาจะมีสารกัป คือกัปที่เป็นแก่นสาร มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๑ พระองค์ มัณฑกัป กัปที่มีความผ่องใสยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๒ พระองค์ วรกัป กัปที่มีความประเสริฐยิ่ง มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ พระองค์ สารมัณฑกัป กัปที่ทั้งเป็นแก่นสารและมีความผ่องใสอย่างยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๔ พระองค์ และภัทรกัป กัปที่มีความเจริญอย่างยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๕ พระองค์

ไม่ต้องไปหาที่อื่น เกิดขึ้นในโลกนี้เท่านั้น เพราะว่าโลกเรานี้เขาเรียกว่ามงคลจักรวาล พระพุทธเจ้าเวลาท่านจะเสด็จประสูติ ท่านจะต้องพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะ ก็คือสิ่งที่เหมาะสม ๕ ประการก็จะมี

๑. กาล คือเวลา ว่าเหมาะสมที่พระองค์ท่านจะตรัสรู้หรือยัง โดยเฉพาะว่าเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์สั่งสมสติปัญญามาสมควรแก่การบรรลุมรรคผลหรือยัง ถ้ายังไม่ถึงระยะเวลาที่เหมาะสมขนาดนั้น เกิดมาก็เสียเวลาเปล่า เพราะเทศน์ไปเขาก็ไม่รู้เรื่อง

๒.ทวีป มีทวีปใดที่เหมาะสมที่จะเกิด รับประกันซ่อมฟรีมีแต่ชมพูทวีปเท่านั้น ก็คือโลกนี้ เพราะว่ามี ความสุข ความทุกข์ ความรวย ความจนที่ต่างกันอย่างชัดเจน

๓. ตระกูล จะเกิดขึ้นในตระกูลใด ในมธุรัตถะวิลาสีนี อรรถกถาพุทธวงศ์ กล่าวไว้ว่า จะเกิดอยู่ในสองตระกูลระหว่างกษัตริย์และพราหมณ์เท่านั้น ในช่วงนั้นนับถือว่าตระกูลใดประเสริฐกว่าก็จะเกิดในตระกูลนั้น อันนี้ลักษณะแบบประเภทที่เรียกว่าข่มกันไว้เลยว่า ในเมื่อเกิดมาจากตระกูลที่สูงขนาดนั้น ยังยอมสละตนออกบวช คนก็เห็นเป็นอัศจรรย์กันอยู่แล้ว

๔. มารดา ผู้ที่เป็นพุทธมารดามีแล้วหรือไม่ ผู้หญิงที่จะเป็นพุทธมารดาหายากสุด ๆ เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดใน ๓ โลกด้วย ถ้าปกติเบญจกัลยาณีเราว่าสวยในทุกสภาพแล้ว บุคคลที่จะเป็นพุทธมารดานอกจากมีเบญจกัลยาณี ๕ อย่างแล้วยังมีอิตถีลักษณะอีก ๖๔ อย่าง อย่างเช่นไม่อ้วนเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่สูงเกินไป ไม่เตี้ยเกินไป เขาจะบอกรายละเอียดไว้หมด ถ้าสูงเกินไปพระโพธิสัตว์ต้องยืดคอดื่มนมเดี๋ยวจะเสียทรง เขาจะมีบอกรายละเอียดไว้หมด

๕. อายุ คืออายุขัยของสัตว์ ถ้าไปดาวอื่น เอาแค่ข้าง ๆ ของเราไม่ต้องไกลหรอก พุธ ศุกร์ โลก ดาว ๓ ดวงเอาไปเรียงกันไว้นี่บ้านเราอายุนิดเดียว บ้านอื่นเขาอายุเป็นหมื่น ๆ ปี ถ้าอายุขัยเหมาะสม เทศน์ถึงอนิจจังความไม่เที่ยงเขาจะเห็นได้ง่าย ลองไปเทศน์ที่ดาวพฤหัสบดีดูสิ บอกว่าเกิดมาไม่เที่ยง เขาอยู่กันเป็นแสนปี จะรู้ไหมว่าไม่เที่ยงเป็นอย่างไร แล้วแสนปีของเขานี่คนบนโลกเขาหน้าตาอ่อนกว่าเราอีก

เถรี
21-01-2014, 12:07
เพราะฉะนั้น..ก็ต้องมีความเหมาะสมทั้ง ๕ ประการนี้ พระพุทธเจ้าจึงจะเสด็จไปอุบัติ สรุปแล้วในบรรดาอนันตจักรวาลนี้ มงคลจักรวาลคือโลกมนุษย์นี้เท่านั้นที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติ แล้วถามว่าโลกอื่น ดวงดาวอื่นมีพระพุทธเจ้าเสด็จไปสงเคราะห์ไหม ? มี...ถึงเวลาพระองค์ท่านก็เสด็จไปสงเคราะห์เขา หรือไม่พระสาวกสำคัญต่าง ๆ ก็ไปสงเคราะห์เขา

แปลว่าดวงดาวอื่นที่มีมนุษย์และสัตว์ ส่วนใหญ่จะมีจำนวนน้อย อย่างในสุริยจักรวาลของเรามีอยู่ ๒ ดวงเท่านั้นคือโลกเรากับดาวพระศุกร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณดาวพระศุกร์จะดีใจหรือเสียใจ เกิดมาทั้งทีมีสัตว์อยู่แค่ ๒ ดวงดาว แต่ว่าดาวพระศุกร์เขาดีกว่าเพราะว่ามนุษย์กับสัตว์เป็นเพื่อนกัน โลกของเรานี่มนุษย์คอยแต่จะกินเพื่อน พวกเราโชคดีที่สุดเพราะว่าช่วงภัทรกัปเกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ เป็นช่วงที่อนุมัติจบเยอะ พระพุทธเจ้าบรรลุทีละ ๕ พระองค์ แต่อนุมัติจบเยอะก็จริง แต่นานเนกาเลจนประมาณไม่ได้ แล้วโผล่มาที ๒ ภัทรกัปติดกัน

เราเอาแค่ในพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ทีเราเรียกว่า อัฏฐวีสตินายกา คือผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๒๘ ท่าน คือพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๗ พระองค์และองค์ปัจจุบันอีก ๑ พระองค์ องค์แรกเลยก็คือพระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วโลกว่างไป ๑ อสงไขยกัปถึงได้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง น่ากลัวขนาดไหน ไม่ได้ว่างไปทีละกัปนะ ว่างไปทีละอสงไขย อสงไขยนี้มนุษย์ทั่วไปนับไม่ได้ อสังขยา แปลว่า นับไม่ได้ แต่ในความเป็นเทวดาเป็นพรหม ความเป็นทิพย์ท่านสามารถนับได้

ที่ว่านับไม่ได้นี่ เพราะการนับมาตราส่วนของเขา เราไม่มีโอกาสทำอย่างนั้น เช่นท่านบอกว่า ๑๐๐ ปีเอาเมล็ดงาไปหยอดใส่ถังเหล็กที่กว้าง ยาว สูงด้านละโยชน์ ๑๐๐ ปีเมล็ดงาหยอดไปเมล็ดหนึ่ง ๑๐๐ ปีหยอดไปเมล็ดหนึ่ง จนกระทั่งถังใบนั้นเต็มเสมอขึ้นมายังไม่ได้กัปหนึ่งเลย แล้วเราจะมีโอกาสหยอดเม็ดแรกไหม ? ในเมื่อเม็ดแรกยังไม่มีโอกาสหยอด ก็เลยเป็นอสงไขยก็คือนับไม่ได้

ดังนั้น..ช่วงนี้ของพวกเราก็อย่างไรเสียเกาะในส่วนของทาน ศีล ภาวนาให้มั่นคง ต่อให้ไปพระนิพพานไม่ได้ หลุดไปเป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็โล่งใจไปที อย่างไรเสียอีก ๖ พระองค์ท่านตรัสรู้เมื่อไร ท่านก็ช่วยกวาดไปแน่ ๆ แต่ถ้าใครประกันความเสี่ยงไปก่อนได้ก็ไปเลยนะ ไม่ต้องรอ เพราะมัวแต่รออยู่ ถ้าเผลอลงข้างล่างเมื่อไร คราวนี้ ๖ พระองค์ผ่านไปหมดยังไม่ได้ขึ้นมาหรอก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วหนีหนี้มา

ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ในเมื่อหนีหนี้มา ถ้ากลับไปเมื่อไรเจ้าหนี้เขาทวงได้ เขาเล่นครบทุกอย่าง แต่ละคนนิสัยสร้างความดีมาขนาดเรานี่ พระพุทธเจ้าผ่านไปทั้ง ๒ ภัทรกัปไม่ได้ขึ้นมาหรอก มีโอกาสก็รีบไขว่คว้าให้เต็มที่ไปเลย เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง

เถรี
21-01-2014, 12:12
พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ที่ผ่านมา มีเพียง ๒ พระองค์ที่เกิดในตระกูลพราหมณ์ คือพระพุทธเจ้ามีพระนามว่าโกนาคมน์กับพระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากัสสปะ เพราะโลกยุคนั้นถือว่าพราหมณ์มีตระกูลที่สูงกว่า นอกนั้นก็เกิดเป็นกษัตริย์ทั้งหมด

ต้นไม้ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนแรกจะไม่ได้เรียกว่าต้นโพธิ์ แต่จะมีชื่อเฉพาะของตัวเองว่าเป็นต้นอะไร อย่างเช่นเป็นต้นไผ่ แต่พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ต้นไผ่นั้นก็จะเรียกว่าต้นโพธิ์โดยอัตโนมัติ อย่างของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา แรก ๆ ก็ไม่ได้เรียกว่าไม้โพธิ์ เขาเรียกต้นอัสสถพฤกษ์ ก็คือต้นใบหางม้า เพราะใบโพธิ์จะมีปลายแหลม ๆ ยาวมาเหมือนกับหางม้าห้อยอยู่ แต่พอพระพุทธเจ้าไปนั่งตรัสรู้อยู่ข้างใต้ ต้นใบหางม้าเลยกลายเป็นต้นโพธิ์ เป็นพระศรีมหาโพธิ์

คราวนี้ในส่วนของนาคะ บ้านเราแปลว่าต้นกากะทิง หรือบางคนเรียกว่าสารภีทะเล แต่ทางพม่าเขาแปลว่าต้นบุนนาค บุนนาคหรือกากะทิง หรือสารภีทะเล เป็นไม้ตระกูลเดียวกันหมด เชื่อว่าสามารถที่จะเสียบกิ่งทาบกิ่งข้ามพันธุ์กันได้เลย เพราะลักษณะดอกคล้าย ๆ กัน จะมีบุนนาค สารภี กากะทิง การะเกด มีใครรู้จักไม้โบราณ ๆ พวกนี้บ้างไหม ? ดอกคล้าย ๆ กันหมด แต่ว่าทางด้านพม่าเขาเชื่อว่าเป็นต้นบุนนาค เพราะฉะนั้น..ที่พม่าแย่งกันปลูกบุนนาคในวัด เผื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า อาจจะเป็นต้นใดต้นหนึ่งได้มีโอกาสเป็นไม้โพธิ์ของท่าน

ส่วนต้นไม้บางประเภทเขาเรียกชื่อโบราณ อย่างต้นสิรีสะ เป็นไม้ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่ากกุสันโธ คัมภีร์โบราณแปลว่าต้นซึก มีใครรู้เรื่องบ้างว่าต้นซึกหน้าตาเป็นอย่างไร ? คุณติ๊กรู้จักต้นซึกไหม ? ที่บ้านก็มี ทางเหนือเขาเรียก จ๊าก๋าม ก็คือต้นฉำฉาหรือจามจุรีนั่นแหละ

ส่วนต้นสาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานที่สาลวโนทยาน เป็นสาละที่เราไม่รู้จักกัน เรารู้จักแต่สาละลังกา หรือลูกแคนนอนบอล สาละลังกาหอมมาก ใครเคยได้กลิ่นจะจำติดจมูกเลย ต้นสาละที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่ใช่สาละลังกา เป็นอาตมาก็ไม่เสี่ยงไปปรินิพพานใต้สาละลังกา เพราะอาจจะปรินิพพานก่อนเวลา เพราะลูกใหญ่เหลือเกิน ตกลงหัวก็เป็นเรื่องเลย..!

เถรี
21-01-2014, 12:19
สาละที่ว่านี่ ถ้าเราเรียกง่าย ๆ คือสาละอินเดีย ดอกคล้าย ๆ ดอกจำปายักษ์ ไม่ใช่แค่ใหญ่นะ ถ้าเทียบกับมืออาตมาคงประมาณปลายนิ้วชี้ถึงนิ้วโป้งเวลากางออก ที่โบราณเขาเรียก ๑ เกียก ความยาวระหว่างหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ถ้าความยาวระหว่างหัวแม่มือกับนิ้วกลางคือ ๑ คืบ ต้องวัดตัวเองดูว่า ๒ คืบจะได้ศอกหนึ่งพอดีของทุกคนเลย คืบใครก็ศอกคนนั้น

คราวนี้ต้นสาละทำให้คุณหมอมโน (ดร.นพ.มโน เลาหวณิช) ตอนแกบวชอยู่ใช้ฉายา เมตตานันโท บวชอยู่ที่วัดธรรมกาย แล้วธรรมกายส่งไปเรียนต่อปริญญาเอก ตอนหลังเขาเห็นว่าจะคุมไม่อยู่ก็เลยขับคุณหมอออก คุณหมอก็เลยมาเป็นนักวิชาการทางศาสนาอยู่ระยะหนึ่ง หมอเมืองไทยเราเก่ง เป็นได้ทุกเรื่องยกเว้นเป็นหมอ..! นักการเมืองก็เป็น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีอะไรเป็นหมด เห็นไม่เป็นอยู่อย่างเดียวคือหมอที่ตัวเองเรียนมา

คุณหมอทำงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่ง ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ปรินิพพานใต้ต้นสาละแน่นอน หลักฐานก็คือว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเดือน ๖ สาละไม่ได้บานเดือน ๖ แสดงว่าคุณหมออ่านพระไตรปิฎกไม่ทั่ว เพราะในพระไตรปิฎกระบุไว้ชัดว่า “สาละออกดอกนอกฤดูกาล” สงสัยอ่านข้ามไปประโยคเดียว

ฉะนั้น..ถ้าอยากรู้จักสาละอินเดียคงต้องไปประเทศอินเดียถึงจะรู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร จะว่าไปแล้วทรงดอก ถ้าจับลูกยางจับเอาปลายที่เป็นครีบลง แล้วครีบหุบ ๆ หน่อยหน้าตาจะเหมือนดอกสาละ อาตมาไม่รู้จะเปรียบอย่างไร เป็นดอกจำปาขนาดยักษ์แล้วกัน แล้วแปลก ช่อดอกไม่ได้ชี้ขึ้น แต่ทิ่มลง

เถรี
21-01-2014, 12:21
ถาม : ในสมัยของพระศรีอาริย์ที่เขาบอกว่ามีแต่ความสุข แล้วคนจะเห็นทุกข์ตามที่พระพุทธเจ้าสอนหรือคะ ?
ตอบ : เห็นสิ..คนฉลาดขนาดนั้น แม้แต่หายใจยังเห็นว่าทุกข์เลย ลองนึกสิว่าต้องกินอยู่ทุกวันนั้นทุกข์ไหม ? เขาฉลาดกว่าเรา ของที่เราเห็นว่าเล็ก ๆ เขาเห็นใหญ่เบ้อเร่อเลย คนยุคนั้นถ้าเรียนก็จบด็อกเตอร์หมดทุกคน บำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้อย่างเดียวเลย

เถรี
21-01-2014, 12:23
พระอาจารย์เล่าว่า "โบราณเขาศึกษาการหนุนเสริม การหักล้างกัน การกำเนิดกันของธาตุ เขาบอกว่าน้ำกำเนิดลม ถึงเวลาน้ำระเหยเป็นไอลอยขึ้นไป พอลอยขึ้นแล้วเกิดอะไร ? ก็ต้องมีที่ไหลมาแทน นั่นก็คือลม ฉะนั้น..น้ำกำเนิดลม ลมหนุนเสริมไฟ สังเกตว่าไฟไหม้ที่ไหนลมจะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดินกำเนิดไม้ ต้นไม้อย่างไรขาดดินไม่ได้หรอก ที่เขาปลูกกันโดยไม่ใช้ดินทุกวันนี้มีธาตุดินอยู่แต่เขาไม่รู้ เพราะว่าน้ำไม่ใช่น้ำธรรมดา ต่อให้โยมตักน้ำใส ๆ มาแล้ววางไว้ก็ต้องตกตะกอน มีธาตุดินแฝงอยู่ข้างในอยู่แล้ว

เขาบอกว่าเขาปลูกต้นไม้โดยไม่ใช้ดิน ใส่ในน้ำแล้วหยอดปุ๋ยอย่างเดียว ที่ไหนได้..มีดินอยู่โดยไม่รู้เองต่างหาก ไม้กำเนิดไฟ แหย่เข้าไปเมื่อไรก็ไฟลุกเมื่อนั้น ฉะนั้น..โยมอยู่มุกดาหารจะหนาวลม เพราะอยู่ใกล้น้ำโขง ถึงเวลาลมในน้ำโขงตีขึ้นมา"

เถรี
21-01-2014, 12:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม หลวงปู่องค์นี้เคยเล่าหลายครั้งแล้วว่า ท่านมีความสามารถพิเศษหลายอย่าง โดยเฉพาะวิชากระสุนคด กระสุนคดถ้าว่าคาถาจนมั่นใจแล้วจะยิงปืน ยิงคันกระสุน ยิงหนังสติ๊ก จะยิงไปทางไหนก็ตาม โดนเป้าทุกที ต่อให้เป้าอยู่ข้างหลังแล้วยิงไปข้างหน้าก็ไปโดนข้างหลัง เขาถึงได้เรียกวิชากระสุนคด ทางปักษ์ใต้เขาเรียกว่าธนูสั่ง หนังสติ๊กบ้านเราปักษ์ใต้เราเรียกยางนู ฉะนั้น..ธนูของปักษ์ใต้นี่ไม่ใช่ธนูอย่างบ้านเรา

วัดอนงคารามสมัยนั้นเป็นสวนกล้วย อยู่ใกล้ ๆ บ้านสมเด็จย่า สมัยนั้นมีโรงยาฝิ่น พวกนักเลงยาฝิ่นก็ดูดฝิ่นทั้งวัน พวกดูดฝิ่นเรี่ยวแรงไม่ค่อยมีหรอก เขาบอกว่าพวกดูดฝิ่นต้องใช้หัวคิด จะคิดได้สุขุมลึกซึ้งมาก ในเมื่อไม่มีเรี่ยวแรงจะทำการทำงานก็ไม่ได้เรื่อง ก็ลักเล็กขโมยน้อย ขโมยกล้วยวัดสบายดี เอาไปขายแล้วเอาเงินไปซื้อฝิ่น

หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านไม่ได้หวงกล้วยหรอก แต่ท่านกลัวคนติดหนี้สงฆ์แล้วจะลงอเวจีมหานรก ท่านก็เลยต้องดัดสันดาน ใช้คันกระสุนยิงกระสุนคดนี่แหละ ถึงเวลาก็ป้าบ..! หลังแอ่น ท่านก็สั่งเด็กวัดไว้ "เห็นใครขโมยกล้วยตะโกนบอกหลวงตาด้วยนะ" เด็กก็ "ครับ" แล้วก็เล่นไปเรื่อย พอเห็นเขาขโมยกล้วยถึงเวลาเขาต้องตัดต้นกล้วยก่อน ต้นกล้วยล้มเสียงดัง พวกเด็กวัดก็ตะโกน “หลวงตา..คนขโมยกล้วย” หลวงพ่อสมเด็จวัดอนงค์ฯ ท่านก็ใช้คันกระสุนยิงออกหน้าต่าง หน้าต่างก็ไม่ได้ตรงกับสวนกล้วยสักหน่อย แต่ยิงทีไรโดนกลางหลังทุกที

แล้วคันกระสุนนี่แรงกว่าหนังสติ๊กตั้งหลายเท่า เป็นเหมือนคันธนูแต่ไม่ได้ใช้ลูกธนู ใช้ลูกกระสุน ถ้าคนยิงไม่เป็นก็จะยิงโดนหัวแม่มือตัวเอง เวลายิงต้องบิดรังกระสุนหน่อยหนึ่งแล้วยิงผ่านไป ถามว่าคันกระสุนแรงขนาดไหน ? แรงขนาดยิงกระบอกไม้ไผ่แตก..! สมัยก่อนเขาใช้ล่าสัตว์เล็ก ๆ อย่างพวกกระต่าย ชะมด อีเห็นพวกนั้น

ผลปรากฏว่าพวกดูดฝิ่นมันฉลาด พอโดนยิงทีไรสังเกตว่าโดนกลางหลังทุกทีเลย คราวนี้ไปวัดอนงค์ฯ เลยเอาแผ่นสังกะสีผูกหลังไป สุดยอด..! พอถึงเวลาเด็กตะโกน “หลวงตา..คนขโมยกล้วย” หลวงพ่อสมเด็จฯ คว้าคันกระสุนยิงไปเสียงดัง "ผ่าง..!" พอได้ยินเสียงว่ายิงโดนสังกะสี หลวงพ่อสมเด็จท่านรู้ก็ด่าซะลั่น “ไอ้ห่..เล่นตาตุ่มเสียเถอะ” ซัดป้าบ..! เข้า คราวนี้ซวยหนัก ตั้งใจยิงหลังแค่จุก ๆ ไปโดนตาตุ่มเข้าเดินไม่ได้เป็นอาทิตย์เลย"

เถรี
21-01-2014, 12:34
"ที่เล่ามานี่เพื่อจะบอกว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ ท่านเก่งขนาดนั้น มีครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านนั่งคุยอยู่กับเพื่อนท่าน มีท่านเจ้าคุณไสว ท่านเจ้าคุณยิ้ม ท่านเจ้าคุณสรภาณกวี สมัยที่ยังเป็นพระใหม่บ้าง เป็นเณรบ้างเรียนบาลีอยู่ เวลาท่านคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติ หลวงพ่อท่านอยู่คณะ ๔ ห่างจากตำหนักสมเด็จไกลลิบเลย แต่พอคุยกันผิด รุ่งเช้าตอนฉันทีไรหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านจะบอกว่า “เมื่อคืนที่คุณคุยกันเรื่องนั้น ๆ ผิดนะ ต้องอย่างนี้” แล้วท่านก็แก้ให้ หลวงพ่อทั้ง ๔ ก็ “เออ..ท่านรู้ได้อย่างไรวะ ?” เปิดตำราดู วิเคราะห์วิจัยกัน ประเภทไม่ได้บอกก็รู้ อยู่ไกล ๆ ก็รู้ มีอะไรบ้าง

ปรากฏว่าไปวิจัยกันที่ไหน ? วิจัยกันอยู่ใต้ถุนกุฏิสมเด็จ ท่านบอกว่า “ไม่ใช่อภิญญา ท่านวิเคราะห์ว่าอภิญญายังต้องตั้งท่า ประเภทไม่ตั้งท่าแล้วรู้ต้องเป็นปฏิสัมภิทาญาณอย่างเดียว พอฟันธงเสร็จ ธงหล่นใส่กบาลดังโป๊กพร้อมกันเลย ไม่รู้ว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านมายืนอยู่ข้างวงคุยกันตอนไหน ไม้เท้าลงหัว ๔ คนเหมือนเสียงเดียวกันเลย แล้วท่านก็กำชับว่า "ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ห้ามพูดเรื่องนี้เด็ดขาด..!" ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนกวนตายเลย

สี่ท่านก็คลำพระเศียรสิ ถามหลวงพ่อสมเด็จฯ ว่ามาเมื่อไรครับ ? ท่านว่า “มาเมื่อเอ็งคุยกัน” หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า “บันไดกุฏิสมเด็จเก่าแก่จะตายชัก เดินทีลั่นเอี๊ยดอ๊าดไปหมด มาอย่างไรเงียบฉี่เลย” กำชับเสร็จสรรพว่าเรื่องนี้ห้ามบอกใครจนกว่าท่านจะตาย แล้วทำอย่างไร ? “ช่วยประคองที ขึ้นบันไดไม่ไหว” ตอนมา ๆ อย่างไรไม่รู้ ตีกบาลเสร็จเรียบร้อยให้ช่วยประคองไปส่งที ถึงได้บอกกับโยมว่าแก่แล้ว ตอนมาดันมาเองได้ ตอนกลับต้องให้คนประคองไป

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ไปมาแบบไร้ร่องรอย เคยเห็นคาตาอยู่ครั้งหนึ่ง แต่บอกว่าเห็นคาตาก็ไม่ได้หรอก เพราะไม่เห็นว่าท่านไปทางไหน แต่ท่านไปแล้ว ปกติที่วัดท่าซุง พระในวัดก็ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเป็นเวรโรงครัว คราวนี้เวรโรงครัวจะมีหน้าที่ตีกลองเพลด้วย อาตมาเองเป็นเวรโรงครัวด้วย และเวรเฝ้าหน้าตึกของหลวงพ่อท่านด้วย ถ้าวันไหนไม่ได้เป็นเวรโรงครัวก็เป็นเวรเฝ้าหน้าตึก ถ้าเวรอื่นส่วนใหญ่แล้วเป็นพระใหม่ ตีกลองเพลยังไม่เป็นก็ต้องขึ้นไปตีแทนเขา"

เถรี
21-01-2014, 19:09
"ปรากฏว่าครั้งนั้นพระใหม่ของพรรษานั้นที่เป็นเวรคือพระครูเปรื่อง ตานี่เก่งมากเลย บวชปุ๊บเป็นพระครูเลย เพราะว่าเป็นครูอยู่วิทยาลัยครูนครสวรรค์ ในเมื่อตัวเองเป็นครู บวชปุ๊บก็เป็นพระครูเลย พวกเราก็เรียกพระครูเปรื่อง ท่านชื่อนายเปรื่อง รอดเทศ พอได้คิวที่จะตีกลอง ก่อนเพล ๑๐ - ๑๕ นาที พนักงานตีกลองก็ต้องปีนขึ้นไปบนหอกลอง ซึ่งอยู่ข้างห้องยามนั่นแหละ พออาตมาเห็นพระครูเปรื่องเดินมาก็ถาม “เฮ้ย..ตีกลองเพลเป็นหรือเปล่า ? ถ้าไม่เป็นก็บอกนะ เดี๋ยวหลวงพี่จะตีให้”

พระครูเปรื่องบอกว่า “โอ๊ย..สบายมากครับ ผมตีออกจะบ่อยไป” แล้วแกก็ปีนขึ้นไป คราวนี้นาฬิกาที่วัดท่าซุงดังทุก ๆ ๑๕ นาที พอ ๑๕ นาทีจะดังครั้งหนึ่ง ๓๐ นาทีดัง ๒ ครั้ง ๔๕ นาทีดัง ๓ ครั้ง พอ ๖๐ นาทีดัง ๔ ครั้งพร้อมกับตี พอนาฬิกาดังครั้งที่ ๔ เสียงกลองต้องดังพร้อมกับเสียงบอกเวลา พอดังครั้งที่ ๔ ปุ๊บพระครูเปรื่องก็รัวกลองเลย เป็นจังหวะเชิดสิงโตไม่ใช่กลองเพล..! อาตมาได้ยินนี่คอหดเลย ซวยทั้งมึงทั้งกูแล้วงานนี้ จริง ๆ ด้วย ได้ยินเสียงหลวงพ่อเปิดประตูแอ๊ด ออกมาด่าลั่นเลย “โคตรแม่มึงไม่เคยฟังคนอื่นเขาตีหรือยังไง...!”

แต่อาตมาสิงง หลวงพ่อท่านอยู่ในห้องอัดเสียงซึ่งอยู่ในตึกอินทราพงษ์ ก็แปลว่าประตูห้องอัดเสียง ๑ บาน แล้วเดินมาประตูตึกอินทราพงษ์อีก ๑ บาน แล้วตึกอินทราพงษ์เชื่อมต่อกับตึกนนทา อนันตวงษ์ก็มีประตูแล้วก็บันไดอีก ๓ ขั้นด้วย หลังจากนั้นมาก็ต้องออกประตูตรงหน้าอาตมาอีกบานหนึ่ง ได้ยินเสียงหลวงพ่อเปิดประตูแอ๊ดเดียว อาตมาก็กะว่ากูโดนฟ้าผ่าตรงนั้นแน่เลย ที่ไหนได้..ท่านไปยืนเท้าเอวด่าอยู่ใต้หอกลอง ก็ประเภทเดียวกันนั้นแหละ พอด่าเสร็จสรรพต้องประคองท่านเข้ากุฏิ ตอนไปก็ไปได้ อย่างนั้นต้องบอกว่าไปด้วยใจจริง ๆ

คราวนี้ไปเจออีกท่านหนึ่งก็คือหลวงปู่น้อย ถ้าจำไม่ผิดท่านฉายา ชยวํโส อยู่วัดบ้านปง มรณภาพไปแล้ว ถ้ายังอยู่เล่าไม่ได้หรอก คนแถว ๆ นั้นต้องบอกว่าโชคดีมหาศาลเลย หน้าวัดอยู่คนละฝั่งกับวัดทุ่งหลวง คือวัดทุ่งหลวงของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เข้าไปปุ๊บเป็นวัดป่าอรัญวิเวกของหลวงพ่อเปลี่ยน เลยเข้าไปเป็นวัดบ้านปงของหลวงปู่น้อย ถัดไปอีกเป็นวัดบ้านเด่นของครูบาเทือง ใครอยู่แถวนั้นนี่ทำบุญเพลิดเพลินเจริญใจมากเลย

พอไปถึงที่วัด พระท่านเห็นหน้าท่านจำได้ก็บอกว่า “นิมนต์อาจารย์ด้านในเลยครับ หลวงปู่อยู่ข้างใน” ด้วยความคุ้นชินก็ตรงดิ่งไปที่กุฏิท่าน เปิดประตูเข้าไปไม่เจอ มีแต่เตียงเปล่า ๆ ดูไปที่ห้องน้ำเห็นประตูห้องน้ำแง้มอยู่ ก็เดินไปเรียก "หลวงปู่ครับ ๆ " เงียบ..ไม่มีคนตอบ ก็ค่อย ๆ ผลักเข้าไปดูก็เจอห้องน้ำเปล่า ๆ เอาละสิ..แล้วไหนพระที่เฝ้าหน้ากุฏิอยู่ท่านบอกว่าหลวงปู่อยู่ข้างใน ก็เลยเปิดประตูหลังออกไปที่ลานหลังกุฏิ ก็ไม่มีใคร..มีแต่รั้ว มองซ้ายมองขวาเห็นหอกลองอยู่ บันไดเกือบ ๒๐ ขั้นก็คิดว่า เออ..เดี๋ยวขึ้นไปดูข้างบน เผื่อหลวงปู่อยู่ที่ไหนมองจากข้างบนคงจะเห็นบ้าง"

เถรี
21-01-2014, 19:12
"ปรากฏว่าเดินขึ้นไปเกือบจะถึงขั้นสุดท้าย โผล่พ้นพื้นหอกลองไป เห็นหลวงปู่ท่านเดินเขลงสบายใจอยู่ข้างบน พออาตมาเดินพ้นพื้นท่านก็พลิกตัวขึ้นมา บอกว่า “อ้อ..มาแล้วหรือ ?” ก็กราบท่าน ท่านบอกว่าลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่า หลวงปู่ท่านออกลายคนแก่ เพราะตอนนั้นอายุ ๙๙ ปีแล้ว ท่านบอก "อุ้มหน่อย..เดินไม่ไหว.."

คราวนี้หลวงปู่ท่านตัวนิดเดียว อาตมาสังเกตดู พระที่อายุหลักร้อย องค์เล็ก ๆ ทั้งนั้นไม่มีตัวใหญ่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าแก่แล้วกระดูกหดหรืออย่างไรไม่รู้ หลวงปู่บุดดาก็องค์นิดเดียว หลวงปู่ทองเทศก็องค์นิดเดียว หลวงปู่น้อยก็องค์นิดเดียว ในเมื่อท่านให้อุ้ม อาตมาไม่เห็นว่าหนักก็อุ้มท่านลงมา เปิดประตูข้างหลังให้ท่านนั่งที่เตียง มีโยมเขานั่งรอกันอยู่ ไปนึกขำตรงนั้น บันได ๒๐ กว่าขั้นท่านขึ้นไปได้อย่างไรตอนที่คนไม่เห็น แต่ตอนคนเห็นนี่ต้องอุ้ม ก็ลักษณะเดียวกัน ถ้าคนไม่เห็นท่านก็ทำนั่นทำนี่ของท่านได้ ถึงเวลาคนเห็นท่านก็ต้องยอมเป็นคนแก่

หลวงปู่น้อยมรณภาพไปหลายปีแล้ว แถวนั้นตอนนี้ก็เหลือหลวงปู่เปลี่ยนกับครูบาเทือง หลวงปู่เปลี่ยน วัดป่าอรัญวิเวก ดูท่าว่าท่านจะโดนหนักกว่าอาตมา จนป่านนี้แล้วหน้าตายังไม่แก่เลย อายุน่าจะ ๘๐ ปีได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ทองเทศอยู่วัดท่าซุง มรณภาพตอนอายุ ๑๐๒ ปี"

เถรี
21-01-2014, 19:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของปีชง เรื่องของปีมะ ชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ เลขทะเบียนรถ ยุ่งเหยิงไปหมด ถ้าชีวิตอยู่ลำบากขนาดนั้นก็ไปพระนิพพานดีกว่านะ หมดเรื่องหมดราวไปเลย ปู่ย่าตาทวดไม่เห็นท่านจะห่วงกังวลเรื่องแบบนี้ ถึงได้บอกว่ายอดวีรบุรุษของไทยท่านหนึ่งชื่อนายทองเหม็น ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ชื่ออยู่ชั่วฟ้าดินสลาย จำง่ายอีกต่างหาก

การเปลี่ยนชื่อจะมีแต่คนใหม่นั่นแหละที่เรียกชื่อใหม่ คนเก่า ๆ ก็เรียกชื่อเดิมอยู่ดี สมัยอยู่กองพลทหารราบที่ ๙ ตอนนั้นยังใช้ชื่อค่ายกาญจนบุรี ปัจจุบันเป็นค่ายสุรสีห์ ก็มีจ่าสิบเอกแสวง ผินวงศ์ดวง จ่าแสวงก็ใกล้เกษียณแล้ว อายุตั้ง ๕๖ ปีแล้ว เมาเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า เพื่อน ๆ ก็เป็นนายทหารกันหมดแล้ว ตัวเองกระทั่งนายสิบอาวุโสยังไม่ได้เป็นเลย ทั้ง ๆ ที่จะเกษียณแล้วนะ

ปกตินายสิบอาวุโสทำหน้าที่นายทหารก็คือว่าที่นายร้อย แต่จ่าแสวงไม่ได้เป็นกับใครหรอก เพราะว่าเมาหัวทิ่มทุกวัน ท้ายสุดไปให้หมอดูว่าทำไมไม่ได้เลื่อนกับเขาบ้าง หมอดูบอกว่าชื่อเป็นกาลกิณี ให้เปลี่ยนชื่อใหม่ จ่าแสวงก็ทำเรื่องยื่นจ่ากองร้อย ผู้บังคับกองร้อยเซ็นอนุมัติก็วิ่งไปส่งจ่ากองพัน ผู้บังคับกองพันเซ็นอนุมัติก็วิ่งส่งผู้การกรม ผู้การกรมอนุมัติก็วิ่งส่งผู้บัญชาการกองพล จากผู้บัญชาการกองพลปกติแล้วต้องผ่านแม่ทัพภาค แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นกองพลทหารราบที่ ๙ เป็นกองพลพิเศษ ไม่สังกัดทัพภาคใดเลย ขึ้นกับ บก.สูงสุด ก็เลยวิ่งเข้า บก.สูงสุด

ปรากฏว่าได้รับการอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อได้ ทางด้าน บก.สูงสุดก็แทงเรื่องกลับมาที่กองพล จากกองพลลงมาที่กรม จากกรมลงมาที่กองพัน จากกองพันมากองร้อย จ่าสิบเอกแสวง ผินวงศ์ดวง ก็เลยสาบสูญไปจากโลก กลายเป็นจ่าสิบเอกมณเฑียร ผินวงศ์ดวง แต่เพื่อนก็เรียก "ไอ้แหวง" เหมือนเดิม แล้วก็เมาสุนัขไม่รับประทานเหมือนเดิม ก็โดนแป้กต่อไป

เพราะฉะนั้น..เรื่องของการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียง เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์อะไร ถ้าไม่เปลี่ยนความประพฤติก็เท่านั้นแหละ ฉะนั้น..ถ้าใครรู้ตัวว่าอะไร ๆ ไม่ดีเกิดขึ้น ให้พิจารณาความประพฤติตัวเอง อย่าไปดูอย่างอื่นว่าหมายเลขโทรศัพท์ไม่ดี ทะเบียนรถไม่ดี เลขที่บ้านเป็นกาลกิณี หรือชื่อไม่ได้เรื่อง อาตมาเกือบ ๆ จะอยากเชื่อว่า พวกหมอดูหมายเลขโทรศัพท์นี่สงสัยบริษัทขายโทรศัพท์จ้างไว้ หมายเลขของอาตมาได้คะแนน ๓๕๗ จากคะแนน ๑,๐๐๐ แปลว่าใช้ไม่ได้ แย่มาก..แต่ก็ใช้มาอยู่ทุกวัน

สมัยเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม มีเพื่อนผู้หญิงชื่อนางสาวสมศักดิ์ สระทองทราย ขอยืนยันว่าเพื่อนผู้หญิงนะ สวยมากด้วย สมัยนั้นยังไม่มีระบบการใช้คลื่นในการตรวจ ในเมื่อไม่มีระบบการตรวจด้วยคลื่นก็เลยไม่สามารถที่จะแยกเพศทารกได้ สงสัยพ่ออยากได้ลูกชายมาก เลยตั้งชื่อไว้ก่อนว่าสมศักดิ์ พอออกมาเป็นลูกสาวก็เลยเลยตามเลย เป็นเด็กหญิงสมศักดิ์ เรียนมัธยมปีที่ ๓ สมัยก่อนก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว แต่ไม่เห็นคุณเธอจะอายใคร จากเด็กหญิงสมศักดิ์เป็นนางสาวสมศักดิ์ก็สมศักดิ์หน้าตาเฉย มีความสุขดีออก เท่อยากบอกใคร เป็นผู้หญิงชื่อสมศักดิ์หาได้ที่ไหน..ใช่ไหม ?

เราจะเห็นว่าจริง ๆ เรื่องของชื่อไม่ได้สำคัญ อยู่ที่เราพอใจ แต่สงสัยเหมือนกันว่าเพื่อนผู้ชายที่ไล่จีบกันตรึมเขารู้สึกอย่างไร ที่ไปเรียกเธอว่าสมศักดิ์"

เถรี
21-01-2014, 19:18
พระอาจารย์เล่าว่า "วันนี้คนมามากกว่าเมื่อวานตั้งเยอะ แต่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เมื่อวานมีนักเลงดีย่องมาตั้ง ๕ - ๖ ตัว กะจะมาเฉ่งอาตมา ถึงได้ต้องถามตาเฟิร์สว่าเป็นวันอะไร ที่แท้วันเสาร์ พวกนี้วันเสาร์กับวันอังคารจะเป็นวันแรงของเขา

ตอนแรกก็ไม่ทันรู้ตัว ปรากฏว่ามีอยู่รายหนึ่งย่องมาจนใกล้เลย พอหันไปเห็น อ้าว..! ก็เลยต้องทำให้เขารู้ว่าตูป่วยแต่ตัวนะโว้ย เวลาไหนที่ป่วยนี่ตูจะแข็งแรงสุด ๆ ถ้าเอ็งอยากจะลองก็เอา เขาเห็นก็เลยถอยไป ต้องบอกว่าเป็นวาระของเขา แล้วเขาก็อยากจะรู้ว่า อาตมาเองนอกจากวันเวลาไม่อำนวย ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ จะแน่จริงสักแค่ไหน"

เถรี
23-01-2014, 14:27
ถาม : เวลาอากาศหนาว ๆ เข้ากสิณหรือเข้านิโรธสัญญาครับ ?
ตอบ : ไม่อาบน้ำดีที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาเข้าอะไรสักอย่าง เขาไม่ได้บังคับว่าต้องอาบ ขนาดอินเดียร้อนจะตายชัก พระพุทธเจ้ายังให้ ๑๕ วันอาบหนึ่งครั้ง ยังโชคดีเราไม่ได้อยู่อินเดีย

สาเหตุที่พระพุทธเจ้ากำหนดให้พระที่อินเดียอาบน้ำ ๑๕ วันต่อครั้ง เพราะว่าพระไปแช่อยู่ที่ท่าน้ำเลย พอพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปจะสระสรง เห็นพระอยู่ก็เกรงใจ..รอ รอจนค่ำก็ต้องเสด็จกลับ เจอแบบนี้ไปหลาย ๆ ครั้งเข้าจึงกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงกำหนดว่า ถ้าอยู่ในมัธยมประเทศ ๑๕ วันเป็นอย่างต่ำถึงอาบน้ำได้ครั้งหนึ่ง

ถาม : อากาศที่นั่นเย็นหรือครับ ?
ตอบ : ร้อนตายชัก อินเดียเขาไม่ร้อนแบบบ้านเรานะ ร้อนแห้ง ๆ ไม่มีเหงื่อ ร้อนแบบนั้นเป็นลมร่วงไม่รู้ตัว เพราะเหงื่อออกไม่ทัน โดนความร้อนระเหยไปหมด

เถรี
23-01-2014, 14:35
ถาม : อรูปฌานแต่ละอย่างเป็นเอกเทศซึ่งกันและกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะว่าเป็นเอกเทศก็ไม่ได้ ต้องเรียกว่าสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพราะว่าต้องได้รูปฌาน ๔ ก่อน เมื่อได้รูปฌาน ๔ แล้วก็เริ่มต้นที่อากาสานัญจายตนฌาน ก็คือจับกสิณขึ้นมากองหนึ่งที่ไม่ใช่อากาสกสิณ แล้วก็เพิกภาพไป ตั้งใจจับความว่างของอากาศแทน จนอารมณ์ทรงตัวเต็มที่ในระดับฌาน ๔

คราวนี้ต่อไปเป็นวิญญาณัญจายตนฌาน เป็นการกำหนดความรู้สึกก็คือว่า แม้อากาศจะว่างไร้ขอบเขต แต่ยังสามารถกำหนดได้ด้วยความรู้สึก ก็คือวิญญาณของเรา ก็เลยไปกำหนดความไม่มีขอบเขตของวิญญาณที่กว้างขวางกว่าอากาศแทน จึงเป็นการสนับสนุนกัน

พอไปอากิญจัญญายตนฌาน ถึงแม้ว่าวิญญาณที่กว้างขวางไร้ขอบเขต ยังมีความรู้สึกที่ชัดเจนปรากฏอยู่ เขาก็เลยจับอากิญจัญญายตนฌาน ก็คือความไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อยหนึ่ง เพราะฉะนั้น..แต่ละอย่างต้องไปตามลำดับ ถึงจะสนับสนุนกันได้ สักแต่ทำกระโดดไปกระโดดมาไม่ได้หรอก พอทำ ๓ อย่างแรกได้ อย่างที่ ๔ มาเองโดยอัตโนมัติ ก็ในเมื่อไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว อะไรเกิดขึ้นก็ช่าง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รู้สึกก็เหมือนกับไม่รู้สึก

ถ้าจะทำอรูปฌาน ต้องได้รูปฌานคล่องตัวก่อน แล้วได้กสิณอย่างน้อย ๑ กอง ที่ไม่ใช่อากาสกสิณ ถ้าเป็นไปได้ก็คือไม่ใช่อาโลกกสิณด้วย เพราะอาโลกกสิณส่วนใหญ่เกิดจากแสงสว่าง ลักษณะคล้าย ๆ กับความว่างของอากาศ ดังนั้น..คนที่ไม่ชำนาญอาจจะจับไม่ติด

เถรี
23-01-2014, 14:49
ถาม : ผู้ที่ได้อภิญญา ๕ เขาได้แต่รูปฌานหรือครับ ?
ตอบ : แค่ฌาน ๔ ธรรมดากับกสิณ ๑๐ ก็เป็นอภิญญา ๕ เต็ม ๆ แล้ว เพียงแต่มีใครเขาอยากได้ต่อ ก็ทำอรูปฌานต่อเท่านั้นเอง

ถาม : ท่านได้ฌานสี่แล้วน่าจะกระโดดไปที่อรูปฌานเลย ?
ตอบ : ท่านเล่นกสิณได้แค่บางส่วน แล้วใช้แค่ส่วนเดียว บอกแล้วว่าอรูปฌานเขาต้องการพื้นฐานกสิณแค่กองเดียว

เถรี
23-01-2014, 15:01
ถาม : คนที่เป็นพระอนาคามีแล้ว อีกนิดเดียวก็เป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมบางคนถึงไปที่สุทธาวาสอีก ?
ตอบ : ไม่ใช่บางคน แต่เป็นส่วนใหญ่ ก็ถ้าปัญญาไม่ถึงแล้วจะไปพระนิพพานอย่างไร ไม่ใช่ว่าท่านไม่อยากไป การสั่งสมของสติ สมาธิ ปัญญา มายังไม่เข้มข้นถึงที่สุด ก็ต้องติดอย่างนั้นก่อน

ตัวอย่างที่น่าเสียดายที่สุดก็คือหลวงปู่พุฒ (หลวงปู่พระราชอุทัยทวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี) วัดทุ่งแก้ว ชื่อวัดนี้ไพเราะมาก ชื่อวัดมณีสถิตกปิฏฐาราม คือเขายุบให้วัดทุ่งแก้วกับวัดมะขวิดรวมเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นมณีสถิตก็คือทุ่งแก้ว ส่วนกปิฏฐะก็คือมะขวิด ก็เลยมาต่อกันกลายเป็นวัดมณีสถิตย์กปิฏฐาราม

หลวงปู่พุฒมีโอกาสเป็นพระอรหันต์เห็น ๆ เลย ก่อนตายใจไปคิดอยู่วูบเดียวเท่านั้นว่า บัญชีวัดยังไม่ได้มอบหมายให้ใครดูแล ไม่ใช่ไม่เรียบร้อยนะ ทำเรียบร้อยทุกอย่าง แต่ยังไม่ได้มอบให้ใคร เท่านั้นแหละ..เรียบร้อยเลย ไปอยู่แค่พรหมชั้นที่ ๑๒ เท่านั้น เพราะในส่วนของอาสันนกรรมเป็นกรรมที่สำคัญมาก แค่ช่วงก่อนตายนิดเดียวเท่านั้นเอง

ถ้าเราดูในหนังสืออ่านเล่นของหลวงพ่อวัดท่าซุง จะเห็นหลายคน ก่อนตายอยู่ ๆ ได้ยินเสียงเคาะข้างฝาปัง.! สะดุ้งหันไปเกาะเสียงนั้นแทน ใจหลุดจากความดีเหมือนกัน นั่นกรรมมาทวง ยังดีว่าถึงเวลาเจอท่านลุง ๔ คน นุ่งแดงใส่แดงมารับ

ถาม : อย่างท่านพรหมมหาชินนะปัญชระ เป็นพระอรหันต์ แต่อยู่ที่พรหม ?
ตอบ : นอกตำรา นั่นเป็นประวัติที่ร่างทรงว่ากันมา ไม่ใช่ความเป็นจริง พระอรหันต์เหมือนวัตถุที่ไม่มีเชื้อแล้ว ก่อไฟอย่างไรก็ไม่ติด ไม่อยากไปพระนิพพานก็ต้องไปอยู่ดี ฟังอะไรบางอย่างแล้วต้องแยกแยะให้ออก บ้านเรา ฮินดู พุทธ ไสยศาสตร์ปนกันให้มั่วไปหมด แถมมีมหายานเข้ามาแทรกอีกด้วย สงสารเด็กรุ่นหลัง ๆ ว่าจะแยกแยะไหวไหม

วัดท่าขนุนมีเจ้าแม่กวนอิมพร้อมศาลาอยู่หน้าวัด เจ้าแม่กวนอิมสูง ๒ เมตรครึ่ง เสียค่าหล่อไป ๔ - ๕ แสนบาท แล้วมีพระพิฆเณศวร์อยู่ใกล้ ๆ กัน ศาลา ๒ หลัง อาตมารื้อกระจายเลย ประกาศว่าวัดไหนต้องการให้มาเอาไปได้ เดี๋ยวเดียวหมดเกลี้ยง พระพิฆเณศวร์เป็นเทพของฮินดู อาตมาไม่ได้รังเกียจท่านหรอก เพราะองค์ท่านเป็นเทวดา ทรงความดีมาก แต่ถ้าญาติโยมไม่เข้าใจ ต่อไปจะปะปนกันมั่ว แล้วศาสนาพุทธจะมัวหมอง

เจ้าแม่กวนอิมก็เป็นมหายาน ต่อให้เป็นพุทธเหมือนกันก็ตาม ท้ายสุดก็เลยใช้อำนาจเจ้าอาวาส อาตมาเคารพนับถือท่านแม่เป็นปกติอยู่แล้ว ตอนนี้ถ้าคนอื่นเขาเห็นคุณค่า ก็เชิญท่านแม่ไปอยู่กับเขาก่อนแล้วกัน พระที่วัดท่านให้ความเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า ตอนพระอาจารย์ยังอยู่..เรื่องพวกนี้ก็ชัดเจน พอหมดพระอาจารย์ไปแล้ว เดี๋ยวก็คงมาใหม่ อาตมาบอกว่า เออ..ให้มาช้าหน่อยก็แล้วกัน

เถรี
23-01-2014, 15:12
ถาม : ที่พม่ามีผีชื่อนัตหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : นัตเหมือนกับพระภูมิเจ้าที่ ที่เขาเรียกว่าอารักษ์ หรือเจ้าพ่อหลักเมืองอะไรประมาณนั้น จะเป็นผีประเภทหนึ่งที่เขานับถือเหมือนเทวดา แม้กระทั่งพระเจ้าเมกุฏิของเชียงใหม่ เขายังนับถือเป็นหนึ่งในผีนัตของพม่า พระเจ้าเมกุฏิของเชียงใหม่นี่ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทางพม่าให้ความเคารพนับถืออยู่ เลยกลายเป็นว่า แม้กระทั่งกษัตริย์ทางล้านนาของเราก็ยังไปเป็นผีนัตของพม่า แล้วพม่าจะมีอยู่ทั่วประเทศ ๓๗ ตน ถ้าจำไม่ผิดนะ..อยู่ที่รัฐฉาน ๙ ตน

ตอนอาตมาขึ้นไปรัฐฉานครั้งแรกก็ไปกัน ๙ คนพอดี เด็กท้ายรถเก็บก้อนหินยัดขึ้นรถมาอีก ๑ ก้อน ก็เลยถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าถ้าไป ๙ พอดีแล้วเท่ากับไปตีเสมอท่าน จะเกิดอุบัติเหตุอันตรายได้ แล้วทางขึ้นเขาของพม่า ต้องบอกว่าไม่ใช่งูเลื้อย แต่เหมือนกับเอาเส้นขนมจีนสาดไปส่ง ๆ อย่างนั้น ก็เลยต้องระมัดระวังหน่อย อะไรที่เขาเชื่อก็ต้องเชื่อ ถึงเวลาผ่านศาลแต่ละแห่ง คนขับต้องลงไปจุดธูปบอกกล่าว ต้องไปถวายน้ำ ถวายของ แล้วถึงเดินทางต่อไป

ผีนัตที่สำคัญที่สุดของพม่าคือสักกะยามิน สักกะแปลว่าสวรรค์ มินแปลว่ากษัตริย์ จอมกษัตริย์แห่งสรวงสวรรค์ เขาเล่นเอาพระอินทร์ไปเป็นผีนัตด้วย เป็น ๑ ใน ๓๗ องค์ของเขา

เถรี
24-01-2014, 12:36
ถาม : ....อายุน้อย ?
ตอบ : เขาดูบารมี ถ้ารัศมีกว้างไกลครอบคลุมคนอื่นได้ ถือว่าบารมีมากพอที่จะเป็นได้ พออินทกเทพบุตรขึ้นไป พระอินทร์ก็เกิดสลด อินทกเทพบุตรรัศมีกว้างกว่า พระอินทร์จึงต้องลงไปแอบใส่บาตรพระมหากัสสปะ

พระมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัติ ถอนสมาธิออกมาก็พิจารณาว่า ใครหนอจะสงเคราะห์เรื่องอาหารแก่เราได้ ? เล็งทิพจักขุญาณไปก็เห็นชาวนาแก่ ๆ อยู่ ตั้งใจว่าวันนี้ถ้ามีพระผ่านมาเราจะใส่บาตร นั่นคือความตั้งใจที่พระท่านรับรู้ ท่านก็ไป ปรากฏว่าพอเปิดบาตร ชาวนาตักข้าวจะใส่เท่านั้นแหละ พระมหากัสสปะได้กลิ่นข้าวจำได้ นี่เป็นข้าวทิพย์นี่นา พอรู้สึกว่าเป็นกลิ่นข้าวทิพย์ก็ไม่ทันแล้ว พระอินทร์ท่านเทลงบาตรไปแล้ว พระมหากัสสปะก็ดุเอาว่า ทำไมท้าวสักกะท่านทำอย่างนี้ เพราะว่าเราตั้งใจจะสงเคราะห์ผู้ที่ยากจน ท่านก็บอกว่าท่านเองก็ยังจนอยู่ เพราะว่ารัศมีสู้ลูกน้องไม่ได้

ด้วยความปีติ ท่านเหาะขึ้นไปท่านก็ประกาศผลบุญของท่าน สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อะโห ทานัง ปะระมะทานัง มหากัสสะเปนะ อัมเหหิ ทานัง อาสะวะขะยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ท่านประกาศในทานที่ท่านได้ทำดีแล้วต่อพระมหากัสสปะ

แต่พวกเราบางคนถึงเวลาก็ใช้ สุทินนัง วะตะ เม ทานัง เหมือนกัน แต่ไม่รู้ที่มามาอย่างไร แต่ของท่านต่อท้าย นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ

เถรี
24-01-2014, 12:38
ถาม : พระอรหันต์เข้านิโรธสมาบัติเป็นปกติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านที่เข้าได้ ท่านก็เข้าเป็นปกติ บาลีใช้คำว่าอยู่สุขวิหาร คือการอยู่ที่ปราศจากกิเลส ไม่อยากคลุกคลีกับโลก อย่างหลวงพ่อขี้ค้างคาว วัน ๆ นั่งเงียบ ค้างคาวขี้รดจนท่วมเอวก็ปล่อยไป ข้างในท่านเป็นสุขก็แล้วกัน

เถรี
24-01-2014, 12:41
ถาม : ตะปูสังขวานรที่เขาไปถอนจากวัดร้าง ?
ตอบ : ตะปูสังขวานร เป็นตะปูหล่อ ส่วนใหญ่จะหล่อด้วยสำริด เขาเอาไว้สำหรับยึดตรึงพวกเครื่องเรือนต่าง ๆ ที่ก่อสร้างวัดหรือก่อสร้างวัง ถ้าอยู่ในวัด พระสวดมนต์ทำวัตรทั้งปี เขาถือว่าเป็นการบรรจุพลังความศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอยู่แล้ว ถ้าอยู่ในวังเขาถือว่าเป็นที่อยู่ของผู้มีบารมีอยู่ ก็ย่อมได้รับอำนาจบารมีจากท่านไปด้วย เขาก็เลยถือเป็นวัตถุอาถรรพ์อย่างหนึ่ง ที่เอาไว้สำหรับหลอมสร้างวัตถุมงคล หรือไม่ก็ทำมีดหมอ

ถาม : คนที่ไปถอนติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ไปถอนที่วังไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์ หนีตำรวจให้ทันก็พอ..!

ถาม : ที่วัดร้างล่ะครับ ?
ตอบ : จะร้างหรือไม่ร้างก็เป็นวัด ติดหนี้สงฆ์หัวโตพอกัน

เถรี
24-01-2014, 18:46
ถาม : ฟ้าผ่าเกี่ยวกับเทวดาไหมครับ ?
ตอบ : โบราณเขาเชื่ออย่างนั้น แต่วิทยาศาสตร์บอกว่า เป็นเพราะอิเล็กตรอนในอากาศวิ่งลงมาหาโปรตอนบนพื้น แต่มีเรื่องแปลกอยู่ก็คือว่า โบราณเขาเห็นฟ้าผ่าตรงไหน เขาจะไปคุ้ยหาตรงนั้น แล้วจะได้ขวานหินเล็ก ๆ มา เรียกว่าขวานฟ้า

สมัยก่อนที่ฝึกมวยกับครูเขตร์ เวลาพันมือครูสอนว่า ถ้ามีขวานฟ้า เวลาพันมือให้เอาขวานฟ้าซ่อนไว้บนหลังกำปั้นด้วย นอกจากทำลายอาถรรพ์ได้แล้ว ยังทำให้หมัดหนัก ถ้าต่อยเหมาะ ๆ ทีเดียว คู่ต่อสู้ก็ชักไปเลย

ทางด้านกะเหรี่ยงเขาเชื่อว่า ขวานฟ้ามีฤทธิ์อำนาจของเทพอาวุธอยู่ในตัว เพราะเกิดจากฟ้าผ่า ทำให้สามารถขับไล่พวกภูตผีปิศาจได้ แล้วที่ตลกกว่านั้นก็คือ บ้านไหนมีขวานฟ้า เวลาตากข้าวเปลือก เขาจะเอาขวานฟ้าไปซุกไว้ในกองข้าวเปลือก ทำให้ไก่ไม่กล้าเข้าไปกิน แปลกมากเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าเห็นกองข้าวเปลือกกองไหนที่ไก่มีเยอะแยะ แต่วน ๆ อยู่ไม่กล้าเข้าไปกิน ลองไปคุ้ยดู ถ้าเจอแล้วก็อมไว้..!

ถาม : ขวานฟ้ารูปร่างเป็นขวานหรือครับ ?
ตอบ : เป็นหินที่มีรูปเหมือนหัวขวานเล็ก ๆ ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเจอก็ไม่เกินฝ่ามือ ส่วนใหญ่ก็ประมาณ ๒ นิ้วมือ เป็นสีแดงบ้าง สีดำบ้าง แล้วแต่ว่าไปเจอแบบไหน แปลกตรงที่ว่า ทำไมต้องไปเจอตรงที่ฟ้าผ่าด้วย แล้วตรงอื่นทำไมเขาไม่เจอกัน ?

เถรี
24-01-2014, 18:56
เรื่องฟ้าผ่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือดินผ่าฟ้า ไม่ใช่ฟ้าผ่าลงดิน แต่เกิดจากโปรตอนในพื้นรวมกันมากขึ้น ๆ แล้ววิ่งขึ้นไปหาอิเล็กตรอนในอากาศเอง อาตมาเคยเจอคาตาอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าขนุน หน้าฝนพรรษานั้นน่าจะกลางพรรษาปี ๒๕๔๔ กำลังนั่งอบรมพระอยู่ คราวนี้มุมที่อาตมานั่งนั้นหันไปทางเจดีย์ ๘๔ พรรษาสมเด็จพระสังฆราช อยู่ ๆ เห็นประกายไฟจากฐานเจดีย์พุ่งขึ้นไป จนพระเจดีย์เป็นสีชมพูสว่างจ้าทั้งองค์เลย นั่นคือลักษณะของดินผ่าฟ้า ที่ทางด้านพม่าเรียกว่าอสูรยิงเทวดา กว่าจะหาจรวดพื้นดินยิงสู่อากาศได้คงจะยาก นาน ๆ ถึงจะเกิดที

ที่บ้านหนองบัวทางฝั่งพม่าก็มีต้นจามจุรีต้นหนึ่ง แตกตั้งแต่โคนยันยอดเลย ลักษณะที่โดนดินผ่าฟ้านี่แหละ พุ่งจากข้างล่างขึ้นข้างบนเลย แล้วก็แห้งตาย แต่ความจริงลักษณะนั้นเป็นวัตถุอาถรรพ์นะ เอามาแกะพระได้ แต่ว่าเขาคงไม่มีความรู้กัน

ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของดินผ่าฟ้านี่เกิดในทะเลเสียมาก บางทีเรียกกันว่าพรายทะเล คือแสงจะรวมกันสว่างขึ้น ๆ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ถ่อซึ่งเขาปักยึดเรือไว้ บางคนเขาคว้ามีดฟันถ่อขาด ก็ยังพุ่งสว่างขึ้นมาอีก ต้องรีบตัดเชือกปลดโซ่ แล้วก็รีบพายหนีสุดชีวิต เพราะเขาบอกว่าเดี๋ยวฟ้าจะฟาดลงตรงนั้น แต่เขาเรียกพรายทะเล ไม่รู้หรอกว่าเป็นโปรตอนมารวมกันแล้วก็พุ่งขึ้นไป

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องอาศัยสื่อ อย่างพระเจดีย์วัดท่าขนุนแกนในเป็นเหล็ก เขาสานเหล็กเป็นโครงทั้งองค์ก็เลยไม่เป็นไร วิ่งขึ้นไปบนยอด ถึงสายล่อฟ้าก็พุ่งขึ้นไปฟ้าได้ ถ้าอย่างต้นจามจุรีต้นนั้นไม่มีอะไรเป็นแกน อาศัยต้นเป็นแกน เลยรับแรงไฟฟ้าไม่ได้ พอน้ำในต้นเดือดก็ต้นแตกกระจายเลย พวกหาปลาสมัยก่อนที่ใช้เรือฉลอมจะเจอกันบ่อย

ถาม : ขวานฟ้าเป็นเหล็กมีไหมครับ ?
ตอบ : ขวานฟ้าเหล็กยังไม่เคยเจอเลย เคยเจอแต่ที่เป็นหิน ที่เป็นเหล็กน่าจะเป็นขวานสำริดของมนุษย์โบราณมากกว่า อาตมาก็ยังมีอยู่อันหนึ่ง หน้ากว้างเกือบฝ่ามือ ขวานสำริด สนิมเขียวทั้งอันเลย

สมัยที่หัดมวยกับครูเขตร์ ท่านบอกว่าถ้าหาได้เอามาพันไว้ในหลังหมัด ชกคู่ต่อสู้ทีเดียวรู้เรื่องกันไปเลย

เถรี
24-01-2014, 19:21
พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์พระมหาสุชาติ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ขออนุญาตสร้างเหรียญหลวงปู่สาย ๑๐๐ ปี ด้านหนึ่งเป็นหลวงพ่ออุตตมะ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปหลวงปู่สาย ของวัดท่าขนุนมีรูปเหรียญหลวงปู่สายคู่หลวงพ่ออุตตมะอยู่รุ่นหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นการดำเนินการสร้างโดยคุณสมใจ มาโนช"

เถรี
24-01-2014, 20:28
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนอาตมาฝึกมโนมยิทธิ หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า “ดูซิ..แกเคยเป็นหมาหรือเปล่า?” โอ้โฮ..ฝูงเบ้อเริ่มเลย แล้วที่ตลกที่สุดก็คือ เคยไปเกิดเป็นหมาในนรกด้วย หมาพันธุ์นั้นนี่ถ้ามาอยู่บนโลกคนคงตกใจตาย ตัวใหญ่กว่าเจค็อบอีก รู้จักไหม..? เจค็อบในเรื่องทไวไลท์ เป็นหมาป่าที่สู้กับผีดิบ"

ถาม : แล้วทราบไหมครับ ว่าทำไมถึงเกิดเป็นหมาในนรก ?
ตอบ : ตอนนั้นไม่ได้ดู ดูอย่างเดียวว่าเคยเกิดเป็นหมาหรือเปล่า

เกิดเป็นหมาในนรกเหนื่อยอย่าบอกใครเลย เหมือนกับโดนตั้งโปรแกรมเอาไว้ว่า ถ้าเห็นสัตว์นรกต้องโดดใส่ไว้ก่อน เท่ากับไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนอยู่ตลอดเวลา เหนื่อยจะตายชัก..!

เถรี
25-01-2014, 12:25
ถาม : คนที่ชื่อยาก อ่านยาก มีผลต่อชีวิตเขาไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อนฝูงรังเกียจ เรียกแล้วไม่รู้แปลว่าอะไร

ถาม : ขอความเมตตาตั้งชื่อด้วยครับ
ตอบ : เสียเวลา..เรื่องของชื่ออย่าเอามาเป็นสาระในชีวิต พวกที่เปลี่ยนชื่อลองสังเกตดูสิ เพื่อนเขาเรียกชื่อใหม่เสียที่ไหน เห็นเรียกกันแต่ชื่อเก่า สังเกตว่าสมัยโบราณต้องเอาชื่อที่น่าเกลียดน่าชังเอาไว้ เพราะว่าผีจะได้ไม่รัก ขนาดสุดยอดวีรบุรุษของประเทศยังชื่อทองเหม็นเลย คนชื่อทองเหม็น ส่วนควายชื่อไพเราะเชียว ควายชื่อบุญเลิศ..!

เถรี
25-01-2014, 12:32
ถาม : พุทธภูมิที่บารมีเฉียด ๆ ปรมัตถ์ คำอธิษฐานพอจะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่อุปบารมีขั้นปลายเริ่มมีผลแล้ว ต้องบอกว่ามีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ก็ดูงานที่ไม่ใหญ่เกินไปสิ เล่นงานใหญ่ยักษ์มหึมาเลยก็ไม่ไหว เอาไว้รอบารมีเต็มแล้วค่อยว่ากัน

เถรี
25-01-2014, 12:42
ในขณะที่เด็กกำลังร้องไห้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เขาบอกว่า เด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง ถ้ากำลังเราไม่พอ สู้เขาไม่ได้หรอก ประเภทตีไปสอนไปแบบอาตมา เอ็งอยากร้องก็ร้องไป แบบนี้ไม่มี ถ้ากำลังไม่พอก็สู้เขาไม่ได้

เขาบอกว่า ผู้หญิงมีน้ำตาเป็นกำลัง ถึงเวลาต้องรีบบีบน้ำตาไว้ก่อน ถ้าทำไม่ได้ก็พกหัวหอมไว้ ผ่าแล้วก็เช็ดตา สมณชีพราหมณ์มีศีลเป็นกำลัง ถ้าศีลของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ เข้าไปสู่สังคมไหนก็ไม่หวั่นไหว มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า พระองค์ท่านอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหม อยู่ในหมู่ท้าวสักกะ อยู่ในหมู่ของพระมหากษัตริย์ อยู่ในหมู่ของพราหมณ์มหาศาล พระองค์ท่านไม่มีความหวั่นไหวเลย คนอื่นคัดค้านฐานะของพระองค์ท่านไม่ได้ ตถาคตปฏิญาณว่าตรัสรู้ ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าไม่ตรัสรู้ ตถาคตบอกกล่าวทางอันนำไปสู่ความหลุดพ้น ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น"

เถรี
25-01-2014, 13:00
ถาม : พวกของประจำตัวสัตว์ อย่างพวกเขี้ยวเสือไฟ พวกนี้จะเป็นของใคร ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้เขาจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น..ถ้าตัวเองตั้งใจสร้างบารมีมา บางทีชิ้นส่วนของเขาก็มีเทวดารักษาอยู่ หรือไม่ก็กำลังของตัวเขาเองนั่นแหละ

ถาม : อย่างเสือที่มีเขี้ยวไฟ ก็เป็นบุญของเขาที่มีอำนาจ ทีนี้คนที่ได้ไปเนื่องกับเสือตัวนั้นหรือเป็นบุญต่างหากของเขาเองเลย ?
ตอบ : น่าจะต้องแยกเป็น ๒ สภาวะด้วยกัน สภาวะแรกก็คือ เคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา สภาวะที่สองก็คือ เป็นบุญบารมีของเขาเองที่จะได้ของอย่างนั้นมา เขาเรียกว่าของคู่ตัว

ถาม : ถ้าเราเนื่องกับเขา อย่างนี้เวลาเราทำบุญอะไรเราก็ให้เขา ?
ตอบ : ให้เขาไปเถอะ ยิ่งให้เขาไปมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีผู้ช่วยที่มีกำลังมากเท่านั้น พระเจ้าพรหมมหาราชมีของคู่บารมีเป็นเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยหอม งูประเภทนี้ต่อให้ไปนอนบนหลังคนยังไม่รู้ตัวว่าอยู่บนหลังงู

พวกสัตว์ใหญ่ โดยเฉพาะสัตว์มีอำนาจ ถึงแม้ว่าจะเหลือแต่ซากแล้ว คาดว่าพลังอำนาจที่ติดอยู่แผ่ออกมา ทำให้สัตว์อื่นรู้ว่านี่อันตราย..อย่าไปใกล้ ก็เลยทำให้คนที่มีชิ้นส่วนของเขาอยู่นั้นปลอดภัย

เถรี
25-01-2014, 13:14
ถาม : อย่างเขากวาง ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขากวางจะหาเขากวางคุด ถ้าไม่มีก็ ๓ ยอด ๗ ยอด ๙ ยอด หาไปเถอะ ถ้าจะเอาของขลังจริง ๆ ต้องตายโดยธรรมชาติ เพราะว่าของพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะหนังเหนียว แคล้วคลาด ไม่ค่อยจะตายผิดปกติเหมือนอย่างอื่น

ถาม : อย่างฟันคน ?
ตอบ : บางคนเขาเรียกเขี้ยวแก้ว ฟันที่เกิดบนเพดานปาก อาตมาเองตอนเด็ก ๆ ตกใจแทบตาย เพราะฟันงอกที่เพดานปาก วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก..คอยเลียอยู่เรื่อย

ถาม : ขึ้นตรงกลางเลยหรือคะ ?
ตอบ : ตรงกลาง คราวนี้พอเขี้ยวที่เป็นฟันน้ำนมหลุด ก็ค่อยเลื่อนมาจะแทนที่ แต่แทนไม่หมดหรอก มาไม่ถึง เพราะจากที่ลึกเกินไป เลื่อนมาไม่ถึง

ถาม : ตอนนี้ฟันยังอยู่กับตัวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ผุไปแล้ว แสดงว่าตัวเองก็ยังอาศัยไม่ได้ ยังผุอยู่เลย

ถาม : นึกว่ามีคนเลี่ยมไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่รู้หมอเอาเศษฟันไว้ใช้บ้างหรือเปล่า แต่ว่าอุดแล้วอุดอีก ขูดแล้วขูดอีก

เถรี
26-01-2014, 19:06
สมัยก่อนหลวงปู่กาหลง ที่เขาเรียกว่า หลวงปู่กาหลงเขี้ยวแก้ว ท่านทำวัตถุมงคลแล้วก็ท้าว่า ถ้าใครไม่มั่นใจ ให้แบกปืนไปลองได้เลย อาตมาก็เอาปืนไป จะไปยากอะไรเพราะชอบลองอยู่แล้วนี่ ท่านทำตะกรุดอะไรสักอย่าง เห็นว่าเป็นตะกั่วน้ำนมโบราณพัน ๆ ปี ได้มาจากตามพวกปราสาทหิน น่าจะเป็นโลหะที่เขาเทเพื่ออุดร่องยึดร่อง แต่เห็นว่าเป็นพวกตะกั่วป่า ท่านเองก็ทั้งปลุกทั้งเสกอย่างดี มีการจับเขี้ยวแก้วเสกเพื่อเพิ่มพลังด้วย อาตมาขอลองนัดเดียว เปรี้ยงเดียวเหลือติดอยู่นิดเดียว เกือบขาดกลาง เสียของไปเลย..ตั้งแพง พันกว่าบาท

ลืมไปว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนว่า คนที่มีลายมือคัดของ ของดีแค่ไหนก็ยิงออก แล้วอาตมาก็ลืมไปว่า ไม่ใช่แค่หลวงปู่มีเขี้ยวแก้ว อาตมาก็มี ตกลงก็กลายเป็นว่าอาตมามีมากกว่า ตะกรุดหลวงปู่จึงเละไปเลย ตอนเด็ก ๆ ก็ตกใจเหมือนกัน ว่าทำไมฟันมาขึ้นตรงเพดานปากนี้ ได้แต่เลีย ๆ เล่น รำคาญเพราะปลายฟันค่อนข้างแหลม

ถาม : เป็นฟันหน้าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นฟันเขี้ยว มาตอนหลังปลายบิ่น เพราะว่าซ้อมมวยไทยกับพระครูแสงตอนเป็นฆราวาส

จังหวะศอกกลับ ปกติจะต้องหมุนตัวตีแบบปลาดุกยักเงี่ยง แต่คราวนี้พระครูแสงแหกตำรา แกตีเสยขึ้นเหมือนกับที่เขาเรียกศอกสอยมะม่วง อาตมาเห็นมาผิดจังหวะไขว้มือรับไม่ทัน ทำให้แรงไม่พอที่จะกดศอกเขาไว้ จึงลอดการ์ดเข้ามาที่ปลายคาง เปรี้ยงเดียวฟันกระแทกกัน ปลายเขี้ยวบิ่นไปเลย แปลว่าเขี้ยวแก้วเสื่อมความขลังตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว บิ่นเองเลย พอปลายบิ่นแล้วก็เหมือนกับว่าทำให้เป็นเหตุให้ฟันผุ

แต่ก่อนคนอื่นเขาคิดว่าพี่น้องตีกันจะตาย เวลาซ้อมมวย อัดกันจริง ๆ จัง ๆ แต่พระครูแสงไม่ค่อยอึด เป็นคนไม่ค่อยทนเจ็บ พอโดนหนัก ๆ เข้าก็มักจะถอดใจไม่เอา ทั้ง ๆ ที่ถ้ามาอีกที คนที่บอกว่าเลิกแล้วก็คืออาตมานั่นแหละ บังเอิญว่าทนกว่ากันอยู่ทีเดียวทุกครั้ง

ท่าศอกสอยมะม่วงนี่ สมัยก่อนเห็นมี สมาน ดิลกวิลาศที่ใช้ พวกเราเกิดไม่ทันหรอก เพราะว่ารุ่นของสมาน ดิลกวิลาศ เป็นรุ่นเดียวกับ อภิเดช ศิษย์หิรัญ ดีไม่ดีเป็นรุ่นพี่ด้วย แต่คราวนี้สังคมสมัยนั้นเหมือนกับนิยมนักสู้ เด็ก ๆ ก็ชอบเลียนแบบวีรบุรุษ ถึงเวลาเล่นกัน เอ็งเป็นคนนั้น ข้าเป็นคนนี้ ถ้าวันไหนผู้ใหญ่มาบอกว่า คนนั้นชนะคนนี้ คนนี้ชนะคนนั้น โอ๊ย..เฮกันใหญ่

แต่ต้องชมว่าครูมวยสมัยก่อนท่านเก่งจริง ๆ ถ้าครั้งนี้แพ้ ไปครั้งหน้าจะไม่แพ้อีก ต้องแก้ไขได้

เถรี
26-01-2014, 19:16
ถาม : เทคนิคหลักการพวกนี้ใช้ได้กับคนเท่านั้นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนดีกว่าตรงที่มีสมอง เพราะสัตว์ส่วนใหญ่ใช้กำลัง แทบจะไม่มีสัตว์ที่ใช้สมองในการสู้กัน แต่ว่าสัตว์ก็มีวิธีรักษาตัวของเขา จากการที่เคยเกิดเป็นสัตว์หลายต่อหลายที จะรู้ว่าจะมีวิธีรักษาตัวไม่ให้บาดเจ็บ เพราะถ้าบาดเจ็บ อันดับแรกก็คืออาจจะหากินลำบาก ถึงแก่ชีวิตได้ ทำให้หลบหนีศัตรูลำบาก โดนพวกแมลงวันซ้ำเติมบ้าง ถ้าวางไข่ลงไปได้นี่บรรลัยเลย เพราะตัวเองไม่รู้จะเอาออกอย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็คือ ถ้าตัวเองบาดเจ็บ อาจจะเสียพื้นที่ในการทำมาหากิน คู่แข่งที่ชนะจะไล่เราออกไป ถ้าไม่ออกก็อาจจะถึงตาย

เถรี
26-01-2014, 20:27
ถาม : ผมตั้งใจจะบวช จะมาปรึกษาว่าบวชที่ไหนดี ?
ตอบ : แล้วทางบ้านเขาไม่ว่าอะไรแล้วหรือ ?

ถาม : ไม่ว่าครับ
ตอบ : ไม่ว่าก็ไปเถอะ ชอบที่ไหนก็ไป ไม่ได้สำคัญอยู่ตรงสถานที่บวช ถ้าเรามีหลักการปฏิบัติ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอคือ ไม่ค่อยปฏิบัติ แถมไปเที่ยวจับผิดชาวบ้านเขาด้วย ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ทุกวัน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไปบวชที่นั่นก็ ๕ ปีนะ ถ้าไม่ ๕ ปีไปที่อื่นไม่ได้ กัดฟันทนไป ถ้าไม่ตายเสียก่อน เราว่ากันตามพระธรรมวินัยเป็นหลัก วันก่อนทิดวิชาที่สึกไป มาขอนิมนต์ท่านนวยไปเป็นเจ้าอาวาส เขาจะถวายที่ให้สร้างวัด ก็เลยถามท่านนวยว่าครบ ๕ ปีหรือยัง ? “ครบพอดีครับ” “เออ..อย่างนั้นไปได้”

ในช่วง ๓ พรรษาแรกเป็นช่วงศึกษาพระธรรมวินัย ปีแรกก็ศีล ๒๒๗ ปีที่สองก็อภิสมาจาร ศีลที่นอกพระปาติโมกข์อีกเป็นร้อย ๆ ปีที่สามก็ศึกษาหลักการปฏิบัติแบบธรรมเนียมต่าง ๆ อีก ๒ ปีก็ว่าให้อยู่ตัว จะว่าไปช่วง ๓ ปีก็คือช่วงที่จะกอบโกยจากครูบาอาจารย์ให้มากที่สุด

สมัยนี้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ค่อยให้ความใส่ใจกับลูกศิษย์ บวชแล้วก็ทิ้ง ๆ ไปฝากตัวอยู่ที่วัดท่าขนุนตั้งไม่รู้เท่าไร แม้กระทั่งพระครูหน่อย เลขาของอาตมานี่ค้นหาประวัติไปเถอะ พระครูหน่อยบวชเมื่อไร ทำไมไม่เจอประวัติเลย ค้นปีใกล้ ๆ ก็ไม่เจอ ค้นขึ้นหน้าก็ไม่เจอ ค้นถอยหลังก็ไม่เจอ ก็เลยมาถาม อาตมาบอกไปว่าพระครูหน่อยบวชมาจากชลบุรี แล้วมาขออยู่ด้วย คราวนี้อยู่มา ๑๐ กว่าปี คนเขาเลยนึกว่าเป็นพระวัดท่าขนุนตั้งแต่แรก

พระครูน้อยบวชมาจากวัดดินแหลม สรุปว่าไม่ค่อยจะมีที่บวชแท้ ๆ จากวัดท่าขนุนสักเท่าไรหรอก ที่บวชส่วนใหญ่ก็สึกกันหมด

เถรี
27-01-2014, 18:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กอยู่ในช่วงเหมือนกับตะวันกำลังขึ้น ส่วนผู้ใหญ่อยู่ช่วงกำลังบ่ายคล้อยลง อาทิตย์อัสดงเมื่อไรก็จบ แต่บางคนก็อย่างกับพลุ ขึ้นพรวดเดียวแล้วดับไปเลย ทุกอย่างล้วนแต่อนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งสิ้น"

เถรี
27-01-2014, 18:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ปิดงานได้ ๒ ชิ้นใหญ่ คือ หลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพร ๘๔ พรรษาธรรมิกราช กับหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ปิดบัญชีไปก่อนสิ้นเดือน พระครูหน่อยเริ่มถามรายละเอียดแล้ว “สีแบบนี้จ่ายเท่าไร ?” จะเอาอย่างบ้าง บอกท่านว่า "ค่าสี บวกค่าแรง บวกเครื่องพ่นสีอีกเครื่องหนึ่ง ประมาณ ๔๙๐,๐๐๐ บาท ไม่ถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาท" ถ้าใช้สีทองนี่หลายล้านบาท สีทองของฮาโตะ ที่ไม่ใช่แบบเกรดเยี่ยมนัก เกรดมาตรฐานทั่ว ๆ ไป แกลลอนละ ๔,๐๐๐ บาท สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกต้องใช้ประมาณ ๒๐๐ แกลลอน ก็เท่ากับประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้คิดรวมอย่างอื่น ค่าแรงยังไม่ได้คิดเลย"

ถาม : ทำความสะอาดได้ไหมคะ ?
ตอบ : สีทองทำความสะอาดยากหน่อย เพราะว่าสีค่อนข้างหยาบ ถึงเวลาแล้วฝุ่นจะเกาะติด อาตมาไปศึกษาแล้วว่า สีพ่นเรือเกาะได้ติดเหนียวแน่นกว่า อีกอย่างพออะไรเกาะแล้วฉีดล้างได้เลย ต่อไปพอถึงเวลาก็ขอแค่รถดับเพลิงมาฉีดน้ำล้างทีเดียวสะอาดเอี่ยม

ถาม : สีที่ใช้นี่แกลลอนเท่าไรครับ ?
ตอบ : ไม่รู้แกลลอนเท่าไร แต่อยู่ในงบ ๕๐๐,๐๐๐ บาท นั่นแหละ ใช้ ๒ ที่ ที่พระองค์ใหญ่กับที่มณฑป แล้วเครื่องพ่นสียังอยู่กับเรา ซื้อแล้วเป็นของเรา ช่วงปีใหม่นี้รถผ่านกี่คัน จอดถ่ายรูปกันแหลกไปเลย ยายจุ่นเปิดขายน้ำอยู่ ๒ ชั่วโมง ขายได้ประมาณพันกว่าบาท ทำงาน ๒ ชั่วโมงได้พันกว่าบาท ตอนแรกอาตมาก็ถามว่า ทำไมไม่ไปขายทั้งวัน เพราะคนมาทั้งวัน เขาบอกว่า “ต้องปฏิบัติธรรม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่ได้บูชาพระ” สรุปแล้วคืออยากได้พระ เลยต้องทนอยู่ปฏิบัติธรรม

เถรี
27-01-2014, 19:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีนักธุรกิจใหญ่บอกว่า ถ้าสังเกตคนขึ้นเขา จะเห็นว่าเวลาขึ้นเขาเราต้องก้ม แต่เวลาลงเขาเราต้องยืด เพื่อที่จะให้สมดุลกับน้ำหนักตัว เขาจึงสรุปว่า ถ้าบุคคลที่คิดจะปีนป่ายขึ้นที่สูง หรือต้องการจะประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าไปยืนตรงทื่อ ก้มให้ใครไม่เป็น ก็แปลว่าชีวิตคุณมีแต่ขาลง เขาว่าเสียเจ็บเลย"

เถรี
27-01-2014, 19:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปฐมพุทธวจนะ อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสังฯ.... เป็นอเนกชาติ คือนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ที่ได้เที่ยวแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหานี้ จนต้องเกิดบ่อย เกิดแล้วเกิดอีก เกิดอยู่ในกองทุกข์ ดูก่อนตัณหาผู้สร้างเรือน บัดนี้เราเห็นเจ้าแล้ว เจ้าไม่สามารถที่จะสร้างเรือนให้แก่เราได้อีกแล้ว

ทางพม่าเขาใช้คาถาบทนี้ในการปลุกเสกพระ ตอนแรกอาตมาก็สงสัย พระมีอยู่ด้วยกัน ๕ รูป นั่งล้อมวง ต่างคนต่างจุดเทียนไว้หน้าตัวเอง นั่งล้อมวงหน้าองค์พระ แล้วเสกด้วยบทอเนกชาติฯ ตามกำลังวัน ถ้าเป็นวันศุกร์ก็มากหน่อย เสกเสร็จก็พรมน้ำมนต์ เป็นอันว่าพุทธาภิเษกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไหน ๆ อาตมาก็อยู่ในพิธีแล้ว จึงอธิษฐานภาพพระครอบทั้งหมู่บ้านไปเลย เผื่อให้ทุกคน"

ถาม : เขาถือคติอย่างไรคะ ถึงเสกบทนี้ ?
ตอบ : เขาถือความเป็นพระพุทธเจ้าก็คือประโยคนี้ เรียกว่าปฐมพุทธวจนะ คือพอบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็เปล่งอุทานขึ้นมา เป็นอเนกชาติที่เวียนว่ายตายเกิด ทุกข์แล้วทุกข์อีกจนนับไม่ได้ ก็เพราะว่าต้องการจะแสวงหาตัวเจ้าตัณหาที่เป็นตัวสร้างภพสร้างชาติให้ บัดนี้ก็ได้เจอหน้าแล้ว บ้านเรือนอะไรเราหักทิ้งหมดแล้ว เจ้าไม่สามารถจะสร้างเรือนให้แก่เราได้อีกแล้ว

วิสังขาระคะตัง จิตตัง สภาพจิตที่เข้าถึงความไม่ปรุงแต่งแล้ว ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา ย่อมเข้าถึงความสิ้นไปของตัณหา

เถรี
27-01-2014, 19:37
ถาม : นิโรธในอริยสัจสี่กับนิโรธในสมาบัติ เหมือนกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คนละอย่างกันนะ นิโรธในอริยสัจ ๔ คือการดับแบบไม่มีเชื้อ หมายความว่าไม่เกิดอีกแล้ว ส่วนนิโรธในนิโรธสมาบัตินั้น ต่อให้มีเชื้ออยู่ก็สามารถเข้าถึงได้ อย่างเช่นพระอนาคามี เป็นต้น เพราะฉะนั้น..อย่างหนึ่งเป็นการที่กำลังใจของตนเองปลีกออกจากสัญญาและเวทนาทั้งหมด เขาเรียกว่าเข้าถึงนิโรธเหมือนกัน ส่วนอีกอย่างเป็นการหมดกิเลสจริง ๆ เพราะฉะนั้น..นิโรธในอริยสัจ ๔ กำลังจะสูงกว่า ยกเว้นว่าท่านที่เข้านิโรธสมาบัติเป็นผู้ที่เข้าถึงนิโรธในอริยสัจ ๔ แล้ว

ถาม : นิโรธสมาบัติ ?
ตอบ : ยังสามารถที่จะมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ไม่ถึงขนาดหมดจริง ๆ

ถาม : ยังรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังไม่ถึงใจหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นเรื่องของนิโรธสมาบัตินี่จิตกับกายจะแยกส่วนกันเลย จะไม่สนใจอะไรที่เกิดขึ้นกับกายเลย

ถาม : คำว่าไม่สนใจ หมายความว่า ?
ตอบ : กำลังใจไม่เกาะร่างกาย แต่สนใจไปที่อื่น จะเป็นภพอื่นหรือจะเป็นพระนิพพานก็ได้

ถาม : ในขณะนั้นมีคำภาวนาหรือลมหายใจไหมคะ ?
ตอบ : ตรงนั้นไม่ต้องแล้วจ้ะ ร่างกายจะเป็นอะไรก็ช่างแล้วจ้ะ

เถรี
27-01-2014, 19:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงตาบัวท่านได้เปรียบกว่าพระรูปอื่นที่ว่า ท่านเรียนปริยัติมาก่อน ก็ไปดูตำราให้พอรู้ว่าจะต้องเดินช่องไหน ส่วนท่านอื่นต้องให้ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดทีละหน่อย ๆ "

เถรี
28-01-2014, 12:20
ถาม : ตอนไปร่วมพิธีเปิดงานฯ ที่ตลาดทองผาภูมิ พระอาจารย์บอกว่าเป็นมุทิตาในอุเบกขา แต่พอกลับมาฟังเทศน์ที่วัด พระอาจารย์ว่าเป็นอุเบกขาในมุทิตา ซึ่งตรงกับที่คนอื่นเขาเข้าใจกัน ก็เลยรับปากว่าจะมากราบเรียนถาม ?
ตอบ : อุเบกขานิ่งกว่า มุทิตาดูดีกว่า

ถาม : มุทิตาในอุเบกขา กับอุเบกขาในมุทิตา ต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องดูว่าขึ้นกับอะไรก่อน ยินดี รู้ตัว แล้วก็ปล่อยวาง เพื่อไม่ให้ใจของตัวเองต้องกระทบกระเทือน เพราะว่าจะยินดีหรือยินร้าย เป็นโทษทั้งคู่ นี่ก็เป็นมุทิตาในอุเบกขา แต่ถ้าตัวเองสามารถหยุดได้แล้ว โดยมีความเมตตากรุณาเป็นปกติ เห็นเขาได้ดีก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย แต่ไม่ออกอาการ อันนี้เป็นอุเบกขาในมุทิตา กลับข้างกัน อย่างหลังมั่นคงกว่า อย่างแรกอาจจะเผลอได้

ถาม : ตอนได้ยินพระอาจารย์บอกที่ตลาดคำเดียวว่าเป็นมุทิตาในอุเบกขา ตอนนั้นมีความเข้าใจดีมาก แต่อธิบายให้คนที่ไปด้วยกันให้เข้าใจไม่ได้ เพราะเขาแย้งว่า เคยได้ยินแต่อุเบกขาในมุทิตา ?
ตอบ : เวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ ถ้าฟังควรจะฟังตอนนั้น เพราะบางทีกำลังของท่านที่ส่งมา พอเราฟังจะเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดเลย แล้วอธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้ด้วย ว่าที่เข้าใจนั้นคืออะไร

เถรี
28-01-2014, 12:21
พระอาจารย์เล่าว่า "บรรดาพระทั้งหลายเขาเปิดใจคืนสุดท้ายของการอบรมปฏิบัติธรรมประจำปี มีอยู่ท่านหนึ่งเขาบอกว่า พระอาจารย์เล็กของเราท่านพลังมาก..! มากกว่าท่านเจ้าคุณหลายเท่า..! ท่านถึงเอาพวกเราอยู่ ถ้าท่านไม่มีพลังอย่างนี้นะ เอาเราไม่อยู่หรอก แหม...ก็มีเท่าไรอาตมาใส่แค่หมด ป่วยจะตายดันบอกว่าพลังมาก..!"

เถรี
28-01-2014, 12:27
ถาม : พอทำสมาธิถึงระดับหนึ่ง จะทำให้หายจากอาการป่วยได้ แต่ว่าถึงทำได้ ปกติครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่หนีอาการเจ็บป่วยนี่คะ ?
ตอบ : เราต้องการดูเวทนา เรารับได้เพราะโรคไม่หนักเกิน ถ้าโรคหนักเกินก็ต้องใช้วิธีทำไม่รู้ไม่ชี้แทน อยากเป็นก็เป็นไป แล้ววิธีนี้บรรดาลูกศิษย์ยังทำไม่ถึง

ถาม : หากแยกจิตกับประสาทออกจากกันก็ไม่รับรู้อาการแล้ว หรือไม่ก็อาราธนาคุณพระรักษาก็ได้ ?
ตอบ : เหมือนกัน บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ท่านใช้ธรรมโอสถรักษาเองมาไม่รู้เท่าไรแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าท่านไม่สอน ก็แปลว่าท่านกลัวว่าคนจะไปติดอยู่แค่นั้น ต่อไปจะไม่ยอมรับว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์

ถาม : ทำไมไม่หนี ?
ตอบ : หนีได้ใครไม่หนีวะ ? อย่างประเภทเจ็บตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างอาตมา หนีได้ก็หนีสิ ใครจะมานั่งทน

ถาม : ปกติพระท่านมีวัตรที่ต้องทำสมาธิและมีคำอธิบายในการปฏิบัติอยู่ จึงเข้าใจว่าท่านน่าจะทราบกันแล้ว ทำไมยังต้องสอนเรื่องนี้ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่มีพื้นฐานเก่ามาจริง ๆ ต้องสอนต้องสั่งกันทั้งนั้น อีกอย่างก็คือ ต้องสร้างความเชื่อถือให้เขาด้วย เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีฐานะสูง มีสมณศักดิ์สูง ไม่ก็เป็นพระสังฆาธิการระดับสูง ไม่ค่อยฟังใครหรอก ปีก่อน ๆ ที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์คุม เอาไม่อยู่..หนีกันกระจายเลย ถ้าบอกว่าให้นั่งละก็..เหลือพระอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง อย่างที่ป้านุชบอกว่า เดินทักพระได้ทุกรูป เพราะท่านไม่ยอมอยู่ในที่ปฏิบัติ

เนื่องจากว่าพระวิปัสสนาจารย์ส่วนใหญ่ตรงเป็นไม้บรรทัด และเป็นมวยเชิงเดียว ถึงเวลาไม่เข้าใจลูกศิษย์ ก็ไม่สามารถที่จะเอาอยู่ อาตมาเป็นประเภทครูสอนไว้หมดทุกอย่างแล้วนี่ ไม่ว่าจะมาท่าไหนก็สามารถที่จะแก้ให้เขาได้ เขาก็ชอบใจกัน ถึงเวลาไม่ว่าจะคุยเล่นหรือว่าจะปฏิบัติจริง เขาก็ยอมนั่งอยู่กัน เพราะเขาอยากรู้ว่าอาตมาจะบอกอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขา

เถรี
28-01-2014, 20:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็น ไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน เพื่อนพระท่านไปถึงวัด ถามว่าวัดนี้มีพระกี่รูป อาตมาบอกว่า ๓๐ กว่ารูป เขาตกใจ เพราะไม่เห็นมีพระออกมาเดินเลย อาตมาบอกว่าเจ้าอาวาสดุ มาเดินเกะกะเดี๋ยวก็เจอดี..!

ช่วงปฏิบัติธรรม มีพระมหาสมคิด ยสพโล เปรียญธรรม ๙ ประโยค ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปฐมเจดีย์ ท่านไปอยู่ปฏิบัติด้วยจนครบ ๕ วัน จากนั้นขอไปอยู่ต่อที่วัดพุทธบริษัท อาจจะแวะไปเกาะฤๅษีกับถ้ำทะลุด้วย ท่านบอกว่ามาดูว่าที่นี่ปฏิบัติกันอย่างไร พอวันรุ่งขึ้นพระมหาอนุวัชร์ อภิชาโต เปรียญธรรม ๙ ประโยค วัดสองพี่น้องไปอีกท่าน อาตมาว่าพวกนี้ชักจะติดใจกันใหญ่แล้ว ...(หัวเราะ)... ตกลงที่โดนเฉ่งกันไป ๑๐ กว่าวันตอนปฏิบัติธรรมประจำปีนี่ยังไม่เข็ดใช่ไหม ? อาตมาได้เปรียบตรงที่ว่าถ้าดักทางถูก ท่านทั้งหลายจะให้ความเชื่อถือ คราวนี้ท่านจะไปซอกไหนมุมไหนโดนต้อนไว้หมด ท่านก็เลยต้องยอมรับ

ส่วนใหญ่ท่านเป็นเจ้าคณะปกครองกัน มีพวกเจ้าคุณ พวกเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล อย่างน้อยก็เจ้าอาวาส ก็แปลว่าตอนนี้ในเขตคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ก็คือนครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร บวกกับกรุงเทพฯ นนทบุรี และปทุมธานีบางส่วน ที่ไปเรียนด้วยกัน ต่อไปท่านคงจะยึดแนวปฏิบัติตามแบบที่อาตมาสอน คืออาตมาไม่ให้ท่านไป พองหนอ..ยุบหนอ ตลอด

เริ่มต้นเช้ามืดขึ้นมา ก็ปฏิบัติแบบที่สอนตอนพวกเราเจริญกรรมฐานเลย พอใจสงบแล้วก็ไม่ดิ้นรนไปไหน พออาตมาให้เขา ๒ - ๓ วันเท่านั้นแหละเงียบกริบ จนกระทั่งผอ. บุญเลิศท่านมา ถามว่า “นิ่งได้ขนาดนี้เลยหรือ?”

เพียงแต่พวกเราส่วนใหญ่เข้าใจผิด มีหลายส่วนที่อาตมาอยากจะพูดมากเหลือเกิน แต่ถ้าพูดไปเท่ากับไปตีเขาว่าคนอื่นเขาทำผิด อย่างเช่นในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ว่า เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา เขาแปลกันว่า เป็นทางสายเดียวที่ทำให้คนล่วงพ้นจากความทุกข์ ทำให้สัตว์ก้าวไปสู่ความบริสุทธิ์ แปลอย่างนั้นก็บ้าชัด ๆ..!

เอกะ คือหนึ่ง อยนะ คือหนทาง หนทางนี้เป็นทางหนึ่งที่นำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทางเดียว ถ้าเป็นทางเดียวพระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์ทำไมตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ? แล้วครูบาอาจารย์ก็มาตีความว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าว่าต้องเสมอกัน กรรมฐานถึงจะเจริญ การปฏิบัติถึงจะเจริญ ในปัจจุบันก็คือ เขาให้ใช้สมาธิแค่อุปจารสมาธิ หรือขณิกสมาธิ ซึ่งไม่พอป้องกันตัวเองจากกิเลส โดนกิเลสตีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นว่า ถ้าสายนี้ใครประสบความสำเร็จผมถือว่าเป็น ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฎิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก

ลองอ่านประวัติของเขาผู้ปฏิบัติสายพองยุบดูสิ ครูบาอาจารย์แต่ละท่านบวชตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี พอปฏิบัติไปจนอายุ ๘๐ ปีแล้วบรรลุมรรคผล ตลอดเวลา ๖๐ ปี แม้แต่เงยมองฟ้ายังไม่เคยเงยเลย แล้วถ้าอายุไม่ยืนขนาดนั้นจะมีโอกาสได้บรรลุไหม ? เขาบอกว่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องเสมอกัน อาตมาไม่เถียง ในเมื่อพวกเรามีสมาธิอยู่ตั้งมากมายมหาศาลขนาดนั้น ทำไมไม่ยกศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา ขึ้นมาให้เท่ากับสมาธิ ? ทำไมคุณต้องลดสมาธิของคุณลงไปด้วย ? ”

สายนี้อาตมาเขียนวิจารณ์ไว้เป็นเล่มหนังสือเลย แต่ออกมาไม่ได้ ออกมาเมื่อไรก็โยนระเบิดใส่เขา..!"

เถรี
28-01-2014, 20:17
ถาม : ในสายตาของโยมที่เป็นฆราวาสก็จะเข้าใจว่าต้องปฏิบัติอย่างนี้ ?
ตอบ : ต้องดูหลวงปู่กินรีสิ หลวงปู่กินรีสอนหลวงปู่ชาว่า "คุณต้องพิจารณาช้า ๆ เดินช้า ๆ ต้องฉันช้า ๆ" แต่หลวงปู่กินรีเองทำอะไรรวดเร็วเสร็จหมด หลวงปู่ชาทนไม่ได้ "สอนผมอย่างหนึ่งแล้วทำไมตัวเองทำอีกอย่างหนึ่ง" หลวงปู่กินรีบอกว่า “คนขับรถเร็วแล้วเขาปลอดภัยก็มี แต่คุณยังมือใหม่ ต้องหัดขับช้า ๆ ไปก่อน”

นอกจากนี้สายพองยุบเขาบอกว่า พระอัสสชิเถระเดินแบบสติปัฏฐานนี่แหละ ทำให้พระสารีบุตรเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงตามไปฝากตัวเป็นศิษย์ อาตมาบอกว่า ถ้าท่านเดินแบบสติปัฏฐาน รับรองว่าอดเพล มัวแต่ยกย่างเหยียบอยู่ ๓๐ เมตรกว่าจะเดินถึง ใช้เวลา ๒ ชั่วโมงกระมัง ? บุคคลที่ปฏิบัติไปแล้ว สภาพจิตมีความแหลมคมว่องไวมากขึ้น ๆ ตามลำดับ มีแต่จะทำอะไรเร็วขึ้น แต่ว่าเร็วโดยไม่ผิดพลาด

ก่อนปฏิบัติอาตมาก็จะอธิบายให้พระฟัง แล้วอธิบายแบบไม่กลัวกระทบใคร เพราะตรงนั้นอาตมาใหญ่สุด เป็นประธานของพระวิปัสสนาจารย์ทั้ง ๑๑ รูป คราวนี้พูดแล้วไปตรงกับกำลังใจส่วนใหญ่ของเขา เขาก็ชอบใจ แล้วอีกอย่างก็ต้องบอกว่า เป็นความดีของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านสอนกรรมฐานให้พวกเราครบทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะติดขัดตรงไหน หรือว่ามาแง่ไหนมุมไหน อาตมาก็แก้ไขให้เขาได้หมด ผู้ที่จะเป็นวิปัสสนาจารย์ต้องได้อย่างนั้น ต้องไม่ไปลบล้างความดีเก่าของเขา เราดูโบราณาจารย์เริ่มจากไสยศาสตร์ทั้งนั้น แต่ว่าท่านสามารถพาเลี้ยวไปพุทธศาสตร์ได้ จนกระทั่งจบกิจไปตาม ๆ กัน ไม่ใช่ไปบอกว่า เฮ้ย..ของเขาไม่ดี ใช้ไม่ได้ คุณต้องเปลี่ยนใหม่อย่างเดียว..แบบนั้นตาย คนเขาขุดบ่อไปตั้ง ๗ - ๘ วาจะถึงน้ำอยู่แล้ว ดันไปบอกให้เขาเริ่มต้นขุดใหม่

ที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติช่วงเช้า ถ้านำให้ท่านเต็มที่ ใจทรงตัวแล้วจะเย็นทั้งวัน ท่านก็ไม่หนีกันหรอก แล้วอีกอย่างหนึ่งสิ่งที่อาตมาบอกไปเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ท่านจึงอยากปฏิบัติกัน

เถรี
28-01-2014, 20:29
ถาม : บางทีก็นึกไม่ออกว่าจะถามอะไร เพราะยังทำไม่ถึง ?
ตอบ : ทำต่อไป ถ้าสั่งสมศีล สมาธิ ปัญญาให้พอ ท้ายสุดก็จะถึงเอง แค่ดูว่าในส่วนของรัก โลภ โกรธ หลง อะไรที่ยังกินใจเราได้ ก็พยายามลดละเลิกไป ถ้าเห็นว่ายากเกินไป ดูแค่นิวรณ์ ๕ ก็พอ ในแต่ละวันถ้านิวรณ์ ๕ กินใจเราได้ ก็แปลว่าเรายังสู้กิเลสไม่ได้ ถ้าสามารถรักษาใจให้พ้นจากนิวรณ์ได้ ก็แปลว่าตอนนั้นกำลังใจเราเหนือกว่า ค่อย ๆ ดูไปทีละระดับ อย่าไปตะกายฟ้าเอาส่วนที่เรายังไปไม่ถึง

ถาม : บางทีแวบขึ้นมา เห็นโทษเห็นภัยของการเกิด แต่ไม่ได้ทำให้เรามั่นคงในการที่จะหลุด ?
ตอบ : ยังไม่เข็ด..! ถ้าเราเข็ดจะเกิดความกลัว เป็นความกลัวแบบฝังจิตฝังใจ ประเภทจ้างเท่าไรก็ไม่เอาอีกแล้ว แบบนี้แปลว่ายังไม่เข็ด ต้องทนไปก่อน สมัยก่อนอาตมารู้ตัวเองว่าเป็นเพราะอย่างนี้ บางทีวันหนึ่งอารมณ์ใจขึ้น ๆ ลง ๆ ตกแล้วตกอีก เป็น ๘ รอบ ๑๐ รอบ แต่ยังไม่เข็ด พอถึงเวลากำลังใจทรงตัวหน่อยก็ แหม..แพลมไปดูหน้ากิเลสหน่อย โดนสอยร่วงทุกทีเลย จนกระทั่งเข็ดขึ้นมาจริง ๆ แล้วค่อยมาระวังรักษาตัวเอง ไม่ไปยุ่งกับกิเลสอีก

เถรี
28-01-2014, 20:36
ไปนึกถึงตอนให้พระนิสิตปฏิบัติธรรมไปนั่งตากแดด ท่านก็ยังยินดีพอใจอยู่ตรงนั้น ให้พระท่านออกไปผ่อนคลายข้างนอก แยกกลุ่มให้วิปัสสนาจารย์นำไป แล้วเขาพาไปนั่งอาบแดด นั่งกรรมฐาน โอ๊ย...เพลินไม่อยากจะเลิกเลย อาตมาบอกว่า พอแล้ว กลับมาได้แล้ว เริ่มติดสุขแล้ว จะได้รู้ว่ากระทบอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นทุกข์เป็นอย่างไร กลับเข้ามาเสียดี ๆ

มีอยู่คืนหนึ่ง ไม่รู้ใครเปิดไอโฟนดูบอลซีเกมส์ตอนที่ไทยชนะพม่า คราวนี้พอยิงประตูเข้า เขาเฮกันเสียงดัง อาตมาบอกว่าพรุ่งนี้เจอกัน..! รุ่งเช้าประกาศตั้งแต่ตี ๔ เลย "เนื่องจากว่าปล่อยให้เลิกเร็วแล้วไม่พักผ่อนกัน เพราะฉะนั้น..วันนี้ห้ามออกจากศาลา ถ้าใครออกจากศาลา ผมไม่รับรองว่าเวลาที่เหลือจะได้ไปที่อื่นหรือเปล่า แต่ถ้าวันนี้ทนอยู่ในศาลาได้ตลอด ก็เท่ากับพรุ่งนี้เราค่อยกลับไปในลักษณะเดิม" ท่านอาจารย์ ผอ.บุญเลิศบอกว่า ผมนั่งเหงาเลย ไม่มีใครโผล่มาทางนี้สักคน นั่งก็อยู่ในศาลา เดินจงกรมก็อยู่ในศาลาเช้ายันค่ำ

แล้วก็ยกตัวอย่างว่า จริง ๆ แล้วกิเลสอยู่เฉย ๆ เราตะกายไปหากันเอง กิเลสอยู่ตั้งประเทศพม่า เราอุตส่าห์เอาไอโฟนไปต่อมาดู เห็นหรือยังว่าส่วนใหญ่เราตะกายไปหากิเลส ไม่ใช่กิเลสมาหาเรา พอมีตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ แล้วท่านก็จะเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติมา

คุณบอกว่าคุณไม่เข้าใจจิตในจิตใช่ไหม ? ตอนที่คุณออกไปข้างนอกไม่ได้ จะอกแตกตายไหมเล่า ? ดูเอาไว้ว่าอารมณ์ของคุณเป็นอย่างไร นั่นเรียกว่าจิตในจิต ต้องยกตัวอย่างชัด ๆไปเลย

ถาม : แล้วมีใครออกนอกไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไปเป็นปกติ อาตมาเตือนท่านเป็นระยะ ๆ ก็ยังแหกคอกออกนอกเรื่อย เตือนแล้วบางทีท่านก็อายกัน ไปได้ดีที่พระใหม่กับสามเณร เห็นแววจะเป็นเกจิอาจารย์ใหญ่อยู่หลายท่าน สามเณร ๒ รูปนั่งกรรมฐานสุดยอดเลย ตัวตรงแน่วทั้งแต่นาทีแรกถึงนาทีที่ ๖๐ ไม่มีขยับเลย ๒ รายนี้สุดยอด ถ้าสมาธิขนาดนี้ต่อไปจะเรียนปริญญาโท ปริญญาเอกอะไรก็เรียนไปเถอะ ส่วนพระผู้ใหญ่นี่ศักดิ์ศรีท่านค้ำคออยู่ ถ้าพระใหม่ไม่ขยับ พระผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าลุก อายเด็ก..!

เถรี
28-01-2014, 20:43
ถาม : เห็นเขาบอกว่าเจดีย์ชเวดากองบรรจุพระเขี้ยวแก้วอยู่ ?
ตอบ : พม่าเขามีเจดีย์บรรจุพระเขี้ยวแก้วเป็นสิบ ๆ เลย แต่พระมหาเจดีย์ชเวดากองบรรจุพระเกศาธาตุ

ถาม : แต่เห็นมีบางองค์เป็นของปลอม ?
ตอบ : เท่าที่เจอไม่ใช่ปลอมหรอก เขาทำเทียมขึ้นมา สำคัญอยู่ตรงที่ว่าใจคนนึกถึงหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นพระพุทธรูปทุกองค์ปลอมหมดแหละ เพราะองค์จริงไปพระนิพพานแล้ว

ถาม : สมัยพระเจ้าบุเรงนองก็ไปซื้อพระเขี้ยวแก้วมาจากศรีลังกา ?
ตอบ : นั่นเป็นประวัติชาวบ้านเล่ากัน

เถรี
31-01-2014, 11:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "โรคภัยจริง ๆ ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเหมือนกับตัวเราที่อยู่ในโลกนี้ แล้วเราก็ทำลายธรรมชาตินี้ไปเรื่อย ตัดต้นไม้บ้าง เปลี่ยนทางน้ำบ้าง เชื้อโรคในตัวเราก็เหมือนกัน อาศัยอยู่ข้างในก็ทำนั่นสร้างนี่ เราอยู่ก็เกิดภาวะโลกร้อน เชื้อโรคก็ทำแบบเดียวกัน เกิดโรคเกิดภัยขึ้นกับร่างกาย ก็แปลว่ามนุษย์เรามีนิสัยแบบเดียวกับเชื้อโรค ไปอยู่ที่ไหนก็ทำลายที่นั่น

อาตมาเป็นมาเลเรียเรื้อรัง เป็นคนไข้ตัวอย่างของเวชศาสตร์เขตร้อน ที่ถือว่าเป็นมือหนึ่งในการรักษาโรคมาลาเรียของประเทศไทย เขาใช้เวลารักษามา ๓๔ ปีแล้ว ถ้ารักษาได้คงหายไปนานแล้ว ทุกครั้งที่มียาตัวใหม่ก็จะเรียกไปทดลอง เพราะฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องพยายามหายามาให้อาตมา เพราะไม่ใช่มาลาเรียธรรมดา แต่เป็นโรคเวรโรคกรรม

มีบริษัทประกันภัย เสนอกรมธรรม์ประกันสุขภาพให้อาตมา ต้องการรักษาโรงพยาบาลดีขนาดไหนก็ได้ นอนคืนหนึ่งชดเชย ๔,๐๐๐ บาท ให้เวลานอน ๑,๓๕๐ วันต่อเนื่องกัน มีใครกล้าซื้อกรมธรรม์แบบนี้บ้างไหม ? แปลว่าอาตมาสามารถนอนเล่นได้ ๓ ปีครึ่งเลย แล้วก็รับวันละ ๔,๐๐๐ บาท แต่อาตมาไม่มีเวลาไปนอนเท่านั้นเอง ฉะนั้น..ไม่ต้องหายามา และไม่ต้องให้คำแนะนำประเภทพักผ่อนมาก ๆ ถ้ามีเวลาพักอาตมาพักทันที ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะว่าเป็นคนหวงเวลามาก เป็นลูกค้าบริษัทประกันที่ยอดเยี่ยมมาก ส่งเบี้ยประกันตรงเวลาไม่เคยขาด ป่วยให้ตายก็ไม่มีเวลาไปใช้"

เถรี
31-01-2014, 11:57
พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีฝรั่งวางแผนปล้นหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร เขาบอกว่าจะเจาะอุโมงค์จากริมแม่น้ำจนถึงใต้องค์พระ แล้วก็เอาสิบล้อไปรอไว้ พอเจาะพื้นแล้ว องค์พระหล่นลงมาที่สิบล้อก็วิ่งลงเรือเลย ตอนนั้นหลวงพ่อทองคำยังอยู่ที่ศาลาหลังเก่า"

เถรี
31-01-2014, 12:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายท่านคงจะเกรงปัญหาที่กรุงเทพ ฯ ต้องบอกว่าการปิดกรุงเทพของนายหัวเทพเป็นการปิดตัวเอง การปฏิวัติต้องเป็นสัจจะคือความจริงแท้ จึงจะสำเร็จ หากไม่ใช่ความจริงแท้ ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ทางมรรค ๘ หรือทางสายกลาง เป็นความจริงแท้ ในขณะที่สังคมยุคนั้นถือสายสุดโต่ง คือกามสุขัลลิกานุโยค หมกมุ่นอยู่กับเรื่องกิน กาม เกียรติทุกประเภท เชื่อว่าทำเต็มที่แล้วจะเบื่อ หลุดพ้นได้ อีกสายหนึ่งก็หมกมุ่นกับการทรมานตัวเอง เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค เชื่อว่าการทรมานตนทำให้พระเจ้าพอใจ แล้วรับไปอยู่กับปรมาตมันของพระองค์ เป็นความเชื่อที่ฝังหัว ฝังลึกมาหลายพันปี

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ความจริงแท้ในอริยสัจ จะไม่สามารถปฏิวัติความเชื่อของเขาได้ แต่สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้อริยสัจ คือความเป็นจริงแท้ พอบอกกล่าวไป บุคคลที่มีปัญญาได้ยิน ก็จะฉุกใจคิด เมื่อปฏิบัติตามก็จะได้ผลตามภูมิธรรมของตัวเอง ลองมานึกถึงว่า ถ้าสังคมวุ่นวายบรรลัยโลกอย่างปัจจุบัน แล้วอยู่ ๆ มีคนไปชี้แนวทางสันติ บุคคลนั้นต้องเป็นคนที่กล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง แม่นประเด็นเป็นอย่างยิ่ง และชัดเจนกับแนวทางเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าชัดเจนขนาดไหน ? ชัดเจนขนาดที่ใช้ได้ผลกับตัวเอง

ตั้งแต่ก้าวแรกที่พระพุทธเจ้าออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม พระองค์ท่านก็แลกด้วยชีวิตและเกียรติยศทั้งปวง ยอมสละฐานันดรกษัตริย์ ทั้งที่อีกไม่กี่วันความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะมาถึง ยอมโกนผมที่ทางพราหมณ์เขาถือว่าเป็นเครื่องหมายของบุคคลชั้นสูง กลายเป็นคนผมสั้นหรือไม่มีผม หรือกาลกิณีในความรู้สึกของคนทั่วไป

ความรู้สึกเหล่านี้ฝังรากลึกมาเป็นพัน ๆ ปี ที่พระองค์ท่านยอมลงทุนขนาดนั้น เพราะว่าถอยไม่ได้ ถ้าถอยแม้แต่ก้าวเดียว ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนแสวงหา จึงต้องแลกด้วยเกียรติยศและฐานันดรศักดิ์ที่ตนมีอยู่ ทำตัวเป็นบุคคลที่ต่ำติดดิน ในระดับชั้นที่ไม่มีใครคบหาด้วยเลย พระองค์ยอมแลกด้วยของเหล่านั้น จึงประสบความสำเร็จ ทำให้พระองค์ท่านกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า บุคคลพึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละทั้งทรัพย์ อวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม

เมื่อท่านประสบความสำเร็จกลับมา ยังต้องประกอบไปด้วยความแกล้วกล้า ความกล้านี่ต้องกล้าเกินคน เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านบอกกล่าวคัดค้านกับความเชื่อทั้งปวง ไม่มีอะไรเหมือนของเก่าเลยแม้แต่นิดเดียว โอวาทปาฏิโมกข์ของพระองค์ถึงได้กล่าวว่า ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติคือความอดทนจัดเป็นตบะอย่างยิ่งในศาสนานี้ เพราะในลัทธิอื่น ศาสนาอื่น ความเชื่ออื่น เขาเชื่อว่า การทรมานตนคือการบำเพ็ญตบะ"

เถรี
31-01-2014, 18:55
"อุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา คือ ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติ คือความอดทน จัดเป็นตบะอย่างยิ่งในศาสนาพุทธ นิพพานัง ปรมัง วะทันติ พุทธา พระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กล่าวถึง นะ หิ ปัพพชิโต ปะรูปะฆาตี ถ้ายังฆ่าผู้อื่นอยู่ไม่ถือว่าเป็นบรรพชิต เพราะว่าศาสนาอื่นโดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์ มีการบวงสรวง บูชายัญ ฆ่าสัตว์ทีละเป็นร้อย ๆ ถ้าระดับเศรษฐีหรือพระมหากษัตริย์ อาจจะถึงระดับฆ่าคนเพื่อบูชายัญด้วย

สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต ถ้ายังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ถือว่าเป็นสมณะ เพราะถือว่าผู้มีบาปอันลอยแล้ว เท่ากับตบหน้าศาสนาอื่นเขาเต็ม ๆ เลย ว่าศาสนาของเขานั้นไม่ได้เรื่อง

ในเมื่อทำอย่างนั้น ถ้าศาสนาอื่นเขาไม่มีปัญญา ไม่มีความเลื่อมใส จะกลายเป็นการสร้างศัตรูทั้งประเทศในทันทีทันใดเลย ถึงได้ว่าการประกาศศาสนาของพระองค์ท่าน ต้องอาศัยความแกล้วกล้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ความกล้าธรรมดา แต่เป็นความกล้าชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ต่อให้มั่นคงมั่นใจว่า ในความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ท่าน ไม่มีใครสามารถทำร้ายพระองค์ท่านให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่กว่าจะมั่นใจได้ขนาดนั้น พระองค์ท่านต้องแลกด้วยการบำเพ็ญบารมีต่ำสุดก็ ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป ในเมื่อสิ่งที่พระองค์ท่านกล่าวมาเป็นความเป็นจริง เป็นสัจธรรม จึงสามารถปฏิวัติความเชื่อของคนส่วนใหญ่ได้

แต่การประกาศชัตดาวน์กรุงเทพ ไม่ใช่สัจธรรม ประเทศของเราหลักการที่ชัดเจนที่สุดคือ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้แต่องค์พระมหากษัตริย์ ก็อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แล้วใครที่บังอาจทำตนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ก็แปลว่าผู้นั้นกำลังหาความแตกดับใส่ตัวเอง เป็นที่น่าเสียดายว่าพรรคการเมืองที่ยึดแนวทางระบอบประชาธิปไตยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า ๖๐ ปี อยู่ ๆ ก็ออกทะเลไปสนับสนุนการปกครองนอกระบบ"

เถรี
31-01-2014, 19:19
"เมื่อวานได้กล่าวถึงองค์การยูเนสโกที่กล่าวว่า หลักการศึกษาของโลกนั้นควรจะศึกษาอยู่ใน ๔ ลักษณะ คือ

๑. Learning to know เรียนแล้วต้องรู้ ไม่ใช่สักแต่ว่าเรียนให้จบ เมื่อเรียนแล้วต้องรู้ ก็แปลว่าต้องเอาความรู้ไปใช้งานได้ เขาถึงได้กำหนดหลักการที่สองว่า

๒. Learning to do ซึ่งสมัยนี้บอกว่าเอาวิชาการไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง

๓. Learning to live together ส่วนใหญ่แล้วไปไม่ค่อยถึงตรงนั้น เรียนรู้แล้วต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข ในปัจจุบันนี้ที่บ้านเราวุ่นวาย เพราะส่วนใหญ่บรรดาคนที่ถือว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูง เป็นคนชั้นมันสมอง ศึกษาหาความรู้จากต่างประเทศมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเคยเป็นผู้ที่ชี้แนวทาง ชี้นำการปกครองประเทศ รู้สึกว่าสถานภาพของตนเองกำลังสั่นคลอน

เนื่องจากชาวไร่ชาวนาตระหนักในสิทธิของตนเอง ว่าถึงเวลาแล้วต่างคนต่างมี ๑ คน ๑ เสียงเท่ากัน ในเมื่อคนพวกนี้รู้สึกว่าตนเองโดนสั่นคลอนสถานภาพ ด้วยความที่รักตัวเอง ยึดตัวเองเป็นใหญ่ มีอัตตาสูง ที่ภาษาอังกฤษเขาว่าอีโก้ ก็ต้องหาทางรักษาสถานภาพของตัวเอง ด้วยการสนับสนุนการใช้กำลังนอกระบบในการปกครองประเทศ

จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก ไม่ได้สงสารบุคคลเหล่านั้น แต่สงสารประชาชนทั้งประเทศ ที่ประชาชนทั้งประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและหลายช่องทาง แต่ข้อมูลทั้งหมดไม่มีความจริงแท้เลย เป็นความจริงเพียงส่วนเดียวที่เขาแสดงออกเพื่อประโยชน์ทางฝ่ายเขาเท่านั้น ก็เลยทำให้ประชาชนจำนวนมากโดนแหกตาทั้งประเทศ คิดว่าตนกำลังปกป้องในหลวง หารู้ไม่ว่าโดนใช้เป็นบันไดเหยียบขึ้นไปสู่เป้าหมายที่เขาต้องการ

อาตมาเคยถามบางคนว่า คุณไปสนับสนุนเขา อาตมาไม่ว่าหรอก อยากจะบอกว่าอายุขนาดคุณเคยผ่านเหตุการณ์มาหมดแล้ว ทั้งช่วง ๑๔ ตุลา ๑๖ ช่วง ๖ ตุลา ๑๙ ช่วง เมษา ๒๔ ช่วง พฤษภา ๓๕ ตลอดจนกระทั่งปฏิวัติรัฐประหาร กันยายน ๔๙ คุณเคยเห็นนักการเมืองตายตอนประท้วงบ้างไหม ? มีแต่พวกคุณนั่นแหละที่ไปตาย ขนาดนี้ยังไม่มีปัญญาพอ ยังหูหนวกตาบอด ไปสนับสนุนให้บ้านเมืองวุ่นวาย ถ้าคุณรักและอยากปกป้องในหลวง ก็นอนอยู่กับบ้าน ถ้าหากบ้านเมืองไม่วุ่นวาย ในหลวงจะสบายพระทัยที่สุด

ในเมื่อหลักการของยูเนสโกคือ Learning to live together เรียนรู้แล้วต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขได้ แล้วขนาดพวกจบปริญญาเอกจากต่างประเทศ มีอำนาจในการชี้นำ ยังไม่สามารถเรียนรู้แล้วอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขได้ แล้วคนระดับไหนถึงจะทำได้ ฉะนั้น..ก็ป่วยการที่จะกล่าวถึงระดับสุดท้ายคือ

๔. Learning to be เรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพราะไม่มีทางที่จะเข้าถึงได้

เถรี
31-01-2014, 19:20
"การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มีอย่างเดียวคือการเป็นพระอริยเจ้า ถ้าจะให้สมบูรณ์จริง ๆ คือต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ซึ่งไม่มีหลักการเรียนรู้ในโลกชนิดไหนที่ทำให้เป็นได้ ยกเว้นหลักการในพุทธศาสนานี้เท่านั้น ดังนั้น..ในปัจจุบันส่วนที่ต้องใช้ให้มากที่สุดคือสติสัมปชัญญะ หัดตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้ววิเคราะห์ว่าสาเหตุมาจากอะไร แล้วจะรู้ว่าที่วุ่นวายฉิบหายวายป่วงอยู่ทุกวันนี้ มีแต่คนที่ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น โดยเอาประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวประกัน และที่สำคัญที่สุด คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันคือในหลวง

ถ้าอยากช่วยในหลวงจริง ๆ คือต้องให้ในหลวงพ้นจากสภาพตัวประกัน ก็คือด้วยการอย่าสนับสนุน อย่าลืมว่าความบริสุทธิ์ยุติธรรมที่แท้จริงในโลกนี้ไม่มีในความรู้สึกของคน ขอใช้คำว่าความรู้สึกของคน เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้คนทุกคนพอใจได้เท่ากัน ประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตยก็มีพรรคฝ่ายค้าน แต่เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น ก็คือศึกษาแล้วไปใช้อย่างมีคุณภาพ

เรียนแล้วต้องรู้ เขาเรียกว่าศึกษาอย่างมีสมรรถภาพ เมื่อเรียนรู้แล้วสามารถนำไปใช้งานได้จริง คือศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เรียนรู้แล้วอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุข คือการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ดังนั้น..พรรคฝ่ายค้านของเขาจะอดทนอดกลั้น นำเสนอแนวทางของตนไป จนกว่าคนเขาจะเห็นประโยชน์ แล้วมาเลือกฝ่ายของตน นั่นคือการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น เคารพเสียงส่วนใหญ่ว่าเขาต้องการอย่างไร

บางขณะของสหรัฐ พรรครีพับลิกันครองตำแหน่งประธานาธิบดีต่อเนื่องกันทีหลาย ๆ สมัย ๒๐ - ๓๐ ปี แต่พรรคเดโมแครตก็อดทนอดกลั้น พยายามเสนอแนวทางของตนที่เห็นว่าชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหลักการไม่ใช่หลักกู และท้ายสุดพอประชาชนเห็นด้วยก็หันมาเลือกเขาเอง"

เถรี
31-01-2014, 19:23
"ขณะเดียวกัน..พรรคที่ครองอำนาจอยู่ ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับบุคคลอื่นอย่างมีคุณภาพ ก็คือให้เกียรติฝ่ายค้าน ไม่เห็นว่าเสียงส่วนน้อยเป็นเรื่องไร้สาระ พยายามให้ความสำคัญ ประเทศชาติของเขาถึงเป็นอารยประเทศ ประเทศที่เจริญแล้ว แต่บ้านเราไม่มีตรงจุดนี้ ประเทศอังกฤษต้นแบบประชาธิปไตย แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญยังไม่มี แต่ทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องทำหน้าที่อย่างไร เป็นสิ่งที่จารึกอยู่ในใจของชาวบ้านทุกคน ว่าตนเองต้องทำอย่างไร กลายเป็นว่า คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม อยู่ในจิตในใจของแต่ละคนเอง

บางทีเราอาจจะแยกแยะไม่ออกว่า ๓ ตัวนี้ต่างกันอย่างไร ศีลธรรมจะเป็นตัวเริ่มต้น ศีลคือข้อห้าม ธรรมคือข้อควรปฏิบัติ ในเมื่อพยายามที่จะละเว้นในสิ่งที่ไม่ดี ทำในสิ่งที่ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อทำไป ๆ กลายเป็นความดีเฉพาะตัว เรียกว่าคุณธรรม เมื่อกลายเป็นความดีประจำตัว กาย วาจา ใจ ของเขาที่แสดงออก ก็จะอยู่ในกรอบของศีลของธรรม จึงกลายเป็นจริยธรรม คือความดีที่เป็นแบบอย่างให้คนอื่นเขาเลียนแบบ หรือปฏิบัติตามได้ ดังนั้น..ทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ศีลธรรม เมื่อศีลธรรมทรงตัวเป็นคุณธรรมประจำใจ การปฏิบัติของตนเองก็จะกลายเป็นจริยธรรม คือแบบอย่างให้คนอื่นทำ

คนอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไหม ? พรรคฝ่ายค้านกับพรรครัฐบาลทำงานร่วมกัน เมื่อมีรัฐบาลก็มีรัฐบาลเงา มีนายกรัฐมนตรี ก็มีนายกรัฐมนตรีเงา มีรัฐมนตรีก็มีรัฐมนตรีเงา ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกัน ถึงเวลาประชุมร่วมกัน พรรคฝ่ายค้านมีแนวคิดที่ดี รัฐบาลก็รับไปทำ แต่ให้เครดิตว่าเป็นความคิดของพรรคฝ่ายค้าน ถ้ารัฐบาลมีอันเป็นไป ฝ่ายค้านสามารถเป็นรัฐบาลได้โดยไม่มีอะไรสะดุดเลย เพราะว่าเรียนรู้ระบอบที่รัฐบาลทำอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว นั่นแหละ..ถึงจะเป็นต้นแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง บ้านเราเกือบจะก้าวถึงแล้ว"

เถรี
31-01-2014, 19:27
"ความงดงามในการหาเสียง เชิดชูนโยบาย ไม่โจมตีข้อผิดพลาดของคนอื่น ปรากฏให้เห็นในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครที่ผ่านมา พล.ต.อ. ดร.พงศพัศ จบปริญญาเอกจากต่างประเทศ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นเชื้อพระวงศ์ ต่างฝ่ายต่างเล่นเกมกันอย่างสุภาพบุรุษ แต่พอถึงระยะท้าย ๆ สักอาทิตย์กว่า เมื่อพรรคหนึ่งเห็นว่าจะแพ้ก็ไปกลับไปใช้วิชามารเหมือนเดิม ความงดงามที่เราจะพึงเห็นได้ จากการต่อสู้กันแบบสุภาพบุรุษก็หมดไป ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ถ้าเป็นคำโบราณเขาเรียกว่า เขียนด้วยมือ ลบด้วยตีน..!

ในเมื่อมีตัวอย่าง ตั้งแต่การเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทยชูนโยบายแก้ไข ไม่แก้แค้น ใครว่าอะไรไม่เถียงด้วย แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็อยู่ในลักษณะเดิม คืออดทนอดกลั้นทุกอย่าง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นต้นแบบที่คนเขาเห็นดีเห็นงามแล้วปฏิบัติตาม ถ้าสามารถทำถึงในลักษณะสุดท้าย โดยเอาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือมรรค ๘ หรือไตรสิกขามาปฏิบัติ จะค่อย ๆ ก้าวสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถึงเวลานั้นความเห็นแก่ตัวจะเหลือน้อยมาก จะเอาส่วนรวมเป็นใหญ่ นั่นถึงจะเป็นการศึกษาเพื่อสันติภาพอย่างแท้จริงอย่างที่ยูเนสโกต้องการ ซึ่งศาสนาอื่นไม่มี และคาดว่ายูเนสโกก็คงจะกำหนดขึ้นจากหลักธรรมในศาสนาพุทธนี่แหละ เพราะเขาประกาศยกย่องพุทธศาสนา เป็นศาสนาเพื่อสันติภาพของโลก

นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้ละอคติที่บังตาเสีย ให้ละมายาคติที่ปกปิดสายตา ปกปิดปัญญาของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเราจะรับข่าวสารเฉพาะส่วนที่ชอบใจ ไม่สามารถรับในส่วนที่เราไม่ชอบใจได้ แล้วเราก็จะโดนหลอกลวงด้วยข่าวสารที่บอกความจริงไม่หมด ทั้ง ๆ ที่เราอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ สามารถเข้าถึงข่าวสารได้อย่างง่ายดาย แต่กลายเป็นว่าเข้าถึงความจริงไม่ได้สักที

อยากให้ประเทศชาติของเราดี ก็ต้องเปิดใจให้บ้าง ยอมลำบากบ้าง ยอมกัดฟันกลืนเลือดตัวเองบ้าง รอโอกาสที่เป็นทีของตนบ้าง ถ้าทำอย่างนั้นได้บ้านเมืองก็จะไปรอด ถ้าทำไม่ได้ก็เหมือนลักษณะไล่หมาให้จนตรอก ถึงเวลาโดนหมากัดเอาบ้าง เราจะไปโทษหมาไม่ได้ ฉะนั้น..ขอให้ทุกคนดูว่าในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าไปช่วยกันสุมฟืนใส่ไฟเผาประเทศของเราเลย"

เถรี
01-02-2014, 13:20
"บ้านเมืองเราเคยเป็นเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย ในยุครัฐบาลน้าชาติ เราแค่วิ่งตามหลัง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงค์โปร์ ในอาเซียนทั้งหมดนอกจากสิงค์โปร์ที่เป็นอันดับ ๑ ของโลกในปัจจุบันนี้แล้ว เราไม่ได้ล้าหลังใคร แต่ปัจจุบันนี้เราเป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียนแล้ว ก็เพราะการอยู่อย่างปราศจากสติสัมปชัญญะ การอยู่อย่างไม่ยอมเปิดใจให้กว้าง รับเอาแต่ส่วนที่ตัวเองชอบใจ ไม่ยอมรับในส่วนที่ตัวเองไม่ชอบใจ ก็เลยเป็นเรื่องลำบากที่จะแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองของเรา

ถ้าเราขาดสติเมื่อไร จะขาดหลักยึด ในเมื่อขาดหลักยึด จะขาดความยุติธรรม ที่ขาดความยุติธรรม เพราะเราไปทิ้งหลักการ จำให้แม่น ๆ ว่าหลักการบ้านเราคือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ใช่ไอ้บ้าที่ไหนนำพวกเราไปประท้วงปิดประเทศฯ จนกลายเป็นล้าหลังคลั่งชาติ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขาทำก็เพื่อเอาตัวรอดจากกฎหมายที่รัดตัวเข้ามาทุกวัน

ลองเอาสิ่งที่อาตมาพูดไปค่อย ๆ พิจารณากันดู แล้วจะเห็นว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองของเราเกิดจากคนไม่กี่คน แล้วคนทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ได้มาตายกับคุณหรอก อาตมาเห็นเหตุการณ์พฤษภาคม ๓๕ ชัดเจนที่สุด ทันทีที่หน่วยทหารจู่โจมเข้าไป พลตรีจำลอง ศรีเมือง ยกมือยอมแพ้เป็นคนแรก ตกลงคนที่ตายก็เป็นชาวบ้าน ขอยืนยันว่าไม่มีนักการเมืองตายในตอนนำการประท้วง เรือตรีฉลาด วรฉัตร อดข้าวประท้วง ยอมตาย ๆ มาเป็นสิบครั้งแล้ว เคยตายสักทีไหม ?"

เถรี
01-02-2014, 13:35
มีการร่วมกันกราบขอขมาขอขมาพระอาจารย์เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่
"เนื่องในวารดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๗ ญาติโยมทั้งหลายก็ได้พร้อมจิตพร้อมใจกันกระทำสามีจิกรรม ก็คือการขอขมาต่อพระรัตนตรัย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นความประพฤติที่จักควรได้กระทำอยู่บ่อย ๆ เพราะว่าตัวพวกเราทั้งหลายนั้นมีสติไม่สมบูรณ์ ก็อาจจะมีการล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ โดยที่รู้เท่าถึงการณ์หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนั้น กรรมที่เราปรามาสพระรัตนตรัย ก็จะกลายเป็นตัวปิดกั้นมรรคผลของเรา ทำให้เข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า จึงควรจะมีการกราบขอขมาพระรัตนตรัยอยู่บ่อย ๆ

ถ้าตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ก็คือ ทุกครั้งที่เราจะสวดมนต์ไหว้พระหรือเจริญกรรมฐาน ให้ขอขมาพระรัตนตรัยไว้ก่อน เพื่อเราจะได้เข้าถึงธรรมในส่วนที่เราจะพึงปรารถนาได้

สำหรับในปี ๒๕๕๗ ของเรา เป็นปีที่ชะตากรรมของประเทศเราสะดุดติดขัดอยู่เล็กน้อย แต่ว่าด้วยอำนาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัยก็ดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ตลอดจนพระสยามเทวาธิราชที่ท่านปกปักรักษา เรื่องร้ายทั้งหลายก็จะกลับกลายเป็นดี โดยเฉพาะพวกเราที่ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาระดับเข้มข้น ก็ขอให้พวกเราตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่พวกเราได้กระทำนี้ แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนกระทั่งเทพเจ้าที่ปกปักรักษาตัวเรา เทพเจ้าที่รักษาศาลหลักเมืองทุกแห่ง พระสยามเทวาธิราชทุก ๆ พระองค์ เพื่อที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จะได้มีกำลังในการที่จะช่วยประคับประคองสถานการณ์ ให้ผ่านจากช่วงเลวร้ายไป และกลับกลายเป็นดี มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสืบ ๆกันต่อไป

ท้ายสุดนี้อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ เป็นประธาน มีบารมีของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด ขอได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย ประสบความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผลไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดจนปฏิภาณและธนสารสมบัติอันเป็นที่พึงใจทั้งปวง หากประสงค์จำนงหมายสิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอความประสงค์จำนงหมายของท่าน จงพลันสำเร็จทุกประการด้วยเทอญ"

เถรี
01-02-2014, 13:37
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาญาติโยมทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองแล้ว เขาก็จะหล่อพระเงินประจำตระกูลของตัวเอง แต่ละองค์ก็หนักหลายกิโลกรัมอยู่ นั่นขนาดสมัยก่อนนะ ใช้เงินแท้ทั้งองค์เลย โดยเฉพาะทางด้านพ่อค้าหรือบรรดาพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของทางเหนือ ถึงเวลาร่ำรวยขึ้นมาเขาก็หล่อพระประจำตระกูล คราวนี้ถ้าหากทำเป็นเงินทั้งองค์ไม่ได้เขาก็ทำเป็นพระบุเงิน บุทอง คือตีเงินตีทองแล้วก็หุ้มองค์พระแทน"

เถรี
01-02-2014, 15:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องอ่านหนังสือ เพื่อน ๆ เขาสงสัยว่าเอาเวลาที่ไหนมาอ่าน อาตมาก็บอกว่า “อ่านก่อนนอน อ่านตื่นนอน อ่านบนรถ” เพื่อนเขาบอกว่า ก่อนนอนกับตื่นนอนยังพอทำตามได้ แต่อ่านบนรถทำตามไม่ได้ อ่านทีไรเมารถทุกทีเลย

การอ่านหนังสือบนรถ ถ้าสมาธิเราอยู่ที่เดียว สายตาจะไม่เห็นอย่างอื่นแล้วจะไม่เมารถ ถ้าสมาธิไม่ได้อยู่ที่เดียว เราจะเห็นภาพวูบวาบ ๆ ข้าง ๆ แล้วจะเมารถ"

เถรี
02-02-2014, 12:13
พระอาจารย์เล่าว่า "มีพระอรหันต์อยู่องค์หนึ่ง เกิดขึ้นในยุคสมัยแรก ๆ เลย หลังปัญจวัคคีย์ ก่อนพระยสะเถระ ก็ต้องบอกว่าถ้านับแล้วก็เป็นหนึ่งใน ๖๑ พระอรหันต์องค์แรกของโลก แต่ว่าอายุท่านสั้นมาก ก็เลยไม่ได้ออกประกาศพุทธศาสนา

เมื่อครั้งที่ท่านกาฬเทวิลดาบส หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อสิตดาบสจำพรรษาอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นั่นฤๅษีนะ..ไปนอนดาวดึงส์เล่น ไปทั้งตัวด้วย ก็ได้ยินเทพบุตรเทพธิดาส่งเสียงสาธุการจนกระทั่งโลกธาตุสะเทือน สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สอบถามแล้วก็รู้ว่าองค์มหาสัตว์เกิดขึ้นแล้วในโลก กาฬเทวิลดาบสก็รีบลงจากดาวดึงส์มา เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะ ขอดูพระราชกุมารที่เพิ่งประสูติ พอเห็นมหาปุริสสลักขณะครบถ้วน ก็ทั้งหัวเราะและร้องไห้

พระเจ้าสุทโธทนะก็ถามในฐานะคนคุ้นเคยว่า ทำไมหัวเราะแล้วก็ร้องไห้ด้วย ? ท่านบอกว่าดีใจที่มีชีวิตอยู่ทันได้เห็นพระมหาสัตว์มากำเนิด และจะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ แต่ที่ร้องไห้เพราะว่าตัวเองแก่เกินไปแล้ว กว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จออกบวชและตรัสรู้ ตนก็คงจะตายไปเสียก่อน กาฬเทวิลดาบสก็เลยไปแจ้งให้หลานชายชื่อนาลกะ บอกว่าให้บวชเป็นดาบสไว้ ถ้าพระมหาสัตว์เสด็จออกบวชและบรรลุธรรมเมื่อไร ให้มาขอฟังธรรม

ท่านนาลกะเป็นคนฉลาดมาก ถามว่าทำอย่างไรถึงจะบวชแล้วได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า กาฬเทวิลดาบสจึงสอนหลานว่า ให้ตั้งใจว่าการบวชนี้อุทิศเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ในเมื่อกำลังใจมุ่งตรงอย่างนั้นเท่ากับฝากตัวเป็นสาวกตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์บรรลุอรหัตผล ก็จำพรรษาอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน นาลกดาบสมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามโมเนยยปฏิปทา คือปฏิปทาการเข้าถึงความเป็นมุนีคือพระผู้ประเสริฐเป็นอย่างไร ? พระพุทธเจ้าท่านก็แสดงโมเนยยปฏิปทาให้ มีทั้งกาย วาจาแล้วใจ ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นต้น"

เถรี
02-02-2014, 12:20
"พระนาลกะฟังเทศน์แล้วเข้าป่าเลย คนโบราณเขาทำกันอย่างนั้น ฟังทีเดียวพอเลย รู้หลักว่าปฏิบัติอย่างไรแล้ว ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าท่านบิณฑบาตจากบ้านสู่บ้าน อยู่อาศัยจากโคนไม้สู่โคนไม้ แปลว่าไม่เคยอยู่ซ้ำที่เลย บิณฑบาตจากหมู่บ้านนี้ ฉันเสร็จก็หลบไปหาที่เหมาะแก่การปฏิบัติใต้ร่มไม้ ถึงเวลาเดินต่อไปบิณฑบาตอีกหมู่บ้านหนึ่ง

เมื่อปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ ไม่กี่วันก็บรรลุอรหัตผล แต่ท่านพิจารณาดูแล้ว ปรากฏว่างานอื่นไม่มี ในเมื่อบรรลุแล้วงานอื่นไม่มี ก็เลยส่งจิตไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เสร็จแล้วพนมมือยืนมรณภาพ ท่านก็เลยเป็นพระอรหันต์รุ่นแรก ถามว่าเป็นรุ่นแรกขนาดไหน ? ก็ตามหลังปัญจวัคคีย์ติดเลย แต่ไม่ได้มีบทบาทในพุทธศาสนา นอกจากเป็นเนตติ คือแบบอย่างที่วางเอาไว้ ให้เห็นถึงความมักน้อย สันโดษ เอาจริงเอาจัง

โดยเฉพาะเขาใช้คำว่า มีความปรารถนาน้อยในคำถาม มั่นใจว่าทำไปเถอะ ถ้าหลักการถูกต้องอย่างไรก็ต้องได้ผลแน่ ไม่เสียเวลามาถามเลย ลุยยาวตั้งแต่ต้นยันจบม้วนเดียว แล้วท่านก็เข้าพระนิพพาน ก็ต้องบอกว่าเป็นบุญของโลกที่มีพระอรหันต์ไปพระนิพพานตั้งแต่แรก ๆ ขณะเดียวกันก็เป็นแบบอย่างที่คนอื่นจะได้ดูปฏิปทาของท่านด้วย

ไม่ห่วงอาลัยที่อยู่ มักน้อย สันโดษ ไม่ติดข้องด้วยตระกูล บิณฑบาตจากบ้านนี้ รุ่งขึ้นก็อีกหมู่บ้านหนึ่ง รุ่งขึ้นก็อีกหมู่บ้านหนึ่ง ไม่อยู่ซ้ำที่ พักโคนไม้ต้นนี้ คืนถัดไปก็ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง คืนถัดไปก็อีกต้นหนึ่ง

ฉะนั้น..สิ่งที่ท่านทำ ตรงกับหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการเลย ที่ว่าปฏิบัติไปแล้วต้องประกอบด้วย อัปปิจฉตา เป็นผู้มักน้อย สันตุฏฐิตา เป็นผู้สันโดษ สัลเลขตา เป็นผู้ตั้งหน้าขัดเกลากาย วาจา ใจของตน ปวิเวกตา หลีกออกจากหมู่ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ

จะเห็นว่าท่านเองทำตรงหลักการทุกอย่าง ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ได้บัญญัติหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ในช่วงนั้น บาลีบอกว่าพอท่านนิพพาน พระพุทธเจ้าเสด็จไปทำการฌาปนกิจให้ หายากนะ..เสร็จแล้วก็ก่อสถูปบรรจุอัฐิเอาไว้ให้ ถ้านึกถึงพระอรหันต์ที่ไปพระนิพพานเป็นองค์แรกในพระพุทธศาสนาของเรายุคนี้ ต้องนึกถึงพระนาลกเถระที่เป็นหลานของอสิตดาบสหรือกาฬเทวิลดาบส"

เถรี
02-02-2014, 12:21
:4672615:เก็บตกเดือนมกราคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน