เถรี
05-01-2014, 19:33
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตนเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ให้ใช้คำภาวนาที่เรามีความถนัดมาแต่ดั้งเดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติต้นเดือนครั้งสุดท้ายและวันสุดท้ายของปี ๒๕๕๖ นี้ ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ญาติโยมทั้งหลายก็ยังมาปฏิบัติธรรมกันมาก ถือว่าท่านทั้งหลายมีกำลังใจที่จะประพฤติปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในระดับที่ยอมมอบกายถวายชีวิต ดังที่เราได้ปฏิญาณในตอนสมาทานพระกรรมฐานจริง ๆ
ในสถานการณ์แบบนี้เราย่อมต้องมีความห่วง ความกังวลเป็นธรรมดา อย่างเช่นว่าการเดินทางกลับจากที่นี้จะมีความสะดวกหรือไม่ ? จะมีความปลอดภัยหรือไม่ ? เรือนชานบ้านช่องของเราตอนนี้เป็นอย่างไร ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้ทิ้งให้หมด ท่านใช้คำว่า ปลิโพธะ หรือเรียกง่าย ๆ ปลิโพธิ คือความกังวลในเรื่องอื่น ๆ ตัดออกจากใจของเราเสีย เรื่องที่ยังมาไม่ถึงเป็นอนาคต คิดไปก็ไร้ประโยชน์ เรื่องที่ผ่านมาแล้วเป็นอดีต คิดไปก็ไร้ประโยชน์ เราต้องทำปัจจุบันของเรา คือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ให้ดีที่สุด
เมื่อตัดความกังวลออกจากใจแล้ว ก็ให้พิจารณาดูว่า ตอนนี้กำลังใจของเรามีนิวรณ์ คือกิเลสหยาบที่กั้นไม่ให้เข้าถึงความดีทั้ง ๕ อย่างอยู่หรือไม่ ? ถ้านิวรณ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่ แสดงว่าสภาพจิตของเราไร้คุณภาพ ถ้าไม่มีนิวรณ์ ๕ ก็แสดงว่าสภาพจิตของเราอย่างน้อยก็ทรงตัวอยู่ในระดับดี
นิวรณ์ทั้ง ๕ ได้แก่ กามฉันทะ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ เป็นต้น ถ้าจิตไปประหวัดถึงเมื่อไร แปลว่าคุณภาพของใจเราเสียไปแล้ว พยาบาท ความนึกโกรธเกลียดอาฆาตผู้อื่น อย่างเช่นว่าบรรดาผู้ที่มาเดินขบวนประท้วงรัฐบาลทำให้รถติด ทำให้เราต้องเดือดร้อน แล้วไปโกรธเกลียดอาฆาตแค้นเขา ถ้ามีอย่างนี้อยู่แสดงว่านิวรณ์ ๕ ครองใจเราอย่างเต็มที่ ต้องรีบขับไล่ออกไปเสีย
ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนตลอดจนกระทั่งความขี้เกียจปฏิบัติ อย่าให้มีขึ้นในใจของเราได้ อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านหงุดหงิดรำคาญใจ ถ้ามีอยู่ในใจของเรา อารมณ์ไม่สามารถที่จะทรงตัวเป็นสมาธิระดับสูงขึ้นไปได้ และข้อสุดท้ายคือวิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยก็ดี ลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องขับไล่ออกจากใจเราเสียให้หมด
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติต้นเดือนครั้งสุดท้ายและวันสุดท้ายของปี ๒๕๕๖ นี้ ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ญาติโยมทั้งหลายก็ยังมาปฏิบัติธรรมกันมาก ถือว่าท่านทั้งหลายมีกำลังใจที่จะประพฤติปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในระดับที่ยอมมอบกายถวายชีวิต ดังที่เราได้ปฏิญาณในตอนสมาทานพระกรรมฐานจริง ๆ
ในสถานการณ์แบบนี้เราย่อมต้องมีความห่วง ความกังวลเป็นธรรมดา อย่างเช่นว่าการเดินทางกลับจากที่นี้จะมีความสะดวกหรือไม่ ? จะมีความปลอดภัยหรือไม่ ? เรือนชานบ้านช่องของเราตอนนี้เป็นอย่างไร ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้ทิ้งให้หมด ท่านใช้คำว่า ปลิโพธะ หรือเรียกง่าย ๆ ปลิโพธิ คือความกังวลในเรื่องอื่น ๆ ตัดออกจากใจของเราเสีย เรื่องที่ยังมาไม่ถึงเป็นอนาคต คิดไปก็ไร้ประโยชน์ เรื่องที่ผ่านมาแล้วเป็นอดีต คิดไปก็ไร้ประโยชน์ เราต้องทำปัจจุบันของเรา คือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ให้ดีที่สุด
เมื่อตัดความกังวลออกจากใจแล้ว ก็ให้พิจารณาดูว่า ตอนนี้กำลังใจของเรามีนิวรณ์ คือกิเลสหยาบที่กั้นไม่ให้เข้าถึงความดีทั้ง ๕ อย่างอยู่หรือไม่ ? ถ้านิวรณ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่ แสดงว่าสภาพจิตของเราไร้คุณภาพ ถ้าไม่มีนิวรณ์ ๕ ก็แสดงว่าสภาพจิตของเราอย่างน้อยก็ทรงตัวอยู่ในระดับดี
นิวรณ์ทั้ง ๕ ได้แก่ กามฉันทะ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ เป็นต้น ถ้าจิตไปประหวัดถึงเมื่อไร แปลว่าคุณภาพของใจเราเสียไปแล้ว พยาบาท ความนึกโกรธเกลียดอาฆาตผู้อื่น อย่างเช่นว่าบรรดาผู้ที่มาเดินขบวนประท้วงรัฐบาลทำให้รถติด ทำให้เราต้องเดือดร้อน แล้วไปโกรธเกลียดอาฆาตแค้นเขา ถ้ามีอย่างนี้อยู่แสดงว่านิวรณ์ ๕ ครองใจเราอย่างเต็มที่ ต้องรีบขับไล่ออกไปเสีย
ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนตลอดจนกระทั่งความขี้เกียจปฏิบัติ อย่าให้มีขึ้นในใจของเราได้ อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านหงุดหงิดรำคาญใจ ถ้ามีอยู่ในใจของเรา อารมณ์ไม่สามารถที่จะทรงตัวเป็นสมาธิระดับสูงขึ้นไปได้ และข้อสุดท้ายคือวิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยก็ดี ลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องขับไล่ออกจากใจเราเสียให้หมด