เถรี
25-12-2013, 16:23
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า หายใจเข้า..ให้ลมหายใจตลอดจนความรู้สึกไหลเข้าไป ผ่านอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ให้ลมหายใจตลอดจนกระทั่งความรู้สึกทั้งหมด ไหลออกจากท้อง ผ่านอก มาที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นวันที่ม็อบนกหวีดประกาศเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่ทราบว่าจะยึดประเทศ หลายท่านก็อาจจะเกิดความกลัว ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติของปุถุชนทั่ว ๆ ไป เพราะในพระบาลี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า “อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเมตปฺปสุภีนรานํ” อาหาร (อา-หา-ระ) คืออาหาร นิทฺทํ คือการนอน ภย คือการกลัวภัย เมถุน คือการเสพกาม
ท่านบอกว่า สามญฺญ ก็คือเป็นลักษณะปกติทั่วไป เมตปฺปสุภีนรานํ ของคนและสัตว์ทั้งหลาย“ธมฺโม หิ เตสํ อธิโก วิเสโส” ธรรมะจึงทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างออกไปได้ “ธมฺเมน วีณา ปสุภิสมานา” ธรรมจึงเป็นเครื่องจำแนกคนออกจากสัตว์
ดังนั้น..ในสิ่งที่เรากลัวก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้แล้ว แต่คราวนี้การกลัวของเรา ขอให้กลัวอย่างมีสติ ก็คือระลึกรู้อยู่เสมอว่า เกิดมาเมื่อไร สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็คุกคามเรา ทำให้เราต้องหวาดสะดุ้งอยู่เป็นนิจ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเช่นนี้ไม่สมควรจะมีต่อเราอีก เราควรที่จะก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไปสู่พระนิพพานดีกว่า
โดยเฉพาะกำลังใจของเรา อย่าไปตั้งไว้ในความโกรธ ความเกลียดในบรรดาม็อบต่าง ๆ เขาทั้งหลายเหล่านั้นความจริงเป็นผู้ที่น่าสงสารอย่างยิ่ง ขณะที่บุคคลอื่นแสวงหาฝั่งเพื่อความหลุดพ้น เขาทั้งหลายเหล่านั้นนอกจากไม่ทวนกระแสเพื่อขึ้นสู่ฝั่งแล้ว ยังกำลังตะเกียกตะกายตามกระแสของรัก โลภ โกรธ หลง ออกไปสู่ห้วงทะเลทุกข์ที่หาต้นหาปลายไม่ได้ เขาทั้งหลายเหล่านั้นยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับกัปไม่ถ้วน ยังต้องดิ้นรนอยู่ในกองทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน ดังนั้น..เขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงไม่ใช่บุคคลที่น่าโกรธ น่าเกลียด แต่ว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เพราะว่าโดนชักนำด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริงได้
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นวันที่ม็อบนกหวีดประกาศเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่ทราบว่าจะยึดประเทศ หลายท่านก็อาจจะเกิดความกลัว ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติของปุถุชนทั่ว ๆ ไป เพราะในพระบาลี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า “อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเมตปฺปสุภีนรานํ” อาหาร (อา-หา-ระ) คืออาหาร นิทฺทํ คือการนอน ภย คือการกลัวภัย เมถุน คือการเสพกาม
ท่านบอกว่า สามญฺญ ก็คือเป็นลักษณะปกติทั่วไป เมตปฺปสุภีนรานํ ของคนและสัตว์ทั้งหลาย“ธมฺโม หิ เตสํ อธิโก วิเสโส” ธรรมะจึงทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างออกไปได้ “ธมฺเมน วีณา ปสุภิสมานา” ธรรมจึงเป็นเครื่องจำแนกคนออกจากสัตว์
ดังนั้น..ในสิ่งที่เรากลัวก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้แล้ว แต่คราวนี้การกลัวของเรา ขอให้กลัวอย่างมีสติ ก็คือระลึกรู้อยู่เสมอว่า เกิดมาเมื่อไร สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็คุกคามเรา ทำให้เราต้องหวาดสะดุ้งอยู่เป็นนิจ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเช่นนี้ไม่สมควรจะมีต่อเราอีก เราควรที่จะก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไปสู่พระนิพพานดีกว่า
โดยเฉพาะกำลังใจของเรา อย่าไปตั้งไว้ในความโกรธ ความเกลียดในบรรดาม็อบต่าง ๆ เขาทั้งหลายเหล่านั้นความจริงเป็นผู้ที่น่าสงสารอย่างยิ่ง ขณะที่บุคคลอื่นแสวงหาฝั่งเพื่อความหลุดพ้น เขาทั้งหลายเหล่านั้นนอกจากไม่ทวนกระแสเพื่อขึ้นสู่ฝั่งแล้ว ยังกำลังตะเกียกตะกายตามกระแสของรัก โลภ โกรธ หลง ออกไปสู่ห้วงทะเลทุกข์ที่หาต้นหาปลายไม่ได้ เขาทั้งหลายเหล่านั้นยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับกัปไม่ถ้วน ยังต้องดิ้นรนอยู่ในกองทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน ดังนั้น..เขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงไม่ใช่บุคคลที่น่าโกรธ น่าเกลียด แต่ว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เพราะว่าโดนชักนำด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริงได้