เถรี
22-12-2013, 12:48
ให้ทุกคนนั่งในท่าสบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ญาติโยมมาปฏิบัติกรรมฐานกันน้อย เพราะว่ามี "ม็อบนกหวีด" กำลังตามยึดสถานที่ราชการต่าง ๆ กันอยู่ ซึ่งความจริงแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราให้ความสนใจ ก็จะสร้างความเครียดให้เกิดขึ้น เนื่องจากว่าข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่ประดังเข้ามานั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นมุมมองของแต่ละฝ่าย ซึ่งต่างคนก็ต่างเห็นว่าตนเองถูก ถ้าเราให้ความสนใจ ไปมีอารมณ์ร่วมด้วย ก็จะทำให้รัก โลภ โกรธ หลง งอกงามขึ้นมาอย่างน่ากลัว
วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน จมูกได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้นได้รสก็สักแต่ว่าได้รส กายสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส หยุดการครุ่นคิดของใจลง อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ถ้าเป็นดังนี้ เรื่องอื่นก็จะเป็นเรื่องไกลตัว เนื่องจากสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้อย่างไม่รู้จบ ทนทุกข์ทรมานแบบไม่เห็นต้นเห็นปลาย
ดังนั้น..งานใหญ่ที่สุดของเราก็คือ ทำอย่างไรจะให้ก้าวล่วงออกจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ ก็แปลว่าเราต้องมาเร่งปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งย่อลงแล้วก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ทุกคนก็จำเป็นที่จะต้องทบทวนว่า ศีลทุกสิกขาบทของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ดีหรือไม่ ? ถ้าเรารักษาศีลบริสุทธิ์แล้ว เรายังยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีลหรือไม่ ? เมื่อเรารักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล เมื่อได้เห็นว่าผู้อื่นละเมิดศีล เรามีความยินดีด้วยหรือไม่ ?
ถ้าเราระมัดระวังรักษาสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สภาพจิตที่ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะ ก็ย่อมทำให้สมาธิทรงตัวได้ง่าย เมื่อสมาธิทรงตัวแล้ว หน้าที่ของเราก็คือ นำเอากำลังสมาธินั้น ไปพิจารณาตัดกิเลส เนื่องจากว่า ถ้าเราไม่นำกำลังสมาธิไปตัดกิเลส กิเลสคือรัก โลภ โกรธ หลง ก็จะขโมยกำลังสมาธินั้นไปใช้ ทำให้เราฟุ้งซ่านไปใหญ่โต ชนิดรั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ เพราะกิเลสได้กำลังไปแล้วจะแข็งแรงมาก
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ญาติโยมมาปฏิบัติกรรมฐานกันน้อย เพราะว่ามี "ม็อบนกหวีด" กำลังตามยึดสถานที่ราชการต่าง ๆ กันอยู่ ซึ่งความจริงแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราให้ความสนใจ ก็จะสร้างความเครียดให้เกิดขึ้น เนื่องจากว่าข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่ประดังเข้ามานั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นมุมมองของแต่ละฝ่าย ซึ่งต่างคนก็ต่างเห็นว่าตนเองถูก ถ้าเราให้ความสนใจ ไปมีอารมณ์ร่วมด้วย ก็จะทำให้รัก โลภ โกรธ หลง งอกงามขึ้นมาอย่างน่ากลัว
วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน จมูกได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้นได้รสก็สักแต่ว่าได้รส กายสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส หยุดการครุ่นคิดของใจลง อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ถ้าเป็นดังนี้ เรื่องอื่นก็จะเป็นเรื่องไกลตัว เนื่องจากสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้อย่างไม่รู้จบ ทนทุกข์ทรมานแบบไม่เห็นต้นเห็นปลาย
ดังนั้น..งานใหญ่ที่สุดของเราก็คือ ทำอย่างไรจะให้ก้าวล่วงออกจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ ก็แปลว่าเราต้องมาเร่งปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งย่อลงแล้วก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ทุกคนก็จำเป็นที่จะต้องทบทวนว่า ศีลทุกสิกขาบทของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ดีหรือไม่ ? ถ้าเรารักษาศีลบริสุทธิ์แล้ว เรายังยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีลหรือไม่ ? เมื่อเรารักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล เมื่อได้เห็นว่าผู้อื่นละเมิดศีล เรามีความยินดีด้วยหรือไม่ ?
ถ้าเราระมัดระวังรักษาสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สภาพจิตที่ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะ ก็ย่อมทำให้สมาธิทรงตัวได้ง่าย เมื่อสมาธิทรงตัวแล้ว หน้าที่ของเราก็คือ นำเอากำลังสมาธินั้น ไปพิจารณาตัดกิเลส เนื่องจากว่า ถ้าเราไม่นำกำลังสมาธิไปตัดกิเลส กิเลสคือรัก โลภ โกรธ หลง ก็จะขโมยกำลังสมาธินั้นไปใช้ ทำให้เราฟุ้งซ่านไปใหญ่โต ชนิดรั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ เพราะกิเลสได้กำลังไปแล้วจะแข็งแรงมาก