PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖


เถรี
07-11-2013, 17:50
ถาม : ผมอยากจะทราบว่า ถ้าผมปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวา และผมจะอธิษฐานว่า ขอให้ผมเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งได้หรือเปล่าครับ ? หรือว่าเจาะจงไปเลยว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ? แล้วถ้าต้องเจาะจง เกิดมีผู้ที่อธิษฐานเป็นอัครสาวกแบบเดียวกับเรา พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกับเรา ที่มีบารมีพร้อมกับเรา และได้เป็นอัครสาวกแล้ว เราจะได้เป็นอัครสาวกกับพระพุทธเจ้าองค์ใดครับ ?
ตอบ : อธิษฐานเป็นอัครสาวกกับอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้ายุ่งยากพอกัน เอาเป็นพระพุทธเจ้าไปเลยดีไหม ? อธิษฐานขอให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งจะเป็นการสะดวกกว่า ถ้าเจาะจงว่าจะเป็นของพระองค์ใด เกิดมีใครขอไว้ก่อนแล้ว เราก็หลุดลอยไปตามระเบียบ ถ้าเกิดว่าต่างคนต่างขอ ใครทำบุญใหญ่กว่าก็เป็นของคนนั้น

ถาม : ถ้าหลุดแล้วจะเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ไปตะกายหาเอาข้างหน้าแล้วกัน..!

เถรี
07-11-2013, 17:51
ถาม : ถ้ามีคนเอาอาหารจากวัดที่เป็นของสงฆ์มาให้เรา แล้วเราไม่รู้ กินเข้าไปจะมีโทษไหมครับ ? หรือถ้าเรารู้ว่าเขาเอามาจากวัด เราจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดโทษกับตนเองครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้แล้วกินยาพิษเข้าไปจะตายไหมเล่า ? ฉะนั้น..ถ้าหากว่าไม่แน่ใจ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ขอบคุณเป็นอันขาด เชิญคุณเอากลับบ้านไปเองเถอะ..!

เถรี
07-11-2013, 17:51
ถาม : ถ้าเกิดว่าเราติดหนี้สงฆ์ แล้วต้องการชำระหนี้สงฆ์ เราจะชำระหนี้สงฆ์ที่วัดใดก็ได้หรือไม่ครับ ? หรือว่าต้องเจาะจงเฉพาะวัดที่เราติดหนี้สงฆ์วัดเดียว ?
ตอบ : การชำระหนี้สงฆ์จะชำระที่วัดใดก็ได้ ถ้าเขามีตู้ชำระหนี้สงฆ์จะสะดวกที่สุด ก็หยอดตู้ไปเลย แต่ถ้าไม่มีต้องแจ้งพระท่านให้ทราบ ว่าปัจจัยจำนวนนี้เราถวายเพื่อชำระหนี้สงฆ์ แต่ว่าเรื่องของหนี้สงฆ์นั้นเขาคิดในราคาปัจจุบัน ถ้าในอดีตเคยเอาขันน้ำไปจากวัด ๑ ใบราคา ๕ บาท แต่ปัจจุบันราคา ๒๐ บาท เราก็ต้องชำระในราคา ๒๐ บาท

เถรี
07-11-2013, 17:52
ถาม : พระพุทธลีลาประทานพร แกะจากหินเขียวแม่น้ำโขงขนาดสูง ๕ ซม. บูชาด้วยคาถาบทใดครับ ? และพระท่านคือพระพุทธกัสสปะหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บูชาด้วย อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๑๐๘ จบจะดีที่สุด..! ส่วนพระองค์ท่านจะเป็นใครต้องไปทูลถามเอาเอง..!

เถรี
07-11-2013, 17:53
ถาม : การเล่นการพนันเป็นบาปหรือทำให้ตกนรกได้หรือไม่ครับ ? ผมเคยลองถกเถียงเรื่องนี้กับเพื่อน ปรากฏว่าเพื่อนยืนยันว่าการเล่นการพนันเป็นบาป เพราะเหมือนการไปเอาเงินคนอื่น ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์
ตอบ : ไม่ต้องใช้เหตุผล คำว่า บาป แปลว่า ความชั่ว การเล่นการพนันชั่วไหม ? ถ้าชั่วก็เป็นบาป ถ้ากำลังใจเศร้าหมองเพราะบาปเกาะกุมอยู่ ตายไปมีโอกาสลงนรกสูงมาก

เถรี
07-11-2013, 17:54
ถาม : หลวงลุงของผมท่านนำหน่อกล้วยจากวัด มาให้พ่อของผมปลูกที่บ้านครับ อยากทราบว่าผมและครอบครัวจะต้องรับผลกรรมอะไรบ้าง ? และเมื่อต้นกล้วยนั้นโตขึ้นจนออกผลแล้ว นำผลนั้นมารับประทาน ยังถือว่าเป็นของสงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องของของสงฆ์เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะไม่ว่าตกอยู่ในที่ไหนก็เป็นของสงฆ์อยู่ดี โดยเฉพาะถ้าเป็นผลไม้นี่ยิ่งสาหัส เนื่องจากไม่ว่าจะออกดอกออกผลไปกี่ยุคกี่สมัย ก็เป็นของสงฆ์อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น..รีบขุดรากถอนโคนไปคืนวัดโดยด่วนเลย..!

เถรี
07-11-2013, 17:55
ถาม : ผมอยากทราบว่าพระนาคปรกไทยเนื้อเงิน ขนาดหน้าตัก ๑ ซม. สามารถทำน้ำมนต์ได้หรือไม่ ? ถ้าได้มีวิธีทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : พระพุทธรูปทุกองค์สามารถทำน้ำมนต์ได้ทั้งสิ้น ยิ่งถ้าได้องค์ ๒๑ ศอกหน้าวัดท่าขนุนจะยิ่งขลังมาก..!

วิธีทำน้ำมนต์ ให้ตั้งใจขอบารมีพระด้วยความเคารพ จุดเทียนแล้วระหว่างที่หยดเทียนก็ให้ตั้งใจภาวนาอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง หรือว่าบางท่านถ้าสวดมนต์ได้ก็ใช้บทรัตนสูตรซึ่งเป็นบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยเหมือนกัน ตั้งใจว่าบารมีพระมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง เราขออาราธนาบารมีท่านให้สงเคราะห์เรื่องอะไรก็ตั้งใจไป ว่าไปด้วยความเคารพจนกว่าจะจบ

เถรี
08-11-2013, 05:22
ถาม : นั่งภาวนาที่บ้านวิริยบารมี จิตใจเกิดความสงบ ปีติ สุขตลอดเวลา แล้วจะทำอย่างไรให้บ้านที่เรานั่งสมาธิเกิดสงบนิ่ง ปีติ สุขเหมือนบ้านวิริยบารมีครับ ?
ตอบ : ทำสิ่งให้แวดล้อมให้เหมือนบ้านนี้ก็จะได้เหมือนกัน ถ้าทำสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนก็ไม่ได้อย่างนั้น คือเราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร คนรอบข้างเป็นอย่างไรทำให้ได้เหมือนกัน ถ้าไม่ได้ก็รอเดือนละครั้งหนึ่ง มานั่งเสียให้พอ

เถรี
08-11-2013, 05:22
ถาม : ความอาฆาตมาดร้ายในจิตใจ ที่มีกับคนที่เราไม่ชอบเพราะเขาทำไม่ดีกับเรา เราจะวางใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจ ใครอยากทำอะไรก็ช่าง เราเองก็คิดดี พูดดี ทำดีไป หรือถ้าวันไหนคิดดี พูดดี ทำดีแล้วยังไม่สำเร็จ เกิดความหมั่นไส้ขึ้นมาก็นั่งภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา เกิดอะไรขึ้นก็เป็นเรื่องกรรมของสัตว์โลก..!

เถรี
08-11-2013, 05:23
ถาม : คนให้ร้ายเรา ทำให้เราเสียหาย นินทาเรา พูดให้เราเสียชื่อเสียง เราควรจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจตามความเป็นจริงหรือไม่ ? หรือว่าวางเฉยในเรื่องดังกล่าว ?
ตอบ : เสียเวลาไปอธิบาย ใครอยากว่าอะไรก็ช่าง การนินทากาเลเหมือนเทแกลบ ไม่เจ็บแสบเหมือนเอาตูดไปครูดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา ปล่อยเขาไปเถอะ เดี๋ยวเหนื่อยก็เลิกไปเอง

เถรี
08-11-2013, 05:24
ถาม : ไปเดินซื้อของที่ห้าง เห็นของที่คิดว่าเป็นสินค้าลดราคา เมื่อมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เขาคิดราคาปกติ เราก็บอกเขาว่าตัวนี้ลดราคา ทีนี้ผู้จัดการก็ให้พนักงานคิดไปในราคาที่ลดลงมา แต่ปรากฏว่าพอกลับบ้านแล้วรู้ว่า เราเองที่ดูผิดไป จริง ๆ แล้วสินค้าไม่ได้ลดราคา เมื่อกลับมาจ่ายเงินเพิ่ม พนักงานกลับไม่ยอมรับ เพราะว่าคิดเงินไปแล้ว เราจะผิดศีลข้อ ๒ หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ถือว่าผิดเพราะเป็นความเข้าใจผิด ไม่มีเจตนาที่จะโกง แต่ว่าพนักงานถือว่าเอาความสะดวกของตัวเอง กลัวความยุ่งยากเลยไม่ทำงานใหม่ ไม่รักษาผลประโยชน์ของร้านค้า ถ้าเป็นไปได้ก็เชิญออกไปเลย..!

เถรี
08-11-2013, 05:25
ถาม : ผมได้พระธาตุของพระพุทธเจ้าและพระอุบาลีมาจากเพื่อน และเพื่อนก็ได้มาจากเพื่อนอีกที ซึ่งทั้ง ๒ คนนี้ก็ฝันเห็นผู้หญิงผู้ชายใส่ชุดขาวเต็มไปหมดมา ๓ วัน ซึ่งผมก็ขอแบ่งพระธาตุมาไว้บูชา สวดมนต์ สมาทานศีล เจริญภาวนาตลอด ผมควรจะเอาพระธาตุไว้ที่ห้องหรือไว้ที่วัด เทวดาจะให้โทษหรือไม่ หรือว่าไว้ที่ห้องเทวดาจะให้โทษหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องถามเทวดา คำว่าเทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ถ้าเราไม่ได้ทำความชั่วอะไร ท่านจะมาให้โทษทำไม ? ต้องบอกว่าจริง ๆ เราเป็นผู้ขาดความมั่นคง ตอนแรกก็อยากได้ของ แต่พอได้ยินว่าคนอื่นฝันเจอนั่นเจอนี่เข้าชักจะเป็นโรคหวาดระแวง ในเมื่อกำลังใจขาดความมั่นคง เรื่องการปฏิบัติจะเอาดีก็คงจะยาก

เถรี
08-11-2013, 05:28
พระอาจารย์ "มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติก็เห็นว่าใกล้ตีสามแล้ว กราบพระ ภาวนาตามที่ต้องการ เสร็จแล้วก็ล้างหน้าล้างตา แต่งองค์ทรงเครื่องไปรอทำวัตรเช้า โดยปกติแล้วจะเริ่มเจริญกรรมฐานตอนตี ๔ แล้วต่อด้วยทำวัตรเช้า แต่ปรากฏว่าเจริญกรรมฐานและทำวัตรเสร็จเรียบร้อยแล้วตี ๔ พอดีเป๊ะเลย เกิดความงงขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้น ? เพราะนาฬิกาทั้ง ๓ เรือนบอกเวลาตรงกันหมด

ตอนที่ตื่นนั้นก็คือเกือบตี ๓ พอลงไปในโบสถ์ เจริญกรรมฐานทำวัตรเรียบร้อยปกติก็จวนตี ๕ แต่ว่าพอเจริญกรรมฐานเสร็จ อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยตี ๔ เป๊ะเลย นึกว่านาฬิกาในโบสถ์เสีย ไปดูเรือนอื่นก็เหมือนกัน ก็คาดว่าจะต้องมีปัญหาแน่ ๆ พอกลับถึงกุฏิก็เจอหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านดึงขึ้นพระนิพพานไปเลย ท่านบอกว่าวันนี้มีเรื่องเยอะ ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วเวลาจะไม่พอคุย กลายเป็นว่าท่านทำอย่างไรก็ไม่รู้ แต่นาฬิกาทุกเรือนพร้อมใจกันเดินไปในเวลาที่อาตมาคิดว่าใช่ แต่พอเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วกลายเป็นอีกเวลาหนึ่ง

เวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์เราก็ไม่ต้องเหนื่อย พอท่านดึงปุ๊บไปถึงเลย ไม่อย่างนั้นก็ต้องมาตั้งท่าไปกัน แล้วมีอีกลักษณะหนึ่งก็คือว่า บางเวลาทำนั่นทำนี่เพลิน ๆ ลืมเอากำลังใจเกาะพระหรือเกาะครูบาอาจารย์ มีลืมนะ...ขอยืนยันว่ามี เพราะบางทีใจจดจ่อกับงานตรงหน้า ลืมภาพพระไปเลย คราวนี้พอท่านมีปัญหาหรือว่ามีเรื่องอะไรที่จะติดต่อด่วน เราไม่ยอมต่อสายถึงท่านสักที ท่านก็ใช้วิธีกดร่วงไปเลย"

เถรี
08-11-2013, 19:24
"ถ้าอยู่ ๆ เกิดง่วงกะทันหัน ตั้งหลักไม่ได้ ขอให้รู้ว่า..บางทีพระ หรือพรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์ ท่านต้องการจะติดต่อด้วย แต่เราไม่ได้เตรียมกำลังใจให้พร้อมไว้ ท่านก็เลยต้องใช้วิธีเหยียบ ก็คือกดให้หลับไปเลย ถึงเวลาจะได้ติดต่อได้ เพราะว่าอารมณ์ใจที่จะติดต่อได้นั้น จะอยู่ในช่วงของอุปจารสมาธิ ซึ่งจะเหมือนกับคนที่เคลิ้มใกล้หลับ หรือไม่ก็เป็นระดับฌาน ๔ ไปเลย ซึ่งจะหนักกว่านั้นอีกคือไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าท่านกดลงมาลักษณะอย่างนั้นก็เหมือนกับหลับไปเลย"

เถรี
13-11-2013, 20:13
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อเดือนก่อนมีพระอ้างว่าเป็นตัวแทนของผู้ว่าราชการจังหวัด และเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีมาแจกซองกฐิน ให้วัดนั้น ๑๐๐ ซอง วัดนี้ ๕๐ ซอง แล้วก็บรรยายไปเรื่อยว่า คนใหญ่คนโตท่านนั้นท่านนี้ มอบหมายให้มาเป็นตัวแทน ถามว่าคุณตัวแทนของใคร เขาก็บอกว่าท่านผู้ว่าฯ ชัยวัฒน์ และทางคณะสงฆ์คือหลวงพ่อพระเทพเมธากรกับหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล จึงบอกเขาไปว่า "แล้วทำไมท่านไม่โทรหาผมโดยตรง ? " เขาก็เลยอึ้ง “คุณรู้หรือเปล่าว่าหลวงพ่อวัดท่ามะขามกับผมเป็นอะไรกัน ?” เขาก็ยิ่งอึ้งหนักเข้าไปอีก ท้ายสุดก็ขอลากลับดีกว่า

เวลาเขาไปอ้างแล้ว พระอื่นมักจะเห็นว่าเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน ก็ช่วยทำบุญให้เขา แต่บังเอิญอาตมาไม่ได้เกรงตรงนั้น เพราะสนิทสนมคุ้นเคยกันทุกรูป ต่อสายตรงถึงกันได้ทุกเวลา ยิ่งผู้ว่าฯ ด้วยยิ่งดีเลย เพิ่งจะเจอกันมา ทำไมท่านไม่บอกกับอาตมาโดยตรง ? ทำไมต้องส่งผ่านคุณด้วย ? เรื่องพวกนี้เขามีกันอยู่ประจำ ขนาดพระยังหลอกกันเองเลย..!"

เถรี
13-11-2013, 20:20
พระอาจารย์ให้โอวาทผู้มาขอทำบังสุกุล "ให้ทุกคนตั้งใจว่า..เราขอตายลงไปก่อนชั่วคราว เคราะห์กรรมทั้งหลายที่จะพึงมีพึงเกิดแก่เรา ขอให้ตายพร้อมไปกับร่างกายนี้ ตัวเราที่เคยทำความดีมา จะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม ขอให้ความดีทั้งหมดรวมตัว ส่งผลให้เราเข้าสู่พระนิพพาน ให้เอาใจเกาะพระนิพพาน หรือเอาใจเกาะพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบเอาไว้ ว่านั่นคือองค์แทนพระพุทธเจ้าที่อยู่บนพระนิพพาน ...(สวดบังสุกุลตาย..อนิจฺจา วต สงฺขารา ฯ)...

คราวนี้ให้ทุกคนตั้งกำลังใจใหม่ว่า เนื่องจากความดีที่เราทำมายังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้เราทรงตัวอยู่บนพระนิพพาน เราจึงขอมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง การเกิดใหม่ของเราในครั้งนี้ เรามาแต่ความดีเท่านั้น เพราะว่าเคราะห์กรรมทั้งหลาย ตายไปกับร่างกายเมื่อครู่นี้แล้ว ความดีที่เราทำมา ถ้าเป็นการให้ทาน เกิดมาก็จะมีฐานะร่ำรวย มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ ถ้าหากว่าเป็นการรักษาศีล ก็จะเป็นผู้ที่มีรูปสวย มีจิตใจที่ดีงาม ถ้าเป็นการภาวนา ก็จะเกิดมามีปัญญามาก อุปสรรคอะไรเกิดขึ้นก็แก้ไขให้ลุล่วงไปได้ ถ้าตั้งใจเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็จะมีปัญญาญาณแก่กล้า สามารถเป็นผู้ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าสู่พระนิพพานได้

ให้ทุกคนตั้งใจขอบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ทั้งหมด ช่วยให้การเกิดใหม่ของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ในทุก ๆ ด้านด้วยจ้ะ" ...(สวดบังสุกุลเป็น..อจิรํ วต ยํ กาโย ฯ)...

เถรี
13-11-2013, 20:29
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๓๐ ตื่นเช้ามาโทรศัพท์เจ๊ง ก็เลยต้องไปซื้อเครื่องใหม่ ราคาแพงสุด ๆ ยี่ห้อโนเกียราคา ๗๐๐ บาท..! เครื่องที่แล้วราคา ๗๙๐ บาท ใช้ได้ตั้ง ๔ ปี ๗๙๐ บาท ปีละไม่ถึง ๒๐๐ บาท เครื่องใหม่ถ้าได้ ๔ ปี จะกำไรมากกว่า ตกปีละ ๑๐๐ กว่าบาท ความจริงมีของซัมซุง ๕๙๐ บาท แต่อาตมาไม่คุ้นกับระบบของซัมซุง จึงเอาโนเกียก็แล้วกัน จะว่าไปเพราะยังไม่รวยเท่าเณรคำ ก็เลยใช้เครื่องละ ๗๐๐ บาทไปก่อน ถ้ารวยเท่าเณรคำเมื่อไรแล้วค่อยไปใช้แบบทองคำขาวฝังเพชร..!

อาตมากับญาติโยมรอบ ๆ ข้าง ๓ - ๔ คน แข่งกันว่าใครจะหาของได้ถูกกว่า โยมเขาซื้อรองเท้าได้คู่ละ ๒๕ บาท คุยไปตั้งครึ่งปี อาตมาจะไปซื้อบ้าง ดันเท้าใหญ่..ใส่ไม่ได้ ตอนนี้เวลาไปไหนถ้าใส่รองเท้าใหม่หน่อย เวลาลงวัดอื่นจะทิ้งรองเท้าไว้บนรถ เพราะถ้าเอาลงไปอาจจะหาย ถ้ารองเท้าเก่า ๆ ก็ใส่ติดไปเถอะ ไม่มีใครแลหรอก ไปใส่รองเท้าราคาแพง ๆ เวลาหายแล้วเสียดาย โยมเขาเคยซื้อให้ใส่หลายทีแล้ว แต่เดินไม่ถนัด เพราะพื้นหนา พอพื้นหนา ถ้าแข็งด้วยก็ดี แต่คราวนี้หนาแล้วยุบด้วย เวลาเดินแล้วรู้สึกหลอน ๆ เท้าอย่างไรก็ไม่รู้ เลยตกลงใส่ได้แต่รองเท้าพื้นบาง ๆ สรุปว่าตราช้างดาวดีที่สุด ถึงเวลาก็เอามีดบากเป็นเครื่องหมายไว้ จะได้จำได้ว่าเป็นของตัวเอง

ตอนไปยุโรปจำเป็นต้องใส่ถุงเท้า เพราะอากาศบ้านเขาหนาวมาก ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นรองเท้าแบบมีที่รัดส้น ก็จะใช้สะดวกขึ้น ปรากฏว่าตรงที่รัดส้นนั่นแหละกัดดีนัก เพราะเดินกันเช้ายันค่ำ เดินมาก ๆ รองเท้าก็กัด บ้านเขาเดินเท่าไรก็ไม่เหนื่อยเพราะอากาศเย็น จำเป็นต้องเดินเร็ว ๆ ด้วย จะได้อุ่น เดินไปเดินมารองเท้ากัดเสียนี่

สมัยอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่มักจะใช้รองเท้า SCS หรือตราอูฐ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศใส่บาจา หลวงพ่อวัดท่าซุงชอบตราอูฐ แต่ต้องเป็นแบบมีห่วงคล้องหัวแม่เท้าด้วย เวลาใส่แล้วจะได้ไม่หลุด แต่ละท่านใช้ไม่เหมือนกัน พอถึงเวลาอาตมาจะแอบขโมยรองเท้า ก็ต้องหาที่หน้าตาเหมือน ๆ กันมา เอามาวางไว้แทน ตอนแรกไม่เข้าใจ เอามาเปลี่ยนให้หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านก็ใส่ไม่ถนัด ท่านถนัดยี่ห้อบาจาแบบสวมเลย ด้วยความที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาจนชิน ก็เลยซื้อแบบมีห่วงคล้องหัวแม่เท้าให้ ท่านดันอยู่ตั้งนานกว่าจะใส่ได้

มาระยะหลังโดนหมาคาบรองเท้าบ่อย สงสัยว่าจะกรรมสนอง เพราะสมัยก่อนไปขโมยรองเท้าครูบาอาจารย์อยู่เรื่อย ถึงเวลาก็เปลี่ยนคู่ บางทีพระลูกศิษย์ที่มาทีหลังไม่รู้จัก เขาก็สงสัย เข้าไปในห้องพระเห็นมีตู้อยู่ แล้วชั้นล่างก็มีพานใส่รองเท้าอยู่ ๒ - ๓ คู่ คู่หนึ่งก็พานหนึ่ง ไม่ได้บอกท่านหรอกว่า เป็นรองเท้าของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ขืนบอกเดี๋ยวหาย..!

สมัยเด็ก ๆ อ่านเรื่องรามเกียรติ์ พระรามต้องออกป่า ๑๔ ปี เพราะว่าท้าวทศรถไปเสียท่ามเหสีรอง รับปากว่าจะยกสมบัติให้พระพรต พระสัตรุด คราวนี้ยกให้แล้วก็ยังเกรงว่าจะมาชิงสมบัติคืน ก็เลยบังคับว่าต้องออกป่าไปบวชเป็นฤๅษีอยู่ ๑๔ ปี แต่ว่านั่นเป็นความคิดของแม่เลี้ยง ตัวพระพรต พระสัตรุดท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านยังรัก ยังเคารพนับถือพระรามเหมือนเดิม ก็เลยขอรองพระบาท ก็คือรองเท้า เอาไว้บนบัลลังก์แทน หมายความว่าพระรามไม่ได้นั่งบัลลังก์หรอก เอารองเท้าไปนั่งบัลลังก์แทน"

เถรี
14-11-2013, 19:52
ถาม : มีคนเอาพระเครื่องมาจากวัดมาโดยไม่ถูกต้อง แล้วมาขายให้กับเรา ?
ตอบ : ถ้ามีปัญหาในเรื่องของพระว่าเขาอาจจะเอาจากวัดมาโดยไม่ถูกต้อง หรือขุดกรุขโมยกรุก็ตามที ให้หาพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๕ นิ้วไปถวายวัดแทน เป็นการชำระหนี้สงฆ์ อย่าไปคิดว่าสมเด็จวัดระฆังราคา ๒๐ ล้านบาท พระพุทธรูปของเราราคา ๒๐๐ บาท ไม่ต้องคิดตรงนั้น พุทโธ อัปปมาโณ คุณพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้

ใช้พระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วคืนไป ยกเว้นว่าที่ไปยกมาไม่ถูกต้องเป็นพระพุทธรูปหน้าตักใหญ่กว่านั้น ต้องใช้คืนไปตามขนาดที่ใหญ่กว่านั้น แต่ถ้าเป็นพระเครื่องคืน ๕ นิ้วไปก็พอ

ถาม : แล้วถ้าอย่างนี้วัดที่เขาเอามา เราก็ต้องเอาไปคืนที่นั่นหรือคะ ?
ตอบ : เราจะถวายวัดไหนก็ได้ เพราะเราถวายชำระหนี้สงฆ์ วัดไหนใกล้บ้านก็ถวายไปสิ ไม่ใช่ว่ามาจากวัดไหนต้องไปคืนที่นั่น

เถรี
14-11-2013, 19:58
ถาม : มีโยมคนหนึ่งเขาไปคุยกับคนแก่คนหนึ่ง คนแก่คนนั้นบอกว่าเคยถวายเพลครูบาศรีวิชัย เลยอยากทำบุญถวายเพลครูบาศรีวิชัยบ้าง เขาเลยให้เงินไป บอกว่าขอร่วมบุญถวายเพลครั้งนั้นด้วย ไม่ทราบว่าโยมคนนั้นจะได้อานิสงส์ถวายเพลครูบาศรีวิชัยไหมครับ ?
ตอบ : อาจจะลงนรกก็ได้ เพราะเขาเจตนาถวายครูบาศรีวิชัย แต่เป็นอดีตไปแล้ว ที่เขาให้มาแล้วเราจะรับไว้ได้ก็คืออนาคตที่จะต้องไปทำ แต่ถ้ารับมาแล้วอนาคตจะไปทำ ก็มีข้อแม้ด้วยว่าห้ามตายก่อน ไม่อย่างนั้นเราก็ซวยอีกเหมือนกัน

ถาม : สมมติว่าผมไปทำบุญมาห้าพันบาท แล้วผมก็มาบอกเพื่อน ๆ แล้วเขาก็ร่วมทำกันมา ?
ตอบ : เขาเจาะจงถวายครูบาที่มรณภาพไปแล้ว คุณไปขุดครูบาขึ้นมารับเพลได้ก็เอาสิ..!

ถาม : ถ้าเกิดว่าผมไปทำกฐินผ้าป่า แล้วคนอยากได้บุญ เขาก็ร่วมใส่ซองมาภายหลัง แล้วเงินนั้นเยอะกว่าที่ผมทำไป ?
ตอบ : คุณก็หัวโตคนเดียว ทำได้ไม่เกินที่จำนวนที่เราทำไปเท่านั้น เพราะเท่ากับว่าตัดแบ่งส่วนของเราไป

ถาม : แต่เราไม่ได้เอามาใช้ส่วนตัวนะครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ใช้ก็ต้องทำกฐินตามนั้นให้เขา แล้วถ้าเขาเจาะจงวัดมาก็ยิ่งซวยหนักอีก เราไปถวายวัดอื่นก็เท่ากับย้ายเจดีย์

ถาม : ถ้าเราทำแล้วเรารายงานผลเขาไป ?
ตอบ : รายงานผลไม่ได้แปลว่าจะพ้นโทษ สำคัญที่ว่าทำถูกหรือทำไม่ถูก เราขโมยของแล้วรายงานตำรวจว่า “ฉันขโมยนะจ๊ะ” ตำรวจเขาคงจะปล่อยเราหรอก

ถาม : ผมทอดไปแล้ว แต่เขาเอามาถวายทีหลังเอง ?
ตอบ : นั่นเป็นปัญหาของคุณ ไม่ได้เกี่ยวกับอาตมา ไปแก้ไขกันเอาเองก็แล้วกัน

เถรี
14-11-2013, 20:01
ถาม : ผมไปเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิ ทำถวายไปเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามีผู้ไปบอกบุญเพิ่มอีกในภายหลังทำได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำไม่ได้ แต่เขาทำไปแล้ว อาตมาเลิกคบวัดหนึ่งก็เพราะอย่างนี้ เนื่องจากว่าไปช่วยเขาขุดบ่อน้ำและซื้อเครื่องสูบน้ำโดยออกรายจ่ายทั้งหมด แต่เขาไปเรี่ยไรคนอื่นเพิ่มเติม โดยเอาอาตมาเป็นตัวประกันความเสี่ยงว่า ทางอาตมาจ่ายแน่ ๆ แล้วส่วนนั้นไปไหน ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้นอาตมาก็เลยเลิกคบกับวัดนั้นไปเลย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป แม้แต่ฉี่ก็จะไม่หันไปทางนั้น..!

เถรี
14-11-2013, 20:09
ถาม : ถ้าเราไปรับฝากเงินทำบุญคนอื่นเขามา โดยที่บอกว่าถ้าคุณเจาะจงบุญกฐินไม่รับ แต่ถ้าเป็นการร่วมทำบุญตลอดชีวิตจึงจะรับ อย่างนี้พ้นไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนี้พ้น แต่เจตนาไปเอาของเขา เพราะรู้ทางหนีทีไล่แล้ว กะจะไปเล่นชาวบ้านโดยเฉพาะ ถือเป็นโลภเจตนา ซวยอีกเหมือนกัน

ถาม : ก็ยังดีที่พ้นนะ
ตอบ : พ้นเฉพาะครั้งหน้า ครั้งที่ผ่านมาเสร็จสรรพไปแล้ว

ถาม : อดีตผ่านไปแล้วขี้เกียจจำ
ตอบ : ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้างล่างเขาช่วยจัดการให้ ที่นั่นเครื่องบันทึกเขาดี อาตมาเคยลงไป ตอนนั้นกระดูกคอเคลื่อน ป่วยหนัก ๖ วัน อยู่โรงพยาบาลฉันอะไรไม่ได้เลย ให้น้ำเกลือก็ไม่เข้า เพราะอาเจียนจนกระทั่งเส้นลีบหมดทั้งตัว ก็ขอหมอว่ากลับไปตายที่วัดดีกว่า พอกลับวัดมาคืนนั้นหิวไส้ขาดเลย ภาวนาแล้วภาวนาอีกเมื่อไรจะสว่างเสียที คนไม่ได้กินมา ๖ วันแล้วอยู่ ๆ อยากกินขึ้นมา หิวแค่ไหนลองนึกดูเอาก็แล้วกัน

พอเช้าขึ้นมาก็เอาไม้เท้าค้ำไปร้านป้ากิมกีหน้าโบสถ์วัดท่าซุง ตอนนั้นอยากกินแต่ของเผ็ด ๆ ก็เลยบอกว่าเอาผัดกะเพราไข่ดาวมา เผ็ดที่สุดเท่าที่จะใส่ได้ มาถึงก็ลองแตะชิม ๆ ดู เห็นว่าร่างกายไม่มีปฏิกิริยาอะไร กินได้แน่ ๆ ก็ฟาดจนหมด พอกินเสร็จปรากฏว่าง่วงลืมตาไม่ขึ้น ลักษณะหัวไถพื้นเลยนั่นแหละ

พอเอนลงนอนรู้สึกเหมือนกับเตียงทรุดฮวบลงไป แล้วก็ไปอยู่ตรงหน้าของพระยายมพอดีเลย ความรู้สึกแรกก็คือ “กูตายแล้วนี่หว่า..ตกนรกด้วย..!” ปรากฏว่าท่านนายบัญชีที่นั่งอยู่ ถ้านับจุดที่ท่านนั่งก็คือท่านนั่งอยู่ทางซ้ายมือของพญายมราช ท่านเปิดสมุดบัญชีทองคำเล่มหนาเป็นศอกเลย ไม่รู้เปิดอย่างไรพอเปิดปุ๊บบอกว่า “อีก ๖ วันหาย” แล้วท่านก็ปิดปัง..! อาตมากราบลาได้ก็โกยแน่บเลย เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจตัดสินขึ้นมาเลยนี่เฮงแน่ ๆ..!

ปรากฏว่าเรื่องที่ท่านว่าตรงเป๊ะเลย พอวันที่หกก็ไปเจอหมอนวดเขาดันกรึ๊บเดียวหายเลย กระดูกคอเคลื่อนเพราะเอาหน้าผากไปโขกคานโบสถ์วัดศรีรัตนารามแล้วไม่รู้ หมอเขาได้ยินว่าเอาหน้าผากไปโขกคาน เขาก็เอ็กซเรย์แต่หัว ถ้าเลื่อนลงมาที่คอหน่อยเดียวก็เจอแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องของกรรมที่จะต้องชดใช้เขา ตกลงว่ารวมแล้วทรมานไป ๑๔ วัน

เถรี
14-11-2013, 20:12
ถาม : (เตรียมของไว้จะไปทำถวายวัดหนึ่ง แต่ผู้ที่นำไปได้ไปถวายผิดวัด)
ตอบ : ของเราจบไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่คนเอาไปถวายผิดนี่สิ ประเภทพอถึงเวลาถูกรางวัลที่ ๑ อาจจะมีการโอนเงินให้ผิดบัญชีเหมือนกัน อันนั้นเป็นโทษเขา ไม่ใช่โทษเรา ปล่อยเขาไปเถอะ

ถาม : แล้วเราต้องหาใหม่ไปถวายวัดที่เราตั้งใจไว้ไหมครับ ?
ตอบ : จบแล้วก็จบกัน ถ้าคาใจก็ทำให้ท่านใหม่ไปอีกครั้งหนึ่ง

เถรี
14-11-2013, 20:15
ถาม : การที่เอาเงินทำบุญผู้อื่นไปทำให้เขาผิดประเภท สามารถสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ได้ไหมคะ ?
ตอบ : คนละโทษกัน โทษติดหนี้สงฆ์จึงจะสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ส่วนโทษย้ายเจดีย์หมายถึงว่าทำบุญให้เขาผิดประเภท แก้กันไม่ได้

ถาม : ไม่มีทางเลยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มี

เถรี
14-11-2013, 20:18
ถาม : ถ้าเงินทำบุญที่รวมใส่ซองหายระหว่างทางโดยที่เราไม่รู้ตัว ผิดไหมครับ ?
ตอบ : เจตนาไม่มี โทษน้อยหน่อย ถ้าว่าผิดไหม ? ผิดแน่ ๆ แต่โทษน้อยหน่อยเพราะขาดเจตนา

ถาม : แล้วถ้าเราไปเรี่ยไรเงินทำกฐิน แต่เงินนั้นหาย เราใช้เงินของเราเองทำแทนไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ให้ตั้งใจว่าเราทำแทนเขา แต่ถ้าเขาทำปีนี้แล้วเราไปทำให้เขาปีหน้า ต่อไปเวลาเราจะได้อะไรก็ล่าช้าไปด้วย สมมติว่าจะกินข้าว ปลูกข้าวปีนี้แล้วอาจจะไปให้ผลปีหน้า

สรุปว่าที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อย่าคิดว่าความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วทำ อย่าคิดว่าความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ ความดีความชั่วเป็นสิ่งที่เราไปแล้ว จะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้าถึงวาระล้วนแล้วแต่ให้ผลทั้งสิ้น แล้วไม่ต้องไปตัดพ้อต่อว่าใคร เพราะเราทำเองทั้งนั้น

เถรี
14-11-2013, 20:20
ถาม : อย่างนี้จะหมดกำลังใจไหมครับ เพราะเมื่อก่อนเวลาทำบุญก็จะไปบอกบุญให้มาช่วยกัน ตอนนี้ทำคนเดียวดีกว่า ?
ตอบ : อนุญาตให้หมดกำลังใจได้ เกิดใหม่บริวารไม่มี ทำอะไรก็แบกหามไปคนเดียว ตุ๊ป้อสิงห์เวลาอะไรก็ต้องทำเอง เพราะบริวารแต่ละคนพอช่วยทำแล้ว กลายเป็นไปเพิ่มงานให้ท่าน

ถาม : จะไม่มีสักชาติเลยหรือครับที่ไปชวนคนอื่นเขาทำบุญ ?
ตอบ : มี...ก็คงจะมีสักงานที่มีคนเขาช่วยเรา ที่เหลือก็เหมาเองต่อไป

เถรี
14-11-2013, 20:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมอาตมาไปเอาแก้วมีตำหนิมา ส่วนแก้วที่ใส ๆ ไม่ซื้อมา นี่เป็นโป่งข่ามจ้ะ โป่งข่ามก็ต้องมีตำหนิเป็นปกติ เพราะเป็นธรรมชาติ คำว่า “ข่าม” ของภาษาเหนือ คือ อยู่ยงคงกระพัน ของภาษาไทยนั่นแหละ แล้วภาษาเหนือไม่ใช่ภาษาไทยหรือ ? ภาษาเหนือเขาเรียกว่าภาษาลาว สมัยก่อนเขาเรียกมณฑลลาวเหนือ มณฑลลาวเฉียง ลาวเฉียงคือทางอีสาน เขาให้สังเกตง่าย ๆ ว่า ไทยนุ่งโจง ลาวนุ่งซิ่น ดังนั้น..ถ้าเป็นไทยก็นุ่งโจงกระเบน ถ้าเป็นลาวก็นุ่งผ้าถุง คราวนี้แยกชัดเลย..ใช่ไหม ?"

เถรี
14-11-2013, 20:34
"สมัยที่สมเด็จพระราชชายาเจ้าดารารัศมีมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยความที่เขายังมองว่าลาวต่ำต้อยกว่า ก็เลยทำให้พระองค์ท่านค่อนข้างจะโดนกีดกัน มาตอนหลังจึงทูลขอกลับไปเชียงใหม่ โดยเฉพาะพระองค์ท่านไม่มีพระโอรสให้ด้วย มีพระธิดาองค์เดียว คือ พระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนพีสี ต้องบอกว่าพระองค์ท่านอดทนมาก ๆ รอบข้างล้วนแล้วแต่เป็นคนละเชื้อชาติเผ่าพันธุ์กับตนเอง ในเมื่อไม่เหมือนเขา ไปอยู่กลางกลุ่มเขา ก็โดนกีดกันบ้าง โดนรังแกบ้างเป็นธรรมดา

ประเทศเล็ก ๆ ในสมัยก่อนอยู่ยาก อยู่ในลักษณะเหมือนกับเป็นลูกไล่เขา คำว่าลูกไล่นี่เกิดจากการกัดปลา การกัดปลาก็ต้องหาปลากัดตัวที่ไม่เก่ง ปล่อยลงไปให้ตัวที่เราทะนุถนอมฟูมฟักมาให้ไล่กัด สร้างความมั่นใจให้กับปลาตัวนั้น ลงมากี่ตัว ๆ ก็กัดกระจายหมด ต่อไปเจอใครจะได้ไม่กลัวเขา แล้วก็เรียกตัวที่โดนจับยัดไปให้เขาฟัดว่า "ลูกไล่" คือโดนเขาไล่กัดอย่างเดียว

คราวนี้บรรดาประเทศเล็ก ๆ ในสมัยก่อนวางตัวลำบาก ต้องคอยดูทางลมอยู่เรื่อย สมัยนั้นล้านนาซึ่งจริง ๆ ก็คือเมืองเชียงใหม่ เป็นประเทศเล็ก ต้องคอยมองว่าสยามจะเข้มแข็งขึ้นมา หรือว่าพม่าจะเข้มแข็งขึ้นมา ต้องคอยดูทิศทางลม คอยโอนอ่อนผ่อนตามเขา ก็เลยเกิดปัญหาตรงที่ช่วงนั้นสยามมีอำนาจขึ้นมา ทางด้านพม่ามัวแต่รบกับอังกฤษอยู่ พอเจ้าน้อยศุขเกษมที่ไปเรียนที่มะละแหม่งไปได้มะเมียะกลับมา เขาถึงต้องบังคับให้เอาไปคืน เพราะว่าตอนนี้ประกาศตัวว่าเป็นประเทศราชของสยามแล้ว อยู่ ๆ ลูกไปแต่งสาวพม่ามา หมายความว่าอย่างไร ? เลยกลายเป็นว่าแม้กระทั่งความรัก ก็ไม่สามารถเป็นไปตามที่ตนเองต้องการได้ ทุกอย่างเท่ากับเป็นเกมการเมืองไปหมด

การที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีมาถวายตัวกับรัชกาลที่ ๕ ก็ถือว่าเป็นเกมการเมืองอย่างหนึ่งของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ก็คือสร้างสัมพันธ์กับสยามให้ใกล้ชิด จะได้ช่วยปกป้องดูแลตนเอง ป้องกันไม่ให้พม่ามารุกราน"

เถรี
15-11-2013, 05:59
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเดินตรวจงานกลางคืนแล้วหมาเห่า เห่าไม่เลิก หลวงพ่อท่านก็รำคาญ ท่านหยิบอิฐหักก้อนหนึ่งมาขว้างส่งเดช โป๊ก!..ทุกทีเลย วิชากระสุนคดนี่ตั้งใจให้โดนก็จะโดน เป็นอาตมาขว้างไม่ถึงหรอก หมาไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ หมาอยู่ตรงที่ของลุงมา ที่ของลุงมาก็บริเวณศาลา ๑๒ ไร่ของปัจจุบันนี้ ไม่ใช่แถว ๑๒ ไร่นะ หลัง ๑๒ ไร่ ตรงที่ตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ แล้วหลวงพ่อท่านอยู่หน้าโบสถ์ เป็นพวกเราขว้างถึงไหม ? แต่ท่านขว้างทีไรก็โดนทุกที ถ้าคนไม่สังเกตจะคิดว่าหลวงพ่อขว้างถูกหมาเฉย ๆ แต่อาตมาเห็น โอ๊ย..ไม่ใช่กำลังคนแล้ว ขว้างไกลขนาดนั้น

ใครที่ไปทันวัดท่าซุงสมัยก่อนที่จะสร้างศาลา ๒ ไร่ ๓ ไร่ วัดจะมีพื้นที่ป่าเสียส่วนใหญ่ แล้วหลวงพ่อท่านก็ไปสร้างจุฬามณีกับตึกธัมมวิโมกข์ ตึกสงวนจิตรและเพื่อน และห้องกรรมฐานสำหรับญาติโยมพัก ทางด้านฝั่งจุฬามณีกว่าจะซื้อที่เพิ่มเพื่อสร้างศาลา ๑๒ ไร่ กว่าจะซื้อที่สร้างวิหารร้อยเมตรได้ ต้องเล่นกันหลายชั้นหลายเชิง เพราะคนแถวนั้นเหมาว่าหลวงพ่อท่านรวย ที่แถว ๆ นั้นติดถนนอย่างเก่งก็ราคาไร่ละ ๓๐,๐๐๐ บาท เขาจะขายหลวงพ่อวัดท่าซุงไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท..!

ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า ช่วงระหว่างทางเข้าศาลา ๑๒ ไร่ ต่อกับทางด้านหลังพระนอนฝั่งจุฬามณี จะเป็นที่ว่างอยู่ นั่นแหละ..เขาจะเอาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท หลวงพ่อก็บอกว่า "ปล่อยมัน..ดูซิว่าเขาจะทำมาหากินอะไร.." มาระยะหลังนี่ก็เปิดออกมา อาตมาก็ไม่ได้สังเกตว่าเขาทำมาหากินอะไร แต่เห็นว่ามีบรรดาลูกศิษย์รุ่นเก่า ๆ เอาวัตถุมงคลหลวงพ่อไปเปิดร้าน ปล่อยกันครึกครื้นเลย

สมัยก่อนถ้าหลวงพ่อต้องการซื้อที่ก็จะให้จ่าพัว ความจริงท่านเป็นนายดาบตำรวจพัว ชระเอม หรือไม่ก็ดาบตระกูล เปาริก ไปถามซื้อจากชาวบ้าน ขนาดนั้นเขายังถามอีกว่า ตกลงจ่าซื้อเองหรือซื้อให้วัด ? ถ้าซื้อเองก็ราคาหนึ่ง ถ้าซื้อให้วัดก็อีกราคาหนึ่ง ก็ต้องตกลงว่าซื้อเอง แต่ไปถวายวัดทีหลัง

ไปวัดครั้งล่าสุด สังเกตว่าตรงโรงพยาบาลแม่และเด็กเขารื้อราบหมดเลย แสดงว่าทางกระทรวงเขาได้งบเอง แล้วเขาก็ไปหาที่สร้างของเขาเองได้แล้ว อาคาร ๒ หลังนั่นหลวงพ่อวัดท่าซุงสร้างให้ทางกระทรวงสาธารณสุข เป็นโรงพยาบาลแม่และเด็ก มีเครื่องมือเครื่องไม้ทันสมัยที่สุดของภาคเหนือ แต่ถ้าวัดสร้างทำให้เขาไม่ได้อะไร ได้แต่โรงพยาบาลไป เขาคงของบประมาณแล้วก็ไปสร้างกันเองดีกว่า ยังมีเงินเข้ากระเป๋าบ้าง

ครุฑ ๒ ตัวที่ติดที่ป้ายโรงพยาบาลอาคารปฐมราชานุสรณ์กับปัญจมราชานุสรณ์ หลวงปู่ธรรมชัยถวายมา แล้วตอนทำพิธีเปิด หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสามพระยาเป็นประธานเปิด แล้วจะไปหาพระที่ไหนแบบนั้นมาเปิดให้อีก"

เถรี
15-11-2013, 06:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยววันอาทิตย์ตอนบ่ายโมงมีการประมูลของกันเพื่อร่วมสร้างพระทองคำ มีสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๑ รุ่น ๒ ของวัดท่าซุงอย่างละองค์ มีพระของหลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด หลวงปู่ปานด้วย ของอาตมาเองก็มีพระกริ่งพิชัยสงครามรุ่น ๑ เล็ง ๆ กันไว้แล้วกันว่าจะเอาอะไร แบกเงินใส่กระเป๋ามา คงได้ตีกันตายไปข้างหนึ่ง

สมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๑ มีกริ่ง โลหะที่อุดฐานไม่ทราบว่าช่างเสริฐทำด้วยอะไร ต่อให้ชุบทองถึงเวลาก็ดำ กรุณาปล่อยให้ดำ ๆ อย่างนั้น อย่าได้บังอาจไปขัดเชียว ถ้าขัดเดี๋ยวจะกลายเป็นของปลอม

ปรากฏว่ารุ่น ๑ พอสร้างไป ใครเจอก็เขย่ากริ่งว่าดังไหม เขย่ากันหลาย ๆ ที พอสร้างรุ่น ๒ หลวงพ่อท่านก็เลยไม่บรรจุกริ่ง เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย นึกอยากจะเขย่าเมื่อไรก็เขย่ากัน"

เถรี
20-11-2013, 14:43
ถาม : จะช่วยเขาเรื่องไสยศาสตร์ ผีเขาไม่ได้เข้าเราใช่ไหมครับ แค่อยู่ข้าง ๆ ?
ตอบ : อยู่ข้างนอก เพียงแต่ตอนนั้นเขาใช้กำลังใจกดเราเอาไว้ แล้วก็บังคับร่างกายเราให้แสดงอาการตามที่เขาต้องการ

ถาม : ผมจะจัดการก็ใช้สัมปะจิตฉามิ เขาก็กลับไป พออีกวันก็เปลี่ยนตัวมาครับ ?
ตอบ : พวกนั้นมีเยอะ ถ้าตัวเดิมไม่อยู่ก็ใช้ตัวใหม่ อาตมาเคยปล่อยไปติด ๆ กัน ๓๐ กว่าตัว กว่าจะหมด

ถาม : แล้วเขามาทุกวัน แล้วก็มาเวลาซ้ำ ๆ ครับ
ตอบ : ส่วนใหญ่พวกนี้เคยทำเวลาไหนก็ทำเวลานั้น พอเล่นงานไม่ได้ ก็ปล่อยตัวใหม่ออกมาอีก อาตมาปล่อยให้เขาไปจนหมดเนื้อหมดตัวไปเลย เคยปล่อยไปรายเดียว ๓๐ กว่าตัว

ถาม : ผมก็แปลกใจ ผมก็ทำทุกอย่างให้เขาแล้ว คล้องพระให้เขาแล้ว ก็ยังมาอีก ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจไม่ได้ยึดมั่นจริง ๆ อย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างก็คือวาระกรรมพอดี ใจไม่ได้นึกถึงพระ ในเมื่อไม่ได้นึกถึงพระ ความดีเข้าไม่ได้ สิ่งไม่ดีก็เข้าแทน

ถาม : เขาก็ทนไม่ได้ครับ
ตอบ : ถ้าทนได้ก็เตลิดเปิดเปิง

ถาม : ก็แสดงว่าเราต้องสู้ต่อไป
ตอบ : สู้กับพวกนี้ก็เหนื่อย เพราะว่าเขาไม่ต้องพัก แต่เราต้องพัก แล้วเราเผลอเมื่อไรเราก็เสร็จ

ถาม : มาทุกวัน เขาก็ไล่ผมออกจากบ้าน
ตอบ : อาตมารบกับพวกนี้จนเลิกรบแล้ว

ถาม : แล้วมีวิธีที่ดีที่สุดต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : คุยให้รู้เรื่องว่าเขาต้องการอะไรแน่ แล้วก็ช่วยเขาตามนั้น

ถาม : ก็คุย แต่เขาไม่พูดครับ เหมือนกับโดนมัดปากไว้ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็อาละวาดให้กระจายไปเลย

ถาม : หรือต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมครับ ?
ตอบ : ก็ต้องอย่างนั้น อาตมาแค่ตีหน้ายักษ์ใส่เขาก็เผ่นแล้ว เพราะรู้ว่าโดนแน่

เถรี
20-11-2013, 14:55
สักเดือนที่แล้วกระมัง ที่วัดจัดงานประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้งหมด ก่อนหน้านั้นวันหนึ่งระหว่างเดินทาง รถไปไม่ได้ ติด ๆ ดับ ๆ เห็นเขานั่งทับฝากระโปรงรถอยู่ ก็เลยต้องไปงัดก้นเขาไว้ เพราะถ้าเขาหย่อนลงเต็มที่เครื่องดับจะไปไม่ได้ เหนื่อยฉิบห..เลยกว่าจะถึง อาตมาก็ยอมรับ เพราะถ้าไม่ใช่วาระกรรมจริง ๆ เขาก็ทำอะไรไม่ได้

ปรากฏว่ารุ่งขึ้นกำลังทำวัตรเช้าอยู่ไฟก็ดับ ดับไปจนกระทั่งเกือบ ๗ โมงครึ่งก็ยังไม่ติด กำหนดใจดู เห็นมันไปนั่งทับหม้อแปลงเอาไว้ จึงโมโหขึ้นมา วันนี้วันงานแท้ ๆ เป็นหน้าเป็นตาของวัดด้วย ประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้งจังหวัด มาแกล้งกันอย่างนี้จะลองดูกันสักตั้งก็ได้วะ..! ก็เลยเรียนท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมกับท่านปู่พระอินทร์ว่า "ขออัดไอ้เจ้านี่หน่อย ถึงจะเป็นเหตุให้ก่อเทวาสุรสงคราม ผมก็จะรับผิดชอบเอง..!" ท่านปู่พกพรหมได้ยินโดดผางออกมาเลย บอกว่า “เดี๋ยวผมจัดการเอง.!” ไอ้นั่นได้ยินเผ่นแน่บไปเลย ต้องประเภทนั้น ต้องโหดกับเขาพอ

อาตมาพยายามยอมรับกฎของกรรม แต่วิสัยจริง ๆ ไม่เคยยอมรับง่าย ๆ หรอก พอถึงเวลาจะมาทำให้งานเสีย ก็ขออัดเขาก่อนเลย ถ้าโหดพอก็ไล่กระจายไปเลย ถ้าโหดไม่พอ ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่

ถาม : บอกว่าจะบวชให้ก็แค่ยิ้ม ๆ เป็นเพราะนิสัยของเขาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าบางทีกำลังเขาสูงกว่า ถ้ากำลังเขาสูงกว่านี่เขาไม่สนใจเราแล้ว

เถรี
20-11-2013, 15:05
อย่างหลวงพี่บรรจง (พระบรรจง กวิวํโส) สมัยอยู่วัดท่าซุงด้วยกัน ประมาณปี ๒๕๓๐ หลวงพ่อวัดท่าซุงเข้าโบสถ์มาถึงก็ “เป็นอย่างไรบรรจง ?” พี่บรรจงก็หลบตาวูบ “ดีนะไม่โดนตีนมัน นั่นไม่ใช่ผีนะโว้ย...เขาเป็นเทวดา” อาตมาก็แปลกใจ พอออกจากโบสถ์มาก็ไปถามว่าทำอะไรมา หลวงพี่บรรจงบอกว่าแกไปนครราชสีมา แถววัดโพธิ์เมืองปัก พอเขาได้ยินว่ามีพระจากวัดท่าซุงมา ก็รีบมาเชิญตัวไปช่วยคนที่โดนผีเข้ามา ๓ วันแล้ว ไม่กินไม่นอนอะไรทั้งนั้น นั่งเงียบอย่างเดียว น้ำท่าก็ไม่อาบ หลวงพี่บรรจงก็ไป

พอขึ้นบ้านไป หลวงพี่ก็มีเชิง เอามือล้วงจับมีดหลวงพ่อในย่าม ผีเงยหน้ามาบอกว่า “ท่านไม่ต้องยุ่ง.!” หลวงพี่บรรจงก็ถอยหลัง ปกติมีดหลวงพ่อนี่แค่เหยียบบันไดผีก็หนีแล้ว แต่นี่บอกไม่ต้องยุ่ง ชักจะอย่างไรแล้ว แกถอยมาปรึกษาหลวงพี่มหาถวัลย์ หลวงพี่มหาถวัลย์ก็เลยไปสอบถามว่าเป็นเพราะอะไร ปรากฏว่าเขาไปฉี่รดศาลเจ้าที่ แล้วก็ร้องด่าท้าทายด้วย ก็เลยโดนเล่นเอา

จึงคุยว่าตกลงจะเอาอย่างไร เขาบอกว่าจะดัดสันดาน ให้อดข้าวอดน้ำสัก ๗ วันแล้วเดี๋ยวจะออกเองแหละ เจ้านั่นก็ต้องทนไปอีก ๓ - ๔ วัน เพราะฉะนั้น..บางทีคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ระดับนั้นกำลังเขาสูงกว่า หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงบอกว่า โชคดีไม่โดนตีน เขายังเกรงใจว่าเป็นพระ

ถาม : แล้วกำลังใจในการว่าคาถาไล่ เราต้องวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : สำคัญที่สุดก็คือเราต้องมั่นใจว่าคุณพระพุทธเจ้านี้ไม่มีใครเสมอเหมือนได้ ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าท่านอีกแล้ว บารมีพระมีอยู่ในทุกอณูของอากาศ รอบตัวเราบารมีพระก็ครอบคลุมอยู่ แล้วเราก็แค่อาราธนาบารมีพระให้ช่วยสงเคราะห์ กำลังใจต้องเข้าถึงด้วยความเคารพจริง ๆ

ถ้าไม่ได้ก็หาอาวุธไว้ มีดหมอหลวงพ่อเดิมก็ได้ มีดชาตรีวัดท่าซุงก็ได้ มีดหมอสายเขาอ้อก็ได้ เอาให้กระจายไปเลย..!

เถรี
20-11-2013, 16:18
ถาม : ถ้าเราหว่านทรายนี่พอป้องกันได้ไหมครับ ?
ตอบ : หว่านทรายก็ได้ อธิษฐานเป็นกำแพงไฟไปเลย เหมือนอย่างกับกันไวรัสคอมพิวเตอร์ ฝรั่งเขาจะมี Fire wall เราก็อธิษฐานเป็นกำแพงไฟไปเลย ใครที่ไม่หวังดีเข้ามา เผาให้กระจายไปเลย ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ แต่อย่าลืมบอกเจ้าที่ผีบ้านผีเรือนด้วยนะ ถ้าใครที่อยู่แล้วทำประโยชน์ให้ก็อนุญาตให้เข้าออกได้ ถ้าจะเป็นโทษนี่เอาให้หนักเลย

จำได้ว่าทรายเสกรุ่นเก่าของวัดท่าซุงก็มี เดี๋ยวจะเอามาให้ประมูลสักหนึ่งถุง แต่ท่านเคยบอกว่า ไปเอาของใหม่มาสักถังใหญ่ ๆ แล้วเอาของท่านโรยหน้าแล้วคลุก ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ด้วยความที่สมัยนั้นอาตมาขายเองกับมือก็เลยเก็บไปเรื่อย

เถรี
20-11-2013, 16:19
ถาม : อันนี้ใช่หลวงพ่อฤๅษีจารไหมครับ เพิ่งได้มาเมื่อวานครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..อยากเห็นลายมือหลวงพ่อไปดูที่ธงเขียวธงแดงรุ่นเก่า

เถรี
20-11-2013, 16:20
เดี๋ยวกลับไปมีเงินในธนาคารเท่าไร กดมาให้หมด วันอาทิตย์มาประมูลกันตรงนี้ ของวัดท่าซุงแท้ ๆ เริ่มประมูลตอนบ่ายโมง มีพระเหนือพรหมของหลวงปู่ดู่ด้วย เผื่ออยากได้

มีอยู่ชุดหนึ่งทำใจอย่างไรก็ตัดใจเอาออกประมูลไม่ได้ ก็คือแก้วสารพัดนึกของหลวงปู่ดู่ ท่านปั้นให้ลูกประมาณเท่ากระสุนยิงนก แล้วก็ร้อยเป็นประคำไว้ อาตมาเก็บไว้หากินได้ทั้งชาติเลย สร้างพระเมื่อไรก็ใส่ไปหน่อยหนึ่ง ตัดใจประมูลไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านคงตั้งใจให้เก็บไว้หากิน..!

เถรี
20-11-2013, 19:19
ถาม : ผมเข้าใจว่าได้เพชรที่ยังไม่เจียระไนมาครับ
ตอบ : ง่ายจะตายไป ก็ลองกรีดกระจกดู ถ้ากรีดกระจกได้ก็น่าจะเป็นเพชร เพราะขนาดเพชรเขาพระงามแค่ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ยังตัดกระจกได้เลย อาตมาลองตัดมาแล้ว เขาให้มาประมาณเท่านิ้วชี้ ๑ แท่ง ลองกรีดดู กระจกพังจริง ๆ ตอนนี้อาตมามีแก้วดวงหนึ่ง มีบางท่านสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบลูไดมอนด์ ถ้าใช่และจะจำหน่ายจริง ๆ ก็ราคาหลายร้อยล้าน ไม่มีใครมีปัญญาซื้อหรอก

ในจำพวกเพชรด้วยกัน บลูไดมอนด์จะราคาสูงสุด ในท้องตลาดกะรัตหนึ่งจะประมาณ ๕๐ ล้านบาท แล้วลูกนี้ประมาณไข่นกพิราบกระมัง อาจจะใหญ่กว่า ของบางอย่างดู ๆ แล้วก็หมดอยากไปเฉย ๆ ใจนึกอยู่อย่างเดียวว่า ถ้ามีคนเขาแกะพระได้ก็จะเอา แต่คราวนี้แกะพระจากเพชรคงยากเย็นเข็ญใจ ต้องระดับพระวิษณุกรรมถึงจะได้ ท่านแค่คิดก็เป็นแล้ว

ของบางอย่างเหมือนกับว่า เทวดาเขารักษาเพื่อรอเจ้าของ ตอนที่ท้าวเวสสุวรรณจะไปเอาแก้วอินทนิลมาถวายพระนาคเสนเพื่อแกะพระแก้วมรกต ยักษ์ที่ดูแลอยู่ยังไม่ยอมให้ ท่านบอกว่าท่านมีหน้าที่รักษา ถึงคุณเป็นเจ้านายก็ให้ไม่ได้ ท้ายสุดต้องชี้แจ้งว่าจะทำเพื่อเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา เขาถึงยอม คิดดูว่าลูกน้องไม่เกรงใจเจ้านายแล้ว หน้าที่เขาดูแลอยู่ เขารับคำสั่งครั้งเดียว

เถรี
20-11-2013, 19:31
สมัยก่อนวิ่งเหนือ วิ่งกลาง วิ่งใต้ วิ่งไปทุกทิศทุกทาง หลวงพ่อที่ไหนดีก็ไปกราบไปไหว้ ไปหาวัตถุมงคลท่านมา รวมแล้วเป็นลัง ๆ จนกระทั่งท้ายสุดตัดสินใจว่าจะบวชก็เอาไปไล่แจกเขา เสร็จแล้วเจ็บใจเป็นบ้าเลย หามายากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้น ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่คนรับเฉย ๆ ทำท่าไม่อยากได้ รู้อย่างนี้เก็บเอาไว้ดีกว่า ป่านนี้ประมูลกันครึกครื้นไปแล้ว ก็คือพอตัดสินใจว่าเอาหลวงพ่อฤๅษีฯ เป็นหลัก ก็ไม่ใช้วัตถุมงคลที่อื่นอีก

เมื่อมีประสบการณ์ แล้วมั่นใจหลวงพ่อองค์ไหน ก็จะยึดมั่นองค์นั้น หรือไม่ก็มั่นใจว่าครูบาอาจารย์ท่านนี้ เรายึดท่านเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง อาตมาเองก็ไม่ได้เก็บมากมายอะไร อย่างของหลวงพ่อวัดท่าซุง หลัก ๆ ก็สมเด็จองค์ปฐม สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมากแค่นั้น ส่วนที่บูชามาเยอะแยะ ใครเขาขอบูชาต่อก็ให้ ๆ ไป

สมัยสมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมากองค์ละ ๑๐ บาท ถึงเวลาอาตมาทำบุญได้มาที ๓๐๐ - ๗๐๐ องค์ เพื่อนพระก็ว่าบ้า เก็บไปทำไมเยอะแยะ พอสิ้นหลวงพ่อราคาขึ้นเอา ๆ เขาก็มาโกยจากอาตมาไปหมดเลย แล้วให้แค่องค์ละ ๑๐ บาท..!

สมัยอยู่วัดท่าซุง ออกกิจนิมนต์ได้เงินมาเท่าไรก็รวม ๆ แล้วเอาไปถวายหลวงพ่อทั้งหมด ตั้งใจช่วยท่านสร้างวัด เพราะอาตมามีความคิดว่า เงินเดี๋ยวก็หาได้ใหม่ แต่วัตถุมงคลของหลวงพ่อ ถ้าสิ้นท่านแล้วจะหายาก ก็ใช้วิธีนั้นแหละเก็บ แต่ปรากฏว่าแทบจะไม่เหลือเหมือนกัน

ตอนที่ขึ้นไปทำหน้าที่ที่ศาลานวราช จำหน่ายวัตถุมงคลใหม่ ๆ พระทุ่งเศรษฐี ๑๐๐ ปีหลวงปู่ปาน องค์ละ ๑๐ บาท พอถึงเวลาก็ไปนั่งคัดกับหลวงตาวัชรชัย องค์นี้สมบูรณ์ สีนี้ พิมพ์นี้ เอาให้มีทุกพิมพ์ทุกสี บูชาเองย่อมเลือกได้ แล้วท้ายสุดก็ไม่เหลือหรอก อย่างเก่งก็ติดตัว ๑ - ๒ องค์

เสียดายพระปิดตาหลวงปู่สี หิ้วย่ามอยู่ แล้วโยมเขาปิดประตูรถเร็วไป กระแทกแตก พระปิดตาผสมชานหมาก ท้ายสุดมองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ยัดใส่ปากกลืนไปเลย..! ปัจจุบันเหลือแต่พระปิดตานะมิ พระปิดตามัดข้าวต้ม และพระผงอายุยืนของท่านอย่างละไม่กี่องค์

มีอยู่ช่วงหนึ่งไปช่วยเขาไว้ แล้วพวกไสยศาสตร์ก็หันมาเล่นงานอาตมาแทน พวกนี้รู้เร็วมากเลยว่าใครแก้ ก็มาเล่นงานคนนั้น ท้ายสุด ตอนนั้นหลวงปู่กลั่นอยู่เขาอ้อ หลวงพ่อพรหมอยู่วัดบ้านสวน อาจารย์ศรีเงินอยู่วัดดอนศาลา ก็ไปหาท่าน หาวัตถุมงคลของท่าน เอามาตีกับพวกนี้โดยเฉพาะ ถึงเวลาอาตมาทำน้ำมนต์ด้วยวัตถุมงคลของท่าน ก็กลายเป็นของท่าน ไม่ใช่ของอาตมา พอถึงเวลาคุณไปลุยกับครูบาอาจารย์สายโน้นเองก็แล้วกัน บางทีก็จำเป็น ไม่อย่างนั้นเหนื่อยตายเลย รบกับพวกนั้นไม่ไหว พอถึงเวลาเขาสู้เราไม่ได้ เขาก็ไปหาคนที่เก่งกว่ามาอีก แล้วก็รบกันทั้งปีทั้งชาติ บางทีมากันที ๓๐ - ๔๐ คน ช่วยกันรุมอาตมาคนเดียว แย่เหมือนกัน พอเขามากันหลายคนกำลังก็เยอะ มาล้อมวงทำพิธีอย่างเป็นทางการ มีทั้งห่มขาว ห่มเหลือง ทั้งอะไรเต็มไปหมด

เถรี
20-11-2013, 19:34
ตอนนั้นโดนเสียอ่วมแล้ว ภาวนาอยู่ส่งใจไปพระนิพพาน กะว่าถ้าตายไปจะได้ไปพระนิพพาน แต่ไม่ไปพระนิพพาน ดันไปหล่นอยู่กลางวงเขาเลย เหมือนกับท่านตั้งใจให้เห็นว่าใครทำ ตอนนั้นอาการที่เป็นก็คือ ไข้ขึ้นเกิน ๔๒ องศา แล้วเจ็บไปหมดทั้งตัว หล่นไปกลางวงถึงได้เห็น

เขาปั้นหุ่นแทงเข็มแล้วเอาไปเผาไฟ นั่งล้อมวงกัน ๖ คนทั้งผู้หญิงผู้ชาย พอเขาภาวนาเพ่งใจทีหนึ่ง อาตมาก็สะดุ้งเฮือกทีหนึ่ง เจ็บจะตายชัก แต่ก็นั่งอโหสิฯ ๆ อโหสิฯ ไปอโหสิฯ มาหลาย ๆ ที มันเจ็บว่ะ ตบะแตกลุกขึ้นเตะกระจายทั้งวงเลย แล้วก็หายเจ็บเดี๋ยวนั้น อาตมาก็นึกว่ารอดไปที ที่ไหนได้ผ่านไป ๒ วัน ร่วงทั้งยืนอีก เขาเอาใหม่ พิธีแตกเขาก็ไปรวบรวมกำลังใจใหม่ ๒ วันมาเล่นอาตมาอีก ท้ายสุดคิดว่าถ้ารบกันอย่างนี้อาตมาแย่แน่ เพราะว่าถึงบารมีพระคุ้มอยู่ก็จริงแหละ แต่ว่าวาระกรรมเก่าทำเขาไว้เยอะ ถึงเวลาความเจ็บปวดอะไรต้องรับเป็นปกติ

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่ายันต์เกราะเพชรกันไสยศาสตร์ได้เต็มที่แค่ไม่ให้เราตาย ท่านบอกว่าเหมือนกับเขาก่อกองไฟไว้ แล้วเราก็เอาฉากกั้น ฉากนั่นคือยันต์เกราะเพชร แต่ถ้าไฟกองใหญ่และแรงมาก ความร้อนก็ถึงเราได้ เปลวไฟทำอันตรายเราไม่ได้หรอก ท้ายสุดก็เลยต้องใช้วิธีไม่ตอบไม่โต้อะไรทั้งนั้น ทนเอาอย่างเดียว ถึงเวลาสู้ไม่ไหวก็ทิ้ง เข้าสมาธิหนี ผ่านไป ๓ - ๔ วันเห็นเงียบไปเฉย ๆ คิดว่าอาตมาตายแล้วกระมัง เขาก็เลิก แต่ตอนนั้นจะตายเอาจริง ๆ เจ็บอย่าบอกใครเลย

เถรี
20-11-2013, 19:35
ถาม : เวลาทำบุญแทนเขา ต้องรับกรรมแทนเขาด้วยไหมครับ ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! รับแต่บุญเฉย ๆ เราทำเวยยาวัจมัย ขวนขวายงานบุญคนอื่นเขาให้สำเร็จ คุณไม่ได้ไปแก้กรรมให้ชาวบ้านเขานี่

เถรี
21-11-2013, 18:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "การอยู่ในสังคมจะเอาอารมณ์อย่างเดียวไม่ได้ บางทีก็ต้องมีหน้ากากบ้าง เราจริงใจแต่คนอื่นอาจจะรับไม่ได้ เด็กสมัยนี้อยู่ลำบาก แบบเดียวกับแนน (ศิริลักษณ์ พินิจสุขใจ) แนนจะได้ยินความคิดคนอื่นหมด พอถึงเวลาเขาก็จะมาเครียดว่า ทำไมเขาพูดอย่างหนึ่งแล้วคิดอีกอย่างหนึ่ง"

ถาม : แล้วทำไมน้องแนนเขาป่วยจัง ?
ตอบ : ทำเขาไว้เยอะ อาจจะเป็นเพราะป่วยนี่แหละทำให้เขาได้ดี เพราะไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งนอกจากอาศัยพระ เท่ากับบังคับให้ฝึกตัวเอง แนนยังปรับตัวเองไม่ได้ เขาถามว่าทำอย่างไรจะไม่ได้ยิน บอกเขาว่าแค่ไม่ไปใส่ใจ เขาบอกไม่ใส่ใจก็ได้ยิน ก็ได้ยินนั่นแหละ ถ้าเราไม่ใส่ใจก็เหมือนกับคนคุยกันห่าง ๆ แล้วจะไปสนใจอะไรเขา

ถาม : เวลาที่เราคิดอะไรที่ไม่ดี ภาวนากดตัวหนึ่งไว้ได้ อีกตัวก็คิดอีก ก็เอาพุทโธกดไว้ ปรากฏว่าเจอว่ามีอีกตัว
ตอบ : มโนกรรมหยุดยากที่สุด เพราะเร็วมาก ๆ เลย

เถรี
21-11-2013, 18:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องรูปร่างคนเรานี่แปลก ส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยน แต่ละชาติมักจะเหมือนเดิม เปลี่ยนแต่หน้าตา ฐานะ สถานภาพอะไรพวกนี้ รูปร่างไม่เปลี่ยน บางคนมองข้างหลัง เอ..คุ้นจังเลย แต่อาตมาไม่รู้จักเขาหรอก..ข้ามชาติมา..หุ่นอย่างนั้นจำได้ นิสัย ความชอบเฉพาะตัว ลักษณะรูปร่าง ไม่ค่อยเปลี่ยน เพราะติดข้ามชาติข้ามภพมา ยิ่งเรื่องอาหารการกินนี่ข้ามชาติจริง ๆ เลย กินบางอย่างเข้าไปรู้สึกว่าคุ้นจัง

นี่กำลังรอว่าถ้าไปทิเบตจะคุ้นขนาดไหน เพราะเกิดที่นั่นบ่อยเหลือเกิน แต่ทิเบตนี่ต้องเสริมสุขภาพให้ดี ๆ ก่อนแล้วค่อยไป ไม่อย่างนั้นแย่แน่ อากาศบาง ต้องเดินแบบยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เดินเร็วหน่อยก็หมดสภาพเลย ใครเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปทิเบตก็เสร็จหมด ต้องถึงมือหมอแทบทุกราย

ถ้าเรากลับไปแบบมีสติ ก็จะรู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี่ไม่รู้จักจบจักสิ้นจริง ๆ เปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมา ท้ายสุดก็หมุนกลับไป แล้วแต่ละชาติก็ทุกข์ไม่เลิก แต่ถ้าเราไม่มีสติก็จะไหลตามเขาไปเลย เพราะว่าเหตุการณ์เก่า ๆ สิ่งแวดล้อมเก่า ๆ บุญกรรมเก่า ๆ จะดึงยาวไปเลย ไปเดิน ๆ ดูอาจจะเจอตัวเองโดนปิดทองอยู่ก็ได้"

เถรี
21-11-2013, 18:56
ถาม : ดูสิ่งที่ตัวเองเจอชาตินี้แล้วมาคิดว่านิสัยเก่าเราคงแย่สุด ๆ
ตอบ : บางทีตอนช่วงนั้นสติปัญญาไม่ค่อยจะมี จะเป็นไปตามภาวะและอารมณ์ตอนนั้น คราวนี้พอเราก้าวมาถึงช่วงนี้ ผ่านการฝึกจิตมาระยะหนึ่ง รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ดี พอมองย้อนกลับไป ถ้ากลับไปใหม่น่าจะแก้ตัวได้

เถรี
21-11-2013, 19:53
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมากำลังนึกย้อนหลังว่าตัวเองจำความได้ตั้งแต่ตอนไหน ครูพนมเทียนท่านจำความได้ตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ ท่านมักจะเห็นพวกโลกลี้ลับอะไรต่าง ๆ กลัวแล้วร้องไห้ พอผู้ใหญ่มาก็จะเงียบเพราะพวกนั้นหนีไป เวลาผู้ใหญ่ไปแล้วพวกนั้นก็กลับมาใหม่ ท่านเล่าให้ฟังเอง มิน่าว่าสมาธิดีขนาดนั้น ส่วนอาตมาจำความได้ก็ตั้ง ๒ ขวบกว่า"

ถาม : จำได้ว่าก้าวแรกที่ตัวเองเดินได้ว่าเดินได้ มีความรู้สึกภูมิใจตัวเองมาก พอไปเล่าให้คนอื่นฟัง เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เด็กขนาดนั้นจะจำความได้
ตอบ : นั่นเป็นทฤษฎีที่เขาเชื่อ ถ้าอย่างที่ครูเล่านี่ท่านจำความได้ตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ นอนกลิ้งอยู่แล้วก็ร้องไห้เพราะพวกนั้นไต่มุ้งลงมา ท่านจำได้ว่าหน้าตาพวกนั้นเป็นอย่างไรก็มาเล่าให้ฟัง แล้วพ่อแม่พูดเรื่องอะไรกัน ผู้ใหญ่พูดเรื่องอะไรกันท่านจำได้หมด มาเล่าอีกตอนโตแล้ว พวกผู้ใหญ่ยังตกใจกันว่าจำเรื่องตั้งแต่สมัยนั้นได้อย่างไร

ถาม : แต่จริง ๆ ตอนแบเบาะเราก็จำได้นะคะ ?
ตอบ : แต่ไม่ชัดเจนและไม่ต่อเนื่อง ที่ชัดเจนและต่อเนื่องสำหรับตัวอาตมาเองต้องประมาณ ๒ ขวบครึ่งมาแล้ว ถึงจะจำได้ว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร พ่อแม่ปฏิบัติกับเราอย่างไร พี่น้องเป็นอย่างไรจำได้หมด แต่ก่อนหน้านั้นจำได้แค่เป็นบางส่วน ในเมื่อเป็นบางส่วนก็ไม่นับว่าจำได้

เถรี
21-11-2013, 19:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำอะไรประเภทตรงไปตรงมา เสมือนว่าทุกคนราคาเดียวกัน บางคนเขาไม่ชิน อย่างสมเด็จพระสังฆราช (ญาโณทยมหาเถระ) วัดสระเกศ อาแปะมานิมนต์บอกว่า "อั๊วไม่มีรถนะ" พระองค์ท่านบอกว่า "ไม่มีรถก็ไม่เป็นไร..ไปได้" "แล้วจะไปอย่างไร ?" ท่านก็บอกว่า "ขี่หลังลื้อไป" อาแปะแกให้ขี่หลังไปจริง ๆ ไปแล้วร้านแกข้าวของเต็มไปหมด ท้ายสุดต้องปูเสื่อนั่งสวดอยู่บนทางเท้า พระองค์ท่านก็นั่งสวดให้ตรงนั้นแหละ พวกสังฆการีที่มีหน้าที่ดูแลพระสังฆราชทำท่าจะตายเอา ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำใจไม่ได้

พระองค์ท่านบอกว่าเขามีศรัทธามานิมนต์ เขาไม่เคยชินกับความเป็นพระของไทยเรา แต่เขามีศรัทธาก็ต้องไปสงเคราะห์ พวกคุณจะเอาอะไรตามระเบียบทุกอย่าง คนยากคนจนที่ไหนจะทำได้

สมัยก่อนเวลาไปกราบหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสามพระยา ก็เหมือนกัน หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสามพระยา ด้วยความที่ท่านเป็นคนตรงไปตรงมาคนเลยเกรงบารมีท่านมาก ก็เลยทำให้ท่านกลายเป็นผู้มีอิทธิพล พูดง่าย ๆ ว่าถ้าประชุมมหาเถรสมาคม ถ้าท่านบอกว่าเอาแบบไหนจะไม่มีใครค้าน แล้วก็ลักษณะเดียวกัน เราก็เด็กกะโปโลเข้าไปทำบุญ ๒๐ บาท เจ้าพวกนั้นวิ่งเอาพานมารับ ตูละเบื่อ ตูใส่ย่ามหลวงปู่ตูเว้ย ไม่ได้ใส่ให้สมเด็จ

นิสัยของเราก็กลัวคนไม่เป็น ตอนนั้นสนุกสนานมากเลย หลวงพ่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม ท่านเป็นเส้นเลือดอุดตันขาแข็งไปข้างหนึ่ง เพราะกล้ามเนื้อไม่มีเลือดไปเลี้ยง ท่านก็นั่งไม่ถนัด เข้าไปชวนท่านคุยท่านก็คุยไปเรื่อย เจ้าพวกนั้นมาสะกิดหลังให้ออก หลวงพ่อสมเด็จท่านบอก “ไม่ต้องไปหรอก เห็นข้าไม่มีปากหรืออย่างไร ให้นั่งเฉย ๆ อย่างเดียว” ท่านเองก็อยากจะคุยบ้าง เขาจะให้นั่งเงียบ ๆ อย่างเดียว

ลองนึกดูว่าเด็กคนหนึ่งแล้วไปเฝ้าหลวงพ่อสมเด็จสักองค์หนึ่งแล้วท่านชวนคุยเอา ๆ คนอื่นจะมองอย่างไร เด็กนี่มาจากไหนมากวนผู้ใหญ่ แต่จริง ๆ ท่านอยากคุย สมเด็จพระสังฆราชที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ก็เหมือนกัน ถ้าท่านรับนิมนต์ใครไว้ ต่อให้คนที่มานิมนต์ซ้อนฐานะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ท่านไม่ไปทั้งนั้น ท่านบอกอย่างเดียวว่ารับเขาไว้แล้ว ต้องไปสงเคราะห์เขา"

เถรี
21-11-2013, 20:23
พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพ "หนังสือพวกนี้ จะว่าไปแล้วสิ่งที่เขาศึกษามาดีก็จริง แต่เราต้องยึดหลักมัชฌิมาปฏิปทา ไม่อย่างนั้นแล้วอะไรที่มากเกินก็พาเสียทั้งนั้นแหละ"

เถรี
23-11-2013, 11:13
ถาม : ถ้าเราจะเบรกมโนกรรมโดยกดมันเอาไว้ ?
ตอบ : หยุดคิดเพราะเห็นโทษ ในเมื่อเห็นโทษก็เลยไม่ทำ พอ ๆ กับคนที่เลิกบุหรี่ ถ้ายังไม่เห็นโทษก็ไม่เลิกจริง ๆ หรอก

ถาม : พอภาวนาเสร็จก็เหมือนกับมีความคิดอยู่หน่อย พอเรากดอีกตัวหนึ่งเหมือนกับมีความคิดแทรกขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ ค่ะ
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าใจเราสามารถที่จะแบ่งเป็นเท่าไรก็ได้ คราวนี้เราไปถนัดแบ่งแล้วไม่ถนัดที่จะหยุด ต้องรวมความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจจริง ๆ จัง ๆ เลย พอเผลอหน่อยก็จะแลบไปทางอื่น เราสร้างขึ้นมาซ้อน ๆ กัน ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร พระอินทร์ท่านสามารถคิดทีเป็นพันเรื่องพร้อม ๆ กันได้ เราเองไม่เก่งขนาดท่านก็ยังไปได้เยอะแยะ

ถาม : เห็นแล้วว่าขึ้นมาเองค่ะ แต่เอาไม่อยู่
ตอบ : ให้เห็นไว้ก่อน ถ้าเห็นแล้วเดี๋ยวก็รู้วิธีจัดการเอง

เถรี
23-11-2013, 11:33
ถาม : การปฏิบัติจนเข้าไปถึงดวงปฐมมรรค นี่คือปฐมฌานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แค่อุปจารสมาธิเท่านั้น

เถรี
23-11-2013, 11:55
ถาม : ที่กล่าวไว้ในหนังสือว่า ถ้าต้องการให้บุญเก่ารวมตัวกันเร็ว ๆ ต้องยอมรับกฎของกรรมไว ๆ นี่หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้ปัญญาดูว่าทุกอย่างมีความเป็นจริงอย่างไร มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าไปฝืนก็กลายเป็นทุกข์ ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา คราวนี้พอมาท้ายสุดไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ก็จะหมดอยาก พอคนหมดอยากอะไร ๆ ก็มา แปลกมากเลย..ตอนอยากอยู่ไม่มาหรอก

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าเราพิจารณาเห็น เราก็จะทุกข์น้อย ถ้าเราไม่พิจารณา เราก็จะแบกทุกข์อยู่คนเดียว ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไร แต่เราไปปล่อยให้มี เราก็เดือดร้อนเอง

ถาม : คืออุเบกขาหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คืออุเบกขา แต่ต้องเบรกให้ถูก

เถรี
23-11-2013, 12:05
ถาม : (เข็มกลัดมงกุฎเพชร)
ตอบ : พวกเราไม่ค่อยได้สังเกตกันเอง จะมีอยู่ ๔ รุ่น รุ่นพระสุธรรมยานเถระแบบตัวหนังสือใหญ่กับตัวหนังสือเล็ก กับพระราชพรหมยานรุ่นตัวหนังสือใหญ่กับตัวหนังสือเล็ก รุ่นตัวหนังสือใหญ่เป็นรุ่นกันเอดส์

ตอนนี้หลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ๒๑ ปี เหลืออีก ๙ ปี หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า ๓๐ ปีวัตถุมงคลท่านจะแพงมาก ปัจจุบันนี้เขาไปเน้นแพงที่สมเด็จองค์ปฐม รอให้สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมากแพงเมื่อไร พวกที่ตุนไว้ก็สบาย เพราะว่ายุคนั้นขนไว้เยอะ ของอาตมาคนเดียวต้องบอกว่าหลายพันองค์ แต่ไม่เคยเหลือ โดนเขาปล้นหมด ตอนที่ไปถวายเงินหลวงพ่อ รับมาทีละ ๓๐๐ องค์ ๕๐๐ องค์ ๗๐๐ องค์ เพื่อน ๆ เขาถามว่า “เก็บไปทำไมเยอะแยะ ?” พอสิ้นหลวงพ่อคนถามมาเอาจากอาตมาจนหมด แล้วไม่ได้ขึ้นราคาให้ด้วยนะ ให้องค์ละ ๑๐ บาทเท่าเดิม

เดี๋ยวนี้เว็บวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีไม่ต่ำกว่า ๒๐ กระทู้ มีแต่ขนของท่านมาขายทั้งนั้น ของอาตมาก็มีเป็น ๑๐ กระทู้เหมือนกัน แล้วหลายอย่างเขาบรรยายสรรพคุณจนรู้มากกว่าอาตมาอีก เออ..ดีเหมือนกัน คนทำยังไม่รู้เลย คนเอาไปจำหน่ายบรรยายจนคนทำยังงง

ต้องบอกว่าใครรู้จักทำมาหากินก็ว่าไปเถอะ แต่ว่าเรื่องของพระนี่ต้องแสดงออกด้วยความเคารพ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัย มีนักเลงพระอยู่ท่านหนึ่ง ถึงเวลาจะส่องพระต้องล้างมือก่อน เช็ดสะอาดเรียบร้อยแล้วใส่ถุงมือ ปูผ้าขาว ขอขมาพระแล้วค่อยนิมนต์พระมานั่งส่อง ถ้าลักษณะอย่างนั้นเขาเคารพจริง ๆ ดูแล้วยังทึ่งว่ากำลังใจเขาละเอียดขนาดนั้น

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “พวกเล่นพระเครื่องนี้ดูถูกเขาไม่ได้ เขาส่องพระอยู่ทุกวัน ติดตาเป็นอนุสติ ถ้าทำด้วยความเคารพนี่ไปดีง่าย ๆ เลย แต่ถ้าพวกที่ไม่ให้ความเคารพก็อาการหนักว่าคนอื่นหน่อย” อาตมาเองพอได้สมเด็จองค์ปฐมมา ก็เอาองค์ท่านเป็นกสิณแทนภาพที่เคยจับแต่เดิม สามารถกำหนดได้ชัดเจนเป็นที่น่าพอใจ ถ้าวันไหนกำลังใจไม่ดีก็มัว ๆ บ้าง ถ้าบูชาพระเครื่อง ต้องเอาเป็นอนุสติอย่างนี้

เถรี
23-11-2013, 12:09
ถาม : (เด็กใช้มโนมยิทธิได้คล่องตัว)
ตอบ : เขาไปลิบแล้ว เดี๋ยวนี้เขาไม่คิดถึงหลวงตาแล้ว เขานัดเจอกันข้างบน แสบจริง ๆ บอกเด็กว่ามีอะไรที่สามารถพูดคุยกันต่อหน้าได้ก็พูดคุยกันต่อหน้าสิ แหม..นัดไปคุยกันข้างบน เด็ก ๆ เขาจะคล่องตัวกว่าเพราะเขาไม่คิดมาก ไม่ฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกันก็ไม่กลัวหน้าแตก พวกเรามักจะไปกลัวผิด พอผิดแล้วจะต้องอายเขา ตรงจุดนี้แหละทำให้เราพลาด ต้องคิดว่าผิดเป็นครู เราจะได้รู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไร คราวนี้พอเราไปกลัวผิด กลัวอายคนอื่นเขา ก็เลยเละเทะไม่เป็นท่าอย่างทุกวันนี้

เวลาอาตมาถามพระในวัดท่าขนุนก็ลักษณะเดียวกันแหละ พอถามแล้วเขาจะอึ้ง บอกว่าอย่าอึ้ง อารมณ์แรกนั่นแหละใช้ได้เลย เขาไม่ค่อยมั่นใจกัน บางทีฉันข้าวอยู่ก็เหมือนกัน พระเขาหยิบขนมปังขึ้นมา อาตมาก็ถามว่าไส้ข้างในสีอะไร เขาก็ตอบสีเขียวกระมัง ? บอกกระมังไม่ได้หรอก คุณต้องมั่นใจ อันนี้สีขาว คุณแกะดูได้เลย

เถรี
27-11-2013, 18:41
ถาม : การเอาเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไปวางไว้ใต้ทะเล ที่ต่ำกว่าพื้นดิน คนที่ผ่านไปผ่านมาจะมีโทษอะไรไหมครับ ?
ตอบ : มี...อาตมาขึ้นเครื่องบิน ตั้งใจขอขมาตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง เพราะไม่รู้ว่าเขาบินผ่านอะไรบ้าง เหมาไว้ก่อน แบบเดียวกับหลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน สมัยที่ท่านบวชแล้วเจริญกรรมฐานอยู่ในป่าช้า จะมีอยู่ที่หนึ่ง ท่านบอกว่าเตียนสะอาดอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นหน้าแล้งหน้าฝนจะมีน้ำชุ่มอยู่เสมอ พอท่านเจริญกรรมฐานแถวนั้น เทวดามาบอกว่า ข้างใต้มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ก่อนหน้านั้นเป็นเจดีย์โบราณซึ่งพังหมดแล้ว ไม่มีซากเหลือแล้ว ให้หลวงปู่โหน่งสร้างเจดีย์ครอบไว้ให้ที คนจะได้ไม่เดินข้ามไปข้ามมาแล้วกลายเป็นโทษ

เถรี
27-11-2013, 18:48
ถาม : ช่วงนี้ควรจะขายหุ้นไหมครับ ?
ตอบ : ขายได้รีบขายเลย คุณคิดว่าสภาพเหตุการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้ ชวนให้ตลาดหุ้นเจริญรุ่งเรืองมากเลยใช่ไหม ? ทะเลาะกันไม่เว้นวัน

บ้านเราเมืองเราก็ทะเลาะกันไปเรื่อยเปื่อย ถึงขนาดเสียพระดีไปติด ๆ กันแล้วยังไม่รู้ตัวกันอีก ยังมีความมันในชีวิตอีก ยังจะเป็นกรรมการฟุตบอลเป่านกหวีดกันอีก

คนเราบางอย่างไม่สามารถที่จะลืมกันได้ บ้านเราถ้าลืมของเก่าไม่ได้ ปรองดองกันไม่ได้หรอก แต่จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า งวดนี้บรรดาที่ปรึกษารัฐบาลทำผิด เขาเห็นว่าโอกาสชนะมีสูง แล้วจะนิรโทษกรรมยกเข่ง ความจริงต้องคนสั่งการโดนลงโทษ ไม่อย่างนั้นคนตายตั้งเยอะตั้งแยะ จะให้นิรโทษเดี๋ยวก็ไปทำกันอีก ถ้าเป็นลักษณะคนสั่งโดนลงโทษ เขาจะเข้าตาจนไปเอง แต่นี่กลายเป็นไปเปิดทางให้เขาเดินได้ เขาก็จะมีข้ออ้างแล้วก็ระดมคนออกมาใหม่ เพราะไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ไม่มี ระดมคนออกมาเมื่อไร กลายเป็นทำเพื่อตัวเอง ตอบสังคมไม่ได้

แต่คราวนี้กลายเป็นทำเพื่อประเทศชาติ เพราะว่าเขาจะนิรโทษกรรมให้คนผิด ตัวเองเป็นผู้เสียสละไม่ยอมรับนิรโทษกรรม เปิดทางให้เขาเดินได้เขาก็ไป

เถรี
27-11-2013, 19:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครอยากฝึกวิชาอาจารย์ตั๊กม้อบ้าง ? ของแบบนี้ต้องอดทนนะ ๒ - ๓ ปีไปแล้วถึงจะค่อยเห็นผล สมัยก่อนอาตมาเคยฝึกอยู่ระยะหนึ่ง พอเริ่มมาฝึกสมาธิจะมีปัญหาตรงที่ว่าใจไม่นิ่ง ความเคยชินก็คือจะเดินลมปราณไปทั่วตัว ใจก็เลยไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ จนกระทั่งได้มาฝึกมโนมยิทธิก็เพิ่งจะรู้ว่า การเดินลมปราณก็เป็นหลักเดียวกับมโนมยิทธิ เป็นหลักเดียวกันตรงที่ว่า เราส่งลมปราณไปอยู่ที่จุดไหนของร่างกาย ก็คือเราส่งจิตไปที่จุดนั้น"

ถาม : แล้ววิชา ๑๘ กาย ?
ตอบ : นั่นเป็นอานาปานสติบวกกับพุทธานุสติ และอาโลกกสิณ

อานาปานสติคือลมหายใจเข้าออก ดูลมภาวนาสัมมาอะระหัง พุทธานุสติก็คือกำหนดภาพพระ อาโลกกสิณก็คือกำหนดดวงปฐมมรรค

เถรี
27-11-2013, 19:33
ถาม : เราย้อนอดีตแบบไปทั้งตัว สามารถอธิษฐานให้อยู่ได้นานไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไปทั้งตัวไปได้แค่ปัจจุบันอย่างเดียว ส่วนอดีตหรืออนาคตไปด้วยใจ ถ้าปัจจุบันใช้อภิญญา ๕ สามารถไปได้ทั้งตัว หลวงพ่อฤๅษีฯ ก่อนหน้านี้ท่านก็ใช้วิธีไปทั้งตัว พอแก่แล้วท่านก็เบื่อ เพราะว่าร่างที่ไปก็คือร่างแก่ ๆ ทำอะไรก็งุ่มง่ามลำบากไปหมด ท้ายที่สุดท่านก็เลยมาเน้นมโนมยิทธิ

อย่างที่เคยยกตัวอย่างเรื่องขุนช้างขุนแผน เขาส่งลูกไปฝึกอภิญญาแท้ ๆ แต่เขามั่นใจว่าลูกทำได้ เหมือนกับสมัยนี้ที่เรียนหนังสือแล้วต้องจบ ในเมื่อสมัยก่อนสภาพสังคมเป็นอย่างนั้น ทุกคนก็เลยมีความรู้เหมือน ๆ กัน หรือว่าใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าเรียนมาแล้วใครจะเก่งกว่าเพื่อน เรียนจบเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าใครจบมาแล้วคล่องตัวมากกว่า ใช้ได้ผลมากกว่าเท่านั้นเอง

ฆราวาสที่เฮี้ยน ๆ ก็มีอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ อาจารย์ชุม ไชยคีรี มารุ่นหลัง ๆ ก็อย่างพ่อปู่ขุนพันธ์ เพราะเขาทำกันจนกระทั่งได้ผล อย่างสมัยอาตมาเด็ก ๆ ลุงหมอที่รักษาโรค ก็มีเสือขาวก็ท้ามาปล้น

สมัยก่อนนี่เขานักเลงจริง จะมาปล้นบ้านต้องส่งจดหมายมาล่วงหน้า ฝากหนังสือมาล่วงหน้า วันนั้นเวลานั้นจะมาปล้น ถ้ารักลูก รักเมีย รักชีวิต ก็เก็บข้าวของเงินทองใส่กำปั่นเอาไว้ จะเอาไปแค่ที่ให้ แต่ถ้าสู้ก็ให้เตรียมตัวไว้ ถึงเวลาแล้วเขาจะมา เขาไม่ได้กลัวนะ..ว่าคุณจะไปชวนใครมาช่วย

เถรี
27-11-2013, 19:40
สมัยก่อนเวลาบวช เขาถึงใช้คำว่า "บวชเรียน" เพื่อเข้าไปศึกษาวิชาการต่าง ๆ ทั้งรักษาตัวเอง ทั้งรักษาครอบครัว อย่างรักษาตัวเองก็ต้องพวกวิชาการต่อสู้ พวกอยู่ยงคงกระพันอะไรพวกนั้น ถ้ารักษาครอบครัวก็เกี่ยวกับพวกสมุนไพร คาถาอาคมในการรักษาโรค โดยเฉพาะประเภทช่วยให้เมียคลอดง่าย ๆ

เสือขาวหนังเหนียว แต่ตอนหลังตายเหมือนกัน เจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมเข้าไป ไปแลกกับผู้ใหญ่แสวงคนละที ผู้ใหญ่แสวงโดนแทงก่อนแต่ไม่เข้า แกสวนกลับ เสือขาวที่ปกติเหนียวแสนเหนียวนี่ยุ่ยเป็นหยวกเลย แล้วเขามารู้ทีหลังว่า ผู้ใหญ่แสวงใช้มีดหมอหลวงพ่อเดิม

ตอนคุณไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม ยังอยู่ในบางขวาง เวลานักโทษหนังเหนียวอาละวาดขึ้นมา ผู้คุมเอาไม่อยู่ เอาปืนยิงก็ไม่รู้สึกรู้สา คุณไพฑูรย์ก็ต้องไปขอเบิกมีดหมอหลวงพ่อเดิมมา ถึงเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องเอาไปคืนผู้คุม ถ้าคุณพ้นโทษถึงจะเอาติดตัวไปได้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นอาวุธ นั่นขนาดของตัวเองยังต้องไปขอเบิก

ถาม : ในหนังสือพิมพ์เขียนข่าว เสือไว เสือเหลือง พวกนี้มีวิชา ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วต้องมี ไม่อย่างนั้นก็รักษาตัวไม่รอด โดยเฉพาะพวกที่มีครูบาอาจารย์ดี ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า ที่พระห้ามท่านทำเกี่ยวกับด้านมหาอุด เพราะว่าส่วนใหญ่พวกเรากำลังใจไปข้างเดียว ขืนทำออกมาก็กลายเป็นโจรหมด

ถาม : แต่กำลังใจไปข้างเดียวก็ดีนี่คะ ?
ตอบ : อยู่ในลักษณะว่า ทนเห็นคนอื่นลำบาก หรือทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้ แม้แต่หลวงพ่อเองท่านก็บอก ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิ ท่านต้องไปยิงกบาลเขาแน่เลย เพราะเป็นถึงพระผู้ใหญ่ขนาดนั้นแล้วไปรังแกผู้น้อย ท่านก็เลยต้องตัดสินใจลา ลองคิดดูแล้วกันว่ากำลังใจขนาดนั้น ผู้นำไปทางนั้น แล้วลูกศิษย์จะไปทางไหน ก็ต้องไปใกล้เคียงกัน

เถรี
28-11-2013, 20:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้พวกเราคงต้องนั่งฟังเสียงสวดพระอภิธรรมกันทุกคืน แต่ความจริงถ้าเราไม่ไปเอาใจต่อต้าน เสียงสวดมนต์จะเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิได้ดี แต่ถ้าเราต่อต้านก็จะหงุดหงิดไปเลย จะสังเกตเห็นว่าเวลาพระทำวัตร มีหลายรูปนั่งเงียบไปเฉย ๆ เพราะว่าพอใจเป็นสมาธิก็บังคับร่างกายไม่ค่อยได้แล้ว ไม่สามารถจะสวดมนต์ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นอาตมาถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะเข้าเป็นแต่ออกไม่เป็น..!

เรื่องความคล่องตัวของสมาธิ ต้องมีความคล่องตัวในการเข้า คล่องตัวในการออก คล่องตัวในการเข้าตามลำดับฌาน คล่องตัวในการเข้าฌานย้อนกลับ คล่องตัวในการสลับฌาน ไม่อย่างนั้นแล้วก็ต้องบอกว่า ใช้งานไม่ได้ดั่งใจ"

เถรี
28-11-2013, 20:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้รถติดมากไหมจ๊ะ ? เขาเป่านกหวีดระดมพลกัน ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตั้งแต่งานสวดพระคาถาเงินล้านถวายในหลวง อาตมาขอไว้ว่า ถ้าใครทำเพื่อประโยชน์ตน ไม่ได้หวังดีต่อประเทศชาติจริง ๆ ขอให้แป้กเงียบทุกครั้งไป เพราะฉะนั้น..ปล่อยเขาเป่านกหวีดไปเถอะ เสียงแห้งเปล่า ๆ บ้านเราเมืองเราควรจะพัฒนาให้ก้าวหน้าไปกว่านี้ มัวแต่เล่นเกมการเมืองกันอยู่ก็เลยไปไม่ถึงไหนสักที"

เถรี
28-11-2013, 20:38
พระอาจารย์เล่าว่า "ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แต่เดิมก็คือสมเด็จพระอริยวงศญาณ สมเด็จพระสังฆราช ตอนหลังรัชกาลที่ ๔ ทรงปรับเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก นี่สำหรับสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นสามัญชนทั่วไป ถ้าสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ก็ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ถ้าผ่านพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก ก็จะถวายพระนามเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญารวโรรส เป็นต้น

สำหรับท่านที่ไม่ผ่านพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก อย่างเช่น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ก็จะเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า เพราะว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ถ้าสามัญชนโดยทั่วไป ปัจจุบันจะเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สำหรับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เป็นราชทินนามพิเศษ เพราะว่าต่างจากพระองค์อื่น

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ต้องบอกว่ามีความพิเศษต่างจากสมเด็จพระสังฆราชอื่น ๆ ที่เป็นได้ยาก อย่างเช่นว่า ทรงเจริญพระชันษาถึง ๑๐๐ ปี ทรงเป็นพระพี่เลี้ยงอภิบาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงผนวช เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในประวัติศาสตร์ นานถึง ๒๔ ปี ท่านอื่นบางทีก็ ๑ - ๒ ปีหรือไม่ถึงปี เพราะส่วนใหญ่กว่าจะถึงระดับนั้นก็อายุกาลพรรษามาก ๆ แล้วทั้งนั้น

เป็นที่น่าเสียดายที่พระองค์สิ้นไป เพราะว่าทำสถิติที่พระองค์อื่นทำได้ยากเอาไว้มากต่อมากด้วยกัน เคยได้ยินพระดำรัสสมเด็จพระสังฆราชเป็นภาษาอังกฤษบ้างไหม ? ไม่รู้เหมือนกันว่าในอินเตอร์เน็ตจะมีให้โหลดหรือเปล่า ? พระองค์ท่านเทศน์เป็นภาษาอังกฤษทั้งกัณฑ์เลย ลองดูเผื่อเขาจะเอาลง ถ้ามีให้รีบโหลดเอาไว้ หายากมาก พระองค์ท่านศึกษาภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เอง จนสามารถพูดภาษาอังกฤษ เทศน์เป็นภาษาอังกฤษได้"

เถรี
28-11-2013, 20:41
"เรื่องของพระกับภาษาอังกฤษ เริ่มจากสมัยสมเด็จพระสังฆราช กิตติโสภณมหาเถระ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม สมัยนั้นถ้าพระเรียนอย่างอื่นนอกบาลีนี่ จะโดนพระองค์ท่านดุ ตอนหลังบรรดาพระหัวก้าวหน้าเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ พระองค์ท่านก็ดุเอา ปรากฏว่าพอถึงเวลาจริง ๆ มีแขกบ้านแขกเมืองต่างประเทศมาถวายสักการะ จะตรัสกับเขาแล้วก็ต้องมีล่ามแปล คราวนี้พอฝรั่งเขาตอบมา บางทีก็อยู่ในลักษณะติดตลก คนอื่นเขาหัวเราะกันจนหมดแล้ว กว่าพระองค์ท่านจะรู้คำแปลก็ต้องหัวเราะทีหลังทุกครั้ง

จึงทรงปรารภว่า ดูท่าการศึกษาอย่างอื่นนอกเหนือจากบาลีเป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่าพระองค์ท่านเจอมาด้วยพระองค์เองว่า หัวเราะทีหลังเขานั้นขายหน้า พอมีพระดำรัสอย่างนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็เลยศึกษาภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เองตั้งแต่สมัยนั้น ในที่สุดก็สามารถที่จะตรัสได้ เขียนภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว

พวกเราจริง ๆ ถ้าไม่กลัวฝรั่งเสียอย่างก็ไม่มีปัญหา ส่วนใหญ่แล้วไปกลัว ต้องเอาแบบที่อาตมาว่า ฟังไม่รู้เรื่องถือเป็นปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา พูดไปเถอะ..ไปยุโรปมานี่อาตมาภูมิใจมากเลย พวกเราเก่งภาษาอังกฤษกว่า เพราะพวกยุโรปส่วนใหญ่หยิ่งมาก พูดแต่ภาษาของตัวเอง ฝรั่งเศส อิตาลี สวิส ฯลฯ สวิส ยังดีเพราะใช้ ๓ - ๔ ภาษา ทั้งภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ พอเขาไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษ ไปพูดบางทีพวกเราเก่งกว่า ถึงบอกว่าใครอยากเก่งภาษาอังกฤษให้ไปยุโรป เก่งกว่าเขาแน่ ๆ เลย

ตอนนี้ทางด้านฝรั่งเศสเขากำลังจะเปลี่ยนให้มาใช้ภาษาอังกฤษ ยังมีพวกนักวิชาการบางกลุ่มประท้วงอยู่ ว่าจะทำให้รากเหง้าของภาษาเสียหมด แต่คิดว่าคงต้านไม่อยู่หรอก เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทางอินเตอร์เน็ตเขาก็ใช้ภาษาอังกฤษกันทั้งนั้น ถ้าคุณจะใช้ภาษาฝรั่งเศส คุณก็ใช้อยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ใช้ด้วยหรอก

มีรูปสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกอยู่รูปหนึ่ง ที่ด้านหลังพระองค์ท่านเป็นเสื่อลำแพน รูปนั้นจะเป็นรูปฝีพระหัตถ์ของในหลวง พระองค์ท่านก็อยู่กุฏิมุงแฝกมุงจากมุงเสื่อลำแพนเหมือนกัน เพราะว่าเสด็จลงไปคลุกคลีตีโมงกับพระสายวัดป่าเป็นปกติ"

เถรี
02-12-2013, 16:23
ถาม : อ่านในปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ที่ท่านว่าเห็นรูปหรือได้ยินเสียง มีก็เหมือนไม่มี เพราะที่สุดก็สลายไปหมด แล้วจิตที่อยู่ในรูปนี่ต้องมองว่ามีหรือไม่มีคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจ เขาให้มองสิ่งที่สัมผัส ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่จริง ๆ แสดงว่าเรามองผิด ไปมองว่าจิตมีอยู่จริงหรือไม่จริง ไม่ใช่เรื่องที่จะไปคิด

ถาม : มีความรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกันค่ะ ?
ตอบ : เกี่ยวกัน แต่เลยหัวไปเยอะ ต้องพอดี ๆ ของเราเกินไปหน่อย

เถรี
02-12-2013, 16:33
ถาม : การเห็นรูปเห็นนามเป็นอะไร เป็นภาวนามยปัญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การเห็นรูปเห็นนามเป็นทั้งจินตามยปัญญา ก็คือการนึกคิดแล้วเห็นแจ้งเข้าใจ และภาวนามยปัญญาก็คือการเห็นด้วยปัญญา ยอมรับว่าสภาพจริง ๆ เป็นอย่างนั้น อย่างแรกเหมือนกับเห็นตามตำรา อย่างที่สองเห็นเพราะเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ถาม : อย่างในฌานต้องเห็นเป็นนิมิต เป็นรูป แต่ในวิปัสสนาต้องเห็นว่าไม่มี ?
ตอบ : ต้องดูด้วย เรื่องของรูปนาม ถ้าอยู่ในฌานส่วนใหญ่เหลือแต่นาม ไม่มีรูป เพราะสมาธิของเราดิ่งอยู่ข้างใน เหลือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณให้เรารับรู้อยู่ เพราะว่าจิตกับกายแยกออกจากกัน แล้วเรื่องของรูปก็กลายเป็นหุ่นอยู่เฉย ๆ เราไปรู้ในเรื่องของนามเสียมากกว่า

แต่ถ้าวิปัสสนา วิ แปลว่าวิเศษ แจ้ง ต่าง ปัสสนา คือ เห็น ก็คือเห็นอย่างวิเศษ เห็นตามสภาพความเป็นจริงว่าเป็นอย่างไร นั่นเป็นการเห็นด้วยปัญญาจริง ๆ

เถรี
02-12-2013, 16:41
ถาม : ที่เขาบอกว่าญาณทัสนะ ?
ตอบ : ญาณทัสนะก็คือการที่รู้เห็น คราวนี้การรู้เห็น ตราบใดที่ยังไม่เป็นวิมุตติญาณทัสนะ ยังไม่ใช่การรู้เห็นเพื่อการหลุดพ้น สักแต่ว่ารู้เห็นตามสภาพเท่านั้น แต่ถ้าจิตใจรู้เห็นแล้วยอมรับปล่อยวางได้ จึงจะเป็นวิมุตติญาณทัสนะ

เถรี
02-12-2013, 16:48
ถาม : บางท่านบอกว่า ทรงสมาธิแล้วร่างกายนี่หายไป ?
ตอบ : ถ้าเป็นในส่วนของการปฏิบัติ ก็แปลว่าเริ่มทรงฌานระดับสูงได้ ถือว่าสภาพของจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการทางร่างกาย เหมือนกับร่างกายนี่หายไป ถ้าเป็นส่วนของวิปัสสนาญาณ ก็จัดว่าเป็นภังคานุปัสสนาญาณ คือเห็นการดับสลายของร่างกาย ว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ ถ้ารู้เห็นละเอียดจริง ๆ แล้วอาศัยยกรูปขึ้นพิจารณาแล้วเพิกรูปทิ้งเสีย จะเป็นอากิญจัญญายตนฌานด้วย

ถาม : แล้วทำไมทิ้งต้องทิ้งรูป ?
ตอบ : แล้วจะเก็บไปทำไม ?

ถาม : ก็อยู่ ๆ หายไปเลย ?
ตอบ : แค่รับรู้ว่าเป็นอย่างไร แล้วไม่ไปปรุงแต่งก็พอ

ถาม : บางทีเราก็สงสัย ?
ตอบ : แค่ไม่รับรู้เฉย ๆ บางทีเราสนใจทำอะไรอยู่ตรงหน้า คนนั่งรอบข้างเยอะแยะไปหมด เราไม่รับรู้เขาเลย แล้วเขาหายไปไหน ? เขาก็อยู่ตรงนั้นนั่นแหละ

ถาม : ปฏิภาคนิมิต ?
ตอบ : ถ้าทำในเรื่องของกสิณ ก็พิจารณาองค์กสิณ จัดว่าเป็นรูป แต่ก็เป็นเพียงรูปในนามเท่านั้น เพราะว่าไม่ได้สัมผัสจับต้องจริง ๆ กำหนดขึ้นมาเป็นรูปในความรู้สึกของเรา แต่คนอื่นสัมผัสจับต้องไม่ได้ จัดเป็นเพียงรูปในนามเท่านั้น แต่ถ้าเป็นการทรงฌานธรรมดา ๆ ลักษณะของรูปในนามที่ชัดที่สุด ก็คือลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่รูปที่แท้จริง เป็นรูปในส่วนที่เป็นนามธรรม คือสามารถกำหนดได้ รู้ได้ แต่จับต้องไม่ได้

เถรี
02-12-2013, 16:54
ถาม : ทำสมาธิให้ทรงตัวแล้วก็ค่อยพิจารณารูป แต่ไม่ได้ตั้งพิจารณาไว้ก่อน ?
ตอบ : นั่นก็คือวิปัสสนาธรรมชาติ เห็นแล้วมีความเข้าใจว่า สภาพความเป็นจริงของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ถ้าดูจากวิปัสสนาญาณก็คือ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ เห็นการเกิดและการดับของสรรพสิ่งทั้งหลาย

คราวนี้ในเรื่องของปัญญาที่รู้เห็น ไม่ใช่ว่าไปตามขั้นตอน หากแต่ว่าไปตามกำลังของสมาธิของเรา สมาธิของเรายิ่งสูงมากเท่าไร ก็ส่งให้ปัญญามีกำลังรู้เห็นได้มากเท่านั้น ดังนั้น..ท่านเองพอท่านมองเห็น ท่านก็รู้ว่าขนาดทองคำแท้ ๆ ยังเสื่อมสลายได้ แล้วสภาพร่างกายของเรา ไม่ใช่โลหะ ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ก็ไม่เหลือเหมือนกัน ของคนอื่นก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ท่านก็ถอนความปรารถนาในร่างกายออก ก็จบ

เรื่องของคนที่ทำ ต้องบอกว่าพอเขาทำได้แล้วดูง่าย แต่ตอนที่ตะเกียกตะกายทำนี่แทบตายเลย

เถรี
02-12-2013, 16:59
ถาม : ในธัมมจักรฯ ที่ว่าพระอัญญาโกณฑัญญะเห็นแจ้ง ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา ?
ตอบ : ในส่วนที่ท่านเห็นก็คือ เป็นการสรุปในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนมาตั้งแต่ต้น ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เราจะดูว่าตั้งแต่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมาในเบื้องต้น ตั้งแต่บอกว่า ๒ ส่วนที่ภิกษุไม่ควรไปเสวนาด้วย ก็คือการทรมานตน และการทำตนสบายจนเกินไป แล้วท้ายที่สุดก็ต้องเลี้ยวเข้ามาหาอริยสัจ ๔ ก็คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ท่านก็สรุปได้ว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ไปยุ่งด้วย สิ่งนั้นก็ดับไป นั่นก็คือการที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะท่านสรุปมา เพราะฉะนั้น..ในส่วนที่ว่า ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมัง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ เป็นการสรุปผลของท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านสรุปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมาทั้งหมด ว่าที่แท้เป็นอย่างนี้

ในเมื่อท่านเข้าใจ ก็คือท่านเห็นหลักธรรมในตรงนั้นว่า ความเป็นจริงของธรรมชาติเป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะฉะนั้น..สิ่งที่ท่านเห็นก็คือเห็นสัจธรรมแท้ ๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

ถาม : การเห็นนี่คือ ?
ตอบ : การเข้าใจ เป็นการเห็นด้วยปัญญา เรียกปัญญาจักษุ เข้าใจ เห็นแจ้ง แล้วก็ยอมรับว่าความจริงเป็นเช่นนั้น

เถรี
02-12-2013, 17:02
ถาม : อย่างรู้ว่ารูปกระทบภาวะแข็ง ภาวะเย็น ภาวะร้อน อย่างนี้ถือว่าเห็นรูปแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นการกำหนดรูปนามเฉย ๆ กำหนดรู้สึกในส่วนของความรู้สึกทั้งหมด เป็นเวทนาก็จัดเป็นนาม แต่ถ้าสัมผัสในส่วนที่เรารู้สึกได้ก็จัดเป็นรูป ความรู้สึกที่สัมผัสก็เป็นนาม แค่นั้นเอง

ส่วนทั้งหลายเหล่านี้ ถ้ากำลังใจของเราจดจ่อต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ก็แค่เราไม่ปรุงแต่งให้เกิด รัก โลภโกรธ หลง เท่านั้น ยังไม่สามารถที่จะเอาไปใช้งานจริงได้ เผลอสติเมื่อไรกิเลสจะตีกลับคืน แต่ถ้าเราไม่เผลอสติ สามารถดำเนินจดจ่อต่อเนื่องได้โดยตลอด กิเลสไม่มีโอกาสเกิด ถ้าทำได้ยาวนานพอ การที่กิเลสเกิดไม่ได้ กิเลสก็จะดับไปเอง แต่ถ้าทำลักษณะอย่างนั้นต้องบอกว่าเดินทางไกล คำว่าเดินทางไกลก็คือถึงได้ยาก เพราะว่าคนที่จะเอาสติจดจ่อต่อเนื่องตามกัน ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งหลับทั้งตื่นนั้น หาได้ยากมาก

เถรี
02-12-2013, 17:05
ถาม : อุทยัพพยญาณ ท่านจะเห็นลักษณะไหน ?
ตอบ : สมมติที่เขายก..ย่าง..เหยียบ ยกหนอ...ทันทีที่ยก พอหนอก็คือสิ้นสุดลง ก็คือเกิดขึ้น ดับไป ย่างหนอ...ระหว่างย่างก็คือเกิดขึ้น หนอสุดลงก็คือดับไป เหยียบหนอ..เหยียบก็คือเกิดขึ้น หนอก็คือดับไป ก็คือลักษณะของการเกิดดับ ๆ เป็นระยะ ๆ เขาเรียกว่าสันตติ สืบเนื่องไป แต่ความละเอียดของจิตที่แยกแยะออก ทำให้เห็นชัดว่าความเกิดดับเป็นชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไล่กันไปเรื่อย ๆ จึงดูเหมือนตั้งอยู่ แต่ความจริงดับอยู่ตลอดเวลา

เถรี
02-12-2013, 17:50
ถาม : บางท่านบอกว่า แม้แต่ความตั้งใจทำ ก็มีกิเลสแฝงอยู่ ?
ตอบ : ทุกอย่างมีกิเลสแฝงอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในส่วนของกิเลสตัวนี้ เป็นสิ่งที่เกิดกับปัญญา ก็คือเรามีปัญญาเห็นว่าควรจะทำอย่างนั้น ถึงจะเป็นทางของการหลุดพ้น ท่านก็เลยไม่ได้เรียกเป็นกิเลสตัณหา แต่เรียกเป็นธรรมฉันทะ เพราะถ้าไม่อยากเราจะไม่ทำ

ถาม : ท่านกล่าวถึงเพราะมีความปรารถนาให้สติตามรู้ทัน ท่านละเอียดลึกซึ้งมากเลยครับ
ตอบ : จะว่าไปแล้วก็คือทำให้ได้ก่อน อย่าเพิ่งไปคิดเรียกว่าอะไร หรือว่าเป็นอย่างไร ถ้าทำได้จริง ๆ สภาพสติจะตามทัน ก็จะอ๋อ...ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง จะได้ระมัดระวังตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะมัวแต่กลัวกิเลสแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย

เถรี
02-12-2013, 17:53
ถาม : บางท่านสอนรู้อิริยาบถ ให้ปล่อยตามธรรมชาติ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วควรจะให้รับรู้ตามธรรมชาติ เพราะว่าคนเราเองไม่มีเวลาที่จะไปยกย่างเหยียบอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น..สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเดิน กิน นั่ง นอน คิด พูด ทำ หรืออะไรก็ตาม จำเป็นที่จะต้องเอาสติไปใส่ไว้ตลอด เพื่อที่จะได้ไม่เผลอไปปรุงแต่ง ไปรักหรือไม่รัก ชอบหรือไม่ชอบ ฯลฯ

เถรี
02-12-2013, 18:25
ถาม : อย่างกายคตาสติ ที่บอกว่าเราดูเส้นผมขณะปัจจุบัน ?
ตอบ : ดูทั้งในอดีต ก็คือระลึกรู้อยู่ว่า ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร ดูอยู่ในปัจจุบัน คือตอนนี้เป็นอย่างไร ดูไปในอนาคต สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันท่านบอกว่า ให้พิจารณาในส่วนของปฏิกูลสัญญาร่วมกันไปด้วย ก็คืออย่างเช่นว่า ปฏิกูลโดยสภาพ ต่อให้เราสระผมใหม่ ๆ สะอาดเอี่ยมเลย ถ้าเส้นผมตกไปในอาหาร เราก็ไม่กินเพราะเรารังเกียจ นี่คือปฏิกูลโดยสภาพ

ปฏิกูลโดยการสัมผัส คืออยู่กับร่างกายของเรา โดนเหงื่อไคลจับต้องเข้า ก็เกิดกลิ่นสาบกลิ่นสางขึ้นมา ท่านให้เอาปฏิกูลสัญญาประกอบเข้าไปด้วย

ถาม : ไม่ใช่อารมณ์นึกหรือครับ ?
ตอบ : ตอนแรกเหมือนกับนึก คือว่าจำว่าเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าพิจารณาไปจนกระทั่งสภาพจิตยอมรับ จะเป็นปัญญา มองเห็นจริง ๆ ว่าเป็นอย่างนั้น

ถาม : อย่างอดีตเราเจอสภาพศพอย่างนั้น แต่ปัจจุบันซากศพที่เน่าเปื่อยแบบนั้นเราไม่ได้เจอ ?
ตอบ : เจออันไหนก็ทำเหมือนกัน อย่างเจอเขียงหมู เป็นต้น

ถาม : แล้วน้อมมาใส่ตัว ?
ตอบ : เหมือนกัน เรากับหมูโดนหั่นเป็นชิ้น ๆ ก็มีลักษณะเหมือนกัน มีเลือดมีเนื้อ มีอวัยวะภายในเหมือนกัน

ถาม : ถ้าเราไปเจอแล้วน้อมเข้ามาสู่ภาพนั้นก็เป็นอดีต ?
ตอบ : เป็น..แต่ในขณะเดียวกันอารมณ์ของเราดึงมาอยู่ในปัจจุบัน ก็คือเปรียบเทียบกับตัวของเราเอง ท่านใช้คำว่าโอปนยิโก ต้องน้อมนำเข้ามาในตัวเราเสมอ ว่าสภาพร่างกายแบบนั้น ตัวเราก็เป็นแบบนั้น ในเมื่อน้อมนำมาเข้าแล้วก็กระจายออกว่า ตัวเราก็เป็นแบบนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อสภาพความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ แล้วตัวเราจะยังมีความปรารถนาในสภาพร่างกาย ที่เต็มไปด้วยความสกปรกเหมือนอย่างกับซากศพเหล่านี้ไปทำไม แล้วในเมื่อร่างกายของเรา เรายังไม่ต้องการ แล้วของคนอื่นเราจะต้องการไหม ? กระจายออกแล้วรวมเข้า รวมเข้าแล้วกระจายออก ดังนั้น..แม้ว่าจะเป็นส่วนของอดีต แต่ถ้าเราดึงขึ้นมาพิจารณา ก็กลายเป็นปัจจุบัน

ถาม : ร่างกายคนอื่นก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ก็เป็นอนุมานไม่ได้เห็นจริง ?
ตอบ : ถ้าปัญญาถึงจะเห็นจริง ๆ ก็คือในเมื่อตัวเราเป็นอย่างนั้น คนอื่นก็เป็นอย่างนั้น สภาพทุกอย่างเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรต่างกัน ลักษณะเหมือนกับเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือนกัน ประกอบไปด้วยอาการ ๓๒ เหมือนกัน ถ้าลักษณะทางโลกทั่ว ๆ ไปจะเป็นการอนุมาน แต่ถ้าสภาพจิตของเรายอมรับ มีปัญญาเห็นจริง จะรู้แจ้งแทงตลอดไปหมดเลย จะไม่โดนสิ่งที่มาบดบัง เคลือบแคลง หรือว่าสงสัยอยู่ เพราะว่าในส่วนของดวงปัญญา สว่างเหมือนกับแสงที่สว่างมาก เมื่อฉายไปในที่มืด ย่อมเห็นภาพทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

เถรี
02-12-2013, 18:49
ถาม : จิตตานุปัสสนากับธัมมานุปัสสนา ในส่วนที่ว่าจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ และในธัมมานุปัสสนา รู้ว่ามีกามฉันทะก็รู้ว่ามีกามฉันทะ อันนี้แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือรู้อยู่ในปัจจุบันขณะว่าจิตเสวยอารมณ์อย่างไร ? ส่วนในเรื่องของธัมมานุปัสสนานั้น ท่านยกขึ้นมาในเรื่องการพิจารณาว่าอารมณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ? ในเมื่ออารมณ์ใจที่ประกอบไปด้วยราคะอย่างนี้ ตอนนี้ทำให้เราเกิดความร้อนรุ่มกระวนกระวายอย่างไร ? เกิดความทุกข์อย่างไร ? แล้วเราเองยังปรารถนาความทุกข์เช่นนั้นอีกหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ปรารถนา เราวางลงได้ไหม ? ถ้าวางได้ก็จะจบ แต่ถ้าเราไม่วางลง เอาไปปรุงแต่งต่อ ก็จะเกิดปัญหาต่อไป

ในส่วนของธัมมานุปัสสนาส่วนใหญ่จะเป็นการพิจารณาแล้ว ในส่วนของจิตตานุปัสสนาเป็นการรู้เท่าทันในปัจจุบันขณะ

ถาม : ธัมมานุปัสสนานี่คือเข้าใจที่ปรากฏ ?
ตอบ : เข้าใจในสิ่งที่มาปรากฏตามสภาพความเป็นจริง อย่างเช่น นิวรณ์ ๕ กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย ที่เกิดขึ้นกับตัวเองก็รู้อยู่ แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เรา ในเมื่อสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เรา ถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งต่อ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะสร้างทุกข์สร้างโทษแก่เราได้ ก็เท่ากับว่าดับไป ส่วนหนึ่งอยู่ในลักษณะแค่รู้เท่าทัน อีกส่วนหนึ่งประเภทรู้แล้วปล่อยวาง

ถาม : ถ้ามีสติรู้ทันจะดับไปเอง ?
ตอบ : จะดับไปเอง แต่ว่าในส่วนของสติรู้เท่าทันนั้น จะอยู่ในลักษณะว่าดับโดยการไม่ปรุงแต่งต่อ ในเมื่อดับโดยไม่ปรุงแต่งต่อ ก็จะอยู่ในลักษณะของ ตทังควิมุตติ การหลุดพ้นด้วยองค์ของวิปัสสนาญาณนั้น ๆ แต่ถ้าเราเองรู้เหตุจริง ๆ ว่าเกิดอย่างไร แล้วเราไม่ไปแตะต้องสาเหตุนั้น จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าอย่างนั้นจะเป็นสมุจเฉทวิมุตติ ก็คือตัดขาดได้อย่างสิ้นเชิง

ถาม : จะกินข้าวให้อร่อย ?
ตอบ : เขาไม่ได้ต้องการให้อร่อย

ถาม : ถ้าไม่อร่อยก็ไม่กินนี่คะ ?
ตอบ : อร่อยกว่าปกติด้วย เพียงแต่ว่ารู้เท่าทันแล้วไม่ไปคิดเท่านั้น ที่อร่อยกว่าปกติ เพราะพอสภาพจิตยิ่งละเอียด การรู้รสยิ่งละเอียดขึ้น

ขออภัยโยมบางคนที่ฟังไม่รู้เรื่องนะจ๊ะ เพราะว่าบางอย่างที่โยมเขาถาม ต้องยกศัพท์บาลีขึ้นมาประกอบด้วย ถ้าเราไม่มีพื้นฐานเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นมาก่อนก็จะไม่เข้าใจ

เถรี
03-12-2013, 10:32
ถาม : เวลากิเลสเกิดขึ้น ไม่รู้ทันขณะเกิด มารู้ทีหลัง ต้องมาตั้งรู้ใหม่
ตอบ : วิ่งตามหลังกิเลส แต่ยังดีที่รู้ทันว่ากิเลสเกิด

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : สองอย่างจริง ๆ ต้องทำคู่กันไป เรื่องของสมถะเหมือนกับเราสร้างกำลังให้เกิด แล้วก็ใส่เกราะป้องกันตัวเอง ไม่อย่างนั้นถึงเวลากิเลสตีเรา ถ้าไม่มีกำลังของสมาธิซึ่งเป็นสมถกรรมฐานมาช่วย เราจะทนทุกข์ทรมานมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตอนที่จะทำอย่างไรให้ระงับยับยั้งอยู่ จะทำอย่างไรจะรู้เท่าทัน แต่ถ้าเรามีตัวสมาธิเหมือนกับเราใส่เกราะอยู่ กิเลสมีปัญญาแค่ไหนก็กระทบไป ฉันไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่หวั่นไหว ในเมื่อไม่สะดุ้งสะเทือนไม่หวั่นไหว เดี๋ยวก็มองเห็นเองว่าตัวไหนกวนเรา เราจะได้ตีหัวกิเลสได้ถูก

แต่ในเรื่องของวิปัสสนาก็คือการที่เรามีอาวุธคมกล้าอยู่ในมือ ฝ่ายหนึ่งมีกำลัง ฝ่ายหนึ่งมีอาวุธ ก็สามารถที่จะตัดอะไรให้ขาดได้ง่าย แต่ถ้าเราไปพิจารณาอย่างเดียว เหมือนกับเราไม่มีกำลัง พยายามไปยกอาวุธหนัก ๆ ยกเท่าไรก็ไม่ขึ้น ใช้งานไม่ได้ ดังนั้น ๒ อย่างต้องทำด้วยกัน

แต่ว่ามีบางสายเขาให้ทำอย่างเดียว ก็เป็นการทรมานบันเทิงมาก เพราะว่าถึงเวลาก็โดนกิเลสตีกระหน่ำเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน

เถรี
03-12-2013, 10:32
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเหมาะกับสายไหน ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าชอบแบบไหน และอยู่ที่เราว่าสร้างบุญมาดีพอไหม ถ้าเราชอบแบบนี้ เราทำของเราแบบนี้ ถ้าสร้างบุญมาดีพอ ได้สายกรรมฐานที่เหมาะสมแก่ตัวเอง ก็ได้มรรคได้ผลได้ง่าย แต่ถ้าเราไม่ชอบแบบนี้ ต่อให้เขาสอนให้ตายก็เหมือนกับไม่เข้าหู ต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมว่าไปสร้างบุญร่วมกับใครมา เดี๋ยวพอฟังของเขาเข้าหูก็ปฏิบัติตามได้เอง

เถรี
03-12-2013, 10:39
ถาม : คำว่ามีวิปัสสนานำหน้าและสมถะตามหลัง แปลว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : พิจารณาไปเรื่อย ๆ สภาพจิตจะน้อมดิ่งเข้าไป จนกระทั่งกลายเป็นสมาธิไปเอง ขณะที่พิจารณาสมาธิจะค่อย ๆ เกิดขึ้น เพราะถ้าสมาธิไม่เกิด กำลังจะไม่พอตัดกิเลส ก็เลยกลายเป็นการเอาวิปัสสนานำหน้า แล้วในที่สุดสมถะก็จะตามมา แต่ถ้าลักษณะอย่างนี้ต้องปัญญาเยอะจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วกิเลสตีหงายท้องไปเสียก่อน

แต่ถ้าจะใช้สมถะในการหยุดยั้งกิเลสไว้ก่อน แล้วค่อยใช้กำลังพิจารณาทีหลังจะปลอดภัยกว่า แต่ก็จะมีโอกาสเผลอสติ ติดสุขอยู่ในสมาธินั้นจนลืมพิจารณา ต่างคนต่างก็มีข้อบกพร่องของตัวเอง จึงควรที่จะทำคู่กันไป สลับกันเดิน พิจารณาไปจนกระทั่งสมาธิเกิด แล้วก็หันมาภาวนา ภาวนาเสร็จไปต่อไม่ได้ ก็คลายออกมาพิจารณา จะผลัดกันเดินอย่างนี้จึงจะก้าวหน้า

ถาม : ไปพร้อมกันไม่ได้
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ ลองเดิน ๒ ขาพร้อมกันดูสิ ก็กลายเป็นนกกระจอกเท่านั้น คือกระโดดไปอย่างเดียว นกกระจอกก้าวเดินไม่เป็น

ถาม : พอทำสมาธิถึงระดับหนึ่งแล้วผ่อนลงมาคิด ?
ตอบ : ความเคยชินทำให้เราคลายลงมาคิดเอง บางทีเราก็ไม่รู้ แต่เป็นการคิดโดยที่มีสมาธิระดับสูงคุมอยู่ สมาธิระดับสูงที่คุมอยู่ เป็นการประกันความปลอดภัยให้แก่เรา ว่าจะไม่พลาดหลุดออกไป

ถาม : ถ้าอยู่ในสมถะเข้าฌานเท่าไรก็เป็นตามกำลังที่ถอยออกมา ?
ตอบ : ตอนที่เราถอยมานั่นกำลังของฌานยังคุมอยู่

ถาม : การเข้ามรรคนี่อยู่ในอัปปนาสมาธิ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าสมาธิที่เราเข้าต้องเป็นอัปปนาสมาธิ เพราะถ้ากำลังไม่ถึงอัปปนาสมาธิขึ้นไปก็ไม่พอตัดกิเลส ในเมื่อพอตัดกิเลสก็แสดงว่าอยู่ในอัปปนาสมาธิแล้ว ก็คืออยู่ในส่วนของมรรคที่เราจะก้าวไปหาผล

เถรี
03-12-2013, 15:59
ถาม : การเข้าถึงมรรคต้องเป็นฌานสี่หรือเปล่า ?
ตอบ : จะมรรคไหนก็ตาม อย่างน้อยต้องปฐมฌานขึ้นไป ไม่อย่างนั้นตัดกิเลสไม่ไหวหรอก แต่ถ้าตั้งแต่อนาคามีมรรคขึ้นไปก็ต้องฌาน ๔ ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอ กิเลสจะแรงกว่า

ถ้าโยมไม่เข้าใจก็เอาที่ง่าย ๆ นะจ๊ะ ตอนนี้เขาว่าของยากเพราะว่ากันตามตำรา ในเมื่อว่ากันตามตำรา ถ้าเราไม่ได้อ่านตำรามานี่ตายเลย โยมบางคนฟังไม่รู้เรื่อง

เถรี
03-12-2013, 16:10
ถาม : อนิมิตตเจโตสมาธิ ?
ตอบ : ก็อยู่ในลักษณะของอรูปฌาน ไม่ต้องการนิมิต ยกนิมิตทิ้งเสีย ในเมื่อยกนิมิตทิ้ง เราก็พิจารณาจนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่ ก็คือกำลังของฌาน ๔ ธรรมดานั่นแหละ ตั้งรูปขึ้นมาก่อน แล้วทิ้งรูปนั้นเสีย เป็นอรูปฌาน เพราะฉะนั้นอรูปฌานก็คืออนิมิตตเจโตสมาธิ

ถาม : ไม่ใช่วิปัสสนาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..อย่าลืมว่าเจโตฯ ยังเป็นกำลังสมาธิอยู่ เจโตวิมุตติไม่ใช่ปัญญาวิมุติ

ถาม : ลักษณะเหมือนกับเป็นวิปัสสนา ?
ตอบ : กำลังคล้ายคลึงกัน เพราะอย่าลืมว่าอากิญจัญญายตนฌาน ก็คือพิจารณาว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่มี ก็เป็นวิปัสสนาญาณดี ๆ นี่เอง แต่ยังไม่ใช่ เพราะว่าเกาะฌานอยู่เต็มที่เลย

ถาม : ผมอ่านในมหาสุญญตสูตร ท่านพูดถึงฌานนิมิตกับอนิมิตตเจโตสมาธิ ท่านได้เข้ารูปฌาน และอรูปฌาน แล้วเข้าอนิมิตตเจโตสมาธิ ?
ตอบ : บุคคลที่ทำได้จริง ๆ ถ้ามาถึงส่วนท้ายของอรูปฌานแล้ว ต้องใช้คำว่ายังมีส่วนของการยึดเกาะอยู่ ก็คือน้อย ๆ เกาะความดี เกาะกำลังสมาธินั้น ในเมื่อคุณไม่ต้องการที่จะเกาะตรงจุดนั้น ทำอย่างไรที่คุณจะปล่อย จะมีช่องว่างอยู่ตรงกลางส่วนหนึ่ง ซึ่งอธิบายได้ยาก เพราะว่าเป็นกำลังคล้าย ๆ กับระหว่างสมถะกับวิปัสสนาพอดี ๆ ที่เขาจะผ่ากลางเข้าไปได้

ตรงจุดของส่วนนั้น จัดว่าเป็นอนิมิตตเจโตสมาธิก็ได้ แต่อยู่ในลักษณะเห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปฌานหรืออรูปฌานก็ตาม ก็ยังทำให้ยึดติดอยู่ เพราะฉะนั้น..ในส่วนที่ไม่ต้องการจริง ๆ ก็จะต้องปล่อยวาง จะอยู่ในลักษณะเหมือนกับว่า ซ้ายก็ไม่แตะ ขวาก็ไม่แตะ แต่ไม่ใช่เหยียบเรือสองแคม หากแต่ไปตรงกลางซอยพอดี

ในส่วนของสมถะ เราเกาะด้านนี้ก็ติดสมาธิ ในส่วนของวิปัสสนา ถ้าเห็นแล้วจิตยังปล่อยวางไม่ได้ ก็จะยังติดที่การรู้เห็นนั้น จุดนี้จะผ่ากลางไปพอดี

เถรี
03-12-2013, 16:17
ถาม : ทำไมวิปัสสนาแล้วขี้โกรธ ?
ตอบ : คนเขาพูดไปเอง ก็คือคนที่ไปปฏิบัติธรรมระยะแรก ๆ จะอยู่ในลักษณะของการเก็บกด ในเมื่อเก็บกด โดนสะกิดมาก ๆ กดไม่อยู่ ก็ไประเบิดใส่เขา เขาก็เลยไปบอกว่าวิปัสสนาขี้โกรธ ก็หมายถึงพวกนักปฏิบัติ ถ้าไม่รู้จักระวังตัวเอง กิเลสจะตีกลับ..โดนฟัดตาย นั่นชาวบ้านพูดกันไป

ถาม : เกิดขึ้นได้เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : สติขาด สมาธิหลุด กดกิเลสไม่อยู่ กิเลสเจริญงอกงามใหม่ เพราะฉะนั้น..บางสำนักที่เขาบอกว่า ไม่ให้ใช้สมาธิลึก ให้ใช้แค่ขณิกสมาธิ พวกนั้นจะโดนบ่อยเลย เพราะกำลังไม่พอ

ถาม : บางทีเราก็ปลอบใจว่าไม่เป็นไร คนอื่นก็ล้ม ?
ตอบ : ปลอบใจตัวเองดีเหมือนกัน เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งว่าเราพลาดตรงจุดไหน แล้วเราจะได้ระมัดระวังไว้ พอถึงจุดนั้นเราจะไม่พลาดอีก แต่ก็ยังมีโอกาสพลาดในจุดต่อไป ก็จะหกล้มหกลุกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ว่าจะก้าวหน้าไปทีละน้อย ๆ

ถาม : แสดงว่าจะต้องไม่ปลอดภัยจนกว่าจะถึงเส้นชัย ?
ตอบ : ตราบใดที่ยังไม่ไปอยู่บนพระนิพพาน ยังหาความปลอดภัยไม่ได้หรอก

เถรี
03-12-2013, 16:29
ถาม : ผมอ่านในตำราว่า เรายิ้ม เรานึกถึงความว่าง ๆ ก็เป็นความสุขได้เหมือนกัน เราก็คิดว่าทำแบบนี้ไม่ผิดหรอก ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าตั้งใจทำเพื่ออะไร ถ้าต้องการความสุขเฉพาะหน้าแค่ชั่วครั้งชั่วคราว คุณทำอารมณ์อย่างไรก็ได้ ให้เกาะอยู่ในข้างสุขมากกว่าทุกข์ แต่เป็นกามาวจรล้วน ๆ ก็คือตายไปเต็มที่ก็ไม่เกินเทวดา

แต่ถ้าตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ เขาให้เน้นกองกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่เราชอบมากที่สุด แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำจนได้ผลไปเลย พอถึงเวลาถ้าได้ผลสักกองหนึ่งแล้ว กองอื่นก็ใช้กำลังเท่ากัน เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการหรือนิมิตนิดหน่อยเท่านั้น แต่ต่อให้เปลี่ยนไปทำกองอื่น เขาก็ให้ทวนกองเก่าให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไป จะเป็นการขึ้นหน้าถอยหลัง ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเกิดความชำนาญจริง ๆ

อย่างที่คุณว่ามาเป็นแค่ผิวเผินในการรักษาอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่ถ้าทำตามลักษณะที่ว่ามาตามกองกรรมฐานตั้งแต่ต้นจนจบ คือสามารถใช้ผลได้ ต่ำ ๆ คุณก็ไปเป็นพรหม แต่ถ้าปัญญามีมากพอ ตัดกิเลสได้ตามลำดับ แล้วสภาพจิตก็หลุดพ้นไปตามกำลังปัญญาของตนเองในช่วงนั้น ๆ

เถรี
03-12-2013, 16:34
ถาม : ในที่ทำงานหนูทำสมาธิอยู่ แล้วมีพี่เขามาบ่นเรื่องโปรแกรม ซึ่งเครื่องก็ยังใช้ได้อยู่ บ่นข้าง ๆ หนูเลย หนูเลยคิดในใจไปเลยว่าให้เครื่องพังไปเลย จะได้หยุดบ่นเสียที ปรากฏว่าเครื่องพัง ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระอาจจะปาราชิกไปแล้ว เพราะทำลายทรัพย์สินชาวบ้าน

ถาม : หนูแค่คิดแรง ๆ เท่านั้นเอง ?
ตอบ : ต่อไปไปคิดที่บ้าน ให้ที่พังเป็นของเรา ถ้าทำงานหลวงเดี๋ยวของหลวงเจ๊ง ทำงานเกี่ยวกับหน่วยงานก็ของกลางเจ๊ง เอาของที่บ้านเราให้เจ๊งไปเลย จะได้เสียเงินซื้อเอง

กำลังสมาธิของเราจริง ๆ แรงพอที่จะทำอะไร ๆ หลายอย่างแล้ว เราไปทำส่งเดชจะเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี เราจะสังเกตว่า บุคคลที่มาทางสายอภิญญาสมาบัติ ถ้าสภาพจิตยังไม่ยอมรับกฎของกรรมจริง ๆ จะใช้กำลังได้ไม่เต็มที่สักราย เพราะถ้าใช้เต็มที่เดี๋ยวบรรลัยหมด จนกว่าเราจะยอมรับกฎของกรรมจริง ๆ ว่าสภาพทุกอย่างปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น คนมากวนเราให้โกรธ คนที่ไม่รู้ว่ากาย วาจา ใจ ของตัวเองเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นอย่างไร ก็มีสภาพน่าสงสารอย่างนั้นเอง ช่างเขาเถอะ

ถ้าตราบใดสภาพจิตยังไม่เห็นธรรมดา ยังช่างเขาไม่ได้ เดี๋ยวก็ไปเล่นคนอื่นเขา ต่อไปจะไม่พังแต่เครื่อง คนจะพังด้วย ต่อไปก็จะกลายเป็นกรรมที่จะมาตัดรอนตัวเอง

เถรี
05-12-2013, 12:16
ถาม : อานิสงส์การบวชต้องบอกพ่อแม่ไหมครับ ?
ตอบ : ยกเว้นพ่อแม่แล้วคนอื่นต้องบอก อานิสงส์การบวชยกให้พ่อแม่เท่านั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้บุญ เพราะว่าเราเกิดมาเนื่องด้วยท่าน ถ้าไม่มีท่านเราก็ไม่ได้เกิดมาจนได้บวช เขายกให้พ่อกับแม่เท่านั้น คนอื่นก็ต้องโมทนาหรือไม่ก็ต้องไปร่วมงานด้วย

ถาม : มีบุญอะไรที่นอกจากการบวชแล้ว ไม่ต้องบอกด้วยปากให้เขาโมทนา เขาก็ได้บุญ ?
ตอบ : ยังไม่มี มีอยู่อย่างเดียว บอกท่านว่าฝากเงินฉันไว้แล้วกัน ถึงเวลาฉันทำอะไรจะได้มีส่วนของเธอด้วย ฝากไว้เดือนละร้อยครึ่งร้อยบาท ถึงเวลาทำให้เขา ๕ บาท ๑๐ บาทไปเรื่อย บุญจะได้เป็นของเขาไปเลย

เถรี
05-12-2013, 12:25
ถาม : พระอริยบุคคลจะรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านเป็นพระอริยะ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ตั้งแต่ระดับวิชชาสามขึ้นไปจะรู้ แต่ถึงรู้แล้วท่านก็ไม่ประมาท ก็ยังคงทำไปตามปกติ กติกาใดที่ทำเพื่อความหลุดพ้นก็ยังคงทำต่อไป แต่ถ้าต่ำกว่านั้นลงมา บางทีเป็นทั้งชาติก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ว่าถือกติกาครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา รู้อยู่ว่าต้องทำอย่างนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไรเสียด้วยซ้ำไป

เถรี
05-12-2013, 12:27
ถาม : คำว่าดวงตาเห็นธรรม คือ ?
ตอบ : ดวงตาเห็นธรรม ตามที่เขาอธิบายเอาไว้หมายถึงว่า เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็คือสามารถเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นขึ้นไป ถึงจะเรียกได้ว่าเห็นธรรมจริง ๆ ถ้ายังไม่เห็นก็คือปัญญายังไม่พอ ก็ไม่น่าจะเรียกว่าดวงตาเห็นธรรม

คำว่าดวงตาในที่นี้ไม่ใช่สายตาของเรา เขาเรียกปัญญาจักษุ ก็คือดวงตาของปัญญา เห็นด้วยปัญญา ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อ

เถรี
05-12-2013, 12:41
ถาม : .......วิชชาธรรมกาย.. ?
ตอบ : นั่นเป็นแค่ในส่วนของสมาธิเท่านั้น อย่างเช่นว่าเห็นดวงปฐมมรรคก็คือจิตเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ จนถึงกายพระอรหันต์ละเอียดก็คือฌาน ๔ เต็มระดับ ต้องเรียกว่าเป็นส่วนของสมถกรรมฐานเต็ม ๆ เลย จนกว่าเราจะนำกำลังนั้นมาพิจารณาตัดกิเลส ต้องไปศึกษาในส่วนท้ายที่ท่านอธิบายไว้ในหนังสือมรรคผลพิสดาร

เอาเป็นว่าเมื่อหลายปีก่อน บรรดาแม่ชีในโรงธรรมวิชาบอกว่า “พวกฉันจะทำวิชา ส่งให้หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นพระสังฆราช” หลายปีมาแล้วนะ แล้วดูแนวโน้มตอนนี้ว่าเป็นไปได้ด้วย เพราะปัจจุบันนี่ถ้าเลือกเมื่อไรก็หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นพระสังฆราชเมื่อนั้น

ถ้าเรามีกองทัพคอยหนุนอยู่แบบนี้ก็ดี แต่ไม่ต้องมาทำอะไรเผื่ออาตมาแบบนั้น รับภาระทั้งประเทศไม่พอ ยังต้องรับทั้งโลกไปด้วย เหนื่อยตายเลย ลูกศิษย์หวังดีแต่ไม่รู้หรอกว่าอาจารย์เหนื่อยจะตาย

ตอนนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ วัดสระเกศ ยังปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราชอยู่ ก็แปลว่าถ้าพระสังฆราชปุบปับเป็นอะไรไป ก็คือหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ต้องเป็นพระสังฆราช แต่แม่ชีเขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เขาจะช่วยกันทำวิชาส่งหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นพระสังฆราชให้ได้

ถาม : อย่างนี้ถือว่าฝืนกรรมไหมคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าอะไรก็ตามที่สามารถทำได้ ไม่ถือว่าฝืนกฎของกรรม เพียงแต่ว่าในส่วนนี้ พวกเราก็แค่รับรู้ไว้เป็นข้อมูลเฉย ๆ เราอาจจะคิดว่าเป็นฝีมือแม่ชีทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้ แต่คิดอีกที บารมีหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสร้างมา ท่านจะต้องเป็นของท่านอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีแม่ชีท่านก็ต้องเป็นจนได้

เถรี
05-12-2013, 12:48
ไปนึกถึงพลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน ตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านก็เป็นหนึ่งในคณะนั้น พอมาในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ท่านก็เป็นหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คราวนี้นับแล้วก็เท่ากับท่านครองราชย์ ๒ สมัย แสดงว่าบารมีที่ท่านสร้างมานี่ อยู่ในระดับจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย จึงต้องไปทำหน้าที่นั้นอยู่ถึง ๒ วาระด้วยกัน

แล้วก็มานึกถึงหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านทำหน้าที่พระสังฆราชอยู่ ๒ วาระเหมือนกัน วาระแรกก็คือทำหน้าที่แทนไปเลย วาระที่สองก็คือเป็นประธานคณะผู้ทำหน้าที่แทน ก็ลักษณะเดียวกันคือของท่านก็เท่ากับเป็นพระสังฆราช ๒ รอบ แต่ว่าสมเด็จพระสังฆราชในนามก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก แต่คนทำหน้าที่จริง ๆ คือหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เพราะฉะนั้นนับแล้วหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เท่ากับเป็นพระสังฆราชไป ๒ รอบ หนักกว่าอีก

แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ถ้าท่านขึ้นมาก็เท่ากับเป็น ๒ รอบเหมือนกัน เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ ๑ รอบ และเป็นเอง ๑ รอบ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ต้องใช้รถยนต์หลวงประจำพระองค์ เพราะฉะนั้น..ใครก็ตามที่ทำหน้าที่นั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องประสานสำนักพระราชวัง ขอรถยนต์หลวงประจำตำแหน่ง

มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมที่วัดสุวรรณภักดี ที่จังหวัดตราด หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศติดภารกิจ มอบหมายให้หลวงพ่อพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ไปทำหน้าที่แทน เท่ากับท่านเป็นองค์แทนผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เขายังต้องประสานขอรถยนต์หลวงไปส่ง

เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ถ้าเราเข้าใจในเรื่องของยถากัมมุตาญาณ คือบุญเก่าที่ทำมา ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในตรงจุดนี้ก็อย่างที่เขาว่ามา คือเชื่อว่าเขาทำจนเป็นไปได้เหมือนกัน เขาบอกว่าเขาจะทำหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ให้เป็นพระสังฆราชให้ได้ เขาก็ทำของเขาจนได้ แต่ถ้าเรามาดูตรงจุดนี้ว่า ถ้าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ทำบุญบารมีของท่านมา อย่างไรก็ต้องขึ้นเป็นพระสังฆราช ต่อให้ไม่มีคณะแม่ชีมารวมทำวิชา ท่านก็ต้องเป็นจนได้

เถรี
05-12-2013, 13:02
ถาม : ถ้ามีคนทะเลาะกัน ไปขอให้พระท่านสงเคราะห์ ขอให้ท่านช่วยอย่าให้มีการบาดหมางกันจะเป็นไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ เพียงแต่ถ้าเป็นพระจริง ๆ ส่วนใหญ่ท่านยอมรับกฎของกรรม ท่านก็จะแนะนำไปตามสภาพของท่าน ต้องออกไปทางแนวไสยศาสตร์เลย อย่างสมัยก่อนไปหาท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี เอาน้ำมันหนูกับแมวไปใช้ คือท่านเสกน้ำมันเอาไปทาหนูกับแมว แล้วให้อยู่กรงเดียวกันได้ บางทีเขาเรียกคาถาวัวกินนมเสือ หนูกินนมแมวอะไรพวกนั้น ต้องเล่นไปทางด้านโน้น

ถาม : ก็ดีนะครับ ทำให้คนไม่ทะเลาะกัน
ตอบ : ใช่...แต่ว่าส่วนใหญ่ท่านอาจารย์ชุมจะให้แต่เฉพาะครอบครัวที่แตกแยก ก็คือผัวเมียทะเลาะกัน แต่ถ้านอกเหนือจากนั้นท่านก็ไม่ไปยุ่งกับเขาหรอก

ถาม : เขามีคาถาหรือครับ ?
ตอบ : เขาเสกน้ำมันตามวิชาของเขา แล้วก็เอาน้ำมันนั้นไปใช้ เสียดายท่านอาจารย์ชุมท่านตายไปแล้ว คุณลองไปค้นดู สมัยก่อนท่านอาจารย์ชุมท่านตั้งสำนัก ชื่อสำนักกุญแจไสยศาสตร์ ลองไปดูในอินเตอร์เน็ต ไม่รู้ว่ามีลูกศิษย์สืบสายมาหรือเปล่า ? ถ้ามีก็ไปขอน้ำมันนี้มา

จริง ๆ ช่วยได้เยอะนะ ท่านเองก็อยู่ลักษณะสร้างบารมีช่วยคนอื่นเขา โดยเฉพาะลูกน้องกับเจ้านายไม่ชอบหน้ากัน เจอท่านอาจารย์ชุมเข้าไปนี่ เจ้านายรักลูกน้องตอนไหนก็ไม่รู้ น้ำมันขวดเดียวทาหนูกับแมวแล้วจับยัดเข้ากรงเดียวกัน ไม่ทำอะไรกันเลย อยู่ด้วยกันได้ ก็เลยเรียกว่าน้ำมันหนูกับแมว

เถรี
05-12-2013, 13:08
ถาม : มีคาถาบริกรรมไหมครับ ?
ตอบ : เขาจะมีตำราของเขาอยู่ ท่านอาจารย์ชุมศึกษามาจากสายเขาอ้อ

ถาม : จะได้ผลแค่ชั่วคราวหรือเปล่า
ตอบ : ถ้าไม่ไปฝืนคำห้ามของเขาก็ใช้ได้ผลตลอดไป เขามีพวกข้อห้ามของเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าไปฝืนบางทีของตัวเองก็เสื่อม ทางสายเขาอ้อเขาจะค่อนข้างเคร่งครัดมาก แบบพ่อปู่ขุนพันธ์สมัยก่อน ท่านกินข้าวยังต้องเสกข้าวทีละคำ อาตมาก็ว่าตายห่..เราเป็นพระยังไม่ขนาดนั้นเลย

เถรี
06-12-2013, 12:51
ถาม : ที่เขาบอกว่ามีคนทำพิธีให้เขาทำมาหากินดีขึ้น มีจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ถ้าตามที่เคยได้ยินมา เขาบอกว่าที่ดินตรงไหนขายไม่ได้ ให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชา อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงขึ้นไป จุดธูปเทียนบูชาแล้วประกาศบอกเจ้าที่ตรงนั้นว่า พื้นที่ผืนนี้ เราได้รับพระบรมราชานุญาตจากในหลวงให้เป็นผู้ครอบครองแล้ว ท่านใดที่เป็นเจ้าที่รักษาบริเวณนี้ ให้รับทราบว่า เราจะทำอะไรในที่นั้น อย่างเช่นจะขาย หรือจะปลูกบ้านอยู่ ให้ประกาศบอกท่านด้วย

อ้างพระปรมาภิไธยในหลวง ให้รู้ว่าท่านคือพระเจ้าแผ่นดิน ท่านคือเจ้าของแผ่นดินทั้งประเทศ เรามีที่อยู่ยังไม่ใช่ที่ของเราเลย อย่าลืมว่าโฉนดทุกฉบับก็โดยพระบรมราชานุญาต ลองไปตั้งโต๊ะหมู่ดู อัญเชิญรูปในหลวงขึ้นไป บอกว่าเราได้รับพระบรมราชานุญาตให้มีสิทธิ์ในที่ดินผืนนี้ จะขอขายที่ดินผืนนี้ ขอให้เจ้าที่ช่วยเหลือด้วย แล้วเราจะถวายสังฆทานอุทิศให้ท่าน

ถาม : ถ้าไม่มีเอกสารสิทธิ์ละคะ ?
ตอบ : ไม่มีเอกสารสิทธิ์ก็เป็นของพระเจ้าแผ่นดินอยู่ดี เพียงแต่จะไปอ้างเอาท่าไหน เมื่อไม่มีหลักฐาน

ถาม : เจ้าที่ไม่ต้องดูแลหรือคะ ?
ตอบ : พระภูมิเจ้าที่ท่านดูแลเขตนั้นหลายตารางกิโลเมตร ๑ ตารางกิโลเมตรนี่ ๖๒๕ ไร่นะจ๊ะ แต่ว่าบริวารของท่านอยู่ทั่ว ๆ ไป ก็คือบรรดาพวกสัมภเวสีบ้าง พวกเปรต อสุรกายบ้าง แล้วพวกนี้แหละที่หวงที่ ไม่ใช่เจ้าที่ท่านหวง พวกนี้หวงที่เพราะเขาอยู่ตรงนั้น ไม่อยากให้ขาย เพราะฉะนั้น..ก็เลยต้องบอกเสียหน่อย ถ้าเจ้าที่ท่านตกลง ลูกน้องก็ไม่กล้าหือ

ถาม : เคยเจอท่านที่มา กายเป็นสีแดง
ตอบ : ถ้าเป็นพระภูมิเจ้าที่ ส่วนใหญ่มือขวาจะเป็นสีแดง ตั้งแต่ข้อศอกลงมา ถ้าแดงมากก็แสดงว่ามีอานุภาพมาก

ถาม : แดงแค่ตรงมือหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็แค่มือ ถ้ามากกว่านั้นแสดงว่าตั้งใจแกล้งแล้ว

เถรี
06-12-2013, 13:42
ถาม : คนธรรมดาไปเที่ยวพระนิพพานได้ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่ามีความสามารถแค่ไหน ถ้าความสามารถพอก็ไปได้

ถาม : ไปได้ทั้งตัวไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าได้อภิญญา ๕ วางกำลังใจเทียบเท่าพระโสดาบันได้ ก็ไปทั้งตัวเลย ถ้าได้มโนมยิทธิ วางกำลังใจเทียบเท่าพระโสดาบันได้ก็ถอดจิตไป ต้องบอกว่าคนที่ทำได้เขาไปกันเป็นปกติ ถ้าถามว่าไปได้ไหม ? ต้องถามกลับว่าทำได้ไหม ? ถ้าทำได้ก็ไปได้

เถรี
06-12-2013, 13:48
ถาม : คนที่ได้อภิญญา ๕ กับคนที่เป็นเทวดา ฤทธิ์จะต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : เทวดาเหนือกว่าหลายร้อยเท่า เพราะของท่านเป็นโดยธรรมชาติ คนที่เป็นโดยธรรมชาติ กับคนที่หัดขึ้นมานี่ต่างกัน คนที่หัดขึ้นมาก็เด็กหัดใหม่ดี ๆ นี่เอง

ถาม : กำลังของคนที่ได้อภิญญา ๕ พอสิ้นแล้วนอกจากไปเกิดเป็นพรหมแล้ว สามารถไปเป็นเทวดาได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ได้

ถาม : ถือว่าเป็นวิบากหรือเปล่า ?
ตอบ : จะว่าไปแล้ว บางทีการตั้งความปรารถนาอย่างนั้น ก็เป็นความชอบเฉพาะตัว หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเจอภูมิเทวดาเป็นพระอนาคามี ท่านตกใจว่าระดับนั้นทำไมไม่ไปอยู่สุทธาวาสพรหม พระภูมิท่านบอกว่า ตอนก่อนตายคิดว่าเพื่อนอยู่แถว ๆ นี้ ก็เลยจะไปหาเพื่อน แทนที่จะไปอยู่สุทธาวาสพรหม ตัวเองเป็นพระอนาคามีกลับต้องมาเกิดเป็นภุมมเทวดา เพราะตอนสุดท้ายใจไปเกาะอยู่ที่นั่น

ถาม : พระอนาคามีท่านละกามรูปได้แล้ว แต่ทำไมยังมาเกิดในกามาวจรอีกครับ ?
ตอบ : ท่านเองไม่ได้ไปตามกติกา แต่ไปตามสภาพปรุงแต่งใจของตัวเองว่าต้องการอยู่ตรงนั้น ในเมื่อคนที่มีเงินมาก แต่เขาต้องการอยู่กระต๊อบ คุณก็อยู่ไปเถอะ..เป็นสิทธิของคุณ จริง ๆ แล้วอยู่บนโน้นก็แบบเดียวกับท้าวมหาราชทั้งสี่ ที่ปัจจุบันที่เป็นพระอนาคามี ถึงเวลาพ้นก็พ้นไปเลย ถ้าสูงกว่าแล้วมาอยู่ต่ำกว่าไม่น่าเกลียด แต่ถ้าต่ำกว่าขึ้นไปอยู่ที่สูงกว่าไม่ได้

เถรี
06-12-2013, 13:59
ถาม : ผู้ที่อยู่นิพพานเขาทำอะไรครับ ?
ตอบ : ไปเสียเองจะได้หายสงสัย ไม่อย่างนั้นบอกไปก็เท่านั้นแหละ ก็ยังคันอยู่เหมือนเดิม สงสัยอยู่เหมือนเดิม

สมมติว่าเราเรียนจบแล้ว เรียนจบแล้วยังมีงานทำไหม ? ก็มี ส่วนใหญ่ท่านที่อยู่บนพระนิพพาน เรียนจบแล้วก็ไปเป็นครูเขา คอยดูว่าใครพอจะสงเคราะห์ได้บ้าง ต้องบอกว่าเหนื่อยไม่เลิก เรียนจบแล้วก็ยังเหนื่อยต่อ เพียงแต่ท่านเหนื่อยแบบไม่มีภาระ สงเคราะห์ตามวาระบุญตามวาระกรรมก็เท่านั้น ถ้าเกินนั้นไปก็ยืนดู เมื่อไรมีโอกาสก็ช่วยใหม่ แต่เป็นการช่วยในลักษณะของการประคับประคอง ให้เป็นไปตามกุศลที่จะพึงได้ พยายามที่จะให้ห่างอกุศลให้ได้ ก็อาจจะต้องช่วยด้วยการดลจิตดลใจให้ไปสร้างกุศลเพิ่มขึ้น

ถาม : พระนิพพานนี้ไม่มีขันธ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าไปว่าตามแบบที่เราเข้าใจนี่เราว่ามี แต่ถ้าบุคคลที่อยู่ตรงนั้น จะเรียกว่าเป็นขันธ์ก็เป็นส่วนที่พิเศษนอกเหนือการปรุงแต่งไปแล้ว กลายเป็นอสังขตธรรม ธรรมที่นอกเหนือการปรุงแต่งไปแล้ว เพราะฉะนั้นในส่วนนอกเหนือการปรุงแต่ง ถ้าพูดเป็นภาษามนุษย์ก็อธิบายกันตายไปข้างหนึ่ง

สรุปว่าท่านที่ไปได้เห็นว่ามี แต่ว่าสภาพที่มี ไม่ใช่มีลักษณะอย่างที่พวกเรามีกัน ส่วนจะมีอย่างไรก็ต้องไปว่ากันอีกทีหนึ่ง

เถรี
06-12-2013, 14:22
ถาม : การเข้าถึงพระนิพพานของแต่ละคนเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไปถึงที่โน่นแล้วเข้าถึงความบริสุทธิ์เหมือน ๆ กันหมด แต่ว่าความมากน้อยของการสร้างบารมีมา ทำให้มีความต่างอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นว่ามีรัศมีกว้างกว่า มีกายใหญ่กว่า เหล่านั้นเป็นต้น แต่ว่าเข้าถึงความบริสุทธิ์เหมือน ๆ กัน

ถาม : ไปพระนิพพานแล้วเบื่อพระนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : ไปให้ได้ก่อน ถ้าเบื่อนี่คาดว่าคุณจะเป็นคนแรกเลย ไม่เป็นไร ถ้าเบื่อแล้วอนุญาตให้ลาออกได้ แค่เทวดายังหลงมัวเมาจนกระทั่งลืมตายเลย แล้วถ้าไปถึงพระนิพพาน ความเป็นทิพย์ละเอียดขนาดนั้น ถ้ามีการเบื่อได้ก็ดีสิ อารมณ์ใจท่านหมดการปรุงแต่งไปแล้ว ความเบื่อเป็นเรื่องของมนุษย์ธรรมดาอย่างเรา ในเมื่อท่านพ้นการปรุงแต่งไปแล้ว ไม่หวั่นไหวด้วยสิ่งใด ๆ ทั้งปวง แล้วจะเอาอะไรมาเบื่อวะ..?!

เถรี
06-12-2013, 14:27
ถาม : สายวัดป่ามีคำว่า การม้างกาย ใช่กายคตาสติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็กายคตาสตินั่นแหละ คำว่าม้างกาย ก็คือค้นให้กระจายเป็นชิ้น ๆ ไปเลย ลักษณะเหมือนกับทำลายให้เป็นชิ้น ๆ ไปเลย นั่นก็คือการพิจารณากายคตาสติ ดูอาการ ๓๒ ภาษาอีสานเขาว่าอย่างนั้น เขาไม่ได้ใช้บาลีเท่านั้นเอง

เถรี
06-12-2013, 14:30
ถาม : พระอริยะที่เป็นพระท่านจะสึกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นจริง ๆ คิดว่าคงสึกยาก เพราะว่าด้วยความที่ท่านเคารพพระรัตนตรัยจริง ๆ แล้วตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยไปแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะสึกไปทำไม ? เพราะฉะนั้น..รีบเป็นเสียตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาสดีกว่า ถ้าเป็นตอนเป็นพระเดี๋ยวไม่ได้สึก..!

เถรี
06-12-2013, 14:38
ถาม : พระโสดาบันในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ยังไม่สามารถตัดกิเลสได้ จนมาเจอพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทำไมจึงไม่มีกล่าวในพระสูตรว่า พระโสดาบันได้มาอุบัติในชาตินี้แล้วก็ทำมรรคผลให้เกิด ?
ตอบ : ไม่ได้ให้รายละเอียดไว้ แต่ก็พอที่จะอนุมานได้ อย่างคู่ของปิปผลิมาณพกับนางภัททกาปิลานี ที่ตอนหลังก็คือพระมหากัสปะกับภัททกาปิลานีภิกษุณี คู่นี้แต่งงานกัน นอนหันหลังให้กันอยู่ตั้งหลายปี คาดว่าถ้าไม่ได้ถึงขนาดพระสกทาคามีหรือโสดาบันละเอียด ย่อมไม่มีทางทำได้

ถาม : หมายความว่าก่อนมาเกิดท่านเป็นพรหมมาก่อน ?
ตอบ : อาจจะใช่ อย่าลืมว่าจะเป็นพรหมหรืออะไรก็ตามเถอะ ลงมาโลกมนุษย์ก็กิเลสท่วมหัวเหมือนเดิม ยกเว้นอย่างเดียวว่าท่านต้องเป็นพระอริยเจ้าระดับนั้น เพราะว่าถ้าเป็นพระโสดาบันเอกพีชี หรือพระสกทาคามี รัก โลภ โกรธ หลง บางเต็มทีแล้ว ท่านถึงสามารถนอนหันหลังให้กันอยู่ตั้งหลายปี ของเราสมัยนี้ขนาดอยู่ปราสาท ๗ ชั้น ยังตะกายขึ้นไปหากันเลย

เพราะฉะนั้น..ในส่วนที่กล่าวถึงตรง ๆ นั้นไม่มี แต่ในส่วนที่เราพออนุมานได้ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีเหมือนกัน เพียงแต่ท่านไม่ได้บอกไว้ตรง ๆ เท่านั้นเอง

ถาม : เป็นเพราะว่าผู้ที่มาจากชั้นพรหมเป็นผู้ที่ได้ฌานมาก่อน แล้วอุุบัติมาในมนุษย์โลก ด้วยวิสัยเดิมที่ชอบใจในฌานหรือข่มกิเลสได้ ก็ทำให้ไม่ชอบในราคะ ?
ตอบ : ย้อนกลับไปที่ฤๅษีตกสวรรค์ กรณีนั้นเข้าอภิญญาด้วยซ้ำไป เหาะผ่านเห็นสาวอาบน้ำยังร่วงเลย แล้วนั่นท่านนอนอยู่ห้องเดียวกัน ถ้าไม่มั่นคงขนาดกำลังพระอริยเจ้าเอาไม่อยู่หรอก

ถาม : แต่ท่านไม่ได้กล่าวรายละเอียดไว้ ?
ถาม : ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรไว้ แต่นี่เป็นการอนุมานเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น

เถรี
06-12-2013, 15:46
ถาม : พระโสดาบันเวลาฌานเกิดขึ้นแล้วเสื่อมได้ไหมครับ ?
ตอบ : กำลังฌานเสื่อมได้ แต่ว่ามรรคผลที่ได้ไม่เสื่อม เพราะว่ากำลังฌานเนื่องด้วยกายมาก เอากำลังฌานแล้วใช้ปัญญาควบไปในการตัดกิเลส ตัดขาดแล้วขาดเลย เพราะฉะนั้น..ฌานเสื่อมได้ แต่มรรคผลไม่เสื่อม

ถาม : รวมถึงโลกุตรฌานไหมครับ ?
ตอบ : คำว่าฌานสมาบัติ พอถึงพระโสดาบันก็คือโลกุตรฌาน แต่ทีนี้ฌานสมาบัติเนื่องด้วยร่างกาย ถ้าร่างกายไม่ดีก็เสื่อม เอาแค่พระอัสสชิแล้วกัน นั่นพระอรหันต์นะ เวลาฌานเสื่อมถึงขนาดเจ็บปวดโอดโอย จนต้องส่งพระไปถามพระพุทธเจ้าว่า “ความดีของข้าพระพุทธเจ้าสูญไปหมดแล้วหรือ พระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ดูก่อน..อัสสชิ เธอเห็นร่างกายนี้เป็นของเธอหรือเปล่า ?” “ไม่ได้เห็นเลยพระเจ้าข้า” “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เสื่อม”

เพียงแต่สมาธิตก กำลังคุมร่างกายไม่ได้ อาการเจ็บปวดแสดงเต็มที่ ก็โอดโอยไปตามสภาพ เป็นปกติ เพียงแต่สภาพจิตของท่านที่ตัดกิเลสได้แล้วไม่ได้เสื่อม แค่กำลังสมาธิตก

เถรี
06-12-2013, 16:00
ถาม : เข้าสมาธินานดีกว่าเข้าน้อย ๆ จริงไหมครับ ?
ตอบ : ดีกว่าจริงนะ แต่ถ้าสำหรับท่านที่ไม่คล่องตัวจริง ๆ ก็ต้องพัก ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวน็อก โดยสภาพร่างกายแล้วตามปกติก็ต้องพักตามสภาพของเขา วิศวกรอาจจะบอกว่ารถยนต์เดินรอบเบา ดีกว่าไปดับทิ้งไว้เฉย ๆ เพราะอย่างน้อยการหล่อลื่นมีตามปกติ พอดับเครื่องทิ้งแล้วน้ำมันหล่อลื่นตกไปก้นแทงก์ กว่าจะดึงขึ้นมาใหม่ในระยะของการสตาร์ทใหม่ การสึกหรอจะมีมาก เราเองไม่ต้องไปดับเครื่องหรอก เราติดเครื่องไปตลอดก็ได้ ถ้าตามตำราเขาว่ามาก็ใช่ แต่เดี๋ยวน้ำมันหมด เพราะฉะนั้น..ให้พักบ้างเถอะ

ถาม : บางทีคิดจะนอนก็รู้สึกว่าเสียเวลา นั่งสมาธิสวดมนต์ก็ยังดี ?
ตอบ : อย่างไรก็ให้นอนหน่อยแล้วกัน ไม่ได้ ๘ ชั่วโมง เอาสัก ๒ - ๓ ชั่วโมงก็ยังดี

เถรี
07-12-2013, 19:14
ถาม : ในขณะที่เข้าฌาน กายก็ได้พัก หัวใจก็เต้นช้ามาก เบามาก ก็น่าจะเป็นการพักผ่อน ?
ตอบ : เป็น..แล้วก็เป็นการพักผ่อนที่แท้จริงด้วย แต่ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไปไม่ใช่การพัก เพียงแต่ว่าในสภาพของร่างกายของเรา ถ้าทำในลักษณะนั้นอยู่บ่อย ๆ เหมือนกับอวัยวะภายในบางส่วนได้พักไปด้วย เพราะว่าหยุดการทำงาน หรือว่าทำงานน้อยลง จริง ๆ จะว่าไปแล้วให้ผลดีมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป แต่ว่าในส่วนของสภาพร่างกายบางส่วน อย่างเช่นสมอง บางทีไม่ได้หยุดพักตามสภาพ อย่างน้อย ๆ ก็ปิดให้สักหน่อยก็ยังดี

ร่างกายของเราได้พักเป็นปกติ สภาพจิตไม่ได้หลับหรอก สภาพจิตตื่นรู้ของตนอยู่ จะหลับจะตื่นความรู้สึกเท่ากัน เพราะฉะนั้น..ร่างกายบางทีหลับได้ยินเสียงกรนด้วย แต่เอ๊ะ..เราไม่ได้หลับแล้วกรนได้อย่างไร ? ก็ตัวหลับไปแล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่เราว่ากำหนดจิตให้ตื่นเวลาไหน หรือว่าเราขอให้เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ แต่ถ้าตามประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาป่วยมาก ๆ บางทีก็ไม่มั่นใจเรื่องสมาธิตัวเอง ต้องขอเทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ อย่างเช่นว่าก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะเรียก ๑๕ นาที ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้รู้ตัวก่อน แล้วมีกำลัง มีสติเพียงพอที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ ถึงเวลาอยู่ ๆ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยคลายไปเฉย ๆ ลุกขึ้นนั่งพรวดพราดได้ หูตาสว่างเต็มที่ ดูนาฬิกาได้เลย ๑๕ นาทีพอดี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะโทรมา

การพักในฌานจริง ๆ จะว่าไปแล้วช่วยอะไรต่อมิอะไรได้เยอะมากเลย อย่างที่ฝรั่งเขาทดสอบพวกโยคี ขนาดจับฝังดินเป็นเดือน ๆ ขุดขึ้นมายังไม่เป็นไรเลย เพราะว่าระบบร่างกายหยุดหมด เหลือแต่ลมหายใจละเอียดซึ่งต้องการออกซิเจนน้อยมากเลย แค่โลงใบหนึ่งอากาศตั้งเท่าไร ใช้ได้เป็นเดือน

เถรี
07-12-2013, 19:25
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บุคคลที่ไม่มีลมหายใจมีอยู่ ๘ ประเภท คนสลบที่อาการเหมือนกับหลับลึก ก็คือประเภทนี้ อาการเหมือนกับคนไข้ช็อก แต่จริง ๆ แล้วคนที่จะสลบประเภทนี้ได้ ต้องมีพื้นฐานสมาธิมามากพอ ไม่ใช่สลบธรรมดา แต่เป็นสลบแบบเข้าฌาน

คราวนี้ภาษาชาวบ้านเขาใช้คำว่าสลบ แต่รู้อยู่ข้างใน แล้วคนประเภทนี้แหละที่เวลาหมอเขาผ่าตัดแล้ว โอ๊ย..เจ็บจะตายชัก เพราะรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ได้คลายสมาธิออกมา สลบแบบเข้าสมาธิ ท่านบอกว่า ทารกในครรภ์ บุคคลที่ดำน้ำ พรหมเทวดา บุคคลที่ถึงแก่วิสัญญีภาพไป ฯลฯ มีอยู่ ๗ - ๘ ชนิด รวมถึงบุคคลที่เข้าฌานสมาบัติในระดับสูง เป็นบุคคลที่ไม่มีลมหายใจ

เถรี
07-12-2013, 19:35
ถาม : เวลาร่างกายเราไม่ไหวมาก ๆ เราแค่บอกไปว่าเดี๋ยวก็ดีเอง
ตอบ : ระวังจะกองอยู่ข้างทาง ร่างกายของเรา เราสั่งได้ ก่อนจะถึงที่เหมาะสม อย่าเพิ่งปล่อย ถ้าคลายกำลังใจออก จะไปเลย

มีโยมอยู่คนหนึ่ง เป็นมาลาเรียเหมือนอาตมา แล้วเขาก็สงสัยว่าทำไมไปร่วงกลางทางประจำเลย เขาใช้คำว่า "หลวงพี่ยังทำได้เลย" อาตมาทำได้นี่ทำแบบไหน เขารู้ไหม ? ถ้าไม่ถึงที่ อาตมาไม่คลายกำลังใจออก ก็ไปได้ ของเขาไม่ดูตาม้าตาเรือ..ไปเรื่อย ๆ พอหมดสภาพก็ร่วง เพราะฉะนั้น..ถ้าถึงเวลาเราต้องสั่งร่างกาย ไปให้ถึงที่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ถาม : บอกภายในกายว่า ถ้าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเข้าออก ร่างกายยังไม่ร่วง เราก็ต้องอดทน ?
ตอบ : ถ้าจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน จะไม่รับรู้อาการของร่างกาย ก็ไปทื่อ ๆ เหมือนกับหุ่น บางทีร่างกายไม่ไหว เราก็ต้องเข็นไป อาตมาเดินบิณฑบาต เตะก้อนหินจนกระทั่งเล็บหลุดมาทั้งอัน แต่ไม่รู้ตัวหรอก ไปยืนรอรับบาตรแล้วพระเขาชี้ให้ดู โอ้โฮ...เลือดเป็นกองเลย ช่วงยืนรอรับบาตรจากโยมหน่อยเดียว เลือดไหลเรื่อย ตอนเดินก็ไม่รู้ตัว ตอนยืนมากองให้เห็นถึงจะรู้ อ้าว..ตายห่..เล็บหายไปอันหนึ่งแล้ว

อย่าพยายามเข็นมากนัก หากว่าพักได้รักษาได้ก็จัดการเสียก่อน ช่วยให้อยู่ในสภาพที่ไม่ชำรุดมากนัก ถ้าเราจำเป็นต้องใช้ต่อ จะได้อยู่ในลักษณะพอมีคุณภาพบ้าง ถ้าชำรุดมาก ๆ เดี๋ยวหมดคุณภาพขึ้นมา ก็รวนแย่เหมือนกัน

เถรี
07-12-2013, 19:42
ถาม : อย่างกำหนดนั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง เราเกิดฟุ้งซ่าน เราควรจะนั่งครบครึ่งชั่วโมงไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้ครบ ตั้งใจว่าไม่ครบไม่เลิก ร่างกายของเราพอโดนบังคับเข้าบ่อย ๆ รู้ว่าไม่ถึงเวลาไม่ได้เลิก ท้ายสุดก็จะยอมรับเอง แต่ส่วนใหญ่พอกวนหน่อย เราก็..เลิกก็ได้วะ แบบนี้ก็เสร็จ..!

ถาม : อะไรกวนคะ ?
ตอบ : กิเลสกวน กิเลสที่อาศัยร่างกายเขาเรียก ขันธมาร กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจเรียกว่า กิเลสมาร กิเลสที่อาศัยผู้อื่นเขาเรียกว่า เทวปุตตมาร กิเลสที่อาศัยการปรุงแต่งของสภาพจิตใจของเรา ไม่ว่าจะไปในเรื่องของกุศล อกุศล เขาเรียก อภิสังขารมาร แล้วพวกสุดท้ายไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็พาเราตายไปเลย เรียกว่า มัจจุมาร

เถรี
07-12-2013, 19:48
ถาม : เวลาพระเจริญสมาธิ เวลาท่านเห็นร่างกายคนอื่นเป็นอสุภะ ท่านเห็นตลอดเวลาหรือเฉพาะเวลาท่านเจริญกรรมฐานครับ ?
ตอบ : ก็ต้องไปถามท่านเอง ว่าท่านทรงอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า ? เพราะในลักษณะนั้นเป็นการทรงฌานในอสุภกรรมฐาน ถ้าคลายสมาธิลงก็จะไม่เห็น ถ้าทรงสมาธิอยู่ก็จะเห็น ต้องถามท่านว่าทรงอยู่ตลอดหรือเปล่า ถ้าทรงเป็นระยะก็เห็นเป็นระยะ ถ้าทรงเฉพาะตอนปฏิบัติก็เห็นแค่ตอนนั้น

ถาม : เวลาเห็นอสุภะต้องพิจารณาเพศตรงข้ามหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามตำราจริง ๆ ท่านบอกว่า ให้พิจารณาร่างกายของเพศเดียวกัน เพื่อป้องกันกามราคะกำเริบ เพราะถ้าไปคิดถึงเพศตรงข้าม เผลอเมื่อไรเดี๋ยวจิตจะปรุงแต่งไปเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง แต่สมัยนี้ที่ชอบเพศเดียวกันก็มี เพราะฉะนั้น..ให้ไปพิจารณาเพศที่เราไม่ชอบก็แล้วกัน

เถรี
07-12-2013, 19:51
ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างไรครับว่า ตอนไหนควรพิจารณาเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะเราต้องรู้ว่าคันนี้เป็นรถวอลโว่ คันนี้เป็นรถเบนซ์ นี่เป็นหญิงชื่อคนนั้นคนนี้ ?
ตอบ : แสดงว่าเรายังคุมกำลังใจไม่ได้ ถ้าตราบใดที่การรับรู้เริ่มขยายมากขึ้น จิตจะปรุงแต่งมากขึ้น กิเลสก็จะกินเราได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ในตอนฝึกใหม่ ๆ จะเหมือนกับคนไม่เอาใคร เพราะจะเอาแต่รักษากำลังใจตัวเอง จะเข้าสังคมกับเขายาก จนกว่าจะเกิดความคล่องตัว สามารถตั้งกำลังใจเมื่อไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นจึงจะกลับไปเป็นคนปกติอีกทีหนึ่ง

ถาม : เราจะรู้ว่าเป็นธาตุ เราต้องรู้ว่าเป็นหญิงชายก่อนไหมครับ ?
ตอบ : เขาเห็นจนกระทั่งจิตยอมรับจริง ๆ ว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมา ในเมื่อเห็นในลักษณะนั้นก็เลยสักแต่เห็นว่าเป็นรูป เห็นว่าเป็นธาตุ การปรุงแต่งของใจจะไม่มี แต่ก่อนที่จะถึงระดับนั้น เผลอเมื่อไรก็ปรุง

เถรี
07-12-2013, 20:03
ถาม : สุภสัญญา ของที่ไม่สวยงามกลายเป็นของสวยงาม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วในความหมายของเขา สุภสัญญาจัดเป็นวิปลาสอย่างหนึ่ง คำว่าวิปลาสก็คือความเห็นผิด สภาพทั่ว ๆ ไปของร่างกายของบุคคลชายหญิง ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ มีเลือด มีน้ำเหลือง น้ำหนอง มีความสกปรกเป็นปกติ แต่ปัญญาเราไม่พอ เลยไปเห็นว่าสวยงาม

ในเมื่อเราไปเห็นว่าสวยงามขึ้นมา ก็เลยทำให้เราไปยึดไปเกาะ ในเมื่อเกิดความยึดเกาะในร่างกายของตนเอง เกิดความยึดเกาะในร่างกายของคนอื่น ก็ไม่สามารถจะพ้นไปได้ เขาเรียกว่าวิปลาสในอสุภสัญญา ว่าเป็นสุภสัญญา คือเห็นของไม่สวยงามเป็นของที่สวยงาม ต้องแก้ไขโดยการให้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือให้ไปเจริญอสุภกรรมฐาน

เถรี
07-12-2013, 20:04
ถาม : ในกรณีที่ว่าพระไปบิณฑบาตแล้วได้ของกินที่ดูไม่ได้ ท่านทำใจอย่างไรให้บริโภคอาหารเข้าไปได้ ?
ตอบ : พิจารณาว่าเรากินเพื่อรักษาอัตภาพร่างกายนี้ไว้ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ถึงจุดหมายที่ตัวเองต้องการเท่านั้น เพราะว่าอาหารจะอร่อยหรือไม่อร่อย ประณีตหรือไม่ประณีตก็ตาม ถึงเวลากินลงไปแล้วก็ย่อยสลายออกมา กลายเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดเหมือน ๆ กันหมด ในเมื่อมองในลักษณะนั้น ท้ายสุดก็ฝืนกินลงไปจนได้

ต้องดูที่พระพุทธเจ้าบิณฑบาตครั้งแรก พระองค์ท่านเห็นอาหารแล้ว เหมือนกับลำไส้จะปลิ้นออกมาทางด้านนอก ก็คือจะอ้วก เพราะว่าอยู่ในวังเคยเจอแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น ไปเจออาหารชาวบ้านจึงฉันไม่ได้ ท้ายสุดก็ตัดใจว่า ถ้าเราไม่สามารถที่จะละสิ่งทั้งหลายแค่นี้ได้ เราก็ไม่สามารถจะไขว่คว้าหาโมกขธรรมที่เราต้องการได้ ในเมื่อการเจตนา ตั้งใจหาโมกขธรรมของเรา เพื่อช่วยเหลือคนหมู่มาก ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ พระองค์ท่านก็ฉันลงไป

เถรี
07-12-2013, 20:13
ถาม : อานาปานสติยกขึ้นสู่อรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : อานาปานสติจริง ๆ เป็นส่วนของอรูปฌานอยู่แล้ว เพราะว่าอรูปฌานไปจากรูปฌานนั่นแหละ เพียงแต่อาศัยกสิณกองใดกองหนึ่ง ที่ไม่ใช่อากาสกสิณ ถึงเวลาแล้วก็เพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วก็หันไปพิจารณาแทน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของอานาปานสติต้องมีอยู่เป็นปกติ แต่มีอยู่ในลักษณะเข้าถึงความชำนาญ อยากได้ระดับใดก็เข้าถึงระดับนั้นแล้ว แล้วถึงไปจับเรื่องอรูปฌานได้

ถาม : ที่บอกว่าอานาปานสติมีอรูปฌานอยู่แล้วในตัว ?
ตอบ : อรูปฌานเป็นอานาปานสติอยู่ในตัวอยู่แล้ว

ถาม : ลมหายใจนี่เป็นรูป ?
ตอบ : เป็น..สามารถสัมผัสได้ สามารถกำหนดได้ ถึงเวลาเขาก็จะเข้าไปตามระดับของเขาเลย ในเมื่อเข้าตามระดับของเขาเลย จึงไม่ไปตามขั้นตอนของรูปฌานตามปกติ เพราะว่าเราทำรูปฌานตามปกติจนคล่องตัวระดับเข้าออกเมื่อไรก็ได้แล้ว ก็อาศัยกำลังนั้น พอไปเพิกภาพเสีย ก็เข้าไปตามระดับสมาธิที่ตนเองต้องการ พูดง่าย ๆ ว่าแทบไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นลมหายใจเลย กระโดดข้ามบันไดไปที่ละขั้นตามที่ตนเองต้องการได้เลย

เถรี
09-12-2013, 20:18
พระอาจารย์เล่าว่า "พุทธาภิเษก ๒ ครั้งหลัง อาการหนักหน่อย พอนั่งลง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็นั่งทับกองวัตถุมงคลเลย ท่านนั่งเคี้ยวหมาก "บอกพระครูองอาจด้วย อะไรที่ไม่ใช่พระ..เสกยาก อย่าใส่เข้ามามากนัก" อาตมาเลยถามหลวงพี่องอาจว่าหลวงพ่อว่าอย่างนี้ หลวงพี่ท่านก็..แหะ ๆ "ก็มีบ้าง" ก็มีบ้างนี่คงเป็นคันรถแล้ว

ปรากฏว่าไปงานหลวงพ่อสิงห์เหมือนกันเลย ช้างเต็มคันรถ เจอไปเป็นชั่วโมง ลืมโลกไปเลย เพราะเสกของที่ไม่ใช่พระให้มีอานุภาพเหมือนพระ..ยากมาก ถ้าเป็นรูปพระอยู่จะเสกง่ายกว่า"

เถรี
09-12-2013, 21:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติออกพรรษาแล้ว อาตมาจะไปไหว้พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และวัดปฐมเจดีย์ ตอนนี้ยังขาดพระพุทธชินสีห์อยู่ เพราะหาจังหวะไปไม่ได้ คนเยอะ ปกติจะเปิดทุกวันพระ"

เถรี
09-12-2013, 21:37
ถาม : ถ้าสมมติเป็นลูกยาเธอ เป็นเจ้าฟ้า พอบวชได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า จะใช้ฉัตรสามชั้นหรือฉัตรตามยศตัวเองครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วก็แค่ ๓ ชั้น อยู่ที่ว่าจะได้รับพระราชทานพิเศษหรือเปล่า ? ในอดีตมายังไม่มีเจ้าฟ้ามาบวชจนถึงระดับพระสังฆราช มีแต่ระดับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้า

เถรี
09-12-2013, 21:54
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไร...เดี๋ยวค่อยชวน เดี๋ยวเขาใจอ่อนก็มาเอง สมัยฆราวาสอาตมาใช้เวลา ๗ ปี พาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเข้าวัด แรก ๆ อาตมาเขียนบทความเกี่ยวกับการสะสมดวงตราไปรษณียากรหรือแสตมป์ เขียนไปเขียนมา ก็มีการแจกแสตมป์ เขาก็ติดต่อมา หลังจากนั้นก็เห็นว่าบ้านใกล้กัน เลยไปมาหาสู่กัน

คราวนี้เวลาไปไหนเขาก็ไปด้วย เพราะเขายังไม่มีเพื่อนผู้ชาย จะไปกินไปเที่ยวไปดูหนังฟังเพลงอะไรก็ไป แต่ถ้าถึงเวลาวัดท่าซุงมีงาน หรือว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาบ้านสายลม อาตมาจะบอกเขาว่า ช่วงนี้ไม่ไปด้วย เพราะต้องไปวัด เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขอตามมา ปีหนึ่งก็แล้ว ๒ ปีก็แล้ว ๓ ปีก็แล้ว ๗ ปีผ่านไป เขาถามว่าวัดมีอะไรดี ถึงได้ไปทุกเดือน เลยบอกเขาว่าถ้าอยากรู้ให้มาเอง เขาก็ตามมา ปรากฏว่าเอาเขาไปฝึกมโนมยิทธิแล้วได้เลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ต้องเสียเวลาชวน เขามาเอง

ต้องบอกว่าบางทีกว่าวาระเขาจะเปิดให้ก็นาน แรก ๆ ถ้าอยู่ ๆ เราไปนำเสนอ ถ้าเขาไม่สนใจก็ไม่ว่า แต่ถ้าอาจจะมีการปรามาสแล้วจะเกิดโทษกับตัวเอง ก็เลยใช้วิธีนี้แหละ ถึงเวลาไปไหนไปด้วย แต่ถ้าตรงกับบ้านสายลมหรืองานที่วัดก็ทิ้งเขาไปงานที่วัด เลยเป็นการวัดความอดทนว่าใครทนกว่า อาตมาไม่ได้ทนหรอก เพราะทำเป็นปกติอย่างนี้อยู่แล้ว

แต่ฝ่ายที่ต้องทนก็คือเขา เพราะปกติไปไหนไปด้วย พอมีงาน..ก็ไม่ไป ๆ ในที่สุดเขาแปลกใจ เอ่ยปากถามเอง กว่าจะถามผ่านไป ๗ ปีเต็ม ๆ ตั้งแต่อาตมาอายุ ๑๘ ปี จนถึงอายุ ๒๕ ปี แล้วหลังจากนั้น ๒ ปี เขาเข้าวัดเอง พอปีที่ ๓ อาตมาก็บวช สรุปว่า ๘ ปี ถ้าอาตมาบวชเสียก่อนเขาคงไม่ได้เข้าวัด

เถรี
09-12-2013, 22:13
บางคนอาจจะสงสัยว่า อายุแค่ ๑๗ - ๑๘ ปี เขียนบทความลงนิตยสารให้เขาได้ อาตมาเขียนหากินตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ...(หัวเราะ)... เขียนบทความ เขียนเรื่องสั้น เขียนสารคดี สารคดีเขียนยากที่สุดเพราะว่าต้องมีการอ้างอิง มีการค้นคว้าข้อมูลที่ชัดเจน บทความไม่หนักขนาดนั้น

เรื่องสั้นนี่โม้ได้เลย แรก ๆ ก็ได้ค่าเขียนหน้าละ ๕๐ บาท อยากได้เงินเยอะก็เขียนเยอะหน่อย ไป ๆ มา ๆ มีคนติดตามมากขึ้น ๆ เขาเพิ่มให้หน้าละ ๗๕ บาท แต่อาตมาเสียท่าเขาเพราะว่าต้นฉบับเขียนด้วยลายมือ แล้วลายมือตัวเล็ก คนลายมือตัวใหญ่เขาได้เปรียบ รับหน้าละเท่ากัน สมัยนั้นกระดาษเอสามด้วย ไม่ใช่เอสี่ ได้ยินทีหลังว่า บก.ต้องเอาไปพิมพ์ดีดให้อีกที แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่อเขาไม่ได้ว่าอะไร อาจเป็นเพราะดูลายมือแล้วสบายตา ก็ปล่อยเลยตามเลย เขียนไปเรื่อย

เถรี
09-12-2013, 22:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นในเว็บต่าง ๆ เขาเอาวัตถุมงคลของอาตมาไปออกกันเป็นที่ครึกครื้นรื่นเริง ต่างคนต่างก็อ้างว่าเป็นสายตรง ใกล้ชิด บอกเขาไปเลยว่า กระทู้ไหนที่ไม่มีพระขรรค์โสฬส ๘๔ ปีธรรมิกราช มาออกก็ไม่ใกล้ชิดจริงหรอก หรือถ้าจะให้ใกล้ชิดจริง ๆ ต้องเอาไม้ครูมาออก ไม้ครูทำเลียนแบบได้ แต่ลายมือเลียนแบบไม่ได้"

เถรี
10-12-2013, 19:08
พระอาจารย์เล่าว่า "ส่วนใหญ่เวลาเจ้าใหญ่นายโตไปตามหาถึงวัดท่าขนุน ถามหาวัตถุมงคลรุ่นนั้นรุ่นนี้ เรียนท่านไปว่าขนาดคนทำยังไม่มีเลย..!

ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙ ท่านมาหา ส่วนใหญ่แล้วข้าราชการที่ย้ายมาจากที่อื่น พอถึงเวลาย้ายเข้าพื้นที่ตรงไหน ก็ให้ลูกน้องไปเสาะหาว่ามีครูบาอาจารย์อะไรที่ชาวบ้านแถวนั้นเขานับถือ แล้วไปกราบ ก็ถือเป็นนโยบายที่ดี โดยเฉพาะนายอำเภอทุกท่านที่ย้ายเข้าทองผาภูมิ ต้องเข้าวัดท่าขนุนก่อน ...(หัวเราะ)...

นายอำเภอบางท่าน อย่างท่านเลิศพรชัย ชัยฤทธิ์ ตัวเล็กนิดเดียว ขยันอย่าบอกใคร วัน ๆ ไม่ได้อยู่เฉยเลย เป็นนายอำเภออยู่ ๒ - ๓ ปี เข้าวัดนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่กิจกรรมรวมชาวบ้านก็มักจะอาศัยวัดเป็นหลัก ท่านเองก็ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย เวลาไปร่วมงานส่วนใหญ่ก็ประกาศเชิญท่านเป็นประธานฝ่ายฆราวาสอยู่แล้ว"

เถรี
10-12-2013, 19:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาไปดูในเว็บไซต์ต่าง ๆ เขาเขียนถึงบรรดาครูบาทางเหนือ ใช้คำว่า "ครูบาเจ้า" ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะคำว่าครูบาเจ้ามีที่มาที่ไปชัดเจน อันดับแรกคือบุคคลที่มีเชื้อสายเจ้า ๗ ตนของทางเหนือบวชเข้ามา ชาวบ้านจะเรียกว่าครูบาเจ้า อย่างเช่น ครูบาเจ้าเกษม เขมโก วัดสุสานไตรลักษณ์ ท่านเป็นเชื้อเจ้าลำปาง

อีกส่วนหนึ่งก็คือ เขาทำพิธียกขึ้น เป็นพระที่ได้รับความเคารพจากชาวบ้านมากเป็นพิเศษ ทำพิธีสวดยกขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ให้ยกขึ้นเป็นครูบาเจ้า อย่างเช่น ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง ถ้าไม่ได้อยู่ใน ๒ ฐานะนี้ เรียกว่าครูบาเจ้าไม่ได้

ปัจจุบันนี้เชื้อสายเจ้า ๗ ตนก็หายากมาก โอกาสแทบไม่มี ครูบาเจ้าที่ได้รับการสวดยกขึ้น ปัจจุบันนี้ได้ยินอยู่ท่านเดียว ก็คือครูบาเจ้ามนตรี ธมฺมเมธี วัดสุโทนมงคลคีรี ที่จังหวัดแพร่ ทางด้าน ๑๒ ปันนาทำพิธีสวดยกขึ้น เพราะว่าท่านไปสร้างคุณประโยชน์ให้กับเขามาก

บางทีหนังสือพิมพ์บางแห่งเขาใช้คำว่าครูบาบ่มแก๊ส เร่งให้โตเร่งให้สุก เพราะปกติส่วนใหญ่สมัยก่อนจะบวชกันมา ๒๐ - ๓๐ พรรษา สร้างคุณประโยชน์ให้กับชาวบ้านมาก เขาถึงได้เรียกว่าครูบา ซึ่งมาจากครูบาอาจารย์นั่นแหละ อย่างสมัยก่อนเรียก บาจารี ก็คืออาจารย์ผู้เป็นแบบอย่าง เป็นทั้งครู เป็นทั้งอาจารย์เขา ก็เลยเรียกสั้น ๆ ว่าครูบา

ปัจจุบันนี้ในเมื่อต่างคนต่างเรียกกันเป็นปกติ ก็เรียกกันไปตามนั้น แต่ถ้าถึงขนาดครูบาเจ้า อาตมาซึ่งรู้ที่มาที่ไป รู้สึกค่อนข้างจะเกินไป คือคนเรียก ๆ ด้วยความเคารพแต่ไม่รู้ที่มา คนรับก็ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ทักท้วงบ้างหรือเปล่าว่าไม่ถูกต้อง เลยจะทำให้ไปกันใหญ่ จำเป็นที่จะต้องคอยเตือนสติกันไว้หน่อย ถ้าไม่รู้ธรรมเนียมเก่า ๆ แล้วไปทำผิด ก็จะผิดต่อไปเรื่อย ๆ"

เถรี
10-12-2013, 20:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "การสวดยกพระภิกษุสงฆ์ขึ้นไปสู่ตำแหน่งอันเป็นที่เคารพ ถ้าว่าตามแบบพวกเราก็จะมีพิธีมหาสมณุตมาภิเษก คือการยกสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีอยู่แค่ ๓ พระองค์เท่านั้น ที่เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เพราะว่าได้รับพิธีมหาสมณุตมาภิเษกยกขึ้นให้เป็น และทั้ง ๓ พระองค์นี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระปรมานุชิตชิโนรส สังกัดมหานิกายอยู่พระองค์เดียว

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปัจจุบันนี้ยังมีพระราชาฐานานุกรมของท่านอยู่ ยังมีพระปลัดซ้าย ปลัดขวา ปลัดกลาง

ปกติในสมัยปัจจุบันจะมีแค่พระครูปลัด ถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชจะมีพระมหานายก พระจุลนายก แต่ว่าในสมัยโบราณจะมีพระปลัดซ้าย ปลัดขวาอยู่ จะมีพระทักษิณคณิสร พระอุดรคณารักษ์ เป็นปลัดซ้ายขวา ปลัดกลางเขาเรียกว่า พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ พระราชาคณะปลัดกลาง มีวัดเดียว เป็นพระราชาคณะสถาปนาคอยดูแลพระอัฐิ ฉะนั้น ๓ ตำแหน่งนี้เป็นของวัดโพธิ์อย่างเดียวเลย วัดอื่นมีไม่ได้"

เถรี
10-12-2013, 20:27
พระอาจารย์เล่าว่า "เชือก ๓ ปม ของวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่าเชือกสงคราม สมัยก่อนหลวงปู่รอด นครสวรรค์ ท่านถ่ายทอดวิชานี้สืบต่อกันมา แต่เวลาขอดเชือกต้องกลั้นหายใจว่าคาถา การกลั้นหายใจว่าคาถาบังคับให้สมาธินิ่ง พอถึงเวลาหลวงพ่อท่านออกมานั่งรอเวลาฉันเพล มาถึงท่านก็ม้วนดึง ม้วนดึง ม้วนดึง หายใจเฮือก "เฮ้อ..ตอนหนุ่ม ๆ ไม่เห็นเหนื่อยอย่างนี้วะ ตอนแก่แล้วกลั้นหายใจนาน ๆ ไม่ไหว"

ความจริงหลวงพ่อทำตามตำรา ตรงไปตรงมา ถ้าเป็นอาตมาเองแหกคอกกระจายไปแล้ว ในเมื่อต้องการสมาธิ ก็เข้าสมาธิให้สูงไปเลย หมดเรื่องหมดราว แต่ก็ว่าไม่ได้..วิชาของโบราณนี่แปลก อาตมาเคยแหกคอกมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ถึงจะรู้ว่าเข้าสมาธิระดับนั้น แต่ถ้าไม่ทำตามเคล็ดของเขาก็ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ประเภทแหกคอกกระจายอย่างอาตมาไม่ค่อยจะสำเร็จหรอก

หลวงพ่อท่านเรียนวิชาขอดเชือกนี้มาตั้งแต่ก่อนจะบวช แสดงว่าได้รับการถ่ายทอดมานานมาก สมัยที่ท่านเป็นทหารอยู่แล้วต้องไปรบในสงครามมหาเอเชียบูรพา ท่านทำเชือกให้ทหารในหมวดของท่าน ถึงเวลาขอดเสร็จก็วางให้ยิงเลย ยิงออกแต่ไม่ถูกสักนัด จ่อยิงเลยก็ไม่ถูกอีก เขาถึงได้ต้องการ ท่านเลยต้องไปขอดให้ลูกน้องทั้งหมวด อย่างไม่มี ๆ ก็หมวดละ ๓๐ กว่าคน"

เถรี
11-12-2013, 12:24
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถระ) พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่มหาอำพัน ท่านไปสร้างวัดไว้ ๓ วัด คือวัดจุฬามณี วัดตรีรัตนาราม วัดสนามรัตนาวาส หลวงปู่มหาอำพันท่านเห็นว่าวัดสนามรัตนาวาสทรุดโทรมมาก ท่านจึงไปบูรณะให้

ปัจจุบันหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ท่านก็สร้างวัดพุทธานุภาพ วัดธรรมานุภาพ วัดสังฆานุภาพ"

เถรี
11-12-2013, 12:26
ถาม : เตียงนอนที่คนอื่นเขานอนสบายกัน แต่ผมนอนทีไรปวดหลังทุกที เป็นเพราะว่าเป็นกรรมอะไร ?
ตอบ : พวกกรรมกรเก่าเหมือนอาตมา อาตมาก็นอนเตียงไม่ได้ นอนเตียงทีไรปวดหลังแทบตาย ขนาดไปยุโรป ค่าห้องคืนหนึ่ง ๗๐๐ ยูโร ประมาณ ๒๘,๐๐๐ บาท อาตมายังต้องไปนอนกับพื้นเลย..!

ถาม : เป็นนิสัยเก่าที่ติดมาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่รู้..อาตมาคงทำทาสทานมา ให้ของไม่ดีคนอื่นไว้เยอะ ถึงเวลาใช้ของดีไม่ได้ ต่อไปถึงเวลาจะทำอะไร ต้องให้แต่ของดี ๆ

หลวงปู่มหาอำพันเวลาจะทำบุญท่านประณีตมาก คัดแล้วคัดอีก รองเท้าต้องซื้อที่ร้านนี้ ร่มต้องซื้อร้านนี้ ผ้าไตรจีวรต้องซื้อร้านนี้ ย่ามต้องซื้อร้านนี้ คนที่เหนื่อยที่สุดคือพี่พรทิพย์กับพี่รุ่งเรือง ท่านจะเน้นเลยว่าร้านนี้ของอย่างนี้คุณภาพดี ต้องร้านนี้เท่านั้น บางร้านอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ ท่านก็ยังตามเป็นลูกค้าอยู่เพราะเขาขายของมีคุณภาพ เขารักษาชื่อเสียง ยังดีที่หลวงปู่มหาอำพันไปพระนิพพานแล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดใหม่คงมีของประณีตทุกชิ้น พวกเราทำทาสทานไว้เยอะ จงยอมทนต่อไปเถอะ..!

เถรี
11-12-2013, 12:33
ถาม : ถ้าทำกรรมฐานแต่ไม่พิจารณา กิเลสจะดึงกำลังไปนาน ประเภทเอาไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ถ้าจะแงะกิเลสตัวนั้นออกได้ต้องเข้าถึงสมาธิระดับเดิมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงระดับเดิมก็ได้ แต่ให้ถึงปฐมฌานขึ้นไปจะกดกิเลสได้ชั่วคราว

เวลากิเลสพาเราเตลิดไปแล้ว จะเอาคืนยากมาก หลายวันเชียวกว่าจะได้คืน ฉะนั้น..อย่าเผลอปล่อยให้เป็นทีของเขา ต้องพยายามให้เป็นทีของเราไว้เสมอ ถ้าไม่สามารถรักษาอารมณ์ให้หลับกับตื่นรู้ตัวเท่ากันได้ ก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาหาความดีใส่ใจให้เร็วที่สุด เพราะว่าความดีความชั่วเข้ามาในใจของเราได้อย่างเดียว ไม่สามารถจะชั่วกับดีปนกันได้ ถ้าให้ความชั่วเข้ามาก่อน เราก็ฟุ้งซ่านเดือดร้อนทั้งวัน ถ้าให้ความดีเข้ามาก่อน ความชั่วเข้าไม่ได้ เราก็มีความสุข เย็นกายเย็นใจไปทั้งวัน แต่ถ้ากำลังไม่พอ อาจจะได้ชั่วโมงเดียว ก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่

เถรี
11-12-2013, 12:45
พระอาจารย์เล่าว่า "ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น อาตมาจะถือเรื่องเรียนเป็นใหญ่ พอดีว่าเพื่อนร่วมกลุ่มทำโครงร่างวิทยานิพนธ์เสร็จช้า ทางมหาวิทยาลัยไม่มีวันให้สอบ แล้วอยู่ ๆ ก็แจ้งด่วนมาถามว่า จะสอบร่วมกับทางรัฐประศาสนศาสตร์ไหม ? ก็เรียนท่านไปว่า ถ้าสอบได้ก็เอา ปรากฏว่าวันสอบของรัฐประศาสนศาสตร์ตรงกับวันตักบาตรเทโว ไปถึงแล้วอาจารย์เพิ่งนึกได้ ท่านบอกว่า "ผมลืมไปจริง ๆ ครับว่ามีวันตักบาตรเทโว ห่างวัดไปหน่อย" อาตมาบอกว่า "ไม่เป็นไรครับอาจารย์ อย่างเก่งผมขาดรายได้ไป ๑๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้นเอง" คนทั้งอำเภอเตรียมมาตักบาตร ทาง ททท. เตรียมกล้องมาถ่ายสารคดี แต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ เสียท่าเลย จะเห็นว่างานสำคัญระดับ ททท. จะยกเป็นแหล่งเที่ยวของจังหวัดก็ยังต้องทิ้ง เอาเรื่องเรียนไว้ก่อน

จากที่ไม่มีวันสอบ คาดว่าต้องหลุดถึงปีหน้าแน่ ๆ กลายเป็นสอบก่อนเพื่อนเลย เพื่อนฝูงเขาโวยวายว่าแซงทางโค้งเขาไปเมื่อไร อาตมาก็รู้สึกดีใจที่ได้สอบก่อนเพื่อน ตอนแรกก็คิดว่าผลสอบออกมา ๒ อย่าง อย่างแรกคือโดนอาจารย์สับเละเป็นโจ๊ก อย่างที่สองก็คือ อาจจะไปสร้างมาตรฐานใหม่จนเพื่อนเดือดร้อน แต่ก็ดีใจที่ได้สอบก่อน เพราะว่าท่านที่หัวข้อวิทยานิพนธ์ใกล้เคียงกัน อาจจะโดนอาจารย์เปลี่ยนหัวข้อ พวกสอบก่อนจึงได้เปรียบ

พอเข้าไปสอบเข้าจริง ๆ ปรากฏว่า ตัวประธานคณะกรรมการสอบ คือท่านเจ้าคุณพระเมธาวินัยรส ของมหามกุฏราชวิทยาลัย การสอบของพวกเราอาจารย์ที่ปรึกษาไม่มีสิทธิ์เลย เขาเอาอาจารย์ข้างนอกมาลุยเรา

อยากให้การสอบทุกครั้งเป็นแบบนี้ ท่านอาจารย์จะนั่งปรึกษากันว่า ลูกศิษย์จะทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ท่านมีความเห็นว่าเป็นไปได้ไหม ? มีอะไรต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างไร ? ท่านอาจารย์ตกลงกันได้แล้ว ค่อยมาบอกเราทีละข้อ ๆ อะลุ้มอล่วยดีมากจนกระทั่งคิดไม่ถึง ไม่นึกว่าจะมีการสอบในลักษณะนี้ เพราะว่าของรัฐประศาสนศาสตร์สอบอาตมาก็ฉวยโอกาสไปนั่งดู เห็นว่าโดนท่านอาจารย์สับเละเป็นโจ๊กไปเลย

อาจจะเป็นไปได้ว่า พอเห็นเขาสับทางด้านโน้นอยู่ อาตมาก็นั่งภาวนา พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต ไปเรื่อยเปื่อย พอถึงเวลาตัวเองเข้าไปสอบกลายเป็นหนังคนละม้วน สรุปว่าใช้คาถาให้เป็น ปกติเขานึกถึงหน้าอาจารย์แล้วค่อยภาวนา นี่ไม่ต้องนึก ท่านอยู่ตรงหน้าเลย

ลูกศิษย์มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเป็นอย่างนี้ มีท่านใดเห็นเป็นอื่นบ้างไหมครับ ? มีท่านใดเห็นว่าควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงตรงไหน ? ท่านอาจารย์นั่งเถียงกันเป็นสิบ ๆ นาที ตกลงกันได้แล้วว่าจะเอาอย่างนี้นะ ให้นิสิตเปลี่ยนตามนี้ ๆ สรุปว่าท่านอาจารย์เขียนให้ทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเขียนผ่านมือของพวกเราเอง"

เถรี
11-12-2013, 12:48
พระอาจารย์เล่าว่า "ในหลวงรัชกาลที่ ๕ คบหาสมาคมกับต่างประเทศมาก พระองค์ท่านเสวยพระสลา (หมาก) พระทนต์ (ฟัน) ก็ดำ คราวนี้พอชาวต่างประเทศมา ก็ต้องไปขัดพระทนต์ให้ขาว ไม่สนุกเลย เพราะว่ายางหมากเวลาจับฟันจะดำ ถ้าอยากรู้ว่าดำอย่างไรต้องดูหนังเรื่องแม่นาค ดำแบบนั้นแหละ แต่หนังเรื่องแม่นาคตั้งใจย้อมจนเกินไป ของจริงไม่ดำสม่ำเสมอแบบนั้น ถ้าเด็ก ๆ ไปดูหนังเรื่องแม่นาค แล้วปากอาจจะจัดขึ้น แต่ละคนด่าไฟแลบเลย..!"

เถรี
12-12-2013, 09:39
ถาม : ถ้าเราทำบุญสังฆทานไป ผู้ตายเขาจะได้รับหรือไม่คะ ถ้าอาหารนั้นไม่ได้เป็นอาหารสด ?
ตอบ : ถ้าเขาโมทนาได้ก็ได้รับทั้งนั้น ในสังฆทานมีอาหารอยู่แล้ว จะสดหรือแห้งก็ทำให้เขามีความอิ่มทิพย์

เถรี
12-12-2013, 09:44
ถาม : การช่วยเหลือคนอื่นไม่ว่าเป็นญาติก็ดีหรือไม่เป็นญาติก็ดี เราควรวางกำลังใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราครับ ?
ตอบ : ก็คือเมตตาพรหมวิหารนั่นแหละ เพียงแต่ต้องขีดขอบเขตให้ชัดเจน เพราะว่าถ้าไม่ชัดเจน การช่วยเหลือสงเคราะห์เพศตรงข้ามจะทำให้เขาเข้าใจผิดด้วย ถ้าเขาเข้าใจผิดว่าเราไปช่วยเขาเพราะเราชอบเขา นั่นยังไม่มีปัญหา แต่ถ้าเขาชอบเราคืนมาจะเฮงไม่รู้จบ..!

เถรี
12-12-2013, 09:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "บริษัทที่รับสร้างพระไพรีพินาศเขาเสนอราคามาสูง อาตมากดราคาลดฮวบลงไปแล้ว เขาบอกว่าขาดทุน แต่ก็อาสาจะทำ ก็เลยงง ๆ ว่าโลกนี้มีคนดีขนาดนี้ด้วยหรือ ?"

เถรี
12-12-2013, 09:58
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาคาถาเงินล้านไปภาวนา ให้ตั้งใจทำจริง ๆ ทำด้วยความเคารพ ถ้าทำจริง ๆ รับรองว่ามีความคล่องตัวแน่ ๆ ส่วนใหญ่พอให้ไปทำเองแล้วไม่ค่อยจะทำกัน

ในตัวคาถาเงินล้านจะมีคาถาปัดอุปสรรค คาถาให้สำเร็จ และคาถาเรียกเงิน ปนอยู่ในนั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ถ้าเวลามีไม่มากก็เอาวันละ ๑๐๘ จบก็พอ ถ้ามีเวลามาก ๆ อย่างอาตมาภาวนาวันละ ๑,๐๐๐ จบ ทำให้สม่ำเสมอ ทำได้มากที่สุดเท่าไรให้ทำเท่านั้น สัก ๒ เดือนเห็นผลแล้ว

ต้องบอกว่าอาตมาดวงยากเข็ญ เกิดมาไม่เคยตกงาน ไม่เคยตกงานไม่พอ งานล้นมืออีกต่างหาก เวลาได้ยินคนอื่นเขาตกงานหรือลำบากเรื่องงานก็นั่งแปลกใจ ตกลงว่าอาตมาทำบุญด้วยอะไรมา งานแต่ละอย่างทำกันแทบเป็นแทบตาย บางช่วงเขาเร่ง ๆ ทำกันข้ามวันข้ามคืน การทำงานล่วงเวลาเขาไม่ให้เกิน ๓ แรง แต่เจอเกิน ๓ แรงเป็นประจำ ท่วมเงินเดือน ใช้คาถานี้บทเดียว โยมไปลงทำดู ขอให้เคารพจริง ๆ เท่านั้นแหละ

ถาม : การงานติดขัดตลอด ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องนั้นเลย บอกแล้วว่าคาถาที่ว่ามีปัดอุปสรรค เรื่องติดขัดเรื่องอะไร ถ้าเราตั้งใจว่าคาถาก็ไม่มีปัญหา เสียเวลาถาม ไปเริ่มทำได้เลยจ้ะ

ถ้าตามพระไตรปิฎก ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงขนาดกลายเป็นคนจนเลย เพราะว่ากองเรือที่ไปค้าขายต่างประเทศก็โดนคลื่นซัดหายไป กองสินค้าที่อยู่ริมน้ำก็โดนน้ำเซาะถล่มลงน้ำไป กองเกวียนที่ไปค้าขายต่างเมืองก็ไม่ได้ข่าวไม่ได้คราว แต่ว่าท่านเองไม่ได้เสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพราะรู้ว่าบางทีกรรมเก่ามาพอดี ท่านก็ยังคงเลี้ยงพระวันละ ๕๐๐ รูปเหมือนเดิม แต่จากที่เคยเลี้ยงด้วยข้าวมธุปายาสที่เป็นของแพง ก็เลี้ยงด้วยข้าวต้มกับน้ำผักดอง แต่ก็ยังเลี้ยงอยู่เป็นปกติ

ท้ายที่สุดก็ได้ทุกอย่างได้กลับคืนมา กองเรือที่ถูกคลื่นซัดหายไปในทะเล ถึงเวลาพอจับทิศได้ก็กลับมา กองเกวียนก็กลับมา คลังสินค้าที่ถล่มลงน้ำไป เทวดาก็ขนของมาคืน ฉะนั้น..บางวาระกรรมเก่าที่เราเคยทำไว้ส่งผล ก็จะเกิดอุปสรรค วิธีแก้ไขอุปสรรคได้ดีที่สุด คือทาน ศีล ภาวนา ทานทำ ๑ ได้ ๑๐๐ ศีลทำ ๑ ได้ ๑๐,๐๐๐ ภาวนาทำ ๑ ได้ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ไปภาวนาคาถาเงินล้านจะสะดวกที่สุด ส่วนใหญ่จะไปหาหมอดูสะเดาะเคราะห์ เขาก็แนะนำให้เราเปลืองเงินทุกที วิธีที่อาตมาแนะนำไป ไม่เสียเงิน ถ้าทำดีทำถูกก็รวยอีกต่างหาก โยมลองไปทำดู

เถรี
12-12-2013, 10:04
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ ไปพุทธาภิเษกที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ญาติโยมทำบุญกับอาตมาไว้มาก อาตมาก็ยกเข้ากองกฐินของวัดไป ตุ๊พ่อสิงห์ท่านไม่ยอม ท่านคว้าซองไปเรี่ยไรโยมมาถวายใหม่ ท่านบอกว่าอย่าไปใส่ขัน ใส่ขันแล้วครูบาเล็กท่านคืนมาหมด ท่านเลยไปเรี่ยไรโยมมาใหม่ ตั้งใจจะถวายกลับวัด อาตมากลับวัดก็เอาเข้าบัญชีสร้างพระทองคำ เห็นศรัทธาโยมอยากทำก็ต้องการให้เขาได้บุญมาก นับไปนับมาตั้ง ๓ หมื่นกว่าบาทก็ตกใจ ทำไมถวายกันมาเยอะนัก

ที่ขำที่สุดก็คือ ไม่รู้หรอกว่าที่นั่นมีช้างของท่านแม่จามเทวีอยู่ ท่านแม่จามเทวีมีช้างคู่บารมี ซึ่งพอพระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ก็ตั้งให้เป็นพญางาเขียวศัตรูพินาศ คำว่า "เขียว" ก็คือดำนั่นแหละ เป็นช้างเผือกงาสีดำ คำว่า "นิล" บางคนเขาบอกว่าเป็นสีเขียว บางคนบอกว่าเป็นสีดำ ต้องเข้าใจว่าดำจนเขียวเป็นอย่างไร ดำจริง ๆ แบบที่เขาบอกว่าพระรามผิวเขียว จริง ๆ แล้วก็คือดำมาก

คราวนี้อาตมาไปทำบวงสรวงให้ ปรากฏว่าพญาช้างท่านก็มา พญาช้างนี้เขาเรียกทั่ว ๆ ไปว่าปู้ก่ำงาเขียว ก็คือช้างพลายงาดำ คราวนี้พอท่านมา ท่านบอกว่าขอพวงมาลัยสักพวงหนึ่ง เพื่อแสดงออกว่ายินดีให้ท่านมาช่วยงาน จึงเรียนให้ตุ๊พ่อสิงห์ทราบ อาตมาก็ยังคิดว่าต้องไปถึงโน่น อนุสาวรีย์พระแม่เจ้าจามเทวีที่ในตัวเมืองลำพูน เพราะว่าเขาทำอนุสาวรีย์รูปช้างปู้ก่ำงาเขียวที่นั่น ปรากฏกว่าตุ๊พ่อสิงห์สร้างช้างไว้หน้าศาลา อาตมาไม่เคยมองเห็นเลย เพราะว่าทุกครั้งที่ไปงานจะติดเต็นท์โรงทาน แล้วคนเต็มไปหมด มองไม่เคยเห็นช้างสักที

พอพุทธาภิเษก พระท่านบอกว่างานพุทธาภิเษกนี้ ท่านให้พรเอาไว้ว่า ให้มีความสำเร็จทุกที่ เหมือนพญาช้างเอราวัณ ที่ช่วยงานมฆมานพจนสำเร็จทุกประการ ผลบุญนั้นส่งผลให้มฆมานพกลายเป็นพระอินทร์ และพญาช้างเอราวัณก็ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ติดตามไปคอยรับใช้ด้วย ให้มีชัยชนะในทุกทิศ เหมือนพญาช้างปู้ก่ำงาเขียว ที่ออกรบที่ไหนไม่เคยแพ้ ช่วยให้พระแม่เจ้าจามเทวีสามารถสถาปนาอาณาจักรหริภุญชัยได้ยิ่งใหญ่ ครอบคลุมทั่วทั้งภาคเหนือ

ให้กลับร้ายกลายเป็นดี เหมือนพญาช้างนาฬาคีรี ที่เปลี่ยนจากมิจฉาทิฐิเป็นสัมมาทิฐิ คือเปลี่ยนจากความคิดจะทำร้ายพระพุทธเจ้า กลายเป็นเคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จนกระทั่งจะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ท่านให้พรไว้ ๓ อย่างด้วยกัน

ใครที่ทำบุญกฐินวัดถ้ำป่าไผ่ในเว็บไซต์ ก็น่าจะได้บูชาพญาช้างเอราวัณมา แล้วตุ๊พ่อสิงห์ท่านยังมีคาถาขอสับช้างไว้เรียกคนมาช่วยงาน ลองไปสอบถามดู"

เถรี
12-12-2013, 10:09
"อาตมาขี้เกียจเรียนวิชา ปวดหัว เรียนมากรู้มาก ก็ลำบากมาก สมัยบวชใหม่ ๆ อยู่ที่วัดท่าซุง ถึงเวลาอะไรก็ตาม บรรดาพี่ ๆ ก็บอกให้ท่านเล็กไปทำ อาตมาทำจนเซ็ง เพราะว่าถึงเวลาไปสวดมนต์บ้าน ก็จะมีคนให้เจิมบ้าน คนโน้นก็ให้เจิมรถ สารพัด บางทีเหนื่อย ๆ ขึ้นมาก็บ่น แต่ละคนทำไมไม่เรียนไว้บ้าง พี่เขาก็หัวเราะ "เป็นแล้วก็เหนื่อย"

อาตมาเองดวงหมาแก่ ประเภทลำบากตัวเองยังไม่พอ ลำบากลูกหลานด้วย บางอย่างก็ไม่ได้เจตนาเรียน แต่เหมือนหลวงพ่อท่านเจตนาให้ อาตมาจะพอดีอยู่ในเหตุการณ์ทุกที ถึงเวลาท่านทำให้ดู ก็จำแบบอย่างไว้มาทำต่อ กลายเป็นว่าปัจจุบันรู้สึกว่าจะเหนื่อยกว่าเพื่อน

พี่ ๆ น้อง ๆ ทั่วประเทศไทย พุทธาภิเษกที่ไหน เรียกแต่อาตมา อย่างหลวงพ่อองอาจ "อาจารย์เล็กนิมนต์ไปพุทธาภิเษกหน่อย กำหนดงานได้เองเลยนะ ว่างวันไหนมาหน่อยแล้วกัน" แบบนี้มัดมือชกชัด ๆ กะว่าให้เขานิมนต์ แล้วอาตมาบอกว่าวันนี้ ติดงาน ไม่ว่าง ไม่ไป ที่ไหนได้ให้กำหนดงานเอง

งานหลวงพ่อชลอ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ก็เหมือนกัน "อาจารย์เล็กสะดวกเมื่อไรก็เอาวันนั้นแหละ" ตกลงท่านพี่ทั้งหลายจับอาตมาเป็นตัวประกันทุกที"

เถรี
12-12-2013, 10:11
มีโยมมาถวายน้ำปานะ พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำปานะพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ข้ามวัน คุณเอามาขนาดนี้ต้องอาบด้วยถึงจะหมด เขาเรียกว่าทำบุญแบบไร้สติ ที่ท่านไม่ให้ข้ามวันเพราะว่าของสดเสียง่าย แล้วพระองค์ท่านตรัสว่าทำให้สุกก็ไม่ควร จะเห็นอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้าท่าน ถ้าน้ำผลไม้ไปทำให้สุก พวกวิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ จะเสียหมด จึงต้องคั้นสด แล้วก็ห้ามข้ามวัน เพราะถ้าข้ามวันมักจะบูด ดีไม่ดีก็กลายเป็นไวน์ เมาหัวทิ่ม..!"

เถรี
12-12-2013, 10:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงอาตมาอยากจะทำกุมารทองนะ แต่เข็ดมาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้บวช ที่เข็ดก็คือเขาซน ห้ามไม่ค่อยอยู่ หลานสาวตอนนี้ก็อายุน่าจะถึง ๓๐ ปีแล้ว เชื่อไหมว่าจากบันไดชั้นบน หลานสาวกลิ้งลงไปถึงข้างล่างเลย เขาปล้ำกันกลิ้งลงไป บันไดตั้ง ๑๐ กว่าขั้น ไม่ตายก็บุญโขแล้ว เล่นกันตึงตังโครมคราม ท้ายสุดอาตมาทนไม่ไหว เอาใส่กองผ้าป่าถวายวัดไปเลย คือวิญญาณเด็กก็ซนเหมือนเด็ก ต่อให้เราถวายสังฆทานให้เขาจนเป็นเทวดา เขาก็ยังมีนิสัยแบบเด็ก ๆ

เรื่องกุมารทอง ถ้าเป็นของพระเกจิอาจารย์ก็ต้องหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม คราวนี้หลวงพ่อเต๋ท่านสิ้นไปแล้ว ก็เป็นหลวงพ่อแย้ม ท่านทำต่อมา ถ้าเป็นรุ่นหลวงพ่อเต๋ก็แน่ใจได้ เพราะท่านบอกว่าทำจนเป็นเทวดาหมดแล้ว ถ้าเป็นฆราวาสที่เจ๋ง ๆ คาตาเลย ต้องสมัยอาจารย์ชุม ไชยคีรี กุมารทองของอาจารย์ชุมทุกตัวต้องฝังตะกรุดสะกดวิญญาณไว้ เหตุที่ต้องสะกดไว้คือป้องกันเขาซน ถึงเวลาจะใช้งาน ค่อยอ่านคาถาคลายสะกด พอใช้งานเสร็จก็ต้องรีบสะกดไว้ต่อ ถ้าวันไหนลืมสะกดก็คงสนุกสนานกันเป็นแน่..!"

เถรี
12-12-2013, 10:26
ถาม : เห็นว่าการปรุงแต่งไม่ได้เกิดจากปัจจัยด้านนอก แต่เป็นปัจจัยด้านการคิดคือตัวเราเอง ?
ตอบ : อยู่ที่ใจเราคิด เราถึงต้องหยุดคิดให้ได้ การที่จะหยุดคิดให้ได้ อันดับแรกต้องเห็นโทษ ว่าคิดแล้วเกิดโทษอย่างไร เราจึงจะหยุดความคิดนั้น เพราะว่าเราปรุงไปในทางไม่ดี เราโกรธ ก็พาเราลงต่ำ ถ้าปรุงไปในทางดี เกิดปีติขึ้นมา อย่างดีก็แค่กามาวจรสวรรค์ ไปไกลกว่านั้นไม่ได้

จิตคือเรา จิตไม่ใช่ของเราหรอก จิตเป็นเราเลย เพียงแต่ว่าถ้าเราแบกนั่นแบกนี่ก็หนัก ไปไหนไม่รอด ต้องสลัดทิ้งให้มากที่สุด จะได้ไปให้ไกลที่สุด

ถาม : การที่เราพิจารณาก็เป็นตัวปรุงแต่ง ?
ตอบ : ปรุง..แต่ว่าปรุงแล้วปัญญาเกิด แต่ถ้าปรุงเอาอร่อยอย่างเดียวก็ไปไม่รอด

ถาม : การพูดก็มีการปรุงในถ้อยคำหรือความจำของเรา แล้วเราจะทันกิเลสหรือคะ ?
ตอบ : อยากจะบอกว่ากิเลสเร็วเท่าความคิดของเรา แต่บางทีก็เร็วกว่า เพราะว่าสติเราตามไม่ทัน ปรุงไปแล้วยังไม่รู้ตัวเลยว่าปรุงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเร็วเท่าความคิดของเราก็จริง แต่ตอนปรุง ถ้าสติเรารู้ไม่ทันกิเลสก็เร็วกว่า

ถาม : จริง ๆ ค่ะ บางคนเขาไม่ค่อยรู้ตัว
ตอบ : ดูที่ตัวเอง ดูคนอื่นไม่มีประโยชน์ ดูที่ตัวเองเราจะแก้ไขตัวเองได้

เถรี
12-12-2013, 10:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนระยะหลังตั้งใจมาบูชาวัตถุมงคลเพื่อไปปล่อยต่อโดยเฉพาะ บางคนก็ใจถึงมาก บอกว่า “คิดว่าเป็นค่าเดินทางของผมแล้วกัน บวกราคาไปจากวัด” แต่บางท่านก็ประเภทปล่อยไปราคาแพงหลายเท่าแบบหน้าตาเฉย

สมเด็จองค์ปฐมหลังพระสิวลีองค์จิ๋ว ๆ ที่พวกเราเวียนเทียนรับกันสนุกสนาน เขาไปปล่อยกันองค์ละ ๓๕๐ บาท นี่ถ้าเขาเวียนเทียนสัก ๑๐ รอบก็สบายแล้ว"

เถรี
13-12-2013, 14:37
ถาม : เราภาวนา แล้วกายในหลุดออกมาเอง แต่ก็ยืนอยู่ตรงนั้น ?
ตอบ : ถ้าไม่มีการตั้งใจไว้ก่อน จะไปไหนไม่ถูก ฉะนั้น..ก่อนนอนให้ตั้งใจตัดร่างกายนี้ให้ดี ให้เห็นจริง ๆ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา คิดว่าขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเช่นนี้ไม่มีอีกแล้ว เราขอไปพระนิพพาน แล้วเอากำลังใจเกาะพระหรือเกาะพระนิพพาน แล้วภาวนาหลับไป ถ้าหลุดก็จะไปตรงนั้นเลย

ถาม : อย่างนี้เป็นครึ่งกำลังหรือครับ ?
ตอบ : เต็มกำลังนั่นแหละ แต่ว่าเราไม่ได้กำหนดเป้าหมายไว้ เลยไปไหนไม่เป็น

เถรี
13-12-2013, 14:38
ถาม : เมื่อปี ๒๔๕๐ เหมือนสมเด็จพระสังฆราชมีการให้พระที่มีอภิญญามาทำให้...(ไม่ชัด) ?
ตอบ : สมัยนั้นท่านมีความเห็นว่า เรื่องที่เขาทำได้กันเป็นข่าวลือเสียมากกว่า เลยอยากทดสอบดูว่าทำได้จริงหรือไม่ ด้วยความที่ท่านไม่เข้าใจว่าพระเรามีหลายระดับ ในขณะเดียวกัน มีทั้งที่ได้อภิญญา มีทั้งที่ใช้แค่พลังจิตก็คือตัวสมาธิกับคาถาอาคม แล้วท่านกะจะให้เขาใช้อภิญญาใหญ่ ก็เลยทำกันไม่ได้ ที่ทำได้จริง ๆ มีแค่ไม่กี่องค์

ถาม : ท่านที่ทำได้เป็นพระอภิญญา ?
ตอบ : ส่วนใหญ่มาทางสายกสิณ ๑๐

เถรี
13-12-2013, 14:54
ถาม : เราจะทราบได้ไหมคะว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วเขาไปสุคติภูมิหรือทุคติภูมิ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีทิพจักขุญาณก็ต้องเดาเอาอย่างเดียวเลยจ้ะ

ถาม : ถ้าเป็นความฝัน ?
ตอบ : ถ้าฝันหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ก็พอจะประมาณได้อยู่ ถ้าก่อนหน้านั้นก็ถือว่าเลอะเทอะ ส่วนใหญ่ฝันตอนใกล้รุ่งจะแม่น เพราะจิตที่ฟุ้งมาทั้งวันเริ่มนิ่งแล้วจ้ะ

ถาม : ถ้าเรานั่งกรรมฐานแล้วอุทิศให้เลย กับวันถัดไปอุทิศไป ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วนึกได้เมื่อไร ก็อุทิศได้เมื่อนั้น ให้ตั้งใจว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศให้แก่เธอ เพราะว่าเราทำมาเยอะแยะแล้ว บุญก็ไม่ได้ไปไหนหรอก นึกถึงเมื่อไรก็รวมตัวอุทิศให้เขาไป ถ้าไม่แน่ใจก็ไปเริ่มต้นทำบุญใหม่

เถรี
13-12-2013, 15:00
ถาม : สบงเป็นบริวารกฐินได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่บริวารกฐินแล้ว แต่เป็นผ้ากฐินเลย ไม่ว่าจะเป็นสบง จะเป็นจีวร จะเป็นสังฆาฏิ ถ้าหาไม่ได้ ให้หาผ้ากว้างคืบยาวคืบ ก็ถือเป็นผ้ากฐิน

เถรี
13-12-2013, 15:14
ถาม : เราเสียใจ ร้องไห้คิดถึงคนที่เสียไป จะทำให้ใจของเขาเศร้าหมองไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเขารับได้ไหม ส่วนใหญ่น้อยรายที่จะรับได้ ถ้ากำลังใจอยู่ในระดับรับความรู้สึกของคนอื่นได้ ส่วนใหญ่สมาธิต้องทรงตัว คนที่สมาธิทรงตัวตอนนั้นจะไม่ยินดียินร้ายกับเรา ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เศร้าไปกับเราหรอก แต่รับรู้ว่าเราเป็นอย่างไร

ถาม : ระดับที่เขารับได้ต้องอยู่สุคติภูมิเป็นต้นไปหรือเปล่าคะ หรือไม่จำเป็น ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วพวกที่อยู่ทุคติภูมิก็รู้นะ อย่างพวกอสุรกายหรือเปรต พวกนี้เขาถือว่าอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ รับรู้อะไรง่ายกว่าเรา

ถาม : อย่างหนูนั่งสมาธิแล้วอุทิศให้เขา หนูนั่งได้แค่ขณิกสมาธิเอง ?
ตอบ : ขอให้ได้ทำ จะได้มากได้น้อยเป็นกุศลทั้งนั้น ตั้งใจอุทิศให้เขาไป ไม่ใช่ว่าต้องนั่งให้ได้ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ แล้วค่อยไปให้เขา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปรับประทานพอดี

ถาม : เพื่อนรวมทั้งพี่น้องทั้งหมดฝันถึงเขา ฝันในแง่ที่เขามาดีค่ะ ไม่ได้มาขอให้ช่วยเหลือ เดาได้ไหมคะว่าเขาไปในที่ ๆ ดี ?
ตอบ : ลักษณะนั้นน่าจะไปดีจ้ะ โดยเฉพาะที่มาเข้าฝันได้ ไม่ลำบากหรอก พวกที่ลำบากจริง ๆ จะมาไม่ได้

เถรี
13-12-2013, 15:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝรั่งเขาทำวิจัยว่า ถ้าเราทำอะไรซ้ำ ๆ กันสัก ๓ วันขึ้นไป จะกลายเป็นความเคยชิน ดังนั้น..ที่เขาบอกว่าคนอ้วนที่ต้องการลดความอ้วนด้วยการลดอาหาร ถ้ายอมอดต่อเนื่องสัก ๓ วัน ร่างกายจะเกิดความเคยชิน เพราะว่าถึงเวลานั้นแล้วไม่ได้ ร่างกายก็จะเลิกทวงไปเอง แต่ส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ ทนการอาละวาดของร่างกายไม่ไหว ก็เลยกลับไปกินตามเดิม ถ้าอดได้สัก ๓ วันก็จะชินไปเอง

คราวนี้หลังออกพรรษา ปรากฏว่ามีพระวัดท่าขนุนบางรูป มัวแต่รอเสียงตีระฆังย่ำรุ่งและเสียงตีกลองย่ำค่ำอยู่ ซึ่งเขาตีกันเฉพาะในช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ระยะเวลาการเข้าพรรษาตั้ง ๙๐ วัน เขาก็เลยเคยชิน พอออกพรรษามัวแต่ไปรอเสียงอยู่ จึงไปทำวัตรไม่ทัน ตื่นไม่ทัน เขาว่าแค่ ๓ วันก็เป็นความเคยชิน นี่ปาไปตั้ง ๙๐ วัน

อาตมาเองถึงไม่กล้าใช้อานิสงส์กฐิน ท่านบอกว่าบุคคลที่รับกฐินแล้ว มีอานิสงส์ผ่อนคลายสิกขาบท (ศีลพระ) ได้ไปถึงกลางเดือน ๔ ผ่อนไปได้หลายข้อ มีอยู่ข้อหนึ่งที่ว่าไปไหนไม่ต้องเอาผ้าไตรจีวรไปครบสำรับก็ได้ ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้อาตมาไม่คิดจะใช้เลย เพราะว่าถ้าเคยชินแล้ว เดี๋ยวเลยกลางเดือน ๔ จะโดนอาบัติศีลขาด ฉะนั้น..ตั้งแต่บวชมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยใช้อานิสงส์กฐินเลย

การที่อานิสงส์กฐินขาดช่วงลงเรียกว่า กฐินเดาะ ก็แปลว่าอาตมาเดาะกฐินเสียเองตั้งแต่รับเลย แค่ ๓ วันเขาบอกเคยชิน นี่ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๔ ระยะเวลาตั้ง ๖ เดือน ผ่อนให้ตั้งครึ่งปี"

เถรี
13-12-2013, 15:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "รุ่นของเราจะมีโอกาสได้เห็นธนบัตรใบละ ๑ แสนไหม ? ธนบัตรใบยิ่งใหญ่เท่าไร ค่าเงินจะลดลงเท่านั้น แบบเดียวกับของที่รวันดา ไข่ ๒ ฟอง ราคา ๓ ล้าน รับเงินเดือนทีต้องเอารถเข็นไปรับ"

เถรี
18-12-2013, 12:10
ถาม : พลอยทำเป็นกสิณได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ให้ดูว่าพลอยสีอะไร ถ้าอยู่ในกลุ่มเขียว ขาว แดง เหลือง ก็เป็นกสิณได้อยู่แล้ว เลือกเอาสีที่ชอบแล้วก็บรรเลงเลย ตอนสมัยเด็ก ๆ เวลางานศพ อาตมาไปดูผู้ใหญ่เขาเล่นไพ่กัน ตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่ากสิณคืออย่างไร แต่พอมานอนพัก เห็นโพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด บินว่อนไปหมดเลย เพิ่งจะรู้ว่าพื้นฐานเดิมที่เคยฝึกกสิณมา มองอะไรก็ติดตาได้ง่าย

ถาม : ถ้าคนที่ไม่เคยได้มา ?
ตอบ : ถ้าไม่เคยได้มาจะไม่จำง่าย ๆ แบบเดียวกับไปงานศพตอนเด็ก ๆ ภาพศพติดตาไป ๓ - ๔ วัน กว่าจะรู้ก็ตอนมาฝึกกรรมฐานแล้ว ความที่เป็นเด็กก็กลัวผีแทบตาย ทำไมถึงเห็นชัดอย่างนี้

เถรี
18-12-2013, 12:17
ถาม : ตอนที่หมอผ่าตัด ยายเขาให้หนูภาวนาพุทโธ ใครจะไปพุทโธทัน เจ็บจะตายอยู่แล้ว..!
ตอบ : เขาให้พุทโธก่อนผ่า ถ้ากำลังผ่าจะไปพุทโธอะไรทัน

ถาม : ยายชอบบ่น
ตอบ : เหมือนกันหมด แม่ที่บ้านก็เหมือนกัน ถึงเวลาก็บ่น ๆ อาตมาบอกว่า "แม่..หยุดเลย ภาวนาพุทโธไปก่อน ๕๐๐ ครั้ง" แม่ก็นั่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็บ่นต่อ อาตมาถามว่า "พุทโธครบห้าร้อยครั้งหรือยัง ?" "ครบแล้ว" "ถ้าครบแล้วก็บ่นต่อได้"

ตอนแม่ยังอยู่ เวลาคุยกับแม่ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าอกตัญญู เพราะคอยถามว่า "แม่..เมื่อไรจะตาย ? " แม่เขาบอกว่า "แม่ไม่อยู่ให้เอ็งรำคาญนานนักหรอก" "ตายแล้วแม่จะไปไหน ?" "ก็ไปนิพพานอย่างที่หลวงพ่อ (ฤๅษี) บอก" "ถ้าอย่างนั้นแม่ภาวนาพุทโธไว้เลยนะ" แต่คนอื่นหาว่าอาตมาแช่งแม่ ความจริงเตือนสติให้แม่รู้ว่าใกล้ตายแล้ว ต้องภาวนาไว้ก่อน คราวนี้ระหว่างแม่กับลูกไม่เป็นไร เพราะรู้กัน แต่คนอื่นฟังแล้วหาว่าอาตมาอกตัญญูทุกที

ถาม : จะเป็นมโนกรรมของเขาหรือเปล่า ?
ตอบ : ความเข้าใจผิดว่ากันไม่ได้ คือถ้าเขาไม่เข้าใจ เขาน่าจะถาม แต่เขาไปตำหนิเลย

เถรี
18-12-2013, 12:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเด็ก ๆ ถาม เราต้องตอบเขานะจ๊ะ เขาอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาการ เขาอยากรู้อยากเห็นอะไร ต้องตอบเขา ไม่ว่าคำถามจะมั่วสุดชีวิตอย่างไรก็ต้องตอบ ต้องปรับทัศนคติของเขาให้ถูกให้ได้"

เถรี
18-12-2013, 12:47
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ซุ้มเรือนแก้วของพระพุทธชินราช คือพระฉัพพรรณรังสี ฉัพพรรณรังสีจริง ๆ ไม่ได้เปล่งออกมาเฉย ๆ แต่อยู่ในลักษณะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับคลื่นที่กระเพื่อม ๆ อยู่ตลอดเวลา อย่างพวกเรานี่ขอให้ได้เห็นก็พอแล้ว ไม่ต้องไปชัดเจนอะไรมากหรอก แค่เห็นก็ปีติจะลอยทั้งตัวอยู่แล้ว

สุดยอดของความปีติต้องพระวักกลิ พระวักกลิน้อยใจพระพุทธเจ้า จะไปกระโดดเหวตาย แล้วพระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ตรัสว่า ดูก่อน วักกลิ โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พระวักกลิตัวลอยถึงขนาดเดินข้ามเหวได้เลย เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเปล่งฉัพพรรณรังสี เหมือนกับมาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ตั้งใจจะไปกราบพระพุทธเจ้า เดินข้ามเหวไปเลย

เถรี
18-12-2013, 12:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะไว้ทุกข์ให้สมเด็จพระสังฆราชให้ใช้เสื้อขาวนะจ๊ะ อาตมาเคยบอกนักบอกหนาว่า ถ้าคนตายอาวุโสกว่าเราด้วยวัยวุฒิ ด้วยคุณวุฒิ เราต้องใส่ชุดขาว ถ้าคนตายเด็กกว่าเราถึงใส่ชุดดำ ส่วนใหญ่แล้วก็มั่วดำกันไปเรื่อย

ตอนแรกในหลวงขอแค่ ๑๕ วัน ไป ๆ มา ๆ ขยายเป็น ๑ เดือน ระหว่างที่ใส่ก็จะได้เป็นสังฆานุสติเต็มระดับ เห็นเสื้อเมื่อไรก็จะได้รู้ว่าเรากำลังไว้ทุกข์ถวายสมเด็จพระสังฆราช จริง ๆ แล้วต้องไว้สุขเพราะพระองค์ท่านไปดี ดันไปไว้ทุกข์กัน โดยเฉพาะว่าพระองค์ท่านพ้นจากความทุกข์ที่ทนทรมานมาเป็นปี ๆ

สมเด็จพระสังฆราชของเรา ในอดีตเคยเป็นแม่ทัพนายกองของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เข่นฆ่าข้าศึกมาหลายสมรภูมิ ถ้าชาตินี้พระองค์ท่านไม่บวชตั้งแต่เด็กก็สาหัส คราวนี้พระองค์ท่านบวชเข้าไปแล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วย กุศลตรงนี้จึงช่วยกันเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดก็โดนจนได้ ในเมื่อโดนพระองค์ท่านก็ยอมรับ ร่างกายเป็นอย่างไรก็ถือว่าชดใช้กรรมไป

อย่างที่บอกตอนปฏิบัติธรรมว่า พระองค์ท่านรับรู้ โมทนาด้วยและบอกว่าจะไปแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ไปเลย ก็แสดงว่าสิ่งที่พระองค์ท่านบอกเป็นไปตามนั้น เพราะฉะนั้น..แดนที่ไปก็ต้องเป็นไปตามที่พระองค์ท่านบอกก็คือสุคติแน่นอน ถือว่าพวกเราสร้างบุญใหญ่ถวายพระองค์ท่าน ๓ รอบ บริจาคโลหิต ๒ รอบ ปฏิบัติธรรม ๑ รอบ เสียดายไม่ได้ถวายพระองค์ใหญ่ในพระนามของพระองค์ท่าน ไม่เป็นไรหรอก พวกเราถวายโดยไม่ต้องติดชื่อก็ได้

ต้องบอกว่าวาระกรรมยังไม่เปิด ถ้าวาระกรรมเปิด สามารถอัญเชิญพระนามย่อมาติด อุทิศถวายพระองค์ท่านโดยตรงก็คงไปตั้งแต่ตอนสร้างพระใหญ่เสร็จแล้ว ลืมไปอีกงาน..ลืมงานสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบ งานนั้นพวกเรายังได้ถวายกุศลพระองค์ท่านอีกรอบหนึ่ง"

เถรี
18-12-2013, 21:17
ถาม : ข้าวเปลือกพิรอดค่ะ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาดูจริง ๆ นะจ๊ะว่าแต่ละเม็ดไม่มีรอยแตกเลย นี่ข้าวที่บ้านใช่ไหม? ทำไมมีเยอะจัง กว่าอาตมาจะเก็บครบชุดตั้งหลายปี

ถาม : ใช้ได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าตอนเก็บภาวนาตามตำราก็ใช้ได้ เขาให้กลั้นใจหยิบ เม็ดแรกว่า “อะ” พอเก็บเม็ดที่สองก็ว่า “สัง” เม็ดที่สามก็ “วิ” ไล่ไปเรื่อย เป็นคาถาหัวใจอิติปิโส ต้องว่าให้ครบถึงจะใช้ได้ เก็บมาแล้วพิจารณาดู ถ้าไม่มีรอยแตกก็เก็บไว้ ถ้ามีรอยแตกก็ทิ้งไปแล้วรอเม็ดใหม่

โบราณเขาถือว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์อย่างหนึ่ง เพราะว่าหลุดรอดจากปากนกปากหนูมาได้ เกี่ยวมาแล้วก็ยังรอดมาถึงยุ้งฉางได้ โดนสีก็ยังรอดมาได้ ท้ายที่สุดหุงแล้วก็ยังรอดมาได้ เขาก็ถือว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ช่วยในเรื่องของการแคล้วคลาด ถ้าได้ครบแล้วก็หาอะไรบรรจุหรือเลี่ยมไว้ให้ดี เก็บติดตัวไว้เลย

ถาม : อธิษฐานขอเอาก็ได้นี่คะ เคยขอครั้งหนึ่ง ก็ได้มาเรื่อย ๆ ในวันเดียว
ตอบ : เอาขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าอยากได้ต้องไปแถวบ้านกะเหรี่ยง เพราะกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ตำข้าวเอง จึงติดข้าวเปลือกมาเยอะหน่อย แต่ว่าจะแตกแทบทั้งนั้น ตอนอยู่ที่วัดท่าซุง อาตมาเคยลองทำดู ทำได้แค่ชุดเดียว ให้พี่มุกดาไปแล้ว อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ว่าทีละคำเลย กลั้นใจว่าแล้วหยิบเม็ดข้าวขึ้นมา

เถรี
18-12-2013, 21:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "สุดยอดของสีผึ้งในประเทศไทยต้องหลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง สีผึ้งของท่านหุงจนเขียวเป็นปีกแมลงทับเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยทำ แต่ว่าเป็นสีผึ้งสำหรับเล่นโป ท่านบอกว่าเอานิ้ว ๓ นิ้วเป็นก้อนเส้า แล้วว่าคาถาไปเรื่อยจนสีผึ้งเดือด ท่านบอกว่าเดือดแล้วออกเขียวปี๋ แสดงว่าของหลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ก็ลักษณะเดียวกัน แล้วแปลกตรงที่ว่า เมื่อเอาไปเติมสีผึ้งอื่น ต่อให้เป็นสีอะไรก็ตาม ถ้าเอาไปแปะไว้นาน ๆ จะเป็นสีเขียวหมด เหมือนกับสีอยู่ในเนื้อเลย

หลวงปู่ทาบนั่นสุดยอดของความเมตตามหานิยม เขาบอกว่าลูกศิษย์ท่านเป็นทหารเรือ โดนเกณฑ์ไป ปรากฏว่ามีสาวงามประจำถิ่น ทหารเรือก็ไปตอมกัน ปรากฏว่าคนนี้เขาค่อนข้างจะขี้เหร่ ผู้หญิงก็เลยดูถูก บอกว่าหน้าตาอย่างนี้ชายผ้านุ่งก็ไม่ได้แตะหรอก เจ้านั่นพอได้ยินเข้าก็เลยประกาศกับเพื่อนฝูงว่า กูปลดเกณฑ์เมื่อไรผู้หญิงคนนี้ต้องตามกูไปยันบ้าน แล้วก็จริง ๆ พอเขาปลดเกณฑ์ออกจากกองร้อยวันนั้น ผู้หญิงก็หอบผ้าตามไป กว่าจะรู้ว่าเขามีของดีของหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ก็ไปอยู่ด้วยกันแล้ว

แต่ว่าครูบาอาจารย์สมัยโบราณที่ท่านทำวิชานี้ ท่านจะมีข้อห้าม ว่าถ้าได้กันแล้วห้ามทิ้งเขา ถ้าทิ้งเขาแล้ววิชาจะเสื่อม พูดง่าย ๆ ว่าต้องรับเลี้ยงดูเขา

หลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง น่าจะเป็นรุ่นไล่ ๆ กันกับหลวงปู่อ่ำ วัดหนองกระบอก แต่ว่าหลวงปู่อ่ำท่านไม่ได้ทำสีผึ้ง ท่านทำแพะ แพะแกะสลักจากเขาควายเผือกที่โดนฟ้าผ่าตาย นั่นก็สุดยอดเมตตามหานิยม

อาตมาไม่อยากทำสีผึ้ง เพราะถ้าคนรู้เคล็ดวิธีใช้ก็ยุ่งเลย ต้องบอกไม่หมด บอกหมดเดี๋ยวเป็นเรื่อง ต้องบอกแบบกั๊ก ๆ ไว้ เอาไปแค่จำเป็นเท่านั้น สมัยนี้สีผึ้งสู้ไลน์ไม่ได้หรอก คุยกันพักเดียวเท่านั้น ...(หัวเราะ)... วิชชามัยฤทธิ์แน่กว่า"

เถรี
18-12-2013, 21:48
ถาม : พระสมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง ?
ตอบ : สมัยที่ทำออกมาใหม่ ๆ อาตมาบูชาไว้ ๑๐๐ องค์ โดนปล้นหมดตรงนั้นเลย เพราะว่าสารวัตรทหาร ๗ - ๘ คนกันคลื่นมหาชนไม่อยู่ คนไปงานตั้ง ๒๐๐,๐๐๐ คน แต่มีพระแค่ ๓,๐๐๐ องค์ ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่ง ๓๐,๐๐๐ องค์ แต่ช่างเขาถอดพิมพ์ให้ไม่ทันเพราะว่าถอดแล้วซุ้มมักจะหัก กว่าจะหาองค์สมบูรณ์มาได้ถึง ๓,๐๐๐ องค์ ช่างเองก็แทบแย่

อาตมาถือว่าเราอยู่ใกล้ จองบูชาไว้ก่อน ๑๐๐ องค์ พอเสร็จพิธีก็คว้ามายัดใส่ย่าม ดันมีคนตาไวเห็นเข้า ประเภทกระโดดข้ามแท่นขายของ ที่สูงระดับหน้าอก สารวัตรทหารเป่านกหวีดกั้นเท่าไรก็ไม่อยู่ หลวงพี่วิรัชจีวรกะรุ่งกะริ่งเลย แรงศรัทธากับความบ้านั้นใกล้เคียงกัน..!

เถรี
18-12-2013, 21:56
ถาม : ตะปูอาถรรพ์ค่ะ ?
ตอบ : วัดไหนจะสร้างมีดหมอก็ให้เขาไป ไม่ต้องเสียดายของ

ถาม : ผีก็บอกว่าให้เอาไปทำมีดหมอ
ตอบ : ให้วัดที่เขาจะสร้างมีดหมอไป เดี๋ยวเขาก็ไปหลอมทำมีดหมอเอง ยิ่งเฮี้ยนยิ่งดี แสดงว่าเชื่อพระมากกว่าผี ผีบอกว่าให้ไปทำมีดหมอก็ไม่เชื่อ ท้ายสุดก็ไปเป็นมีดหมอแหละ

เถรี
21-12-2013, 14:45
ถาม : วันก่อนผมฝันว่าขับรถให้หลวงพ่อสมเด็จฯ นั่ง ไปเจอทางเลียบเขา แล้วก็มีคนพิการบ้าใบ้ เดินเข้ามาจับรถ ทางเลือกคือต้องชนเขา หรือเราตกเหว ใจที่คิดก็คือถ้าหลวงพ่อสมเด็จฯ อยู่ท่านคงเลือกหลบเขา ชนเขาก็ผิดศีล ทางเลือกควรเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : แล้วตอนนั้นคุณเลือกที่ไหน ?

ถาม : ผมเลือกชนเขาครับ
ตอบ : ถูกแล้ว..คิดเหมือนกันเลย เป็นอาตมาก็เลือกอย่างนั้นแหละ

ถาม : ในเรื่องของศีลล่ะครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของศีลเราก็ยอมรับว่าผิดของเราไปสิ พลาดก็คือพลาด พลาดของเราพร้อมที่จะลงนรก แต่ประโยชน์ใหญ่เกิดกับส่วนรวมก็แล้วกัน นี่สไตล์พระโพธิสัตว์ ตัดไม่ขาดหรอก เพราะตัวเลือกบังคับ

ในเมื่อตัวเลือกเขาบังคับ สิ่งที่เราเลือกก็คือประโยชน์ของส่วนรวม แต่ตัวเองต้องผิดศีล อย่างนั้นสายพระโพธิสัตว์ของจีนถึงได้บอกว่า “ถ้าเราไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก ?” เล่นเสียหนักเลย

เถรี
21-12-2013, 14:46
ถาม : เราอธิษฐานเพื่อคนอื่นได้ไหมคะ ?
ตอบ : อธิษฐานเป็นของเราเอง เพราะคำว่าอธิษฐานแปลว่าความตั้งใจมั่น เราอธิษฐานแทนเขาไม่ได้ เขาต้องอธิษฐานเอง ส่วนคำอธิษฐานจะเกิดผลหรือไม่ เกิดจากสิ่งที่เราทำมา ถ้าเราทำมาพอเพียง ผลก็เกิด ถ้าทำมายังไม่พอก็รอไปก่อน

ถ้าอธิษฐานแทนคนอื่นได้ อาตมาอธิษฐานให้โยมรวยหมดทุกคนแล้ว ไม่ต้องมากด้วย รวยเท่ากันก็พอ อธิษฐานเขาบอกชัด ๆ ว่าเป็นความตั้งใจ ต้องเป็นความตั้งใจของใครของคนนั้น

เถรี
21-12-2013, 14:47
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่บูชาตะกรุดพระแม่ธรณีว่า "ไปไหนให้นึกถึงแม่ธรณีเอาไว้ด้วย ไม่ว่าอย่างไรอยู่ในอกแม่ปลอดภัยแน่นอน นักมวยสมัยก่อนเวลาจะขึ้นชก มีหลายสำนักที่ให้กราบพื้นแล้วหยิบดินโรยใส่หัวก่อนขึ้นเวที นั่นแหละเขาขอกำลังแม่ธรณีช่วย"

เถรี
21-12-2013, 14:47
ถาม : จะไปสมุยครับ
ตอบ : เมื่อวานมีโยมมารายงาน อาตมาก็คิดว่าตูจะซวยอีกแล้ว เขาลงไปภูเก็ตแล้วได้ยินอาตมาบอกว่า ถ้าเรื่องของลมฟ้าอากาศโดยเฉพาะน้ำในทะเล ให้บนนางมณีเมขลา เขาเลยว่าเสียเต็มที่ เขาบอกว่าแดดจ้า อากาศน่าเที่ยวมาก แต่พอทันทีที่กลับฝนกระหน่ำแทบแย่ สรุปแล้วคือตั้งใจไปกวนท่านโดยตรง

เถรี
21-12-2013, 14:49
ถาม : ผมรับราชการ พาชาวบ้านไปอบรม ๒๐ คน ให้เบี้ยเลี้ยงชาวบ้าน ๑๐๐ บาท เงินก็เหลือ ๑,๐๐๐ บาท เจ้านายไม่รับคืน เขาให้ใช้ส่วนตัว ผมไม่กล้าใช้ ผมก็เลยเอาเงินส่วนนี้ไปทำบุญที่วัด พระก็ให้วัตถุมงคลมาบูชา ผมจะมีโทษติดหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่มี..เพราะว่าพระท่านให้ จริง ๆ แล้วโยมที่เข้าวัดเข้าวามักจะมีปัญหาตรงที่ว่า เวลาทำอะไรไม่ตรงไปตรงมาแล้วมักจะไม่สบายใจ ก็ต้องบอกว่าเป็นความดีของโยม แต่ในขณะเดียวกันบางอย่างถ้าค้านเจ้านายก็ลำบาก ค้านแล้วเราจะอยู่ยาก ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเขาให้ส่วนแบ่งก็รับมา ถ้ารู้สึกว่าไม่เข้าท่าเข้าทางก็ทำแบบโยม คือเอาไปทำบุญ

โยมสงสัยว่า ได้วัตถุมงคลมาแล้วจะเป็นหนี้สงฆ์ ไม่เป็นหรอก พระท่านให้ สมัยนี้เป็นยุคสมัยของคนดีอยู่ยาก โลกมันเอียงข้าง ดังนั้น..ฝึกวิชาเมตตามหานิยมไว้เยอะ ๆ ทำแล้วเกิดผลเอาให้คนรอบข้างรักเราให้หมดทุกคน ถึงเวลาทำแล้วเกิดผลก็ค่อย ๆ ชักจูงเขามา เขารักเราแล้วนี่ เดี๋ยวเขาก็กลับมาดีเอง ดังนั้น..ต้องทำให้สำเร็จ ถ้าเราทำไม่สำเร็จเราก็จะโดนคนไม่ดีเบียดเบียน แต่ถ้าเราทำสำเร็จจะมีแต่คนดีล้วน ๆ

เถรี
21-12-2013, 14:50
:4672615:เก็บตกเดือนพฤศจิกายนปี ๕๖ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน