เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๖


เถรี
10-10-2013, 13:04
ถาม : การที่เราหยิบฉวยของผู้อื่นมาใช้เมื่อเดือนก่อน ปัจจุบันเรายังใช้ของนั้นอยู่ ด้วยเหตุนี้จะทำให้ศีลของเราในปัจจุบันบกพร่องหรือขาดหรือไม่ครับ ? ถ้าใช่จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรเพื่อให้มีศีลห้าบริสุทธิ์ ?
ตอบ : ศีลขาดไปตั้งแต่เดือนก่อน ยังใช้มาจนถึงปัจจุบันก็ขาดตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าจะแก้ไขก็เอาไปคืนเขาพร้อมกับมูลค่าการสึกหรอด้วย หลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ต่อไป

เถรี
10-10-2013, 13:05
ถาม : ความรู้สึกที่เราอยากกินอะไรต่าง ๆ ในแต่ละวัน การนึกเมนูว่าจะกินอะไรดีในแต่มื้อ เป็นอารมณ์ที่ควรละทิ้งหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นอารมณ์ที่เลวมาก ควรที่จะเก็บอารมณ์นี้เอาไว้ จะได้รู้ว่าเราเลวแค่ไหน..!

เถรี
10-10-2013, 13:07
ถาม : ขอความเมตตาให้คำจำกัดความของกิเลสที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันด้วยครับ ตอนนี้ผมมองไม่ออกว่าอะไรคือกิเลส เพราะการดำเนินชีวิตประจำวัน อะไร ๆ ก็ดูเป็นสิ่งจำเป็นทั้งหมด
ตอบ : แสดงว่าโง่ขนาด..! อะไรก็ตามที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด แล้วเกิดรัก โลภ โกรธ หลงเป็นกิเลสทั้งหมด แปลว่านอนอยู่กองกิเลสเป็นภูเขาเลากาแต่ดันไม่รู้จักหน้ากิเลส..!

ถาม : บางทีก็จำเป็นครับ
ตอบ : ก็แปลว่าเราจำเป็นที่จะต้องเกิดต่อไป..!

ถาม : แล้วมีวิธีแยกแยะไหมครับว่าอย่างไหนเป็นกิเลส ?
ตอบ : เต็มที่ก็แค่ปัจจัย ๔ เกินนั้นเป็นกิเลสทั้งหมด แค่ปัจจัย ๔ แท้ ๆ ยังเป็นกิเลสเลย แล้วจะไปนับอะไรกับตัวอื่นอีก เกินความจำเป็นก็เป็นเรื่องของกิเลสต้องการทั้งนั้น

เถรี
10-10-2013, 13:09
ถาม : เรื่องอารมณ์ของพระโสดาบัน ผมได้ฟังเทปคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง มีอยู่ข้อหนึ่งท่านสอนว่าพระโสดาบันต้องทรงอารมณ์ระดับปฐมฌานขึ้นไป ขอเมตตาสั่งสอนเกี่ยวกับการฝึกเพื่อให้ได้อารมณ์ปฐมฌานและการรักษาอารมณ์นี้ด้วยครับ
ตอบ : นั่งสมาธิให้ได้ปฐมฌานแล้วรักษาไว้ ก็แค่นั้นแหละ

เถรี
10-10-2013, 13:10
ถาม : ผมอยากทราบว่า การที่เราจะไปสัมภาษณ์งานที่อื่น แล้วเราก็ลางานโดยบอกว่าป่วย หรือไปเยี่ยมญาติที่ป่วยเพราะอุบัติเหตุ แล้วเราก็ไม่ได้ป่วยจริง อย่างนี้จะผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องนั้นเป็นเรื่องโกหก เรารู้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องโกหก เราตั้งใจโกหก เราลงมือโกหก เราโกหกสำเร็จ ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ถ้าไม่ครบองค์โทษลดไปตามส่วน แต่ก็มีโทษไม่ใช่ไม่มี

เถรี
10-10-2013, 13:12
ถาม : คุณพ่อสงสัยว่า บุคคลที่ได้ไปร่วมงานมงคล เช่น มงคลสมรส ขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น ซึ่งจัดงานดังกล่าวในวันเสาร์ ๕ จะมีผลอย่างไรครับ ? และหากมีผลจะแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีผล ๒ ข้อ ข้อที่ ๑ ถ้าเอาเงินไปช่วยเขาก็เสียเงิน ข้อที่ ๒ ถ้าเขาเลี้ยงโต๊ะก็อิ่ม เป็นแค่คนร่วมงานจะไปเกี่ยวอะไรกับเขา..!

เถรี
10-10-2013, 13:15
ถาม : การศึกษาอภิธรรม อย่างเช่น ไปเรียน ไปฟัง ไปสนทนากัน จำเป็นอยู่ไหมครับสำหรับคนสมัยนี้ ?
ตอบ : ถ้าต้องการมรรคผลจริง ๆ ก็จำเป็น แค่เท่าที่ดูเขาสอนในปัจจุบัน เขาสอนอภิธรรมให้ฟุ้งซ่านมากกว่า

ถาม : เราปฏิบัติให้เกิดผลแล้วความรู้เหล่านี้เกิดขึ้นเองครับ คือคนรอบตัวที่รู้จัก เขาไม่คิดที่นั่งภาวนากันเลยครับ หันไปฟังอภิธรรม จนไม่มีใครสนใจมานั่งภาวนากันเลยครับ ?
ตอบ : แนะนำว่าอย่าไปยุ่งกับเขา..!

ถาม : ไปฟังกับเขาไม่ได้หรือครับ เผื่อจะเกิดปัญญาบ้าง ?
ตอบ : จะได้ฟุ้งซ่านไปด้วย

เถรี
10-10-2013, 13:17
ถาม : ระหว่างที่อาราธนาบารมีพระในใจ เราไปกล่าวเป็นเรื่องอื่นเลย เช่น พูดวิธีทำข้าวผัด ขอยกตัวอย่างที่น่าอายให้ทราบค่ะ บางครั้งท่องคาถาของหลวงพ่อก่อนจะนอน "สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ" ไม่ครบ ๗ จบ สักที จนต้องเอานิ้วขึ้นมานับ ที่เป็นอย่างนี้ต้องแก้ไขอย่างไรบ้างคะ ? แต่ก่อนก็ไม่เคยเป็นบ่อยขนาดนี้ ได้แต่ทำใจว่าไม่มีอะไรดีสมบูรณ์ทุกครั้งสำหรับการปฏิบัติ
ตอบ : ทำสมาธิให้ทรงตัวมากกว่านี้ แสดงว่าไม่มีสมาธิเลย ฟุ้งตลอด

ถาม : แล้วการที่เราอาราธนาบารมีพระในใจไป แล้วคุยเรื่องอื่นไปด้วยถือว่าเป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าแบ่งกำลังใจเป็น ๒ ส่วน แล้วทำได้สมบูรณ์ทั้งคู่ถือว่าเก่ง

เถรี
10-10-2013, 13:19
ถาม : เมื่อเราประสบสิ่งไม่พอใจ แล้วบ่นว่าพระไม่ช่วยเลย อุตส่าห์ปฏิบัติขนาดนี้แล้ว ทาน ศีล ภาวนา ก็พยายามทำแล้ว ถือได้ว่าเราบกพร่องในการปฏิบัติเพื่อเป็นพระโสดาบันหรือไม่คะ ? คือ ไม่ได้เคารพพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง พอกระทบสิ่งไม่พอใจก็โทษท่าน พอถูกใจก็ยิ้มแย้มและกระหยิ่มยิ้มย่องว่าฉันเคารพพระจริง ๆ
ตอบ : ไม่ต้องสงสัย ปรามาสเต็ม ๆ ต้องบอกว่าแค่โซดายังไม่ได้ใกล้เลย อย่าว่าแต่พระโสดาบัน..!

เถรี
10-10-2013, 13:21
ถาม : ดิฉันเข้าใจถูกต้องไหมคะว่าศีลข้อ ๓ ของตนเองได้บกพร่องไปเสียแล้ว เนื่องจากญาติมีเมียน้อย เขามาระบายทุกข์ ได้แนะนำเขาไปว่าจะมีก็มีไป แต่ให้มีเงียบ ๆ อย่าให้ทางบ้านรู้ เคยดูแลส่งเสียอย่างไรก็ทำเหมือนเดิม มาระลึกได้ภายหลัง ถือว่าเราไปยินดีที่เขาละเมิดศีลนี่นา ก็เลยโทรไปบอกเขาว่า ขอพูดใหม่ ฉันไม่สนับสนุนให้เธอมีเมียน้อยแล้วนะ อย่างนี้ตนเองบกพร่องไหมคะ ?
ตอบ : โดนประหารชีวิตไปแล้ว เขาคงจะต่อหัวให้ใหม่ได้หรอก..!

ถาม : อย่างนี้คือไปยินดีที่เขาผิดศีลด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ยินดีเฉย ๆ สนับสนุนด้วย

ถาม : ก็เขามีกันอยู่แล้วนี่ครับ
ตอบ : ก็เขามีเขาผิด เขาอยู่ในนรกแล้วเราก็กระโดดตามเขาไปหรือ ?

ถาม : อันนี้ไม่ใช่เมตตาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เมตตาช่วยลงไปอยู่เป็นเพื่อนเขา..!

เถรี
10-10-2013, 19:25
ถาม : ในการกำหนดคำภาวนาในการทำกรรมฐาน เมื่อใช้คำภาวนาไปสักระยะหนึ่ง เกิดความรู้สึกนิ่ง สงบ เบา แต่ปรากฏว่าคำภาวนานั้นเปลี่ยนไปเป็นคำอื่นแทน เรียนถามว่าควรใช้ภาวนาคำนั้นต่อเนื่องไปเลย หรือควรเปลี่ยนกลับไปใช้คำภาวนาที่เรากำหนดไว้ตั้งแต่ตอนแรก ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติกองกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วคำภาวนาเปลี่ยนไป ให้ดึงกลับมาสู่คำภาวนาเดิมตามกองกรรมฐานนั้น แต่ให้ระวังอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าภาวนาไปใจเริ่มสงบ อยู่ ๆ คำภาวนาเปลี่ยนไปเอง โดยเฉพาะเปลี่ยนไปในลักษณะเป็นพระคาถาที่เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้รู้ว่าบางอย่างที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น..รีบใช้คำภาวนาที่เปลี่ยนใหม่ต่อไปโดยด่วนเลย

เนื่องจากว่าเวลาสมาทานกรรมฐานเราจะมีคำว่า “เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้นได้โดยมิต้องกำหนดจิต” เมื่อถึงเวลาจิตเริ่มมีความเป็นทิพย์ขึ้นมา สิ่งที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นก็หาทางป้องกันตัวเอง จึงต้องระมัดระวังไว้ด้วยว่า ถ้าคำภาวนาเปลี่ยนไปในลักษณะเป็นพระคาถาที่ใช้ในการป้องกันอันตราย แปลว่าระวังให้จงหนัก มีผู้ปรารถนาดีต่อเราแล้ว..!

เถรี
10-10-2013, 19:27
ถาม : ตะกรุดกันยาสั่งที่ทำจากกระดูกห่านขาวนั้น ใช้กระดูกช่วงไหนของห่านครับ ?
ตอบ : ช่วงไหนก็ได้ที่ทำแล้วหน้าตาเหมือนตะกรุด

ถาม : ต้มแล้วได้ไหมครับ ?
ตอบ : ห่านเป็น ๆ คงไม่ยอมให้เราทำหรอก

ถาม : แล้วควรต้มไหมครับ ?
ตอบ : ทั้งต้มทั้งล้างให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วมดจะขึ้น

เถรี
10-10-2013, 19:31
ถาม : ผมเป็นพนักงานขายของบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าชนิดหนึ่ง ได้ขายสินค้าให้กับลูกค้าในราคาหนึ่ง ตกลงซื้อขายกันแล้ว และฝ่ายประสานงานของทางบริษัทได้ทำเรื่องขอลดราคาต้นทุนจากเจ้าของสินค้า แจ้งตัวเลขราคาที่ขายให้ลูกค้ามากกว่าความเป็นจริง ถึงตรงนี้ทราบว่าผิดศีลข้อมุสาแล้ว อยากจะเรียนว่า เราเป็นพนักงานขายจะวางกำลังใจอย่างไร ถึงไม่เข้าข่ายยินดีในการมุสานั้น ? เพราะผลประโยชน์ก็ได้กับผมด้วย การกระทำนี้เขาก็ขอความเห็นและคำสนับสนุนจากผมด้วยว่าเขาจะทำอย่างนี้ บอกตัวเลขเท่านี้
ตอบ : ถ้าลูกค้าเขาเต็มใจซื้อในราคานั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าราคาใหม่มาแล้วเราไปบอกว่าราคานี้เป็นราคาที่เราขาย โดยที่ไม่ยอมบอกว่าราคาใหม่ที่เราได้มานั้นต่ำกว่านี้ แปลว่าเจตนาเราโกหก

ถาม : ถ้าเราไปต่อรองได้ทีหลังเป็นความสามารถของเรา แต่ถ้ารู้อยู่ก่อนแล้วตั้งใจไปบิดเบือนนี่เต็ม ๆ ?
ตอบ : เรื่องการค้า หลายคนใช้คำว่าจำเป็นต้องโกหก ถ้าจำเป็นต้องโกหกก็จำไว้ว่าอย่าโกหกตลอด ๒๔ ชั่วโมง เหลือเวลาไว้รักษาศีลบ้าง

เถรี
10-10-2013, 19:40
ถาม : ผมเป็นพนักงานขายได้ออกไปพบลูกค้าข้างนอก เมื่อเสร็จงานแล้วผมก็เลยกลับบ้านเลย ซึ่งยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ตรงจุดนี้เท่ากับว่าผมโกงเวลางาน จะผิดศีลข้อลักทรัพย์หรือไม่ครับ ไม่ทราบผมจะคิดมากเกินไปหรือไม่ครับ กลัวว่าศีลจะด่างพร้อยครับ ?
ตอบ : ด่างพร้อยแน่นอน แต่ไม่ถึงขาด ยกเว้นว่าถึงเวลาให้เขาตัดค่าชั่วโมงของเราไป

ถาม : แล้วไปทำงานชดเชยนอกเวลาได้ไหมครับ ?
ตอบ : นอกเวลาเขาก็ต้องให้ค่าล่วงเวลาเราอีก ไม่ได้ชดเชยของเก่าไปเลย

ถาม : แล้วเอาค่าล่วงเวลามาทำบุญ ?
ตอบ : บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป

เถรี
10-10-2013, 19:43
ถาม : หลังจากที่ผมทำสมาธิ ฟังเทปคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว จะสวดมนต์ต่อ ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ในการสวดมนต์เลยครับ มีอารมณ์เฉย ๆ พอสวดซ้ำไปหลายรอบก็เหมือนว่าสักแต่ว่าท่องให้จบ ๆ ไป ตรงจุดนี้ผมควรจะวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : วางกำลังใจว่า "ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปกูลงนรกแน่ ๆ..!" เรื่องของการทำความดีต้องทำให้สม่ำเสมอ ต่อให้จะตายลงไปก็ต้องทำ ไม่ใช่ว่ามาอ้างว่าตูนั่งฟังเสียงท่านแล้วสบายใจ ตูเลยไม่สวดมนต์ หรือตูสวดไปแล้วเซ็งไม่มีอารมณ์จะสวด ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้มีความสุขความเจริญ..!

ถาม : บางทีมีความรู้สึกว่าเรากำลังมีสมาธิ จิตกำลังสงบเลยไม่อยากสวด ?
ตอบ : ลองไปดูวัญจกธรรม ธรรมะที่เป็นเครื่องหลอกลวง หลอกให้คิดว่าเราดีแล้ว ไม่ต้องทำอันนี้ก็ได้

เถรี
10-10-2013, 19:44
ถาม : สถานที่ปฏิบัติธรรมแบบเจโตวิมุตติแห่งหนึ่ง ได้รับรองผลการปฏิบัติว่า อย่างน้อยผู้เข้าร่วมปฏิบัติจะบรรลุจตุตถฌานภายใน ๑ ชั่วโมง จะเป็นไปได้จริงหรือคะ ?
ตอบ : ไปลองดู..!

เถรี
10-10-2013, 19:46
ถาม : สมมติว่าเราโอนเงินร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ไม่ได้ทำคนเดียวทั้งองค์ ร่วมเงินกับเขา ไม่ได้ปิดทอง อย่างนี้ถือว่าเราชำระหนี้สงฆ์หมดหรือไม่ครับ หรือได้ชำระแค่จำนวนเงินที่ร่วมทำไป ?
ตอบ : ได้อานิสงส์สร้างพระพุทธรูปอย่างเดียว อานิสงส์การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าสร้างเองไม่ได้ปิดทองหน้าตักต้อง ๔ ศอกขึ้นไปจึงชำระหนี้สงฆ์ได้เฉพาะตน ถ้ามีบุคคลร่วมคณะกันต้องปิดทองให้ถึงจะมีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ทุกคน

การที่ร่วมกับเขาในการสร้างพระ ต่อให้หน้าตัก ๔ ศอก แต่ถ้าไม่ได้ปิดทองเราก็ได้อานิสงส์สร้างพระเท่านั้น ไม่มีส่วนในการชำระหนี้สงฆ์เลย

เถรี
10-10-2013, 19:48
ถาม : อยากทราบวิธีแก้คุณไสยจากการฝังรูปฝังรอยให้คนเกลียดกัน หรือโดนทำคุณไสยให้หลง เพื่อหวังทรัพย์สินครับ และอาการโดนคุณไสยเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่การฝังรูปฝังรอยต้องขุดขึ้นมาถึงจะหาย ส่วนอาการไม่ต้องห่วง ผิดปกติเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว สมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วจะฝังอยู่ใต้บันไดบ้าน แต่ว่าสมัยนี้ใต้บันไดมักจะเป็นคอนกรีต ขุดไม่ไหว ถ้าจะทำให้เกิดผลอีกทีก็มักจะฝังไว้ทาง ๓ แพร่ง แล้วต้องเป็น ๓ แพร่งที่ใกล้บ้านที่สุด

ฉะนั้น..ไปดูเอา ถ้า ๓ แพร่งที่ใกล้บ้านเทคอนกรีตก็สบายใจ ชีวิตนี้ไม่โดนฝังรูปฝังรอยหรอก

เถรี
10-10-2013, 19:49
ถาม : อยากทราบวิธีทางพุทธไสยศาสตร์ที่ใช้กำจัดคนชั่ว คนเลว คนโกงที่กำลังทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยวิธีการปิดกั้นกุศลกรรมไม่ให้ส่งผล และให้อกุศลกรรมส่งผลโดยฉับพลัน ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน..ให้คนถามไปลองทำดู ถ้าสำเร็จช่วยมาบอกอาตมาด้วย

เถรี
10-10-2013, 19:51
ถาม : หากเราได้ปลูกบ้านโดยไม่ทราบว่ามีจอมปลวกอยู่ แล้วได้ปลูกทับลงไปจะมีผลอย่างไรบ้างคะ ? และสามารถแก้ไขได้อย่างไรได้บ้างไหมคะ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ จะปลูกบ้านถ้ามีจอมปลวกอยู่ต้องเห็น เป็นไปได้อย่างไรที่ปลูกทับไปโดยไม่รู้เรื่อง ?

ถาม : บางทีให้ช่างเขาจัดการไป เราไม่ได้ไปดูเลย ?
ตอบ : โบราณเขาถือว่าการปลูกบ้านคร่อมตอหรือจอมปลวกเป็นกาลกิณี ให้ใช้น้ำมนต์ธรณีสารไปรด แต่อาตมาว่าสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่ต้องแก้ไขหรอก เพราะช่างมักจะอัดน้ำยากันปลวกให้เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาทำบุญทำกุศลอะไรก็อุทิศให้เขาไปบ้างก็แล้วกัน

เถรี
11-10-2013, 18:59
ถาม : ถ้าเราบวชพระ แล้วมีพระอุปัชฌาย์ หรือพระคู่สวด หรือพระอันดับ ต้องอาบัติปาราชิกหรือสังฆาทิเสส เราจะเป็นพระสมบูรณ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดพระอุปัชฌาย์หรือพระคู่สวดหรอก บุคคลที่เป็นพระอันดับอยู่แม้แต่รูปเดียว ถ้าโดนอาบัติหนักตั้งแต่สังฆาทิเสสขึ้นไป บวชแล้วก็ไม่เป็นพระ เพราะสังฆกรรมไม่สมบูรณ์ วิธีแก้ก็คือสึก แล้วหาที่สมบูรณ์บวชใหม่

ถาม : แล้วอย่างนี้มีผลต่อการปฏิบัติไหมครับ ?
ตอบ : มีโทษหนักขึ้นไปเรื่อย เพราะว่าตัวเองไม่ใช่พระ แต่ไปกินไปนอนร่วมอยู่กับพระด้วยกัน ทำให้สังฆกรรมเขาเสีย ทำให้เขาต้องอาบัติอยู่ตลอดเวลา

เถรี
11-10-2013, 19:01
ถาม : ศีล ๕ และศีล ๘ เราอธิษฐานเอาเองได้ใช่ไหมครับ โดยไม่ต้องสมาทานกับพระ ส่วนศีล ๑๐ คือศีลของสามเณร เราอธิษฐานเอาเองได้ไหมครับ ?
ตอบ : ศีล ๒๒๗ ก็อธิษฐานได้ คำว่าสมาทาน แปลว่า ศึกษา การอาราธนาศีลคือขอศีลกับพระ พระท่านก็จะบอกให้ว่าศีลมีอะไรบ้าง ในเมื่อเราศึกษาแล้วว่าศีลมีอะไรบ้าง ก็ตั้งหน้าตั้งตาละเว้นตามนั้นถึงจะเกิดผล แต่ถ้าเรารู้ว่าศีลมีอะไร ตั้งหน้าตั้งตาละเว้นไปเลยก็ใช้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าในเพศของสามเณรหรือพระนั้น ต้องมีพิธีกรรมในการบวชต่างหากออกไป สรุปว่า ถ้ารู้ว่าศีลมีอะไรก็ปฏิบัติไปได้เลย

เถรี
11-10-2013, 19:03
ถาม : ฉัตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีความแตกต่างจากฉัตรของพระพุทธเจ้าอย่างไร ?
ตอบ : ต่างกันตรงปัจจัยของคนสร้าง มีเงินเยอะก็ทำใหญ่หน่อย

ถาม : อย่างเช่น รายละเอียดชั้นเดียวหรือกี่ชั้น ?
ตอบ : เท่าที่เห็นมา ทำแบบไหนถวายก็ไม่เห็นท่านบ่นสักคำ..!

เถรี
11-10-2013, 19:04
ถาม : มีพระรูปหนึ่งเทศนาว่า คนที่ทำความชั่วลบล้างความดีที่ทำมา อยากจะกราบเรียนขอให้ขยายความ
ตอบ : ขยายไม่ถูก รู้แต่ว่าดีส่วนดี ชั่วส่วนชั่ว ลบล้างกันไม่ได้ ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีให้มากไว้ เมื่อความดีมีกำลังสูงกว่า จะได้หนีห่างความชั่วออกไปได้

ถาม : เวลาเราทำความชั่วก็ไม่ได้ไปลบล้างความดีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ดีส่วนดี ชั่วส่วนชั่ว อย่างไหนส่งผลก็รับไป

เถรี
11-10-2013, 19:05
ถาม : ทำบุญอย่างไรทำให้ชีวิตเราเจริญรุ่งเรืองในชาตินี้ เห็นผลในชาตินี้ ?
ตอบ : ไปแอบทำบุญกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติคนเดียว หรือไม่ก็ฝึกสมาบัติ ๘ ให้ได้แล้วไปภาวนาคาถาเงินล้าน

เถรี
11-10-2013, 19:06
ถาม : วัตถุมงคลที่ผ่านการปลุกเสก ถ้าคนแขวนไปในที่อโคจร วัตถุมงคลจะเสื่อมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : วัตถุมงคลไม่เสื่อม แต่ศีลธรรมของคนแขวนจะเสื่อม..!

เถรี
11-10-2013, 19:07
ถาม : เพื่อนจะเปิดร้านกาแฟวันออกพรรษา ซึ่งตรงกับวันมหาสิทธิโชค อยากถามว่าจะเป็นฤกษ์ที่เปิดกิจการได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ตรงกับวันศุกร์ก็เปิดไปเถอะ การเปิดกิจการใหม่เขาห้ามวันศุกร์อย่างเดียว

เถรี
11-10-2013, 19:09
ถาม : มีวันหนึ่งตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์โล่ง ๆ โปร่ง ๆ ไปจนตลอดเวลาทำงาน ไม่ได้เบื่อหน่าย ไม่ได้ดิ้นรน กราบขอความเมตตาชี้แนะ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจะได้อารมณ์แบบนี้อีก ?
ตอบ : นึกย้อนหลังไปว่าก่อนหน้านั้นเราคิดอะไร เราพูดอะไร เราทำอะไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน แล้วอารมณ์เป็นอย่างนั้น เราก็กลับไปคิดอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ทำอย่างนั้นใหม่

ถาม : ถ้าพอถึงอารมณ์แบบนี้ควรจะพิจารณาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอารมณ์ที่อยู่ในด้านดี ไม่ชวนไปทางรัก โลภ โกรธ หลง ก็ให้ประคองสติรักษาเอาไว้

เถรี
11-10-2013, 19:12
ถาม : ลูกอยากทราบว่ามักกะลีผลกับช้างน้ำเกิดมาเพื่ออะไร ?
ตอบ : ก็เพื่อเป็นมักกะลีผลกับเป็นช้างน้ำ..!

ถาม : ทำไมคนธรรมดาจึงไม่สามารถเห็นได้ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าไปไม่ถึง ถ้าไปถึงเมื่อไรก็เห็นได้

ถาม : มีประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ : มีประโยชน์คือ ทำให้คนไม่เห็นสงสัยต่อไป..!

เถรี
11-10-2013, 19:15
ถาม : การทำบุญสร้างอะไรบ้างที่มีวิมานของตัวเอง ?
ตอบ : ทำในส่วนของวิหารทานทุกประเภท แม้กระทั่งห้องน้ำห้องส้วม

ถาม : เราจะขึ้นไปดูวิมานของตนเองต้องมีฌาน ๔ ใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้ามีฌาน ๔ แต่ไม่ได้อภิญญาหรือไม่ได้ทิพจักขุญาณ ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นวิมานของตัวเอง

ถาม : รูปแบบลักษณะวิมานขึ้นอยู่กับอะไร ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองทำมา ถ้าบุญนั้นสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว วิมานนั้นก็จะขึ้นกับความรักชอบส่วนตัวของตน ไม่เช่นนั้นก็จะขึ้นอยู่กับผลบุญที่ตัวเองทำ

ถาม : วิมานหายได้เนื่องจากทำบาปอะไร ?
ตอบ : ไม่ต้องทำบาปหรอก แค่กำลังใจลดลงวิมานก็หายไปได้

เถรี
11-10-2013, 19:16
ถาม : หลวงพ่อได้มอบพระให้ลูกมาบูชา ขณะที่ห้อยพระแล้วต้องใส่ชุดนอนที่สวมทางศีรษะ พระจะเสื่อมหรือไม่ ? รวมถึงลอดใต้นั่งร้านก่อสร้างจะเสื่อมหรือไม่ ?
ตอบ : ขอยืนยันว่าพระไม่เสื่อม แต่ถ้ากำลังใจของเราเป็นกังวลนั่นแหละ แปลว่าเราเองทำตัวให้เสื่อมจากพระ

เถรี
11-10-2013, 19:17
ถาม : กรรมจากการตกงานหรือเปลี่ยนงานบ่อยเกิดจากอะไร ?
ตอบ : เกิดจากขาดความอดทน..!

ถาม : มีวิธีแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ก็ทนให้มากขึ้น..!

เถรี
11-10-2013, 19:17
ถาม : การถวายพระประธานองค์ใหญ่ให้กับวัด กับการถวายสังฆทานที่มีพระพุทธรูปแบบที่ถวายกับหลวงพ่อต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ต่างกันที่ว่า การสร้างพระประธานถือว่าเป็นพุทธบูชาโดยตรง อีกอย่างหนึ่งเป็นบุญสังฆทานเท่านั้น

เถรี
11-10-2013, 19:20
ถาม : องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นมาจนไม่สามารถนับได้ เกิดในโลกนี้ทุกพระองค์หรือไม่ ?
ตอบ : ขอยืนยันว่าเกิดในโลกนี้ทั้งหมด

ถาม : สัตว์โลกยุคดึกดำบรรพ์มีศาสนาเกิดขึ้นแล้วหรือยัง ?
ตอบ : มีแต่สัตว์ดึกดำบรรพ์ แล้วจะเอาศาสนาที่ไหนมาเล่า ?

เถรี
11-10-2013, 19:21
ถาม : บ้านของลูกเลี้ยงกระต่าย ออกลูกทุกเดือนเยอะมาก ทำให้ต้องหาคนมารับเลี้ยง อยากทราบว่าบาปหรือไม่คะ ?
ตอบ : หาคนมาเลี้ยงไม่บาป

ถาม : กรณีนำไปขายบาปหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าขายให้เขานำไปเลี้ยงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าขายให้เขาไปฆ่าก็บาปแน่ ๆ

เถรี
11-10-2013, 19:22
ถาม : พระอริยสงฆ์กับพระเกจิอาจารย์ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ว่าพระอริยสงฆ์แทบทุกรูป ชาวบ้านมักจะเห็นเป็นพระเกจิอาจารย์ แต่พระเกจิอาจารย์ทุกรูปไม่ใช่พระอริยสงฆ์เสมอไป

เถรี
15-10-2013, 10:00
ถาม : ทางพระศาสนาเลือกบ้านอย่างไรครับ ?
ตอบ : เลือกตามเวรตามกรรม ตอบตรงไปตรงมา

ถาม : ทางฮวงจุ้ยล่ะครับ ?
ตอบ : ถ้ากล่าวถึงเรื่องทางพระศาสนาก็คือ คนทำบุญไว้ดีก็ได้ฮวงจุ้ยดี ถ้าคลั่งเรื่องนี้ก็ไปหาหมอดูเรื่องฮวงจุ้ยโดยตรงให้หมดเรื่องหมดราวไป อาตมาเองไม่เคยเลือกสักทีหนึ่ง โดยเฉพาะพระเขาให้อยู่ในป่าช้า อยู่โคนไม้ จะไปเลือกฮวงจุ้ยอีท่าไหน เลือกได้แค่ว่าจะเอาที่ผีดุหรือไม่ดุแค่นั้น..!

เถรี
15-10-2013, 10:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครแวะไปชมนิทรรศการงานสมเด็จพระสังฆราชแล้วหรือยัง ? เมื่อเช้าดูข่าว เห็นว่ามีผู้ตามไปถวายสักการะกันที่โรงพยาบาล โอ้โห..มีความสุขเหลือเกินที่ได้ไปกวนคนที่นอนอยู่กับเตียง อาตมาระวังตัวเองสุดชีวิตเลยเรื่องนี้ ถ้าเกิดอายุถึง ๑๐๐ ปีแล้วยังมีคนมาออเต็มไปหมด จะพยายามรวบรวมกำลังลุกขึ้นมาเตะมันให้ได้..! คนไปก็ไม่ได้คิด...

อาตมาไปกราบหลวงปู่ดำ วัดท่าทอง จังหวัดอุตรดิตถ์ ตอนนั้นท่านอายุ ๑๐๐ ปีพอดี กราบเสร็จเอาไทยธรรมใส่พานถวายไว้ปลายเท้าท่าน แล้วก็กราบลารีบเผ่น พระในวัดท่านวิ่งตาม “เดี๋ยวครับ ๆ ท่านอาจารย์ ผมจะปลุกหลวงปู่ให้” “ไม่ต้องเมตตาเลย ถ้าตูอายุถึงร้อยแล้วนอนพัก อยู่ ๆ มีคนปลุกขึ้นมาให้กราบละก็..ตูจะฆ่ามัน..!” พวกคนไม่เคยแก่ ไม่รู้หรอกว่าคนแก่นั้นลำบากแค่ไหน"

เถรี
15-10-2013, 16:29
ถาม : ก่อนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศจะมรณภาพ ท่านไปเยี่ยมบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ท่านเข้าโรงพยาบาล อาตมาไม่ได้ไปเป็นปีเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านบอกให้ไปอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะว่าเวลาจะเข้าจะออก ท่านก็ต้องเสียเวลามาต้อนรับ แล้วท่านเองก็กำลังไม่มี ต้องนั่งรถเข็น พยุงปีกกัน อาตมาไม่ไปรบกวนเด็ดขาดเลย ไปอยู่แค่ ๒ ครั้งตอนวันเกิดท่าน ก็คือ วันเกิดปี ๒๕๕๕ กับวันเกิดปีนี้ จะไปเฉพาะงานที่ท่านเลี่ยงไม่ได้ ประเภทอย่างไรท่านก็ต้องออกมาเพื่อส่วนรวม แต่ใช้วิธีถวายเครื่องสักการะเสร็จแล้วก็เผ่นเลย

ทางด้านท่านเจ้าคุณพระพรหมสิทธิบอกว่า ให้มากราบท่านบ้าง ท่านได้เห็นพระที่ท่านรู้จัก และรู้ว่าทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา ท่านจะได้ชื่นใจ อาตมาก็บอกไปว่า “ผมไม่เอาหรอก ผมยอมให้ท่านนั่งเฉย ๆ ดีกว่า พระระดับนั้นแล้ว ไปกวนท่านมีหวังขาดทุนยับเยิน” ไปทีไรท่านก็กล่าวยกย่องให้เป็นตัวอย่างของพระวัดสระเกศอยู่เรื่อย อยู่ไปนาน ๆ คนอื่นเขาจะหมั่นไส้เอา..จึงไม่ไปดีกว่า

ส่วนใหญ่ไปก็จะไปในช่วงที่ไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของท่าน คือไปตอนวันปาฏิโมกข์ ไปลงโบสถ์พร้อมกัน หรือไปตอนช่วงทำวัตรค่ำ พอถึงเวลาทำวัตรเสร็จก็กราบลาท่านกลับ ไปให้ดูว่า "ผมมาตามคำสั่งแล้วครับ" แค่นั้นแหละ

เถรี
15-10-2013, 16:48
ถาม : ตอนที่ท่านรับครูบาเหนือชัยออกนิโรธกรรม เหมือนตอนงานครูบาวิฑูรย์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ เพียงแต่งานครูบาวิฑูรย์นี่โดนมา ๒ ปีแล้ว พวกประเภทชอบทดสอบคนเก่ง สักวันหนึ่งเถอะ...หมั่นไส้เมื่อไรจะสวนคืนให้บ้าง..!

งานออกนิโรธกรรมจะเจอพวกนี้เยอะ พระที่ท่านเข้านิโรธกรรมก็เลยต้องหาคนที่มั่นใจว่าป้องกันท่านได้ ไปรับท่านออกมา เพราะว่าตอนช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ร่างกายท่านอ่อนแอที่สุด ในเมื่อร่างกายท่านอ่อนแอที่สุด ถ้าเผลอสติก็อาจจะโดนได้ ก็เลยต้องหาบุคคลที่ท่านมั่นใจไปรับท่านออกมา

อย่างงานครูบาวิฑูรย์นี่ปีแรกโดนหนักเลย เขาคงลองดูว่าแน่แค่ไหนที่จะมารับออกจากนิโรธกรรม ปีนี้โดนอีกแล้ว อาตมาก็ต้องตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนทุกวันนี้พวกหมอผีกะเหรี่ยงยังงงว่า ตกลงพระรูปนี้เก่ง หรือว่าโชคดีก็ไม่รู้ ทำอะไรก็ไม่เห็นเป็นอะไร ตีหน้าตายอยู่ตลอด

เถรี
15-10-2013, 16:58
ถาม : ทำไมไม่สะท้อนกลับไปบ้าง ?
ตอบ : ไม่อยากทำ สงสารเขา พระครูแสงตอนก่อนบวช เล่นหมอผีกะเหรี่ยงตายภายใน ๓ วันเลย ไอ้พวกเอาโทสะนำหน้า ถึงเวลาเล่นกูใช่ไหม? มึงเอาของมึงคืนไปเลย..! ของพวกนี้ต้องบอกว่าเราเมตตาเขา แต่เขาก็ไม่รู้หรอก พวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกลัวเมตตาหรอก แผ่เมตตาไม่ค่อยได้ผล ต้องใช้รังสีอำมหิต

เถรี
15-10-2013, 17:07
พระอาจารย์เล่าให้โยมฟังว่า "ในหนังสือเล่มนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่มือสังหารไปฆ่าเขาตาย แล้วศัตรูก่อนตายบอกว่า มีแม่ตาบอดอยู่กับบ้าน จึงต้องมารับงานฆ่าคน มือสังหารก็เลยปลอมตัวเป็นลูก ไปดูแลปรนนิบัติรับใช้แทน แต่ว่าตัวเองนาน ๆ ทีก็ต้องออกไปรับจ้างสังหารเขา ก็บอกกับแม่ว่าขอไปทำงานต่างเมือง พอถึงเวลาก็กลับมาพร้อมกับทรัพย์สินเงินทอง ข้าวปลาอาหาร

จนกระทั่งผ่านไปหลายปี ท้ายสุดตัวเองก็อดรนทนไม่ได้ ไปคุกเข่าสารภาพกับคุณยายว่าลูกตายไปแล้ว ตัวเองต้องปลอมตัวมาแทน ด้วยความที่รู้สึกผิดจริง ๆ ยายบอกว่า ยายรู้ตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะลูกอยู่กับยายมาตั้งแต่เล็กจนโต มีหรือที่จะผิดปกติอย่างนี้ ไอ้นั่นก็ต้องถามว่าอยู่ที่ไหน ไอ้นี่ก็ต้องถามว่าอยู่ที่ไหน ต่อให้ยายตาบอดยายก็รู้ ว่าแล้วยายก็แสดงฝีมือให้ดู มือสังหารก็อึ้งไปเลย นี่ยายจะฆ่าเราเมื่อไรก็ได้ ฝีมือเหนือกว่าเราหลายเท่า

แต่ที่ยายไม่ทำอะไรเพราะรู้ว่าลูกตัวเองก็ผิดที่ไปฆ่าคนอื่นเขาเอาไว้ ถึงเวลาเขาเลยต้องจ้างคนมาฆ่าลูกตัวเอง แล้วก็อบรมสั่งสอนมือสังหารว่า ถ้ากลับเนื้อกลับตัวได้ก็กลับเสีย คนอย่างยายโอกาสไม่มีเพราะแก่จนเกินไปแล้ว เรายังวัยหนุ่มอยู่ ยังมีโอกาสแก้ไขตัวเองได้ จะได้ทำประโยชน์กับส่วนรวมได้ ดูถูกคนตาบอดได้ที่ไหน

ยายก็ปล่อย อยากรับใช้ก็ทำไป อย่างน้อย ๆ ให้เขาได้คลายบาปในใจเขาลงได้บ้าง ลักษณะเหมือนเรื่องจีนกำลังภายในสั้น ๆ ๓ - ๕ หน้า แต่บางเรื่องหักมุมดีจริง ๆ "

เถรี
15-10-2013, 17:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามีโอกาสไปดูตามสถานที่ต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งพระราชประวัติของสมเด็จพระสังฆราชไว้ก็จะเป็นบุญตาอย่างยิ่ง อาตมาเข้าไปดูมา ๓ งานรวดแล้ว ตอนที่เขาฉลอง ๙๐ พรรษาของท่าน ที่สร้างพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์คชวัตรรุ่นแรก ตอนนี้พระกริ่งทองคำรุ่นแรกราคาน่าจะเกิน ๕ แสนไปแล้ว

ก่อนนั้นอาตมาก็บูชาไว้องค์หนึ่ง แล้วก็บูชาพระชัยวัฒน์คชวัตรทองคำไว้ ๓ องค์ และหม้อน้ำมนต์ ๒ ใบ ตอนนี้หมดเกลี้ยง เอาไปให้ประมูลหาเงินสร้างพระหมดแล้ว

พระชัยวัฒน์คชวัตรรุ่นแรกสมควรหาไว้ เพราะว่าเป็นดำริของสมเด็จพระสังฆราชท่านจริง ๆ แต่รุ่นหลังที่ทำ สมเด็จพระสังฆราชท่านไม่ได้รับรู้อะไรด้วยแล้ว เป็นการฉวยโอกาสในวาระสำคัญของท่าน เพราะเขาเห็นว่ารุ่นแรกนี่คนตอบรับดีมาก ก็เลยฉวยโอกาสสร้างรุ่น ๒ ขึ้นมา หน้าตาเหมือนรุ่นแรกทุกอย่าง น่าจะบล็อกเดียวกัน เพียงแต่ไปเพิ่มตราสัญลักษณ์พระนามย่อที่ฐานเท่านั้น

ตอนนั้นรู้สึกว่าหม้อน้ำมนต์จะราคาแพงมาก เพราะนอกจากจะเป็นนวโลหะแล้ว ตราสัญลักษณ์ ๙๐ พรรษาของท่านยังเป็นทองคำ พอถึงเวลานานไป ๆ นวโลหะกลับดำ เหลือแต่ตราสัญลักษณ์ที่เป็นทองสว่างโร่ ตอนนั้นจองไว้หมดทุกเนื้อเลย แม้กระทั่งรูปเหมือนลอยองค์ของท่าน ตอนนี้เหลือแต่รูปถ่ายอย่างเดียว บางคนเขาบอกว่าของมีค่าหายาก ทำไมสละเสียจนหมด ที่หายากที่สุดก็คือชีวิตเราเอง กระทั่งชีวิตยังไม่อินังขังขอบ อย่างอื่นก็คงไม่กระไรนัก"

เถรี
15-10-2013, 20:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้สบายใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือเรื่องโครงร่างวิทยานิพนธ์ อาจารย์ท่านเซ็นอนุมัติให้สอบได้แล้ว ตามล่าอาจารย์กันสนุกสนาน น้องเล็กขับรถสะสมไมล์ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ขนาดพระที่วัดติดรถมาด้วยเพิ่งจะรู้ว่า แต่ละวันพระอาจารย์ไปไกลขนาดไหน วิ่งจากทองผาภูมิไปขอลายเซ็นท่านอาจารย์ที่วังน้อย พอไม่เจอตัวต้องวิ่งตามไปวัดป่าเลไลย์ ไปถึงวัดป่าเลไลย์อาจารย์ไม่อยู่ ต้องวิ่งกลับมาวัดสระเกศ เพราะ มจร.เป็นเจ้าภาพงานหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เป็นอะไรที่สนุกกับชีวิตมากเลย"

ถาม : ถ้าจบปริญญาเอกก็เป็นอาจารย์ประจำหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตอนนี้เป็นอยู่แล้ว เป็นของมจร.อยู่ ๒ แห่งแล้ว ที่ห้องเรียนวัดใต้ กับห้องเรียนวัดไร่ขิง ถ้าขืนจบด็อกเตอร์ขึ้นมาเดี๋ยวส่วนกลางก็คงจะเอาด้วย

วันก่อนเจอพระครูสุพัฒน์กาญจนกิจ บอกเขาว่า “อาจารย์โก๊ะ ถ้าหากว่าช้านี่ผมแซงเลยนะ” “โอ๊ย..นิมนต์ท่านเถอะ ผมโมทนาด้วย” ท่านเรียนก่อน ๒ ปี โดนแซงไปแล้ว อีกคนก็พระครูวิบูลกาญจโนภาส เรียนก่อน ๑ ปี แต่เสียดายที่ตั้งใจจะจบภายในปีเดียวแล้วทำไม่สำเร็จ เหมือนกับอาจารย์ท่านพยายามจะดึงเกมเอาไว้ คืออย่างไรเสียถ้าเวลาไม่ครบ ๓ ปี จะรับปริญญาไม่ได้อยู่แล้ว แล้วถ้าคนนั้นไม่อยู่คนนี้ไม่อยู่ เพื่อน ๆ บางทีเขาหมดกำลังใจ ก็เลยอยู่ประคอง ๆ กันไปก่อน เรื่องแบบนี้ต้องขยันพบอาจารย์ จะไปกลัวอาจารย์ไม่ได้ ตอนแรกที่เลือกคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ก็มีแต่คนมาขอให้เปลี่ยนเป็นท่านอาจารย์สุภกิจ

ท่านอาจารย์ดร.สุภกิจ ท่านอายุมากแล้ว ท่านเห็นพวกเราเป็นลูกเป็นหลาน ท่านก็จะเมตตาแล้วก็ค่อนข้างจะผ่อนผันให้ อาตมาไปเลือกอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์ โอ้โห..ด็อกเตอร์เพิ่งจบใหม่ ๆ ไฟแรงสุด ๆ เพื่อน ๆ บอกว่า “ไม่ได้นะ..อาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์แก้ทุกประโยคเลย” “เออ..นั่นแหละที่ผมต้องการ ผมจะได้รู้ว่าผมเขียนผิดอย่างไร”

เขามีรายการที่ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ว่าต้องเซ็นครบ ๑๐ ครั้ง อาตมาไล่เจอท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์คนเดียวไป ๘ ครั้งแล้ว ถ้าหมูไม่กลัวน้ำร้อนนี่อาจารย์จะรักมากเลย เรียนทั้งทีต้องได้คุณภาพ แล้วต้องเจอกับอาจารย์แบบนี้ ไปเจออาจารย์ที่ท่านผ่อนผันให้ ท่านเมตตาเราก็จริง แต่เราก็ไม่รู้ว่าที่ทำไปนั้นดีจริงหรือไม่ดีจริง เขาบอกว่ากลัวครูไม่รู้วิชา เพราะฉะนั้น..กลัวไม่ได้ วิ่งหาไว้ก่อน

เถรี
15-10-2013, 20:11
พอได้ยินว่าผ่านท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์มาได้ อาจารย์ท่านอื่นไม่อ่าน ท่านเซ็นอนุมัติเลย ก็ท่านให้แก้กระทั่งจุดกับจุลภาค “นี่นะอ้างอิงของคุณ ตรงนี้จะต้องเป็นจุลภาค แล้วตรงนี้จะต้องเป็นจุดนะ” ท่านละเอียดขนาดนั้น แก้เฉพาะพวกนี้อย่างเดียวอาตมาก็หน้ามืดตาลายแล้ว

ถาม : นิสัยละเอียดอย่างนี้เป็นพุทธิจริตหรือคะ ?
ตอบ : ก็ต้องบอกว่าเป็นราคะจริต และต้องเป็นราคะจริตที่ประกอบด้วยพุทธิจริตด้วย เพราะว่าท่านละเอียดแล้วท่านเมตตา เป็นคนอารมณ์ดีมากเลย ล้อเล่นได้ทั้งวัน สนุกสนานเฮฮา “นี่จำไว้นะ อย่าเชียวนะไอ้หน้างอ” อาตมามีเชิงอรรถอ้างอิงเสร็จสรรพ แล้วก็เป็นหน้า ง. “เขาจะรู้ว่าเราอ่านเฉพาะแค่บทคัดย่อเท่านั้น ถ้าไม่มีหน้าอ้างอิง เอาออกไปเลย ไอ้หน้างอคอหักมีแต่ปลาทูเท่านั้น”คิดดูว่าท่านอารมณ์ดีขนาดนั้น พอท่านดุลูกศิษย์แล้วลูกศิษย์ก็ขำ เสียดายที่ท่านไม่ได้มาสายปฏิบัติ ถ้ามาสายปฏิบัติจะรุ่งมากเลย เพราะท่านอารมณ์ดีทั้งวัน เล่นสนุกได้ทั้งวันทั้ง ๆ ที่เวลานอนของตัวเองยังไม่ค่อยจะมี ลูกศิษย์ไปคอยเข้าแถวหาอยู่เช้ายันค่ำ

เถรี
15-10-2013, 20:30
อาจารย์มนตรา ดร.มนตรา เลี่ยวเส็ง ต้องบอกว่าท่านเป็นคนเคารพพระมาก ตอนแรกท่านก็ไม่รู้หรอก พอท่านมารู้ว่าอาตมานอนอยู่หน้ากระดานดำ ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่กล้าเดินไปฝั่งนั้นเลย ท่านจะเขียนอยู่ซีกเดียว จนกระทั่งเพื่อน ๆ ประท้วง “อาจารย์ครับ ทำไมเขียนซีกเดียว ?” “อ๋อ..ด้านโน้นเป็นที่นอนพระครูเล็กเขา” ที่นอนอาตมาม้วนเก็บไปแล้ว ต้องบอกว่าตรงที่ปูที่นอนท่านยังไม่กล้าเดินผ่านเลย

เจออาจารย์หลายต่อหลายท่านที่ท่านให้ความเคารพพระ จนกระทั่งอยากจะเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า อย่างท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัยก็เหมือนกัน แม้แต่คำเดียวก็ไม่กล้าปรามาสพระ แล้วถ้าหากว่าใครปรามาสพระ ต่อให้เป็นผู้บังคับบัญชาท่านก็เถียง ท่านเป็นอนุสาสนาจารย์กองทัพบก ตอนนี้เป็นหัวหน้ากองอนุสาสนาจารย์ หัวหน้ากองยศพลตรี แต่ว่าตอนช่วงที่ท่านเป็นแค่ร้อยโท ท่านกล้าเถียงนายพล

ท่านบอกว่า “ท่านครับ..กระผมขออนุญาตเรียนชี้แจงครับ” เจ้านายก็ถาม “มีอะไรจะชี้แจง ?” ”คำว่าไอ้เณรกรุณาเลิกใช้ได้ไหมครับ เณรมาจากคำว่าสามเณร แปลว่าเชื้อสายของสมณะ ไม่ควรจะที่จะขึ้นด้วยคำว่าไอ้นะครับ” ท่านเองเป็นทหารแล้วมีคนไปเรียกพลทหารว่าไอ้เณร ๆ จนท่านทนไม่ไหว นั่งเถียงผู้บังคับบัญชาเลย

แต่ต้องบอกว่าด้วยความดีของท่าน เถียงขนาดนั้นผู้บังคับบัญชายังเอาไม่อยู่ กันไม่ได้ ขึ้นมาจนเป็นพลตรี ท่านเองจบเปรียญธรรมประโยค ๘ แล้วลาออกมาไปสมัครเป็นอนุสาสนาจารย์ ก่อนหน้านี้ก็บวชพระด้วย แต่ไม่ว่าจะทดสอบอย่างไร อาจารย์ท่านไม่เคยหลุด เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าสติท่านสมบูรณ์มาก ๆ เช่น ตอนอาตมาแกล้งส่งไมโครโฟนให้ แบบเดียวกับตอนที่ในหลวงพระราชทานพัด พระจะต้องจับด้านที่ต่ำกว่าพระหัตถ์ในหลวง แล้วอีกด้านหนึ่งก็แบมือรองรับให้พระองค์วางลง

ปรากฏว่าวันนั้นในหลวงท่านจับติดข้างล่างเลย แล้วข้างบนก็ถึงคอพัดเลย พระองค์ถวายหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ อาตมาก็คอยดูหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศว่าจะทำอย่างไร ท่านก็จับตรงปุ่มปลายด้ามตาลปัตร แล้วด้านบนก็แบมือ ในหลวงพระราชทานลงให้ ลองกันซึ่ง ๆ หน้า เลย ลองดูชนิดที่ว่าจะเอาตัวรอดได้ไหม

เถรี
15-10-2013, 20:39
ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัยจะละเอียดกับงานมาก ละเอียดจนกระทั่งเชื่อว่าสภาพจิตใจของท่านก็ละเอียดไปด้วย วิชาของท่านแค่ ๒ ชั่วโมง (๑๒๐ นาที) ท่านออกข้อสอบ ๑๒๐ ข้อ..! แล้วบางข้อนี่คำถามน่าทึ่ง อ่านคำถามก็หมดเวลาแล้ว ท่านยกเนื้อเพลงขึ้นมา ๑ เพลง ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ แล้วก็ยกขึ้นมาอีก ๑ เพลง จงอ่านเนื้อหาของเพลงนี้ แล้วก็มาเชื่อมต่อกับเนื้อเพลงนี้ ความหมายของทั้ง ๒ เพลงหมายความว่า ก. ข. ค. ง. จ. ท่านลองลูกศิษย์สุด ๆ เหมือนกัน

ท่านเป็นอาจารย์ที่ชื่นชมอาตมามาก ท่านบอกว่า “ไม่นึกว่าลูกศิษย์ผมจะเก่งอย่างนี้ ผมออกข้อสอบ ๑๒๐ ข้อ ท่านทำได้ตั้ง ๑๑๙ ข้อ” เพื่อน ๆ ฮากันกลิ้งเลย เพราะก่อนออกจากห้องสอบ อาตมาบอกกับเพื่อนว่า “ผมตั้งใจกาผิด ๑ ข้อ” ถ้าไม่มีที่ผิดเลยเดี๋ยวอาจารย์จะน้อยใจว่า อุตส่าห์ออกข้อสอบให้ตอบขนาดนี้แล้ว ลูกศิษย์ดันทำได้หมดเลย

ข้อสอบของท่านอาจารย์ เป็นประเภทที่อาตมาต้องทำด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ สมาธิคลาดเคลื่อนไม่ได้เลย อย่างคำถามง่าย ๆ ว่า พระราชมารดาของพระเจ้าอชาตศัตรู มีพระนามว่าอะไร ก. พระนางเวเทหิ ข. พระนางเทเวหิ ค. พระนางวเทหิ ง. พระนางทเวหิ ตัวหนังสือเดียวกันหมด เพียงแต่จับสลับที่กันเท่านั้นเอง คนที่จำได้ มาอ่านจนครบนี่ก็มึนรับประทาน จนตอบผิดไปเลย แล้วท่านออกลักษณะอย่างนี้แทบทุกข้อ ยังเรียนกับท่านอาจารย์ว่า “ท่านอาจารย์ครับ ปกติผมทำข้อสอบแล้วผมไม่เคยทวนเลย มีวิชาของท่านอาจารย์นี่แหละ ที่ทำให้ผมรอบคอบขึ้น ผมต้องทวนก่อนส่งทุกครั้ง เพราะกลัวทำผิด"

นาน ๆ ก็เจอที่ท่านหลุด ก็คือออกข้อสอบเพลิน ไม่มีคำตอบ อาตมาต้องขออนุญาตท่านอาจารย์ผู้คุมข้อสอบ “ขออนุญาตครับ ขอโทรหาท่านอาจารย์เจ้าของวิชาหน่อยครับ” พอท่านอาจารย์ผู้คุมสอบอนุญาตก็โทรศัพท์ไปเรียนท่าน “ท่านอาจารย์ครับ ข้อนี้ไม่มีคำตอบครับ” ท่านก็บอกว่า “ไหน..พระคุณเจ้าลองอ่านคำถามหน่อยครับ” ก็อ่านเสร็จพร้อมตัวเลือก “อือ..ไม่มีจริง ๆ” แล้วก็ต้องตกลงว่าท่านจะเปลี่ยนคำตอบไหม หรือว่าท่านจะยกประโยชน์ให้ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน อาตมามีหน้าที่ทวงคะแนนให้เพื่อน จนตอนหลังท่านบอกว่า “ถ้าพระคุณเจ้าโทรมาเมื่อไร ผมรู้แล้วว่าผมพลาดแน่เลย”

แล้ววิชาที่ท่านสอนแต่ละวิชา อย่างธรรมนิเทศ พระไตรปิฎกศึกษา พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระไตรปิฎก ท่านออกละเอียดจริง ๆ ต้องบอกว่าเรียนให้ได้ดี ให้ได้ความรู้จริง ๆ ต้องเรียนกับท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เรียนแล้วมีอะไรมากกว่าที่เรารู้ ในขณะเดียวกัน ในส่วนที่เรารู้แล้ว ก็จะรู้ได้ละเอียดยิ่งขึ้น

เถรี
15-10-2013, 20:44
ต้องบอกว่าโชคดีที่อาตมาได้ท่านอาจารย์ที่มีคุณภาพทั้งนั้น แต่ละท่านที่มาสอนนี่สุดยอดเลย ศ.ดร. กฤช เพิ่มทันจิตต์ จากนิด้า มาถึงก็ยกมือไหว้ “นมัสการหลวงน้าทุกท่าน ก่อนมาผมดูแล้วครับ หลวงน้าทุกท่านเคยเกิดเป็นข้าราชบริพารในรัชกาลที่ ๕ ทั้งหมด แสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน ผมก็เลยสบายใจ ผมมีหน้าที่มาถวายความรู้พวกเดียวกัน” แอบดูเสียจนหมด ท่านบอกว่า “สมองคนเรามี ๒ ซีก ซ้ายกับขวา ด้านหนึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ อีกด้านหนึ่งเหตุผล ในด้านของเหตุผลเราสามารถใช้ในเรื่องของความเป็นทิพย์ได้” พูดหน้าตาเฉย ศ.ดร.นะนั่น

ท่านบอกว่า “ผมเอง ตอนแรกผมก็ไม่คิดหรอก ว่าเรื่องอย่างนี้จะมีอยู่ เพราะนิสัยผมเรียนมาระดับนี้ ผมไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่ปรากฏว่าไปเจอเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาบอกว่าวันนี้ผมทำเรื่องนี้ ๆ ๆ มา ผมก็งง แอบไปดูตอนไหนวะ ? แล้วก็ทำนายผมว่า ภายในอาทิตย์นี้จะเจออะไร ปีนี้จะเจออะไร แล้วก็เป็นไปตามนั้นหมด ท้ายสุดผมก็ต้องไปถามเขาว่าคุณรู้ได้อย่างไร ? เพื่อนเขาก็พยายามอธิบายให้เป็นวิชาการ ว่าสมองแต่ละซีกทำหน้าที่อย่างไร แล้วปัจจุบันนี้เราใช้สมองซีกไหนมากกว่า ซีกไหนไม่ได้พัฒนาเลย แล้วท่านก็สอนให้ผมพัฒนาสมองซีกนั้น จนผมสามารถทำได้” เป็นเรื่องที่แปลกมาก

แล้วที่คิดไม่ถึงก็คือ รศ.ดร. สมพร แสงชัย ท่านสืบสายวิชาของท่านพระยาพิชัยดาบหัก เจอกันตั้งแต่ ๑๐ กว่าปีก่อนแล้ว ที่สมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ท่านมาตามหาพระกริ่งพิชัยสงคราม เพราะว่าลูกศิษย์ท่านได้ไปองค์หนึ่ง แล้วเอาไปให้ท่านตรวจสอบเรื่องพลังให้ ท่านก็แปลกใจว่าทำไมพลังขนาดนี้ พระที่ไหนปลุกเสก ไม่เคยเจอมาก่อน ก็เลยตามมา ปรากฏว่ามาเจอพระองค์ที่ ๑๑ เข้า พระกริ่งหมด ก็คว้าพระองค์ที่ ๑๑ ไปแทน

คุยกันไปคุยกันมา ประเภทว่าท่านก็ให้ความเคารพนับถือ แต่เวลาท่านไม่ค่อยมี เพราะว่าท่านเองเป็นคณะอาจารย์ผู้ก่อตั้งนิด้ามา พอท่านจบมาจากอเมริกา มาเมืองไทยได้ ๑ ปี เขาก็เชิญตัวให้ไปช่วยก่อตั้งสถาบันนิด้า แล้วท่านก็ทำงานที่นั่นจนกระทั่งเกษียณ พอเกษียณแล้วเขายังไม่ยอมให้เลิก ก็ให้สอนอยู่นั่นแหละ เลยไม่ค่อยมีเวลามา ไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านรับเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรของ มจร.อยู่ด้วย พอมาเรียนปริญญาเอกก็เลยได้เจอกัน

เถรี
15-10-2013, 20:49
วันปฐมนิเทศท่านอาจารย์ก็เป็น ๑ ใน ๕ ที่ขึ้นไปคุย เพื่อจะเป็นแนวทางในการเรียนการสอน แล้วท่านก็บอกว่า “สำหรับพระคุณเจ้าทั้งหลาย ผมก็คงได้แค่มาบรรยายถวายความรู้ ซึ่งบางท่านก็รู้มากกว่าผมเสียอีก เพราะในนี้มีนักศึกษาอยู่ท่านหนึ่ง ผมถือว่าท่านเป็นอาจารย์ผมด้วย” แล้วท่านก็เอ่ยชื่ออาตมาขึ้นมาเต็ม ๆ คราวนี้ก็ซวยสิครับ เพราะอาตมาตั้งใจว่า พอท่านเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์ ปัจจุบันก็คือพระพรหมบัณฑิต อธิการบดี มจร. ท่านบรรยายจบแล้วจะย่องออกมาก่อน คราวนี้พอคนรู้กันหมด แล้วจะย่องหนีตอนไหนเล่า ? ท่านอาจารย์ทำกันได้..!

พอถึงเวลาท่านบรรยายเสร็จ ก็เลยบอก “ทำอย่างนี้ผมแย่นะ ผมดีใจที่ได้มาเรียนกับอาจารย์” “โอ๊ย ไม่ใช่หรอกครับ ผมเองต่างหากที่ต้องขอความรู้จากพระคุณเจ้า” ว่าแล้วท่านก็ล้วงพระกริ่งพิชัยสงครามมาให้ดู ได้มาจากไหนไม่รู้ “นี่ผมแขวนติดตัวประจำเลย” ไม่รู้ไปได้มาอย่างไร เพราะตอนที่ท่านมาตามหา พระกริ่งหมดไปแล้ว ไปแอบประมูลในเว็บหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

เจอท่านอาจารย์แบบนี้เข้าต้องยอมรับว่า ท่านไม่ได้เก่งแต่ทางโลกอย่างเดียว ทางธรรมท่านเก่งด้วย ท่านฝึกมาจนสามารถตรวจสอบพลังของวัตถุได้เลย แล้วก็เอาผ้ายันต์เกราะเพชรวัดท่าขนุนไปเป็นแกนของมงคล เวลาท่านทำมงคลให้ลูกศิษย์ เพราะว่าสายพระยาพิชัยดาบหักเขาจะมีการแบ่งชั้นลูกศิษย์ตามความสามารถ จะมีการสอบเลื่อนชั้นกันทุกปี ไม่ใช่สอบวิชาการนะ สอบปฏิบัติ วิชามวย วิชาดาบ ว่าของคุณไปถึงระดับไหน มีตั้งแต่ระดับ ๓ มงคลขึ้นไป ๙ มงคลนี่จะสูงสุด ปัจจุบันระดับ ๙ มงคลในประเทศไทยมีอยู่แค่ ๒ ท่าน แล้วก็ตายไปแล้ว ๑ ท่าน คือครูตุ๊ย ยอดธง เสนานันท์ ที่เป็นอาจารย์ของสามารถ พยัคฆ์อรุณ

ฝีมือมวยครูตุ๊ยจริง ๆ เก่งไม่ถึงระดับ ๙ มงคลหรอก แต่ว่าครูตุ๊ยสอนเก่ง ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จทุกคน ก็เลยต้องมอบระดับ ๙ มงคลให้ จะมีการไหว้ครูทุกปี แต่ส่วนใหญ่อาตมาจะติดงาน ก็เลยไม่ได้ไปร่วมด้วย แต่ว่าท่านขออนุญาตเอายันต์เกราะเพชรของวัดท่าขนุนไปเป็นแกนทำมงคลให้ลูกศิษย์ พูดง่าย ๆ ก็คือถักมงคลโดยที่ไส้ในเป็นยันต์เกราะเพชรนั่นแหละ แล้วก็วันดีคืนดีทั้งพ่อทั้งลูกก็เอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ถ้าอยากจะรู้ต้องถามคุณติ๊ก คุณติ๊กเป็นคนแนะนำมา ก็ไม่รู้ว่าคุณติ๊กหรือเปล่าที่เป็นคนเอาพระกริ่งพิชัยสงครามไปให้

เถรี
16-10-2013, 09:28
วิชาของท่านอาตมาตก เพราะไปไว้วางใจให้พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ (วิโรจน์ ภทฺทปญฺโญ) ท่านทำรายงาน เพราะช่วงนั้นงานที่วัดท่าขนุนถี่มาก ไม่มีเวลาทำรายงานวิชาของท่าน ก็เลยขอพระครูวิโรจน์ว่า “อาจารย์โรจน์ช่วยทำให้หน่อย แล้วส่งอีเมล์มาให้ผมตรวจสอบด้วย” ปรากฏว่าอาจารย์โรจน์ไม่ส่งอีเมล์มา ท่านมั่นใจตัวเองมาก ท่านส่งเลย งานไม่ผ่าน ท่านอาจารย์จะปรับตกทั้งกลุ่ม..!

อาตมาขออนุญาตทำใหม่ ท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีเวลาแล้ว เพราะท่านต้องตัดเกรดส่งทางมหาวิทยาลัย หลวงพ่อพระครูสันติธรรมาภิรัต วัดอ้ออีเขียว ก็เลยไปช่วยต่อรองให้ บอกว่าจริง ๆ แล้วลูกศิษย์เขาทำได้ดีกว่านั้น แต่เป็นเพราะอย่างนี้ ๆ บอกเสร็จเรียบร้อย ท่านก็เลยยอมปรับเกรดให้ได้ B ไม่อย่างนั้นตกหมดทั้งกลุ่มเลย

ตอนนี้ในกลุ่มของอาตมา ท่านพระครูวิโรจน์กำลังเป็นลูกตุ้มของกลุ่ม กำลังถ่วงกลุ่มอยู่ เพราะว่าท่านมาสายพระโพธิสัตว์ จะมั่นใจในตัวเองมาก ท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์ตรวจไปก็บ่นไป “นี่..อาจารย์พระครู..ผมบอกให้แก้ทำไมไม่แก้ ?” ท่านก็บอกว่า “ผมว่าผมทำดีแล้วนะ” ท่านอาจารย์บอกให้แก้ แต่ลูกศิษย์มั่นใจว่าตัวเองทำดีแล้ว จะทำอย่างไรได้ ไม่แก้ก็ผ่านไม่ได้สักที

บางทีเจอท่านอาจารย์กากบาดทั้งหน้าเลย “หน้านี้ผมอ่านแล้ว อาจารย์พระครูยังไม่ได้แก้ให้ผมเลย” ไปถึงก็วง “บรรทัดนี้ก็ยังไม่ได้แก้เลย” ท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์ละเอียดจริง ๆ นะ ท่านเปิดแล้วบอกได้เลย เพราะท่านอ่านหมดทุกหน้าจริง ๆ แล้วก็ดันมาอยู่กลุ่มเดียวกัน ท่านพระครูวิโรจน์จึงกลายเป็นตัวถ่วงไปโดยปริยาย

ทางท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม ผู้อำนวยการหลักสูตร ท่านมีแนวคิดที่ก้าวหน้ามาก ในเรื่องของการเรียนระดับปริญญาเอก ถ้าหากว่าปล่อยให้ต่างคนต่างทำ จะผ่านได้แค่ไม่กี่คน ท่านก็เลยจับผูกขาติดกันเป็นชุด ๆ ชุดหนึ่ง ๖ รูปบ้าง ๕ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง เสร็จแล้วทั้งชุดต้องพร้อมถึงจะให้สอบ ก็เลยต้องคอยช่วยกัน ถ้าไม่ช่วยกันก็ไปไม่รอด

ตอนนี้ในกลุ่มก็มีอาตมากับท่านไพฑูรย์ ๒ รูปที่ผ่าน พระครูปลัดปรีชากับพระครูวิโรจน์ วัดสระพัง ยังติดแหง็กอยู่นั่นแหละ ของพระครูปลัดปรีชาท่านไม่น่าห่วงหรอก เพราะว่าท่านได้รูปแบบไปแล้วท่านยอมแก้ จะห่วงก็พระครูวิโรจน์ของเรานี่แหละ ว่าจะดื้อไปอีกนานเท่าไร สายพุทธภูมินี่เป็นอย่างนี้จริง ๆ ไม่เดินตามรอยใคร ขอเดินเองประจำเลย

เถรี
16-10-2013, 09:34
ที่ไปเรียนจุดที่ได้กำไรอีกส่วนหนึ่งก็คือ ได้เพื่อนพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่างท่านอาจารย์สายชล วัดไร่แตงทอง ท่านอาจารย์ตี๋ วัดทุ่งกระพังโหม ท่านอาจารย์สังเวียน วัดหนองพงนก ท่านอาจารย์วิโรจน์ วัดสระพัง คลุกคลีกันอยู่เป็นปี ๆ จนกระทั่งรู้กำลังใจกันว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร แล้วตอนนี้ก็เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น ไม่ทิ้งกันเลย เรียนกันตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ยันปริญญาเอก

ตอนนี้ที่ขาดไปก็คือท่านอาจารย์ตี๋ กับท่านอาจารย์สายชล จบโทแล้วไม่เรียนต่อ มีหลุดมาเรียนเอกอยู่ ๒ คนนี่แหละ พระครูวิโรจน์ท่านบอกว่า “อาจารย์เล็ก มันคาใจว่ะ เรียนทั้งทีก็ให้สุดทางไปเลยสิ เรียนครึ่ง ๆ กลาง ๆ ได้อย่างไร” นี่นิสัยพุทธภูมิแท้เลย ท่านเองไม่ใช่เรียนเก่งนะ เพียงแต่แนวความคิดของท่านนั้นใช่เลย เห็นว่านี่วิสัยพุทธภูมิชัด ๆ เลย ต้องรู้ให้ครบ ไม่ครบไม่เลิก

พอสิ้นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศแล้วเจอหน้ากัน ท่านว่า “อาจารย์เล็ก ทำอย่างไรดีวะ ? ผู้นำไปเสียแล้ว ไม่มีคนนำแล้วพวกเราจะเดินกันอย่างไรนี่ ?” อาตมาบอกว่า “จะไปยากอะไรเล่า ก็ช่วยกันประคอง เดินไปทั้งกลุ่มนี่แหละ”

เถรี
16-10-2013, 09:44
พระอาจารย์พูดถึงพระไพรีพินาศที่กำลังจัดสร้างว่า "ถ้าวัตถุมงคลชุดนี้เสร็จทันปลายปี จะเอาไว้สำหรับแจกงานผ้าป่าซื้อเครื่องมือแพทย์ อาตมาเป็นประธานโครงการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ คือทั้งหมดที่เขาเชิญไป เขาสรุปว่า นักการเมืองท้องถิ่นไม่ได้ ข้าราชการของโรงพยาบาลไม่ได้ ฯลฯ ท้ายสุดเหลืออาตมากับอีกคนหนึ่งก็คือคุณสมใจ มาโนช ประธานชมรมผู้สูงอายุทองผาภูมิ ก็เหลือแค่ ๒ คนที่เป็นประธานได้ คุณสมใจบอกว่า “นิมนต์พระอาจารย์เถิดครับ” ตูก็เลยเฮง..! ต้องเป็นประธานแบบถูกบังคับให้เป็น...

ถ้าพระไพรีพินาศรุ่นนี้เสร็จเร็ว จะเอาไว้สำหรับทำผ้าป่าซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลได้ตึกผู้ป่วยนอกมา เสียดายว่าขอห้องกรรมฐาน ๑ ห้อง แล้วเขาจัดสรรให้ไม่ได้ ถ้าได้ก็จะขอตกแต่งพื้นที่เอง เพื่อที่ว่าให้ผู้ป่วยเข้าไปนั่งกรรมฐานกันได้ เขาแค่กันห้องสงฆ์อาพาธออกมาได้ แล้วเราจะไปยึดห้องสงฆ์อาพาธมาทำห้องกรรมฐาน ก็จะเหลืออยู่แค่ห้องเดียว ไม่พอแน่ เพราะว่าเราจะไปคิดถึงแค่วัดท่าขนุนก็ไม่ได้ พระท่านทั้งอำเภอ ที่อาจจะต้องใช้ห้อง แล้วอาจจะมีจากที่อื่นมาอีก"

เถรี
16-10-2013, 09:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ในเว็บพลังจิตกำลังไล่ลบข้อความกันอยู่ เพียงแต่ว่าอาตมาลบจากหน้าสุดท้ายขึ้นมา ก็คือข้อความอันไหนเหลวไหลนี่ลบหมด แล้วกระทู้ไหนที่ได้ประโยชน์ก็จะไปตามลบพวก "อนุโมทนาครับ อนุโมทนาค่ะ" เชื่อไหมว่าวันทั้งวันลบได้ประมาณหน้าเดียว แล้วก็ไปเจอพวกเก่า ๆ อย่างคุณใบไม้นอกกำมือ คุณนารายณ์อวตาร ฯลฯ ที่มากัดกันกระจายอยู่นั่น นึก ๆ แล้วก็ขำดี

พอดีประชุมผู้บริหารเว็บพลังจิต เลยเสนอเขาไปว่าช่วยจัดการเรื่องพวกนี้ให้ที เพราะว่าปุ่มโมทนาของเรามีอยู่แล้ว พอถึงเวลา เนื้อหาดี ๆ แทนที่จะได้อ่าน ก็กลายเป็นว่าต้องเปิดข้ามโมทนาเป็นหน้า ๆ กว่าจะได้เจอ ขอให้ลบทิ้งให้หมดเลย ถ้าเขาโง่พอที่จะหาปุ่มโมทนาไม่เจอก็ช่างหัวมัน แล้วอีกอย่างก็คือห้องข่าวพระพุทธศาสนา ให้เสนอแต่ข่าวที่ดีเท่านั้น ข่าวอะไรที่ไม่ดี หรือว่ามีการเสี้ยมกัน เพื่อที่จะให้คนนั้นทะเลาะคนนี้ ลบทิ้งให้หมด

บอกว่าข่าวไม่ดีให้เสนอแต่เนื้อข่าว อย่าใส่ความเห็นส่วนตัว แค่บอกว่าอะไรเกิดขึ้น เขาก็เลยรับไปเป็นนโยบาย ลบกันกระจาย คุณคมน์บอกว่าต้องใช้เวลาประมาณถึง ๓ ปี แต่บอกเขาแล้วว่าให้จัดการไปทีละกระทู้เลย พอเรียบร้อยเสร็จทั้งกระทู้ก็ล็อก ห้ามลงความเห็นเพิ่ม

ตั้งแต่วันที่ ๒๒ กันยายนมาจนถึงเมื่อวานนี้ เฉพาะห้องของหลวงพี่เล็กห้องเดียว เขาเพิ่งแก้ไขไปได้แค่ ๗ หน้า คิดดูแล้วกันว่าเละเทะขนาดไหน แล้วพวกห้องอื่น ๆ นี่ไม่ต้องห่วงหรอก เจอพวกของขึ้นบางกระทู้นี่ ๒๐ - ๓๐ หน้าเลย กว่าจะไปคุ้ยเจอว่าข้อความไหนมีประโยชน์"

เถรี
16-10-2013, 19:48
ถาม : มีเว็บหนึ่งทำเกี่ยวกับวัตถุมงคลด้านเสน่ห์ เขาเอาภาพพระอาจารย์ในงานเป่ายันต์ไปประกอบ ?
ตอบ : เขาเอาอาตมาไปขายว่าปลุกเสกวัตถุมงคลให้เขา ไม่เป็นไรหรอก...ถือว่าแบ่งกันกิน ถ้าไม่โดนแอบอ้างแสดงว่ายังไม่ดังจริง โดนแอบอ้างแสดงว่าเริ่มดังแล้ว..!

ต้องดูที่ท่าพระจันทร์ ถ้าพระอาจารย์ท่านไหนมีวัตถุมงคลปลอมที่ท่าพระจันทร์ก็แปลว่าดังแล้ว วัตถุมงคลของอาตมามีปลอมไป ๔ - ๕ รุ่นแล้ว มีพระองค์ที่ ๑๑ พระกริ่งพิชัยสงคราม เหรียญจักรพรรดิ แล้วอะไรอีกอย่างจำไม่ได้ ปลอมกันกระจายที่ท่าพระจันทร์ โดยเฉพาะพระกริ่งพิชัยสงครามนี่ เขาเอาลงว่าเป็นของวัดบวรฯ เลย อาศัยชื่อวัดกินได้อีกรอบหนึ่ง

ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เขาปลอมได้เหมือนจริงมาก ?
ตอบ : สมัยนี้เขาถอดแบบด้วยคอมพิวเตอร์ ไม่เหมือนก็ไม่ได้ อาตมาเองก็เหลืออยู่แค่ ๔ - ๕ เหรียญ กะว่าถ้าลูกศิษย์คนไหนไปเป็นเจ้าอาวาส ก็จะให้คนละเหรียญ ให้เอาไปช่วยชาวบ้านบ้าง

เถรี
16-10-2013, 20:05
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ โยมถวายของไว้ตรงหน้าเยอะแยะ ก็หยิบส่งให้พระข้างหลังเพื่อที่เขาจะได้จัดเก็บเข้าที่ ปรากฏว่าคนถวายดันเปิดขวดซุปไก่แล้วเอาฝาครอบไว้เฉย ๆ พอยกขึ้นก็เลยราดใส่จีวรตัวเอง ประเภทกลัวว่าทำแล้วจะไม่ได้บุญถ้าพระไม่ฉัน จึงเปิดไว้ให้เสร็จสรรพเลย

การทำบุญเราได้บุญตั้งแต่ตั้งใจทำแล้ว ต่อให้พระไม่เอาไปใช้เอาไปฉันเราก็ได้บุญแล้ว แต่หลายท่านจะเป็นลักษณะอย่างนั้น ก็คือกลัวจะไม่ได้บุญ ถึงเวลาอะไรมานี่ต้องเปิดฝาไว้เรียบร้อย จึงทำให้อาตมาเดือดร้อน อยู่ ๆ ไปอาบซุปไก่เสียแล้ว

ส่วนใหญ่ยังติดอุปาทานอยู่ว่าถ้าเขาไม่กินไม่ใช้ให้เห็นจะไม่ได้บุญ หลายท่านก็เลยตามไปดูผลว่าพระท่านใช้หรือเปล่า ? ถ้าเป็นของอาตมาเองก็ตายแน่ เขาถวาย Booklet มาตั้งแต่เดือนที่แล้ว เมื่อเช้าเพิ่งเปิดดู เขี่ยอยู่ตั้งนานกว่าจะปิดเป็น บอกเขาแต่แรกแล้วว่าอย่าเอามา เพราะเครื่องเล็กเกิน อาตมาใช้ Notebook ยังต้องใช้จอ ๑๗ นิ้ว แล้วที่ให้มาจอเล็กแค่นั้นจะไปดูอะไรรู้เรื่อง เขาบอกว่าขยายได้ ถึงขยายได้ก็จริง แต่อ่านได้ทีละครึ่งบรรทัด แล้วก็ต้องมาเขี่ยซ้ายเขี่ยขวากว่าจะอ่านได้ครบบรรทัด ประสาทจะกิน..!

อาตมาค่อนข้างจะมีนิสัยอนุรักษ์ ถ้าของเก่ายังใช้งานได้อยู่ จะไม่รับของใหม่หรอก ตอนนี้กำลังหาทางจะเอา Notebook เครื่องแรกมาประมูลอยู่ ใช้มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ ตอนนี้ถ้าไม่เสียบสายไว้จะเปิดไม่ได้เลย ไฟไม่มี เพราะแบ็ตเตอรี่เจ๊งไปนานแล้ว ตอนแรกผ่านไป ๕ ปี เจ้าของร้านเขาตกใจ “พระอาจารย์ยังใช้อยู่อีกหรือ ?” “ก็ใช้สิวะ” “ของคนอื่นเขา ๓ ปีก็เจ๊งไปแล้ว” ปีนี้ ๒๕๕๖ ก็ ๘ ปีแล้ว ต้องเริ่มต้นที่ ๘ บาท เดี๋ยวว่าจะแอบใส่อะไรดี ๆ ไว้ข้างในให้ ไม่บอกด้วย ประมูลได้แล้วค่อยไปเปิดดูว่าคืออะไร

แต่ต้องยอมรับว่า Notebook ของ Toshiba อึดสุด ๆ นี่ขนาดตรงที่วางมือตอนพิมพ์เป็นรูปมือเลย เพราะสีลอก แต่ก็ยังใช้งานได้อยู่"

เถรี
17-10-2013, 20:18
ถาม : พระในที่ต่าง ๆ มีความต่างกันไหมคะ จึงทำให้คนขวนขวายไปไหว้ไม่เท่ากัน ?
ตอบ : ต่างกันจ้ะ ขอยืนยันว่าต่างกัน เพราะเทวดาหรือพรหมที่ท่านดูแลรักษาพระ ความสามารถท่านไม่เท่ากัน

ถาม : แต่พระคือตัวแทนพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : ถูก..ถ้าเราไหว้อย่างนั้นที่ไหนก็เหมือนกัน แต่คราวนี้ถ้าเราตั้งใจไปขอเฉพาะต้องไปตามนั้นเลย เพราะว่าแต่ละท่านมีความสามารถไม่เหมือนกัน

ถาม : ตกลงคือเราไหว้เทวดา ?
ตอบ : ก็คือไหว้พระนั่นแหละ แต่ตอนเราขอเทวดาที่ท่านรักษาพระท่านเป็นผู้ให้ คราวนี้ถ้าท่านศักดานุภาพมากก็ให้ได้เยอะหน่อย ใครขอส่วนใหญ่จะสำเร็จ ถ้าศักดานุภาพน้อย ขอบางทีก็ไม่ได้ เพราะว่ากำลังบุญของเราต้องเสริมด้วย ถ้าท่านรวยท่านให้ได้มาก มาเสริมของเราเต็มพอดีก็สำเร็จไว ถ้าท่านรวยน้อยท่านให้ได้น้อย เสริมไม่พอ ขอก็ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น..ไปเถอะ ไปไหว้หลวงพ่อปากแดงบ้างก็ได้ ส่วนใหญ่เขาไปขอหวยกัน วัดหลวงพ่อตึ๋งที่นครนายก

เถรี
17-10-2013, 20:26
ถาม : เราไปขอพระ ถ้าเราจะให้เพื่อตอบแทนท่านต้องให้อะไร หรือควรปฏิบัติบูชา ?
ตอบ : ถวายสังฆทานก็อุทิศให้ท่าน ภาวนาก็อุทิศให้ท่าน

ถาม : ท่านในที่นี่คือพระหรือเทวดาคะ ?
ตอบ : เทวดาที่รักษาพระองค์นั้น อาตมาใช้คำว่าเทวดาที่รักษาหลวงพ่อวัดไร่ขิงในทิศทั้ง ๔ ให้ทั้ง ๔ ทิศเลย เพราะฉะนั้น..อาตมาขออะไรหลวงพ่อวัดไร่ขิงก็ได้ทุกทีแหละ เพราะให้ท่านก่อน แล้วอาตมาก็ไม่ค่อยขอเสียด้วย

ถาม : แล้ววัตถุมงคลมีเทวดารักษาไหมคะ ?
ตอบ : มีจ้ะ ถ้าหากว่าพุทธาภิเษกถูกวิธี ชิ้นหนึ่งก็เทวดารักษาองค์หนึ่ง

ถาม : องค์เล็ก ๆ ก็มีเทวดารักษาเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : มีจ้ะ พระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าเล็กจ้ะ

สมัยก่อนอาตมาบวชเคยรับวัตถุมงคลมา แล้วก็นึกในใจว่า “ว้า...องค์นิดเดียว” ปรากฏว่ากลางคืนท่านมา แล้วขยายใหญ่เต็มจักรวาลเลย บอกว่า “ใหญ่แค่นี้พอหรือยัง ?” ต้องเจอแบบนั้น

เถรี
17-10-2013, 20:34
ถาม : ยาธาตุน้ำแดงมีแอลกอฮอล์ ถ้ากินนี่ผิดศีลข้อห้าไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากินเพื่อรักษาโรค กินตามสูตรไม่เป็นไร แต่มีเด็กนักเรียนตั้งใจกินเอาเมาเหมือนกัน กินกันเป็นขวด ๆ เลย ถ้าอย่างนั้นก็ผิด

แต่ถ้ายาของลุงเดฟนี่ไม่ได้นะ ยาของลุงเดฟเล่นเอาป้าอุ๋ยสลบไปเลย ตอนนั้นลุงเดฟจะกินเหล้า แต่ด้วยความที่ป้าอุ๋ยเป็นคนซื่อ ก็ไม่รู้ว่าบรั่นดีคือเหล้า ก็ถามลุงเดฟว่าทำอะไร เย็น ๆ เห็นกินกรึ๊บหนึ่งทุกวัน คราวนี้ลุงเดฟเป็นฝรั่ง แกก็รู้ว่าคนไทยถือเรื่องศีล ๕ ลุงเดฟแกก็บอกว่า กินยา..ยานี้รักษาได้ทุกโรค ปวดหัวปวดท้องรักษาได้หมด ป้าอุ๋ยก็จำไว้ว่าขวดนี้ยารักษาทุกโรค ปวดหัวปวดท้องรักษาได้หมด

ปรากฏว่าวันนั้นป้าอุ๋ยนึกอยากจะทำอาหารไทยให้สามี ก็อุตส่าห์ไปหามะพร้าวมาทำกะทิ เพราะใช้นมสดแทนแล้วไม่อร่อย แกก็ฟันมะพร้าวเพื่อที่จะขูด ปรากฏว่าพลาดไปโดนมือตัวเองเหวอะเลือดนองเลย เอาผ้าขนหนูผืนเล็กพันเอาไว้ เจ็บแทบตาย เลือดก็ไหลไม่หยุดเสียที นึกขึ้นมาได้ว่ายาขวดนั้นรักษาได้ทุกโรค ป้าอุ๋ยก็เลยกรอกลงไปครึ่งขวด..! ปรากฏว่าเมาสลบเหมือดอยู่ตรงนั้น แล้วก็ล้มเอาหัวไปค้ำประตูครัวอยู่

สามีเข้ามาผลักแง้มได้นิดหน่อย เห็นเลือดนองพื้นไปหมดก็ตกใจ "ใครมาฆาตกรรมเมียกู..!" กว่าจะเอาไปโรงพยาบาลได้ก็ทุลักทุเล หมอเย็บเสร็จเรียบร้อย ลุงเดฟถามว่า “ทำไมเธอถึงกินเหล้า ?” ป้าอุ๋ยบอกว่า “ก็เธอบอกเองว่ายาขวดนั้นรักษาได้ทุกโรค เจ็บขนาดนี้ไม่มีใครช่วย ก็เลยต้องกิน” ช่วยได้เหมือนกัน..เพราะกินแล้วเมาหมดสติ ไม่อย่างนั้นเจ็บตายเลย

เถรี
17-10-2013, 20:37
ถาม : ถ้าเราไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เอาเหล้าไปเซ่นไหว้ท่าน จะไม่เป็นไรหรือครับ ?
ตอบ : ไหว้ไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เทวดาท่านรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่ถ้าเจอท่านที่เฮี้ยนมาก ๆ อย่างกรมหลวงชุมพรก็ “เฮ้ย..พอแล้ว ไม่เอาแล้ว” เพราะสมัยก่อนต้องถวายท่านด้วยน้ำตาลเมา ตอนหลังท่านบอกว่าโดนเทวดาผู้ใหญ่ตำหนิมา ว่าเป็นเทวดาผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังให้เขาเซ่นด้วยน้ำตาลเมาอีก ท่านก็เลยต้องเลิก

ถาม : กรมหลวงชุมพรท่านเป็นลูกของรัชกาลที่ ๕ หรือคะ ?
ตอบ : จ้ะ..ตามประวัติว่าเป็นพระโอรสของรัชกาลที่ ๕ กับเจ้าจอมมารดาโหมด ต้นสกุลอาภากร

เถรี
20-10-2013, 20:31
ถาม : ที่หนูทำจะมี ๒ แบบค่ะ แบบแรกภาวนาไปเรื่อย ๆ แล้วสมาธิก็จะดิ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดตัวก็หลุดออกไป แต่แบบนี้จะมีข้อเสียตรงที่ใช้เวลานานมาก เพราะจะฟุ้งซ่านเป็นระยะค่ะ กับอีกแบบหนึ่งเหมือนเราจะเจาะจงกดไว้เลย ทำให้หยุดฟุ้งซ่านเร็วกว่า ใช้เวลาน้อยกว่า แต่สมาธิจะคาอยู่แค่นั้น ไม่ไปไกลมากกว่านั้นค่ะ จะรู้สึกเครียด ๆ หนัก ๆ
ตอบ : อย่างแรกสมาธิดำเนินไปตามขั้นตอน ค่อย ๆ ดิ่งลึกลงไป ๆ ตามลำดับที่เราทำได้ ส่วนอย่างที่สองอยู่ในลักษณะของสมาปัชชนวสี ก็คือเราทำได้แค่ไหน เราจะใช้กำลังระดับนั้นเลย เป็นการกระโดดไปเข้าสมาธิในระดับที่เราทำได้เลย แล้วการที่เรากระโดดไปเข้าในระดับนั้น ถ้าเราไม่รู้จักการเข้าออกที่คล่องตัว ก็จะทรงอยู่แค่ในระดับนั้น

ดังนั้น..การทำแบบอย่างแรกของเราเสียเวลา เอาอย่างสองเลยก็ได้ แต่ต้องหัดเข้าออกให้คล่องตัว ถึงเวลาเราต้องการอยู่ระดับไหน จะได้ไปได้เลย อย่างที่สองปลอดภัยกว่าจ้ะ ไม่ต้องฟุ้งซ่านนาน ถ้าคนที่เริ่มทรงฌานทรงสมาธิได้ เขาก็จะเข้าในจุดที่ตัวเองทำได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาอีก แต่ว่าต้องซักซ้อมเข้าออกให้คล่องด้วย

ถาม : แต่ก็คาอยู่แค่ตรงนั้นนะคะ ?
ตอบ : อยู่จุดเดิมก็ช่างเถอะ ให้เข้าออกได้คล่อง ถึงเวลาเราจะไปทำอะไรเราจะได้ทำได้ พอซ้อมมาก ๆ เข้าเดี๋ยวก็ไปได้เองแหละ ถ้าไม่คล่องตัวก็ไปไม่ได้สักที ก็ติดอยู่แค่นั้น

เถรี
20-10-2013, 20:36
พระอาจารย์พูดเรื่องมีดหมอชาตรีที่ลงประมูลเพื่อทำบุญกฐินปีนี้ว่า "ตอนแรกที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "การพุทธาภิเษกครั้งนี้ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ทำชาตรีได้แล้ว ถ้าพวกแกอยากได้มีดหมอก็ไปหามา.." ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจเลย อาตมาวิ่งพรวดเดียวถึงพยุหะคีรี กวาดมีดหมอที่มีอยู่ทุกร้านมาเกลี้ยงเลย ได้มาแค่ ๔๒ เล่ม แล้วก็เอามาให้เขาตีตัวอักษร ส่วนคนอื่นขยับช้าไปกันทีหลัง

ตอนอาตมาไปครั้งแรก มีดหมอปากกาด้ามงาฝักงา เขาคิดเล่มละ ๒๕๐ บาท ก็กวาดมาหมด จะเล่มใหญ่เล่มเล็กอะไรก็เอามาเกลี้ยงเลย มีใหญ่สุด ๗ นิ้วอยู่เล่มเดียว กว่าพวกจะรู้ตัวก็รอจนใกล้เวลาพุทธาภิเษกแล้ว ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อบอกล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ คราวนี้พอใกล้เวลาแล้ว ต่างคนก็ต่างวิ่งไป ก็เกิดอุปสงค์สูงอุปทานต่ำ ปรากฏว่าใบมีด ๓ นิ้ว มีแต่ใบไม่มีด้ามไม่มีฝัก เขาคิดเล่มละ ๖๐๐ บาท..! แต่ท่านก็จ่ายกันเพื่อให้มีเอามาเข้าพิธี อยากขยับช้า..ช่วยไม่ได้

ด้วยความที่อาตมาตีตัวหนังสือก่อน ก็เลยไม่มีคำว่ามีดหมอ มีแต่คำว่ามีดชาตรีเฉย ๆ ฉะนั้น ๔๒ เล่มแรกก็จะมีแค่คำว่ามีดชาตรี ไม่มีคำว่าหมอ แปลว่าให้ตีกับชาวบ้านเขาอย่างเดียว ไม่ได้ให้เป็นหมอ..!

ส่วนเรื่องเอาแหวนจักรพรรดิลงประมูลเพราะรำคาญพวกในเว็บ ประเภทคนไม่รู้ เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็จะไปจ่ายให้เขาแพง ๆ เขาโฆษณาว่ารับมาจากมือหลวงพ่อเลย อาตมายืนยันว่า เพชรจักรพรรดิหลวงพ่อท่านไม่ได้แจก แล้วจะไปรับกับมือท่านได้อย่างไร ที่จำหน่ายก็แทบจะไม่พอจำหน่ายอยู่แล้ว อาตมาเป็นคนจำหน่ายเองทุกรุ่น ทำไมจะจำหน้าตาไม่ได้

แต่ละอย่างที่เขาเอามา ไม่รู้ว่าไปขุดมาจากที่ไหน แล้วก็มาบอกว่าเป็นของวัดท่าซุง เดี๋ยวพวกเราจะไปเสียเงินแพง ๆ แล้วก็ได้ของไม่ได้เข้าพิธีมา

ในเมื่ออาตมามีอยู่ก็เลยเอาลงเว็บประมูลกันเล่น ๆ ถ้าเป็นวงดั้งเดิมจะเป็นตัวเรือนชุบทอง แล้วท้องวงจะง้างเปิดได้ เพื่อที่ว่าใครนิ้วใหญ่กว่าจะได้ง้างออกไป ใครนิ้วเล็กกว่าก็บีบให้เล็กเข้ามา แต่ถ้าวงนี้ไปทำตัวเรือนใหม่เป็นทองคำแล้ว รู้สึกว่าทองชุบไม่สะใจ เอาไปทำเป็นทองคำเลย"

เถรี
21-10-2013, 09:02
ถาม : อยากขอความกรุณา พอดีเขากำลังแต่งตั้งรองผู้ว่าฯ
ตอบ : อยากเหนื่อยว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าอยากเหนื่อยก็ตั้งใจอธิษฐานขอกับพระท่าน อย่างไรก็ขอให้เหนื่อยสมใจ อาตมาคนหนึ่งหนียศหนีตำแหน่งสุดชีวิต ท้ายสุดก็หนีไม่รอด

ไปใช้คาถาสัมปฏิจฉามิ คำนี้แปลว่าสำเร็จทุกประการ นั่งภาวนาสักเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง แล้วอธิษฐานขอเอา

เถรี
22-10-2013, 06:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขวดน้ำเขาเขียนว่า Regency เห็นคำนี้ทีไรแล้วนึกถึงวีรกรรมสมัยก่อนบวช วันนั้นเขาจัดงานแต่งงานของพี่ชาย ทางด้านฝ่ายว่าที่พี่สะใภ้ขอโต๊ะจีนให้ทางบ้านเขา ๕ ตัว แต่ปรากฏว่าเขาตะบันมากันเสีย ๑๐ กว่าตัว แขกมาเกินเป็นเท่าตัวเลย มาแล้วก็มีหลายคู่ที่เขาควงสาวมาด้วย อาตมาเองก็ช่วยงานเขาอยู่แถว ๆ โต๊ะจีน กำลังยกพวกน้ำอัดลมไปลงโต๊ะ แล้วแขกรายหนึ่งเขาก็บอก “น้อง ๆ มีเหล้าไหม ?” ก็บอกว่า “มีครับ” “ช่วยเอามาให้หน่อย”

อาตมาก็ไปหยิบ Regency มาตั้ง ปรากฏว่ามาถึง “น้อง ๆ เปลี่ยนเลย ๆ เพื่อนพี่เขาจะเอาน้ำส้ม” เขาชี้ไปที่สาว อาตมาก็ไปเปลี่ยนเป็นน้ำส้มมาวาง เขาบอก “น้อง ๆ..เปลี่ยนใหม่ ๆ จะเอาเหล้าเหมือนเดิม” อาตมาเอาขวดน้ำส้มกระแทกโต๊ะโครม บอกว่า “แดกได้ก็แดก ถ้าแดกไม่ได้มึงกลับไปเลย..!” เงียบหมดทั้ง ๑๐ โต๊ะเลย ท้ายสุด ๓ - ๔ คนนั้นก็ถอนตัวไปแบบเงียบ ๆ เพราะฉะนั้น..โปรดรู้ด้วยว่า สมัยก่อนอาตมาเป็นคนอย่างไร ๑๐ โต๊ะตูก็จะลุยให้กระจายทั้ง ๑๐ โต๊ะนั่นแหละ..!

นิสัยแบบนี้ไม่ดี ที่เล่าให้ฟังเพื่อจะได้รู้ไว้ว่า ก่อนที่จะมาบวชเป็นอย่างนี้ แรงขนาดไหน ประเภทเตะถวายเจ้ามานับรายไม่ถ้วนแล้ว แล้วรับประกันว่าที่เขาเรียกน้องนั่นอาตมาแก่กว่าแน่นอน เพราะตอนนั้นอาตมาอายุ ๒๕ ปีแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นทหารก็เลยตัดผมสั้นเหมือนกับเด็กมัธยม

สรุปว่างานนั้นกว่าจะเลิกเที่ยงคืนกว่า อาหารสักนิดหนึ่งก็ไม่เหลือติดโต๊ะไว้ เพราะคนมางานเกินเสียขนาดนั้น สรุปว่าพอล้างชามเสร็จก็หิวจนมือตีนสั่น วิ่งเข้าครัวไปเปิดตู้เย็นดู เจอลูกชิ้นแช่อยู่ ก็เลยต้องเอาลูกชิ้นมาลวกแล้วต้มกับบะหมี่กินแก้หิว สั่งโต๊ะจีนเป็นร้อยตัว ต้องไปต้มบะหมี่กิน ทุเรศเป็นบ้าเลย..!

พอเห็นคำว่า Regency ก็ระลึกชาติได้ นึกถึงวีรกรรมสมัยก่อน ของพวกนี้นึกได้ แต่ถึงเวลาก็ต้องลืมได้เหมือนกัน ถ้าลืมไม่ได้ปล่อยให้คาใจอยู่ ใจก็จะหมอง เกิดไปนึกเอาตอนก่อนตายก็ซวยเลย..!"

เถรี
22-10-2013, 06:08
พระอาจารย์เล่าว่า "มีคนสงสัยเรื่องคาถาเงินล้าน ว่าตกลงคำแรก พรหมมา หรือ พรัหมา เรื่องของคาถาเขาห้ามสงสัย ให้ภาวนาอย่างเดียว แต่ที่อาตมาติดออกเสียงพรัมมาเพราะว่าบาลีไม่มีพรหม บาลีมีแต่ พรหฺมฺ (พรัม) ถ้าใครเคยอาราธนาธรรมได้ จะเห็น พรัหมาจะ โลกาธิปะติ สะหัมปะติ กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะฯ บาลีไม่มีพรหม มีแต่พรัม เพราะเป็นอักษรกล้ำ อาตมาว่าจนชิน ก็เลยติดพรัหมา

ส่วนคำว่าปะลายันติ อาตมาแก้คู่มือให้เป็น ล.ลิงแล้ว แต่ว่าไม่รู้เหมือนกันว่า คนตรวจปรู๊ฟของคุณชยาคมน์ทำอีท่าไหน แก้เป็นร.เรือตามเดิม บาลีไม่มีปะรา มีแต่ปะลา เพราะฉะนั้น..ต้องเป็นล.ลิง

แต่ว่าไม่ต้องไปสงสัยหรอก รู้มากก็ยากนาน ตัดอารมณ์ไม่ได้ ถึงเวลาภาวนามัวแต่สงสัยใจฟุ้งซ่านอยู่ ผลก็น้อย จะผิดจะถูกอย่างไรให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาไป"

เถรี
22-10-2013, 06:21
"ไปนึกถึงหลวงตาที่อยู่ป่า ภาวนานะโมพุทธาแยะ ยังเสกก้อนหินกินได้เลย หลวงตาไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้จดไว้ เวลาอาจารย์สอนก็อาศัยจำอย่างเดียว พอไปท่องคาถาคิดว่าเป็นนะโมพุทธาแยะ ท่านก็ว่าไปเรื่อย กำลังใจมั่นคง เสกก้อนหินเป็นขนมกินได้ ถึงเวลาไม่ต้องบิณฑบาต ปรากฏว่าวันดีคืนดี คุณมหาประโยค ๙ จากกรุงเทพฯ ก็ไปซ้อมธุดงค์ เจอกับหลวงตาเข้า ตอนเช้าชวนบิณฑบาต หลวงตาบอกไม่ต้องบิณฑบาตหรอก ว่าแล้วหยิบก้อนหินขึ้นมาเป่า กลายเป็นขนมอยู่ตรงหน้า

มหาเขาเลื่อมใสมาก หลังอาหารแล้วก็ขอเรียนวิชา หลวงตาบอกไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ภาวนา นะโมพุทธาแยะ..เป็นเรื่องเลย มหาประโยค ๙ เขารู้ว่าบาลีไม่มีแยะ มีแต่ยะ "ไม่น่าจะถูกนะครับหลวงตา ผมเรียนบาลีมา มีแต่นะโมพุทธายะ ไม่มีแยะหรอก" เจริญเถอะ...รุ่งขึ้นอดทั้งคู่ เพราะหลวงตาใจไม่มั่นคง เวลาภาวนาเมื่อไรก็นึกว่าของตัวเองผิด อดแทบตาย ต้องออกจากป่าไปทั้งคู่

หลวงตากลับไปหาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ “ตกลงที่ผมเรียนไปนี่นะโมพุทธาแยะ หรือนะโมพุทธายะครับ” อาจารย์ถาม “แล้วคุณภาวนาอย่างไร ?” “แรก ๆ ผมเข้าป่าไป ผมภาวนานะโมพุทธาแยะ เสกก้อนหินเป็นข้าวเป็นขนมกินได้ พอตอนหลังคุณมหายืนยันว่าต้องนะโมพุทธายะถึงจะถูก มัวแต่สงสัยอยู่ก็เลยกำลังใจไม่มั่น เสกหินกินไม่ได้อีก” ปรากฏว่าไปเจอพระอุปัชฌาย์เก่ง “โถ..คุณ นะโมพุทธาแยะนั่นตัวเมีย ใช้ได้เหมือนกัน แต่ถ้านะโมพุทธายะเป็นตัวผู้ จะขลังกว่าอีก..!”

พอพระอุปัชฌาย์ยืนยันว่าใช้ได้ ปรากฏว่าหลวงตากำลังใจมั่นคง ต่อไปเสกยะก็ได้ แยะก็ได้ กินกระจายละคราวนี้"

เถรี
22-10-2013, 06:38
ถาม : .....(ไม่ชัด).....ตกงานค่ะ
ตอบ : ไปเปลี่ยนใหม่ เป็นภาวนาคาถาเงินล้านดีกว่าไป เอาเยอะ ๆ เลยนะ สักวันละชั่วโมงต่อเนื่องไปเลย ถ้าภาวนาเป็นเดือนแล้วยังตกงานอีกก็ไปอยู่วัด..!

คาถาเงินล้านนี่ถ้าใช้เป็นแยกบทก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่มั่นใจ แยกแล้วกลัวไม่ขลัง คาถาปัดอุปสรรคภาวนาไว้เยอะ ๆ อุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตจะได้ลดน้อยลง แต่ถ้าจะเอาดีก็เล่นทั้งบทนั่นแหละ บทอื่น ๆ จะได้ไปด้วย

เถรี
22-10-2013, 06:47
ถาม : ดิฉันมองเห็นพระจันทร์เป็นสีแดงน่ากลัวค่ะ ?
ตอบ : พระจันทร์แดงลักษณะนั้นแสดงว่ามรสุมกำลังจะเข้า โบราณเขาเรียกว่าพระจันทร์สีเลือด ถ้าเป็นกลางวันอยู่ ๆ ฟ้าเหลืองอมส้มทั้งแถบเลย นั่นพายุใหญ่จะมา ที่ชาวเรือเรียกอุกาฟ้าเหลือง ลมอุกาจะมา

สมัยก่อนต้องป๊ะหมัดที่เกาะหลีเป๊ะ ป๊ะหมัดเป็นอิสลาม แต่ไม่ได้รังเกียจคนพุทธอะไรเลย พอถึงเวลาป๊ะหมัดจะสั่งลูกสั่งหลาน จัดการเชือดแพะทำเนื้อรวนเค็มไว้เป็นกระทะใบบัวเลย ลูกก็ถามว่าเชือดทำไมเยอะแยะ ? กินไหวหรือ ? “เออน่า..เดี๋ยวมีคนมาช่วยกิน” ปรากฏว่าพอลมอุกาเข้า ทั้งลมพายุทั้งฝน ๗ - ๘ วันติดต่อกัน ออกทะเลไม่ได้เลย ไม่มีอะไรจะกิน ป๊ะหมัดแกหุงข้าวต้มแกงรอไว้แล้ว คนอื่นก็มาอาศัยแกกิน

เฒ่าทะเลนี่ประสบการณ์เยอะ พอเห็นปุ๊บรู้เลยว่าสภาพดินฟ้าเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวบรรดาพวกลูกหลานจะต้องมาพึ่ง แกเห็นว่าทั้งเกาะเป็นลูกเป็นหลานของแกหมด ไม่เห็นจะรังเกียจเลยว่านั่นอิสลาม นี่คนไทย นั่นมอแกน แกสงเคราะห์เขาเสมอหน้ากันหมด นั่นถึงจะเป็นพรหมวิหาร ๔ จริง ๆ

เถรี
22-10-2013, 11:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "วิธีการติดสินบนนี่แหละ ที่ตั้งแต่โบราณพวกพ่อค้าเขาใช้ เพื่อให้ตนรับได้ความสะดวก ประเทศจีนเขาเรียกว่าจิ้มก้อง คือเอาบรรณาการไปให้ แล้วตัวเองจะได้ค้าขายตามสบายอย่างที่ต้องการ แต่พอมาระยะหลัง ๆ การกระทำอย่างนี้เขาถือเป็นความชั่วร้าย

ความจริงเป็นทฤษฎีสมประโยชน์ ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “Win win” ชนะทั้งคู่ ฝ่ายผู้มีอำนาจก็ได้ทรัพย์สินเงินทองไป ฝ่ายผู้เข้าไปหาก็ได้สิ่งที่ตนเองต้องการไป ซึ่งทฤษฎีนี้ตอนหลังฝรั่งเผยแพร่ให้ยุ่งไปหมด แต่ดันเห็นว่าการคอรัปชั่นไม่ดี ก็ทฤษฎีอย่างนี้แหละที่ทำให้เกิดคอรัปชั่น

การรับเงินบนโต๊ะ ใต้โต๊ะอะไรก็ตาม ถ้าสามารถอำนวยความสะดวกให้เขาได้ จะว่าไปแล้วจริง ๆ ในเรื่องของศีลธรรมไม่น่าจะผิด เพราะเป็นการสมยอมกันทั้งคู่ ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าเขาไม่มีปัญญา แล้วเราไปบีบบังคับให้เขาหามา แต่คราวนี้ส่วนที่เสียหายก็คือไปกินกระทั่งงบประมาณแผ่นดิน สมมติว่าถ้าเราจะประมูลงานอย่างหนึ่งในราคา ๑ ล้านบาท เราก็ต้องขยายถึง ๓ ล้านบาทเพื่อเอาส่วนเกินนั้นไปจ่ายให้กับท่านที่มีอำนาจในการอนุมัติพวกนี้ ก็เลยไปกินงบประมาณแผ่นดินเข้าให้ ซึ่งตรงนี้มีปัญหาแน่

เพราะนรกข้างล่างมีอยู่ขุมหนึ่งต่างหากเลย สำหรับพวกคอรัปชั่นโดยเฉพาะ ชื่อว่ายันตปาสาณนรก จะเป็นภูเขาเหล็กลุกแดงโร่ ๒ ลูกหมุนเข้าหากัน บรรดาสัตว์นรกก็โดนบดอยู่ตรงกลางแหลกเป็นผง แล้วลมกัมมัชวาตพัดมาก็ฟื้นใหม่ กลายเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ภูเขาก็หมุนเข้ามาใหม่ ไล่บดไปอีก เขาหมุนไล่บี้ไปเรื่อยจนกว่าจะหมดกรรม"

เถรี
22-10-2013, 12:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนบรรดาพ่อแม่จะมีค่านิยมย้ายลูกไปอยู่ที่สบาย ในเมื่อเป็นความต้องการของบุพการี ลูก ๆ ก็ต้องกัดฟันทำไป มีแต่อาตมาขัดใจมาตลอด แม่ไม่ให้เป็นทหารใช่ไหม ? สมัครไปเรียนเลย แม่ไม่ให้บวชใช่ไหม ? อาตมาก็ทำสิ่งที่แม่ไม่ต้องการให้ทำ ฉะนั้น..ค่อนข้างจะเป็นลูกอกตัญญูอยู่เหมือนกัน แต่บังเอิญว่าทำแล้วดีทุกอย่าง ท้ายสุดแม่ก็ต้องยอมรับ

ถึงเวลาแกก็มานั่งบ่น ๆ "ดูนะ..ปกติโต๊ะอาหารนั่งล้อมกันครบพอดี นี่แหว่งไปที่หนึ่ง มองทีไรก็คิดถึงลูกทุกที เห็นชุดเขียว ๆ เดินจากปากซอยมาคิดว่าลูก ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก กลายเป็นเด็ก รด. เดินมา.." นั่นแหละความรักของพ่อแม่

บางทีลาราชการมา ๑๐ วัน มาอยู่กับแม่ ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็นอนหนุนตักแม่ แม่ก็ลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วก็บ่น “อะไร..ยังเห็นมันนอนดิ้น ๆ เดินไม่ได้อยู่เลย นี่อายุ ๒๕ แล้วหรือ ?” คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เคยเห็นลูกโตหรอก เด็กสมัยนี้อ้อนพ่อแม่ไม่เป็น อาตมาขนาดเป็นนายทหาร อายุ ๒๕ - ๒๖ ปีแล้วยังนอนตักแม่อยู่เลย เรารักก็แสดงออกซึ่งความรักบ้างสิ จะไปบอกว่าเรารักแม่อยู่ในใจไม่ได้หรอก สมัยนี้ต้องแสดงออก รักใครเจอหน้ากระโดดกอดไปเลย เขาจะได้รู้ว่าเรารักจริง ๆ"

เถรี
22-10-2013, 12:14
"เรื่องความรักแม่นึกถึงพี่ดาร์กี้ นึกถึงทีไรก็ “เออ..คนที่รักแม่รักครอบครัวจริง ๆ ขนาดนี้ก็มีอยู่” พี่เขาเป็นนักเรียนนายสิบรุ่นพี่ ๑ รุ่น แต่เรียนทันกัน เพราะว่านักเรียนนายสิบเขาเรียน ๒ ปี พี่เขาเข้าปีก่อน อาตมาเข้าปีนี้ สังเกตอยู่อย่างว่าพี่เขาไม่เคยลาเลย เพราะถ้าเราลาจะโดนตัดเบี้ยเลี้ยง ลา ๑๐ วันก็โดนตัด ๑๐ วัน อย่างรุ่นของอาตมานี่ ๑๐ วันจะได้เบี้ยเลี้ยง ๗๐๐ บาท ถึงเวลางวดเบี้ยเลี้ยง ๓ งวด ๓๐ วันก็ได้ ๒,๑๐๐ บาท

พี่ดาร์กี้เก็บเงินส่งบ้านหมด กินอาหารก็กินแต่โรงครัวสูทกรรม ไม่เคยซื้อกินเองเลยแม้แต่นิดเดียว ความหวังในชีวิตของพี่ดาร์กี้ก็คือเรียนจบแล้วได้รับราชการ จะได้มีสวัสดิการรักษาพยาบาล เป็นการประกันความเสี่ยงให้แม่ เพราะว่าพ่อก็ไม่มีแล้ว มีแต่แม่ บ้านอยู่พนมทวน ตัวดำปี๋เลย ที่เขาเรียกดาร์กี้ก็เพราะดำมาก

ส่วนใหญ่แล้วเพื่อน ๆ พอวันตรุษวันสารท ลอยกระทงสงกรานต์จะลากันหมด จะมีพวกรับจ้างเข้าเวรอยู่ ลองนึกถึงสมัยปี ๒๕๒๓ - ๒๕๒๕ รับจ้างเข้าเวรชั่วโมงละ ๗๐ บาท ตอนนั้นค่าแรงยังไม่เท่าไรเอง เข้าเวรชั่วโมงเดียวได้เกินค่าแรงขั้นต่ำอีก พวกเราก็รวยกันอื้อ

วันนั้นพี่ดาร์กี้แกนอนก่ายหน้าผาก อาตมาเห็นเข้าก็ถามว่ามีอะไร ? แกก็บอกว่า วันนี้จ่าสมพรบังคับให้ซื้อข้าวผัดกระเพราไปห่อหนึ่ง คือบรรดาจ่าหรือนายทหารที่มาจากประทวน ส่วนใหญ่จะมีครอบครัว มีลูกหลายคน ก็พยายามหารายได้ให้ครอบครัวตัวเอง คราวนี้พวกนี้เขาทำหน้าที่จ่ากองร้อยบ้าง ทำหน้าที่นายทหารเวรหรือสิบเวรบ้าง ก็เอาของมาขายให้พวกนักเรียน เพราะว่านักเรียนทหารไม่มีปากมีเสียง สั่งอะไรก็ต้องทำ แต่พี่ดาร์กี้ไม่เคยซื้อข้าวผัดกะเพรา จำได้ว่าตอนนั้นห่อละ ๕ บาท สมัยนี้ ๓๐ บาทซื้อได้หรือเปล่าไม่รู้ ?

พี่ดาร์กี้โดนบังคับให้ซื้อไป ๑ ห่อ แกกินเสร็จแล้วมาก่ายหน้าผาก บ่นว่า “กูกินดีอย่างนี้แล้วแม่กูจะอยู่อย่างไร ?” แกไม่เคยคิดตัวเองเลย อะไร ๆ ก็ทำเพื่อแม่ ตัวเองมาเรียนยังดีว่าแม่ยังแข็งแรงอยู่ ยังทำอะไรได้ ถึงเวลาก็ไปส่งธนาณัติให้แม่ ไม่เคยลากลับบ้านเพราะว่ากลัวว่าจะเสียเบี้ยเลี้ยง เห็นแล้วปลื้มใจแทนแม่เขาที่มีลูกอย่างนี้ ของอย่างนี้สอนกันไม่ได้ด้วย แต่ละคนจะเป็นนิสัยเฉพาะของตัวเอง"

เถรี
22-10-2013, 12:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันสวดคาถาเงินล้าน คนที่ทำน้ำหกราดใส่หัวอาตมามีใครบ้างวะ ? ...(หัวเราะ)... ถ้ารู้จักสังเกต อยู่ ๆ น้ำราดโครมลงมา ถ้าเป็นคนทั่วไปต้องตกใจแล้ว แต่ถ้าเรารักษากำลังใจอยู่ข้างใน ไม่ส่งออกก็จะไม่ตกใจ เพราะว่าอาการตกใจก็คือ สภาพจิตวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อรับรู้อาการที่เกิดขึ้น คราวนี้พอกลับมาเร็วเกินไป จะเกิดอาการสะดุ้งที่เรียกว่าตกใจ

ถ้าใครสามารถรักษากำลังใจของตัวเองไว้ในลักษณะนี้ ก็จะเป็นคนที่ไม่ตกใจกับเรื่องอะไร สภาพจิตจะคิดแก้ไขเหตุการณ์ให้ออกมาในลักษณะที่ดีที่สุด แต่ว่าญาติโยมหลายท่านชอบทำเรื่องอันตราย ก็คือขับรถไปแล้วภาวนาไป พี่จี๋เพิ่งเอารถไปชนกระจายมา เพราะว่าขับรถไปภาวนาไป พออารมณ์ใจทรงตัว จิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน ถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกจนเป็นฌานใช้งานจริง ๆ จะบังคับตัวเองไม่ได้

พี่จี๋เขาก็สงสัยว่า เห็นอยู่ว่ารถวิ่งเข้าใส่คันหน้า แล้วทำไมถึงทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้น..โปรดระวังตรงจุดนี้ไว้ด้วย ถ้าจะภาวนาไปขับรถไป อย่าให้อารมณ์ใจลึกเกินไป ถ้าลึกเกินไปจนจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกันเมื่อไร เดี๋ยวอุบัติเหตุก็จะเกิดขึ้น ตัวเองไม่เป็นอะไรหรอก เพราะสมาธิคุ้มได้ แต่ทรัพย์สินเสียหาย โปรดระมัดระวังเอาไว้ด้วย

อาตมาเองก็เกือบสวัสดีมาหลายทีแล้ว เพราะคนขับชอบภาวนา จนกระทั่งต้องตะโกนบอก “เฮ้ย..เมื่อไรจะเบรก ?” แล้วอาตมาก็หัวทิ่มตกเบาะทุกทีแหละ..!"

เถรี
22-10-2013, 12:19
"อาตมาตกลงใจจะทำหนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้าน ตอนนี้ข้อมูลเก็บเรียบร้อยแล้ว รูปเพิ่งจะได้มาจากตากล้องวันนี้ คาดว่าจะใส่รูปให้สะใจไปเลย เดี๋ยวเสร็จแล้วจะพิมพ์แจกตอนปีใหม่"

เถรี
22-10-2013, 12:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังกวาดล้างเว็บพลังจิตกันอยู่ เห็นเขาอาสาสมัครกัน คือเว็บพลังจิตไปเสียมากอยู่ตรงประเภทโมทนา ไม่ใช่ว่าเราไม่เปิดโอกาสให้โมทนา เราเปิดโอกาสให้ มีกดปุ่มโมทนา แต่เขาไม่ยอม เขาต้องลงกระทู้ให้ได้ ลงว่า “โมทนาครับ” แล้วก็ต่อท้ายด้วยตัวตนของเขาประมาณ ๑ หน้าอย่างนี้ กินพื้นจะตายชัก กระทู้ที่จะมีประโยชน์ถัดไป กว่าจะหาเจอบางที ๓ หน้า ๕ หน้า

ตอนนี้กำลังไล่ตามกันอยู่ ห้องใครห้องมัน รับผิดชอบกันเอาเอง อันไหนดีก็เหลือไว้ อันไหนไม่ดีก็ลบทิ้งไป โดยเฉพาะส่วนที่ให้นโยบายไปก็คือ ถ้าเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาให้ลงเนื้อข่าวอย่างเดียว อย่าไปใส่อารมณ์วิพากษ์วิจารณ์ เพราะเรื่องจะบานปลายใหญ่โต ประเภทลงแล้วเสี้ยมให้พระทะเลาะกัน อย่างพุทธอิสระกับหลวงพ่อสามแยกลบทิ้งให้หมด ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย นอกจากใส่ข้างโน้นหน่อย ใส่ข้างนี้นิด แล้วก็กลายเป็นพระทะเลาะกัน

มีโอกาสประชุมผู้บริหารเว็บพลังจิต ก็เลยให้นโยบายไปช่วยจัดการที เขาบอกว่าค้างมานาน น่าจะต้องใช้เวลาสัก ๓ ปีกว่าจะกวาดได้เกลี้ยง อาตมาเองก็เชื่อ เพราะ ๓ วันที่ผ่านมาเขาเพิ่งจัดการในห้องหลวงพี่เล็กไปได้แค่ ๕ - ๖ หน้าเท่านั้น เพราะว่าบางกระทู้มีเป็นสิบ ๆ หน้าเลย กระทู้ไหน Hot หน่อย คนก็เข้าไปแสดงความเห็นหรือเข้าไปโมทนากันเป็น ๑๐ หน้า กว่าจะลบหมดก็มือหงิก

เรื่องของเว็บพลังจิตคาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะได้โดเมนเนมคืนมา แต่ว่าคงต้องเสียเงินมาก เนื่องจากเขายึดไปเพื่อขายโดยเฉพาะ จะว่าไปแล้วของเราจดทะเบียนต่ออายุไม่ทัน เจ้าพวกนี้เล็งอยู่ ปกติแล้วเขาจะมีการเตือนล่วงหน้า แต่นี่เขาไม่เตือน เลยเผลอหมดอายุ ถูกเขาแย่งจดชื่อไปเลย"

เถรี
23-10-2013, 05:44
ถาม : พระที่บิณฑบาต ลูกศิษย์ไม่ได้มาช่วยขน ก็เลยเอากับข้าวไปแจกชาวบ้าน ?
ตอบ : แล้วจะบิณฑบาตไปเยอะแยะขนาดนั้นทำไม ?

ถาม : เขาบอกว่าแจกได้
ตอบ : โง่เกินไป..ก็ในเมื่อรู้ว่าบิณฑบาตขนไม่ไหว แล้วจะเอาไปขนาดนั้นทำไม ?

ถาม : ถ้าเอาแจกติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : เต็ม ๆ เลย ทั้งคนกินคนให้นั่นแหละ อาหารบิณฑบาตเราต้องคิดเสมอว่าเป็นสังฆทาน

พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เลี้ยงพ่อแม่เท่านั้น ถ้าจะให้คนอื่นต่อ ต้องเป็นของที่กินเหลือแล้ว เพราะท่านเกรงว่าถ้าทำในลักษณะนั้น อันดับแรกก็คือ ไปประจบชาวบ้านเขา อันดับที่สองก็คือ คนที่เขาถวายจะเสื่อมศรัทธา เพราะว่าไม่ได้ฉลองศรัทธาของเขา เอาไปให้คนอื่น แล้วถ้าคนเสื่อมศรัทธามาก ๆ เข้า ศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ที่โยมถามว่าพระบิณฑบาตจนกระทั่งเอาไปไม่ไหว ลูกศิษย์ที่จะช่วยก็ไม่มี ก็เอาไปไล่แจกคนอื่นเขา ทำได้ไหม ? ขอยืนยันว่าไม่ได้ แล้วไม่ต้องอ้างนะว่าเอาไปไม่ไหว ก็เสือกทะลึ่งบิณฑบาตเสียเยอะอย่างนั้นทำไม ?

อาตมาสมัยอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์เพื่อดูแลหลวงปู่มหาอำพันที่ป่วย เดินไม่ถึงเสาไฟต้องกลับวัด เพราะล้นบาตร ของตัวเองอย่างเก่งก็ถุงหนึ่งตอนเช้า ถุงหนึ่งตอนเพล จบแล้ว ส่วนที่เหลือก็เอาไปที่ศาลาร่มเย็น ซึ่งเป็นส่วนกลาง ให้โยมเขาประเคนพระท่านอื่นไป

เถรี
23-10-2013, 05:47
เรื่องแบบนี้ถ้าถามว่าพระทำอย่างนั้นมีความผิดไหม ? ความผิดของพระผิดเป็นปกติอยู่แล้ว แต่โยมที่เอาไปจะซวย เพราะเป็นหนี้สงฆ์ไม่รู้ตัว เพราะเขาถวายพระ แล้วพระไม่ได้มีสิทธิ์ให้คนอื่นส่งเดช พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตแค่เลี้ยงพ่อกับแม่เท่านั้น ในเรื่องของการที่พระเลี้ยงพ่อแม่ ท่านก็บอกว่าสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ พอสมควร ก็คือพอที่ท่านจะดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้อย่างเณรคำสร้างบ้านให้พ่อแม่เป็นร้อยล้านบาท นั่นจะอ้างว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตก็ไม่ใช่ พระองค์ท่านให้สงเคราะห์ตามสมควร

อย่างในธรรมบทพระท่านบิณฑบาตมาก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ แล้วตัวเองก็ไม่มีฉัน ก็ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ได้ผ้ามา เอามาเย็บมาย้อมดีแล้วก็ให้พ่อแม่นุ่ง ตัวเองก็เอาผ้าเก่าขาดของพ่อของแม่มาเย็บมาย้อมมานุ่งใหม่ ไม่รู้จะให้พ่อแม่อยู่ที่ไหน ก็ไปสร้างกระต๊อบในป่าให้พ่อแม่อยู่ พระพุทธเจ้าบอกถ้าลักษณะอย่างนี้ให้สงเคราะห์ได้ ไม่ใช่ประเภทซื้อรถเบนซ์ให้พ่อคันหนึ่ง ให้แม่คันหนึ่ง ให้พี่คันหนึ่ง ให้น้องคันหนึ่ง สร้างบ้านให้อีกคนละหลัง อย่างนั้นก็เจ๊งแล้ว

ต้องบอกว่าส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้ พระเณรของเราไม่ได้ใส่ใจจะศึกษาจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ แล้วพระอุปัชฌาย์อาจารย์สมัยปัจจุบัน ก็ไม่ได้สนใจที่จะอบรมสัทธิวิหาริกของตน ประเภทบวชแล้วทิ้ง ที่เขาเรียกว่าอุปัชฌาย์เป็ด ไข่แล้วทิ้ง ไม่รู้จักฟัก ต้องบอกว่าปัจจุบันนี้อุปัชฌาย์ไก่ที่ฟักไข่เป็นมีน้อย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ อะไรที่ตนคิดว่าสมควร ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องผิดพระวินัยก็ทำ จะโทษท่านหรือ ? ท่านก็อาจจะบอกว่าไม่รู้ แล้วจะไปโทษพระอุปัชฌาย์ เกิดพระอุปัชฌาย์บอกว่าผมก็ไม่รู้ด้วยก็เจ๊งเลย อาจารย์ไม่รู้ ลูกศิษย์ไม่รู้ แล้วคนที่รับถ่ายทอดรุ่นถัด ๆ ไป จะมีใครรู้บ้าง ? เรื่องพวกนี้จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังให้ดี

อาตมาปากเปียกปากแฉะกับพระกับเณรทุกเช้าทุกเย็นหลังทำวัตรค่ำ บางทีก็รู้สึกเบื่อตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำแล้วเกิดเขาเข้าใจผิด ไปทำผิดทำพลาดอีก ตัวเองก็จะเกิดโทษด้วย เพราะว่าเป็นครูบาอาจารย์เขาแล้วไม่รู้จักอบรมสั่งสอน

เถรี
23-10-2013, 05:55
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายนที่ผ่านมา คณะสงฆ์ภาค ๑๔ ประกอบไปด้วยจังหวัดกาญจนบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี สมุทรสาคร ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ สวดอภิธรรมถวายหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เสร็จงานอาตมาก็เดินมารอรถแท็กซี่หน้าวัด เพื่อที่จะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ที่วัดศรีสุดาราม บางขุนนนท์ ปรากฏว่ามีรถเก๋งวิ่งมาถึงก็เบรก “หลวงพ่อไปไหนคะ ? หนูกับแฟนจะไปส่ง” เออ...ไปก็ไปวะ เขากับแฟนก็ไปส่ง

เมื่อวานนี้หลังจากที่บิณฑบาตในงานใส่บาตรถวายกุศลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆมหาปริณายกเสร็จ ออกจากวัดท่าขนุนก็สายมากแล้ว ต้องมาฉันเพลกลางทาง แวะร้านอาหาร ฉันเสร็จสรรพเรียบร้อยมีผู้ถวาย แล้วเขาไม่ได้ถวายพระอย่างเดียว พระ ๒ รูปกับโยมอีก ๓ - ๔ คน เขาจ่ายแทนหมด หมดไป ๔๐๐ - ๕๐๐ บาท เพราะเป็นร้านอาหารป่า แล้วอาตมาดันไปสั่งปลาบึกผัดเผ็ด แพงฉิบ...เลย ไม่ได้ถามว่าเขาเป็นใคร แต่เขายืนยันว่าเขารู้จักอาตมา ระยะนี้หนีไปไหนไม่ค่อยรอด ไปหลบอยู่ซอกไหนมุมไหนต้องมีคนจำหน้าได้จนได้ อุตส่าห์ไปทำตัวลีบ ๆ นั่งฉันอาหารแล้ว เข้ามาเขายังจำได้อีก

แล้ววันนั้นจะรีบมาที่นี่ จะแวะไปหาอาจารย์ที่ มจร.วังน้อยก่อน ก็เลยไม่สามารถจะฉันอาหารป่าชนิดอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นตุ่นผัดเผ็ด แย้ผัดเผ็ด พังพอนผัดเผ็ด เพราะพวกนั้นส่วนใหญ่เขาทำแบบแกงสับนก คือสับละเอียด จะมีกระดูก เสียเวลา ก็เลยสั่งปลาบึกเพราะชิ้นใหญ่ดี ลืมนึกไปว่าปลาบึกราคาแพงที่สุด ตกลงโยมที่ตั้งใจเลี้ยงก็ได้บุญไปเต็ม ๆ แต่ก็คงกระเป๋าแห้งไปเลย

ถึงได้บอกว่าเรื่องของคาถาเงินล้านถ้าทำขึ้นนะ เราจะเป็นคนเงินบูด ใช้เงินไม่ได้ เก็บไว้นาน ๆ ถ้าไม่บูดก็ขึ้นราไปเลย

โยมส่วนใหญ่ไม่ได้คิด ส่วนใหญ่ก็ไม่คิดว่าอาตมาจะนั่งรถไฟฟ้าไป เขาก็กะเอาของมาถวาย แต่ไม่รู้จะหอบเอาขึ้นรถไฟฟ้าอย่างไร อาตมาเองนั่งรถทุกชนิดแหละ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์รับจ้าง วันไหนได้นั่งจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ สมัยก่อนเวลาจะเข้าเกาะพระฤๅษี จะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ที่ปากซอย เพราะรถใหญ่วิ่งลำบาก ตั้งแต่ปากซอยเข้าไปเป็นเตาขนมครกตลอดทาง มีแต่มอเตอร์ไซค์วิ่งลัดเลาะได้ จ้างมอเตอร์ไซค์เข้าไป ๖๐ บาท วันไหนได้นั่งรถมอเตอร์ไซค์นี่มีความสุขมาก ไม่อย่างนั้นเผลอ ๆ เดี๋ยวก็มีรถอาสาไปส่ง

สมัยก่อนเวลาเข้าทุ่งใหญ่ ถ้าเจอรถแล้วรถเขาถามว่าไปด้วยไหม ? บางคนเขาบอกไม่ไปด้วยหรอก..กำลังรีบ เพราะเดินเร็วกว่า รถไปแล้วไปติดหล่มตลอดทาง ต้องไปขุดไปเข็น ถ้าที่อื่นชวนขึ้นรถอาจจะไป แต่ถ้าในทุ่งใหญ่โดยเฉพาะหน้านี้ ถ้าชวนขึ้นรถไม่ไปหรอก เขาบอกเขากำลังรีบ...เดินดีกว่า"

เถรี
23-10-2013, 06:01
พระอาจารย์เล่าว่า "ดร.ศุภชัย ไพจิตร นามสกุลเดิม คือ ผ่องสวัสดิ์ แล้วมาเปลี่ยนใช้นามสกุลของคุณดาวใจ ก็เป็นศุภชัย ไพจิตร ท่านมาสัมภาษณ์เรื่องอานิสงส์ของการภาวนาคาถาเงินล้าน ก็ยกตัวอย่างไล่ให้ท่านฟังไปเรื่อย ๆ แล้วก็บอกว่า “นี่ต้องดูอาตมาเอง..ตั้งแต่นั่งมายังรับเงินไม่ขาดเลย” อานิสงส์คาถาเงินล้าน เป็นรูปธรรมที่เห็นชัดที่สุด

แต่ทางผู้จัดงานเขาคำนวณผิด วันสุดท้ายเขามีทอดผ้าป่าหนังสือ เพื่อเอาหนังสือไปเข้าห้องสมุด ปรากฏว่าเอาดารามา ๔ คน อาตมาไม่รู้จักหรอก รู้แต่ว่าเป็นดารา มีคนไปร่วมงาน ๒๐ กว่าคน ถ้าให้ครูบาหน่อแก้วฟ้าไปรับผ้าป่าแทน คนจะแห่กันไปเยอะกว่านี้ แสดงว่าเขาคำนวณผิด คิดว่าดาราจะเรียกคนได้มากกว่าพระ

การจัดงานสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบ ถวายสมเด็จพระสังฆราช ครั้งนี้ที่คนไปเยอะ อันดับแรกเลยก็คือ เป็นงานครั้งแรกเลยที่มีการสวดพระคาถาเงินล้าน อันดับต่อ ๆ ไปก็คือ บรรดาลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงตาวัชรชัย ลูกศิษย์หลวงตาม้า ลูกศิษย์หลวงพี่นิล ลูกศิษย์ครูบาหน่อแก้วฟ้า ฯลฯ บวก ๆ กันเข้าไปด้วย ก็เยอะไปเองโดยปริยาย ก็เลยทำให้คนไปมากกว่าที่คนจัดงานเขาคำนวณไว้ เขากะว่าเต็มที่ก็ ๕๐๐ คน แต่พวกเราไป ๒,๐๐๐ กว่าคน เกินไปแค่ ๔ - ๕ เท่าเอง..! ขนาดอาตมากะเกินไปเท่าตัวยังสู้ไม่ไหว เขาบอกว่า ๕๐๐ คน อาตมาก็บอกว่าเกิน กะเอาว่าประมาณสัก ๑,๐๐๐ คน ปรากฏว่าเกินหลายเท่า

ในส่วนที่ชื่นชมก็คือ ทางผู้ประสานงาน คุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา จากชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิต เขาประสานงานได้ดีมาก แล้วญาติโยมก็สู้ไม่ถอย เปียกเท่าไรก็สู้ ตกลงกลับไปเป็นหวัดกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? สรุปแล้วทุกคนมีความสุขกลับไป..ใช่ไหม? ต่อไปจะลำบาก ถ้าเป็นคนอย่างอาตมาก็เรียบร้อยเลย อาตมาถือว่าถ้าเคยภาวนาสูงสุดได้กี่จบ ก็จะเอาอันนั้นเป็นหลัก เราภาวนาสัก ๑๐๐ จบ ต่อไปจะต่ำกว่า ๑๐๐ ไม่ได้แล้วนะ

เงินที่ได้รับในวันสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบถวายสมเด็จพระสังฆราช กลับไปต้องไปผึ่งเป็นวันกว่าจะแห้ง น้ำฝนลงไปสักครึ่งขันได้กระมัง ?

ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน ส่วนที่ได้มากที่สุด เป็นส่วนที่พวกเรามองไม่เห็น หรือว่าน้อยคนจะมองเห็น การที่กำลังใจของคนหมู่มากรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามารถใช้งานได้มากกว่าที่เราจะคิดถึง อาตมาอธิษฐานเผื่อไว้เลย อันดับแรกเลยก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายที่ตายกันตอนกระชับพื้นที่ แล้วหลังจากนั้นก็ขอเลย ความดีที่ทุกท่านทำอยู่ รวมกับกำลังของพระท่านช่วยสงเคราะห์ ในเรื่องของประเทศชาติ ถ้าใครก็ตามที่ชุมนุมทางการเมือง แล้วทำไปโดยไม่ได้หวังดีต่อประเทศชาติ มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่มุ่งประโยชน์ส่วนรวม ขอให้เป็นฟืนเปียกจุดไม่ติด พวกเราเปียกกันหมดแล้วนี่ ได้นานเท่าไรก็ไม่รู้ แต่ได้แน่นอน"

เถรี
23-10-2013, 09:49
ถาม : อานิสงส์ของการกินเจ คืออะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจด้วยความเมตตากรุณาต่อสัตว์โลกจริง ๆ ก็ถือว่าคุณกำลังปฏิบัติอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ถ้าคนที่ปฏิบัติพรหมวิหาร ๔ ได้จริง ๆ อานิสงส์ต่ำสุดไปพรหมโลก แต่ถ้ากินเจแล้วไปอวดชาวบ้านเขาว่าตูดีกว่า ก็เจ๊งตั้งแต่ยกแรกแล้ว

ถาม : การกินเจก็ต้องวางกำลังใจที่ถูกต้องใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...ถ้าไม่ถูกจะเป็นมานะ ถือว่ากูกินเจ กูดีกว่าเขา คนอื่นกินเลือดกินเนื้อ ยังเป็นคนเลวอยู่ ถ้าอย่างนั้นกลายเป็นยกตนข่มท่าน กลายเป็นมานะถือตัวถือตน ตัวกูของกู

เถรี
23-10-2013, 09:59
พระอาจารย์เล่าว่า "รับปัจจัยจากงานสวดพระคาถาเงินล้านที่เซ็นทรัลเวิลด์ รับแล้วก็หนักใจ เพราะปกติตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่าไว้ก็คือ เรารับเงินที่เขาให้ก็ให้เขาไว้ที่นั่น แต่ที่นั่นคือให้ในวัด คราวนี้ตรงเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ใช่วัด แล้วคนจัดงานก็ไม่ใช่พระ แล้วตูจะให้ใครล่ะ ? ถ้าให้เขาเดี๋ยวก็เป็นหนี้สงฆ์กันหัวโต ท้ายสุดก็เลยต้องหอบเงินกลับเอง

จะว่าไปแล้วก็สงสารทางด้านเจ้าภาพ ก็คือสภาศิลปินส่งเสริมพุทธศาสนาฯ เพราะว่าจัดงานแล้วขาดทุน คนไปเยอะเฉพาะวันที่อาตมาไป หลังจากนั้นก็โหรงเหรง ถึงขนาดต้องเลิกงานไปวันหนึ่ง แล้ววันสุดท้ายขนาดเอาดาราไป ๔ คน ยังมาประมาณ ๓๐ คน เขาคิดผิด เขาคิดว่าดาราเรียกคนได้มากกว่าพระ งานนี้ดาราเจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว"

เถรี
23-10-2013, 14:43
ถาม : คนเขาฝากเงินมาทำบุญค่าอาหาร แล้วผมทำหาย ?
ตอบ : ก็ควักของตัวเองมา..!

ถาม : แล้วถ้าผมไปขอโทษเขา กรรมจะลดลงไหม ?
ตอบ : ไม่ลดหรอก เพราะเจตนาเขาเต็ม เราจะไปสร้างกรรมเพิ่ม คือไปทำให้กำลังใจเขาตก

ถาม : เจ้าภาพฝากเงินมา ๗๒๐ บาท พอเราทำหาย ไม่มีเงินจะใช้หนี้ ไปขอเขาได้ไหม ?
ตอบ : ขอได้ แล้วคุณจะไปให้เหตุผลเขาอย่างไร ผมขอเงินคุณ ๗๒๐ บาท เพื่อจะใช้หนี้คุณ ? ฟังแล้วงง ๆ เหมือนกันนะ ลองไปทำดูก็แล้วกัน เผื่อจะสำเร็จ

ถาม : พูดง่าย ๆ ว่า พูดอย่างไรก็ได้ให้เอา ๗๒๐ บาทกลับมาให้ได้ ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าคุณหา ๗๒๐ บาทมาถวายพระให้ได้

ถาม : เดือนนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าเลยครับ เลยไม่ค่อยมีรายได้
ตอบ : ไปภาวนาคาถาเงินล้านไว้ เดี๋ยวมาเอง ต้องบอกว่าบุคลิกของคุณไม่เรียกลูกค้าเลย มีแต่ไล่ลูกค้ามากกว่า..!

เถรี
23-10-2013, 15:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ที่วัดมีพระเยอะ ๆ ก็ไม่ค่อยจะดีหรอก เมื่อวานพระวัดท่าขนุนบิณฑบาต วัดอื่นเหี่ยวไปเลย เขาจัดบิณฑบาตถวายสมเด็จพระสังฆราช วัดนั้น ๗ รูป วัดนี้ ๑๐ รูป วัดท่าขนุนไป ๔๐ รูป เดินผ่านไปทีหนึ่งก็ราบเป็นพายุกวาด คนตามหลังจะไปเหลืออะไร

เทศบาลตำบลทองผาภูมิเขาจัดงาน นิมนต์พระ ๑๐๙ รูปเพื่อใส่บาตรถวายกุศลพระสังฆราช อาตมาให้ไป ๔๐ รูป เขาก็ถามทำไมพระอาจารย์ไม่ให้หมดวัด ? ให้หมดได้ที่ไหน ต้องเหลือไว้เฝ้าวัดบ้าง ขืนไปบิณฑบาตหน้าเทศบาล ไม่มีเหลือเฝ้าวัด เดี๋ยวขโมยก็ขนของหมดวัดหรอก ที่โยมถวายค่าอาหารพระมา ไม่ต้องห่วง..ได้ใช้แน่ เพราะพระมีเยอะ

งานใส่บาตรถวายสมเด็จพระสังฆราชที่เทศบาลทองผาภูมิจัด ต้องบอกว่าจัดผิดที่ ก็คือเขาไปจัดที่หน้าที่ทำการเทศบาลซึ่งระยะทางไกล อยู่หน้าวัดทองผาภูมิโน่น พวกในตลาดเขาก็ไม่เดินไปใส่บาตร ถ้าเป็นอาตมา จะจัดกลางตลาดเลย ไม่มีใครเขาว่าหรอกเรื่องรถติด เพราะว่าบิณฑบาตประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคนเขาแห่กันมาใส่เยอะดีด้วย ไปจัดอยู่ในช่วงที่เขากำลังเปิดร้าน ๗ โมงครึ่ง คนจะห่วงร้าน ถ้าเดินไปไกลใครจะดูแล

ตอนขากลับ ท่านอาจารย์เตชะติดแหง็กอยู่ในตลาดนั่นแหละ ญาติโยมเขาแย่งกันใส่บาตร อาตมาต้องไปนั่งแจกพวกซีดีของที่ระลึก ๑๐๐ ปี กว่าจะตามเขามาตั้งนานเนกาเล ปรากฏว่าเขาก็ยังติดอยู่ในตลาด ไปไหนไม่ได้ คนไปรอใส่ในตลาดกันหมด"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ออกไปเมื่อไรจะเข้ากับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ว่าเหมือนมหาโจรรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันเข้าไปปล้นในคามนิคม ชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันหมด สมัยก่อนพระครูธรรมธรวันชัยชอบทำอย่างนั้น ไปธุดงค์ทีหนึ่ง ๓๐๐ รูป ตั้ง ๓๐๐ รูปจะเอาความสงบที่ไหนมา

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกธุดงค์ชั้น ๑ ไปรูปเดียว ธุดงค์ชั้น ๒ ไป ๒ รูป ธุดงค์ชั้น ๓ ไป ๓ รูป เกินนั้นก็ไปคุยกัน ไม่ได้ปฏิบัติหรอก แล้วเขาไปกัน ๓๐๐ รูป เกือบพาอาตมาหลงทางแล้ว ทางป่าที่ผ่าน อยู่ ๆ ราบเป็นหน้ากลองอย่างกับรถวิ่งผ่าน แล้วซอยเล็ก ๆ ทางผ่านในป่าที่อาตมาเคยเดิน เขาย่ำราบหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ทำเอาอาตมาหลงทาง เพราะไม่ได้ไปทางเดียวกับเขา ทางที่อาตมาจะไปถูกเขาย่ำหายไปด้วย หาทางเดิมไม่เจอเลย มาตอนหลังเขาแต่งตัวเป็นนายทหารยศพันเอกแล้วไปเที่ยวคาเฟ่ โดนเขาจับได้ นั่นแหละฝีมือพ่อคุณนั่นแหละ

เถรี
24-10-2013, 05:44
ถาม : เจ้ากรรมนายเวรเขาตามทวงอยู่
ตอบ : ตามสิทธิ์ของเขา เขาจะเอาอย่างไรเราก็ต้องยอมเขา คราวนี้เขาเห็นว่าตรงนี้เหมาะ เขาก็เอาเลย ทำเขาเอาไว้ก็ยอมเขาเถอะ แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก นอกจากยอมรับอย่างเดียว

ถาม : แปลว่าเราต้องทำบุญอุทิศให้บ่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ควรที่จะทำแล้วก็ให้ไปเรื่อย ๆ เพราะจริง ๆ แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ต่อให้โกรธแค้นอย่างไร ท้ายสุดก็ใจอ่อน สู้ความดีไม่ได้หรอก ตื๊อให้ไปเรื่อย ๆ ที่บอกไม่ยอมอโหสิเดี๋ยวก็ใจอ่อน อาตมาไม่ให้ทวงหรอก ไล่แจกเลย อย่างพวกเราให้เขาทวงก็ตาย ติดหนี้ไว้เยอะเหลือเกิน เพราะฉะนั้น..ผ่อนไปเรื่อย ๆ ดีกว่า มีโอกาสเอาไปก่อนเลย ประเภทไม่มีมาก เอาไป ๒๐ บาทก็ยังดี

อาตมาปล่อยปลาปล่อยวัวติดต่อกันมา ๒๕ - ๒๖ ปี กว่าเขาจะยอมคลายออกให้ ไม่อย่างนั้นนี่ปางตายอยู่ทุกวัน แล้วไม่ได้ปล่อยที ๑ - ๒ ตัว เหมาทีหนึ่งเป็นตลาด ปล่อยทุกเดือน ๆ ๒๔ - ๒๕ ปี คืนชีวิตเขาไปนับไม่ถ้วนเลย กว่าเขาจะยอม

ส่วนใหญ่เวลาไปซื้อสัตว์ที่จะปล่อย พวกแม่ค้าจะถามว่ามาอีกเมื่อไร จ้างก็ไม่บอก ถ้าบอกเขาจะเตรียมไว้ให้ ถ้าเตรียมไว้ให้นี่เราจะไม่ได้อานิสงส์ตรงช่วยชีวิตแล้ว เพราะเขาตั้งใจให้เราซื้อ กลายเป็นว่าเราได้แค่ตัวเมตตาอย่างเดียว อานิสงส์คืนชีวิตเราจะไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ไม่บอกเขาหรอก เดินดุ่ย ๆ เข้าไปเลย

ถาม : ปล่อยปลาเป็นสังฆทานหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คนละเรื่องกัน เรื่องของอานิสงส์สังฆทานนี้ต้องบอกว่า ถ้าเกิดชาติไหนเมื่อไรก็จนไม่เป็น แต่เรื่องปล่อยปลานี่เป็นเรื่องของความสะดวก ความปลอดภัย ท้ายสุดก็คือสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เพราะว่าเราคืนชีวิตให้เขา ถ้ารบทุกปีฆ่าทุกชาติอย่างอาตมาต้องคืนเขาเยอะ ๆ ปล่อยไปจนนับชีวิตไม่ถ้วนแล้ว ปล่อยหอยทีหนึ่ง ๒๐ กว่ากิโลกรัม ใครจะไปนับไหวว่ากี่ตัว

ถาม : ไม่ทราบว่าถ้าเราปล่อยสัตว์ให้คนอื่นจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าปล่อยให้คนอื่นต้องให้เขาโมทนา หรือไม่ก็ให้เขาฝากเงินเราไป รู้ ๆ อยู่แล้วว่าเราจะไปปล่อยเขาก็ได้บุญแน่

เถรี
24-10-2013, 06:14
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนทางธนาคารกรุงไทยสาขาทองผาภูมิ เขาเปลี่ยนผู้จัดการใหม่ เจ้าหน้าที่เขาก็พามารู้จัก เขามาแล้วก็บ่นใหญ่เลย “หนูตรวจสอบบัญชีแล้ว เดือนก่อนหลวงพ่อเบิกไป ๕ ล้านบาทหรือคะ ?” “ใช่..รุ่งขึ้นจ่ายไป ๗ ล้านกว่าบาท..!” เล่นเอาผู้จัดการใหม่นั่งเอ๋อไปเลย

อยู่ ๆ รายจ่ายที่ไม่ควรจะจ่ายก็โผล่มา อย่างสายไฟใต้ดินสั่งไป ๒ ปีแล้ว อยู่ ๆ เขาบอกให้โอนเงินเลย จะส่งแล้ว ต้องจ่ายไปอีก ๑.๗ ล้านบาทอย่างนี้ อยู่ ๆ รายจ่ายเพิ่มมากะทันหัน เบิกมา ๕ ล้านบาท จ่ายไป ๗ ล้านกว่าบาท นั่งหัวเราะตัวเอง เออ...ทำได้เหมือนกัน

เดี๋ยวก่อสร้างเสร็จจะขายนั่งร้านถอนทุนคืน ทำนั่งร้านหมดไปเกือบ ๓ ล้านบาท เขาคำนวณมาให้ว่าค่าเช่านั่งร้าน ถ้าเราใช้งานตั้งแต่แรกจนจบงาน ชุดละ ๓ บาทต่อวัน จะตกประมาณ ๓ ล้านบาท ก็มาคำนวณว่าถ้า ๓ ล้าน ซื้อเหล็กมาทำเอง รวมค่าแรงช่างแล้วประกอบเอง ของยังเป็นของเราอยู่ ถ้าเราเช่าเสร็จแล้วต้องคืนเขาหมด ท้ายสุดก็เลยสั่งเหล็กมาทำเอง ถ้าวัดไหนก่อสร้างมาเลย จะขายให้"

เถรี
24-10-2013, 06:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประคำที่เอาไปนับเมื่อตอนสวดคาถาเงินล้านถวายสมเด็จพระสังฆราช เพิ่งมารู้ทีหลังว่าทำไมคุ้นขนาดนั้น เพราะเป็นประคำที่อาตมาสั่งทำแล้วเอาไปถวายหลวงพ่ออุตตมะ ไม่รู้คุณเฟิร์สเข้านอกออกใน รับใช้หลวงพ่ออุตตมะเอาท่าไหน ก็เลยชำระหนี้สงฆ์มา ท้ายสุดก็เลยกลายเป็นเอามาถวายคืน อาตมาเองก็เลยเอาไปประมูลต่อ

ตอนนั้นที่สั่งทำนี่ถือว่าถูกนะ เพราะว่านิลขนาด ๑๖ มิลลิเมตร เม็ดหนึ่งเขาคิดแค่ ๙๐ บาท ทำจากร้านอนันตพลพลอยกาญจน์ เดี๋ยวนี้นิลใหญ่ ๆ หายาก ส่วนใหญ่เม็ดเล็ก ถ้ามีรอยร้าวก็ใช้ไม่ได้ มีรอยร้าวต้องทำใหม่ เพราะนิลค่อนข้างจะเนื้อเปราะ กระทบหนัก ๆ ก็ร้าวแล้ว

พวกนิลคิดกันในราคาที่เขาเจียระไนทำเป็นวัตถุออกมาแล้วนี่ เมื่อ ๕ - ๖ ปีก่อน มาตรฐานกะรัตละ ๕ บาท ถ้าสมมติเราถามว่านิลชิ้นนี้กี่กะรัต ถ้าเขาบอก ๑๐๐ กะรัต ราคามาตรฐานก็คือ ๕๐๐ บาท กะรัตละ ๕ บาท ตอนนี้ไม่รู้ขึ้นไปเท่าไร แต่ว่าตอนนั้นที่สั่งนั่นก็คือเม็ดละ ๙๐ บาท เส้นนั้นก็ตกหมื่นกว่าบาท เดี๋ยวนี้ไม่รู้หาได้หรือเปล่าราคานี้"

เถรี
24-10-2013, 08:27
ถาม : หนูมีความคิดจะทำตะกรุดให้พ่อแม่เขียนให้ เป็นแผ่นทองคำ ให้เขาเขียนคำอวยพร แล้วหนูพกติดตัวไว้ ?
ตอบ : ก็เอาสิ..พรจากพ่อแม่ย่อมประเสริฐที่สุด

ถาม : แล้วหนูมีเกศาหลวงพ่อฤๅษี ถ้าบรรจุไปด้วยจะสมควรหรือไม่ ?
ตอบ : ก็ได้อยู่นะ แต่ว่าต้องหาที่บรรจุให้ดี ๆ เพราะว่าไม่อย่างนั้นร่วงหล่นไปน่าเสียดาย ถึงเวลาก็อุดหัวอุดท้ายให้ดี

ถาม : หนูมีความกังวลว่าไปเอาพรของพ่อแม่ตัวเองมา จะมีผลอะไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : ก็ต้องมีผลดี..เพราะเป็นของพ่อแม่ให้

ถาม : จะมีผลกับอายุท่านหรือไม่ ?
ตอบ : เรื่องของอายุขัยขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่ทำไว้ ต่อให้ไม่อวยพรให้เรา หมดอายุขัยท่านก็ไปได้

เถรี
24-10-2013, 08:35
ถาม : อย่างเราเจอปัญหา แล้วใจจะจำ เหมือนกับเราผูกใจเจ็บ ?
ตอบ : ไม่ใช่ผูกใจเจ็บ ลักษณะนั้นเขาเรียกว่าเข็ด ขอให้ความรู้สึกของเราที่มีต่อการเกิด มีต่อร่างกาย มีต่อโลกนี้ให้เข็ดแบบนั้น พลิกกำลังใจนิดเดียวจะเป็นทางธรรมเลย ว่าฉันเข็ดกับแกแล้ว ฉันจะจำไว้เลย ฉันจะไม่เกิดอีก

ถาม : กลัวว่าจะมาเจออีก
ตอบ : ก็นั่นแหละ เพราะเกิดมาก็เจออย่างนี้ เพราะฉะนั้น..พลิกมุมนิดเดียวจะเข้าทางธรรมเลย ถ้าพลิกมุมไม่ได้จะกลายเป็นโกรธแค้น อาฆาต พยาบาท สร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตัวเองด้วย

เถรี
24-10-2013, 10:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นกระยาสารทเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานเป็นวันสารทไทย ปัจจุบันไม่ว่าจะตรุษสารทหรือใบไม้ใบหญ้า ออกนอกฤดูกาลจนกระทั่งคนเขาเลิกจำแล้วว่าวันจริง ๆ เป็นวันไหน วันก่อนฉันลำไยไป กลิ่นโปแตสเซียมฟอสเฟตแรงมากเลย บอกกับพระท่านว่าลำไยปลอม เพราะว่าเขาเร่งโปรแตสเซียมฟอสเฟตให้ออกนอกฤดูกาล ต้นไม้ที่โดนเร่งให้ออกลูกนอกฤดู จะงันไปหลายปีกว่าจะฟื้นตัว สวนไหนที่จะทำลักษณะนั้น อย่างน้อยต้องมีที่สัก ๖๐ ไร่ ทำปีละ ๑๐ ไร่วนเวียนกันไป จะได้มีเวลา ๕ ปีที่จะฟื้นกลับคืนมา พอโดนเร่งมาก ๆ เข้าต้นไม้ก็เลยสับสนกับชีวิต

สมัยก่อนถึงฤดูกาลจึงจะมีกิน สมัยนี้มีทั้งปี แต่รสชาติไม่ได้เหมือนเดิม เรื่องของกระยาสารทก็เหมือนกัน ตรุษก็จะมีกะลาแมกับข้าวเหนียวแดง สารทจะมีกระยาสารท แต่เดี๋ยวนี้เขาทำขายทั้งปีทั้งชาติ ตรุษสิ้นเดือน ๔ สงกรานต์กลางเดือน ๕ แล้วก็สารทสิ้นเดือน ๑๐ พวกเราส่วนใหญ่ไม่จำกันแล้ว

ไปนึกถึงตอนเด็ก ๆ พอเดือน ๑๒ หมาติดสัด ไล่กัดกันลั่น ก็จะรู้ว่าถึงเวลาของเขา พอมาระยะหลังไม่เป็นเวล่ำเวลากันแล้ว กลายเป็นว่านอกจากดินฟ้าอากาศวิปริตกันแล้ว ต้นไม้กับสัตว์ก็วิปริตไปหมด ปีนี้ต้นไม้ที่วัดท่าขนุนผลัดใบ ๔ ครั้งแล้ว ปกติผลัดใบปีละครั้ง พวกต้นโพธิ์ต้นไทรออกลูกปีละครั้ง แต่ปีนี้ต้นโพธิ์ออกลูก ๓ ครั้ง ใบไม้ผลัดใบ ๔ ครั้งแล้ว เพราะว่าที่นั่นพอฝนหยุดอากาศจะเย็นมาก คล้าย ๆ ฤดูหนาวเลย เช้า ๆ อยู่ระหว่าง ๒๑ - ๒๒ องศาเซลเซียส ต้นไม้ก็คิดว่าถึงฤดูหนาวแล้วก็ผลัดใบ เพิ่งทิ้งใบได้วัน ๒ วัน ฝนตกอีกแล้ว ก็แตกใบใหม่

ตกลงต้นไม้ก็สับสนกับอากาศเหมือนกัน ต้นชัยพฤกษ์ที่ลานธรรม ออกดอกได้ไม่เต็มที่ฝนก็ลง พอได้แดดร้อนออกดอก ฝนลงก็แตกใบเขียว ๆ แทน ตกลงว่าตั้งแต่ปลูกมาจนถึงป่านนี้ ได้เห็นดอกอยู่ ๒ ครั้ง คือพอร้อนแล้งเขาก็ออกดอก แต่ออกได้ไม่กี่วัน พอฝนตกเขาเลยต้องทิ้งดอกแตกใบใหม่

ธรรมชาติวิปริตไปหมด คนเราต้องรักษากำลังใจให้มั่นคง ทิ้งสมาธิภาวนาไม่ได้ ถ้าทิ้งตัวสมาธิภาวนา เรื่องของดินฟ้าอากาศก็มีผลกระทบเหมือนกัน ก็จะทำให้คนเราใจร้อนใจเร็ว โกรธง่าย แปรปรวนง่าย แล้วก็อย่าไปโทษดินฟ้าอากาศทั้งหมดนะ เป็นที่ตัวเรา ไม่ใช่ว่าวันนี้ไปอาละวาดจนเต็มที่ แล้วก็ไปโทษว่าวันนี้ดินฟ้าอากาศไม่ปกติ ที่ไม่ปกตินั่นเราเองต่างหาก..!"

เถรี
24-10-2013, 12:25
ถาม : บางคนบอกว่าการทำสังฆทานเพื่ออุทิศให้แก่คนที่เสียชีวิตแล้ว เป็นเพราะว่าเขาไปเป็นเปรต เขาพูดอย่างนี้จริงไหมคะ ?
ตอบ : ใครก็ตามถ้าสามารถโมทนาบุญได้ มีส่วนได้รับเหมือนกันจ้ะ พวกเปรตจะรับยากด้วยซ้ำไป เพราะเปรตมี ๑๐ กว่าจำพวก ต้องเป็นจำพวกที่บาปเหลือน้อยแล้วถึงโมทนาได้ เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรตอย่างเดียว ถ้าว่าตามบาลีแล้ว คำว่าเปตะ แปลว่าผู้ที่ละโลกไปแล้ว ก็คือที่คนตายไปแล้ว

แต่คนตายไม่ได้เป็นเปรตอย่างเดียว ลงนรกก็มี เป็นเปรตก็มี เป็นอสุรกายก็มี เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เป็นคนก็มี เป็นเทวดา นางฟ้า พรหมก็มี จนกระทั่งหลุดพ้นไปพระนิพพานก็มี ฉะนั้น..เราทำบุญอุทิศไป ถ้าเขาไม่ได้อยู่ที่เขตที่ลำบากมาก มีสิทธิ์โมทนาได้ก็ได้บุญนั้นไป ไม่ใช่เฉพาะเปรตอย่างเดียว

เถรี
24-10-2013, 13:48
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุงเช้ายันค่ำ ไม่เคยอาศัยเครื่องดื่มกระตุ้นเลย จะมีพวกพี่ ๆ เขาเป็นห่วงเหมือนกัน เอากาแฟมา เอาอะไรมา ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่ายังพอสู้ไหว แล้วอาศัยความเคยชินที่ว่าไม่เคยใช้สารกระตุ้น บางคนเขามีกระทิงแดง สมัยนั้นมีกระทิงแดงยี่ห้อเดียว ยี่ห้ออื่นไม่มี ของอาตมาตัวเปล่าลุยข้ามวันข้ามคืน ถึงเวลาเช้าวันอังคารเดินทางกลับ หลับคอพับบนรถเมล์ก็มี

สมัยอยู่ที่วัดท่าซุงก็ต้องเตรียมงานก่อนด้วย ข้ามวันข้ามคืนเหมือนกัน บรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ ก็มีกาแฟ มีกระทิงแดง บางคนก็กระทิงผสมกาแฟ ผสมกันมั่วไปหมด เลิกงานก็หมดสภาพกันเกลี้ยง ของอาตมาเลิกงานนอนคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็ลุกขึ้นบิณฑบาตได้ ท่านอื่นลุกไม่ขึ้น เพราะไปกระตุ้นพลังงานสำรองออกมาหมด พักแล้วไม่ฟื้น ของอาตมาแค่ใช้งานเต็มที่เท่านั้น หมดงานแล้วได้พักก็ยังฟื้นได้

หลวงพ่อเองท่านก็ใช้ เพราะว่าสังขารท่านไม่ไหว คนมาเยอะขนาดนั้น คุยกับเขาทั้งวัน แจกของแจกข้าว โยกซ้ายโยกขวาไปเรื่อย จนปี ๒๖ อาตมาก็ยึดอำนาจ บอกว่า "หลวงพ่อครับ เดี๋ยวผมแจกวัตถุมงคลเองครับ ปล่อยให้หลวงพ่อโยกอย่างนี้ทั้งวันไม่ไหวหรอกครับ" ใหม่ ๆ ก็มีหลาย ๆ คนไม่ยอมรับ ต้องรับจากมือของหลวงพ่อให้ได้ จนกระทั่งหลวงพ่อหัวเราะบอกว่า "เฮ้ย..เขาตั้งกติกาไว้แล้วก็ต้องทำตามเขา"

ยังโชคดีที่ความตรงไปตรงมาของอาตมาเป็นที่เลื่องลือ คนก็เลยด่าไม่ถนัด เพราะรู้ว่าทำเพื่อหลวงพ่อจริง ๆ อย่างงานวันเกิดที่บ้านสายลมเดือนตุลาคม คนประดังเข้ามาเป็นพันเป็นหมื่นแล้วมีเวลานิดเดียว เลยบอกว่าให้เข้าได้ทีละไม่เกิน ๑๐ คน และอยู่ได้ไม่เกินชุดละ ๒ นาที คุณต้องถวายสังฆทานให้ทัน แล้วก็จะมีคนนั้นก็คุณหญิง คนนี้ก็คุณนาย คนโน้นก็นายพัน คนนี้ก็นายพล จะขอเข้าก่อน อาตมาขวางประตูอยู่ จะมีเสวีกับเจ้าพัชน้องสาวอีก ๒ คน มาช่วยยืนกั้นประตูไว้

ลูกศิษย์เก่าแก่ตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหน ขุดขึ้นมาขู่ทั้งนั้น อาตมาต้องบอกว่า "ขอโทษครับ..วันนี้ผมจำใครไม่ได้" บางทีก็ไม่ไหว ต้องชี้ให้เขาดู "เห็นคุณป้าแก่ ๆ ที่ยืนข้างประตูนั่นไหมครับ ? " "เห็น" "นั่นแหละครับ คุณแม่ผมเองยังไม่ได้เข้าเลย" เขาเลิกคบอาตมาไปเลย ขนาดแม่ตัวเองยังไม่ให้เข้า แล้วใครจะไปได้เข้า

หลวงพ่อท่านชอบคนตรงไปตรงมา ทุกคนราคาเดียวกัน ไปกันตามลำดับ เข้าได้ทีหนึ่ง ๘ คน ๑๐ คน ๒ นาทีต้องออก แล้วไล่ออกประตูหลังด้วยนะ ไม่ใช่ย้อนออกมาทางเดิม

ท้ายสุดพอไปบวชเข้า ยังได้ไม่ถึงปี หลวงพ่อท่านก็เรียกให้ไปเฝ้าหน้าห้อง แล้วคำสั่งท่านก็คือ "ถ้าไม่ใช่คนที่ข้าเรียก ไม่ต้องให้ใครเข้ามา.." ต้องบอกว่าคนที่แหกคอกมากที่สุดคือป้าน้อย ป้าน้อยนี่ไม่มีใครกล้ากั้นแกได้ ยกเว้นอาตมา เพราะว่าชื่อเลื่องลือมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ป้าเลยไม่กล้าฝืน"

เถรี
24-10-2013, 19:18
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องถามว่าท่านมาเพื่ออะไร แล้วทำตามที่ท่านต้องการก็จบแล้ว เพราะฉะนั้น..ไปคุยกันเองก็ได้จ้ะ ไม่ต้องเสียเวลาคนอื่นไปคุยหรอก ถึงเวลาก็ถามท่านตรง ๆ มาด้วยธุระอะไร ต้องการอะไร แล้วทำตามที่ท่านว่า

ถ้าฤๅษีมาแสดงว่าหลงยุค บรรดาร่างทรงต่าง ๆ ที่มา ส่วนใหญ่แล้วอยากจะมาสร้างบารมี ถ้ารอเกิดก็ช้า จึงอาศัยคนที่มีกรรมเก่าเนื่องกันมา อาศัยผ่านร่างเขา อาตมาเองเคยต่อรองให้หลายคน ว่าถ้าจะใช้ร่างเขาจริง ๆ อันดับแรกต้องอย่าให้เขาเดือดร้อนด้วยเศรษฐกิจส่วนตัว คืออย่างน้อยต้องให้เขามีความคล่องตัวด้านการเงิน ไม่เดือดร้อนเรื่องการครองชีพ จะได้มาทำหน้าที่ให้เขาได้

ข้อที่สอง ถ้าใช้งานผ่านร่างมา อย่าให้เขาแสดงอาการวิปริต ผิดประหลาดจนเขาต้องอับอายต่อคนอื่น ให้เป็นปกติ ๆ นั่นแหละ แต่ทำงานได้ ข้อที่สาม สิ่งใดก็ตามที่รับปากช่วยเหลือคน สิ่งนั้นต้องมีผล ไม่อย่างนั้นก็เสียชื่อเราไปด้วย ส่วนใหญ่พอต่อรองแล้วก็ยอมรับด้วยกันทั้งนั้น ถ้าทำตามนี้ก็ตกลงว่าจะรับ จัดขันธ์ครูมา ถ้าไม่ทำตามข้อตกลงนี้ก็ไม่รับ โดยเฉพาะข้อตกลงที่ชัดที่สุดคือ ต้องให้รวยก่อน

เถรี
24-10-2013, 19:27
ถาม : อย่างฤๅษีเกศแก้ว มีคนสงสัยมากว่าทำไมพระกราบได้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่ามารดลใจ ฤๅษีเกศแก้วท่านเป็นฤๅษีถือศีล ๘ สร้างบารมีเพื่อพระโพธิญาณ คราวนี้การที่พระไปกราบเท่ากับเกิดโทษแก่ท่าน กลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย โอกาสที่จะพลาดลงอบายภูมิมีสูง กลายเป็นว่าการสร้างบารมีก็จะช้าไป

ส่วนบรรดาพระทั้งหลายก็ไม่เข้าใจในสถานภาพของตัวเอง ว่าศีล ๒๒๗ สูงกว่าศีล ๘ เท่าไร พอไปกราบกลายเป็นว่าตัวเองก็หลุดจากพระรัตนตรัย เพราะไปกราบผู้อื่นที่ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง สรุปคือเรื่องของมารกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ต้องห่วง

ถาม : เป็นไปได้ไหมครับว่าฤๅษีเกศแก้วเข้าสู่ความเป็นพระอนาคามี ?
ตอบ : จะเป็นอย่างไรก็ตาม ศีลเขาแค่นั้น ในสภาพของการเป็นฆราวาสไม่สามารถที่จะรับไหว้จากพระได้ ต่อให้เป็นพระอริยเจ้าก็เถอะ

ถาม : ผมคิดว่าท่านเป็นพระอนาคามี พระก็เลยไปกราบท่าน ?
ตอบ : ไม่ใช่..พระเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน ก็เลยไปกราบโดยลืมสถานภาพของตนเอง จึงเกิดโทษทั้งสองฝ่าย

ถาม : เป็นอย่างไรครับ ที่กราบอย่างอื่นเป็นที่พึ่งยิ่งกว่าพระรัตนตรัย ?
ตอบ : เขาเรียกว่าอัญญเดียรถีย์ คือผู้ที่ถือผู้อื่นเป็นศาสดา ไม่ได้ถือพระรัตนตรัย โทษหนักมาก บาลีว่ากึ่ง ๆ อนันตริยกรรมเลย

ถาม : ท่านไม่ได้เป็นเดียรถีย์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วท่านเข้าใจผิด ถ้ามีคนไปชี้แจงให้ท่านเข้าใจถูกก็ดี แต่อยู่ ๆ จะให้ถือไมค์ไปพูดก็เหมือนไปหักหน้าเขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะทำ

เถรี
24-10-2013, 19:38
ในลักษณะของอัญญสัตถุเทส ถือผู้อื่นเป็นศาสดา เท่ากับปิดมรรคผลเลย เพราะขาดความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง บางคนอาจจะคิดว่าคับแคบเกินไปหรือเปล่า ทำไมจะไปถือศาสดาอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเราดูในเรื่องของมรรคผลจริง ๆ แล้ว เบื้องต้นต้องมีความศรัทธาอย่างแน่นแฟ้น และต้องเป็นการศรัทธาถูกที่ถูกทางด้วย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราเองมีความศรัทธาไม่แน่นแฟ้นพอ ก็เลยไปให้ความเคารพผู้อื่นที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย เรื่องของเรื่องก็คือว่าเข้าไม่ถึงมรรคผล

บางทีเจอกันในงาน ก็จับมือท่านเดินคุยไปเรื่อย คนอื่นอาจจะสงสัยว่าอาตมาทำไมไม่แสดงความเคารพฤๅษีเลย แต่ปู่ฤๅษีท่านเข้าใจ

ขนาดอยู่ในช่วงสร้างบุญสร้างบารมี มารเขายังขวางสุดชีวิตเลย เพราะว่าถ้าสำเร็จไปนี่แปลว่าเอาคนไปพระนิพพานนับไม่ถ้วน

เถรี
25-10-2013, 05:25
ถาม : มารที่เป็นคู่ปรับของเรามีอยู่ท่านเดียว หรือว่ามากกว่านั้น
ตอบ : นับไม่ถ้วน โดยเฉพาะมารเสนา ทหารของมาร เสนาของมาร คือคนทุกคน สัตว์ทุกตัว ของทุกชิ้นรอบข้างของเรา มารเขาใช้เป็นเครื่องมือในการขวางเราได้ทั้งหมด เหลือเชื่อว่าเขาทำได้ขนาดนั้น เดินไปเจอถังน้ำอยู่ใบหนึ่ง เตะโครมเข้าให้ "ใครวางเกะกะวะ ? ไม่รู้จักเก็บจักเก็บงำ.." โทสะกินเพราะของชิ้นเดียว

มีนกอยู่หนึ่งตัว กวนอาตมาอยู่ทุกวัน เวลาขึ้นไปจะนอนพัก ก็จะบินมาตะกายหน้าต่างให้ตื่นทุกที จะตะกายเข้ามาในห้องให้ได้ นกอะไรก็ไม่รู้

ถาม : นกเขาจะเกิดเป็นกรรมไหมครับ ?
ตอบ : เขาโดนดลใจให้ทำอย่างนั้น เจตนาไม่มี ในเมื่อเจตนาไม่มี ก็เป็นกตัตตากรรม คือกรรมที่ทำโดยไม่เจตนา เป็นกรรมที่เบาที่สุด กรรมอื่นส่งผลโดยไม่มีอะไรเหลือแล้ว กรรมนี้จึงจะตามมา

ถาม : นกที่อยู่ตามวัด ถ่ายลงมาที่วิหาร ?
ตอบ : เขาเองด้วยความที่อยู่ในภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ความมืดบอดของจิตมีมาก ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นโทษ ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้โทษเขามีน้อย แบบเดียวกับคนฆ่าพ่อฆ่าแม่โดนอนันตริยกรรม แต่ถ้าสัตว์อย่างเช่นเสือ กัดพ่อแม่ตาย ไม่โดนอนันตริยกรรม เพราะอยู่คนละภูมิกัน ภูมิของเขาอยู่ในภูมิที่ต่ำกว่า ฉะนั้น..การตั้งราคาหรือตั้งโทษเลยเบากว่า

ถาม : เรากลัวว่ามารจะมาขวางเรา หรือเล่นงานเราหนัก หลายคนบอกว่าตอนนี้ยังไม่ลาพุทธภูมิ แต่พอไปตอนปลายใกล้จะหมดวาระต้องตัดสินใจลา แบบนี้จะหลอกมารได้ไหมครับ ?
ตอบ : อันนี้หลอกตัวเอง ไม่ใช่หลอกมาร..!

ถาม : จริง ๆ เขารู้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีทางที่จะหลอกได้ เขาหลอกให้เราคิดอย่างนั้นด้วยซ้ำไป

เถรี
25-10-2013, 05:26
ถาม : คนที่รู้ว่าทำแล้วเป็นกรรม กับคนที่ไม่รู้ว่าทำแล้วจะเป็นกรรม อย่างไหนโทษจะหนักกว่า ?
ตอบ : ในสิ่งที่ทำโดยพื้นฐานแล้วเกิดโทษเท่ากัน แต่ว่าคนที่รู้แล้วขืนทำ จะเพิ่มโทษตรงจุดนี้ คือรู้ทั้งรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดแล้วตั้งใจทำ ต้องใช้กำลังใจที่สูงกว่า ในเมื่อต้องใช้กำลังใจที่สูงกว่า โทษก็เลยมากกว่า เหมือนกับว่าเราขับรถไปชนคนตายโดยประมาท ก็เท่ากับว่าขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนอีกคนตั้งใจพุ่งไปชนเลย ถ้าเรามั่นใจว่ามีเจตนาอย่างนั้นแน่ ๆ โทษหนักกว่าแน่นอน เพราะเท่ากับว่าเราฆ่าโดยเจตนา

เถรี
25-10-2013, 05:32
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้านี้ใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ : บูชาติดบ้าน พร้อมพระคาถาเงินล้าน ตั้งใจภาวนาพระคาถาเงินล้านให้สม่ำเสมอ เอาวันละกี่จบก็ได้ แต่ต้องทำเท่า ๆ กัน ขอบารมีท่านให้สงเคราะห์เรื่องความคล่องตัวในความเป็นอยู่ทุกด้าน

เถรี
25-10-2013, 05:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมากำลังตามเก็บข้อมูลเรื่องวัตถุมงคลที่สร้างเองมาตั้งแต่แรก ตอนอยู่ที่วัดท่าซุง ทำพระวิสุทธิเทพหลังยันต์เกราะเพชร มี ๑๐,๐๖๐ องค์ ถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงไป ๑๐,๐๐๐ องค์ เสร็จพิธีแล้วท่านบอกว่าเป็นพิธีที่สมบูรณ์ที่สุด พระท่านสงเคราะห์ให้ทุกด้าน ให้หลวงพี่วิรัชเก็บเอาไว้ บอกว่าถึงเวลาวัดพัง จะได้มีไว้จำหน่ายซ่อมวัด

ปรากฏว่าพอหลวงพ่อมรณภาพ หลวงพี่วิรัชงัดออกมาจำหน่ายจนเกลี้ยง รุ่นนั้นถือว่าเป็นวัตถุมงคลรุ่นแรก ในพรรษาปี ๒๕๒๙ ตำผงเพื่อพิมพ์พระกันทั้งพรรษา ส่วนประกอบสำคัญคือเกศาหลวงพ่อวัดท่าซุง จีวรหลวงพ่อ ทรายแก้ว ทรายทอง ดอกบัวพระองค์ที่ ๑๐ ใส่ลงไปแบบไม่ต้องเสียดาย โดยเฉพาะยานัตถุ์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านปลงผม ๓ ครั้งกว่าจะพอ กราบเรียนท่านว่าจะขอสร้างรุ่นนี้ถวายหลวงพ่อ แล้วขออนุญาตกำหนดราคา ท่านบอก "แกจะขายเท่าไร ?" " องค์ละ ๑๐๐ บาทครับ" กราบเรียนท่านว่าทำ ๑๐,๐๐๐ องค์ กะว่าจะหาเงินถวายท่าน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ท่านอนุญาตก็เลยทำ

อย่างที่สอง ทำตะกรุดมหาสะท้อนรุ่นแรก ๖๐ ดอก ตอนนั้นไม่ค่อยมีเงิน แผ่นเงิน ๖๐ บาทก็เยอะอยู่ เพราะว่าต่ำสุดต้องน้ำหนักบาทหนึ่ง แล้วก็มาชุดสุดท้ายที่ทำคือมีดชาตรี ชาตรีรุ่นแรก ๔๒ เล่ม พอท่านเอ่ยปาก อาตมาก็วิ่งถึงพยุหะคีรี ไปกวาดมาหมดตลาดมีแค่ ๔๒ เล่ม หลังจากนั้นคนอื่นเพิ่งจะไปกัน ยิ่งใกล้งานคนยิ่งไปหากันมากขึ้น จนท้ายสุดขนาดปากกาเฉพาะใบเปล่า ๆ ไม่มีด้ามไม่มีฝัก ใบละ ๖๐๐ บาท ของอาตมาด้ามงาฝักงาเขาให้บูชา ๒๐๐ กว่าบาทเอง

หลังจากนั้นก็มาเกาะพระฤๅษี ทำล็อกเก็ตรุ่นแรก รูปหลวงปู่ปานกับหลวงพ่อฤๅษี รุ่นนั้นประสบการณ์เพียบ

หลายต่อหลายอย่างที่โยมบูชาประมูลกันแพงหูดับตับไหม้ จริง ๆ แล้วอาตมาไม่ได้สร้าง อย่างพระองค์ที่ ๑๑ หรือว่าสมเด็จสัมพุทธเธ นั่นเป็นพระครูแสงสร้างแล้วเอามาเข้าพิธี ดังนั้น..ที่ลงเอาไว้เป็นทะเบียนประวัติสร้างวัตถุมงคล จะลงเฉพาะที่สร้างเอง ชนิดไหนไม่มีอยู่ในนั้นแปลว่าคนอื่นทำ"

เถรี
25-10-2013, 06:09
ถาม : ทำไมไม่แยกล่ะครับ ?
ตอบ : แยกไม่ไหว ที่แยกไม่ไหวเพราะว่าแต่ละงานอาตมาไม่เคยห้ามเขาเอาวัตถุมงคลมาเข้าพิธี ที่ขออนุญาตอย่างเป็นทางการแทบไม่มี ส่วนใหญ่ก็บอกว่าขอเอาวัตถุมงคลเข้าพิธี แต่ไม่ได้แจ้งว่าอะไรบ้าง ส่วนใหญ่มารู้ทีหลังว่าเป็นของพวกนั้นพวกนี้ เพราะเขามาจำหน่ายในเว็บราคาแพง ๆ ไปแล้ว

จะลงไว้เฉพาะที่ตัวเองทำ เพราะว่ามีบันทึกประจำวันลงไว้ ตอนนี้ข้อมูลขาดแต่ท้าวมหาราชเท่านั้น ทำในนามของวัดตัวเอง

จะมีสมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก ที่ใช้แบบของทางด้านวัดพระธาตุ ๕ ดวง คือสั่งเพิ่มเติมจากที่เขาสั่งโรงงานไว้ ๕,๕๐๐ องค์ แต่ว่าชุดนั้นพุทธาภิเษกหลายรอบ คือจะมีหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์อธิษฐานจิตเดี่ยว หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศอธิษฐานจิตเดี่ยว แล้วก็ไปเข้าพิธีเสาร์ ๕ รุ่นนั้น พวกเราไม่ทันหรอก ๕,๕๐๐ องค์ ละลายหายวับไปกับตา แต่ว่าทางด้านวัดพระธาตุ ๕ ดวง จะมีเนื้อทองคำด้วย แบบเดียวกัน เพราะขอให้เขาทำเพิ่มจากจำนวนที่เขาสั่ง ชุดนี้ถือว่าไม่ได้ทำเช่นกัน เพราะเป็นแบบของวัดพระธาตุ ๕ ดวง

แยกไม่ถูกหรอก เพราะเหมือนกันทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่ที่กล่องเขียนว่าเป็นของทางด้านอาตมา ก็แปลว่าเป็นของวัดพระธาตุ ๕ ดวง หรือวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

เถรี
25-10-2013, 06:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามีปัญหาเรื่องลมฟ้าอากาศ โดยเฉพาะทางทะเล ให้บนกับนางมณีเมขลา ทำสังฆทานชุดใหญ่ให้ท่านจะช่วยได้"

เถรี
25-10-2013, 06:21
ถาม : ถ้าเราตั้งใจจะตัดสังโยชน์ ๕ แล้วเราสามารถทำได้จริงหรือไม่ มีอะไรเป็นที่สังเกตคะ ?
ตอบ : ผู้หญิงนี่ดูง่ายที่สุดเลย ถ้าถึงสังโยชน์ ๕ เมนส์จะไม่มา ระบบร่างกายตัดไปเลย ระบบร่างกายจะปรับใหม่ ระบบเกี่ยวกับการสืบพันธุ์พวกฮอร์โมนอะไรจะหยุดทำงานหมด ต่อให้สาวพริ้งอยู่ก็ไม่มีเมนส์ ประจำเดือนไม่มา ตั้งแต่สังโยชน์ ๕ ขึ้นไป ถ้าสังโยชน์ ๓ ก็ยังปกติอยู่ ถ้าตัดสังโยชน์ ๕ ขึ้นไปก็เรียบร้อย..หมดสภาพ..!

เถรี
25-10-2013, 06:23
ถาม : คนที่บูชาวัตถุมงคลกับคนที่บริจาควัตถุมงคลให้บูชา อานิสงส์ต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : กำลังใจเขาสละออกอยู่แล้ว บุญเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนที่บริจาคเพื่อได้วัตถุมงคล ก็จะได้วัตถุมงคลกลับไปด้วย

เถรี
25-10-2013, 06:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ชะมดเช็ดกับชะมดเชียงก็คืออย่างเดียวกัน สารพวกนี้พวกชะมดเขาเอาไว้ทำเครื่องหมาย เพราะจะติดทนนานมาก ลองนึกถึงแมวเวลาฉี่ว่ากลิ่นติดทนนานขนาดไหน พวกชะมดก็เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ฉี่ เป็นสารที่ใช้ทำเครื่องหมายอาณาเขตของเขา"

เถรี
25-10-2013, 06:37
ถาม : ถ้าฝึกปุพเพนิวาสานุสติญาณ เขาฝึกโดยถอยหลังเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ทิพจักขุญาณแล้ว แค่ต้องการรู้เรื่องตรงนั้นก็จะรู้ได้ เป็นวิธีการใช้ทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือทิพจักขุญาณต้องได้ก่อน พอได้แล้วไปดูอดีตเรียกว่าอตีตังสญาณ ดูอนาคตก็เป็นอนาคตังสญาณ ดูปัจจุบันเป็นปัจจุปันนังสญาณ ดูว่าชาติก่อน ๆ เราเกิดมาอย่างไรก็เป็นปุพเพนิวาสานุสติญาณ ไปดูเรื่องของบุญกรรมที่เราทำไว้ก็เป็นยถากัมมุตาญาณ

ที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ทิพจักขุญาณก่อน ซักซ้อมจนคล่องตัวแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเราจะใช้ไปในทางไหน

ถาม : แยกระหว่างปุพเพนิวาสานุสติญาณกับยถากัมมุตาญาณ ?
ตอบ : อันหนึ่งดูว่าแต่ละชาติเราเกิดมาอย่างไร เกิดเป็นใคร แต่อีกอย่างดูว่าเราทำความดีความชั่วอะไรไว้

เถรี
26-10-2013, 20:16
ถาม : รู้จักรงไหมครับ ?
ตอบ : รงเป็นสีเหลืองที่ได้มาจากธรรมชาติ

ถาม : ได้มาจากอะไรครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นพวกหินหรือแร่ธาตุอะไรบางอย่าง

ถาม : สีแดงชาดละครับ ?
ตอบ : สีแดงสมัยก่อนได้จากฝางก็มี จากชาดตรง ๆ เลยก็มี ชาดเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง ต้นสีแดง ใบสีแดง รากก็สีแดง เขาสกัดเอายางออกมา อาตมาเคยธุดงค์แล้วไปเจออยู่ดงหนึ่ง อยู่รอยต่อระหว่างอุ้มผางกับห้วยขาแห้ง แต่เดินมาเป็นเดือน ๆ เหนื่อยจนหมดสภาพ อารมณ์จะหยิบกล้องมาถ่ายเลยไม่มี ตอนแรกที่เห็นต้น ก็สงสัยว่า ถ้าจะเหนื่อยจนตาลายหรือไฟไหม้ป่าอยู่ ทำไมป่าแดงอยู่ตรงนั้นกลุ่มเดียว พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ถึงรู้ว่าเป็นต้นไม้ ต้นก็แดง ใบก็แดง มิน่า..เขาถึงเรียกว่าต้นชาด

ตอนนี้เหลือแต่ในป่าลึก ๆ อย่างไม้งิ้วดำ เดี๋ยวนี้หายากหาเย็น ส่วนใหญ่ที่เจอถ้าไม่ใช่มะริดก็พญาดำดง หรือไม่ก็มะเกลือ แต่พวกนั้นดูง่ายเพราะลายไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นไม้มะริด ลายไม้จะออกสีชมพูหน่อย ๆ ระยะหลังเขาแหกตากันเยอะ เขาบอกว่าถ้าลายเป็นสีน้ำตาลก็คือมะเกลือ แต่ถ้าลายเป็นสีชมพูก็งิ้วดำ ความจริงลายสีชมพูเป็นมะริด เขาหาเรื่องที่จะขายของ จึงพยายามอธิบายอย่างนั้น

งิ้วดำจริง ๆ เป็นต้นงิ้วเลย ดำโดยธรรมชาติ ที่สังเกตง่ายที่สุดคือเนื้อเบามาก พวกไม้นุ่นไม้งิ้วเนื้อเบาอยู่แล้ว

ถาม : อายุสักเท่าไรจึงเอามาใช้งานครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เจอก็ยืนต้นตายแล้ว ใครจะไปรู้ว่าอายุเท่าไร

เถรี
26-10-2013, 20:21
ส่วนมากที่เขาเอามาใช้ต้องเอาจากต้นที่ยืนตาย แต่ก็อัศจรรย์ตรงที่ว่าไม่เคยเจอต้นที่ล้มตาย มีแต่ยืนตาย ขนาดตายยังไม่ยอมล้ม เขาก็เลยถือเคล็ดตรงนี้ แล้วเอามาใช้งานกัน อาตมาเคยเจออยู่ ๒ ครั้ง ตอนนั้นพระครูแสงยังเป็นฆราวาส เลยช่วยกันลองทดสอบดู เขาบอกว่าพญางิ้วดำแช่เหล้าแล้วเหล้าจะจืดหมด จึงลองเลื่อยมาชิ้นหนึ่ง ลองแช่เหล้าดู รสจืดจริง ๆ เขาบอกว่าเหลือแต่กลิ่น รสไม่มี พระครูแสงเขาไม่กลัวอยู่แล้ว สมัยฆราวาสท่านกินเหล้าเป็นปกติ แต่เวลาแช่แล้วออกสีน้ำตาลเหมือนน้ำชา เขาบอกถ้าเอาไม้งิ้วดำตัดไปทำพายหุงข้าวแล้วข้าวจะกลายเป็นสีดำ

ที่ขำที่สุดคือซิยิ่นกุ้ย แม่ทัพของจีน ซิยิ่นกุ้ยแข็งแรงกว่าคนอื่นเขา เพราะกินข้าวที่หุงจากไม้งิ้วดำ เขาเป็นพลทหารสูทกรรม ไปตัดไม้มาหุงข้าว ปรากฏว่าข้าวดำทั้งกระทะ โดนแม่ทัพบังคับกินให้หมด ก็เลยแข็งแรงอยู่คนเดียว ต่อมาเลยกลายเป็นแม่ทัพใหญ่

ไม้มะริด ไม้ดำดง อีกอย่างคือรักเขา ถ้ารักโดนไฟไหม้ ยางจะละลายเข้าเนื้อไม้ ทำให้ไม้ดำได้เหมือนกัน เป็นต้นรักที่ส่วนใหญ่ขึ้นในป่าดิบเขา เลยเรียกว่ารักเขา ตอนหลังพวกไสยศาสตร์เอาคำว่า "รักเขา" มาเป็นเคล็ดทำไสยศาสตร์

ถาม : ถ้าจะสักตามตำราแบบแสนตรีเพชรกล้า ?
ตอบ : "แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์ ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง" คุณไม่ต้องไปเสียเวลาหาหรอก รงคุณก็ใช้สีทอง ชาดคุณก็ใช้สีแดง ที่เหลือก็เอาหมึกตามปกติไป

เถรี
31-10-2013, 18:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังทำพระไพรีพินาศ ตอนแรกตั้งใจสร้างฉลอง ๑๐๐ ปีสมเด็จพระสังฆราช แต่ปรากฏว่าการติดต่อขออัญเชิญพระนามย่อ ญส.ส. มาประดับที่ฐานสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ไม่ได้รับการสนองตอบ ก็เลยต้องยกเลิกโครงการไป

ถ้าดูเรื่องการติดต่อเพื่อจัดงานสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบถวายสมเด็จพระสังฆราช ทุกอย่างจบลงภายอาทิตย์เดียว แต่อาตมาส่งจดหมายลงทะเบียนด่วนพิเศษ เรื่องขออนุญาตสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก เพื่อถวายเนื่องในโอกาสสมเด็จพระสังฆราชเจริญพระชันษา ๑๐๐ ปี ตั้งแต่ก่อนสร้าง ระหว่างที่สร้าง สร้างเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้รับการสนองตอบจากกองงานเลขานุการ อาตมาจึงส่งหนังสือขอยกเลิกโครงการไปเลย

แต่วัตถุมงคลที่ตั้งใจสร้างแล้วไม่ยกเลิก..ทำต่อ เอาไว้สำหรับท่านที่ร่วมบุญสร้างเครื่องมือแพทย์ถวายโรงพยาบาล อาตมาเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ เมื่อปี ๕๔ มอบเครื่องกระตุ้นหัวใจ (เครื่องช็อตไฟฟ้า) ให้กับโรงพยาบาล ปีที่แล้วก็มอบชุดเครื่องมือทันตกรรมเคลื่อนที่ ปีนี้ทางโรงพยาบาลขอเครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเตียงพยาบาล ตกลงกันว่า จะไปทอดผ้าป่าให้ช่วงปฏิบัติธรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ถึงเวลาใครไปสมัครบวชเนกขัมมะ จะพาเดินไปโรงพยาบาล เอาให้ขาวไปทั้งถนนเลย ไปทอดผ้าป่ากัน

ให้คอยติดตามข่าวในเว็บวัดท่าขนุน ถึงเวลาคุณก้านบัวจะเปิดกระทู้ "ร่วมกันซื้อเครื่องมือแพทย์ให้อาคารผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลทองผาภูมิ" เสียดายอยู่อย่างเดียวว่าขอห้องพระ ๑ ห้องแล้วไม่ได้ ได้ห้องสงฆ์อาพาธมา ๒ ห้อง เป็นห้องพิเศษ จะแบ่งมาทำห้องพระสักห้องหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะถ้าไปทำห้องพระ เกิดมีพระป่วยจากที่อื่นมาจะไม่มีที่พัก เลยบอกกับ ผอ.นวลจันทร์ไว้ว่า ดูมุมทางด้านนอก ถ้ามุมไหนกว้างแล้วก็สะดวกหน่อย อาตมาจะไปตั้งพระให้ อย่างน้อยถ้ามีพระในอาคาร ผู้ป่วยจะได้มีกำลังใจ หรือใครจะมาเจริญพระกรรมฐานต่อหน้าพระประธานก็ได้"

เถรี
31-10-2013, 18:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "สภาพร่างกายเสื่อมลงไป ใช้งานยากขึ้น แต่ความทุกข์ยังมีเท่าเดิม ก็เลยทำให้เหมือนกับมีความทุกข์มากขึ้น"

เถรี
31-10-2013, 19:11
ถาม : เวลาเราหยอดเงินใส่ตู้ชำระหนี้สงฆ์ บุญที่เราได้เป็นการชำระหนี้สงฆ์ที่เราเคยทำไว้ หรือเป็นการต่อยอดการทำบุญของเราคะ ?
ตอบ : เป็นการชำระหนี้สงฆ์ เพียงแต่ต้องดูด้วยว่าเงินชำระหนี้สงฆ์ส่วนใหญ่แล้วตั้งเจตนาไว้ว่า เราเข้าวัดไปใช้น้ำใช้ไฟอะไร เราก็ไปหยอดตู้ชำระหนี้ แต่ถ้าเขาบอกว่าสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ แปลว่าจบเลยทีเดียว แต่ควรจะเป็นพระปิดทองด้วย ถ้าไม่ปิดทองจะได้แค่เจ้าภาพคนเดียว

ถาม : วัดที่อื่นอาจจะไม่มีตู้ชำระหนี้สงฆ์ แต่เราอาจจะไปเจอตู้ที่วัดท่าขนุนแล้วหยอดใส่ ถือว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์ที่วัดอื่น ๆ ด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นการสร้างพระ ๔ ศอกปิดทอง ชำระได้ทั้งหมด

ถาม : แล้วถ้าเป็นการหยอดตู้ละคะ ?
ตอบ : หยอดตู้เฉย ๆ ได้แค่สถานที่นั้น

ถาม : ถ้าเป็นการใช้หนี้ที่ผ่าน ๆ มา เราอาศัยอยู่ในวัดก็ต้องติดหนี้สงฆ์อยู่แล้ว เพราะกินใช้ของในวัด เท่ากับเราเป็นหนี้ทั้งชาติเลยไหมคะ ?
ตอบ : เราก็ค่อย ๆ ทยอยหยอดไปทุกเดือน ทีละ ๑๐๐ - ๒๐๐บาท ก็ได้ ตั้งใจว่าขอชำระหนี้สงฆ์ในส่วนนั้น

เถรี
31-10-2013, 19:15
ถาม : ทุกวันพระ หลังจากที่พระฉันข้าวจากญาติโยมถวายมาเสร็จแล้ว เด็กวัดจะถ่ายกับข้าวจากสำรับ เพื่อเก็บให้พระฉันต่อตอนเพล ทำอย่างนี้มานานแล้ว เมื่อไม่นานมานี้มีพระรูปหนึ่งมาห้าม บอกว่าพระฉันเสร็จแล้ว ยังไม่ได้อุปโลกน์ให้เด็กวัดมาจับ เป็นวิบัติ ผิดศีล เพราะฉะนั้น..ห้ามคนอื่นถ่ายกับข้าว ให้พระถ่ายกับข้าวเอง ไม่ทราบว่าที่พระรูปนี้พูดถูกต้องหรือไม่ ?
ตอบ : ถูก....ท่านควรจะเหนื่อยเอง บอกท่านไปทำคนเดียว..!

ถาม : ญาติโยมเกลียดกันใหญ่เลย มองว่าการที่พระถ่ายกับข้าวเองน่าเกลียดมากกว่า ?
ตอบ : ต้องอุปโลกน์ก่อนที่จะฉัน ไม่ใช่ว่าฉันแล้วค่อยอุปโลกน์ ถ้าไปสังเกตที่วัดท่าขนุนจะเห็นว่า พอโยมประเคนเสร็จก็อุปโลกน์เลย แล้วค่อยยกไปโรงครัว แสดงว่าที่ว่ามานั้นพระคุณท่านมั่วสุดชีวิต..! บอกทุกคนว่าไม่ต้องเสียเวลาไปเกลียดท่านหรอก ให้ทุกคนวางมือทั้งหมด นิมนต์พระเณรทุกรูปวางมือทั้งหมด ให้ท่านจัดการเองรูปเดียว ท่านจะได้เหนื่อยให้สมใจนึกไปเลย..!

เถรี
01-11-2013, 06:10
ถาม : เมื่อก่อนมีความเข้าใจว่า ทำไมคน ๆ หนึ่งถึงประพฤติตัวไม่ดีเช่นนั้น ซึ่งเราได้เตือนหรือบอกเขาหลายครั้งแล้วว่า การเสพยาเป็นสิ่งไม่ดี แต่เขาก็ยังจะทำเช่นเดิม ทำให้เราเกิดความหงุดหงิดใจ ซึ่งก็เป็นความโกรธอย่างหนึ่งนั่นเอง วันหนึ่งหนูนั่งสมาธิแล้วแวบเห็นภาพคน ๆ นั้นว่า การที่เขาทำเช่นนั้นเพราะเขาทำไปตามกรรม คนเราประกอบทั้งกรรมดีและกรรมชั่วมาด้วยกัน ขณะนั้นกรรมได้ชักนำให้เขาไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอกุศล และตัวเขาเองก็ไม่ได้มีสติปัญญามากพอที่จะแยกแยะหรือต่อต้านอำนาจอกุศลนั้น เขาจึงคล้อยตามอำนาจฝ่ายต่ำ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ตอนที่รู้สึกเข้าใจแบบนี้เกิดขึ้นเพียงแวบเดียวเท่านั้น และทำให้เข้าใจความประพฤติคนอื่นโดยเช่นกัน ไม่ทราบว่าตอนที่หนูแวบมานั้น มีตรงไหนที่ผิดไปหรือไม่คะ ?
ตอบ : มี...ผิดตั้งแต่ไปเสือกเรื่องของชาวบ้านเขาแล้ว..!

ถาม : แต่ว่าตอนที่เราเข้าใจ แล้วคำตอบทุกอย่างแวบออกมา ถูกต้องแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดจากกุศลหรืออกุศลชักนำทั้งหมด ฉะนั้น..ถึงได้บอกว่า แม้กระทั่งตัวเราก็อย่าทำให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษต่อผู้อื่น เพราะมีแต่จะสร้างกรรมไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ในเมื่อเข้าใจแล้วจะได้ไม่ไปยุ่งกับชาวบ้านเขาอีก ไม่อย่างนั้นเขาอยู่ในนรกแล้ว เราไปโกรธเขาก็ถือว่าลงไปกับเขาด้วย

ถาม : ไม่ทราบว่าหนูเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ว่าเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลของทุกคน ที่ได้กระทำ คิด หรือพูด ออกไปนั้น อยู่บนพื้นฐานของคำว่า "ต้องการสุข หลุดพ้นจากทุกข์" จึงทำให้การแสดงออกของเขาเป็นไปตามนั้น ซึ่งการหลุดพ้นจากทุกข์และต้องการสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป็นไปตามสติปัญญา และเป็นไปตามลำดับขั้น เช่น คนที่กินเหล้าเพราะคิดว่าเหล้านั้นทำให้เขามีความสุขได้ชั่วขณะ คนที่มีแฟน เพราะคิดว่าการที่เขาเหงา ไม่มีใคร นั่นคือความทุกข์ จึงต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์นั้น โดยหาใครมาช่วยบรรเทาความทุกข์ออกไป หรืออย่างนักปฏิบัติธรรม คิดว่าการพึ่งคำสอนของพระ คือการทำให้เขาหลุดพ้นจากทุกข์ไปสู่ความสุขได้ ซึ่งเป็นไปตามลำดับขั้น ถ้าเป็นไปตามเหตุผลนี้ ทุกคนก็อยู่บนพื้นฐานเดียวกันหมด ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ระวังไว้ให้มากที่สุด ตอนนี้กำลังฟุ้งสุดขีด ทุกอย่างที่คิดจะสมเหตุสมผลไปหมด แต่ไม่มีเรื่องไหนช่วยให้ตัวเองพ้นทุกข์เลย กลายเป็นว่าเขาหลอกให้เราคิดกว้างออกไป ๆ จนออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ แล้วลืมไปว่าตัวเองก็ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ มัวแต่ไปเพลิดเพลินอยู่กับความคิดประเภทนี้

เถรี
01-11-2013, 06:26
ถาม : มีหลายครั้งที่หนูแวบขึ้นมาด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว ว่าตอนที่เราโกรธนั้นมีสาเหตุมาจากตัณหา ก็คือ อยากและไม่อยาก เช่น คนนี้ทำงานไม่ดี บกพร่อง ทำให้เราเกิดความหงุดหงิดขุ่นเคือง ซึ่งตอนที่หงุดหงิดนั้นแหละแวบเห็นมาว่า ที่แท้เรา "อยาก" ให้งานออกมาดี เขาไม่เป็นตามใจเรา เราจึงโกรธ หรือคนนี้พูดจาไม่ดีกับเรา เราโกรธ ไม่พอใจ เหตุผลก็คือ เรามีความปรารถนาลึก ๆ "อยาก" ให้เขาพูดดี คิดดี ทำดีกับเรา ซึ่งเหตุผลทั้งหลายมาจากตัวเราทั้งสิ้น เป็นความอยากและไม่อยากของเรา ไปโทษเขาไม่ได้เลย และเราก็ไม่ยอมรับด้วยว่า เราไปบังคับให้คนอื่นอยากเป็นหรือทำตามใจเราไม่ได้ ตรงนี้เห็นในช่วงระยะเวลาไม่กี่วินาที และก็ทำให้เกิดความรู้สึกไม่รู้จะโกรธใครไปทำไม เพราะความผิดก็อยู่ที่ตัวเราเองนี่ อยากจะถามว่าเวลาที่เขาดับความโกรธกันแบบนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าเห็นจริง เกิดความเบื่อหน่าย ก็จะถอนกำลังใจจากจุดนั้นมา ไม่ไปสร้างสาเหตุนั้นอีก ความทุกข์ก็จะไม่เกิด ไม่ใช่รู้เฉย ๆ ส่วนใหญ่ที่ว่ามา เขาหลอกให้เราคิด รู้ไปเรื่อย ๆ แล้วหาจุดลงไม่ได้

ถาม : มีวันหนึ่งหนูนั่งสมาธิ แล้วเห็นภาพนิมิตเป็นก้อนเนื้อ หลังจากนอนตื่นขึ้นมา ภาพนั้นก็ยังอยู่ในใจ และอยู่มาหลายวัน เห็นคนก็เป็นแค่ก้อนเนื้อ ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น รู้สึกแค่ว่าภาพนั้นเป็นภาพจริง ก็เลยทำให้ความสำคัญกับรูปร่างวัตถุ สิ่งของ หรือคนนั้นลดลง ระยะเวลาการคิดหรือสนใจหดสั้นลง จะว่าเป็นคนความจำสั้นก็ไม่เชิง เพียงแค่ขี้เกียจคิด มองเห็นรับรู้อะไรก็แค่ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น ไม่ต้องการคิดอะไรเลย เหมือนเป็นคนโรคกลัวการคิด จะคิดอะไรต่อก็จะเกิดอาการชะงัก หยุดกึก แล้วทุกอย่างรอบกายก็คล้ายดับวูบลง ตรงนี้อาการมากไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ยังไม่มากพอ ต้องเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ แล้วก็รู้ด้วยว่าถ้าเราคิดแล้วจะเกิดโทษอย่างไร ในเมื่อเห็นอย่างนั้นก็เลยเลิก เมื่อเราไม่สร้างเหตุ ความทุกข์ต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา

ถาม : เมื่อก่อนคิดว่าชีวิตนักปฏิบัติ คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ใครทำได้คนนั้นก็เก่ง เป็นผู้มีความพิเศษกว่าผู้อื่น แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ยิ่งทำไป ๆ กลับเป็นตรงกันข้าม คือ ตัวหดเล็กลง ๆ แทนที่จะใหญ่ขึ้น กลายเป็นว่า ความสำคัญในตนเองน้อย ๆ ลง ถ้าไม่มีตัวตนเลยยิ่งดี ตรงนี้เป็นวิถีทางที่ถูกใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถูกในระยะนี้ ต่อไปที่ถูกกว่านี้ยังมีอีก ถ้าคลำผิดกลายเป็นพิษละก็ คราวนี้จะไปกันใหญ่เลย

ถาม : เฉลยทางระยะยาวได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้...ต้องบอกทีละช่วง ไม่อย่างนั้นพูดไปก็เท่านั้น คนไม่เคยไปเชียงใหม่ พอบอกว่าเชียงใหม่หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ไปจินตนาการเอง ท้ายสุดฝากบอกคนถามด้วยว่า มาถามเอง อุตส่าห์โผล่หน้าไปหาแล้ว เสือกวิ่งหนีอีก..!

เถรี
01-11-2013, 06:27
สำคัญที่สุดตรงที่บอกไปว่า ในช่วงนี้กำลังโดนหลอกให้ฟุ้ง เป็นการฟุ้งในด้านดี แต่จะหาทางลงไม่ได้ แล้วเราเองก็ไปคิดว่าได้อะไรมากมายมหาศาล ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลไปหมด แต่ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ไม่มีสักเรื่องเดียวที่ช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้เลย เหมือนกับหลอกให้เห็นเงาในน้ำ พอถึงเวลาเอื้อมมือไปก็แตกกระจายหมด แล้วเราก็จะเสียเวลาอยู่ตรงจุดนั้น โดยไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น นักปฏิบัติทุกคนมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าโดนหลอกให้เสียเวลา ก็จะเป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะว่าความจริงใกล้ประตูมากแล้ว อาตมาเองก็เคยโดนมาก่อน

อาตมาถึงเคยบอกว่า มารกับความดีท้ายสุดก้าวซ้อนรอยกันมา ขี่คอมากับความดีเลย เหลือเพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้นแหละ ที่จะรอดหรือไม่รอด จะเลี้ยวลงหรือจะตะกายขึ้น ถ้าทำ ๆ ไปมาถึงตรงจุดนี้ ก็จะเข้าใจว่าที่อาตมาพูดหมายถึงอะไร เขาสามารถหลอกเราได้ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องดีและไม่ดี โดยเฉพาะในเรื่องดี เราไปนึกตรองดูด้วยปัญญาสั้น ๆ เห็นว่าดี แต่ความจริงเขาหลอกให้เราติดดีก็มี เพลิดเพลินกับความดี แล้วมัวไปติดอยู่ตรงนั้น ไปเพลินอยู่ตรงนั้น ท้ายสุดก็ไม่ได้ไปสู่จุดหมายที่ตัวเองต้องการ

เถรี
01-11-2013, 06:31
ถาม : อย่างตอนเช้าฟังเสียงธรรมะ เหมือนกับเราฟังเพลง ไม่ได้พิจารณาหรือไม่ได้เอาความหมายอะไรเลย ดีหรือไม่ดีคะ ?
ตอบ :ได้อย่างนั้นก็ดี เพราะอย่างน้อยใจก็ยังเกาะความดีอยู่ เพราะจิตมีสภาพจำ เคยทำอะไรถึงเวลาก็ทำอย่างนั้น ต้องบังคับให้ทำในด้านดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะเผลอทำในด้านที่ไม่ดี

ถาม : ไม่ได้รู้ความหมายสักเท่าไรค่ะ
ตอบ : ไม่เป็นไร...เราแค่รู้ว่าเป็นบทสวด บทเทศน์ ใจเราเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว

เถรี
01-11-2013, 10:08
ถาม : เวลาจับภาพพระ จะทราบได้อย่างไรว่าตอนนี้เป็นฌาน ๑ , ๒ , ๓ , ๔ ครับ ?
ตอบ : สังเกตดูลมหายใจเข้าออกของตัวเอง ถ้าใจจดจ่ออยู่กับภาพพระอย่างเดียว ลมหายใจเข้าออกยังมีอยู่เพียงแต่เบามาก ก็อยู่ในปฐมฌาน หลังจากนั้นภาพพระจะชัดขึ้น ๆ ถ้าภาพพระขาวเต็มระดับจะเป็นฌาน ๔ แต่ให้สังเกตอาการอื่นควบไปด้วย ถ้าเราไม่ชำนาญจะสังเกตยาก

ถาม : แล้วสีขององค์พระ ประโยชน์ต่อไปที่จะสลับฌานครับ ?
ตอบ : ถ้าเราเองจะเข้าถึงจริง ๆ แล้ว เราจะรู้ว่าแต่ละระดับอารมณ์จะเป็นอย่างไร แล้วก็สลับตามนั้นเลย

เถรี
01-11-2013, 10:14
ถาม : ทำสมาธิแล้วจะรู้สึกแน่น ?
ตอบ : เป็นอาการปกติของสมาธิจ้ะ เมื่อกำลังใจเริ่มทรงตัว จะบีบแน่นมาทุกทิศทุกทาง บางทีรู้สึกเหมือนโดนมัดแน่น หรือแข็งจนเป็นหิน แต่ส่วนใหญ่จะไปกลัวแล้วก็เลิก จึงเข้าไม่ถึงสมาธิลึก ๆ สักที

ถาม : ภาวนาเข้าไปแล้วแน่นทุกที ๆ ?
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป ตามดูไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไปกลัวอยู่ ไปสนใจ หรือไปหวาดระแวงอยู่ สมาธิก็ทรงไม่ได้สักที ก็ติดอยู่แค่นั้น

เถรี
01-11-2013, 10:24
ถาม : พระนาคปรก.... ?
ตอบ : ไม่มีอะไรจ้ะ ศิลปะขอมสร้างไปอย่างนั้นเอง อาตมาเองได้รับการประทานมาจากหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศองค์หนึ่ง ท่านบอกว่า "คุณควรจะมีพระอย่างนี้ไว้ใช้ อยู่ป่าอยู่ดงจะได้ปลอดภัย" พอดีจะสร้างพระพุทธรูปฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ถ้าจะสร้างก็ควรจะสร้างพระนาคปรก เพราะอยู่ในลักษณะที่ปกป้องพระพุทธศาสนา

ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็มานึกว่าเราจะเอาพระองค์ไหนเป็นต้นแบบ ก็มานึกได้ว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านให้มา เลยเอาองค์นั้นเป็นต้นแบบ ทำไปแล้ว หมดเกลี้ยงไปแล้ว มีหลายท่านบอกว่าอยากได้นาคไทยบ้าง ก็เลยมาทำนาคไทยอีกรุ่นหนึ่ง

เถรี
01-11-2013, 11:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาอาตมาไปไหนแล้วไม่ค่อยอยากบอกใคร เพราะว่าคนไปเยอะแล้วรำคาญ ยิ่งถ้าไปมาก ๆ แล้วเป็นงานที่เนื่องด้วยตัวเอง ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของเขา การไปมาก ๆ เท่ากับว่าเป็นภาระ"

เถรี
01-11-2013, 11:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ ปีที่แล้วงานมั่วมาก เพราะว่าคนรับผิดชอบไม่เป็นงาน ไม่เป็นงานแล้วการแบ่งงานยังหาผู้เสียสละไม่ได้ ก็เลยพลาดตั้งแต่ทางเข้าเลย ควรจะมีคนไปดูแลตรงทางเข้า ทางแยก ทางเลี้ยวทุกแยกไว้ จะได้อำนวยความสะดวกให้เขาได้ มาปีนี้ดีขึ้น เพราะบอกแล้วว่าถ้าครูบาท่านออกมาแล้วให้แห่ไปเลย ถ้านั่งอยู่รอแห่ก็ไม่ได้แห่หรอก

แต่ก็ยังมีปัญหาในเรื่องที่จอดรถ อาตมาจอดรถจ่อถนนไว้ มีพวกมักง่ายมาถึงก็จอดปิดหน้าไว้เลย แทนที่จะปลดเบรกมือไว้ก็ดันเข้าเบรกมือไว้อีก เข้าเบรกมือไม่พอ ยังเข้าเกียร์ไว้อีกด้วย ประกาศแล้วประกาศอีก กำลังกะ ๆ อยู่ว่า ถ้าประกาศครั้งที่ ๔ เมื่อไร จะช่วยดันลงข้างทางไปเลย ดีที่มาขยับให้

ปีนี้ลำบากตรงที่ว่าฝนตก มรสุมเข้าพอดี แล้วก็ขบวนเสลี่ยงที่แห่นั้น เสลี่ยงที่อาตมานั่งมีปัญหาที่สุด คนหาเสลี่ยงมาแสดงว่าไม่เคยแบกเอง ไปเอาเสลี่ยงที่เป็นคานไม้สี่เหลี่ยมมา โอ้โห..คนแบกโดนกดเจ็บไหล่ตายชักเลย เสลี่ยงควรจะเป็นไม้กลม ๆ ถ้าเป็นไปได้ให้หาผ้ารองมาด้วย กว่าจะเดินครบรอบนี่ สงสารทหารเลย"

เถรี
01-11-2013, 11:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเองไม่นิยมเอารถส่วนตัวไปไหน เพราะหาที่จอดรถลำบาก เวลาไปงานที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ส่วนใหญ่ไปรถแท็กซี่ เมื่องานสวดพระคาถาเงินล้านที่เซ็นทรัลเวิลด์ก็ไปรถไฟฟ้า บางทีเพื่อนพระท่านถามว่า "ทำไมไม่เอารถมา ?" ก็บอกไปว่าเอารถไป ค่าใช้จ่ายก็ใกล้เคียงกับรถแท็กซี่ ซ้ำยังต้องห่วงคนขับรถอีกคนหนึ่ง ว่าจะกินอย่างไร จะอยู่อย่างไร แล้วที่จอดก็หายาก ถ้าไปเฉี่ยวไปชนก็ซวยหนักเข้าไปอีก ลงจากแท็กซี่ได้ก็ไปเลย สบายกว่ากันเยอะ เขาก็มองว่าอาตมาเพี้ยน คิดไม่เหมือนชาวบ้าน

อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิท่านว่า "อาจารย์เล็ก ทำไมไม่เอารถดี ๆ มาใช้บ้างวะ ?" "แล้วจะมีประโยชน์อะไรละครับ ผมนั่งรถสองแถว เขาก็ว่าอาจารย์เล็กรวย หลวงพ่อนั่งเบนซ์ เขาก็รู้ว่าหลวงพ่อยืมเงินผมเติมน้ำมัน..!" สนิทกันเลยว่าแรง ๆ ได้"

เถรี
01-11-2013, 12:04
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่ประเทศจีน มีเด็กผู้ชายอายุ ๒ ขวบท้อง แม่ก็สงสัยว่าลูกเป็นท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องมานหรือเปล่า ? เพราะท้องโตขึ้น ๆ ท้ายสุดก็โตจนหายใจลำบาก เลยเอาไปหาหมอ หมอเอ็กซ์เรย์ดู ปรากฏว่ามีเด็กอยู่ในท้อง หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้ว ปรากฏว่าเป็นฝาแฝดของเด็กคนนั้นเอง เพียงแต่ฝาแฝดไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ไปอยู่ในท้อง

เขาว่าคงจะเป็นรายแรกและรายเดียวของโลก จำเป็นที่จะต้องผ่าตัด แต่ก่อนผ่าตัดเขาก็เอ็กซ์เรย์รอบเลย ดูว่ามีส่วนไหนติดอยู่กับอวัยวะสำคัญบ้าง จะได้ระมัดระวังในการผ่าตัด เขาบอกว่าน่าจะเป็นรายแรกในโลกที่ปรากฏขึ้น เพราะปกติฝาแฝดจะติดอยู่ข้างนอก มีบางรายเหมือนกันที่อยู่ข้างนอกครึ่งตัว ติดอยู่ข้างในครึ่งตัว แล้วส่วนที่อยู่ข้างในก็ฝ่อไปเฉย ๆ แต่นี่ท้องโตขึ้นเรื่อย ๆ จนเด็ก ๒ ขวบแล้ว"

ถาม : เป็นกรรมแบบไหนคะ ?
ตอบ : อธิษฐานว่าจะไม่พรากจากกัน มีใครอธิษฐานแบบนี้ไหม ? เกิดกี่ชาติเราจะไม่พรากจากกัน จึงติดกันเป็นตัวเดียวเลย เหลือเชื่อจริง ๆ ว่าคำอธิษฐานจะมีผลขนาดนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมวิบากอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ไม่พึงคิด ว่าทำไมถึงปรุงแต่งได้ขนาดนั้น ไปอธิษฐานว่าเกิดชาติใหม่เราจะไม่พรากจากกัน คงจะรักเธอปานจะกลืนกินด้วย จึงไปอยู่ในท้องเสียเลย

เถรี
01-11-2013, 12:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงตั้งแต่วันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จะมีนิทรรศการ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่วัดบวรนิเวศวิหารจะเปิดอาคารสำคัญให้เข้าไปชมนิทรรศการและกราบไหว้พระสำคัญได้ ใครมีเวลาว่างก็แวะไปหน่อย เพราะว่าบางสถานที่ในวัด ร้อยวันพันปีถึงจะเปิดให้ชมได้ อย่างเช่น อุโบสถที่มีพระพุทธชินสีห์อยู่ เปิดเฉพาะวันพระ ถ้าเป็นพระศาสดาเปิดวันออกพรรษาปีละครั้ง แล้วต้องไปช่วงบ่ายด้วย เพราะว่าช่วงเช้าเจ้าใหญ่นายโตหรือเชื้อพระวงศ์ท่านไปกราบพระกัน

ถ้าเป็นพระกริ่งปวเรศ อาตมาเพิ่งจะได้เข้าไปดู ๒ ครั้งเท่านั้นคือ ตอนเขาฉลอง ๙๐ ปีสมเด็จพระสังฆราช กับ ๒๐๐ ปี ในหลวงรัชกาลที่ ๔ แม้กระทั่งพระไพรีพินาศ ถ้าไม่ใช่โอกาสสำคัญจริง ๆ เขาก็ไม่เปิดให้ขึ้น ได้แต่กราบอยู่ข้างล่าง ถ้าเขาเปิดตึก จปร.ให้ก็มีโอกาสได้ชมพระกริ่งปวเรศด้วย นิทรรศการส่วนใหญ่จะจัดที่ตึกมนุษยนาคมานพ ตรงข้าง ๆ ลานจอดรถ ก็เข้าไปดูข้างใน อาตมาดูมา ๓ - ๔ รอบแล้ว เนื้อหาคล้าย ๆ เดิม อาจจะมีรายละเอียดอื่นเพิ่มขึ้น งานนี้ก็เลยไม่ได้ไป

โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรหลายท่านอยากจะเห็น ในชีวิตนี้ขอดูสักครั้งหนึ่ง คือพัดงาแฉกประดับพลอย อาตมาดูมา ๓ ครั้งแล้ว ถ่ายรูปไว้ด้วย พัดนี้เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (บุญศรี บุรณศิริ) สร้างขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานแด่สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่มาภายหลังกำหนดให้เป็นพัดประจำองค์ของเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ปัจจุบันนี้เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต คือสมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร เพราะว่าก่อนหน้านี้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติ ก็แปลว่าสองสมัยติดกันแล้ว พัดก็เลยเหมือนกับเป็นสมบัติของวัดบวรนิเวศวิหารไปโดยปริยาย

สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ก็เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร มาถึงสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็เป็นเจ้าอาวาสไล่กันมา ฉะนั้น..พัดนี้ไม่ค่อยจะหลุดไปจากวัดบวรฯ หรอก

แกะสลักจากงาทีละชิ้น ๆ แล้วต่อกันขึ้นมาเป็นรูป ฝีมือละเอียดยิบเลย จะได้รู้ว่าฝีมือช่างสิบหมู่นั้นขนาดไหน แล้วยังมีพานแกะสลักจากงาช้าง ใช้งาช้างแกะทีละชิ้น ดัดโค้งแล้วประกอบต่อ ๆ กันเป็นรูปพาน มีข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นของส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน ๆ ที่เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรฯ อยู่หลายต่อหลายชิ้น ไปดูกันให้ได้

เครื่องชุดกระ เดี๋ยวนี้กระก็หายากมาก ๆ ถึงขนาดมาทำเป็นจอกน้ำล้างพระพักตร์ คิดดูว่าจะต้องใช้กระใหญ่ขนาดไหน กระดีอยู่อย่างว่า ถึงเวลาแล้วใช้ความร้อนเข้าช่วยนิดหน่อย สามารถดัดให้เปลี่ยนทรงได้ จะว่าไปแล้วก็คือเกล็ดเต่า ถึงเวลาก็หลุดเป็นเกล็ด อาตมาเคยไปหาถึงเกาะสิเหร่ เอาไปให้บ้านจ่าตุ่มทำมีดให้ ไปถามหาซื้อ แต่ละคนมองหน้าด้วยความระแวงว่าเป็นป่าไม้หรือเปล่า ป่าไม้คงไม่ลงทุนปลอมมาเป็นพระหรอก

เกล็ดพวกนี้ถ้าถึงเวลาจะหลุดจากกระดองเอง แต่จะบาง ถ้าต้องการหนา ๆ ก็ต้องเล่นจากกระดองเลย ก็แปลว่าต้องทำให้ตาย เต่ากระ เต่าตนุ เต่ามะเฟือง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ ๑ มีไว้ในครอบครองไม่ได้ มีไว้เพื่อศึกษาได้ แต่ได้ตัวเดียว ส่วนใหญ่ที่ไปถามหา ก็มีแต่ที่หลุดลอยน้ำมา"

เถรี
01-11-2013, 20:29
ถาม : ช่วยดูให้หน่อย พระองค์นี้มีส่วนเกินมาครับ
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ บางองค์เวลาเขาฉีดขี้ผึ้งจะมีส่วนเกินติดมา ถ้าคนทั่ว ๆ ไป เขาเรียกว่า "เนื้องอก" ถือว่างอกเงยขึ้นมา กลายเป็นแสวงหากันไปอีก แสดงว่าเกินดีกว่าขาด

เถรี
01-11-2013, 20:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าท้องเสียเพราะมาลาเรียลงกระเพาะ ถ่ายจนหมดสภาพเลย เมื่อกลางวันฉันเพลเสร็จว่าจะนอนภาวนา ดันตัดหลับไปเฉยเลย เพลียจัด..เดี๋ยวตอนเย็นต้องไปใช้หนี้คืน เพราะว่ายังภาวนาไม่ครบ

เรื่องของการภาวนา อาตมาจะมีระเบียบของตัวเองที่เคร่งครัดมาก ว่าแต่ละวันต้องทำอย่างน้อยเท่านี้ ถ้าเกินนั้นถือว่ากำไร แต่วันนี้อย่างน้อยยังไม่ได้เลย เดี๋ยวตอนเย็นต้องไปต่อ ว่าจะเอาตอนกลางวันครึ่งชั่วโมง โดนตัดหลับไป ตอนหมดสภาพร่างกายจะบังคับได้ยาก"

เถรี
01-11-2013, 20:42
ถาม : ฌานกับญาณ แตกต่างอย่างไรคะ ?
ตอบ : ฌานคือสมาธิ เมื่อสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นแล้ว หลายท่านเอากำลังของสมาธิไปใช้รู้ในเรื่องต่าง ๆ เขาเรียกว่าญาณ ฉะนั้น..ฌานเป็นกำลังสมาธิ ญาณเป็นการรู้โดยอาศัยกำลังสมาธินั้น

ถาม : แล้วจะตัดกิเลสได้ไหมคะ ?
ตอบ : ทำไมจะตัดไม่ได้ ถ้าทรงฌาน รัก โลภ โกรธ หลง เกิดได้ที่ไหนเล่า ?

ถาม : เอาสมาธิไปกดไว้ ?
ตอบ : แสดงว่าทำไม่เป็น การพิจารณาวิปัสสนาญาณ ถ้าไม่มีกำลังฌานสนับสนุนก็ตัดกิเลสไม่ได้ การจะตัดกิเลสต้องมีอาวุธกับกำลัง อาวุธคือปัญญา กำลังคือสมาธิก็คือฌาน ถ้ามีปัญญาไม่มีสมาธิ ก็เหมือนกับคนมีอาวุธคมกล้าอยู่ในมือ แต่ไม่มีแรง ยกไม่ไหว ถ้ามีสมาธิแต่ไม่มีปัญญา ก็เหมือนกับคนมีกำลังแต่ไม่มีอาวุธ ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ต้องมีทั้งคู่ ถ้าใครบอกว่ามีฌานแต่ตัดกิเลสไม่ได้ แสดงว่าทำไม่เป็น

แล้วอย่าไปเถียงกันอีกนะ ต่างคนต่างไม่รู้ ก็เถียงกันไม่จบ พระพุทธเจ้าท่านเรียก วิวาทาธิกรณ์ เถียงกันไม่รู้จบ การเถียงกันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรรม สิ่งนี้เป็นวินัย สิ่งนั้นไม่ใช่ธรรม สิ่งนี้ไม่ใช่วินัย เรียกว่าวิวาทาธิกรณ์ กิจทั้งปวงที่สงฆ์พึงกระทำ เรียกว่ากิจจาธิกรณ์ อาบัติทั้งปวงเรียกว่า อาปัตตาธิกรณ์ คนอื่นเขาท่องปาฏิโมกข์ภาษาบาลี แต่อาตมาปาฏิโมกข์ท่องภาษาไทย

ทั้งหมดจัดว่าเป็นธรรม อยู่ที่ว่าเราเข้าใจหรือเปล่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศล อะกุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศล อัพยากะตา ธัมมา ธรรมที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศลและไม่เป็นทั้งอกุศล เหมือนกับคนนอนหลับ สภาพจิตไม่รับรู้แล้ว กุศลก็ไม่สามารถจะปรุงได้ อกุศลก็ไม่สามารถจะปรุงได้ ก็เป็นอัพยากฤต เพราะฉะนั้น..ทุกอย่างเป็นธรรมหมด อยู่ที่ว่าเราคลำถึงไหม ? เมื่อเป็นธรรมทั้งนั้น แล้วเราเอาไปเถียงกัน ก็กลายเป็นวิวาทาธิกรณ์

เถรี
02-11-2013, 11:28
ถาม : ผมเอาดอกบัวมา จะมีหลาน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : เอาไปไกล ๆ เลย นั่นใช้ได้ที่ไหน เขาใช้บัวหลวงแบบแหลม ๆ แบบดอกสั้น ๆ ป้อม ๆ นี่ใช้ไม่ได้ ลองย่อง ๆ ไปดูที่ปากคลองตลาด นาน ๆ ก็หลุดมาที หรือไม่ก็ลงนาไปเก็บบัวเองเลย

ยังโชคดีนะ..ที่อาตมาไม่ได้เรียนวิชาสับกระดานรักษาโรคมาด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเฮงกว่านี้อีก ตอนที่มีเรียนไม่ใช่ว่าไม่อยากเรียน แต่คิดว่าถ้าหลวงปู่มหาอำพันปล่อยวิชาหมดแล้วท่านจะไปเลย ก็พยายามจะขยักเอาไว้ ปรากฏว่าท่านก็ไปทั้งอย่างนั้นนั่นแหละ ถ้าเรียนมา จะต้องรักษาตัวเองให้ได้ผลก่อน ถ้ารักษาตัวเองไม่ได้ผลจะไม่รักษาคนอื่น

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20423&stc=1&d=1383370405
แช่น้ำมนต์แล้ว ยันต์จะนูนขึ้นมาแบบนี้

พวกวิชาโบราณ ๆ อย่างสับกระดานรักษาโรค หรือไม่ก็วิชาที่เหยียบไฟ เหยียบหัวจอบเผาแดง ๆ แล้วก็มาเหยียบคน ก่อนหน้านี้ก็อยากเรียนไปหมด วิชาที่น่าเรียนที่สุดเป็นของหลวงลุงวงศ์ที่อยุธยา แต่ไม่ได้เรียน เพราะว่าช่วงนั้นไม่มีเวลาไป วิชาของท่านใช้กับมีดหมอ เวลาจารมีดหมอเสร็จแล้วทำน้ำมนต์ แช่มีดหมอลงไป ตัวอักษรจะนูนขึ้นมาหมด เนื้อเหล็กนูนได้อย่างไรก็ไม่รู้ นูนเหมือนตัวหล่อเลย

เพียงแต่ที่รู้ชัดว่าไม่ใช่ตัวหล่อ เพราะเป็นลายมือของเราเอง มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่นั่นแหละ หลวงพ่อวิชาอีกคนหนึ่ง เดี๋ยวก็คงตายโดยไม่ได้เรียน หลวงพ่อวิชาท่านเสกอะไรก็เหนียวไปหมด ยิงไม่ออก ท่านให้เอาบายศรีไปขอเรียน จนป่านนี้ยังไม่ได้ไปเลย ๓๐ ปีเข้าไปแล้ว ตอนนั้นท่านยังอยู่วัดป่าหิมพานต์ที่ลานสัก ช่วงนั้นพวกคอมมิวนิสต์มีเยอะ ท่านโดนแอบยิงอยู่ทุกวัน พวกนั้นยิงเท่าไรก็ยิงไม่ออกสักที

เถรี
02-11-2013, 11:36
ด้านตะวันออก รุ่นทัน ๆ พวกเราตอนนั้นก็หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิบผลิวนาราม หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ รุ่นหลวงปู่คร่ำนี่มาดังทีหลัง ท่านเหล่านั้นดังก่อนมานาน

หลวงพ่อวงศ์เอาขมิ้นชันลงกระหม่อมแม่ ติดถึงลูกในท้องเลย ส่วนใหญ่คนท้องจึงให้ท่านลงให้ ลงให้แม่ ลูกเกิดมาติดหัวมาด้วย ในวงการเครื่องราง สิงห์ของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ถือว่าติดอันดับของประเทศ แล้วท่านถือเคล็ดอะไรก็ไม่รู้ สิงห์ของท่านจะแต้มตาสีแดงทุกตัว

เถรี
03-11-2013, 14:46
ถาม : ถ้าตั้งความปรารถนาให้สอบได้ที่ ๑ ?
ตอบ : ตั้งความปรารถนาได้ทุกคน แต่ทำได้ไหมเล่า ?

ถาม : มีวิธีไหมครับ ?
ตอบ : ก็มีหลายอย่าง อย่างแรกก็คือการเรียนอย่างสม่ำเสมอ อย่างที่ ๒ ก็คืออาศัยทิพจักขุญาณช่วย มีไหมละทั้ง ๒ อย่าง ?

ถาม : อย่างแรกพอมีครับ แต่อย่างที่สองนี่ ?
ตอบ : ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ช่วย ภาวนาคาถาสหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิ ภาวนาไว้เป็นประจำ ๆ ทุกวัน ถึงเวลาจะสอบ รับกระดาษคำถามมาคว่ำลงก่อน ตั้งใจนึกขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ช่วยทำข้อสอบได้ถูกต้องและถูกใจคนตรวจด้วย แล้วภาวนาคาถาสัก ๓ จบ พลิกขึ้นมาอ่านคำถามดู ถ้ายังทำได้ไม่หมดให้คว่ำลงว่าใหม่อีก ๗ จบ คราวนี้อยากจะทำอย่างไรก็ลุยไปเลย

ถาม : ภาวนาคาถาปู่พระอินทร์หรือครับ ?
ตอบ : ภาวนาก่อนอ่านหนังสือ ภาวนาหลังอ่านหนังสืออะไรก็ทำไป ทำให้ชิน ถ้าทำไปนาน ๆ จะเกิดทิพจักขุญาณขึ้นมาได้

เถรี
04-11-2013, 17:22
ถาม : ผมสรุปได้แค่สี่อย่าง ผมว่าคงมีมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมเห็นแค่นี้ ถ้าเรารู้ก็ให้เรากำหนดรู้ทุกข์ ถ้าเรารู้ก็มาดูตัวต่อไปว่า ให้เราวาง พอสุดท้ายคือเห็นทุกข์ ถ้าเราวางก็จะว่าง จะเป็นนิโรธ ก็คือดับ แต่วิธีทำก็คืออยู่กับปัจจุบันก็เป็นมรรค หรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : นอกจากคุณอยู่ในปัจจุบันแล้ว ยังต้องสร้างกุศลเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะให้ตนเองมีกำลังที่จะหลุดพ้นไปได้ ช่วงที่การสร้างกุศลของเรานี่แหละ คือศีล สมาธิ ปัญญา

ถาม : จะเริ่มจากตัวไหนก่อน หรือเริ่มจากตัวนี้ก่อน ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วในเรื่องของทุกข์ จะต้องเกิดความทุกข์ขึ้นมาเสียก่อน พอทุกข์จนกระทั่งเข็ด ตราบใดที่ไม่เข็ดเราก็จะไม่ดิ้นรนพ้นทุกข์ ในเมื่อเข็ดเราก็จะเริ่มดู “ทำไมกูถึงทุกข์ ?” นี่คือสมุทัย แล้วถ้าความทุกข์นั้นพ้นไปก็คือ นิโรธ ความสบายเกิดขึ้น เราก็ “เอ๊ะ..ทำไมพอพ้นมาแล้วสบาย ?” ก็จะมองหาทางว่า ทำอย่างไรจะเข้าถึงความสบาย ก็จะมาที่มรรค พระพุทธเจ้าท่านเรียงตามนั้นอย่างนี้เลย คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่เราเองไม่เข้าใจว่าทำไมท่านเรียงอย่างนี้ คราวนี้ก็เหลืออยู่แค่ว่าเราเดินตามมรรคนั้นก็จะจบเลย

ถาม : ก็ต้องทวน ศีล สมาธิ ปัญญา ?
ตอบ : มรรคก็คือศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมรรค ๘ ย่อลงมาก็เหลือแค่นั้น แต่ถ้าคนมีปัญญามาก ๆ จะกระโดดมาลุยตรงนี้สามข้อนี้ อย่างอื่นกองทิ้งไปเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนให้ดูตรงนี้

ถาม : พอมาดูตรงนี้ก็เห็นว่า ที่ทุกข์ในปัจจุบันเพราะปรุงแต่งในสังขาร ?
ตอบ : โดยทั่ว ๆ ไปต้องเริ่มตรงนี้ แต่หลวงพ่อท่านสอนพวกเราเพราะทำมาเยอะ ทุกข์มาเยอะแล้ว หลายต่อหลายชาติ น่าจะเริ่มเข็ดเริ่มจำแล้ว น่าจะฉลาดขึ้น ท่านก็เลยให้ลงตรงนี้

ถาม : ตัวหลังคืออริยสัจ ตัวหน้าคือประโยคสุดท้ายที่หลวงพ่อผมพูดไว้ก่อนเสียว่า "รู้วาง วางอยู่" แต่พอมาจับกลายเป็นตัวนี้ ถ้าวางก็ลงรอยเดียวกันหมด ?
ตอบ : ถ้าท่านไปที่เดียวกันก็ลงรอยเดียวกันหมดนั่นแหละ ถึงได้บอกว่าบางทีท่านพูดคนละเรื่องแต่เป็นเรื่องเดียวกัน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ยอมรับกฎของกรรม” หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า “กายเดียวจิตเดียวก็นิโรธ หลายกายหลายจิตมันยุ่ง” คนละเรื่องไหมเล่า ? แต่ลงที่เดียวกันนั่นแหละ หลวงปู่มหาอำพันท่านก็บอกว่า “อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่เราให้ดีที่สุด” เรื่องเดียวกันหมด เพียงแต่ว่าท่านมาอย่างไร ท่านก็บอกทางอย่างนั้น

เถรี
04-11-2013, 17:53
ถาม : หลวงพ่อจำเนียรบอกว่า กิเลสไม่ต้องฆ่ามัน วางไว้เฉย ๆ เพราะเป็นอนัตตา ?
ตอบ : กิเลสมีอยู่เต็มที่ เราอย่าไปยุ่งกับกิเลสก็พอ ฟืนกองอยู่นั่นแหละ อย่าเอาไฟเข้าไปแหย่ก็พอ ถ้าเราไม่เริ่มตรงไฟ ทุกอย่างจะจบหมดเลย

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะทำได้ครับ ?
ตอบ : ก็สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ในมรรค ๘ นั่นแหละ สติต้องรู้เท่าทัน สมาธิต้องเข้มแข็งพอที่จะหยุดยั้งตัวเอง ปัญญาต้องมีมากที่จะเห็นโทษแล้วก็ปล่อยวาง

ถาม : ไม่ต้องฆ่ากิเลสให้ตายใช่ไหม ?
ตอบ : เสียเวลาไปฆ่าทำไม ? แค่ไม่ไปยุ่งด้วยก็หมดสภาพแล้ว กิเลสก็อยู่ของกิเลส เราก็อยู่ของเรา

ถาม : ที่ท่านบอกว่า ไอ้หนู..เวทนาไม่รู้จักตัวเองหรอก ไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วย เพราะไม่ได้ปรุง
ตอบ : ก็เราไปรับมาเอง

เถรี
04-11-2013, 18:16
ถาม : แสดงว่าที่เขาหลอกให้เรารบกับกิเลสก็ไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เรารบทีไรก็แพ้ทุกทีแหละ จำได้ไหมที่เคยบอกว่า อาตมาลองมาแล้ว ประเภทที่ว่าสู้แค่ตายแล้วตายฟรี ก็เราสู้ผิดนี่ ถึงตายฟรี โอ๊ย..! กว่าจะฉลาดได้ต้องประเภทเลือดตกยางออกมานับไม่ถ้วนนั่นแหละ แล้วท้ายที่สุดก็เห็นว่า กับดักอยู่ตรงหน้า เอ็งดันกระโดดลงไป แล้วก็ไปดิ้นอยู่นั่นแหละ อยู่เฉย ๆ จะเจ็บตัวไหมเล่า ? อยู่เฉย ๆ วัดความอึด ใครจะอึดกว่ากัน ไม่คิด ไม่ปรุง ไม่แต่ง ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รัก ไม่ชัง ดูว่าใครจะอึดกว่ากัน จะยืนระยะได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ถาม : อย่างนี้ก็ไปตกความว่าง และความว่างก็ต้องละ ?
ตอบ : ท้ายสุดจะดีจะชั่วก็ต้องวางหมด

ถาม : แสดงว่าสุญญตาอยู่ในตัวกุศลกรรมหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราก้าวไปถึงจุดไหน ถ้าเราว่างด้วยอำนาจของฌาน รูปฌานก็กดกิเลสลง ถ้าเราว่างด้วยอำนาจของอรูปฌาน อรูปฌานก็ปล่อยวางได้ส่วนหนึ่ง จนกว่าเราจะว่างเพราะไม่เอาอะไรเลย

เรื่องอนัตตา สุญญตา ต้องดูคนพูดว่าคนพูดอยู่ในระดับไหน แบบเดียวกับธรรมดาของปุถุชนก็ “ช่างโคตรพ่อโคตรแม่มัน” ธรรมดาของผู้ทรงฌานอาจจะ “ช่างแม่มัน” ธรรมดาของพระโสดาบันก็ “ช่างหัวมัน” แต่ธรรมดาของพระอรหันต์ก็ “ช่างมัน” กองไปแล้ว กูไม่ยุ่งกับมึงหรอก เพราะฉะนั้น..ต้องดูว่าคนพูดอยู่ระดับไหน ชมสมบัติเศรษฐีแล้วก็รีบทำตัวเองให้รวยด้วย !

ถาม : จริง ๆ แล้ว พระก็ไม่ได้เห็นว่ามารเป็นศัตรู ?
ตอบ : อาตมาไม่เห็นเขาเป็นศัตรูมานานแล้ว นั่นแหละสุดยอดบรมครูเลย ถ้าไม่มีการทดสอบแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราทำข้อสอบได้หรือเปล่า ?

เถรี
04-11-2013, 18:23
ถาม : ไปงานศพแล้วผีเกาะตามมา ?
ตอบ : บางคนอยู่ในวาระอกุศลกรรมแทรก แล้วบางทีก็ไม่ใช่คนตาย แต่เป็นเปรตหรืออสุรกายบริเวณนั้นเกาะมาแทน

ถาม : ทำอย่างไรให้เขาไป ?
ตอบ : เชิญเขาไปดี ๆ จะทำบุญทำทานอะไรให้เขาก็ตกลงกัน

ถาม : แล้วเขาเข้ามาในบ้าน ?
ตอบ : ถ้าเป็นวาระอกุศลกรรมแทรก จะเป็นโอกาสให้เขาเกาะได้ แล้วถ้าเขามากับเรา พระภูมิเจ้าที่ก็ไม่กัน เพราะถือว่ามากับเจ้าของบ้าน

ถาม : แล้วถ้าไม่ไป ?
ตอบ : ไม่ไปก็อยู่ด้วยกัน มีอะไรช่วยกันด้วยก็แล้วกัน อย่าเกาะเฉย ๆ หรือไม่ก็ขู่ “ยังอยู่ใช่ไหม ? จะขอหวยทุกวันเลย” พวกผีกลัวโดนขอหวย เดี๋ยวก็ไปเอง

ถาม : จริงหรือคะ ?
ตอบ : พูดจริง ผีกลัวโดนขอหวย เดี๋ยวเขาเครียดก็ไปเองแหละ

เถรี
04-11-2013, 18:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "คณะของท่านอาจารย์วิชชุ ทำงานอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาตั้งแต่บุคคลในคณะ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ยังเป็นนักศึกษาอยู่ แล้วก็ยืนหยัดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ต้องบอกว่าเป็นผู้ที่มีความจริงจังและสม่ำเสมอดีมาก

การปฏิบัติหน้าที่ยาวนานมา ๒๐ กว่าปีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการกระทบกระทั่งมาสารพัดสารเพ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้นเป็นอย่างสูง สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ว่า ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ประโยคแรกของโอวาทปาฏิโมกข์บอกเลยว่า ต้องอดทน ในพระพุทธศาสนาของเรา ถ้าอดทนจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าทำ ๆ ไปหน่อยหนึ่ง ไม่สำเร็จก็เลิกแล้ว ไม่มีความอดทน ไม่มีความพากเพียรสำเร็จไม่ได้หรอก

ฉะนั้น..คณะของท่านอาจารย์วิชชุถือว่าเป็นบุคคลตัวอย่างได้ เพราะว่ายืนหยัดผ่านระยะเวลาที่ยาวนานมาจนถึงขนาดนี้ ยังสามารถรักษาความมั่นคงเอาไว้ได้ ทำหน้าที่การงานโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ถ้าในสายตาของอาตมาก็ถือว่าเป็นบุคคลตัวอย่างที่พวกเราควรจะทำตาม"

เถรี
04-11-2013, 18:36
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่บ้านเคยเลี้ยงหมาอยู่ตัวหนึ่ง เจ้าตัวนั้นชื่อนิ้ง อาตมาจำความได้ก็เห็นมันแล้ว เจ้านิ้งมาตายตอนอาตมาอายุ ๑๔ ปี ไม่ได้ตายเพราะแก่ ตายเพราะโดนรถชน ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าเป็นคนนี้คงอายุ ๑๒๐ ปี แน่เลย

เรื่องของคนหรือเรื่องของสัตว์ อายุจะยืนยาวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปาณาติบาตเดิม ว่าเคยทำไว้มากหรือเปล่า ? ถ้าทำปาณาติบาตคือฆ่าคนฆ่าสัตว์เอาไว้มาก ก็อายุสั้นพลันตาย บางคนไม่ทันออกจากท้องแม่มาก็ตายแล้ว ถ้าเป็นคนจิตใจมีแต่เมตตา ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ทำร้ายสัตว์อื่น อายุก็มักจะยืนยาว"

เถรี
04-11-2013, 19:20
ถาม : การสวดมนต์ในใจกับการสวดออกเสียงอานิสงส์ต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกัน สวดมนต์ในใจได้วงแคบ สวดมนต์ออกเสียงได้วงกว้างกว่า โดยเฉพาะสำหรับท่านที่รอโมทนา

ถาม : ผมย้ายไปอยู่ที่ดงอิสลาม กลัวเขาหมั่นไส้เอา ?
ตอบ : ทำไมต้องกลัวด้วย ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งต้องดังเข้าไว้ เขาเองไปไหนยังละหมาดวันละ ๕ รอบ ไม่เห็นกลัวใคร แล้วทำไมเราต้องไปกลัวเขาด้วย หมั่นไส้มาก็อัดให้ราบเป็นหน้ากลองไปเลย

ถาม : ผมตัวคนเดียวครับ
ตอบ : ตูก็ตัวคนเดียว ล่อกระจายทั้งซอยมาแล้ว..!

เถรี
04-11-2013, 20:44
ถาม : (เจ็บป่วยแล้วหมอหาสาเหตุโรคไม่เจอ)
ตอบ : ไปบนหลวงพ่อ ๔ องค์หรือหลวงพ่อ ๕ องค์ที่วัดท่าซุง เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยท่านจะถนัดที่สุด มีวิธีการแก้บนอยู่ ๔ - ๕ วิธี ถ้าหนักหนาสาหัสเราก็บวชเณรถวายท่านไปเลย เพราะท่านบอกว่าถ้าหนักมาก ๆ ก็ให้บวชเณร

เถรี
04-11-2013, 20:46
ถาม : (ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้วมีปัญหาติดขัด)
ตอบ : อดข้าวเย็น ๗ วันไหวไหม ? ถ้าไหวให้บนกับพระวิสุทธิเทพ พระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราจุดธูป ๕ ดอกกลางแจ้งก็ได้ ปักแล้วบนกับท่านว่าขอให้งานตรงนี้สำเร็จ แล้วเราจะแก้บนด้วยการรักษาศีล ๘ พร้อมกับเจริญกรรมฐาน ๗ วัน ท่านขอไว้อย่างนั้น ว่าถ้าใครบนท่าน ต้องเล่นของหนักเลย แปลว่าต้องนั่งสมาธิด้วย

คราวนี้ ๗ วันที่ต้องนั่งสมาธิด้วย เราอาจจะนั่งสมาธิเช้าสักชั่วโมงหนึ่ง เย็นสักชั่วโมงหนึ่ง แล้วประคองรักษาอารมณ์ของเราให้อยู่ในด้านดีเข้าไว้ แต่ว่าศีล ๘ ต้องรักษาตลอด น่าจะไหวนะ..ถ้าไหวก็รีบไปจัดการเลย เพราะท่านเคยให้พรไว้ว่า เกี่ยวกับเรื่องของอาชีพหรือการทำมาหากิน ให้บนท่านได้

คนอื่นก็บนได้นะจ๊ะ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องอาชีพหรือหน้าที่การงานให้บนพระวิสุทธิเทพ เพียงแต่ว่าก่อนบนนี่ต้องมั่นใจนะว่าอดข้าวเย็นได้ ถ้าอดไม่ได้นี่ตัวใครตัวมัน โดนเหยียบจมธรณีไม่รู้ด้วย..!

เถรี
04-11-2013, 20:47
ถาม : เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ ๓ ?
ตอบ : ไปลองใช้ยาขมิ้นชันกับหญ้าแพรกดู เอาขมิ้นชันเท่าหัวแม่มือ และหญ้าแพรกหนึ่งกำมือ นำ ๒ อย่างมาตำให้ละเอียด แล้วละลายด้วยน้ำปูนใส กรองให้ได้ ๑ ถ้วยชา กินก่อนอาหารเช้า ๓๐ นาที แปลว่ากินไปแล้วครึ่งชั่วโมงค่อยกินข้าวได้ กินติดต่อกัน ๓ วัน รีบไปทำก่อน เพราะถ้าอาการหนักมากเดี๋ยวจะรักษาไม่ทัน

เถรี
04-11-2013, 20:49
ถาม : เด็กเขาคิดทำแล้วเกิดเป็นกรรมตอนอายุเท่าไรหรือคะ ?
ตอบ : เริ่มตั้งแต่คิดจ้ะ ไม่ใช่เริ่มที่อายุ คิด พูด ทำ ต่อให้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เป็นกรรม เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยทำ เขาเรียก กตัตตากรรม กรรมที่ทำโดยปราศจากเจตนาหนุนเสริม อย่างเช่น เราจับมือเด็ก “ธุพระซะลูก” เด็กเขาก็ไม่รู้หรอก เขาก็ไหว้ตาม บุญกุศลก็เป็นของเขา ไม่ได้นับที่อายุจ้ะ นับที่การกระทำ

ถาม : แล้วที่เขาว่า ๗ ขวบ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ที่ว่า ๗ ขวบนั้นคือเด็กเขามีปัญญามากพอที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง มีโอกาสเข้าถึงมรรคผลได้

เถรี
04-11-2013, 20:51
ถาม : เราคิดไม่ดี ทำไม่ดีกับคนอื่น จะแก้อย่างไรเพราะเราทำไปแล้ว ?
ตอบ : สร้างศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้สูงกว่านี้ไว้ก็แล้วกัน รักษากาย วาจา ใจ ให้ดีไว้ คิดดี พูดดี ทำดีตลอด เดี๋ยวสิ่งดี ๆ ก็คืนมา

ถาม : เรากระทำไปแล้ว ?
ตอบ : ที่แล้วก็แล้วไป ก็เริ่มต้นใหม่

ถาม : ต้องไปขอขมาไหม ?
ตอบ : จะขอขมาก็เอาเถอะ เพียงแต่ว่าให้เริ่มต้นทำสิ่งที่ดี ๆ ไว้

เถรี
05-11-2013, 10:04
ถาม : การบูชาพระ ?
ตอบ : บูชาพระเขาให้เอาไว้ในใจ ก็คือนึกถึงท่านอยู่ตลอด ไม่ใช่แต่ให้กราบไหว้บูชาหรืออาราธนาติดตัว แต่จริง ๆ ก็คือให้เรานึกถึงท่านอยู่ตลอดเวลา

เถรี
05-11-2013, 11:38
พระอาจารย์แจกหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุง "พยายามฝึกให้ถึงหน้าสุดท้ายนะจ๊ะ หน้า ๑๒๗-๑๒๘ เป็นวิปัสสนาธรรมชาติ ที่จะทำให้เราสามารถพิจารณาได้ตลอดเวลา อาตมาได้หนังสือเล่มนี้มาเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ตั้งหน้าตั้งตาฝึกจนถึงปี ๒๕๒๑ ก็เริ่มเห็นหน้าเห็นหลัง ฉะนั้น..พอไปฝึกมโนยิทธิจึงกลายเป็นของง่ายไปเลย

ปี ๒๕๒๑ ฝึกมโนยิทธิ ทดสอบตัวเองอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ หลังจากนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ให้ไปเป็นครูฝึก สอนคนอื่นเขาต่อ แต่ปรากฏว่าบรรดาพี่ป้าน้าอาไม่ค่อยเชื่อขี้หน้า “สอนประสาอะไร สอนใครได้ทุกคน..!”

เถรี
05-11-2013, 11:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรก ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของบุคคล ๒ ท่าน ท่านแรกคือหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเห็นความสำคัญของการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ อุตส่าห์จ้างโปรแกรมเมอร์มาสอนพระ โปรแกรมละสองหมื่นบาท ช่วงนั้นราคาแพงมากเลย ปรากฏว่ามีพระตั้งใจไปเรียนแค่ไม่กี่รูป อาตมาอยากเรียนก็เรียนไม่ได้ เพราะต้องเข้าเวรที่หน้าห้องท่าน ครั้งละ ๖ ชั่วโมงต่อวัน ถ้าเข้าเช้าก็เลิกเที่ยง เข้าเที่ยงก็เลิก ๖ โมงเย็น ก็ไม่มีโอกาสไปเรียน

มาได้รับความเมตตาจากพระน้องก็คือท่านจิตโต ท่านเรียนเสร็จแล้วท่านก็มากดป๊อกแป๊ก ๆ อยู่ตรงหน้าให้ดู อาตมาก็ถามว่าทำอย่างไร ท่านก็สอนให้ แต่ดวงอาตมาเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะคนเขาเชื่อความสามารถ เขาบอกแค่สิบกว่านาทีเสร็จแล้วก็ไปเลย ปล่อยให้ทำเอง ตอนนั้นยังเป็นเวิร์ดจุฬาจอเขียวปี๋ อาตมาก็นั่งพิมพ์งานไปเรื่อย ใช้วิธีคลำเอาเอง

ทุกวันนี้มีโปรแกรมหลายตัวที่อาจารย์คนสอนอาตมาเองใช้ไม่เป็นแล้ว แต่อาตมาใช้คล่องกว่า อาจารย์เขามาถึงก็คลิก ๆ หานั่นหานี่อยู่ตั้งนาน ถามว่าทำไมเขาไม่มาตรงนี้ ? เขาบอกว่าต้องหาก่อน เพราะไม่เคยใช้ แต่พอสอนมาแล้วอาตมาใช้ประจำกลายเป็นคล่องกว่า

พอออกจากวัดท่าซุงมาก็เลิกตั้งแต่ปี ๓๖ พอปี ๔๘ เป็นเจ้าคณะตำบล เขาบังคับให้มาเรียนต่อ อาจารย์ผู้สอนท่านบอกว่าควรจะมีโน้ตบุ๊กไว้ ก็เลยมาคิดว่า “นี่ตูทิ้งมากี่ปีวะ ๑๒ - ๑๓ ปี จะตามทันไหมนี่ ?” ปรากฏว่าเครื่องรุ่นหลังเก่งมากเลย เราทำอะไรผิดเครื่องบอกได้หมด บางอย่างทำผิดซ้ำซ้อนยังด่าด้วย..! ก็เลยสบายใจว่าเครื่องรุ่นใหม่ใช้ง่ายกว่าเยอะ รุ่นเก่าเป็นเวิร์ดจุฬา ถึงเวลาต้องเอาแผ่นดิสก์ใส่เข้าไปก่อนแล้วค่อยรันโปรแกรมทำงาน

ข้อมูลของอดีตที่ผ่านพ้น ๘๐ เรื่อง อาตมาบันทึกไว้ในดิสก์แบบสี่เหลี่ยมรุ่นเก่า ก็สบายใจว่ามีข้อมูลสำรองอยู่แล้ว ที่ไหนได้..พอจะเอาเข้าจริง ๆ ไม่มีเครื่องของใครอ่านได้ ตายละวา..ทำอย่างไรดี ? เห็นทีต้องเริ่มต้นใหม่เขียนใหม่หมดทั้ง ๘๐ เรื่อง ปรากฏว่าลูกศิษย์อุตส่าห์ไปพันทิพย์ ไปค่อย ๆ ตระเวนหา จนในที่สุดเจออยู่ ๑ ร้านที่มีเครื่องอ่านตัวนี้อยู่ จึงให้เขาบันทึกลงซีดีมา ของเราอาตมาตกอยู่หลังเขา ยังใช้ดิสก์แบบสี่เหลี่ยมอยู่ เขาใช้ซีดีกันไปตั้งชาติหนึ่งแล้ว..!"

เถรี
05-11-2013, 12:05
ถาม : หลายวันก่อนผมมีโอกาสได้ไปกราบพระ ท่านมรณภาพแล้วร่างไม่เน่า ๕ ปีแล้วนะครับ ชื่นใจมากครับ ชื่อหลวงปู่เมี้ยน วัดบุญญราศรี กิโลเมตรที่ ๕๓ ถ.บางนา - ตราด เห็นชัดเลยครับ เส้นผมยังเหมือนเดิม
ตอบ : หลายท่านมรภาพแล้วผิวยังสวยกว่าเราอีก ทั้ง ๆ ที่ผ่านไป ๒๐ - ๓๐ ปีแล้ว

ถาม : ทำไมบางวัดถึงขาดช่วงนานมาก รุ่นต่อรุ่น เป็นเพราะว่าท่านไม่ได้สร้างลูกหลานไว้หรือครับ ?
ตอบ : ลูกหลานไม่เอา พยายามทุกอย่างแล้วแต่เขาไม่เอา

เถรี
05-11-2013, 12:10
ถาม : ผมอ่านข่าวเรื่องคนหายไป ๓๐ - ๔๐ ปี แล้วก็กลับมา โดยที่เขาก็ไม่ได้แก่ เขายังมีความรู้สึกว่าเป็นยุคของเขาอยู่ เกิดจากอะไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : พวกนั้นส่วนใหญ่เข้าไปในเขตลับแล เข้าไปไม่กี่วันเอง วันหนึ่งของเขาเท่ากับปีหนึ่งของเรา เข้าไปสักเดือนก็ผ่านไป ๓๐ ปีแล้ว ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเดือนหนึ่ง ออกมาข้างนอกนี่ลูกหลานตายไปแล้ว

ถาม : เขาพลัดหลงเข้าไปโดยบังเอิญใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...ส่วนใหญ่พวกเราจะบังเอิญเข้า

ถาม : เกิดจากอะไรได้บ้าง มิติเปิดหรือครับ ?
ตอบ : เคยมีกรรมเนื่องกันมาอย่างหนึ่ง เขาเปิดให้เข้าอย่างหนึ่ง เกิดภัยธรรมชาติบางอย่างทำให้มิติเปิดออกอย่างหนึ่ง

เถรี
05-11-2013, 12:11
:4672615:เก็บตกเดือนตุลาคมปี ๕๖ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน