PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖


เถรี
23-09-2013, 19:15
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบาย ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกของเดือนกันยายน ซึ่งคาบเกี่ยวกับปลายเดือนสิงหาคม เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคมที่ผ่านมา หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ถึงแก่มรณภาพลง เราจะเห็นได้ว่าแม้แต่บุคคลที่มียศ มีตำแหน่งใหญ่โตถึงปานนั้น มีความสำคัญต่อคณะสงฆ์ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประมุขสงฆ์ ก็ยังถึงแก่มรณภาพลงได้ สมกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น เราเองก็ไม่สามารถที่จะหนีพ้นความตายไปได้เช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีที่จะประกันความเสี่ยง คือเราตายแล้วจะได้ไปสุคติภูมิ ไม่ตกลงสู่อบายภูมิเบื้องต่ำ ก็คือการที่เราจะต้องปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้เข้มข้น จนกระทั่งกำลังของความดีทรงอยู่ในใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะขยับตัวไปด้านไหน ก็มีสติระลึกรู้อยู่ว่า ศีลของเราจะขาด จะบกพร่องหรือไม่ ? มีสมาธิที่ทรงตัว สามารถกดกิเลส คือรัก โลภ โกรธ หลงให้ดับลงได้ชั่วคราวเป็นอย่างน้อย

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะเห็นได้ชัดว่า งานตรงหน้าของเรานั้น คือการชำระศีลทุกสิกขาบทของเรา ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดในศีล ถ้ากระทำดังนี้ได้ ความที่กำลังใจของเราจดจ่อแน่วแน่ คอยระมัดระวังศีลอยู่ ก็จะสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นกับตัวเรา เมื่อเราภาวนาต่อ สมาธิก็จะทรงตัวได้ง่าย

บุคคลที่สมาธิทรงตัว ตั้งแต่ระดับปฐมฌานขึ้นไป กิเลสใหญ่คือรัก โลภ โกรธ หลง จะโดนอำนาจของฌานสมาบัติกดดับลงชั่วคราว จะกลายเป็นผู้ว่างจากการเผาผลาญของกิเลส แม้ว่าเป็นการว่างเว้นเพียงชั่วคราว ก็จะมีความสุขชนิดที่บอกไม่ถูก ทำให้ไม่อิ่ม ไม่เบื่อหน่ายในการปฏิบัติ

ถ้าผู้ใดทำมาถึงตรงจุดนี้ ก็ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของตน ให้อยู่ในกรอบของศีล โดยที่นำกำลังของสมาธิไปควบคุมศีลอีกทีหนึ่ง เมื่อศีลยิ่งบริสุทธิ์ สมาธิก็ยิ่งตั้งมั่น เมื่อสมาธิตั้งมั่น ปัญญาก็จะเกิดได้ง่าย เพราะว่าสภาพจิตผ่องใสจากกิเลสชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิ เราก็มาพิจารณาดูว่า สภาพร่างกายของเรานี้ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด

ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ตลอดจนกระทั่งทุกข์ต่าง ๆ ที่เป็นทุกข์ประจำขันธ์ ๕ คือ ร่างกายของเราพอเกิดมาก็มีความทุกข์อย่างนี้เป็นปกติ ได้แก่ ทุกข์จากความหิว ความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น

เถรี
25-09-2013, 05:15
เราก็จะเห็นได้ชัดว่า ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลง ไม่มีเวลาไหนเลยที่เราไม่ทุกข์ ความทุกข์เกาะกินเราอยู่ตลอดเวลา แต่สภาพจิตของเราที่มืดบอด ทำให้เราไปยึดถือสภาพร่างกายนี้ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ความทุกข์นั้นจะกัดกินได้เฉพาะร่างกายนี้เท่านั้น ถ้าจิตใจเราไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย ความทุกข์ก็ไม่สามารถที่จะกินใจของเราได้

เราจึงต้องใช้ปัญญาแยกแยะให้ออก ว่าสภาพร่างกายที่เป็นเพียงธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม มีความทุกข์เกาะกินเป็นปกติ มีแต่ความเป็นโทษเป็นภัย เป็นของน่ากลัว เพื่อที่สภาพจิตใจของเรา จะได้ถอนออกจากความยินดี ความปรารถนาอยากมีร่างกายนี้ ความปรารถนาการเกิดอีก ถ้าสภาพจิตสามารถถอนจากความยินดีในร่างกายนี้ ก็จะไม่ยินดีในร่างกายของคนอื่น เมื่อไม่ต้องการร่างกายของตน ก็จะไม่ต้องการร่างกายของคนอื่น ไม่ต้องการการเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้อีก

ถ้าอย่างนั้น เราก็ส่งกำลังใจไปที่พระนิพพาน เอากำลังใจเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน หรือระลึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด ว่านั่นเป็นพระพุทธนิมิต แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ให้ตั้งใจว่า ถ้าเราตายลงไปเมื่อไร ขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่พระนิพพานเท่านั้น

ถ้าเราทุกคนทำอย่างนี้ได้ ก็แปลว่าเรามีการเตรียมพร้อม ถึงแม้ความตายมาถึงก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะเป็นปกติ เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของร่างกายนี้ ที่เกิดมาเท่าไร ก็ต้องเสื่อมสลายตายพังลงไปเท่านั้น ในเมื่อเราเตรียมพร้อมแล้วสำหรับความตาย เตรียมพร้อมแล้วที่จะไม่ปรารถนาการเกิดมาอีก เราก็จะเป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว มีกำลังใจที่มั่นคงเด็ดเดี่ยว ตั้งใจอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าตายเมื่อไร จะไปอยู่พระนิพพาน

ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงตอนนี้ก็ให้ทุกท่านเอากำลังใจเกาะภาพพระหรือพระนิพพานไว้ ถ้ายังมีลมหายใจก็ดูลมหายใจของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็ให้กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดดูกำหนดรู้อยู่อย่างนั้น ให้ทุกท่านรักษากำลังใจไว้ดังนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)