View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖
ถาม : ตามที่กล่าวถึงการบวชพระ ถือว่าเป็นอานิสงส์พิเศษ ที่พ่อและแม่สามารถได้รับทันทีโดยไม่ต้องอนุโมทนา จึงอยากจะเรียนถามเพิ่มเติมว่า อานิสงส์นี้จะเฉพาะพ่อแม่ในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น หรือหมายรวมถึงพ่อแม่ในอดีตชาติด้วย ?
ตอบ : ปัจจุบันอย่างเดียว อดีตชาติต้องบวชในอดีต แต่ไม่แน่ ถ้าหากท่านรู้แล้วโมทนาด้วยก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้ารับโดยไม่ต้องโมทนาด้วยนับเฉพาะพ่อแม่ชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น
ถาม : เนื่องจากสาเหตุพิเศษอะไรหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มีท่านเราก็ไม่ได้บวช
ถาม : หากต้องการให้ท่านที่เป็นพ่อแม่ในอดีตชาติรับได้ด้วย ต้องบอกกล่าวให้ท่านอนุโมทนา หรืออุทิศส่วนกุศลให้ จึงจะได้อนุโมทนาใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูกต้อง และท่านต้องอยู่ในภูมิที่โมทนาได้ด้วย ถ้าอยู่ในภูมิที่โมทนาไม่ได้ อุทิศให้ตายก็ไปไม่ถึง
ถาม : ผมบูชากำไลข้อมือที่บ้านวิริยบารมี ขอความเมตตาพระอาจารย์เล่าที่มาของการจัดสร้างว่าใช้วัสดุอะไร สเตนเลส หรือเหล็ก ทำไมถึงสร้างลักษณ์และรูปแบบนี้ ? พระ ครูบาอาจารย์ และหลวงพ่อ สงเคราะห์ด้านใดบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่รู้เรื่องเลย กำไลที่บ้านวิริยบารมีเป็นของที่ผลิตโดยบ้านจ่าตุ่ม บ้านจ่าตุ่มแต่แรกนั้นจะผลิตเริ่มในเรื่องของมีด เอาพวกนักผลิตปืนเถื่อนมาผลิตวัตถุที่สามารถขายได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากนั้นพอมาถึงรุ่นของลูกชายจ่าตุ่มคือคุณอาร์ต ก็เกิดแนวความคิดว่า ทำมีดอย่างเดียวไม่หลากหลายพอ ก็เลยผลิตเป็นของอื่น ๆ ขึ้นมา เช่น กำไลหรือหัวเข็มขัด เป็นต้น ถ้าวัสดุก็เป็นวัสดุเดียวกับโลหะที่ใช้ทำมีด ซึ่งค่อนข้างจะแข็งแกร่งหน่อย
ถ้าใครฝึกวิทยายุทธ์ดี ๆ ถึงเวลาเขาฟันด้วยมีดหรือดาบสามารถยกกำไลขึ้นรับได้ เพราะโลหะจะแข็งกว่ามีดทั่วไป อย่างไรฟันก็ไม่เข้าหรอก
ถาม : วันนี้แผ่นงาช้างหลุดหายไปแล้วครับ จะไปหาแผ่นหิน เช่น ลาปีส นิล ฯลฯ มาใส่แทน แล้วรอไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก ได้หรือไม่ครับ ? สิ่งที่ท่านสงเคราะห์จะเปลี่ยนไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา จะทำอย่างไรก็เชิญ เพราะอาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอย่างไร สงสารป้าสุเมียจ่าตุ่ม ซึ่งตอนนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นผู้ดำเนินกิจการแทน ป้าอายุชราภาพมาก แล้วก็ไม่มีวางขายที่อื่น ก็เลยอาศัยความสนิทสนมคุ้นเคยกันมายาวนาน บอกป้าว่าเดี๋ยวอาตมาเอาไปช่วยขายให้ก็แล้วกัน ที่เอามาจำหน่ายจะมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ได้เข้าพิธี แต่ถ้ามาไม่ทันพิธีพวกเราก็เอาไปเข้าใหม่อีกรอบแล้วกัน
ถาม : เนื่องจากในการตั้งศาลพระภูมิส่วนใหญ่ บ้านแต่ละหลังนั้นมีการตั้งศาล ๔ เสา กับศาลพระภูมิเสาเดียวไว้คู่กันเลย และศาลเสาเดียวสูงกว่า ตามที่เห็นบ้านแต่ละหลังจะตั้งศาลแบบนี้ จึงกราบเรียนถามว่า หากตั้งศาลลักษณะนี้ที่บ้าน จะมีปัญหาต่อไปในอนาคตหรือเปล่าครับ ? ถ้าหากเราตั้งศาลในลักษณะนี้แล้ว จะแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ความจริงถ้าไม่ใช่สถานที่ซึ่งเรามั่นใจหรือรู้ชัดว่ามีอากาศเทวดาอยู่ ไม่ต้องตั้งศาล ๔ เสาก็ได้ แต่คนรุ่นหลังมักจะเรียกศาล ๔ เสาว่าศาลตายาย แล้วก็ไปเข้าใจว่าเป็นผีบ้านผีเรือน ถ้าตั้งไปแล้วไม่มีการแก้ไขให้ศาล ๔ เสา ซึ่งปกติเป็นอากาศเทวดา เป็นเจ้านายของพระภูมิเจ้าที่ ให้อยู่ในที่สูงกว่า บ้านนั้นเด็กจะไม่เคารพผู้ใหญ่ ถ้าเป็นบริษัทห้างร้าน หรือหน่วยงาน เจ้านายก็คุมลูกน้องไม่ได้ เพราะลูกน้องอยู่สูงกว่าไปแล้ว
มีวิธีเดียวก็คือหนุนให้ศาล ๔ เสาสูงกว่า คำว่าสูงกว่าก็คือระดับพื้นศาลให้สูงกว่าพื้นศาลเสาเดียว สูงต่ำกว่ากันสัก ๑ เซนติเมตรก็ยังดี แต่ให้สูงกว่า
ถาม : ถ้าเราตั้งเสาเดียวอยู่ และมีอากาศเทวดาอยู่แล้วเราไม่ทราบจะเกิดอะไรขึ้นครับ ?
ตอบ : เดี๋ยวท่านก็มาบอกเองแหละ อากาศเทวดาท่านไม่นิ่งนอนใจหรอก ตามสะกิดถึงในมุ้งเลย
ถาม : การบูชาตะกรุดพระแม่ธรณีมีข้อปฏิบัติและข้อห้ามอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ข้อที่ต้องปฏิบัติคือจ่ายเงินให้ครบ ส่วนข้อห้ามเมื่อรับไปแล้วก็คือถึงเวลาอย่าลืม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนอื่นจะเอาไปใช้แทน
ถาม : มีมากกว่านั้นไหมครับ ?
ตอบ : จะเอามากกว่านั้นก็มี อย่างเวลาเราบูชาตะกรุดพระแม่ธรณี ถึงเวลาอย่าลงไปในน้ำ เพราะนั่นเป็นแม่คงคา..! ถามมากเรื่อง เขาไม่ได้ห้ามสักอย่าง ยกเว้นว่าลูกเขาเมียใครเว้น ๆ ไว้บ้าง เพราะว่าส่วนหนึ่งเป็นมหาเสน่ห์ ต้นตำหรับคือหลวงปู่เนป่อง ท่านลูกหลานทั้งหมู่บ้านเลย หมู่บ้านทุ่งเสือโทนมีขึ้นมาได้เพราะครอบครัวหลวงปู่ครอบครัวเดียว นึกเอาก็แล้วกัน
ถาม : แล้วมีคาถาอาราธนาไหมครับ ?
ตอบ : มีอยู่ ไปเปิดตำราดู ในเว็บก็มี
ถาม : การสร้างเครื่องย้อนเวลาไปในอดีตหรืออนาคต (time machine) นั้น ในทางพระพุทธศาสนาสามารถสร้างได้สำเร็จไหมครับ ?
ตอบ : ทำเสร็จมาตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ก็อตีตังสญาณนั่นแหละ
ถาม : และหากต้องการย้อนเวลาไปในอดีตหรืออนาคตสามารถทำได้ด้วยวิธีใดครับ สามารถไปทั้งกายเนื้อได้หรือไปได้แค่ดวงจิตครับ ?
ตอบ : time machine ของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ถ้าจะไปอดีตก็อตีตังสญาณ ไปอนาคตก็อนาคตก็อนาคตังสญาณ ซึ่งไปได้ด้วยจิตอย่างเดียว ยกเว้นในปัจจุบัน ถ้าได้อภิญญา ๕ ก็ไปทั้งกายได้
ถาม : การวางอุเบกขาในมุทิตา มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ยินดี แต่อย่าถึงขนาดไปกรี๊ด นั่นแหละคืออุเบกขาในมุทิตา เห็นหรือเปล่าพวกที่ไปรับนักร้องวงร็อกของต่างประเทศ นั่นไม่มีอุเบกขาในมุทิตา ทำอย่างกับพ่อแม่เป็นนกแก้ว ไปถึงก็กรี๊ด ถ้าอุเบกขาก็ไม่ต้องกรี๊ด แค่ยินดีเฉย ๆ
ถาม : ปีติมากจนเกินไปอย่างนี้มีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าปีติมากมารแทรกได้ง่าย โปรดระวังให้จงหนัก..!
ถาม : ในลักษณะไหนบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วปีติเกิดขึ้น จะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ แล้วก็ไปโหมกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ยอมพักผ่อนหลับนอน เดี๋ยวก็เรียบร้อย..!
ถาม : ขอความรู้ในเรื่องการตั้งเสาเอกในแบบฉบับพระอาจารย์ครับ ในเรื่องของเดือน วัน เวลาใดที่เหมาะสมในการตั้งเสาเอก ? และเสาเอกควรอยู่ทิศใดของตัวบ้านครับ และไม่ควรอยู่ทิศใด ?
ตอบ : ตำราอาตมาไม่มี เอาตามตำราโบราณดีกว่า ตำราโบราณการตั้งเสาเอกหรือว่าการลงเสาเอกอย่างสมัยก่อน เขานิยมกันในวันจันทร์ วันพุธหรือพฤหัสบดี เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๙ และ เดือน ๑๒
คราวนี้สำคัญที่สุดก็คือทิศทางของเสาเอก ว่าควรจะอยู่ตรงไหนของบ้าน โบราณเขาถือว่าแต่ละทิศจะมีหัวนาคหางนาคอยู่ อย่าตั้งในจุดที่เป็นหัวนาค เพราะว่างับคำเดียวเราก็หมดเลย..! อย่าตั้งในจุดหางนาค ถ้านาคสะบัดหางมาถึงก็กระจายเหมือนกัน เขาให้ตั้งในตำแหน่งที่เป็นท้องนาคไว้เสมอ
ตำแหน่งที่เป็นท้องนาคนั้นแต่ละเดือนก็ไม่เหมือนกัน เขาให้ยึดว่าถ้าเป็นเดือนอ้าย เดือนยี่ ตำแหน่งของท้องนาคจะอยู่ทิศอีสานของพื้นที่ คือตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าเป็นเดือน ๔ เดือน ๖ ก็จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็คือทิศอาคเนย์ ถ้าเป็นเดือน ๙ ก็จะเป็นทิศหรดีหรือตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าเป็นเดือน ๑๒ ก็จะเป็นทิศพายัพ หรือตะวันตกเฉียงเหนือ
ส่วนโบราณจะมีเสาโทด้วย เสาโทจะอยู่ทางขวามือของเสาเอกเสมอ ในเมื่อรู้ทิศตั้งเสาเอกขึ้นมาแล้ว จะให้ถูกต้องให้มีเสาโทด้วย เสาเอกเสาโทจริง ๆ เขาเปรียบเหมือนผู้หญิงกับผู้ชาย เครื่องประดับเสาไม่ว่าจะเป็น กล้วย อ้อย ใบเงิน ใบทอง แก้ว แหวน อะไรก็ตาม เหมือนกันหมดทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวว่า เสาเอกนอกจากผูกผ้าสีแล้วให้มีผ้าขาวม้า แต่ถ้าเสาโทนอกจากผูกผ้าสีแล้ว ให้ใช้ผ้าอื่นที่ลักษณะเหมือนกับผ้าสไบก็ได้ผูกเอาไว้แทน จะได้แยกชัดเจนว่านี่เสาผู้ชายเป็นพ่อบ้าน นี่เสาผู้หญิงเป็นแม่บ้าน ถ้าทำอย่างนี้แล้วเรื่องของข้าวของอะไรอื่น ๆ ก็ไปจัดตามนั้นแหละ ถ้าจะเอาให้บ้านอยู่สุขอยู่เย็นจริง ๆ ก็ฝังทองคำลงไปสักเสาละตัน ๒ ตัน..!
ถาม : แล้วมีข้อห้ามอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าถูกทิศถูกทางเรื่องอื่นก็ไม่มีข้อห้ามอะไร สำคัญที่สุดคือเรื่องทิศ จำไว้แม่น ๆ เลยนะ ปกติแล้วเขานิยมเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๙ กับเดือน ๑๒ แต่เขาบอกว่าถ้าสร้างบ้านเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือน ๓ ให้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน เดือน ๔-๕-๖ ให้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้าน เดือน ๗-๘-๙ ให้อยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน ถ้าเดือน ๑๐-๑๑-๑๒ ให้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้าน อันนี่ว่ากันตามตำราโบราณ อย่าเอาตามตำราอาตมา เดี๋ยวจะแหกคอกเขามากไป
ถาม : ที่นี้เสาโทที่ว่าอยู่ขวามือของเสาเอกเสมอ คือเราอยู่ในบ้านใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตีเสียว่าหันหน้าจากประตูบ้านเข้าไปแล้วกัน
ถาม : ควรจะจัดเครื่องบวงสรวงหรือนิมนต์พระมาเจริญพุทธมนต์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าจัดเครื่องบวงสรวงได้ก็ดี นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ เท่ากับเป็นการทำบุญไปด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ แต่ถ้าสู้ไม่ไหวจริง ๆ ก็เอาแค่นี้แหละ
ถาม : มีอุบายใดในการขจัดความกลัวที่เกิดจากการได้ยินเสียงบางอย่างในขณะทำกรรมฐาน แม้ว่าได้อุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้แล้วก็ตาม แต่ในใจยังมีความกลัวอยู่ ?
ตอบ : มี ๒ วิธี วิธีแรกคือตายซะ..! จะได้หายกลัว วิธีที่ ๒ เป็นพระอรหันต์ซะ..! ตราบใดที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังมีความกลัวอยู่เป็นปกติ ถ้าไม่กลัวก็ผิดปกติ เพราะฉะนั้น..ถ้ากลัวไม่เป็นไร ให้กลัวแบบมีสติ พิจารณาให้รู้ว่าชีวิตของเราจะมีสภาพอย่างนี้ เกิดกี่ชาติก็เป็นเช่นนี้ ยังอยากได้อีกหรือไม่ ? ถ้าหมดอยากแล้วก็ถอนกำลังใจออกมา เอาใจเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานแทน
หรือถ้าอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำก็คือให้สวดบทอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ต้องไปดูในธชัคคสูตร พระองค์ท่านตรัสว่าเวลาเทวดาออกรบ ถึงเวลาก็ดูธงของบรรดาเทวดาผู้เป็นใหญ่ต่าง ๆ อย่างเช่น ปชาบดีเทพบุตร วรุณเทพบุตร อีสานเทพบุตร หรือไม่ก็ดูธงของพระอินทร์ เห็นธงของเจ้านายอยู่ก็ไม่กลัว สามารถรบได้เต็มกำลัง ท่านบอกว่านั่นเป็นเรื่องของบุคคลที่เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ ขนาดยึดมั่นในผู้นำของตัวเองยังปราศจากความกลัว แต่การยึดมั่นในพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งที่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ย่อมยึดมั่นได้อย่างยั่งยืน และปราศจากความกลัวอย่างแท้จริง
ถ้ากลัวขึ้นมาท่านบอกว่าให้สวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ถาม : ปัจจุบันมีหลายแห่ง ได้นำมวลสารตะกรุดมหาสะท้อนของหลวงพ่อวัดท่าซุงและของพระอาจารย์ มาทำเป็นมวลสารเพื่อสร้างวัตถุมงคล แต่มีการตัดเพียงเศษเสี้ยว เช่น ส่วนปลายหรือส่วนมุมของตะกรุด มาใช้เป็นมวลสาร อยากกราบเรียนถามว่า การตัดเศษเสี้ยวของตะกรุดมหาสะท้อนดังกล่าวมาใช้เป็นมวลสาร จะทำให้วัตถุมงคลที่สร้างมีอานุภาพของตะกรุดมหาสะท้อนด้วยหรือไม่ ? อย่างไรครับ
ตอบ : ต้องถามก่อนว่าที่ไหนเอาตะกรุดหลวงพ่อวัดท่าซุงไปทำ เพราะในชีวิตอาตมาเห็นท่านจารแค่ ๒ ครั้งเท่านั้น รวมทั้ง ๒ ครั้งไม่เกิน ๔ ดอก เพราะฉะนั้น..ถ้าใครเอาไปทำมวลสารก็โมทนาด้วย ใจถึงจริง ๆ ถือว่าได้ส่วนของกำลังใจไปก็แล้วกัน เพราะว่าเรื่องของตะกรุดมหาสะท้อนต้องน้ำหนักเต็มบาท ตัดไปส่วนเดียวก็แปลว่าได้อานุภาพไปแบบไม่เต็มบาท ...(หัวเราะ)...
ถาม : ถ้าต้องการจะใช้เป็นมวลสารให้ใส่ไปทั้งดอกหรือครับ ?
ตอบ : ใส่ไปทั้งดอกเลย ในพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน อาตมาใส่ตะกรุดทองคำไปทีหนึ่ง ๓ ดอกเลย ถ้าของหลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ต้องถือเป็นคำแอบอ้างเลยนะ เพราะว่าอาตมาอยู่กับท่านทั้งพระทั้งฆราวาส ๑๘ ปี เห็นท่านจารแค่ ๒ ครั้ง รวม ๔ ดอก แล้วไม่เคยเห็นท่านจารอีก เพราะไม่มีใครกล้าไปขอ คนที่กล้าไปขอก็อาตมาเอง เอามา ๓ ดอก ฉะนั้น..ใครว่าอย่างนั้นถือว่าแอบอ้าง
ถ้าตะกรุดมหาสะท้อนของอาตมาเองยังพอเชื่อได้ เพราะว่าทำด้วยกัน ๔ รุ่น รวมแล้วอย่างน้อยก็ ๑,๕๖๐ ดอก นั่นก็ต้องบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เขาอาจจะเอาไปเข้าพิธีเอง แล้วก็บอกว่าเป็นมหาสะท้อน
ถาม : แล้วตอนที่พระอาจารย์ไปขอให้หลวงพ่อวัดท่าซุงจารตะกรุด วางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้วางอย่างไรหรอก หลวงปู่มหาอำพันท่านขอ ก็แค่เอาหลวงปู่นำหน้า
ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อนที่โดนตัดไปทำมวลสารแล้ว แผ่นที่เหลือไม่ถึง ๑ บาท อานุภาพของตะกรุดจะหายไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็ไม่เต็มบาท เท่ากับว่าเสียเลย เพราะเท่ากับไปทำให้ตะกรุดเสียเอง ใส่ก็ใส่ไปให้หมดนั่นแหละ
ถาม : แล้วตะกรุด ๓ ดอกที่หลวงพ่อวัดท่าซุงจารตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : อยู่ในพระปิดตารุ่นแรก เนื้อเงิน เนื้อทอง เนื้อนวโลหะ เท่ากับว่ามีอานุภาพตะกรุดมหาสะท้อนอยู่ด้วย
ถาม : แล้วดอกที่ ๔ ล่ะครับ ?
ตอบ : ของหลวงตาวัชรชัย แน่จริงไปขอสิ..!
ต้องบอกว่าตะกรุดมหาสะท้อนกับตะกรุดกำลังแม่ธรณีนี่แปลก ทำเสร็จไม่ต้องเข้าพิธีใหม่ เอาไปใช้ได้เลย เป็นการเสกในตัว ต้องถือว่าเป็นเรื่องพิเศษ แต่ว่าที่คุณก้านบัวเอาไปเข้าสารพัดพิธีก็เผื่อพวกเรา อาตมาได้ยินว่าเดี๋ยวจะไปเข้าพิธีสวดคาถาเงินล้านถวายสมเด็จพระสังฆราชด้วย แปลว่าเอาไปเข้าพิธีกัน ๕ - ๖ รอบ ทั้ง ๆ ที่ท่านก็บอกตั้งแต่ยกแรกว่าใช้ได้แล้ว
ถาม : ของอาถรรพ์ อย่างเช่นบาตรแตก ?
ตอบ : ขุดแล้วโยนทิ้งน้ำไป แค่นั้นเอง
ถาม : ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้แล้วไปรู้ได้อย่างไรว่าเป็นบาตรแตก ? ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกว่าวิตกจริตโดยใช่เหตุ พวกของอาถรรพ์บางอย่างไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ อย่างพวกบาตรแตกนี่ถ้าไปฝังใต้ถุนบ้านไหน บ้านนั้นก็ทะเลาะเบาะแว้งทั้งชาติ สมัยก่อนมีครกดินเผา เขาบอกว่าถ้าตำครกก้นทะลุอย่าไปทิ้งลงน้ำ ถ้าทิ้งลงแม่น้ำหรือบ่อน้ำ ใครที่ไปกินน้ำถ้าเป็นผู้หญิงก็ตะกายหาผัวกันหมด ไม่รู้ว่าเป็นอาถรรพ์อะไร
ถาม : การดูแลรักษาครรภ์ ?
ตอบ : รองานพุทธาภิเษกวัดท่าขนุนครั้งหน้า เอาน้ำมนต์ไปกินไปอาบให้พอ เพราะเขาเรียกน้ำมนต์ครรภ์รักษาอยู่แล้ว ตอนแรกก็แปลกใจ หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านสงสารผู้หญิง ตั้งท้องก็ลำบากลำบนพออยู่แล้ว ด้วยความที่พ่อแม่ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ ถ้าลูกมีอันเป็นไปก็เสียใจมาก ท่านก็เลยสอนให้ทำน้ำมนต์ครรภ์รักษา ต้องบอกว่า ถ้าเป็นวิชาที่หลวงพ่อท่านเจตนาถ่ายทอดให้จริง ๆ เลย ก็เรื่องของน้ำมนต์นี่แหละ
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานสวดคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบถวายสมเด็จพระสังฆราช เขานิมนต์ผ่านวัดสระเกศ ถ้าไม่ผ่านวัดสระเกศอาตมาไม่ไปหรอก นิมนต์ผ่านทางวัดสระเกศโดยมีชื่อหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศเป็นองค์ประธานอุปถัมภ์ด้วย อาตมาเลยจอดสนิท ไปไม่รอด อย่างไรก็ต้องไป
งานมีวันที่ ๑๖ กันยายน เวลาประมาณ ๕ โมงเย็น ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ตรงแถวลานที่เขาเผากันแหลกลาญไปเมื่อปี ๒๕๕๓ นั่นแหละ"
พระอาจารย์พูดถึงประมูลตะกรุดมหาสะท้อนทองคำ "วัดท่าขนุนปีนี้ประมูลวัตถุมงคลชิ้นแรกก็พอแล้ว พอทำวัตรเย็นเสร็จก็ไปนั่งลุ้นกันหน้าจอ บอกกับคุณลูกว่า "เดี๋ยวคอยดูนะ เขาจะเฉือนกันร้อยเดียว" คุณลูกก็นั่งลุ้นอยู่ ปรากฏว่า จารุโพสต์ไป ๑๕๐,๑๐๐ บาท มากกว่าร้อยเดียวจริง ๆ แต่ไม่ทัน เพราะว่าใช้ไอโฟนก็เลยอืด เลยเวลาไป ๑ นาที มีคนลุ้นอยู่ตั้ง ๒๔ คน อาตมาก็นั่งลุ้นกับเขาด้วย
ปีนี้กฐินของท่าขนุนทอด ๓ วัด ส่วนกฐินปลดหนี้ทอดให้ท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ ปีหน้า ๒๕๕๗ จะลงสุไหงปาดีอีกรอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพรรคพวกสร้างโบสถ์ไม่เสร็จ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านเป็นผู้นำที่ใคร ๆ ก็ชอบ เพราะท่านไม่เคยกล่าวร้ายใคร แล้วก็ไม่เคยลงโทษใคร ท่านจะกล่าวถึงคนแต่ในแง่ดีเสมอ"
พระอาจารย์กล่าวกับคนที่พาลูกเล็ก ๆ กำลังน่ารักมากราบว่า "จะเห็นได้ว่ากำลังใจเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนหมู่มาก ทำให้พระพุทธเจ้าท่านทิ้งลูกทิ้งเมียได้ ที่ทิ้งเมียนะพอไหว แต่ลูกเพิ่งเกิดแล้วทิ้งได้นี่ต้องตัดใจกันขนาดหนัก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณรจนา เพชรกัณหา อดีตนางแบบซูเปอร์โมเดล ไม่น่าจะเป็นไปได้ขนาดนั้น นางฟ้าตกสวรรค์ชัด ๆ เลย สมัยก่อนงานของเขาปีหนึ่งค่าตัว ๕๐ - ๖๐ ล้านบาท เพราะว่าเป็นซูเปอร์โมเดลที่ฝรั่งเขานิยมมาก นิยมตรงผิวดำ ผิวดำของไทยเรานั้นสวยของฝรั่งเขา แล้วรูปร่างของเธอก็ดี งานเพียบเลย แต่ได้ข่าวว่าที่สติไม่ค่อยจะดีเพราะติดเหล้ากับยาเสพติด
ต้องบอกว่าทางบ้านเขาใจร้ายมาก ให้เอาเข้าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาไปเลย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ทำเงินให้ตั้งเท่าไรต่อเท่าไร พอถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมากลับปล่อยทิ้งเลย คือคนติดเหล้าติดยา พอนาน ๆ ไปเหมือนกับว่าประสาทบางส่วนชำรุด แล้วทางบ้านก็ไม่ดูแล ปล่อยให้เตลิดเปิดเปิงไปข้างนอก จนคนเขาเห็นว่าสติไม่ดี ก็เลยเรียกตำรวจมาเอาตัวไป กว่าจะติดต่อกับญาติได้ ญาติก็บอกให้เอาเข้าโรงพยาบาลไปเลย คนที่กำลังใจขาดที่พึ่ง เขาต้องการความอบอุ่นจากครอบครัว แต่นี่กลับให้ทิ้งไปเลย
สมัยก่อนพอฟังข่าวก็ยังปลื้มใจว่า คนไทยเราก็ยังขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ติดหนึ่งในสิบของสุดยอดนางแบบของโลก ถ้าในพระธรรมบทก็นึกถึงถึงพระปฏาจาราเถรี ท่านสูญเสียหมดทั้งครอบครัวเลย สามีตาย ลูกคนเล็กโดนเหยี่ยวเฉี่ยวไป ลูกคนโตจมน้ำตาย หวังจะกลับบ้านไป พ่อแม่และพี่ก็โดนฟ้าผ่าปราสาทถล่มลงมาทับตายหมดเกลี้ยงเลย จึงเดินสติแตก โซซัดโซเซไปเรื่อย
ปรากฏว่าบุญเก่ายังดี หลุดเข้าไปในเชตวันมหาวิหาร คนอื่นเห็นว่าเป็นหญิงบ้า ผ้าผ่อนไม่ได้นุ่ง ก็เอาก้อนหินขว้าง พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้ปล่อยเธอเข้ามา พอเข้ามาพระองค์ท่านก็ตรัสว่า “ภคินิ..ดูก่อนน้องหญิง เธอจงได้สติคืนมาเถิด” คนที่ขาดที่พึ่งอยู่ ได้ยินคนเรียกในลักษณะเหมือนกับเป็นญาติ ก็ได้สติคืนมา
พอได้สติคืนมา คนเห็นว่าไม่อาละวาดก็โยนผ้าให้นุ่ง ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเกิดเลื่อมใสก็เลยขอบวช ตอนหลังพิจารณาธรรมกลายเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้เลิศในทางทรงวินัย ถ้าทางด้านภิกษุ ผู้เลิศในทางทรงวินัยคือพระอุบาลี ถ้าด้านภิกษุณีผู้เลิศในทางทรงวินัยคือนางปฏาจาราเถรี
ในช่วงที่ขาดที่พึ่ง ต้องมีคนที่พึ่งได้ พอได้ยินก็รู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งจึงได้สติคืนมา แต่คุณรจนาคงไม่แย่ขนาดพระปฏาจาราเถรี เพราะเขาแค่ติดเหล้าติดยา ไปบำบัดได้ แต่ต้องบอกว่าทางบ้านไม่ลงทุนเลย ตอนเขาหาเงินเข้าบ้านเป็นร้อยล้านไม่เป็นไร พอแย่หน่อยกลับตัดหางปล่อยวัด ปล่อยวัดก็ยังดี นี่เล่นปล่อยข้างถนนเลย..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการเลี้ยงลูก เรามีหน้าที่ให้ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ตั้งความหวัง เรามีหน้าที่ให้ในสิ่งที่ดีที่สุด อบรมเขาอย่างเต็มสติกำลังที่สุด ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ก็ต้องแล้วแต่บุญเก่าเขาด้วย ถ้าบุญเก่าเขาสร้างเอาไว้ดี ต่อให้ไปตกอยู่ในที่ ๆ แย่แค่ไหน เขาก็เอาตัวรอดได้ ถ้าบุญเก่าสร้างไว้ไม่ดี อบรมมาดีขนาดไหนก็เละเทะไม่เป็นท่า
แต่ว่าไม่ใช่ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะวัยรุ่นเป็นช่วงที่ไม่เอาเหตุไม่เอาผล ไปตามอารมณ์อย่างเดียว พอไปถึงช่วงอายุหนึ่งก็จะได้สติ แล้วก็กลับมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ สมัยช่วงวัยรุ่นอาตมาก็แบบนี้แหละ แต่ไม่ได้เป็นแบบคนอื่นเขา มีหน้าที่กระทืบชาวบ้านเขาให้ได้สติ ชอบมาหาเรื่องท้าตีท้าต่อย ท้ายสุดอาตมาทนรำคาญไม่ไหวก็อัดน่วมไปเลย แล้วแต่ละคนก็กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี รู้จักทำมาหากินกันหมด อาตมาก็ว่าเข้าท่าดีเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าพวกนี้จริง ๆ เขาอยากเด่นอยากดัง แต่ปรากฏว่าพอน่วมกลับไปก็คงรู้ว่า อนาคตทางนี้ไม่ดังแน่ เพราะมีคนเก่งกว่า เขาก็เลยต้องกลับไปทำมาหากินเขา
พ่อแม่อาตมาเลี้ยงลูกด้วยไม้ โตมากับอาญา คำสั่งของพ่อแม่คือเสียงสวรรค์ ห้ามมีความคิดคัดค้าน ไม่อย่างนั้นโดน..! ก็เลยไม่มีโอกาสนอกคอกเพราะมีไม้เรียวคอยกระหนาบอยู่ ไปนึกถึงพี่สาวคนที่ ๓ เพื่อนชวนไปงานวัดที่ ตำบลลูกแก สมัยก่อนเรียกว่าไกลมาก เพราะไปกลับนี่เป็นวันเลย กลับมาพ่อก็ตีด้วยไม้รวกผ่าซีกขนาดเกือบ ๒ นิ้วมือ ตีจนน่วมเลย พ่อลืมไปว่าช่วงวัยรุ่นต้องมีเวลาของตัวเองกับเพื่อนบ้าง เพียงแต่ว่าถ้าขออนุญาตพ่ออาจจะไม่ได้ไป ก็เลยหลบไปกับเพื่อน
สมัยนี้ไม่ต้องไปคุมหรอก อยู่ในบ้านก็เข้าไปถึงกันเพราะอินเตอร์เน็ต ก้มหน้าก้มตากลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ก้มหน้าเขี่ยจอ ถ้าสร้างจิตสำนึกให้เขาได้ก็จะจบ ถ้าสร้างจิตสำนึกในด้านใฝ่ดีให้เขาไม่ได้ ก็จะไหลตามกระแสไป ฉะนั้น..มีอยู่อย่างเดียวก็คือ ทำให้เขารู้ว่าทางบ้านรักเขา ห่วงเขา แล้วสิ่งที่เขาควรจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจนั้นคืออะไร ถึงเวลาเราก็ต้องไปเฮกับเขา ดีใจกับเขา ทำดีมีรางวัล พาไปเลี้ยง ตื่นเต้นด้วย ห้ามตายด้าน..! เขาจะรู้สึกภูมิใจว่าเป็นลูกที่พ่อแม่รัก ก็ไม่กล้าทำให้ผิดหวัง"
ถาม : เด็กที่บ้านเล่นอินเตอร์เน็ตจนติด ?
ตอบ : สร้างวินัยให้เขา เข้าอินเตอร์เน็ตเป็นเวลา อนุญาตให้เล่นได้ แต่ถึงเวลาแล้วต้องเลิก
ถาม : กลัวผีมากค่ะ ?
ตอบ : ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว ผีน่าสงสารมากเลย หนูกลัวขอทานไหมล่ะ ? ผีก็เหมือนกับขอทาน เขาลำบาก เขามาเพราะต้องการส่วนกุศลจากเรา เราเป็นคนรวยกว่า เขามาขอส่วนบุญจากเรา ไม่เห็นต้องไปกลัวเขาเลย มีก็ให้เขา ไม่มีก็ไล่เตลิดเปิดเปิงไป
ถาม : เห็นผีในเกมส์แล้วน่ากลัว ?
ตอบ : เขาตั้งใจแต่งมาให้น่ากลัว ถ้าเราตั้งใจมองจริง ๆ ตลกจะตาย พวกผีเขายังบอกเลยว่า ตัวจริงเขาไม่เห็นน่ากลัวอย่างนั้นเลย ผีก็เหมือนกับขอทาน เขาลำบาก มาเพื่อจะให้เราอุทิศส่วนกุศลให้ เขาแต่งตัวสวยที่สุดแล้ว แต่แต่งได้แค่นั้นเอง เพราะว่าเขาไม่มีบุญ เพราะฉะนั้น..เราไม่เห็นต้องไปกลัวคนจนเลย ถึงเวลาก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป พอเขาได้บุญจากเราเขาก็ดีใจ และเป็นเพื่อนเราด้วย ต่อไปเวลาไปไหนก็มีคนคอยคุ้มครอง ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว
ผีในเกมส์น่ากลัวไปอย่างนั้นเอง ตัวจริงเขาไม่น่ากลัวหรอก ก่อนหน้านี้หลวงพ่อก็กลัวผีเหมือนกัน พอรู้เข้าจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรน่ากลัว ตอนเด็ก ๆ ก็เหมือนกับเรานี่แหละ จะไปฉี่ก็ไม่กล้าไป กลั้นฉี่จนหน้าเขียว กลัวผีจะมาล้วงก้น..!
ถาม : เพื่อนหนูไปบ่อนเพราะรู้สึกคล้ายกับมีผีพาไป ?
ตอบ : ถ้าลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าที่บ่อนทำเอาไว้ ให้เขาหายันต์เกราะเพชรติดตัว แล้วภาวนาอิติปิ โสฯ ทุกวัน จะกันพวกนี้ได้โดยตรง ถามเขาว่าเคยไปกินข้าวกินน้ำที่นั่นไหม ? ถ้าเคยก็เสร็จเขา เพราะของพวกนี้ส่วนใหญ่เขาทำใส่อาหาร หรือไม่ก็ใช้ผีคุม
ถาม : มีวิธีป้องกันหรือแก้ไหมคะ ?
ตอบ : เอาผ้ายันต์เกราะเพชรให้เขาติดตัว แล้วสวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ สัก ๓ จบในตอนเช้าทุกวัน
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนไปยุโรปมีสองคนพ่อลูกเดินมา ลูกอายุสัก ๗ - ๘ ขวบ เดินถือกิ่งไม้มา ๑ กิ่ง อาตมาเคยอยู่กับเพื่อนที่เป็นอิสลามมาก่อน ช่วงวัยรุ่นนี่อยู่กับอิสลามมาหลายปี ตอนที่ไปอยู่ซอยอ่อนนุชใหม่ ๆ เพื่อนอิสลามเยอะแยะไปหมด รู้ว่าลักษณะนี้ของเขาคือมาขอความช่วยเหลือ ก็เลยทักเขาก่อนว่า "อัสสะลาม มุลัยอากุม"
พอเขาได้ยินนั่งร้องไห้เลย เขาไม่นึกว่าจะมีคนมาทักภาษาเดียวกันได้ ก็เลยถามเขาว่ามีอะไร เขาก็พยายามอธิบาย พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ ก็ปนภาษาเซิร์บของเขาด้วย สรุปได้ว่าเขาหนีสงครามมาจากโคโซโว มาทำงานที่ฝรั่งเศส คราวนี้รัฐบาลปฏิบัติกับพวกเขาไม่ดี หาว่าพวกเขาเป็นตัวปัญหา เพราะเคยไปก่อจลาจล เจ้านายก็เลยไล่เขาออกจากงาน เขาไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ต่างคนต่างก็ลำบาก จึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากนักท่องเที่ยว
เขาบอกว่าอดข้าวมาวันหนึ่งแล้ว ตัวเขาไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกเขากำลังโต เขาสงสารลูก อาตมาก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร ให้เงินเขาไป ๑๐ ยูโร เอาไปกินข้าวก่อน เขาก็วิ่งเข้าร้านอาหารไป ไม่ได้ไปซื้อข้าวหรอก ไปขอกระดาษจดรายการอาหารเขามา ขอจดชื่อขอที่อยู่ของอาตมาไว้ แล้วบอกกับลูกว่า อาตมาเป็นผู้มีพระคุณ ถึงเวลาสวดมนต์แล้วให้ขอพรจากพระเจ้าให้อาตมาด้วย
เขาบอกว่า เขาเชื่อแล้วที่พระอัลเลาะห์บอกว่า ทุกศาสนาก็คือลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เขากำลังจะหมดศรัทธาในพระเจ้าแล้วว่าทอดทิ้งเขา แล้วอยู่ ๆ เจอคนต่างศาสนาแท้ ๆ มาช่วยเขา เป็นอะไรที่พูดง่าย ๆ ว่า อาตมาไปใช้หนี้เขา ไปเจอพวกนี้เยอะแยะไปหมด"
ถาม : เขานิสัยดีมากครับ ที่คิดจะตอบแทน
ตอบ : เขาเองก็ไม่นึกว่าอาตมาจะช่วยเขา คืออาตมาเองพอเห็นก็กวักมือเรียกเขา เพราะถือกิ่งไม้มาลักษณะนั้นคือเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ จำไว้เลยว่าถ้าพี่น้องอิสลามเขาถือกิ่งใบไม้มีใบสด ๆ มาด้วย พวกนี้เขากำลังมาขอความช่วยเหลือจากพวกเดียวกัน ถามเขาว่าภรรยาคุณอยู่ไหน ? เขาบอกว่าตายในสงครามเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว แสดงว่าลูกยังเล็ก ๆ อยู่ ตอนนั้นราว ๓ - ๔ ขวบเอง เลยหนีมา ๒ คนพ่อลูก พ่อเขาชื่อซีดาน ลูกชื่อซีนัส พยายามถามเขา เขาก็พูดได้บ้างไม่ได้บ้าง ปนกันสารพัดภาษากว่าจะรู้เรื่องกัน
ถาม : ตอนผมบวช ผมกลัวผิดศีลสุดชีวิตเลย นิดเดียวก็กลัว อยู่ ๆ ผมก็คิดว่า เราละโมบบุญนี่หว่า เราอยากได้บุญเยอะ ๆ ถึงได้กลัวขนาดนี้ พอคิดแบบนี้ผมหายกลัวเลย ไม่รู้คิดถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : ผิด...การระมัดระวังศีลเป็นการระมัดระวังเพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่การละโมบบุญ คุณตั้งกำลังใจผิดตั้งแต่แรก รักษาศีลก็เพื่อที่จะเอาตัวเรารอดจากอบายภูมิ รักษาศีลเพื่อให้ศีลเป็นบันไดสร้างสมาธิ เมื่อสมาธิมี ปัญญาก็จะได้เกิด เราไปตั้งใจผิดตั้งแรกแล้วว่ารักษาศีลจะเอาบุญ
ถาม : แต่ระวังเรื่องศีลแล้วสมาธิดีจริง ๆ ครับ
ตอบ : แน่นอน...เพราะต้องระวังทุกฝีก้าวเลย
มีโยมอ่านหนังสือธรรมะไปพร้อมกับขีดเน้นข้อความที่คิดว่าสำคัญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไม่มีประโยชน์หรอก หลวงพ่อขีดมาแล้ว เสร็จแล้วพอไปอ่านก็ "เอ๊ะ..ทำไมเราข้ามตรงนี้ไป ?" อ่านใหม่ก็ "เอ๊ะ..ทำไมเราข้ามตรงนี้ไป ?" ตรงที่เราขีดก็คือกำลังใจของเราในตอนนั้น พอกำลังใจของเราละเอียดขึ้น ตรงจุดที่ไม่สะดุดก็จะมาสะดุดใหม่ แล้วก็ต้องขีดทั้งเล่มนั่นแหละ ท้ายสุดอาตมาต้องไปขอขมาพระ บังอาจใช้ความรู้แค่หางอึ่งไปวัดธรรมะของพระพุทธเจ้า
ทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจเรา พอกำลังใจพัฒนาขึ้นก็จะรู้ว่า "อ้อ...ที่แท้ตรงนี้เป็นอย่างนี้เอง แล้วทำไมคราวที่แล้วเราถึงไม่ได้ขีด ?" เดี๋ยวก็ขีดทั้งเล่มนั่นแหละ หลวงพ่อทำมาแล้ว ต้องบอกว่าโง่มาแล้ว"
ถาม : แล้วหนูต้องขอขมาพระไหมคะ ?
ตอบ : ก็ขอขมาในฐานะที่บังอาจเอาแสงหิ่งห้อยไปเทียบกับดวงอาทิตย์ แล้วมั่นอกมั่นใจด้วยว่าดวงอาทิตย์สว่างแค่นี้เอง..!
เรื่องของธรรมะเป็นไปตามกำลังใจของตัว แม้กระทั่งฟังคำพูดประโยคเดียวกันก็ตีความต่างกัน ที่เขาไปขอให้อาจารย์เซนเขียนคำที่เป็นมงคลให้ในวันเปิดร้านใหม่ อาจารย์เขาก็เขียนว่า พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย เขาโกรธอาจารย์ไฟแลบเลย อาจารย์บอกว่านี่แหละเป็นสิ่งที่เป็นมงคลที่สุดแล้ว ถ้าลูกตายก่อนคุณ คุณจะทุกข์ใจแค่ไหน ? แล้วถ้าหลานตายก่อนลูกล่ะ ? ฉะนั้น..ที่ท่านให้ก็เรื่องของธรรมชาติ พ่อตาย ลูกตาย หลานตายก็เป็นเรื่องปกติ เจ้านั่นฟังเป็นแช่ง เพราะกำลังใจยังไม่ถึง
ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอไปถึงก็จะรู้ตรงจุดนั้นเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงอย่าเพิ่งเชื่อ..!
ถาม : มีอยู่ช่วงหนึ่งกำลังใจดี แล้วพอเผลอไม่ได้ปฏิบัติ ยุ่งกับการงาน กำลังใจก็ตก ?
ตอบ : เป็นปกติของทุกคนเลย พอเราเผลอสติ สิ่งที่ไม่ดีก็ดึงเราไป บางทีก็เอาหน้าที่การงานมาให้เราวุ่นวายจนไม่มีเวลาปฏิบัติ ฉะนั้น..ต้องแบ่งเวลาให้ได้ อย่างเช่น ก่อนนอนสักครึ่งชั่วโมง ตื่นนอนสักหนึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีเวลาปฏิบัติเลย พอเราเริ่มปฏิบัติ เขาก็รู้ว่าเราจะพ้นมือ ก็จะพยายามหาทางดึงให้เราไปทางอื่นแทน เรื่องของลูก เรื่องของครอบครัว เรื่องของหน้าที่การงาน โผล่มามั่วไปหมด นึกขึ้นมาได้ อ้าว..เอาอีกแล้ว
ถาม : แล้วเราอธิษฐานได้ไหมคะ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ แต่ได้อย่างอธิษฐานไหม ? ทำเลยดีกว่า อาตมาเองช่วงปฏิบัติหนัก ๆ ต้องไปเรียนวิชาทหาร เวลาไม่มีจริง ๆ ตีห้าตื่น กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่ม ถึง ๔ ทุ่มปลุก กว่าจะได้นอนอีกทีก็ตี ๒ วนอย่างนี้ไปทุกวัน แต่ด้วยความที่ภาวนาจนชิน ถึงเวลาก็ต้องลุกขึ้นมาภาวนา ถึงจะอดนอนก็ยอม ต้องหาเวลาของตัวเองให้ได้
ถาม : ถ้ามีวัดที่พรมน้ำมนต์เป็นพระบรมสารีริกธาตุ ?
ตอบ : ถ้าวัดไหนพรมน้ำมนต์เป็นพระบรมสารีริกธาตุก็อย่าไปตื่นเต้น จากประสบการณ์ของอาตมาเอง พอทำพระบรมสารีริกธาตุตกพื้นก็หายวับไปทันที เทวดาท่านรักษา ท่านก็เอาของท่านไป ประเภทถึงเวลาพรมแล้วตกเกลื่อนพื้นเป็นไปได้ไหมเล่า ? ไปดูสักครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ท่านพรมน้ำมนต์ที่ไหนแล้วไปดู ท่านจะทำท่าอย่างนี้ (พรมแบบคว่ำมือแล้วเขย่า) พรมท่าอื่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะโปรยพระบรมสารีริกธาตุไม่ได้
ถาม : แล้วมาจากไหนละคะ ?
ตอบ : ในกำมือ สังเกตไหมว่าพรมสักพักจะเปลี่ยนมือ หมดกำแล้วก็ต้องกำใหม่ ถามว่ากำอย่างไรเราถึงไม่เห็น จะเห็นได้อย่างไร ก็ผ้าคลุมอยู่
ถาม : เห็นเขาบอกว่าตกเต็มพื้นเลย
ตอบ : นั่นแหละ..แล้วลองคิดดูว่าพระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมาให้คนเหยียบเยอะขนาดนั้นเลยหรือ ? แค่เอาปัญญาตรองดูก็รู้แล้วว่าไม่จริง
ถาม : พระที่สวดพระอภิธรรมในงานหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ทำไมสวดไม่เหมือนงานทั่วไป ?
ตอบ : เป็นพระพิธีธรรมท่านสวดกัน แต่ละวันจะสวดพวกสังคหะ สหัสสะนัย พุทธภาษิตต่าง ๆ
ถาม : แล้วถ้าไปฟังแล้วไม่รู้เรื่องจะได้บุญไหม ?
ตอบ : ก็ได้บุญตรงที่ฟังด้วยความเคารพ ขนาดค้างคาวเขาฟังไม่รู้เรื่องยังไปเกิดเป็นเทวดาเลย
หมายเหตุ : http://www.youtube.com/watch?v=eKfSLGUVb9g พระพิธีธรรม ทำนองหลวง ณ วัดสระเกศ
ถาม : ผู้หญิงบางคนเวลาไปวัด มีเจตนาจะไปสึกพระ อย่างนี้จะมีผลอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตบมือข้างเดียวดังที่ไหนเล่า ? ยกเว้นว่าพระท่านไปยื่นหน้าให้เขาตบ..! อาตมาเคยเจอแล้วตั้งแต่อยู่วัดท่าซุง ถามเขาตรง ๆ ว่านึกอย่างไรมาหาผัวในวัด เขาบอกว่า ถ้าบวชตั้งแต่ ๕ - ๖ พรรษาขึ้นไปก็มั่นใจได้ว่าไม่เป็นเอดส์..!
จำไม่ได้ว่าใคร เขาเขียนประวัติแล้วอาตมาไปอ่านเจอ เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นมหาเปรียญ สึกมาแต่งงานกับแม่เขา ทุกมื้อที่กินข้าวแม่ต้องเอาสำรับไปประเคน เขาเคยชินมาอย่างนั้น
ถาม : ตอนไปยุโรป พระฉันอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ไม่ลำบากหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ลำบากหรอก ก็แค่ไปเข้าแถวแล้วจิ้มเอา
ถาม : แล้วไม่ต้องประเคนหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องประเคน เราจ่ายเงินให้เขาแล้ว เท่ากับเราเป็นเจ้าของเอง อาหารที่ต้องประเคนคือที่คนอื่นถวายให้
ถาม : พอจบปริญญาเอก ผมต้องเรียกว่า ด็อกเตอร์หลวงพี่ หรือหลวงพี่ด็อกเตอร์ครับ ?
ตอบ : โดยปกติพระจะใช้คำว่าด็อกเตอร์ห้อยท้ายไว้ อย่างเช่น พระครูวิลาศกาญจนธรรม , ดร. ทางพระถือว่าชื่อที่ในหลวงพระราชทานใหญ่ที่สุด
ปัจจุบันนี้ที่เรียน เห็นประโยชน์อยู่คือว่าได้ไปเป็นอาจารย์สอน แล้วไปคอยกระตุกหางพระนิสิตบางท่าน ให้รู้ว่าหางคุณยาวเกินไปแล้วนะ..!
ถาม : ควรจะเข้าห้องพระแล้วสวดมนต์มีรูปแบบ หรือแล้วแต่เราสบายใจถึงทำ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้ามีรูปแบบเฉพาะไปเลยก็ดี เพราะกำลังใจของเราถ้ารู้ว่าเหลืองานอะไรอยู่ จะไม่คลายออกมา แต่ถ้ารู้ว่าหมดเมื่อไรจะคลายออกมาทันที บางทีก็ฟุ้งไปเลย ฉะนั้น..เอาเป็นรูปแบบแน่นอนไปเลยดีกว่า เหมือนอย่างกับเราตั้งเวลาไว้ กำลังใจถ้ารู้ว่ายังมีงานของใจอยู่ ก็ยังไปได้เรื่อย ๆ พอหมดงานเมื่อไรฟุ้งเมื่อนั้นแหละ
ถาม : บางที่เขาให้ฝึกกรรมฐานในกรงเสือกรงงู ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง การที่เราจะดูความกลัว ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเข้าไปเสี่ยงถึงขนาดนั้น เพราะอันตรายเกินไป อยากจะดูความกลัวของตัวเอง ที่ซึ่งน่ากลัวมีเยอะแยะไป เอาไปอยู่กับเสือกับงู ถ้าพลาดก็เดี้ยง..!
ถาม : ที่บอกว่าเข้าสมาธิแล้วถอยกำลังลงมาแล้วฟังธรรมะ ผมยังไม่เข้าใจครับว่าถอยยังอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าฟังแล้วคิดได้ พิจารณาตรองตามไปได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าคิดไม่ได้ พิจารณาตามไม่ได้แสดงว่ากำลังสมาธิสูงเกิน ต้องถอยกำลังลงมา
ถาม : ถอยอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ไปวิ่งสักรอบสองรอบ สมาธิที่แน่นเกินไปก็จะคลายลงมา
ถาม : ขณะที่เรานอน ยังคิดอยู่เรื่อย ?
ตอบ : สภาพจิตยังปรุงอยู่ แต่ว่าบางทีเราก็ไม่รู้ตัว
ถาม : พอเวลาฟุ้งระหว่างหลับ เรายังมีความคิดตลอดเวลา เราควรต้องหยุด ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าคิดอยู่ก็แปลว่าหลุดไปจากลมหายใจแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ สมัยก่อนเป็นศาสนาที่รุ่งเรืองมาก เข้าถึงผู้ปกครองทุกระดับชั้น แต่ไม่เคยยึดว่าจะต้องเป็นของตัวเอง ดูแค่ประเทศไทย ตั้งแต่สุโขทัยมาจนถึงบัดนี้ ศาสนาฮินดูเข้าถึงพระมหากษัตริย์ทุกระดับ แต่ศาสนาฮินดูไม่เคยขอให้พระมหากษัตริย์บังคับให้คนในประเทศไทยถือศาสนาฮินดูเลย"
ถาม : ถ้าเราไม่ได้บูชาวัตถุมงคล แต่นึกบูชาพระรัตนตรัย จะปลอดภัยเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจพอก็ได้
ถาม : กำลังใจพอนี่ต้องเท่าไรครับ ?
ตอบ : สามารถนึกถึงพระท่านได้ตลอดเวลา วัตถุมงคลทุกอย่างเกิดจากพระท่านสงเคราะห์ ถ้าเรานึกถึงพระได้เป็นปกติ ไม่ต้องมีวัตถุมงคลก็ได้ แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าประมาทเกินไป ท่านยกตัวอย่างหลวงปู่ปานว่า หลวงปู่ปานท่านยังพกวัตถุมงคลของท่านเป็นปกติ แต่วันนั้นจะสรงน้ำ วัตถุมงคลอยู่ในกระเป๋าอังสะ ถอดอังสะเพื่อจะสรงน้ำ โดนเขาเล่นงานเสียล้มตึงเลย..!
ท่านบอกคนเรามีเวลาเผลอขาดสติได้ แต่ถ้าเราอาราธนาวัตถุมงคลป้องกัน พรหมเทวดาท่านไม่เผลอ ท่านรักษาให้ เพราะฉะนั้น..ถ้าคิดว่าเราสามารถภาวนาได้โดยไม่เผลอเลย ไม่ต้องมีวัตถุมงคลก็ได้ อาตมาเองสมัยก่อนก็ไม่พกเหมือนกัน พอไปเจอ ๒ - ๓ ครั้งก็รู้ว่าเรามีสิทธิ์เผลอได้ ขนาดพกแล้วยังโดนผีบีบคอเสียเกือบตาย สงสัยว่าทำไมวัตถุมงคลไม่ช่วย หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ก็แกไม่อาราธนา ท่านก็นั่งมอง ดูว่าใครจะวางเฉยได้มากกว่า" ในเมื่อไม่ขอให้ท่านช่วยท่านก็นั่งมองเฉย ๆ
ถาม : อย่างนี้ต้องอาราธนา ทุกเช้าและทุกกลางคืน ?
ตอบ : จะเอาให้แน่ก็อาราธนาเช้าเย็น อาราธนาตอนเช้าเผื่อเวลากลางวัน อาราธนาตอนเย็นเผื่อเวลากลางคืน
ถาม : ถ้าอาราธนาแล้วไม่พกติดตัว ?
ตอบ : อาราธนาอย่างนั้นก็ต้องนึกถึงพระตลอด ถ้าพกติดตัวอาราธนาครั้งเดียวก็พอ
ถาม : หลวงพ่อฤๅษีฯ เคยปลุกเสกตะกรุดเมไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย..ท่านมีแต่จารให้ไม่กี่ดอก
ถาม : มีคนบอกครับว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านปลุกเสก
ตอบ : ใครบอกว่าหลวงพ่อทำขนาดปลุกเสก ไม่ต้องไปฟังเขาเลย ในชีวิตอาตมาเห็นท่านจารอยู่ ๒ ครั้งเอง ถ้ารวมกับที่ท่านเล่าตอนทำให้เด็กโดนไสยศาสตร์ที่สมุทรสาครด้วยก็ ๓ ครั้ง แล้ว ๓ ครั้งนั่นเป็นของอาตมาไป ๓ ดอก
วันรุ่งขึ้นตอนเช้ามืดกำลังทำกรรมฐานอยู่ ท่านก็มายื่นพานใส่ตะกรุดให้ บอกว่าแหวนจักรพรรดิก็มี ลูกแก้วมณีรัตนะก็มี ยังจะเอาของอย่างนี้อีก ท้ายสุดก็เลยต้องเอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาท่าน สรุปว่าเป็นความโง่ของอาตมาเองที่ใช้ของอื่นไม่เป็น แสดงว่าของอื่นมีอานุภาพเหมือนกันนั่นแหละ แต่ตอนนั้นอยากได้แต่ตะกรุด..!
ถาม : พระที่แจกตอนไปกฐินที่ภาคใต้ครั้งก่อน ชื่อพระอะไรหรือคะ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยได้ตั้งชื่อพระกับใครเขา เดี๋ยวปีหน้า (๒๕๕๗) จะไปใต้อีกรอบ ทิ้งไปนานเดี๋ยวโบสถ์ไม่เสร็จ นาน ๆ ลงไปกินข้าวปักษ์ใต้ทีหนึ่งก็ตื่นเต้นดีเหมือนกัน พวกเรานอนกันสบาย ไม่รู้ว่าทหารทั้งกองร้อยเขาลาดตระเวนกันทั้งคืน เขากลัวแขกบ้านแขกเมืองจะเป็นอันตราย พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เห็นทหารถือปืนก็วิ่งไปขอถ่ายรูป
พระรุ่นที่ลงปักษ์ใต้นั่นตั้งใจทำเป็นมหาอุดนะ ถ้าอยากรู้ว่าเหนียวจริงหรือเปล่าให้ไปลองยิงดู เพราะว่าลงปักษ์ใต้ไม่รู้ว่าจะโดนปืนหรือโดนระเบิด จำเป็นขึ้นมาก็ต้องทำ ปกติแล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ให้ทำมหาอุด ท่านบอกว่าสายของเราที่พอดีไม่มี ส่วนใหญ่จะเกิน ขืนทำมหาอุดถ้าไม่ไปเป็นโจรก็เอาไปรังแกคนอื่นเขา..!
ถาม : ฝันว่าได้คุยกับท่าน ท่านบอกว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แผ่เมตตา ให้มาเอาตะกรุดหนังเสือของหลวงพ่อ ไม่รู้คิดมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
ตอบ : เสียดาย..ฝันเร็วไปหน่อย ถ้าฝันช้ากว่านี้น่าจะมีให้
พวกตะกรุดหนังเสือ ทำเมื่อไรพวกอนุรักษ์ก็มองตาเขียวเมื่อนั้น ทั้ง ๆ ที่เสือก็ตายไปแล้ว ฟื้นไม่ได้สักหน่อย แล้วที่ได้มาก็ไม่ได้มาจากอะไรหรอก พวกป่าไม้เพิ่งจับมา คดีจบแล้วแล้วเขาก็เอาของกลางมาถวายไว้อาตมาเองไม่มีอารมณ์จะไปนั่งหลังเสือหรอก เลยคิดว่าเก็บไว้ทำตะกรุดดีกว่า
ถาม : การที่เกิดซาโตริ คือ ศีลสมาธิพอใช้ได้แล้ว ก็เลยทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ประมาณนั้นแหละ
ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้เกิดจากการพิจารณาสิคะ ?
ตอบ : ก็ต้องใช้คำว่าคิดได้ จะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นการพิจารณาเหมือนกัน ก็คือเกิดความเข้าใจขึ้นมา เพราะฉะนั้น..บางคนอาจจะเกิดทีเดียวได้มรรคได้ผลไปเลย บางคนก็ได้เป็นลำดับ ๆ ไป ตามกำลังใจของตัว
ถาม : ปกติเวลาพิจารณาแล้วไม่ค่อยได้อะไร หมายถึงตอนพิจารณาแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะมาได้อีกทีตอนที่ไม่ได้พิจารณา บางทีก็อยู่เฉย ๆ บางทีก็อยู่ในสมาธิ อย่างนี้เน้นเรื่องสมาธิเป็นหลัก ไม่เน้นพิจารณาน่าจะได้เร็วกว่าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : พิจารณาไปเรื่อย ๆ ถ้าตอนพิจารณากำลังยังไม่พอ ก็จะมาส่งผลให้หลังจากนั้นแล้ว ลองคิดดูซิว่า ถ้าเราไม่ได้พิจารณามาก่อน แล้วเราจะเอาต้นทุนที่ไหนมาเข้าใจได้ ?
ถาม : อย่างถ้าจะเกาะบันไดขั้นแรกก่อน แต่เวลาพิจารณาจะทำตามหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีฯ ซึ่งท่านก็จะบอกยันปลายทุกที การที่พิจารณาตามอย่างนั้นจะเป็นการทำเกินหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เกิน..พอถึงเวลาได้ก็ได้ตามกำลังของเรา ส่วนเราจะพิจารณาขนาดไหนเป็นเรื่องของเราเอง พระพุทธเจ้าเทศน์ทุกครั้งท่านตั้งใจให้คนฟังเป็นพระอรหันต์ แล้วเป็นกันทุกคนไหมเล่า ? ก็ได้กันไปตามกำลังของตน
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๕ สิงหาคมที่ผ่านมา ที่วัดจัดอบรมพระนวกะ ก็คือ อบรมพระใหม่ของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ปีนี้มีพระเณรทั้งหมด ๔๑๑ รูป พออบรมเสร็จ ตอนบ่ายก็วิ่งขึ้นเชียงใหม่ ความจริงไม่คิดจะไปหรอก กะว่าจะนอนพักสักคืนหนึ่ง แล้วตีสองวันที่ ๑๖ ก็ค่อยขึ้นไป เพื่อที่จะถึงวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ที่ลำพูนตอนเช้ามืด แต่ปรากฏว่ามีผู้หวังดี ไปปล่อยข่าวว่าอาตมาจะไป พวกเชียงใหม่เขาโทรศัพท์มากันหูดับตับไหม้ ท้ายสุดก็เลยต้องวิ่งขึ้นไปเชียงใหม่ อยู่เชียงใหม่ครึ่งวันแล้วก็วิ่งลงมาลำพูน ถึงลำพูนค่ำวันที่ ๑๖ พอดี ก็สรุปว่าเป็นความเมตตาของโยมที่กลัวว่าอาตมาจะงานน้อย..!
เช้าวันที่ ๑๗ สิงหาคม อยู่ช่วยงานหลวงพ่อสิงห์ ทำบวงสรวง รับสังฆทาน พุทธาภิเษก สืบชะตาเสร็จ ประมาณ ๑๑ โมงกว่าก็ฉันเพล ฉันเพลเสร็จก็บินมาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บางเขน มาเผาศพของหลวงพ่อทวิชของหลวงพ่อนิล ตอน ๕ โมงเย็น บินจากลำพูนลงมาด้วยรถยนต์ บินจริง ๆ เขาเหยียบมาแค่ ๒๔๐ เท่านั้น..! ไม่อย่างนั้นก็ไม่ทัน จากลำพูนลงมาแค่ ๔ ชั่วโมงครึ่ง ท้ายสุดมาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุประมาณ ๔ โมงครึ่ง มาถึงก่อนงานเขานิดหนึ่ง
ส่วนใหญ่พอขึ้นเหนือทีไร กลับมาไม่กี่วัน ก็จะได้ใบสั่งทางไปรษณีย์มา โดนไป ๗๐๐ บาททุกงวด วิ่งความเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด แต่น่าเจ็บใจ..ตอนวิ่ง ๒๐๐ กว่าดันไม่ถ่าย ไปถ่ายตอนร้อยกว่า ไม่อย่างนั้นจะเก็บไว้เป็นสถิติว่า โดนจับความเร็วขนาดนี้จริง ๆ นะ ญาติโยมโปรดอย่าเลียนแบบ ไม่ใช่เรื่องสนุก งานมีต่อเนื่องกัน ไม่ไปเร็วก็ไม่ได้
มีอยู่เที่ยวหนึ่งโดนจับก่อนจะถึง อ.เถิน ตำรวจเขาก็โบก ตอนนั้นพระครูแสงชัยยังไม่ได้บวช ก็เบรกเอี๊ยดรถเลื้อยเป็นงูเลย ตำรวจ ๔ คนโดดหนีกันหมด พอคุณจ่าโผล่หน้ามาถึง คุณแสงชัยก็ส่งใบขับขี่ให้ “ไม่เอาครับ ผมจะเอาพระ ขอพระหลวงพ่อให้ผมด้วย ขับเร็วขนาดนี้ต้องมีของดีแน่เลย” อาตมาล้วงพระให้ไป ๔ องค์ “ขออีก ๒ องค์ครับ ยังมีเพื่อนดักอยู่ข้างหน้าอีก ๒ คน” เพื่อนดักรออยู่ข้างหน้า ถ้าหลุดจากด่านนี้ ข้างหน้ายังจับได้อีกชุดหนึ่ง สรุปว่าอย่าไปทำอย่างนั้น..อันตรายมาก
ปกติเวลาตำรวจเจอพระก็มักจะปล่อยผ่านไป คราวนี้เจอพระมาเร็วขนาดนั้นเลยขอวัตถุมงคลแทน"
ถาม : ตะกรุดพระแม่ธรณี ถ้าเอาไปแยกแต่ละดอกออกจากกัน อานุภาพจะยังใช้ได้เหมือนปกติหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ได้
ถาม : แล้วมีข้อห้ามอะไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : ห้ามคนที่ไม่มีเอาไปใช้ ตะกรุดเขาต้องครบชุด ถ้าไม่ครบก็ได้อักขระไม่ครบ ๗ ตัว
ถาม : แล้วถ้าแยกแต่ละดอกออกมา แล้วพกไว้ตามที่ต่าง ๆ ?
ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้จะทัดหู จะอมไว้ในปาก จะฝังไว้ในเนื้อ อะไรก็ได้ ให้อยู่ครบ ๗ ดอกก็แล้วกัน
ถาม : การที่จิตรวมเป็นสมาธิ จะรู้ได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ความเป็นสมาธิ ดูง่าย ๆ ว่า ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แล้วเราไม่สนใจ นั่นแสดงว่าจิตเริ่มรวมแล้ว แล้วถ้าถึงขนาดตัดจากอารมณ์ภายนอก อยู่แต่ข้างในไม่รับรู้ข้างนอกเลย นั่นรวมแน่ ๆ
ถาม : แล้วถ้าเราไม่ได้ยินข้างนอก อยู่แต่ข้างใน ?
ตอบ : อันนั้นเริ่มรวมมากแล้ว ก็คือพอเริ่มทรงตัว ได้ยินแต่จะไม่สนใจ เห็นก็ไม่สนใจ อยู่แต่ข้างใน แล้วจะแน่นมากขึ้น ๆ บางทีตึงเป๋ง เหมือนอย่างกับกลายเป็นหิน
ถาม : ถ้าแน่นมาก ๆ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ตายหรอก เป็นแค่อาการเท่านั้น เรารับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปสนใจ ถ้ามีลมหายใจอยู่ก็ดูลมไป ถ้ามีคำภาวนาอยู่ก็ภาวนาไป ถ้าไม่มีก็ดูว่าตอนนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ให้รับรู้ไว้เฉย ๆ อยากเป็นอย่างไรก็ช่าง
ถาม : เลิกจากสมาธิออกมาแล้วสบายใจ ?
ตอบ : จ้ะ..เวลาเลิกออกมารู้สึกโล่ง เบาสบายอย่าบอกใครเลย ตอนไม่เลิกนี่ตัวแข็งโป๊ก เริ่มมาถูกทางแล้วจ้ะ ต่อไปทำแล้วอย่าคิดไปอยากได้อย่างนั้นอีก เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ถ้าเราไปอยากได้ ใจจะไม่นิ่ง เข้าไม่ถึง ภาวนาไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิม ถ้าเป็นก็ตามดูไปเรื่อย ๆ อย่ากลัวก็ใช้ได้ เรากำลังทำความดีอยู่ ตายตอนนั้นอย่างแย่ ๆ ถ้าจิตทรงตัวก็ไปเป็นพรหม
ถาม : เวลาที่จับศูนย์กลางกาย มักจะวูบลงไปเรื่อย ?
ตอบ : ก็ลงไปเรื่อย ๆ อย่างที่เขาบอก กำหนดจุดศูนย์กลาง ของศูนย์กลาง ของศูนย์กลาง ลงไปเรื่อย ๆ เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่ ถ้าไม่ใช่ดวงปฐมมรรคเกิดขึ้น ก็อาจจะก้าวข้ามขั้นไปเป็นธรรมกายเลย แต่ขอให้ลงกลางไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น
มีบางคนบอกว่าลงไปเรื่อย ๆ มืด ๆ กลัวจะลงนรกไปเลย ไอ้บ้า...! นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน ตามลงไปเรื่อย ๆ ถ้าดวงปฐมมรรคไม่ปรากฏเสียก่อน ก็อาจจะได้ธรรมกายไปเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าตามหลักเวชศาสตร์วรรณนาของตำราแพทย์แผนไทย เขาบอกว่าคนถ้าอายุ ๓๕ ปีขึ้นไป ให้หาอาหารที่มีรสขมมากินบ้าง โดยเฉพาะสักปักษ์ละ ๑ - ๒ ครั้ง ปักษ์หนึ่งก็ครึ่งเดือน ตีเสียว่าสัปดาห์ละครั้งก็แล้วกัน
อาหารรสขมของเรามีมะระ ต้องเป็นมะระขี้นก มะระจีนไม่ขมหรอก มีมะระ สะเดา เพกาที่ชาวบ้านเรียกว่าลิ้นฟ้า อย่าให้ถึงขนาดบอระเพ็ดเลยนะ เขาทำบอระเพ็ดแช่อิ่ม ไม่มีรสขมเลย ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ล้างรสขมออกได้อย่างไรก็ไม่รู้ แช่อิ่มมาเหลืองใสเลย
ถ้าตำราของหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ใช้เถาบอระเพ็ดยาว ๑ คืบ เคี้ยวกินไปเลย บางคนเอาขนาดพันรอบหัวตัวเอง ไอ้นั่นเกินคืบ น่าจะ ๒ คืบกว่า ท่านก็เคี้ยวกินของท่านได้หน้าตาเฉยเหมือนกัน คือร่างกายของคนเราอย่างน้อย ๆ ก็ประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม คราวนี้พออายุมากขึ้น ธาตุมักจะพร่อง หมอสมัยใหม่เขาบอกว่าฮอร์โมนเริ่มขาด พอธาตุพร่องก็ต้องหาทางเสริมธาตุ แล้วยาที่มีรสขมนี่เป็นเรื่องแปลกมาก ถ้าร่างกายร้อนเกิน ยาจะไปปรับให้เย็น ถ้าร่างกายเย็นเกินจะไปปรับให้ร้อน เป็นตัวยาที่ประหลาดที่สุดอยู่อย่างเดียว เพราะฉะนั้น..โบราณเวลาเขียนตำรับยา จะต้องแทรกยาดำไว้เสมอ เพราะยาดำมีรสขม เพื่อเอาไปปรับธาตุโดยเฉพาะ
เขามีรสขม รสเผ็ด รสจืด รสหวาน รสมัน รสฝาด รสฝาดนี่สมานแผล เขาแยกยาตามรส คนโบราณต้องชิมยาทุกอย่าง ต้องเรียนให้ได้ขนาดท่านปู่หมอชีวกฯ ถึงจะเก่งจริง "
ถาม : ผมนั่งสมาธิตามที่ท่านสอนคราวที่แล้ว เมื่อก่อนเป็นดวงวูบวาบ เดี๋ยวนี้เป็นเสี้ยวแค่นี้ ?
ตอบ : กำหนดภาวนาแล้วนึกถึงตรงนั้นไปเรื่อย ๆ ถ้าสว่างเต็มที่เมื่อไรเดี๋ยวภาพพระจะโผล่มาเอง
ถาม : ผมกลัวครับ ผมเห็นพญานาคตัวสีขาวใหญ่เท่าตึก ผมทำสังฆทานไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังเห็นอยู่ ?
ตอบ : เขามาดูแล จะไล่เขาไปไหน ? เวลาทำอะไรเราจะได้ปลอดภัย ที่ถวายสังฆทานให้จะได้ไล่ไปไกล ๆ ใช่ไหม ? เขาเรียกว่ากลัวไม่เข้าเรื่อง ...(หัวเราะ)...
ถาม : ดูตอนนี้นึกว่าท่านเพิ่งอายุ ๓๐ ปี
ตอบ : ฉันแก่ถอยหลัง แต่โยมแก่ขึ้นหน้า โยมอายุ ๗๗ ปี ฉันอายุ ๕๕ ปี ห่างกัน ๒๒ ปี เลขซ้ำทั้งนั้นเลย ความจริงถ้าฉันตะกายอยู่เต็มที่ก็ประมาณ ๗๗ ปี ทำความดีไว้เยอะ ๆ ทำทาน ศีล ภาวนาไว้ จะอยู่กี่ปีก็ช่างเถอะ อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไป
อยู่ ๗๗ ปีอย่างนี้บ้างเอาไหม ? มีหลายคนบอกว่าไม่เอา ขอตายก่อน ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าเดี๋ยวไม่สวย อยู่นานแล้วแก่เดี๋ยวไม่สวย อาตมาก็นึกว่าเข้าถึงธรรมเลยอยากตาย
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอสิ้นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ มหาเถรสมาคมมีมติให้หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ทำหน้าที่ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ก็เท่ากับเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั่นแหละ ปรากฏว่าปีนี้ท่านที่ไม่เคยไปวัดปากน้ำก็ไป กลายเป็นถนนทุกสายมุ่งสู่วัดปากน้ำ ปกติอาตมาเอารถเข้าไปไม่ได้หรอก ตัวเล็กเกินไป เข้าแล้วไปเกะกะเขา แต่จะเข้าเสียอย่าง เลยใช้วิธีติดสินบน ถึงเวลาก็ขอเจ้าที่ท่าน ไปถึงก็ไหลตามรถคันหน้าเข้าไป ปรากฏว่าคันหน้าเป็นหลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกที่ว่าง มหาเถรสมาคมมีมติให้หลวงพ่อพรหมเวที วัดไตรมิตร ขึ้นเป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ก็เท่ากับตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะอยู่ในมือของท่าน แบบเดียวกับการที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดพิชัยญาติ ขึ้นเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ตอนนั้นท่านยังเป็นเจ้าคุณพรหมโมลีอยู่ ก็เท่ากับแถมตำแหน่งสมเด็จฯ ให้นั่นเอง เป็นที่รู้กัน
หนตะวันออกเป็นคณะสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุด มีพระมากที่สุด คุมภาคอีสานและภาคตะวันออก ส่วนเจ้าอาวาสวัดสระเกศก็ตั้งท่านเจ้าคุณพรหมสุธีรักษาการณ์ การดูแลพระภิกษุสามเณรที่เดินทางไปต่างประเทศ ก็ท่านเจ้าคุณพรหมสุธีรับเป็นประธานศูนย์ไป
ท่านใดมีโอกาสก็ไปกราบสักการะสังขารของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศบ้างนะ ท่านบอกว่า ตอนเป็น ๆ ไปรับพรท่านมาเยอะแล้ว ตอนท่านมรณภาพแล้วไปขอพรท่านบ้าง วันสรงน้ำ อาตมาวิ่งจากทองผาภูมิมา ไปถึงวัดสระเกศตอนเที่ยง ๕๐ นาที ตามข่าวเขาบอกว่าเปิดสรงน้ำบ่ายโมง ไปถึงปรากฏว่าพระท่านนั่งกันเป็นระเบียบเรียบร้อย มียืนอยู่แค่ ๓ รูป ตายละวา...มาเกือบไม่ทัน ก็วิ่งไปต่อท้ายเขาเป็นรูปที่ ๔
พระครูอมรโฆษิตเดินมาถึงก็ “อ้าว... อาจารย์จะเข้าสรงเลยหรือครับ” บอกท่านว่า “ถ้าได้เลยก็ดี” ท่านจึงไปขอตัดแถวโยมให้เข้าไปสรง พอตอนสรงน้ำสังเกตว่าทำไมเขาถ่ายรูปกันจัง พอออกมาถึงจะรู้ว่าเป็นพระที่เข้าไปถวายน้ำสรงเป็นชุดแรกเลย คนอื่นท่านยังนั่งรอกันอยู่ อาตมาคิดว่าไม่ทัน เพราะเห็นเขานั่งกันหมด ยืนอยู่แค่ ๓ รูป อุตส่าห์ไปต่อแถวเป็นรูปที่ ๔ ท้ายสุดก็เลยเอาหน้าไปออกหนังสือพิมพ์ไทยรัฐโดยไม่ได้เจตนา ก็เห็นพระผู้ใหญ่ท่านนั่งกันหมด แม้กระทั่งหลวงพ่อสมเด็จพระวันรัต นึกว่าเขาสรงกันไปหมดแล้ว ยังคิดว่าเรามาเกือบไม่ทัน"
ถาม : เคยมีความรู้สึกอิ่ม มองทุกอย่างเหมือนกับรู้สึกเมตตา แต่ทำไมเป็นอยู่ชั่วคราวแล้วหายไป ?
ตอบ : นึกย้อนหลังไปจ้ะ ว่าตอนนั้นเราคิดอะไร ทำอะไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน แล้วก็คิดแบบนั้น พูดแบบนั้น ทำแบบนั้น อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นอีกครั้ง เพราะว่าลักษณะนั้นเป็นการเข้าถึง แล้วเรารักษากำลังใจไว้ไม่อยู่ การหายไปจึงเป็นเรื่องปกติ แต่ดีอยู่อย่างที่เหมือนกับหลอกให้เรากินของอร่อย แล้วต่อไปเราจะตะเกียกตะกายหาทางกินให้ได้อีก ทำต่อไปเรื่อย ๆ จ้ะ
ถาม : รู้สึกเย็น ๆ ดีแต่เป็นอยู่ได้ ๒ - ๓ วัน
ตอบ : ๒ - ๓ วันนี่ได้เยอะมากแล้ว บางคนเข้าถึงแค่พักเดียว สำคัญตรงต้องประคองอารมณ์ไว้ให้ได้ ส่วนใหญ่เราไปเผลอสติ ปล่อยก็หลุดหายไป คราวนี้เราทำแล้วเราอยากได้ใหม่ ตัวอยากได้ทำให้ใจไม่มั่นคง ฟุ้งซ่าน ก็เลยไม่ได้สักที ย้อนไปนึกถึงว่าตอนนั้นเราทำอะไร แล้วก็ทำอย่างนั้นใหม่ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสไว้ในโพชฌงค์ ๗ ว่ามีธัมมวิจยะ ต้องรู้จักแยกแยะ ว่าถ้าทำอย่างนี้ผลอย่างนี้จะเกิดขึ้น ผลอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร ดังนั้นต้องหาเหตุให้เจอ ไม่อย่างนั้นการปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้าจ้ะ
ถาม : ไม่รู้ว่าหายไปไหนค่ะ
ตอบ : ไม่ได้หายไปไหนหรอก อยู่แถว ๆ นั้นแหละ แต่ว่าคลำหาไม่เจอ
ถาม : มีความรู้สึกว่าหายไปค่ะ ครูบาอาจารย์บอกไม่หาย แต่ว่าเราไม่รู้จะเอาคืนมาอย่างไร ?
ตอบ : ไปเริ่มต้นใหม่ ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนเดิมจ้ะ จะทำให้เรารู้ว่าอารมณ์ที่ทำให้เราประกอบไปด้วยเมตตาจริง ๆ เป็นอย่างไร เป็นมิตรกับคนและสัตว์ไปหมด เห็นเขาก็รักก็สงสารไปหมด ไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใคร ไม่คิดจะเบียดเบียนใครด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ อยากให้เขาพ้นทุกข์เหมือนกัน อยากให้เขามีความสุขแบบเดียวกัน
ถาม : เป็นอารมณ์ที่ดี ทำไมไม่กี่วันหายไปเลย
ตอบ : ถ้าอยากได้ก็ไม่มีทางได้หรอกจ้ะ เรามีหน้าที่ภาวนา ทำเหมือนเดิม ส่วนจะเกิดหรือไม่เกิดเรื่องของเขาอย่าไปสนใจ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวก็มาใหม่ แต่ถ้าไปอยากได้เข้า ก็ฟุ้งแล้วจะไปไม่ถึง นักปฏิบัติส่วนใหญ่จะมีปัญหาตรงนี้ พอทำถึงจุดที่คิดว่าดีแล้วก็อยากจะให้ได้อย่างนั้น พออยากจะให้ได้อย่างนั้น ตัวอยากก็บังเสียแล้ว ทำอะไรก็เข้าไม่ถึงเสียที
ถาม : ตอนที่ได้ตอนนั้นพยายามประคองอารมณ์ไว้ แต่ไม่ได้
ตอบ : ตอนช่วงที่ได้มาแล้วให้เอาสติจดจ่อต่อเนื่อง รักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ ส่วนใหญ่แล้วเราไม่ได้ไปตั้งใจประคองเอาไว้ มัวแต่กินเพลิน พอมัวแต่กินเพลินผลก็หมด ถึงย้ำหนักย้ำหนาว่านักปฏิบัติต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องให้ได้ ถ้ารักษาต่อเนื่องไม่ได้ก็ยังเอาดีไม่ได้
ถาม : ดวงจิตของคนที่ตายไปแล้ว เขาจะสามารถโทรศัพท์ได้ไหมคะ ?
ตอบ : สบาย....คณะของวัดป่าละอู ที่เขาไปวัดท่าซุง เขาจัดร้านตอนเช้า ๆ เพื่อรอเปิดร้านขายของ แล้ววิทยุมือถือ Walkie Talkie ยังไม่ได้เปิดหรอก เขาก็กดเล่น “ฮัลโหล เทวดาเจ้าขา วันนี้ช่วยให้ขายของดี ๆ นะจ๊ะ” วิทยุไม่ได้เปิดหรอก แต่มีเสียงตอบว่า “นี่เทวดาจากดาวดึงส์นะจ๊ะ เมื่อวานขาย (ไอ้โน่นไอ้นี่) วันนี้มี (ไอ้นี่ ๆ) ใช่ไหม ?” ประเภทสนุกไปเลย แต่คนฟังขนหัวตั้ง..!
ถาม : แล้วแปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร อยากติดต่อด้วยก็ไปคุยกับเขา พอเขาคุยด้วยก็ไปกลัวเขาอีก
ถาม : มีคนที่ตายไป พอสาร์ทจีนเขาก็บอกว่า ให้โทรศัพท์ไปหาพี่น้องเขาด้วย เขาก็โทรศัพท์มาหาคนรู้จัก คุยก็เป็นเสียงเขานี่แหละค่ะ เขาบอกอยู่ป่าหิมพานต์ จะมาได้เฉพาะวันโกน
ตอบ : พอถึงเวลาวันโกนก็เตรียมชาร์จโทรศัพท์ไว้เลย
ถาม : เป็นไปได้ใช่ไหมคะ?
ตอบ : ได้จ้ะ วันโกนของเราคือวันพระของเขา เวลาของเราเดินช้าไป ๑ วันของเขา
ถาม : แล้วดวงจิตแบบนี้เป็นแบบไหนคะ ?
ตอบ : ก็กึ่งเทวดาแล้วจ้ะ
ถาม : เขาบอกว่าจะติดต่อได้อีก ๒ ปี แล้วเดี๋ยวเขาก็จะไปแล้ว
ตอบ : มีอะไรก็ถามเขาไปเรื่อย ป่าหิมพานต์มีหวยไหมจ๊ะ ?
ถาม : เขาบอกว่าบอกหวยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะเสื่อม
ตอบ : แสดงว่ากันไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไรจ้ะ ให้คุยได้แล้วกัน ถ้าติดขัดเรื่องทำมาหากินก็ลองคุยกับเขาดู ถ้าไม่เหลือวิสัยจริง ๆ เขาก็พอจะช่วยได้ เป็นเรื่องปกติจ้ะ
ถาม : ไม่เคยอ่านเจอในหนังสือที่ไหน ก็คิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ค่ะ
ตอบ : เป็นไปไม่ได้เพราะเรายังไม่เจอ เจอแล้วก็เป็นไปได้เองแหละ
ถาม : สามีก็บอกว่าบอกเบอร์โทรศัพท์เขาไปสิ เดี๋ยวเขาก็โทรกลับ วันโกนเขาก็โทรมา
ตอบ : แสดงว่าเดี๋ยวนี้ป่าหิมพานต์เขาพัฒนาแล้ว บอกเขาว่าคราวหน้าติดต่อมาทางอีเมล์ดีกว่า หรือไม่ก็ส่งไลน์แชทกันไปเลย
ถาม : ยังว่าเดี๋ยวจะส่งไอโฟน ๕ ไปให้
ตอบ : อย่าไปเล่นกับเทวดานางฟ้า อยากได้อะไรเขาแค่นึกก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้น..จะไปไลน์ไปแชทกับท่าน เดี๋ยวท่านก็มาหรอก ที่โน่นของเขาสำเร็จรูป อยากได้อะไรก็นึกเอา
ถาม : เราก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้
ตอบ : ที่อาตมาเล่ามาก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก พูดเล่น ๆ เขาตอบมาจริง ๆ
ถาม : ยังไม่ได้เปิดเครื่องใช่ไหมครับ?
ตอบ : วิทยุเขายังไม่ได้เปิดเลย เขารอเวลางานจริง ๆ ถึงจะได้เปิด พูดเล่น ๆ ก่อน ที่ไหนได้เสียงตอบดังอู้เลย
ถาม : ต้องเคยเนื่องกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อีกอย่างวาระต้องเปิดพอดี ถ้าวาระไม่ถึง เขาก็ติดต่อไม่ได้
ถาม : อารมณ์ที่เข้าถึงในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คืออารมณ์แบบไหนคะ ?
ตอบ : มีความเคารพอยู่เต็มหัวใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้ด้วยเหตุแห่งชีวิต พูดง่าย ๆ ก็คือให้ตายลงไปก็ไม่ยอมล่วงเกิน
ถาม : อาหารทะเลทำให้เป็นริดสีดวงหรือครับ ?
ตอบ : อาหารทุกอย่างที่เป็นโปรตีน ไม่ต้องอาหารทะเลก็ได้ เพราะว่าโปรตีนโมเลกุลจะละเอียด มักจะเกาะลำไส้ ทำให้เราต้องใช้แรงเบ่งมาก ริดสีดวงก็เจริญเติบโต
ถาม : แล้วอย่างพวกถั่วก็มีโปรตีน
ตอบ : ก็ลักษณะเดียวกันนี่แหละ เขาถึงได้ไม่ให้กินอย่างเดียว อย่างน้อย ๆ ก็ ๓ ต่อ ๗ ถ้าอยากจะหายริดสีดวงก็อาศัยข้าวกล้องเป็นหลัก แล้วก็ตามมาด้วยผัก เอาข้าวกับผักเสีย ๗ ส่วน เนื้อสัตว์ ๓ ส่วน โดยประมาณ
ถาม : แล้วภูมิแพ้เรื่องทางเดินหายใจ พอจะมีทางรักษาให้หายขาดได้ไหมครับ ?
ตอบ : มีหมอยาจีนเขารักษาได้ ยาไทยนี่ยังไม่เคยเจอ
ถาม : ไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน วัดป่าอรัญวิเวก หน้าตาเหมือนเดิมทุกอย่างเลย ไปครั้งหลังหน้าตาก็เหมือนเดิม หน้าตาไม่เปลี่ยน
ตอบ : สมัยเด็ก ๆ ไปกราบท่าน ท่านส่งหนังสือให้ อาตมาแบ ๒ มือรับ ท่านเลยมองหน้า ไม่เคยเจอใครรับหนังสือท่านี้ ต้องบอกว่าในลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น หลวงปู่เปลี่ยนท่านถือว่าอาวุโสระดับต้น ๆ เลย เพราะส่วนใหญ่ล่วงลับกันไปแล้ว
ถาม : ท่านอายุ ๘๐ แล้วหรือคะ ?
ตอบ : จ้ะ...ดูอย่างไรก็ประมาณ ๕๐ เท่านั้นแหละ ความจริงก็มีเปลี่ยน แต่ท่านเปลี่ยนช้าหน่อย เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ได้สังเกต
ถาม : อาจารย์ครับ ทำอย่างไรถึงจะเข้าฌานลึก ๆ ได้เป็นประจำครับ ?
ตอบ : ซ้อมบ่อย ๆ ตอบอย่างกำปั้นทุบดินเลย ซ้อมบ่อย ๆ พอมีความคล่อง นึกเมื่อไรก็เข้าได้เมื่อนั้น ภาษาบาลีเขาเรียกสมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าถึงฌานในระดับต่าง ๆ แล้วมีวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากฌาน เพราะฉะนั้น..สำคัญที่ซักซ้อมอย่างเดียว ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ให้เข้าฌานสลับฌานให้ได้
ถาม : เวลาที่เราคิดมาก ถ้าเราอยากปล่อยให้ใจว่าง ๆ เราจะทำอารมณ์อย่างไร ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกจ้ะ ปกติแล้วคนส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ก็คือส่งใจไปยังอดีต โหยหาอาลัยอยู่นั่น ส่งใจไปอนาคต ฟุ้งซ่านอยากเป็นนั่น อยากได้นี่ อดีตผ่านไปแล้ว รถที่ออกจากท่าไปแล้ว เรานั่งไม่ได้หรอก อนาคตก็ยังมาไม่ถึง รถที่ยังไม่เข้าท่าก็นั่งไม่ได้เหมือนกัน ก็ต้องปัจจุบันนี้เท่านั้น เพียงแค่รถตรงหน้าของเราที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ก็คือลมหายใจเข้าออก
ถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก จิตใจไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น ความคิดต่าง ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น เพราะความคิดส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นพาไปรัก โลภ โกรธ หลง นี่จะเป็นความคิดที่อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงนี้เฉพาะหน้า หยุดการปรุงแต่งทั้งหมด ไฟที่เผาเราอยู่ด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ที่เราคอยไปใส่เชื้ออยู่ตลอดเวลา จะดับลงชั่วคราวเพราะไม่มีเชื้อไฟ ความสุขความสงบจะเกิดกับเราชั่วคราว
คราวนี้พอรักษาไว้ได้นาน ๆ กำลังใจผ่องใสมากขึ้น ๆ เราจะเห็นช่องทางเองว่าทำอย่างไรถึงจะก้าวหน้า
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเคยไปวัดท่าการ้องมาบ้าง ? วัดท่าการ้องมีส้วมสวยที่สุดในประเทศไทย น่าจะเป็นแถวอยุธยากระมัง ? ลองไปหาดูในอินเตอร์เน็ตก็ได้ มีแน่ ๆ เลย ดูแล้วเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ดึงคนเข้าวัด แต่อาตมากลัวว่าถ้าโยมแปลเจตนาผิด ชาติต่อไปจะเกิดเป็นหนอน เพราะไปวัดแล้วตั้งใจไปดูส้วม ไม่ได้ตั้งใจไปไหว้พระ เพราะฉะนั้น..การไปวัดท่าการ้องห้ามวางกำลังใจผิดนะ วางกำลังใจผิดเกาะส้วมแน่ ๆ เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายท่านคงเห็นสะพานมอญแล้ว เขาสร้างขึ้นมาใช้ชั่วคราว แทนสะพานหลวงพ่ออุตตมะที่โดนน้ำซัดขาดไป เห็นแล้วทึ่งว่าฝีมือชาวบ้านทำได้ขนาดนั้น ลักษณะเหมือนกับแพลอยน้ำ แล้วมีการทำโค้งขึ้นให้เรือลอดได้ด้วย เสียอยู่อย่างเดียวว่า จะย้ายให้ห่างจากสะพานเดิมเพราะแม่น้ำซัดไปกระทบ ปรากฏว่าเจ้าของแพท่องเที่ยวเห็นแก่ตัวมากไปหน่อย ไม่ยอมขยับแพ อ้างว่าขยับแพแล้วเดี๋ยวไม่มีลูกค้าไป คนประเภทนี้รับประกันว่าไม่ใช่สายพุทธภูมิเด็ดขาด สายพุทธภูมินี่เห็นความลำบากของผู้อื่นเมื่อไรโดดไปช่วยเลย
นี่ขนาดคนทั้งอำเภอไปขอร้องยังไม่ยอมย้าย ขยับออกไปแค่ ๓๐ เมตรเอง กลัวลูกค้าจะไม่ไป ถ้าคนที่เคยชินกับการเสียสละ พอไปเจอบุคคลประเภทนั้นแทบจะไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วยเลย"
ถาม : ภิกษุที่เป็นวิกลจริตพอบวชเข้ามาแล้วห้ามสึกหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ห้ามสึก แต่สึกไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าท่านสึกด้วยความเต็มใจหรือเปล่า
ถาม : เหมือนมีพระวินัยเว้นไว้ด้วยว่า ยกเว้นภิกษุวิกลจริต
ตอบ : จำเป็นต้องเว้น เพราะท่านไม่ได้มีเจตนาจะไปละเมิดศีล แต่ทำไปเพราะตอนนั้นสติไม่สมบูรณ์
ถาม : แล้วถ้าคนที่บวชไปแล้วปฏิบัติเคร่งเครียดจนเกิดวิกลจริต พระพุทธศาสนาจะเลี้ยงไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จนกว่าจะหาย ส่วนหายแล้วท่านจะอยู่หรือไม่อยู่อีกเรื่องหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าท่านยกไว้ให้เลย เรียก อมูฬหวินัย เป็นพระวินัยที่ยกให้สำหรับภิกษุที่กระทำอาบัติในระหว่างวิกลจริต ว่าปรับท่านไม่ได้ เพราะตอนนั้นไม่มีสติ การที่ภิกษุจะลาสิกขาหรือว่าสึกจากความเป็นพระ ท่านบอกว่าต้องเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บุคคลที่รับรู้การสึกต้องเป็นผู้ที่รู้เดียงสา ก็คือเข้าใจว่าท่านขอสึก ไม่ใช่สึกกับต้นโพธิ์..!
จะว่าไปแล้วท่านก็กันเอาไว้เหมือนกัน เพราะถ้าท่านไม่อยากจะสึก พอได้สติขึ้นมา อ้าว...ทำไมเรากลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว
ถาม : คนที่เขาเป็นกระเทย วันหนึ่งความรู้สึกที่เขาอยากเป็นผู้หญิงขาดสะบั้นลง แสดงว่าอกุศลกรรมตรงนั้นขาดลงหรือครับ ?
ตอบ : น่าจะหมดกรรมแล้ว แต่ตอนนั้นจะกลับคืนเป็นคนปกติได้ยากแล้ว เพราะเป็นมาทั้งชีวิตจนกระทั่งเคยชินแล้ว พอถึงเวลาเลิกเป็นขึ้นมานี่คงตีหน้าไม่ถูก
ถาม : มีกระเทยเขาบอกว่าเขาไม่เป็นกระเทยแล้ว จากนั้นไปบวช บวชได้พรรษาหนึ่งแล้วสึก อยากทราบว่าจะผิดเพราะหลอกลวงหรือไม่ ?
ตอบ : จะหลอกลวงอะไร ? โดยเพศเขายังนับเป็นผู้ชายอยู่ ถ้าหากว่าอวัยวะครบ ๓๒ ก็บวชได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าการแสดงออกเป็นลักเพศ ก็คือลักษณะจริตกิริยาเป็นผู้หญิงมากกว่า พระอุปัชฌาย์จะพิจารณาดูว่าให้บวชได้ไหม ถ้าความเป็นผู้หญิงมีมากเกินไปก็จะไม่ให้บวช เขาถือว่าเป็นวิบัติ คือคุณสมบัติไม่ครบ แต่ถ้าสามารถเก็บอาการได้ พระอุปัชฌาย์สามารถให้บวชได้..ไม่มีปัญหา เพียงแต่อย่าไปเอาจิ้งจกโยนใส่ท่านแล้วกัน หลุดกรี๊ดออกมาเดี๋ยวเป็นเรื่อง..!
ถาม :ผมยังมีความอยากอยู่ อยากแล้วก็ดิ้นรนเพื่อที่จะได้ของที่เราต้องการมา ก็เลยเบื่อในความอยากนั้นขึ้นมา เป็นความเบื่อในความอยาก ?
ตอบ : เริ่มเป็นนิพพิทาญาณแล้ว คือในวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง จะมีอาทีนวานุปัสสนาญาณ ก็คือเห็นว่าเป็นโทษเป็นภัย แล้วจะเกิดนิพพิทาญาณ ก็คือความเบื่อหน่ายขึ้นมา หลังจากนั้นก็จะเป็นมุญจิตุกัมยตาญาณ อยากจะไปให้พ้น ๆ แล้วก็เป็นปฏิสังขานุปัสสนาญาณ หาทางหนีไปให้พ้น จะต่อเนื่องกันมาเป็นชุดเลย ถ้าเริ่มได้ตัวหนึ่งก็จะเหยียบก้าวต่อ ๆ ไปเลย แล้วก็ไปลำบากตรงสังขารุเปกขาญาณ เพราะว่าตรงนั้นต้องปล่อยวางได้จริง ๆ ไม่ใช่เบื่ออย่างเดียวแล้วจะสำเร็จ
ถาม : ถ้าบูชาตะกรุดกำลังพระแม่ธรณีไปแล้ว เปลี่ยนมือหรือเปลี่ยนเจ้าของได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็เปลี่ยนไปสิ ใครเขาว่าอะไรเล่า ?
ถาม : เปลี่ยนมือแล้วอานุภาพจะเปลี่ยนไหมครับ ?
ตอบ : อ้าว..แน่นอน เปลี่ยนมือจะไปเหลืออานุภาพอะไร ก็คุณไม่ได้พกไว้ ท่านก็ไปรักษาคนอื่นแทน ต้องบอกว่าคนเขียนนั้นเขียนถูก แต่กำกวมไปหน่อย เปลี่ยนมือแล้วไม่มีอานุภาพ ก็แน่ ๆ อยู่แล้ว เราถือปืนอยู่คนก็กลัวเรา แต่ถ้าไปส่งปืนให้คนอื่น เขาก็ไปกลัวคนอื่นแทน
ขอร้องอย่าไปแยกชิ้นส่วนนะจ๊ะ ตะกรุดกำลังพระแม่ธรณี ๗ ดอก อักขระ ๗ ตัว ไปแยกชิ้นส่วนเมื่อไรก็ได้ไปไม่ครบ บางทีตัวเองไม่ได้ กะจะไปแกะของเพื่อนมาสักดอก พอแกะของเพื่อนมาก็เจ๊งทั้งคู่ เพราะที่เหลือมีไม่ครบ ตัวเองก็ได้มาไม่ครบ
ถาม : จะมีอยู่วันหนึ่งที่บ้านอนุสาวรีย์ท่านหมอชีวกมาบอกตำรายารักษาเลือด มีทองพันชั่ง มีหญ้าหนวดแมว มีตะไคร้ ยาขนานนี้รักษาโรคมะเร็งได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : รักษาโลหิตเป็นพิษ จริง ๆ แล้วน่าจะใช้กับพวกฟอกไต เพราะว่ามีของเสียในเลือดมาก คนที่ไตไม่ทำงาน จะเกิดอาการโลหิตเป็นพิษ ติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วก็ตาย
ถาม : มีหญ้าหนวดแมว ๓ บาท ทองพันชั่ง ๓ บาท ขิง ๑ บาท มีตะไคร้ ๑๐ บาท แล้วมีอะไรอีกอย่างนะครับ ?
ตอบ : อาตมาจำได้ว่าไม่มี ๑ บาทนะ ๓ บาททั้งนั้นแหละ ยกเว้นตะไคร้ใส่เยอะหน่อย ไปเปิดดูในเว็บเขามีอยู่ ห้องยาแพทย์แผนไทย ถ้าเป็นเอดส์อาการไม่หนักนักก็พอบรรเทาได้ เพราะรักษาโรคเลือดโดยตรง
ต้องถามดร.ตั้ม ท่านไปแนะนำรักษาคนที่หมอไม่รับแล้ว กะว่าตายแน่ ปรากฏว่ารักษาหาย ก็ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของท่านปู่หมอชีวกฯ วันนั้นไม่รู้ท่านว่างอะไร อยู่ ๆ ท่านก็มา ไหน ๆ ก็มาแล้ว อาตมาก็ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านมือ
ถาม : ที่ว่ากี่บาทนี่คือน้ำหนักไม่ใช่ราคาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : น้ำหนักจ้ะ ไม่ใช่ไปซื้อตะไคร้ ๑๐ บาทแล้วเขาให้มาครึ่งต้น เป็นน้ำหนักจ้ะ
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีบางวัดโยมเอาเหรียญไปถวายเยอะ ๆ ทางวัดบอกว่าไม่รับ แสดงว่าวัดนั้นไม่เคยโดนแบบอาตมา งานกฐินวัดเกาะพระฤๅษี ได้เหรียญสลึงมา ๑ ถังสังฆทาน..! เขาตั้งใจไปแลกมา ใหม่เอี่ยมเป็นทองเลย นับจนหูตาลายได้มา ๗,๐๐๐ บาท ไม่รู้เขาถือเคล็ดอะไร ตั้งใจไปแลกมาถวายโดยเฉพาะ ไม่ได้นึกถึงคนนับอย่างอาตมาเลย ๒๘,๐๐๐ เหรียญ กว่าจะนับครบปวดหลังจะแย่ หูตาลายหมด..!"
ถาม : อาหารบางอย่างมีแบคทีเรีย ถ้าเรากินเข้าไปก็เท่ากับว่าเป็นบาป ผิดศีลหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : กินไปเยอะ ๆ ไม่มีอาหารชนิดไหนที่ไม่มีแบคทีเรียหรอก ฉะนั้น..กินลงไปเถอะ แบคทีเรียเป็นสิ่งที่มีแค่วิญญาณ เหมือนกับพวกต้นไม้กินสัตว์ อย่างพวกกาบหอยแครง หยาดน้ำค้าง หม้อข้าวหม้อแกงลิง มีแค่สัญชาตญาณ ยังไม่มีจิต จึงไม่นับว่าเป็นการฆ่าสัตว์
ถาม : เขาบอกว่าเลี้ยงปลามังกรแล้วจะเสริมให้ร่ำรวย ไม่ทราบว่าสมควรจะเลี้ยงดีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่สมควรจ้ะ เพราะว่าต้องให้อาหารเป็น ๆ กับเขา เชื่อเถอะ...ถ้าเขามีแล้วรวยก็คงจะรวยกันหมดแล้ว ปลามังกรนอกจากจะแพงแล้ว ก็ดีแค่ตรงชื่อเท่านั้น ถ้าชื่อไทยจริง ๆ ก็ไม่ดีหรอก คนไทยเรียกชื่อปลาตะพัด หากจะเลี้ยงปลามังกรหวังให้รวย ไปนั่งภาวนาพระคาถาเงินล้านดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาทำบาปด้วย
ปลามังกรกินแต่ของเป็น ๆ เช่น จิ้งจก ตุ๊กแก แมลงสาบ หย่อนลงไปกินหมด อะโรวาน่าคือปลามังกร ถ้าอะราไพม่าตัวยาวเป็นเรือเลย นั่นปลาช่อนอเมซอน ต้องให้กินปลาทูสดทีละ ๒ กิโลกรัม เลี้ยงไปเลี้ยงมาใหญ่คับบ่อ เจ้าของเลยคิดจะเอาไปไว้ที่เกาะพระฤๅษี ปรากฏว่าวางยาแรงไปหน่อยเลยตาย เขาตั้งใจวางยาให้ซึม ๆ จะได้เอาขึ้นรถได้ง่าย แต่ยาแรงไปหน่อย ตายเลย..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่คิดถึงอันตราย เขานึกแต่ความสนุกอย่างเดียว บางทีถึงขนาดเผาบ้านทั้งหลัง เขานึกสนุกก็เลยอยากรู้อยากเห็น พอเขาเห็นว่าห้ามเล่นไม้ขีด ก็ลองดูว่าทำไมถึงห้าม เวลาเด็ก ๆ ทำอะไรเสียหายไม่ต้องไปดุเขาหรอก
เวลาอาตมาเลี้ยงหลานก็อย่างนั้นแหละ ห้ามเล่นไม้ขีด แต่ถ้าจะเล่น เอาไป ๒ กล่องเลย ลองให้พอ
ที่ต่างประเทศ พ่อแม่เขาไม่ได้ตามใจลูกนะ จะตามก็ตามมา ไม่ตามก็ทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ ท้ายสุดเด็กก็ต้องวิ่งตามเอง เป็นบ้านเราโตเป็นควายแล้วยังต้องอุ้ม..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคมที่ผ่านมา ทางวัดท่าขนุนเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมพระนวกะ ปี ๒๕๕๖ ปกติแล้วจะสั่งโต๊ะจีน ๘๐ โต๊ะ ปรากฏว่าเหลือทุกปี ปีนี้ก็เลยสั่งแค่ ๖๐ โต๊ะ นั่งเบียดกันแน่นเลย โต๊ะละ ๘ รูป อาตมาบอกพระวัดเราว่าไปยึดโต๊ะไว้ก่อน คนอื่นมีกินไม่มีกินก็ช่าง ปรากฏว่าได้ผล ของทุกอย่างหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือติดโต๊ะเลย
งานหลวงปู่สาย วันที่ ๑๔ กันยายน ปกติจะตั้งโต๊ะจีน นิมนต์พระทั้งอำเภอ ปีนี้จะนิมนต์เฉพาะเจ้าอาวาส เพราะนิมนต์พระทั้งอำเภอ มีโต๊ะจีนเลี้ยง แต่เขาไม่ค่อยมา ปีนี้ถ้ามาแล้วไม่ใช่เจ้าอาวาสจะไล่กลับให้หมด ...(หัวเราะ)...
เจ้าอาวาสกับเจ้าสำนักมีประมาณ ๗๐ รูป พระวัดเรามี ๕๐ รูป โต๊ะจีน ๒๐ ตัว ๑๒๐ คน ลงเต็มพอดี ถ้าไม่ทำอย่างนี้เขาก็ไม่จำ รู้อยู่อย่างเดียวว่าไปวัดท่าขนุนไปเมื่อไรก็มีกิน เพราะฉะนั้น..ไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ ครั้งนี้จะได้รู้ว่าถ้าไปผิดเวลาก็ไม่มีกิน"
ถาม : พอปฏิบัติแล้วได้อารมณ์นี้ ไม่เท่าไรก็ลืม ?
ตอบ : ธรรมดา..ถ้าทำได้เมื่อไรก็จะไม่ลืม ถ้ายังทำไม่ได้ก็ลืมทุกคนแหละ ไปนั่งภาวนาจับลมหายใจเป็นหลัก จะได้สร้างสติให้มากขึ้น เรื่องของหลักธรรมจริง ๆ ถ้ายังทำไม่ถึงเดี๋ยวก็ลืม ต้องทำถึงแล้วจะจำแม่น
ถาม : นิวรณ์ตัวถีนมิทธะแก้ยากมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ไปวิ่ง..!
ถาม : ไม่อยากหลับค่ะ เสียดายเวลาการปฏิบัติ
ตอบ : ร่างกายของเราถ้าเหนื่อยจากงานก็เพลีย ร่างกายไม่ไหว ให้ใช้วิธีนอนภาวนา ตั้งใจว่านอนลงก็เหมือนกับคนตาย ถ้าตายขอไปพระนิพพานอย่างเดียว เอาใจจดจ่อกับพระนิพพานแล้วก็ไปเลย
ถาม : ไม่ต้องการนอนค่ะ คือเรารักษากำลังใจมาทั้งวัน แต่ต้องมาเสียเอาตอนตัดหลับไป ๒ - ๓ ชั่วโมง
ตอบ : เสียดายใช่ไหม ? ...(หัวเราะ)...
ถาม : เสียดายค่ะ
ตอบ : เราหลับแน่ ๆ อยู่แล้วเพราะร่างกายเหนื่อยมาทั้งวัน ยอมพักหน่อยเถอะ
ถาม : ไม่อยากยอมค่ะ
ตอบ : จะเอาชนะก็ต้องก็ต้องมีความสามารถ เป็นเรื่องปกติ เป็นกันทุกคน มีอยู่อย่างเดียวคือว่า ภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจหลับและตื่นเท่ากัน กว่าจะถึงตรงนั้นก็ต้องบังคับตัวเองมากหน่อย ต้องบังคับไม่ให้หลับ ตอนแรกที่อาตมาหัดคือฟังเทปธรรมะ แล้วตั้งใจว่าเราต้องได้ยินทุกคำ ก็ต้องเงี่ยหูฟัง กว่าจะไม่ให้หลับได้ก็เป็นปี ๆ พอทำให้ไม่หลับได้ กลายเป็นอยากหลับขึ้นมาอีก
พอถึงตอนไม่หลับแล้วง่าย เพียงแต่ทำความเข้าใจว่าร่างกายเรานอนอยู่ ก็ได้พักอยู่แล้ว
ถาม : ส่วนใหญ่แล้วจะโดนกิเลสตีเอาตอนหลับค่ะ มาในรูปแบบความฝัน
ตอบ : ไม่หลับได้แหละดี เพราะจะได้ระมัดระวังกิเลสได้
ถาม : ปกติตอนที่เราเหนื่อยหรือเพลีย พอเรานอนแล้วไม่ได้ทรงอารมณ์สมาธิ จะใช้เวลานานมากในการพักผ่อนจึงจะหายเหนื่อย แต่ถ้านอนแบบทรงอารมณ์สมาธิ ใช้เวลาแค่นิดเดียวก็หายเหนื่อยแล้ว เพราะจะมีมุมหนึ่งในสมาธิ ที่พอเราเข้าไปถึงจุดนั้นแล้วหลบเข้าไปพักได้ จะมีอยู่มุมนั้นจริง ๆ เข้าเมื่อไรก็พักผ่อนได้เมื่อนั้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องตัดหลับ ซึ่งไม่กี่นาทีก็หายเหนื่อย
ตอบ : เรื่องจริง แต่ว่าถ้าเราไปฝืนร่างกายมาก ๆ ร่างกายจะเครียด ต่อไปการปฏิบัติจะเสีย
ถาม : ไปเจอพรรคพวกทางสายพระป่า เขาปฏิบัติแบบไม่หลับไม่นอนทั้งวัน ก็อยากจะทำบ้าง เขาทำได้เราก็ต้องทำได้
ตอบ : ได้..แต่ว่าเราต้องรู้เขตจำกัดของตัวเอง ถ้าไม่รู้เขตจำกัดของตัวเอง เดี๋ยวก็อยู่ ๆ จะน็อกไปเฉย ๆ
ถาม : อีกอย่างหนึ่ง เมื่อก่อนหนูเป็นคนเปิดเผย ไม่มีอะไรปิดบัง แต่พอตอนหลังกลายเป็นคนไม่อยากพูด แม้แต่เรื่องการปฏิบัติก็ไม่อยากพูด พอถึงจุดหนึ่งจะเป็นโดยอัตโนมัติ เพราะเห็นโทษว่าวุ่นวายเปล่า ๆ
ตอบ : พูดแล้วเสียเวลา
ถาม : ใช่ค่ะ หลายอย่างจะไปลงตรงที่คำว่าเสียเวลา แม้กระทั่งเมื่อก่อนเราไปไหนกับพรรคพวก เช่น ไปงานบุญ ยอมรับว่าไปแล้วมีความสุข แต่ก็ยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะยังต้องเนื่องด้วยผู้อื่น ถ้าเนื่องกับคน ๑ คน เราก็วุ่นวายไป ๑ คน เนื่องด้วยคน ๒ คน เราก็วุ่นวายด้วยคน ๒ คน เห็นโทษจากการวุ่นวายกับผู้คนนี้ว่าเป็นทุกข์ การที่มีความสุขที่สุดคือสันโดษ ไม่เนื่องด้วยผู้ใด
ตอบ : เอาแค่พอดีแล้วกัน เพราะเรายังต้องอยู่ในสังคม
ถาม : เมื่อก่อนเห็นคนเขามีของดี ๆ ใช้ของสวย ๆ มีรถหรูขับ มีอะไรหลายอย่างที่เสริมเกียรติ เสริมฐานะ แล้วรู้สึกว่าอยากได้ ต้องการมีสิ่งพวกนี้เพิ่ม แต่ตอนนี้กลายเป็นตรงกันข้าม มีแต่ความรู้สึกต้องการละออกไป ไม่ต้องการเป็นเจ้าของของสิ่งใด เพราะเป็นแค่ธาตุดิน มีแค่เท่าที่จำเป็น อย่างเช่น โทรศัพท์มีแค่ว่าให้ใช้โทรออกรับสายเท่านั้น ไม่ได้ต้องการไฮเทคหรือหรูหราราคาแพงเลย มองที่ว่าแค่ได้ใช้เท่านั้น กลายเป็นว่าปัจจุบันเราแทบจะไม่มีอะไรเลย กลายเป็นคนที่ไม่มีอะไร ซึ่งเป็นความสุขที่สุด เพราะเบา
ตอบ : ปัญญาเริ่มเกิด ต่อไปจะมองของแต่คุณค่าการใช้งานจริง ๆ อะไรที่ประเภทคุณค่าเทียม ราคาสูงเปล่าประโยชน์น้อย ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ พระพุทธเจ้าท่านให้แต่บริขาร ๘ จะเอาอะไรมากมาย
ถาม : แต่ขอยืนยันว่าถีนมิทธะแก้ยาก
ตอบ : ยากทุกคน ไปดูพระโมคคัลลาน์สิ ระดับนั้นยังโดนเล่นจนพระพุทธเจ้าต้องไปบอกวิธีแก้
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปถวายน้ำสรงหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เจอพวกเราเยอะแยะ ด้วยความเคยชินคือพวกเราจะควักเงินถวาย เสียมารยาทสุด ๆ..! จะทำบุญก็ทำกับทางวัดสิ อาตมาไปงานแท้ ๆ กลับควักเงินมาถวาย ต้องบอกว่ากำลังใจนึกถึงเรื่องทานอย่างเดียว ลืมนึกถึงความเหมาะสม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราพอแก่แล้วมักจะเหงา ถ้าคนแก่ไม่มีลูกอยู่ใกล้ ๆ ก็จะไปทุ่มเทให้กับหลานหรือเหลน ฉะนั้น..หลานหรือเหลนมักจะโดนตามใจจนเสียคน"
ถาม : ลุกออกจากบ้านจะไปอาบน้ำ ปรากฏว่าตกบันได หล่นลงมาขยับไม่ได้เลยค่ะ
ตอบ : ถึงคิวเขาทวงก็ให้เขาไปเถอะ ตอนช่วงนั้นจะเหมือนกับขาดสติ เหมือนกับเราไม่รู้ตัวไปวูบหนึ่งแล้วก็จะโดน ที่อาตมาโดนทุกครั้งจะเป็นแบบนี้ ปกติไม่เคยขาดสติเลย ขนาดรถชนตูมตามยังรู้สึกตัวอยู่ตลอด นี่อยู่ ๆ สติจะขาดหายไปเฉย ๆ จังหวะที่กรรมเข้ามาแทรก จะทำให้เป็นลักษณะอย่างนั้น
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงระยะที่ผ่านมา ในอินเตอร์เน็ตมีเรื่องที่เรือดำน้ำไปเจอนางเงือกเข้า เงือกตัวนั้นเซ่อซ่าอีท่าไหนไม่รู้ อาจจะอยากรู้อยากเห็น อยู่ ๆ ก็มาแปะตรงกระจกเรือดำน้ำ ทำหน้าเหวอตกใจ คราวนี้เรือดำน้ำเขามีกล้องถ่ายอยู่ ก็เลยติดมา
ความจริงเงือกที่อาตมารู้จัก เป็นอสุรกายประเภทหนึ่ง ตัวเล็ก ๆ ไม่ใหญ่หรอก ยาวสักแขนเดียวเต็มที่แล้ว หน้าตาก็ไม่ได้ดูดีน่ารักเท่าไรหรอก แต่เนื่องจากว่าเราไปนึกถึงนางเงือกของพระอภัยมณี และเงือกน้อยของฝรั่ง (ลิตเติ้ลเมอร์เมด) เลยคิดว่าหน้าตาน่ารักมาก..ใช่ไหม ?
ความจริงบ้านเรามีเงือกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โบราณก็เจอกันบ่อย สมัยก่อนพอถึงเวลาเขาก็เคี่ยวน้ำอ้อย เสร็จแล้วเทใส่ภาชนะเพื่อให้แข็งตัว แล้วคว่ำเป็นฝา ๆ เขาว่าหน้าของเงือกใหญ่เท่างบน้ำอ้อย ตัวเต็มที่ก็ประมาณแขนเดียว ถ้าเห็นหน้าก็ไม่มีอารมณ์จะกินหาง เพราะหน้าตาน่าเกลียด แต่เป็นปลาจริง ๆ มีตัวผู้ตัวเมียเหมือนกัน อยากจะจัดเขาอยู่ในภูมิอสุรกายประเภทหนึ่ง ไม่ใช่ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน
เราไปโดนเงือกของพระอภัยมณีหลอกว่าตัวใหญ่ แล้วเราก็คิดว่าน่าจะสวยมาก โดยเฉพาะคุณจักรพันธุ์..ใช่ไหม ? วาดรูปนางเงือกออกมาเช้งวับเลย อย่าไปหลงคารมว่าเงือกสวยนะ ถ้าใครเห็นเงือกตัวจริงสวย แสดงว่ากำลังป่วยตาลายเลย..!"
หมายเหตุ : คลิปเจอนางเงือก http://www.youtube.com/watch?v=G4UstZpNcsA
ถาม : ตอนธุดงค์ เคยเจอผีกองกอยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เจอ..เขาคงกลัวอาตมาจับกิน ตอนธุดงค์หิวไส้ขาดเลย ฉันอาหารวันละมื้อเดียวแล้วเดินทั้งวัน ตอนนั้นถ้าผีกองกอยมาตูจะกินให้ดู..! ไม่ใช่ให้มากินเรานะ เจอพระบ้า ๆ แบบนี้เข้า เขาเลยไม่กล้ามากวน
ถาม : นี่เขาเรียกว่าอะไรคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าไม้ครู เอาไว้ตัดเคราะห์ เอาไว้ให้ลาภ เอาไว้สอนธรรม เป็นต้น ด้านหัวเอาไว้ตัดเคราะห์ เอาไว้สอนธรรมะ ด้านปลายเอาไว้ให้ลาภ ถ้าหากว่าเราไม่รู้ว่าเขาควรจะได้หรือเปล่า แล้วไปให้ เขาก็จะเอาลาภของเราไปแทน ฉะนั้น..ให้ส่งเดชเดี๋ยวก็ดีเอง ไม่ต้องไปเที่ยวตามหา เพราะว่าไม้ครูทำไม่กี่อัน ทุกคนจะมีรายชื่อบันทึกอยู่ ถ้าไม่มีรายชื่ออยู่ในบันทึกของทางวัดท่าขนุน แปลว่าได้มาจากที่อื่น
ถาม : ทำไมใจถึงมักปรามาสพระ ?
ตอบ : เรื่องของการปรามาสพระถือเป็นเรื่องปกติ เราทำความดีมา มารเขากลัวว่าเราจะพ้น ก็หลอกให้เราปรามาสพระไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าเรามัวแต่เดือดเนื้อร้อนใจฟุ้งซ่านอยู่ เราก็จะไม่มีกำลังใจทำความดี ให้ตั้งใจขอขมาพระไปเรื่อย ๆ พวกนี้ทนลูกตื๊อไม่ได้หรอก พอเห็นเราไม่สะดุ้งสะเทือนเดี๋ยวเขาก็ไปเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคำถามว่าฆราวาสรักษาธุดงควัตรได้ไหม ? ธุดงควัตรมี ๑๓ ข้อ เป็นฆราวาสทั่วไปรักษาได้ ๒ ข้อ คือ กินอาหารมื้อเดียวได้ ๑ และไม่รับอาหารที่มาภายหลัง ๑ นอกนั้นจริง ๆ เป็นงานของพระภิกษุสามเณร
ภิกษุณีก็ธุดงค์ได้ แต่ว่าธุดงค์ของภิกษุณีลดไปหลายข้อ เพราะภิกษุณีไปไหนต้องมีเพื่อนไปด้วย เลยกลายเป็นว่าคลุกคลีกับหมู่คณะ ไม่ได้ปลีกวิเวก
ศีลของภิกษุณีไม่อำนวยให้รักษาธุดงค์ข้ออยู่ป่า เพราะเขาบังคับว่าภิกษุณีต้องอยู่ในอาวาส ห้ามอยู่ปนกับพระ แต่ไม่ให้อยู่นอกเขตวัด ก็ต้องมีที่อยู่เฉพาะของตัวเอง แล้วเรื่องของการห้ามอาหารที่มาภายหลัง ศีลของภิกษุณีก็บังคับไว้ ส่วนเรื่องของการอยู่กลางแจ้ง อยู่โคนไม้ อยู่ป่าช้า ผู้หญิงทำไม่สะดวก ฉะนั้น..ธุดงค์ของภิกษุณีน่าจะเหลืออยู่ประมาณ ๘ ข้อเท่านั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยมีผู้รู้ท่านตั้งข้อสังเกตว่า อยากรู้ว่ามูลค่าเงินลดลงหรือเปล่าให้ดูที่เหรียญ ถ้าเหรียญเล็กลงไปเรื่อย มูลค่าเงินก็เล็กลงไปด้วย อย่างปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นเหรียญ ๑ เยน แทบจะไม่มีค่ามีราคาอะไรเลย แต่ต้องทำออกมา เพราะว่าอย่างเวลาเก็บค่าไฟฟ้าเขามีเศษสตางค์ ต้องทอนให้เขา แล้วเหรียญ ๑ เยน ไม่สามารถใช้โลหะทำได้ เพราะมูลค่าเกินราคา เขาเลยต้องใช้กระดาษพิมพ์ แล้วพ่นสีเงิน ๆ แทน
บ้านเราเหรียญสลึง เหรียญ ๕๐ สตางค์ ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยจะรับแล้ว อาตมาเองรับมาเป็นถุง เข้าร้าน 7 Eleven ทีไรเขาขอแลกหมดทุกที ถ้าใครกลัวว่าจะใช้เหรียญสลึง เหรียญ ๕๐ สตางค์ไม่ได้ ให้ใช้ในร้าน 7 Eleven เขาจะเก็บไว้ทอน พอเห็นถือไปเป็นถุงเขาแทบจะปล้นเลย ขอร้องเป็นการใหญ่ขอแลกด้วย อาตมาก็ทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมให้แลก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้ความเร่งรีบในการทำมาหากินอย่างหนึ่ง ทำให้มีการปฏิสัมพันธ์กับคนน้อยลง อย่างในกรุงเทพฯ บ้านจัดสรรรั้วบ้านติดกันแต่ไม่รู้จักกันหรอก สมัยก่อนพอเขาถามลูกใคร พอบอกชื่อพ่อชื่อแม่ เขาสาวไปยังปู่ย่าตาทวดได้เลย เขารู้จักกันทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล
สมัยก่อนทำไมคนไม่มีนามสกุล ? เพราะเขารู้จักกันหมด ถึงเวลารัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งนามสกุลขึ้นมา เขาก็ยังรู้จักกันอยู่ มาระยะหลัง ๆ ต้องบอกว่าการคมนาคมทำให้การเดินทางรวดเร็วขึ้น คล่องตัวขึ้น ทำให้คนโยกไปย้ายมา คนคุ้นเคยเก่า ๆ จึงหมดไป เลยทำให้ไม่รู้จักกันอย่างแต่ก่อน ที่ดินขายให้คนนั้น ขายให้คนนี้ เปลี่ยนมือไปเรื่อย ต้องโทษว่าเป็นความเจริญทำให้คนไม่รู้จักกัน เพราะเปลี่ยนหน้าไปเรื่อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของที่ดิน ถ้ามีอยู่อย่าขายทิ้ง อย่างน้อยยังมีที่ปลูกบ้านหรือทำไร่ทำนา ปลูกอะไรทิ้งไว้นิด ๆ หน่อย ๆ แบบเดียวกับท่านผู้พิพากษาไปซื้อที่แถวกะเหรี่ยงบ้านกล้วย ๒๐๐ ไร่ แล้วลงมะนาวไว้ จ้างกะเหรี่ยง ๒ คนดูแลให้ กะว่าพอเกษียณแล้ว ๒ คนผัวเมียจะไปอยู่ที่นั่น พอปีที่ ๓ ลูกน้องโทรมา บอกเจ้านายว่า มีคนมาขอซื้อมะนาวลูกละ ๓ บาท เจ้านายบอกให้ขายไป พอไม่กี่วัน ลูกน้องหอบเงินมาให้ ๔๐๐,๐๐๐ บาท เจ้านายตกตะลึงตาค้าง..!
ปีนั้นมะนาวลูกละ ๘ บาท เขาไปขอซื้อถึงไร่แล้วเก็บเอง เขาให้ลูกละ ๓ บาท แล้วมะนาว ๒๐๐ ไร่มีกี่ต้น ? ต้นหนึ่งอย่างไม่มี ๆ ก็เป็นร้อยลูก แล้วนั่นเพิ่งปีที่ ๓ ต้นยังโตไม่เต็มที่ ยังออกลูกไม่เต็มที่เลย รวยตั้งแต่ก่อนเกษียณแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้วัดสระพังกำลังจะเลียนแบบวัดท่าขนุน พระอาจารย์วิโรจน์อุตส่าห์ขนเทียนไปให้ทางวัดท่าขนุนหนึ่งคันรถ แล้วบอกว่าจะทำของตัวเองบ้าง ขอยืมแบบไป แต่ของท่านทำช้า เพราะท่านจะเอาลวดร้อยข้างใน ซึ่งท่านไม่รู้ว่าทางเราร้อยมาก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ พอเอาลวดร้อยข้างใน แทงไปไส้เทียนก็ย่นตามไป ไม่ค่อยจะทะลุ
ท่านตั้งใจจะทำถ้วยสเตนเลส เพราะมีลูกศิษย์ที่ทำโรงงานสเตนเลส จะให้ทำแบบมาเพื่องานนี้เลย อาตมาบอกว่าถ้าท่านสั่งทำได้ สั่งให้ผมด้วย ๑๐,๐๐๐ ถ้วย เพียงแต่ว่าต้องเอามาทดสอบก่อนว่า เวลาโดนความร้อนมาก ๆ มีบิดมีเบี้ยวอะไรหรือเปล่า"
ถาม : การที่เราอธิษฐานขอในตอนงานเป่ายันต์ เป็นอธิษฐานบารมีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นเหมือนกัน แต่ว่าคนที่จะใช้อธิษฐานบารมีนั้น ส่วนใหญ่ต้องเป็นอุปบารมีขั้นปลายแล้ว โอกาสที่จะไม่ทำอะไรเลยเป็นเรื่องยาก แสดงว่าอย่างน้อยต้องมีของเก่าตุนไว้เยอะ ขอแล้วมีสิทธิ์ได้เหมือนกัน ถ้ายังไม่ถึงอุปบารมีขั้นปลาย ยังอธิษฐานไม่เป็นหรอก
ถาม : เหมือนกับการไปอ้อนวอนขอกับพระเจ้าอย่างนี้ ?
ตอบ : ถ้าเราทำความดีในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญาช่วย โอกาสสำเร็จก็มีมากเพราะต้นทุนเราสูง แต่ถ้าขออย่างเดียวแล้วต้นทุนเรามีน้อย โอกาสที่จะได้ก็มีน้อย
พระอาจารย์กล่าว่า "เมื่อครู่ที่ขึ้นไปพัก นอนภาวนาอิติปิ โส ฯ ๓ ห้องได้ ๑๐ จบ กับคาถาชินบัญชร อีก ๕ จบ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้องทวนทุกวัน คาถาแต่ละบท ๆ ทวนจนกำลังใจทรงตัวก่อน แล้วจึงย้ายบทใหม่ มาระยะหลังนี้เริ่มทิ้ง ใช้แค่ไม่กี่บท ส่วนใหญ่ก็เอาอิติปิ โส ฯ ๓ ห้องเป็นหลัก หรือถ้าตอนบิณฑบาตก็ภาวนาคาถาชินบัญชร..ยาวดี จะได้รู้ว่าพลาดหรือเปล่า ? เพราะว่าตอนบิณฑบาตต้องหยุดให้พรโยมเป็นระยะ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องท่องบทยาว ๆ จะได้รู้ว่าเราผิดพลาดหรือไม่"
ถาม : เวลาท่องใช้สมาธิระดับไหน ?
ตอบ :สมาธิสูงเท่าไรก็เอาแค่นั้น รักษาสมาธิเอาไว้สักครู่จนมั่นใจ แล้วค่อยเปลี่ยนบทใหม่
ถาม : ถ้ามีหลายคาถา ?
ตอบ : โอ๊ย...สมัยก่อนอาตมาภาวนาคาถาเป็นร้อยบท กว่าจะภาวนาครบก็หมดวันพอดี
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเข้าใจหลอก ท่านว่า “ไอ้หนู..คาถาบทนี้ดีอย่างนี้ ลูกลองเอาไปทำดู ภาวนาอย่างต่ำครึ่งชั่วโมงนะ อย่าลืม..ต้องรักษาศีล ๕ ด้วยถึงจะได้ผลเร็ว” เรียบร้อย..กว่าจะรู้เรื่อง ก็โดนท่านหลอกให้ภาวนาจนชินแล้ว
เรื่องของคาถาอาคม ส่วนใหญ่แล้วเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เราจะเรียกว่าไสยศาสตร์ก็ได้ แต่ครูบาอาจารย์ท่านปรับมาจนเข้ากับกรรมฐาน ก็เลยกลายเป็นพุทธศาสตร์ไป โดยเฉพาะเรื่องของไสยศาสตร์นั้น บางทีอาตมาไปดูแล้วก็ขำ ๆ คาถาส่วนใหญ่เป็นหัวใจพระธรรมทั้งนั้นเลย แต่เขาเอาไปทำเสน่ห์บ้าง อะไรบ้างยุ่งไปหมด แสดงว่าคาถาเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ พอเป็นสมาธิแล้ว พวกเราตั้งใจให้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น เรื่องของคาถาจึงไม่มีความจำเป็น จะใช้ บทอะไรก็ได้
หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม ตอนเด็ก ๆ พ่อพาไปทิ้งไว้ที่ศาลา พ่อขึ้นไปคุยกับหลวงพ่อที่วัด คุยเพลินจนค่ำ ท่านเป็นเด็กอยู่คนเดียวในศาลาก็กลัวผี จึงคิดในใจว่า "กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว" ไปเรื่อย ๆ ใจเป็นสมาธิ กายในหลุดออกไปเฉยเลย ก็เลยสงสัยว่า “วัดยังไม่มืดนี่” ก็เลยหายกลัวผี แต่ความจริงที่ไม่มืดคือกายในเห็น จริง ๆ กลางคืนมืดตื๋อไปตั้งนานแล้ว
สรุปได้ว่า “กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว” ก็สามารถถอดจิตได้เหมือนกัน คาถาก็เลยกลายเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิเท่านั้น
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนขึ้นไปบ้านกะเหรี่ยง ชวนโยมว่านั่งช้างเข้าไปกันไหม ? เขาบอกว่าไม่เอา นั่งช้างเข้าไปครึ่งวัน นั่งออกมาอีกครึ่งวัน โดนเขย่าตายพอดี ครั้งนั้นเกือบจะโดนตำรวจจับที่ด่านยะอุ เพราะว่าครูแดง (นนลณีย์) ไปด้วย พอดีว่าฝนตก ครูแดงก็เอาเสื้อกันฝนใส่คลุมตัว เห็นแต่หน้า แล้วก็นอนหลับอยู่ที่กระบะท้าย ปรากฏว่าผ่านด่านตำรวจ ส่องไฟแล้วครูแดงไม่ตื่น ส่องอย่างไรก็ไม่ตื่น เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น แล้วหน้าครูแดงขาวมาก ซีดเหมือนกับคนตายเลย ท้ายสุดตำรวจต้องเรียกทั้งพระทั้งโยมลงไป ถามว่าตายแล้วหรือยัง ? กว่าจะทุบเรียกขึ้นมาได้ คนเรานอนได้เหมือนตายขนาดนั้นเลยหรือ ? ฝนก็แปะ ๆ ไปตลอดทาง กลางคืนอย่างนั้นหลับเป็นตายขนาดนั้น คนหามไปทิ้งถังขยะยังไม่รู้ตัวเลย"
ถาม : หลับสนิทแบบนั้น ถ้าตายตอนนั้นจะไปไหนครับ ?
ตอบ : ก็ดูว่าก่อนหลับเขาคิดถึงอะไร ถ้าใจเกาะอะไรก็ไปแถวนั้นแหละ
เจออยู่ไม่กี่คน ถ้าที่วัดก็พระครูน้อย พระครูน้อยอดเพลเป็นประจำ เพราะตะโกนเรียกเท่าไรไม่ได้ยินหรอก ต้องไปทุบประตูหรือหน้าต่าง แปลกดีที่คนเราหลับลึกได้ขนาดนั้น ส่วนอาตมาแค่หมาเดินก็ตื่นแล้ว ตึกแดง ๒ ข้างเอากรวดไปโรยไว้ หมาเดินก็จะมีเสียง..แซ็ก ๆ..แซ็ก ๆ
ถาม : ถ้าคนเข้าสมาธิลึก ๆ จนเหมือนกับคนตาย มดไม่กินหรือครับ ?
ตอบ :ถ้ายังมีไออุ่นอยู่ มดยังไม่กิน แต่คราวนี้ว่าพวกปฏิบัติธรรมบางทีเชื่อไม่ได้ ถ้าไม่ใช่สมาธิคุ้มอยู่ก็เสร็จหมด เพราะว่าถอดจิตออกไปแล้วร่างกายเหมือนคนตาย ปู่โทน หลำแพร ล่าสุดได้ยินว่าอายุ ๑๑๔ ปี ตอนที่ไปหาท่าน ท่านบอกว่าหลวงปู่โลกอุดรให้ยาไว้อีกตัวหนึ่ง กินแล้วจะอยู่ต่อได้อีก แต่ว่ายังไม่กล้ากิน ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า สลบเหมือนตายไป ๗ วัน ต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาเฝ้า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนมดเจาะตากินหมด
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า “โม้” เป็นภาษาไทยโบราณ แปลว่าใหญ่ แบบเดียวกับ ย่าโม ถ้าออกเสียงตามภาษาเก่าจริง ๆ ต้องเป็น ย่าโม้ แปลว่าคุณย่าผู้เป็นใหญ่"
พระอาจารย์เล่าว่า "พวกกะเหรี่ยงมีคำทำนายที่ต่อเนื่องกันมาเป็นร้อยปีว่า “ถ้าม้ามีเขา เสามีดอก และงูใหญ่เลี้อยมาถึงหมู่บ้านเมื่อไร เผ่าพันธุ์กะเหรี่ยงโดนกินหมด”
ม้ามีเขาคือม้าญี่ปุ่น มอเตอร์ไซค์ฮอนด้ารุ่นแรก ๆ เหมือนม้ามีเขาจริง ๆ พวกม้ามีเขานี่ขึ้นดอยเป็นพวกแรก ๆ เลย เสามีดอกก็คือเสาไฟฟ้า ถึงเวลากลางคืนก็บาน สว่างโร่ แสดงว่าพวกบรรดาหมอผีของเขาก็มีทิพจักขุญาณที่เห็นอนาคตเหมือนกัน แต่คราวนี้เขาเรียกไม่ถูกว่านั่นคืออะไร แบบเดียวกับที่นอสตราดามุสบอกว่า เขาเอาอาวุธไฟไปไว้ในท้องปลา สมัยนี้ถึงรู้ว่าเป็นเรือดำน้ำ
งูใหญ่มาถึงหมู่บ้านเมื่อไรก็โดนกินหมด งูใหญ่ก็คือถนน ตามจริงการเปลี่ยนแปลงก็เป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง แต่นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถึงขนาดเปลี่ยนวิถีชีวิตของเผ่าพันธุ์ไปเลย รู้สึกว่าอเนจอนาถ จากบุคคลที่พออยู่พอกิน สันโดษ ก็ต้องกลายเป็นแข่งขันกัน คนนั้นมี คนนี้มี เราก็ต้องมีบ้าง จากที่ทำแค่พออยู่พอกิน ก็ต้องทำลักษณะเชิงพาณิชย์ ก็ต้องไปตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ผลิตผลมากขึ้น
อาตมาขึ้นดอยไปเจอเด็กไฮไลท์ผม ๗ – ๘ สีก็มี อะไรที่ข้างล่างมี บนดอยมีหมด
ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดอยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าเปลี่ยนเร็วเกินไป ฝรั่งเขาบอกว่าบางทีมีคนที่ป่วยเป็นโรค Future Shock คือรับการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไปของอนาคตเขาไม่ไหว"
ความเชื่ออย่างหนึ่งที่เป็นสากล และชาวเขาแก้ไม่ตกก็คือ ความกลัวผี ทันสมัยใหม่เสมอขนาดไหนก็กลัวผี พวกกะเหรี่ยงพอมืดลงก็ไม่ต้องชวนเลย เขาไม่ออกจากบ้าน พอเห็นอาตมาเดินทางตอนกลางคืนก็สงสัยว่าไม่กลัวผีหรือ ? อาตมาบอกว่ากลัวงูมากกว่า
ความกลัวเกิดจากความไม่รู้ เป็นภาษาพระเรียกว่า อวิชชา ในเมื่อไม่รู้ก็กลัว พอรู้แล้วก็หายกลัว (หรือว่ากลัวยิ่งขึ้น ?) ส่วนใหญ่รู้แล้วจะหายกลัว ถ้ารู้ความจริงว่าผีน่าสงสาร ก็เปลี่ยนจากกลัวมาเป็นสงสารผีแทน เขาลำบาก ถึงเวลาทำได้สวยที่สุดแค่ที่เราวิ่งหนี..!
มีคนสงสัยว่าผีทำไมต้องมีผ้าขาวมาคลุมด้วย แสดงว่าปรากฏตัวไม่ชัด ก็เลยอาศัยผ้าเป็นรูปแทน
ถาม : ถ้าผีมาลักษณะเหมือนคน จะรู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นผี ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจเพ่งมองจะมองทะลุ ไม่อย่างนั้นจะคิดว่าเป็นคน
เวลาผีจะปรากฏตัว ต้องใช้กำลังดึงเอาดิน น้ำ ลม ไฟ ไปรวมกันให้เกิดร่างหยาบขึ้น คราวนี้ไฟฟ้าของเรากระพริบด้วยความเร็วประมาณ ๕๐ รอบต่อวินาที แรงที่กระพริบเป็นคลื่น จะกระแทกจนกระทั่งพวกโมเลกุลโดนดึงมารวมกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเป็นผีที่ฝีมือต่ำ ๆ หน่อย จะปรากฏตัวไม่ได้เลย ใครนะที่เป็นต้นคิดว่า ถ้าเปิดไฟแล้วผีจะไม่หลอก ? รู้ได้อย่างไร ? แสดงว่าเขาเคยเปิดแล้วผีกระจายหายไปเลย แต่ว่ากันได้เฉพาะผีที่ฝีมือต่ำ ๆ นะ ถ้าพวกฝีมือสูง ๆ ก็เสร็จเขาอยู่ดี
ถาม : ถ้าตั้งศาลพระภูมิในช่วงเข้าพรรษา ควรใช้เดือนไหน ?
ตอบ : ปกติแล้วเขาไม่นิยมทำในพรรษา ให้ทำนอกพรรษา หาวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็คือ เดือน ๑๒ เดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๘ ข้างขึ้น ในพรรษาหมอเขาไม่รับตั้งให้ ฉะนั้น..บอกพระภูมิท่านว่าใจเย็น ๆ อีกพักเดียว เดือน ๑๒ แล้วจะตั้งให้
:4672615:เก็บตกเดือนกันยายนปี ๕๖ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.