เถรี
14-08-2013, 12:11
ให้ทุกท่านนั่งในท่าที่สบายของตน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าจะกำหนดฐานก็ให้กำหนดกระทบ ๓ ฐาน รู้สึกว่าจะพอดี ไม่เหนื่อยจนเกินไป คือหายใจเข้ารู้สึกว่าลมหายใจผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
หรือบางท่านฝึกมาไม่นาน ยังไม่สามารถที่จะจับลมได้ครบ ๓ ฐาน ก็เลือกเอาฐานใดฐานหนึ่งที่เรามีความรู้สึกชัดเจนที่สุด จะเป็นที่ปลายจมูกก็ได้ กึ่งกลางอกก็ได้ ที่ท้องก็ได้ ให้ความรู้สึกกระทบจุดนั้นให้ชัดเจนแล้วก็จดจ่ออยู่ตรงนั้น ถ้าคิดเรื่องอื่นเมื่อไรก็ให้ดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกและฐานการกระทบของลมนั้น
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือนกรกฎาคมของเรา ระยะประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมามีข่าวคราวใหญ่ในวงการสงฆ์หลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่เป็นที่โจษขานกันอยู่ก็เช่น การสึกของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก และการมีความประพฤติที่ไม่ถูกต้องตามธรรม ตามวินัยของหลวงปู่เณรคำ ฉตฺติโก เป็นต้น
ประจวบกับเมื่อครู่นี้มีญาติโยมบางท่านฝากคำถามเอาไว้ว่าในการปฏิบัติของเรานั้น เทวดา มาร หรือพรหม สามารถจะส่งกำลังเข้ามาเสริมทำให้เราเข้าใจผิด คิดว่าเป็นความสามารถของเราเองหรือไม่ ? ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปได้ และเป็นไปแล้ว เคยพบเห็นมาด้วยตัวเองแล้ว
การฝึกปฏิบัติบางทีไปถึงจุด ๆ หนึ่ง เรื่องของฌาน เรื่องของสมาบัติที่เคยอยากได้มานาน อยู่ ๆ ปุบปับก็ไหลมาเทมา กลายเป็นว่าจะเรียกลมเรียกฝนอย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นลักษณะนั้นขอให้ระมัดระวังไว้ให้ดีว่า อาจจะเป็นกำลังจากภายนอกช่วยเหลือเข้ามา เพื่อให้เรามีความสามารถพอที่จะกระทำอย่างนั้น ๆ ได้ แต่พอกระทำไปแล้ว จะทำให้เราหลงตัวเองว่า นั่นเป็นความสามารถของเรา แล้วก็ไปยึดติดอยู่กับเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชนั้น ๆ โดยที่ลืมเป้าหมายคือมรรคผลของเราไป ถ้าเป็นดังนี้ก็ขอให้ทราบว่า เป็นการทดสอบจากบรรดามารต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวนี้เขาเรียกว่า อภิสังขารมาร คือมารที่เป็นอารมณ์การปฏิบัติที่เหนือกว่าการปรุงแต่งทั่ว ๆ ไป
ซึ่งการปฏิบัติของเราถ้ามีสติสัมปชัญญะอยู่ เราก็จะได้กำหนดรู้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริงของเรา เป็นเพียงเครื่องอาศัย เป็นเพียงบันไดผ่านทาง ที่จะให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ต่อให้เรามีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่เกินกว่าที่ครูบาอาจารย์ท่านทำได้ ไม่เกินกว่าที่พระอรหันต์ทั้งหลายทำได้ ไม่เกินกว่าที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทำได้ ไม่เกินกว่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้ และบุคคลที่เลิศที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี ตลอดจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่ตายลับดับจากสังขาร เข้าสู่พระนิพพานไปหมดแล้ว
หรือบางท่านฝึกมาไม่นาน ยังไม่สามารถที่จะจับลมได้ครบ ๓ ฐาน ก็เลือกเอาฐานใดฐานหนึ่งที่เรามีความรู้สึกชัดเจนที่สุด จะเป็นที่ปลายจมูกก็ได้ กึ่งกลางอกก็ได้ ที่ท้องก็ได้ ให้ความรู้สึกกระทบจุดนั้นให้ชัดเจนแล้วก็จดจ่ออยู่ตรงนั้น ถ้าคิดเรื่องอื่นเมื่อไรก็ให้ดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกและฐานการกระทบของลมนั้น
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือนกรกฎาคมของเรา ระยะประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมามีข่าวคราวใหญ่ในวงการสงฆ์หลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่เป็นที่โจษขานกันอยู่ก็เช่น การสึกของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก และการมีความประพฤติที่ไม่ถูกต้องตามธรรม ตามวินัยของหลวงปู่เณรคำ ฉตฺติโก เป็นต้น
ประจวบกับเมื่อครู่นี้มีญาติโยมบางท่านฝากคำถามเอาไว้ว่าในการปฏิบัติของเรานั้น เทวดา มาร หรือพรหม สามารถจะส่งกำลังเข้ามาเสริมทำให้เราเข้าใจผิด คิดว่าเป็นความสามารถของเราเองหรือไม่ ? ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปได้ และเป็นไปแล้ว เคยพบเห็นมาด้วยตัวเองแล้ว
การฝึกปฏิบัติบางทีไปถึงจุด ๆ หนึ่ง เรื่องของฌาน เรื่องของสมาบัติที่เคยอยากได้มานาน อยู่ ๆ ปุบปับก็ไหลมาเทมา กลายเป็นว่าจะเรียกลมเรียกฝนอย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นลักษณะนั้นขอให้ระมัดระวังไว้ให้ดีว่า อาจจะเป็นกำลังจากภายนอกช่วยเหลือเข้ามา เพื่อให้เรามีความสามารถพอที่จะกระทำอย่างนั้น ๆ ได้ แต่พอกระทำไปแล้ว จะทำให้เราหลงตัวเองว่า นั่นเป็นความสามารถของเรา แล้วก็ไปยึดติดอยู่กับเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชนั้น ๆ โดยที่ลืมเป้าหมายคือมรรคผลของเราไป ถ้าเป็นดังนี้ก็ขอให้ทราบว่า เป็นการทดสอบจากบรรดามารต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวนี้เขาเรียกว่า อภิสังขารมาร คือมารที่เป็นอารมณ์การปฏิบัติที่เหนือกว่าการปรุงแต่งทั่ว ๆ ไป
ซึ่งการปฏิบัติของเราถ้ามีสติสัมปชัญญะอยู่ เราก็จะได้กำหนดรู้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริงของเรา เป็นเพียงเครื่องอาศัย เป็นเพียงบันไดผ่านทาง ที่จะให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ต่อให้เรามีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่เกินกว่าที่ครูบาอาจารย์ท่านทำได้ ไม่เกินกว่าที่พระอรหันต์ทั้งหลายทำได้ ไม่เกินกว่าที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทำได้ ไม่เกินกว่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้ และบุคคลที่เลิศที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี ตลอดจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่ตายลับดับจากสังขาร เข้าสู่พระนิพพานไปหมดแล้ว