View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖
ถาม : เวลานั่งสมาธิจะรู้สึกชา ๆ ตื้อ ๆ บริเวณระหว่างคิ้ว ไปจนถึงกลางหน้าผาก ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร ? และควรทำอย่างไร ?
ตอบ : เกิดการจากไปใช้สายตาเพ่ง จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ ต่อไปอย่าใช้สายตาเพ่งอยู่เฉพาะที่ แต่ให้ดูตามลมหายใจเข้าออก ถ้าใครหลับตาแล้วจ้องเป๋งอยู่ จะเป็นอย่างนั้นทุกราย
ถาม : เพ่งอยู่ข้างใน ?
ตอบ : ใช่...ให้เอาความรู้สึกหรือนึกเสียว่าเป็นสายตาของเราก็ได้ ตามลมหายใจเข้าไป ตามลมหายใจออกมา อย่าไปให้อยู่นิ่งเป็นที่อย่างนั้น เฉพาะว่าตรงจุดนั้นเป็นจักระสำคัญของทางด้านโยคี เขาเรียกกุณฑาลินี หรือบางคนเรียกว่ามังกรหลับ ถ้าปลุกขึ้นมาจะได้ตาที่ ๓ เหมือนกัน
ถาม : เวลาที่เรากำลังนั่งกรรมฐานไป ๒๐ - ๓๐ นาทีแล้ว มีความรู้สึกว่ามีคนมายืนหรือนั่งข้าง ๆ สะกิดที่ขาเรา ๒ ครั้ง พอลืมตาขึ้นมาก็ไม่พบเห็นใครอยู่ข้าง ๆ เลย กราบเรียนถามว่า อาจจะเป็นผีที่มาขอส่วนบุญ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมไม่คิดว่าเขามาใบ้หวย ...(หัวเราะ)... เขาอาจจะแค่มาลองดูว่า ในการเจริญกรรมฐานเรายังมีความกลัวหรือเปล่า ถ้าไม่มั่นใจก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป
ถาม : การใช้เทียนสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา มีขั้นตอนและวิธีการใช้ และจะอธิษฐานอย่างไรครับ ?
ตอบ : ขั้นตอนที่ ๑ แกะเทียนออกจากซองก่อน ขั้นตอนที่ ๒ ก็จุด แล้วก็ปักให้ดี หลังจากนั้นก็อธิษฐานว่าจะเอาอะไร แล้วก็นั่งภาวนาไปจนกว่าเทียนจะหมด
ถาม : แล้วต้องมีคาถาอะไรไหมครับ ?
ตอบ : เอาคาถาเงินล้านเป็นหลัก เพราะคาถาเงินล้านนอกจากสะเดาะเคราะห์และปัดอุปสรรคแล้ว ยังให้ลาภใหญ่อีกด้วย
ถาม : ผมได้มีโอกาสใส่บาตรพระที่เดินบิณฑบาตมาหลายครั้ง พบว่าบางรูปจะเอ่ยขอให้ช่วยถวายค่าจีวรซึ่งสวมใส่มานานจนบาง หรือค่าสายสะพายบาตรที่ชำรุด เป็นต้น ซึ่งผมก็ถวายให้ท่านไป แต่มีสิ่งที่สะกิดใจคือ ผมไม่ได้เป็นโยมปวารณาของท่าน ไม่ทราบว่าพระรูปดังกล่าวได้ทำผิดวินัยสงฆ์ไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถามว่าผิดวินัยสงฆ์หรือไม่...ผิดเต็ม ๆ เลย ภิกษุขอสิ่งของจากผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ได้มาต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ คือต้องสละของทิ้งก่อนถึงจะแสดงอาบัติตก ถ้าไม่สละแสดงอย่างไรก็ไม่ตก
แต่คราวนี้เราคิดเสียว่าท่านเอาบุญมาให้ เราเองก็ตั้งใจทำบุญไป ส่วนท่านเองจะสร้างเวรสร้างกรรมอย่างไรก็เป็นเรื่องของท่านเถอะ บุญเป็นของเราก็แล้วกัน
ถาม : คือทำบุญไปแล้วก็ให้สบายใจ ?
ตอบ : ใช่..วางอุเบกขาในการทำบุญให้ได้
ถาม : วัตถุมงคลจากที่อื่น ที่มีคำอาราธนาเฉพาะอยู่แล้ว หากผ่านการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุนแล้ว ควรใช้คำอาราธนาเดิม หรือว่าเปลี่ยนเป็น "อิทธิฤทธิ ฯ" ครับ ?
ตอบ : เอาสองอย่างเลยเพื่อความมั่นใจ ภาวนาสักอย่างละ ๑๐๘ จบก็จะขลังไปเอง ความจริงไม่มีอะไรหรอก อยู่ที่เรามั่นใจ ของเดิมเขามีก็ใช้ของเดิมไป ถ้าของเดิมไม่มีก็มาใช้ตามแบบของหลวงปู่ปานท่านไป
ถาม : ในเรื่องของปีตินั้น สามารถรุนแรงถึงขั้นทำให้ข้าวของเสียหายได้หรือไม่ครับ? (ปกตินั่งสมาธิในห้องพระ กลัวว่าจะทำให้พระพุทธรูปเสียหายครับ)
ตอบ : ยังไม่เคยเจอ
ถาม : ประเภทที่ดิ้นโครมครามนะครับ
ตอบ : อย่าไปดิ้นใกล้เครื่องลายครามราคาแพง ๆ แล้วกัน ไปเจอประเภทราชวงศ์เหม็งสักชุด แตกกระจายไปก็เป็นเรื่อง ถ้าใครเริ่มเข้าส่วนของโอกันติกาปีติ เพื่อความแน่นอนก่อนนั่งกรรมฐานก็จัดแจงสถานที่ให้เรียบร้อยก่อน อะไรจะแตกหักเสียหายได้ก็เก็บ ปูเบาะยูโดให้เต็มห้องก่อน เพื่อความแน่นอน
ถาม : แสดงว่าเวลาปีติขึ้นไม่รู้ตัวก็พลาดพลั้งไปได้เหมือนกัน?
ตอบ : บางทีเผลอไปเหวี่ยงโดนของอาจจะแตกหักเสียหายได้ แต่ตัวเราไม่เป็นไร เพราะว่าตอนนั้นกำลังของสมาธิคุ้มอยู่
ถาม : กรณีที่พ่อแม่ความจำเสื่อม ลูกจำเป็นต้องปิดประตูบ้านไว้ เพื่อป้องกันพ่อแม่หลงทางออกจากบ้าน หรือพ่อแม่ต้องให้อาหารทางสายยาง จึงจำต้องมัดมือไว้ เพื่อป้องกันการดึงสายยางดังกล่าวออก กรณีต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้เป็นลูกควรดำเนินการอย่างไรจึงจะเหมาะสมครับ ?
ตอบ : ทำอย่างที่ว่ามานั่นแหละ แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราทำก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง นึกเสียว่าเราสงเคราะห์ท่านให้ดีที่สุด ถ้าถึงวาระจำเป็นต้องรับคืนก็ยินดี
ถาม : ตรงจุดนี้อานิสงส์ของบุญหรือบาปอะไรจะมากกว่ากันครับ ?
ตอบ : บุญมากกว่า แต่กรรมก็มีนิดหน่อย
ถาม : กรณีนั่งสมาธิ และรู้สึกเหมือนมีแมลงหรือสัตว์เล็ก ๆ วิ่งวนอยู่รอบ ๆ ตัว หรือหนักเข้าก็เข้าไปวิ่งตามเส้นเลือดในตัวเลย กรณีแบบนี้เกิดจากอะไร แล้วควรแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าขันธมารมารบกวน ทำไม่รู้ไม่ชี้ คิดว่าอย่างดีก็ตายเท่านั้น ในเมื่อตายยังไม่กลัว พวกนี้ก็จะถอยไปเอง
ถาม : ที่คันยิบ ๆ นี่ผมเคยเจอครับ ไม่ตายครับ แต่รำคาญถ้าไม่สนใจก็หายเองหรือครับ ?
ตอบ : ให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก จะเป็นอะไรก็ช่างเอ็ง พวกนี้ทนคนหน้าด้านไม่ได้หรอก เจอคนหน้าด้านเดี๋ยวก็ไปเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของท่านอาจารย์มิตซูโอะ จะว่าไปแล้วท่านทำถูก ก็คือรู้ว่าอยู่ไม่ได้ก็สึก ไม่ได้เสียดายสถานภาพตนเองว่าเป็นครูบาอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ต้องบอกว่าท่านรักพระธรรมวินัย รักพระพุทธศาสนามากกว่าตัวเอง แต่คราวนี้คนส่วนใหญ่ไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นอาจารย์ใหญ่สอนกรรมฐานมาขนาดนั้น บวชมานานทำไมถึงสึก
อาตมาชอบใจพระของพม่า บวชเข้าไปวันนั้นเขาก็กราบก็ไหว้ สึกออกมาวันนั้นก็คลุกคลีตีโมงกับชาวบ้านไปเลย อีก ๓ วันบวชใหม่เขาก็กราบใหม่ไหว้ใหม่อีก แสดงว่าพม่าเขาเข้าใจเรื่องของพระของโยมมากกว่าของเรา เขารู้ว่าตอนนี้ท่านอยู่ในสถานะไหน เขาก็เล่นตามบทบาท แต่บ้านเรานี่ตอนบวชไม่แปลกใจ ไปแปลกใจตอนสึก ระดับจะให้บวชแล้วแปลกใจก็คงต้องให้นายกรัฐมนตรีโกนหัวบวชชี ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่แปลกใจกันหรอก แต่ในเมื่อบวชได้ก็สึกได้
ที่น่าเสียดายก็คือ บรรดาท่านทั้งหลายที่แสดงความเห็นจ้วงจาบแรง ๆ ในเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือในเฟซบุ๊ก นั่นสร้างโทษให้แก่ตัวเองแท้ ๆ
ฉะนั้น..เราจะไปตั้งความหวัง คาดหวัง และจะให้คนเขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ขนาดตัวของเราเอง เราตั้งความหวังได้ ยังทำไม่ได้อย่างหวังเลย พอเห็นคนอื่นเขาทำไม่ถูกใจขึ้นมา ก็ใช้คำพูดแรง ๆ ซึ่งลักษณะนั้นมีอยู่อย่างเดียวก็คือ ลดคุณค่าของตัวเอง
ดังที่โบราณบอกว่า
ก้านบัวบอกตื้นลึก...........ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน..........ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดมีคำขาน..........ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ.......บอกร้าย แสลงดิน
เอ่ยปากพูดเมื่อไร คนเขาจะรู้เลยว่าตัวเรามีราคาแค่ไหน ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่หาโทษใส่ตัวโดยใช่เหตุ"
"จะว่าไปแล้วคุณสุทธิรัตน์ทำไม่ถูก ไม่ใช่ทำไม่ถูกที่ไปสึกพระ ที่ไม่ถูกคือเขาประกาศความเป็นเจ้าของเร็วเกินไป แล้วคนอื่นทำใจรับไม่ทัน โดยเฉพาะไปโพสต์รูปคู่หวานจี๋จ๋ากันมาเลย แถมยังมีคลิปลงอีกด้วย รับรองไม่ใช่อาจารย์มิตซูโอะลงเองแน่ คนเคยเคารพกราบไหว้กันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วอยู่ ๆ ก็มาเห็นภาพพจน์ที่ตรงกันข้าม เขาเลยรับกันไม่ได้
แต่คุณสุทธิรัตน์เขาลืมตรงจุดนี้ไป เขาอยากแสดงความเป็นเจ้าของให้คนอื่นเห็น อันนี้จะว่าไปแล้วก็ตัวกูของกูนั่นแหละ ในเมื่ออยากแสดงความเป็นเจ้าของให้คนอื่นเห็น ก็เลยเอาความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นตัวตั้ง โดยที่ไม่ได้ดูความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ พอโพสต์ลงไปก็เป็นเรื่อง เปิดประเด็นให้คนเขาด่าแท้ ๆ เลย ป่านนี้คงต้องกินน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในเป็นโอ่งแล้วกระมัง ?
เรื่องของพระผู้ใหญ่ที่สึกหาลาเพศไป นอกจากท่านอาจารย์มิตซูโอะแล้วก็มีหลวงตาจันทร์ ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธิญาณรังสี นั่นก็เหมือนกัน ท่านรู้ว่าตัวท่านเองอยู่ไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้เสียดายสถานภาพตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองเป็นครูบาอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง แทบจะเรียกลมเรียกฝนได้ ไม่ได้ดูว่าท่านเองเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ได้รับพระราชทานตั้งถึงขนาดเป็นเจ้าคุณชั้นเทพ ท่านรู้ว่าอยู่ไม่ได้ท่านก็สึก
สึกมาแล้วตัวเองไปทำมาหากินอะไร แม้กระทั่งเล่นลิเก ท่านก็ไม่ได้อายเขา ท่านก็ให้เขาสัมภาษณ์ในลักษณะที่ว่าทำมาหากินสุจริต ไม่เห็นต้องไปอายใคร ลักษณะอย่างนั้นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะว่าท่านเองทำถูก เพื่อรักษาพระศาสนา ไม่สร้างความมัวหมอง ทำให้คนส่วนใหญ่ได้เห็นว่าการกระทำที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของพระธรรมวินัยถือว่าท่านทำถูก
เรื่องของพระอาจารย์มิตซูโอะก็เหมือนกัน ท่านไปเงินสักบาทก็ไม่ได้เอาไป ถ้าผู้หญิงแต่งงานด้วยเพราะหวังเรื่องเงินทองก็เจ๊งเลย เพราะท่านไปตัวเปล่า แต่ได้ยินว่าผู้หญิงก็มีฐานะดีอยู่ ก็คงพอที่จะประคับประคองกันไปได้"
ถาม : สำหรับพระ ฉันอาหารหลังเที่ยงไปแล้วไม่ได้ เราสามารถเสิร์ฟด้วยน้ำผลไม้บางชนิด เช่น น้ำผลไม้กล่องจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : พระท่านอนุญาตน้ำปานะให้ ๗ - ๘ อย่าง แต่ก็ต้องดูให้ดี น้ำผลไม้กล่องมักลดต้นทุนด้วยการผสมน้ำสับปะรด สับปะรดเป็นมหาผล ถึงคั้นน้ำแล้วก็ฉันหลังเที่ยงไม่ได้
ถาม : เวลาพระทำผิดศีลก็แสดงอาบัติกับพระ แล้วอย่างฆราวาสละครับ ?
ตอบ : ให้ตั้งใจรักษาศีลใหม่
ถาม : ตั้งศาล ๔ เสาผิดทิศ ถ้าอยู่ทิศตะวันตก แล้วผมจะเยื้องใต้นิดหนึ่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมจะต้องตั้งศาล ๔ เสา ?
ถาม : เผอิญท่านมาบอกว่า ถ้าตั้งได้ก็จะดี ?
ตอบ : เอานายพลไปเป็นคนใช้นี่ดีมากเลยนะ ถ้าไม่รู้ว่าสถานที่นั้นมีอากาศเทวดาจริง ๆ อย่าไปตั้งศาล ๔ เสา แทนที่จะกลายเป็นเคารพ กลับกลายเป็นดูถูกท่าน อากาศเทวดาท่านเป็นเจ้านายใหญ่ พระภูมิเจ้าที่ท่านเป็นบริวาร อยู่ ๆ ไปเอานายพลมาเป็นคนใช้ก็เจริญเท่านั้น..!
การตั้งศาล หลายตำราบอกว่าอย่าให้เงาบ้านทับศาล ความจริงเงาบ้านทับศาลนั้นไม่สำคัญหรอก สำคัญคืออย่าให้ศาลไปอยู่ด้านที่เป็นห้องน้ำ หรือไปอยู่ใต้หน้าต่าง เพราะห้องน้ำห้องส้วมมีความสกปรกเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนไปอยู่ใต้หน้าต่าง เดี๋ยวคนทิ้งขยะข้ามออกมาจะซวยอีก ถ้าไม่รู้ว่ามีอากาศเทวดาอยู่บริเวณนั้นจริง ๆ ไม่ต้องไปตั้งศาล ๔ เสา ถ้ามีอากาศเทวดาจริง ๆ ถึงเวลาท่านจะมาบอกเอง
ถาม : ถ้าสร้างพระยืน ควรสร้างหน้าตักกว้างเท่าไร สูงเท่าไรครับ ?
ตอบ : เอาเป็น ๒ เท่าของพระนั่งก็แล้วกัน พระนั่ง ๔ ศอก พระยืนก็ควรจะสัก ๘ ศอกเป็นอย่างน้อย มาตราส่วนพวกนี้ ช่างปั้นพระเขาจะรู้ดีที่สุด ว่าขนาดไหนพระถึงจะออกมาได้สัดส่วนที่งดงาม
ถาม : ถ้าทำสมาธิแล้วตัวลอยไปชนกับเพดาน แล้วจะตกลงมาไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าใจไม่กังวลก็ชนไปเถอะ แต่ถ้าสมาธิเคลื่อนเราก็จะตกลงมา แต่ไม่บาดเจ็บหรอก เพราะอำนาจของสมาธิคุ้มอยู่
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนอาตมาอิจฉาหลวงปู่ทองเทศ (พระทองเทศ ฐิตสุวณฺโณ วัดท่าซุง) ตอนท่านอายุ ๙๖ - ๙๗ ปี ท่านนอนอ่านหนังสือพิมพ์อย่างมีความสุขเลย องค์ท่านก็เล็กนิดเดียว แล้วหนังสือพิมพ์ไทยรัฐสมัยนั้นขยายหน้าใหญ่ กางออกมาเป็นผ้าปูที่นอนให้ท่านได้เลย ท่านกางหนังสือพิมพ์แล้วก็นอนท้าวคางอ่านไปเรื่อย คนอายุ ๙๐ กว่าปีแต่ไม่ต้องใช้แว่น ดูหนังสือได้สบายเลย
หลวงปู่ทองเทศอายุ ๘๐ ปี ไปขอบวช เอาปัจจัย ๓,๐๐๐ บาท ไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง บอกว่า "ถ้าผมตายช่วยเมตตาเผาศพให้ด้วย" หลวงพ่อก็ว่า "เออ..ไม่รู้ว่าใครจะตายก่อนกัน ?" ท้ายสุดหลวงพ่อท่านไปเสียหลายปีแล้ว หลวงปู่ทองเทศยังอยู่เลย คนอายุ ๘๐ ปีตั้งใจปลงอายุสังขารแล้ว ปรากฏว่าบวชอยู่มาจนอายุ ๑๐๐ กว่าปี
ตอนช่วง ๙๖ ปี ท่านออกบิณฑบาต แล้วลื่นหกล้มหัวเข่าแตก คนแก่กว่าแผลจะสมานก็ ๒ - ๓ เดือน อาตมาจึงบอกว่า "หลวงปู่ไม่ต้องบิณฑบาตหรอก ผมเองเป็นผู้รักษาดูแลโรงครัวอยู่ เดี๋ยวผมสั่งแม่ครัวเขาเอาอาหารไปถวายให้" หลวงปู่ท่านถึงได้ยอมหยุดบิณฑบาตตอนอายุ ๙๖ ปี แล้วท่านไปเอาลูกชาย อายุ ๗๗ ปี มาช่วยดูแลส่งปิ่นโต หิ้วปิ่นโตจากโรงครัวมากุฏิ ลูกชายก็แก่จนเดินสั่นงั่ก ๆ ถ้าถืออะไรที่เป็นน้ำ ๆ ก็หกมาเป็นทางเลย ส่วนหลวงปู่อายุ ๙๖ ปีห่างกันเกือบ ๒๐ ปี เดินได้สบาย ท้ายสุดหลวงปู่ทองเทศมรณภาพตอนอายุ ๑๐๓ ปี"
พระอาจารย์เล่าว่า "ความจริงพระนาคปรกเนื้อเงิน ๒ เซนติเมตร อาตมาคิดว่าจะยังไม่เอาออกมาให้บูชา กะว่าจะออกสักปีหน้า เพราะว่าระยะนี้ไม่ได้ทำวัตถุมงคลอะไร ปรากฏว่าไปสั่งซื้อทองคำมา ๓๐๐ บาท บรรดาพระที่วัดท่าขนุนก็เลยถวายเงินร่วมซื้อคนละ ๑๐,๐๐๐ - ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้ท่าน ก็เลยตัดใจเอาพระนาคปรกเนื้อเงินแท้ ๒ เซนติเมตรถวายท่านไป คราวนี้ให้พวกท่านไปเสียเยอะ กลัวว่าพวกเราที่อยู่ไกลจะไม่ได้กัน จึงต้องให้เขาเปิดกระทู้ร่วมบุญกัน "
ถาม : หลวงปู่พุทธะอิสระโจมตีหลวงปู่เณรคำ ?
ตอบ : ปล่อยเขา ให้เขาทะเลาะกันไป จริง ๆ แล้วเรื่องอย่างนี้ไม่ควรมี พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า เราไม่ควรกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน วาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ
อย่างปัจจุบัน หลวงปู่พุทธะอิสระไปเล่นเรื่องของเณรคำกับมหาเถรสมาคม ว่ามหาเถรสมาคมไม่จัดการ ซึ่งในเรื่องของพระ ถ้าเรามีความเข้าใจจริง ๆ จะทราบว่าต้องไปทีละขั้น เจ้าอาวาสรายงานตำบล ตำบลรายงานอำเภอ อำเภอรายงานจังหวัด จังหวัดรายงานภาค ภาคถึงรายงานเข้ามหาเถรสมาคม แล้วไม่ใช่เข้ามหาเถรสมาคมโดยตรง ต้องไปหาเจ้าคณะหนก่อน ในเมื่อข้างบนสุดนั่งอยู่ เรื่องยังมาไม่ถึง แล้วจะไปจัดการได้อย่างไร ?
สมัยอาตมาเป็นเลขานุการหลวงพ่อจังหวัดกาญจนบุรี ไม่มีเรื่องอะไรถึงท่านเลย จบอยู่แค่อาตมาทั้งหมด ผู้ใหญ่ไม่ต้องกระทบกระเทือน คราวนี้ท่านเองท่านไม่เข้าใจขั้นตอน รู้อยู่อย่างเดียวว่ามีอำนาจอยู่ในมือทำไมไม่จัดการ ? ถ้าตัวเองออกมาจัดการ กลายเป็นว่าอยู่ในลักษณะทำลายกัน ฉะนั้น..ลักษณะทำลายกัน ถ้าเป็นการจัดการเพื่อความดีความงามของคณะสงฆ์ก็แล้วไป แต่คราวนี้จากที่ฟังท่านให้สัมภาษณ์ ท่านบอกว่า ทางด้านเณรคำทุ่มเงินหลายสิบล้านเพื่อจะล้มท่าน เพราะฉะนั้น..ท่านจะต้องล้มเณรคำให้ได้ ก็กลายเป็นไปหักล้างกันเอง
ถ้าเป็นอย่างนั้นที่พังจริง ๆ ก็คือพระศาสนา คือเรื่องจะผิดจะถูก ต้องว่ากันตามกฎหมาย ตามระเบียบวินัย ไม่ใช่ไปว่ากันตามอารมณ์ ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยที่จะสนใจฟังข้อเท็จจริง ส่วนใหญ่เราว่ากันตามความรู้สึก คืออารมณ์ล้วน ๆ ถ้าว่ากันตามอารมณ์ล้วน ๆ นี่ โอกาสพลาดมีสูงมาก
แบบเดียวกับคดีของคุณเอกยุทธ อัญชันบุตร ทางฝ่ายนิติเวช ทางฝ่ายสอบสวน ทุกอย่างลงที่ฆ่าชิงทรัพย์ เพราะว่าทนเห็นเงินมากไม่ได้ หลักฐานพิสูจน์สอดคล้องกับคำสารภาพของผู้ลงมือ แต่ปรากฏว่าปัจจุบันนี้ มีคนพยายามจะคุ้ยขึ้นมาให้เป็นคดีทางการเมือง แล้วสิ่งที่เขาคุ้ยขึ้นมา อย่างเช่นตายเพราะขาดอากาศ น่าจะเป็นการตายเพราะลักษณะนั้น ลักษณะนี้ นั่นเป็นการคิดว่าคาดว่า ไม่ได้มีผลรองรับทางนิติวิทยาศาสตร์เลย ในเมื่อคุณไปคิดว่าคาดว่า ก็ฟังดูว่าความเป็นไปได้นั้นมี แต่ผลพิสูจน์กลับไม่ใช่ ก็เท่ากับว่าไปทำให้บ้านเมืองร้อนขึ้นเฉย ๆ
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่จะไปสแกนดิเนเวียว่า "ถ้าไปสแกนดิเนเวียต้องไปตามรอยพระพุทธเจ้าหลวง สมัยนั้นท่านไปกันครั้งหนึ่งครึ่งค่อนปีเลย เพราะว่าการเดินทางลำบาก สมัยเรามีโอกาสต้องไปดูว่า พระองค์ท่านเสียสละขนาดไหน เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่แท้ ๆ แต่กลับต้องออกไปทำงานเพื่อประเทศชาติ"
ถาม : แล้วท่านไปยุโรปทำไมคะ ?
ตอบ : ไปอุทิศส่วนกุศลให้เขา ตั้งใจว่าใครก็ตามที่เสียชีวิตอยู่ในบริเวณนี้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จะได้รับความสุขก็ดี จะได้รับความทุกข์ก็ดี ขอให้โมทนาในส่วนกุศลที่เราบำเพ็ญแล้ว และอุทิศไป ถ้าไม่ให้เดี๋ยวเขาตามทวงไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน ขนาดไปอินโดนีเซียเขายังกวนอาตมาแทบไม่ได้นอน ต้องลุกมาอุทิศส่วนกุศลให้ก่อน
อาตมาไปยุโรปครั้งนี้ มีบรรดาตัวแสบในยุคนั้นมาเยอะเลย แต่มาช่วยงานนะ ถ้ามาอย่างอื่นก็ไม่เล่นด้วยหรอก มาช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้
ถาม : อยากจะย้ายที่ทำงาน เปลี่ยนงานใหม่ ?
ตอบ : จำไว้ว่าไปที่ไหนก็ตามมักจะลำบากพอกันนั่นแหละ แต่สำคัญตรงที่เราทำอยู่ เรารู้ทางหนีทีไล่หรือเปล่า ? อยู่แถว ๆ นี้เรายืนได้เต็มตีนแล้ว ถ้าไปที่อื่นเราต้องไปเริ่มต้นใหม่ ส่วนใหญ่คนเราไม่ได้คิดถึงตรงจุดนี้
เรื่องของการทำงาน ส่วนใหญ่พอเราเจอแรงกดดันมาก ๆ เข้าแล้วอยากเปลี่ยนงาน โดยที่ลืมไปว่าการเปลี่ยนงาน เราต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กับที่อื่น แต่ตรงจุดที่เราทำนี่เรารู้ทางหนีทีไล่หมดแล้ว อย่างน้อย ๆ ยืนได้เต็มตีนมากกว่า
บางอย่างคนอยู่วงในมองไม่เห็น ต้องให้คนข้างนอกบอก ก็แบบเดียวกับต่างประเทศหลายประเทศจ้างคนไทยทำงาน ทั้ง ๆ ที่ค่าแรงเมืองจีนถูกกว่าตั้งเยอะ พอสงสัยสอบถามเขาว่าทำไมไม่ย้ายฐานการผลิตไปเมืองจีน เขาบอกว่าอยู่เมืองไทยปลอดภัยกว่า ถ้าไปเมืองจีนจะโดนทำเลียนแบบเมื่อไรก็ไม่รู้ พูดง่าย ๆ ก็คืออยู่ ๆ สินค้าของคุณจะเต็มตลาดเลย แต่ไม่ใช่ของคุณหรอก
แต่ถ้าอยู่ในไทยนี่สั่งเท่าไรทำแค่นั้น ฉะนั้น..เรื่องของความซื่อสัตย์ซื่อตรงเป็นที่เชื่อถือได้ เพราะลูกค้ายังมีมากกว่า เขาก็ยอมจ่ายแพงหน่อย
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของลาภการพนัน ตั้งแต่อดีตต้องได้ทำบุญแบบไม่ตั้งเจตนาเอาไว้ อย่างเช่นไปเจอเขาถวายสังฆทานแล้วร่วมถวายไปกับเขา ไปเจอเขาสร้างพระพุทธรูปอยู่ก็ลงไปร่วมลุยกับเขา ทำบุญใหญ่โดยไม่เจตนา เรื่องนี้ออกไปในเรื่องการพนัน ต่อให้ไม่ต้องการก็ได้
แบบเดียวกับจ่าตำรวจที่ตาคลี เพื่อนไปซื้อหวยมาคู่หนึ่ง แล้วกินเหล้าอยู่ด้วยกัน สงสัยว่าเงินจะหมดแต่อยากกินเหล้าต่อ เอาหวยยัดให้เพื่อน เพื่อนไม่ซื้อ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดคู่ละ ๘๐ บาท ท้ายสุดก็เลยลดให้ ๕๐ บาท เพื่อนก็รับแบบเสียไม่ได้ รุ่งขึ้นดันถูกรางวัลที่ ๑ ได้เงิน ๖ ล้านบาท เงินอยู่ในมือตัวเองไปยัดให้คนอื่น แถมไปลดราคาให้ด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าบุญทำไว้ ถึงเวลาก็มาเอง"
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่มากกว่าจ้ะ ถ้าทำบุญโดยเจตนาจะเป็นเศรษฐีไปเลย แต่ถ้าบุญแบบไม่เจตนานี่ต้องรอลาภการพนัน อาตมาเองทำทุกท่า ตั้งใจทำก็เอา ไม่เจตนา เจอที่ไหนก็ทำกับเขาก็ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเผลอเกิดใหม่นี่รับรองนับเงินไม่ไหว ดูอย่างคุณทักษิณ ขนาดโดนยึดทรัพย์ไปตั้งกี่หมื่นล้าน นี่เขาเพิ่งจะประกาศว่ามีอีก ๕๓,๐๐๐ ล้านบาท..!
ถาม : ทักษิณทำบุญอะไรคะ ถึงรวยขนาดนั้น ?
ตอบ : ก็คงสังฆทานนี่แหละจ้ะ ไม่ต้องอะไรมากมายหรอก เพียงแต่วาระมาสนองพอดี อย่าลืมว่าคุณทักษิณก่อนจะรวยนี่แกทุ่มหมดตัวเลยนะ ถ้าเรื่องของโทรศัพท์มือถือไม่สำเร็จแกก็เป็นหนี้หัวโตเลย กู้เขารอบทิศทาง ขนาดเอากิจการของชินวัตรไหมไทยไปเข้าค้ำประกันไว้ ท้ายสุดแทงหวยถูก ในเมื่อแทงหวยถูกก็เลยรวยขึ้นมา
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการเมือง ถ้าจะคิดต้องคิดอย่างในหลวง ในหลวงจะไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีฝ่ายรัฐบาล จะไม่มีอิสลาม จะไม่มีพุทธ แต่ว่าทุกคนคือพสกนิกรที่พระองค์ท่านจะต้องปกครองให้มีความสุขเสมอหน้ากัน แต่รัฐบาลของเราในปัจจุบันยังก้าวข้ามไม่ได้ตรงจุดนี้ ที่ก้าวข้ามไม่ได้เพราะว่ายังมีพรรคของตัว ยังมีพวกของตัวอยู่ ในเมื่อยังมีพรรคของตัวพวกของตัวอยู่ ถึงเวลาตัวเองทำดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าพรรคพวกที่ตั้งขึ้นมาทำไม่ดีก็เสียหายหมด คงต้องอีกหลายปีกว่าที่นักการเมืองของเราจะมีจิตสำนึก มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมเพียงพอ
แต่จริง ๆ ๓ ตัวนี้อยู่ที่ศีลธรรมอย่างเดียว คุณปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งความดีทรงตัวจะเกิดเป็นคุณธรรมประจำใจของตนเอง บุคคลที่มีคุณธรรมประจำใจ จริยธรรมคือการแสดงออกก็จะเป็นไปในทางที่ดีโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น..หากว่ามีศีลธรรมทรงตัว ก็จะมีคุณธรรม เมื่อมีศีลธรรม คุณธรรมทรงตัว จริยธรรมก็จะดีโดยอัตโนมัติเอง"
ถาม : บ้านเมืองเราดีขึ้นแล้วใช่ไหม ?
ตอบ : ตั้งแต่ปีนี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อปี ๒๕๔๙ ทันทีที่เขาปฏิวัติแล้วโยมถามว่า บ้านเมืองเราจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม ? อาตมาก็ยืนยันว่า ถ้าไม่ใช่หลังปี ๒๕๕๖ ไปแล้วจะไม่ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ดีทีเดียว จะค่อย ๆ ขึ้นทีละนิด เดี๋ยวรออาตมาหล่อพระทองคำเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็จะค่อย ๆ เริ่มฟ้าแจ้งจางปาง
สร้างพระทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้ว เขาบอกต้องใช้ทองคำ ๔๐ กิโลกรัม ตอนนี้มี ๔ กิโลกรัมแล้ว เมื่อไม่ได้มี ๘ ตันเท่ากับเณรคำ ก็ต้องค่อย ๆ หา
พระอาจารย์กล่าวว่า "เงินที่ญาติโยมถวายมาเพื่อร่วมสร้างพระทองคำ ตอนนี้อาตมาใช้เกินบัญชีไปแล้ว รวม ๆ แล้วซื้อทองไป ๔๐๐ บาทแล้ว ต้องบอกว่าเพื่อประเทศชาติและประชาชน จะฉิบหายเท่าไรก็ช่าง สร้างให้ได้แล้วกัน เพราะท่านยืนยันว่าถ้าสร้างพระองค์นี้เสร็จเมื่อไร สถานการณ์ของประเทศชาติจะอยู่ในลักษณะฟ้าแจ้งจางปาง จะไม่รวยได้อย่างไร ขนาดพระยังสร้างด้วยทองตั้ง ๔๐ กิโลกรัม ชาวบ้านเขาจะได้รวยกันบ้าง แต่กว่าจะได้สร้างก็ปี ๒๕๖๒"
ถาม : สร้างปีนี้เลยสิครับ ?
ตอบ : หามาสิ..ถ้าครบ ๔๐ กิโลกรัม จะสร้างให้ปีนี้เลย..!
ถาม : เดี๋ยวกะว่าจะไปขอของหลวงปู่เณรคำมาถวาย
ตอบ : ของหลวงปู่เณรคำแปรธาตุกลายเป็นธนบัตรไปหมดแล้ว แถมยังโอนไปแล้วด้วย
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อตอนย้ายจากบ้านอนุสาวรีย์มาที่นี่ โยมจะถวาย Lexus ๑ คัน อาตมาบอกว่ารถราคาตั้งหลายล้าน เกินฐานะไป เดี๋ยวขี้กลากจะขึ้นเอา คนให้เขาบอกว่า ลักษณะการเดินทางโดยเฉพาะพื้นที่ป่าและเขา ควรจะเป็นรถขับเคลื่อน ๔ ล้อ อาตมาก็เลยขอเป็น Fortuner ก็พอ อย่างน้อย ๆ โยมก็ยังเหลือเงินอยู่ ๒ - ๓ ล้านบาท
เรื่องอย่างนี้ต้องบอกว่าอยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ใช่ว่าโยมถวายแล้วเราจะไปรับอะไรเรื่อยเปื่อย เอาแค่พอสมกับฐานะ เราเป็นพระ อยู่ในฐานะขอทาน พระพุทธเจ้าสอนให้เราไปขอคนอื่นเขา เพื่อลดทิฎฐิมานะของตนเอง ถ้าขอทานรวย แล้วใครจะอยากให้การสนับสนุนอุ้มชู ยกเว้นลุงเอี่ยม แต่ลุงเอี่ยมเขาก็ถวายวัดหมด น่าชื่นใจนะ เป็นขอทานมีเงินทำบุญครั้งละล้าน แล้วแกยิ่งทำก็ยิ่งได้ ใครไปก็หาลุงเอี่ยม ๆ
ตอนนี้คนทั้งประเทศรู้จักกันหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านั้นก็จะเห็นขอทานคนหนึ่ง เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั่งคอพับอยู่ มาตอนนี้ลุงเอี่ยมนั่งเฉย ๆ ก็มีคนเอาเงินไปให้ บางทีประกาศถามหาเลยว่าลุงอยู่ที่ไหน
อาตมาอยู่วัดไร่ขิงมาแต่แรก ๆ ไปดูลุงเอี่ยมแล้วก็เห็นวิธีขอเงินของเขานะ ผ้าปูนั่งของแกจะเขียนใบ้หวยไว้ แล้วการใบ้หวยของลุงเอี่ยมนี่ อาตมาดูไปดูมาแล้วมีครบ ๑๐ ตัวเลย อย่างไรก็ต้องมีคนถูก ตั้งแต่ ๐ ถึง ๙ มีครบเลย แกจะเขียนเป็นชุด ๆ เป็นวง ๆ อยู่ ๔ - ๕ วง อยู่ตรงหน้าแก ดูไปดูมาแล้วมีครบ แบบที่เขาว่า ๒, ๕, ๘ ระหว่างเลขข้างเคียง อย่าทิ้ง ๐ เลขข้างเคียงของ ๒ ก็ ๑ กับ ๓ เลขข้างเคียง ๕ ก็ ๔ กับ ๖ เลขข้างเคียง ๘ ก็ ๗ กับ ๙ อย่าทิ้ง ๐ อาตมาก็ใบ้เป็นถ้าให้ใบ้อย่างนั้น"
ถาม : ที่บอกว่าพระอริยเจ้ากลับมาเกิดใหม่ ?
ตอบ : ถ้าเป็นระดับพระอนาคามีไปแล้วนี่ไม่มีทางเลย มาเพื่อสงเคราะห์คนได้ แต่ไม่ใช่กลับมาเกิดใหม่ การกลับมาสงเคราะห์นี่มีทั้งประเภทมาเป็นกายเนื้อ ๆ จับได้ต้องได้ หมดธุระท่านก็ไปตามแบบของท่าน ก็คือท่านต้องการจะให้กายหยาบหรือละเอียดอย่างไรอยู่ที่ท่าน แต่การมาเกิดใหม่นี่เกิดไม่ได้
ถาม : อย่างเซียนของจีน ?
ตอบ : เรื่องเซียนของจีนต้องตีความกันก่อน เซียนของจีนเขามีทั้งพระอริยเจ้า แล้วก็มีทั้งผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติ เพราะฉะนั้น..ถ้าเอ่ยถึงว่าเซียน เราต้องสรุปเลยว่าเซียนทุกท่านไม่ใช่พระอริยเจ้า แต่พระอริยเจ้าทุกท่านเป็นเซียน
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าอาจารย์เขาใช้คำพูดบางอย่างที่ไม่นึกว่าจะมีผลต่อสภาพจิตใจของลูกศิษย์ คือท่านเองอาจจะพูดให้ฟังดูง่ายว่า เรื่องของคณิตศาสตร์แค่นับหนึ่งให้ถึงร้อย แล้วทอนเงินเป็นก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องเรียนอะไรมากหรอก อาตมาก็เลยไม่คิดอยากจะเรียน ทั้ง ๆ ที่เวลาเรียนถ้าตั้งใจทำก็ทำได้ดี แต่กลายเป็นมีทัศนคติที่ไม่ดีว่าเรียนไปก็เท่านั้นเอง นับหนึ่งถึงร้อย ทอนเงินเป็นก็ใช้ได้แล้ว
ปรากฏว่าตอนอยู่ มศ. ๓ โยมพ่อตาย ขาดเรียนไปจัดงานศพอยู่ ๑๐ วัน วิชาคณิตศาสตร์ขาดเรียนครึ่งชั่วโมงก็แย่แล้ว นี่ขาดไปตั้ง ๑๐ วัน ไปถึงเขาสอบเก็บคะแนนพอดี อาตมาก็นั่งคู่กับเพื่อน พอหันไปมองเพื่อนว่า “มึงอย่าลอกกูนะ” ได้ยินแล้วฉุนขาดเลย ไม่ลอกก็ได้วะ อาจารย์ท่านออก ๒ ข้อ ข้อละ ๑๐ คะแนน รวมคะแนนเก็บ ๒๐ คะแนน สอบเสร็จอาตมาได้คะแนนเต็ม เพื่อนได้ ๐ เลยคิดว่า "เออ..ถ้ากูลอกมึงก็เจริญเลยสิ ดีที่กูทำเอง.."
โดยเฉพาะพวกเด็กหลังห้อง ต้องให้ความสนใจมาก ๆ เลย อาตมาสอนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ พวกเด็กหลังห้องจะสยอง เพราะไม่ได้ยืนหรือนั่งอยู่กับที่ แต่เดินบรรยายไปทั้งห้องเลย ถ้าตรงไหนต้องการให้เขาจำหรือเป็นภาษาอังกฤษ ก็เขียนขึ้นกระดานให้เขา ถ้าตรงไหนจะออกข้อสอบก็จะบอกด้วยให้จด ใครไม่จดออกมาทำไม่ได้ก็แล้วแต่คุณเองนะ ช่วยถึงขนาดนั้น ออกข้อสอบตรงไหนยังบอกเลย คราวนี้เท่ากับบังคับให้เขาต้องคอยระวัง จะออกตรงไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็มาแล้ว
ช่วงเทอมนี้สอนการจัดการเชิงกลยุทธ์ เป็นวิชาที่ลูกศิษย์จะต้องเริ่มหลับตั้งแต่ ๕ นาทีแรก แต่ปรากฏว่าสอนเขาเลยเวลา ๓ ชั่วโมงทุกทีเลย คือเอาเหตุการณ์จริง ๆ ที่เกิดขึ้นไปเล่าให้เขาฟัง ก็เลยสนุกเฮฮา แล้วก็ซักถามกัน อย่างที่มาของการจัดการเชิงกลยุทธ์ เพราะเกิดจากการแข่งขันในทางการค้าในปัจจุบัน ที่อยู่ในลักษณะเหมือนฆ่ากันตาย ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียก Cut Throat แข่งกันชนิดเอากันตายไปข้างหนึ่ง ก็เลยยกตัวอย่างคู่กัดในบ้านเรา อย่างเป๊บซี่กับโค้ก เบียร์สิงห์กับเบียร์ช้าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์กับพฤกษา ยกตัวอย่างให้ดูทีละอย่างเลย ก็สนุกสนานเฮฮากันไปใหญ่"
"โดยเฉพาะตอนที่เขาต่อสู้กันในโฆษณา หยอดเหรียญที่ ๑ โค้กกลิ้งมา ๑ กระป๋อง หยอดเหรียญที่ ๒ โค้กกลิ้งมา ๑ กระป๋อง วางลงเอาตีนเหยียบ ขึ้นไปหยอดเหรียญที่ ๓ เอาเป๊บซี่ แสบขนาดนั้น..! ระยะเวลาโฆษณาประมาณ ๒ นาที ยอมให้เขาไปนาทีครึ่ง ใคร ๆ ก็คิดว่าโฆษณาโค้กแน่นอนเลย ที่ไหนได้เขาเอาโค้กมาเป็นบันได ยอมเสียเงินหยอดโค้กมา ๒ เหรียญเพื่อจะกินเป๊บซี่ให้ได้ เป๊บซี่ต้องดีขนาดไหน คนกินถึงยอมลงทุนขนาดนั้น
ส่วนอีกอันก็โฆษณาเหมือนกับไทยเที่ยวไทย ไม่ไปไม่รู้ ที่ไหนได้พอภาพสุดท้าย กระดกเบียร์สิงห์ตอนนั่งอยู่บนหลังช้าง ตอนแรกเราก็ว่าการท่องเที่ยวไทยแน่ ๆ เลย ที่ไหนได้โฆษณาเบียร์สิงห์ นั่งหลังช้างเที่ยวป่า กินสิงห์บนหลังช้างเลย ให้เห็น ๆ ไปเลยว่าสิงห์ขี่ช้าง แสบไส้จริง ๆ..!
เมืองไทยประกันชีวิตยกตัวอย่างไม่ได้ เพราะเมืองไทยประกันชีวิตไม่ยอมแข่งกับใคร เปิดแนวของตัวเองไปเลย ใครจะเลียนแบบไม่ว่า แต่ข้าไม่ตามใคร เพราะฉะนั้น..โฆษณาของเมืองไทยประกันชีวิตจะอยู่ในลักษณะสร้างสรรค์ บางอย่างกระทบใจมาก ๆ เลย อย่างที่ทุกเช้าคุณลุงจะต้องเดินขึ้นเขา อาตมาก็นึกว่าออกกำลัง ที่ไหนได้ไปสีซอให้หลุมศพภรรยามา ๓๐ ปี รักยังไม่จืดจางเหมือนไทยประกันชีวิตรักคุณ น่าเคลิ้มจริง ๆ
โดยเฉพาะโฆษณาคุณพ่อที่เป็นใบ้ อันนั้นจริง ๆ ประทับใจทุกอย่างเลย แต่พลาดอยู่จุดเดียว พลาดตรงที่ว่าเขาได้ยินเสียงลูกล้มอยู่ชั้นบน ซึ่งถ้าเป็นอาตมาไม่ทำอย่างนั้นหรอก จะให้เลือดของลูกหยดแปะลงหน้าแก แต่ในโฆษณาพ่อได้ยินเสียงลูกล้ม ซึ่งคนที่เป็นใบ้ก็คือหูหนวกด้วย แต่ต้องบอกว่าโยมที่เล่นเป็นพ่อนี่เก่งสุดยอดเลย เพราะว่าท่าใบ้ของแกทุกท่าพวกเราจะดูออกหมด ว่าแกหมายความว่าอะไร"
"ต้องบอกว่าเด็ก ๆ บางทีเขามีโลกในความฝันที่เอามาปะปนกับความเป็นจริงมากจนเกินไป แล้วก็ปฏิเสธโลกของความเป็นจริง ก็เลยทำให้ยอมรับไม่ได้ว่าพ่อตัวเองเป็นใบ้ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ก็ไม่ได้นึกถึงใจของคนอื่น ถึงเวลาก็ล้อเลียน เอาป้ายไปแปะหลัง “ลูกไอ้ใบ้” การที่รู้สึกว่าพ่อตัวเองไม่สมประกอบ กำลังใจก็แย่มากแล้ว นี่ยังไปล้อเลียนซ้ำเติมเขาอีก แล้วบางทีเด็ก ๆ ก็เล่นสนุกอย่างเดียว โดยที่ไม่คิดว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไร
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม่แขนขาด แขนขาดแล้วใส่แขนปลอม แล้วเพื่อน ๆ ก็ล้อว่าแม่เป็นหุ่นยนต์ ปรากฏว่าทางโรงเรียนก็เรียกผู้ปกครองไปพบ แล้วก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เล่าให้ฟังว่าพาลูกไปเที่ยวนากุ้ง แล้วลูกลื่นตกจากบ่อลงไป ไหลเข้าไปหาเครื่องปั่นอากาศ ด้วยความที่เห็นว่าลูกกำลังจะเกิดอันตรายไหลเข้าไปหาใบพัดนั้น คุณแม่ก็โถมเข้าหาเลย จะไปหยุดใบพัดให้ได้ ช่วยลูกรอดมาได้ แต่โดนตัดแขนขาดไป คราวนี้เมื่อคุณครูรู้เรื่องก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ฟังในห้องเรียน ว่าที่แม่เป็นอย่างนี้เพราะว่าความรักลูก ก็ทำให้ทุกคนเห็นว่า คุณแม่เป็นผู้ที่เสียสละจริง ๆ ท้ายที่สุดเด็ก ๆ ทุกคนก็มาขอขมาที่เคยล้อเลียนเพื่อนไว้ ต้องบอกว่าครูแก้ปัญหาเก่ง แก้ปัญหาได้ตรงจุด ถ้าเป็นที่อื่นก็อาจจะปล่อยให้เขาล้อเลียนกันไปเรื่อย โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
การ์ตูนเรื่องอะไรจำไม่ได้ ที่เขาให้นักเรียนวาดภาพแม่ของแต่ละคน มีคนหนึ่งวาดภาพแม่เขา แม่เป็นตู้เย็น แม่เป็นเครื่องซักผ้า แม่เป็นเตารีด แม่เป็นชิงช้า ฯลฯ แต่จริง ๆ แล้วแม่เขาทั้งอ้วนทั้งใหญ่ แล้วคุณครูก็ถามว่าหมายความว่าอย่างไร แม่เป็นชิงช้าก็คือเกร็งแขนข้างหนึ่งให้ลูกโหนเล่นได้ แม่เป็นตู้เย็น อยากกินอะไรก็หามาให้ได้ แม่เป็นเตารีด ถึงเวลาไปโรงเรียน แม่ก็รีดผ้าให้ แม่เป็นเครื่องซักผ้า ถึงเวลาซักผ้าให้ กลายเป็นว่า เด็กเขามีมุมมองของเขาเองที่น่ารักมาก
ก็เลยทำให้เพื่อน ๆ ที่เคยล้อเลียนว่าลูกนางยักษ์ ถึงเวลาก็วิ่งไปหา “คุณแม่แปลงกายให้ดูหน่อย” จริง ๆ แล้วทุกอย่างมีแง่งาม เพียงแต่ว่าเรามองเห็นหรือไม่ "
ถาม : กายคตานุสติ อย่างผมบนศีรษะจะดูอย่างไร ?
ตอบ : ไม่สระหัวสัก ๗ วันก็พอ ถ้าไม่มีประสบการณ์มา ความเชื่อจะไม่มี หรือไม่ก็ดูพวกที่ไม่ค่อยจะเต็ม เดินยิ้มทั้งวัน ดูว่าผมเป็นสังกะตังทั้งหัวนั้นเป็นอย่างไร
ถาม : ต้องใช้ปัญญา ?
ตอบ : เขาถึงต้องใช้ปัญญามาก เรื่องของวิปัสสนาเป็นการเจริญปัญญา
ถาม : ดูภาพจริง ๆ ก่อนหรือต้องดูของจริง ?
ตอบ : ตอนแรกจะเป็นการนึกก่อน ถ้านึกแล้วสภาพจิตยอมรับ จะเป็นปัญญา ตอนแรกเป็นแค่สัญญา เพราะต้องนึกก่อน
ถาม : ท้าวมหาราชทั้งสี่ ถ้าจะตั้งท่านบูชาต้องเรียงอย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าตั้งเรียงไว้ถูกก็จะดี เรียงจากซ้ายมือของเราไปทางขวา คือท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักษ์
ท้าวมหาราชทั้งสี่ โดยศักดิ์แล้วเสมอกัน คือเป็นมหาราชที่รับผิดชอบโลกมนุษย์ในทิศหนึ่ง ๆ แต่คราวนี้ทั้งหมดมีข้อตกลงกันว่า ถ้ามีอะไร..การตัดสินใจของท้าวเวสสุวรรณถือว่าเป็นเด็ดขาด ก็เลยทำให้ท้าวเวสสุวรรณเหมือนกับเป็นหัวหน้าของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไปโดยปริยาย
ถาม : ในสติปัฏฐานเขาเขียนว่าตัดวิตกวิจาร นี่เป็นระดับฌาน ๒ ?
ตอบ : ความจริงถ้ายังวิตกวิจารอยู่ ก็ยังเป็นฌานไม่ได้ แต่คราวนี้ถ้าเราบอกว่าไปตัดเลย เขาก็ไม่เข้าใจว่าตัดอย่างไร จริง ๆ แล้วก็คือ ถ้ากำลังใจถึงจุดนั้นแล้ว จะก้าวข้ามขั้นไปเอง ในเมื่อข้ามขั้นไปแล้ว เราจะไปคิดว่าตอนนี้เราจะภาวนานะ ใจจะไปจดจ่ออยู่ ไม่ใช่แต่ฌาน ๒ หรอก ฌาน ๑ ยังเข้าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..เมื่อละเองโดยอัตโนมัติแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไป
แบบเดียวกับที่โยมหลายคน พอจิตเริ่มจะเข้าสู่สภาพของฌานที่ละเอียดขึ้น ลมหายใจหายไป ก็ตะกายกลับไปหายใจใหม่ทุกที
ถาม : เพราะกลัวตายหรือครับ ?
ตอบ : บางคนไม่ได้กลัวตาย คิดว่าตัวเองลืมดูลมหายใจ กลัวตายก็ส่วนหนึ่ง แต่หลายคนคิดว่าตัวเองลืมลมหายใจ ลืมการภาวนา ก็รีบตะกายกลับไปเริ่มต้นใหม่ ก็เลยทำให้ขึ้นบันไดไปแล้วก็ถอยหลังอยู่นั่นแหละ จะว่าไปแล้วท่านเหล่านี้ถ้านาน ๆ ไปจะเป็นผู้ชำนาญมาก ซ้อมบ่อย พอตัวเองหายโง่แล้วต่อไปจะบอกเขาได้ชัดมากเลย ว่าต่อไปอย่าทำอย่างนี้ เพราะตัวเองเจ็บมาเยอะแล้ว
ถาม : อย่างกสิณเราก็ไม่ต้องมานั่งดูว่าเป็นวิตกวิจาร ?
ตอบ : ให้สนใจแต่ภาพกสิณ ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาเท่านั้น
ถาม : เขาบอกว่าพระบิดาของทุกศาสนาเป็นอันเดียวกัน ผมงงครับ ?
ตอบ : ต้องถามเขา ไปนึกถึงหลวงพ่อเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (หลวงพ่อเจ้าคุณประยุทธ์) บอกว่า “ใครชอบพูดให้ผมได้ยินว่าศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน ถ้าศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน แล้วจะแยกออกไปทำไม ใช้สอนคำเดียวกันก็หมดเรื่อง”
ถ้าสรุปก็คือ ศาสนาทุกศาสนามีหลักการ สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน ไม่ใช่ศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นหลวงลุงสุนทร วัดท่าซุง นี่เถียงใจขาดเลย “พุทธศาสนาของเราสอนให้เข้าถึงความบริสุทธิ์จริงแท้ จะไปเหมือนคนอื่นเขาได้อย่างไรวะ.!”
มีโยมมากราบขอสัมภาษณ์พระอาจารย์ถ่ายทำรายการ ท่านกล่าวว่า "ถ้าได้คนที่เข้าใจสถาปัตยกรรม หรือศิลปกรรมอะไรได้จริง ๆ นี่จะดีมากเลย จะได้แนะนำในสิ่งที่น่าสนใจมาก บางทีแค่ลายก้านขดลายเดียวก็อธิบายได้เป็นวันแล้ว
ตอนไปวัดต่าง ๆ พอเห็นก็จะพอเดาได้ว่า พวกนี้นิยมสร้างกันในสมัยไหน อย่างรัตนโกสินทร์ของเรา ถ้าเป็นสไตล์จีนก็จะรู้ว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๒ - ๓ เพราะว่าสมัยนั้นนิยมมากก็คือ เอาเครื่องสังคโลกที่แตก ๆ หัก ๆ มาดัดแปลงเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ ถ้าเห็นหน้าบันเป็นรูปมงกุฎ รู้เลยว่าสร้างสมัยรัชกาลที่ ๔ เพราะพระองค์ท่านมีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้ามงกุฎ ถึงเวลาสร้างก็จะติดสัญลักษณ์ของพระองค์ท่านเข้าไปด้วย
ถ้าเห็นพญาครุฑอยู่ โดยเฉพาะครุฑตัวเดียว ไม่มีนาค ไม่มีอะไร หรือไม่ก็เป็นนารายณ์ทรงสุบรรณ ให้รู้ว่าเป็นของรัชกาลที่ ๕ คือตั้งแต่ต้นมา ถ้าเขาทำพระราชลัญจกรครุฑพ่าห์ ก็จะเป็นครุฑยุดนาค มือก็กำคอ ตีนก็เหยียบหาง หรือไม่ก็มือจับหาง ตีนกำหัว รัชกาลที่ ๕ ทรงให้พระราชวินิจฉัยว่า ครุฑเอานาคไปทำอะไร ? ถ้าเอาไปเป็นอาหารก็ดูท่าจะตะกรามเต็มที กลัวอดหรืออย่างไร ? ไปไหนถึงต้องหิ้วไปด้วย ท้ายสุดพระองค์ท่านก็เลยให้ทำออกมาเป็นเฉพาะครุฑอย่างเดียว เป็นครุฑผงาด ไม่มีนาค ไม่มีอะไร
ถึงเวลาถ้าท่านที่เข้าใจหลักสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม จะบอกได้หมดว่าอะไรเป็นอะไร จะได้รู้ เห็นเจดีย์ มณฑป จะได้รู้ว่านี่ย่อมุมไม้ ๑๒ หน้าตาเป็นอย่างไร บันแถลงหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมชาวบ้านเขาเรียกซุ้มรังไก่ จะได้รู้ว่าส่วนไหนคือปล้องไฉน ส่วนไหนคือคอระฆัง ส่วนไหนคือปลียอด เม็ดน้ำค้าง ถ้าคนที่เขาบอกได้ จะทำให้เราได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเยอะ กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ไม่ใช่แนะนำวัดนั้นวัดนี้อยู่ที่ไหน มีครูบาอาจารย์ดังอะไรทางด้านไหน นั่นแค่เรื่องพื้น ๆ รู้ก็ให้รู้ลึกรู้จริงไปเลย
ไปถึงเจดีย์องค์หนึ่งก็ชี้ อันนี้บัวเชิงบาตร เราก็ต้องรู้ว่าเป็นอะไร อันนี้คือฐานบัทม์คืออะไร หรือไม่ถ้าชี้ขึ้นไปบนหลังคาโบสถ์ อันไหนเป็นอะไรต้องบอกให้ถูก ใบระกากับหางหงส์ต่างกันอย่างไร นาคสะดุ้งหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นต้น"
ถาม : ตอนแรกว่าจะทำวัดประจำรัชกาลเป็นเรื่องแรก ?
ตอบ : วัดประจำรัชกาลที่ ๑ และ ๒ คือวัดอะไร ?
ถาม : ขอดูโพยก่อนค่ะ
ตอบ : วัดประจำรัชกาลที่ ๑ คือพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดประจำรัชกาลที่ ๒ คือวัดอรุณราชวราราม วัดประจำรัชกาลที่ ๓ คือวัดราชโอรสาราม วัดประจำรัชกาลที่ ๔ คือ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม วัดนั้นทั้งวัดเป็นสีมาทั้งหมด ถึงเวลาทำสังฆกรรมต้องเชิญอนุปสัมบัน คือสามเณรและฆราวาสออกจากวัดทั้งหมด ปิดประตู แล้วถึงทำสังฆกรรมได้ มหาสีมากำหนดให้เป็นสีมาทั้งวัดเลย ถ้าพัทธสีมากำหนดคือแค่เขตรอบโบสถ์เท่านั้น
รัชกาลที่ ๕ ก็วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามเหมือนกันนะ ไม่ใช่ไปจำว่าวัดเบญจฯ นะ
ส่วนวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม รัชกาลที่ ๕ ท่านตั้งใจสร้างถวายคณะสงฆ์ธรรมยุติเหมือนกัน แต่กลายเป็นวัดมหานิกาย เพราะพระมหานิกายตอบปัญหาถูกใจ ตอนช่วงนั้นเป็นช่วงที่ศึกเสือเหนือใต้มารอบ เราต้องเสียดินแดนตรงนั้นตรงนี้ไป รัชกาลที่ ๕ ก็ปรึกษาพระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ อย่าเอ่ยนามท่านเลยนะ..เสียหายเยอะ ถ้าศึกเสือเหนือใต้ประชิดเมืองมา จะขอให้พระที่บวชอยู่สึกออกมาเป็นทหาร พระคุณท่านจะเห็นว่าอย่างไร ?
ฝ่ายธรรมยุติก็ตอบว่า การรบราฆ่าฟันนั้น เป็นเรื่องของทางโลก ไม่ใช่เรื่องของบุคคลที่เข้ามาบวชแล้วอย่างพระเณร ฉะนั้น..ไม่อาจที่จะให้สึกไปเป็นทหารได้หรอก เพราะว่าไปฆ่าไปเบียดเบียนคนอื่นเขา แต่พอมาถามหลวงพ่อฝ่ายมหานิกาย ท่านบอกว่า แล้วแต่พระประสงค์ ถ้าพระองค์สั่งมาคำเดียว จะทำตามนั้นเลย ตอบถูกใจประโยคเดียว ได้วัดมา ๑ วัด จากที่ท่านตั้งใจจะให้ฝ่ายธรรมยุติ ก็เลยกลายเป็นวัดมหานิกายไปเลย
ส่วนรัชกาลที่ ๖ จริง ๆ แล้วพระองค์ท่านไม่ได้สร้างวัดเพราะเห็นว่าวัดมีมากแล้ว จึงสร้างโรงเรียน แต่โรงเรียนของพระองค์ท่านหน้าตาเหมือนวัดเลย ก็คือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เล่นเอาคุณปู่คุณย่าที่มาจากต่างจังหวัด เดินทางผ่านก็ยกมือขึ้นมาสาธุ “ใครหนอ ? สร้างวัดได้งามแท้” โรงเรียนจ้ะ ไม่ใช่วัด หน้าตาเหมือนวัดทุกอย่างเลย
ส่วนรัชกาลที่ ๗ ยังไม่ทันได้สร้างวัดประจำรัชกาล ของรัชกาลที่ ๘ พระบรมอัฐิบรรจุอยู่ที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ก็เลยเหมาเอาวัดสุทัศน์เทพวรารามเป็นวัดประจำรัชกาลไปด้วย ส่วนของรัชกาลที่ ๙ ตอนแรกคือวัดญาณสังวราราม แต่วัดญาณสังวรารามไม่ได้สร้างขึ้นโดยพระราชดำริ แต่สร้างขึ้นโดยคณะสงฆ์ธรรมยุต ตั้งใจถวายเพื่อเฉลิมพระเกียรติ วัดในพระราชดำริของพระองค์ท่านจริง ๆ ก็คือวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ก็เลยเปลี่ยนเอาวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๙
จะเห็นได้ว่าบรรดาพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ก็ให้การอุปถัมภ์วัดฝ่ายธรรมยุตมาโดยตลอด เพราะถือว่าผู้ที่บวชเป็นลูกท่านหลานเธอทั้งนั้น แต่พอมาสมัยรัชกาลที่ ๕ จะเห็นชัด ๆ เลยว่า ตั้งมหาธาตุวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันก็คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้คณะสงฆ์มหานิกาย โดยตั้งเป้าว่าให้ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง แล้วก็มาสร้างวัดเบญจฯ ถวายทางมหานิกาย ที่เห็นชัด ๆ นอกนั้นแล้วก็เหมือนเดิม ก็คือกลับไปสนับสนุนทางด้านธรรมยุต
อาจจะเป็นเพราะธรรมยุตเขาสอนกันต่อ ๆ มาว่า อย่างไรก็ต้องเกาะติดเชื้อพระวงศ์ไว้ให้ได้ แล้วธรรมยุตเขามีการเอื้อเฟื้อกัน ถึงเวลาก็ไปถึงกันหมด เขาจะไม่ปล่อยให้โดดเดี่ยวเดียวดาย จะอยู่ลักษณะพระผู้ใหญ่เอื้อเฟื้อพระผู้น้อย ถึงเวลานิมนต์วัดเล็กวัดน้อยถ้าเป็นธรรมยุตก็ไปหมด แล้วในขณะเดียวกัน ไปแล้วก็อาศัยบารมีพระผู้ใหญ่นั่นแหละ กราบทูล ทูลเชิญบรรดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน หรือเชื้อพระวงศ์ไป ก็เลยกลายเป็นว่าวัดธรรมยุตเกือบทุกวัด จะมีการกราบทูล หรือทูลเชิญในหลวง พระราชินี หรือว่าบรรดาพระญาติพระวงศ์ต่าง ๆ ไปเหยียบวัดมาแล้วทั้งนั้น
ส่วนมหานิกายของเรายังตัวใครตัวมันอยู่ ประเภทสายกรรมฐานเดียวกันยังไม่ค่อยจะเอื้อเฟื้อกันเลย สายกรรมฐานเดียวกันที่เอื้อเฟื้อกันมาก ๆ แต่ท่านกลับเห็นว่าตัวเองเป็นธรรมยุตก็คือ สายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ทั้ง ๆ ที่เป็นมหานิกาย ไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุต แต่ท่านทำตัวเป็นธรรมยุต สมัยเป็นเจ้าคณะตำบลอยู่ ก็แจ้งเรื่องของการลงปาฏิโมกข์ว่า ถ้าวัดในป่า หรือว่าสำนักสงฆ์ที่ไม่มีพระอุโบสถ ให้ไปลงปาฏิโมกข์ร่วมกันที่วัดเจ้าคณะตำบลก็ได้ ปรากฏว่ามีวัดอยู่วัดหนึ่งที่เป็นสายหลวงพ่อชา ท่านบอกว่า ท่านคงไปร่วมไม่ได้หรอก เพราะเป็นนานาสังวาส อ้าว...แล้วกัน นานาสังวาสนี่ต่างนิกายกันนะ นี่คุณกับผมมหานิกายเหมือนกัน กลายเป็นว่าเราไม่รังเกียจเขา แต่เขากลับรังเกียจเราเสียเอง
พระอาจารย์เล่าว่า "เชียงใหม่ของเราเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานมาก แม้กระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็มีเรื่องของเจ้าน้อยศุขเกษมกับมะเมียะ เพราะโยงใยระหว่างสยามกับล้านนา และล้านนากับพม่านี่แหละ ตอนช่วงนั้นเชียงใหม่ก็อยากยกเลิกการเป็นประเทศราชของสยาม ในหลวงรัชกาลที่ ๕ จึงยกเลิกการเป็นประเทศของเชียงใหม่ แล้วตั้งเป็นมณฑลขึ้นมาแทน แล้วก็มีอุปราชมณฑลไปคอยดูแลอยู่
เมื่อเป็นลักษณะนั้นก็เลยทำให้ความเกรงกลัวว่าทางราชสำนักสยามจะไม่พอใจ ว่าตัวเองสังกัดสยาม แต่ปล่อยให้ลูกหลานไปแต่งงานกับสาวพม่า
เจ้าเมืองเชียงใหม่ก็เลยต้องใช้วิธีตัดปัญหาด้วยการส่งตัวมะเมียะกลับพม่า ก็เลยกลายเป็นตำนานรักอมตะขึ้นมา เจ้าน้อยศุขเกษมก็เลยตรอมใจตาย เพราะคนรักจากไป
คำว่า "เจ้าน้อย" เกิดมาจากทางด้านเหนือถ้าใครบวชเณรแล้วสึก เขาเรียกว่า "น้อย" ถ้าใครบวชพระแล้วสึก เขาเรียกว่า "หนาน" เพราะฉะนั้น..เจ้าน้อยก็คือผู้ที่มีเชื้อเจ้าที่บวชเณรมาก่อน ตอนนี้ก็คงจะแยกออกแล้ว..ใช่ไหม ? ไม่อย่างนั้นได้ยินเจ้าน้อยก็ไม่รู้ว่าอะไร
ทางด้านเหนือกับอีสานเขาจะมีการเรียกต่าง ๆ กันไป ทางด้านอีสานบวชเณรสึกมาเป็น "เซียง" บวชพระสึกมาเป็น "ทิด" ถ้าบวชพระแล้วเคยได้รับการสรงน้ำจากญาติโยมมาเกิน ๓ ครั้ง เป็น "จารย์" ถ้าบวชเกิน ๑๐ พรรษาแล้วสึกมาเป็น "ญาคู" แต่ปัจจุบันญาคูไม่นับแล้ว ญาคูต้องเป็นพระที่อาวุโสมาก ๆ เป็นที่เคารพนับถือ เหมือนกับทางเหนือเรียกว่า "ครูบา""
ถาม : เวลาทำงานเราก็ต้องคิดแผนงาน แล้วจะภาวนาอย่างไร ?
ตอบ : การคิดวางแผนจัดงานเป็นเรื่องปกติ ตอนคิดคิดได้ คิดเสร็จแล้วก็ตัดทิ้งไปเลย พอเลิกคิดก็มาอยู่กับอารมณ์ภาวนาของเราต่อ
ถาม : ระหว่างคนที่ไปซื้อพระพุทธรูปมาจากร้านมาบูชา กับอีกคนไปสั่งซื้อ ซึ่งไปดูตั้งแต่ขั้นตอนการสร้าง อย่างไหนดีกว่า ?
ตอบ : คนแรกได้บุญเยอะกว่า เพราะว่าคนที่สอง ถ้าช่างทำไม่ถูกใจก็เศร้าหมอง
ถาม : การอยู่บนโลก เราจะแยกอะไรถูกหรืออะไรผิด ขาวดำชัดเจน ?
ตอบ : เอาหลักธรรมเป็นหลัก ใช้ธรรมในการตัดสิน รับรองว่ามีแต่ขาว ไม่มีเทาไม่มีดำ เพียงแต่ต้องแม่นนะ ไม่แม่นเดี๋ยวตัดสินผิด ออกมาเทา ๆ ไปอีก
ถาม : ถ้าเป็นหมอ เวลาเขามาผ่าตัด จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : บาปตรงไหน เขาตั้งใจรักษาให้หายจากโรค ไม่ได้ตั้งใจมาทำร้ายร่างกายของเรา ในเมื่อไม่มีเจตนาที่จะทำร้าย แล้วจะไปบาปตรงไหน ?
ถาม : เวลาทำงานต้องนำเสนอว่า สิ่งนี้ทำให้มีความสุขในแบบโลก ?
ตอบ : ใช่...อย่าลืมว่าเราต้องอยู่กับทางโลก ถึงเวลาเลิกทำงานแล้วเราก็มานั่งภาวนาไปสิ คุณคงไม่ได้ไปทำทั้งวันทั้งคืนหรอกกระมัง ?
ถาม : อภัยทานฝึกอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถึงเวลาใครเขาเตะเราก็ยื่นก้นให้เขาเตะซ้ำอีกทีหนึ่ง..! ถ้าอภัยทานได้ อย่างแรกความยับยั้งชั่งใจจะต้องมี ความยับยั้งชั่งใจจะมีได้สมาธิต้องมั่นคง สมาธิจะมั่นคงได้ก็ต้องมีสติเป็นตัวควบคุม สรุปแล้วกลับไปซ้อมกำหนดดูลมหายใจเข้าออกให้มากกว่านี้
ถาม : เคยฝันว่าขึ้นเครื่องบินแล้วตกลงมาตาย ใจก็ยังไม่มั่นคงครับ ?
ตอบ : ไม่รอดแน่..!
ถาม : ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ภาวนาต่อไป
ถาม : ทำอย่างไรครับสงสัย ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าภาวนาต่อไป ตอนที่เจอซ้อมอะไรก็ไม่ทันแล้ว คิดอะไรก็ไม่ทันหรอก กำลังใจตอนฝันคือกำลังใจที่แท้จริงของเรา ถ้าในฝันกำลังใจไม่มั่นคง แสดงว่าของจริงก็ใช้ไม่ได้ อาตมาเองรู้ ๆ อยู่ว่าเครื่องบินจะตกยังตะกายไปยุโรปเลย แต่ตอนที่เครื่องบินตกในฝันอาตมาไม่ตาย กำลังตะกายออกมาจะไปช่วยคนอื่นเขา พอดีตื่นเสียก่อน
ถาม : การแผ่เมตตาครับ อยากให้คนอื่นเขามีความสุข อยากให้เรามีความสุข พอมีความสุขขึ้นมาใช่ที่เขาเรียกว่าการเจริญเมตตาธรรมหรือเปล่า ?
ตอบ : การที่เราตั้งกำลังใจด้วยความหวังดี ปรารถนาดีต่อผู้อื่น ว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร ยินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก ขอให้มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ ไปเสวยสุขในภพภูมิที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ให้วางกำลังใจลักษณะนี้
ถาม : อันนี้เรียกว่าการเจริญภาวนาหรือครับ ?
ตอบ : เรียกว่าภาวนา พอวางกำลังใจจนทรงตัวแล้ว ให้จับลมหายใจภาวนาต่อไปเลย เป็นการรักษาตัวพรหมวิหารเมตตาให้มั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ถาม : จาคานุสติเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีโอกาสเมื่อไรให้ทันที เมื่อวานอาตมาจ่ายไป ๓๐๐,๐๐๐ บาท สร้างโรงเรียนการกุศลวัดไตรรัตนาราม โรงเรียนการกุศลในวัดมีน้อย ตอนหลวงพ่อพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ท่านยังเป็นเจ้าคณะภาค ๑๔ อยู่ ท่านมีดำริว่าจังหวัดกาญจนบุรีควรจะมีขึ้นสักวัดหนึ่ง ให้คณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีช่วยกันหน่อย ท้ายสุดจะเอาลงวัดไตรรัตนารามของท่านมหาชูศักดิ์ จิตฺตกาโร ก็ช่วยกันควักเงินจ่ายไป อาตมาถวายไป ๓๐๐,๐๐๐ บาท โรงเรียนสร้างเสร็จแล้วเพิ่งมีโอกาสให้เมื่อวาน ไม่กำหนดเวลาไว้ให้ชัดเจนนี่นา แต่ท่านทำเร็วจริง ๆ นะ
อาคารเรียนชั้นเดียวก็จริง แต่สร้างเดือนเดียวเสร็จเรียบร้อย นักเรียนเข้าเรียนได้นี่ถือว่าเร็วมากเลย แล้วไม่ได้ทำแบบลวก ๆ ทำสวยด้วย
ระยะนี้รายจ่ายจรมาเยอะ มีแต่คนมาขอความช่วยเหลือ คราวนี้อย่างที่ว่านั่นแหละ เขาเอาบุญมาให้ ในเมื่อเขาเอาบุญมาให้ เราก็รีบโดดใส่เสียก่อนที่บุญนั้นจะเลยไป
ถาม : คนศึกษาพระพุทธศาสนามา ใคร ๆ ก็อยากได้เนื้อนาบุญที่ดี แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกครั้งไป ?
ตอบ : แสดงว่าเขาไม่รู้ต่างหาก ถ้าเขารู้ ที่ไหนก็เป็นเนื้อนาบุญที่ดีได้ คุณก็ถวายเป็นสังฆทานไปสิ เราตั้งใจเป็นสังฆทาน อานิสงส์เราได้เต็มอยู่แล้ว คนเอาไปกินไปใช้ซวยเองต่างหาก..!
ถาม : กรณีคนมาหาเรา จะรู้ได้อย่างไรว่าเขามาขอกุศล ?
ตอบ : ถามเขาสิครับ..หรือจะเหมาไว้ก่อนว่ามีใครมาขอส่วนกุศล แล้วตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป อย่างน้อย ๆ ประเภทคนส่งอาหารมาให้ ก็คงไม่รังเกียจที่จะรับ ส่วนธุระปะปังอะไรก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่รู้เรื่องหรอก ค่อยมาทีหลังก็แล้วกัน ก็รับไม่ได้นี่หว่า.. หรือไม่ก็ขอให้มาเข้าฝันทีหลัง
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาไปพุทธาภิเษกพระพุทธปัญจมิตรที่โรงหล่อบ้านภูมิมา ปรากฏว่าลูกศิษย์ครูบาเหนือชัยวาดแผนที่กลับข้าง ยังโชคดีแถวนั้นอาตมาเคยผ่าน ก็เลยมั่วถูก
ท่านถวายพระมากล่องหนึ่ง พระพุทธปัญจมิตร มีหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อวัดบางพลีใหญ่ หลวงพ่อวัดเขาตะเครา ๕ องค์ที่เขาว่าลอยน้ำมา ครูบาท่านจะสร้างบรรจุเจดีย์ไว้ทางเหนือ พวกเราไปช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ครูบาอาจารย์ที่มาก็มีอยู่ ๓ ท่านที่เพิ่งจะรู้จักก็คือ มีหลวงปู่มหาโกเมศ วัดเวียงเชียงรุ้ง มาไกลลิบเลย หลวงปู่สะอาด วัดเขาแก้ว นครสวรรค์ แล้วก็หลวงพ่อสุวรรณ วัดยาง สิงห์บุรี"
พระอาจารย์เล่าว่า "ระยะนี้อาตมากำลังใช้หนี้ที่ไปเล่นงานเขาไว้เยอะ ปรากฏว่าหลวงพ่อสมคิดก็โดนพอกันเลย อาตมาเองสะโพกหลุดก่อน พอมางานฉลองสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ขึ้นไปผูกสายสิญจน์ ตอนขาลงไม่รู้ลงท่าไหน ร่วงฟาดลงมากับพื้นเลย ตอนแรกสะโพกหลุดด้านซ้าย ตอนร่วงลงมาโดนทางด้านขวา ๒ ข้างเท่ากันพอดี ปรากฏว่าไปเจอหลวงพ่อสมคิดตกจากหลังคาโบสถ์ลงมา แขนหักเหมือนกัน อาตมาก็นึกว่าเขาโดนทีเดียว ปรากฏว่าท่านไปให้หมอนวดอย่างไรไม่รู้ หักซ้ำอีกรอบหนึ่ง โดน ๒ ยกเท่ากัน..!
เมื่อวานซืนไปวัดหนองบ้านเก่า พระครูหน่อยตามมาบริการ ช่วยปิดประตูรถให้ อาตมายังไม่ทันจะชักขาขึ้นก็กระแทกโครมเข้ามา ประตูรถเด้งกลับไป ด้วยความงงว่าเด้งกลับมาเพราะอะไร ท่านก็เลยปิดซ้ำอีกทีหนึ่ง อาตมาก็เลยสงสัยว่าหลวงพ่อสมคิดจะโดนอีกยกไหม ? เพราะตอนไปรังแกชาวบ้านเขาไปด้วยกัน ตอนโดนก็เลยโดนพร้อม ๆ กัน
มานึกถึงตอนท่านเจ็บตัวเพราะหมอนวด อาตมาสะโพกหลุดเพราะหมอนวด ท่านก็แขนหักเพราะหมอนวด ท่านตกจากหลังคาโบสถ์ อาตมาก็ตกจากสมเด็จองค์ปฐม ลักษณะเดียวกันหมด แสดงว่าตอนจับมือกันไปตีชาวบ้านเขา ก็คงทำอะไรเหมือน ๆ กันมา ก็เลยรอว่าท่านจะโดนอะไรอีก ๒ ที ตอนมานี่ท่านยังปลอดภัยดีอยู่ ถ้าเจอหน้าแล้วเดินขาเดี้ยงมาก็ใช่เลย
เพราะฉะนั้น..ญาติโยมโปรดทราบ จะเมตตาปิดประตูรถให้พระ ดูดี ๆ ก่อนนะจ๊ะ อาตมาเจอพระหลายรูป สังฆาฏิห้อยร่องแร่งอยู่ข้างนอก เพราะเขาปิดประตูทับไปเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนปิดประตูอัดขานี่โดนมาเป็นครั้งที่ ๒ ก่อนหน้านั้นโดนครั้งหนึ่งไม่หนักเท่านี้ ต้องบอกว่าเป็นเพราะกรรมพาไป"
ถาม : อยากกราบอาราธนาให้ช่วยดูพระสมเด็จวัดระฆัง
ตอบ : บางอย่างของดี ๆ คนไม่รู้จักก็หลุดมือไปเฉย ๆ อย่างสมเด็จวัดระฆังต้องบอกว่าองค์ท่านทั้งเล็กทั้งบาง ถ้าใหญ่และหนาต้องคิดไว้ก่อนว่าไม่ใช่ ที่สำคัญฝีมือช่างหลวงเขาแกะแบบเอง คนฝีมือเก่ง ๆ แบบไม่ต้องลึกหรอก แบบตื้นก็แกะได้สวย แล้วต้องดูเนื้อดูอะไรพิมพ์
ถ้ามีโอกาสให้เห็นของจริงก็ถือว่าเป็นบุญตา เดี๋ยวนี้ของปลอมเขาทำเลียนแบบฝีมือร้ายขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งถ้าบล็อกไม่ต้องดูเลย สมัยนี้เขาถอดบล็อกด้วยคอมพิวเตอร์ เหมือนกันทุกตำหนิเลย ต่างกันตรงเนื้อหา ถ้าเนื้อหาของใหม่อย่างไรก็ใหม่ แกล้งเก่าไม่ได้เหมือนของจริง บรรดาพระที่เขาไปอยู่ตามป่าปริวาส บางแก๊งมีหน้าที่สร้างพระอย่างนี้โดยเฉพาะเลย สร้างเสร็จก็เอาไปทอดน้ำมันให้ดูเก่า
ถ้าอยากดูของจริงไปซื้อหนังสือสปิริต หนังสือสปิริตนี่ถ้าของปลอมเขาไม่ยอมให้ลงหนังสือเขา แต่หนังสือออกไม่ค่อยตรงเวลา เพราะว่ากว่าจะเสาะหาพระได้ บางที ๓ - ๔ เดือนกว่าจะออกได้เล่มหนึ่ง บางทีก็ออกติด ๆ กัน ๓ - ๔ เล่ม แต่เขาออกหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งชื่อพระพันตา คือ ๑,๐๐๐ คนดู เขาก็ต้องยืนยันว่าองค์นี้ใช่
ถาม : เมื่อไรนักการเมืองบ้านเราจะทำเพื่อประชาชนจริง ๆ ?
ตอบ : ยาก...บ้านเราไม่ได้เล่นการเมืองเพื่อประชาชน แต่เล่นการเมืองเพื่อพวกพ้องและตัวกู คนอื่นทำดีแค่ไหนก็ด่าได้ ด่าแล้วไม่ไปก็ยกพวกประท้วง ไม่เป็นไรหรอก ทนอยู่อย่างนี้ไปสักระยะหนึ่ง เดี๋ยวการเมืองก็พัฒนาขึ้นมาเอง
ถาม : ถ้าหาทองคำครบ ต้องรอไปถึงอายุ ๖๐ ปีถึงค่อยสร้างพระหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหาครบก็ทำเลย ขี้เกียจรอ โครงการวางไว้ตอนอายุ ๖๐ ปี แต่ถ้าทำแล้วยังมีเครื่องทรงอีก อายุ ๖๐ ปีสร้างองค์พระ ถ้าไม่แก่ตายไปก่อน ตอนอายุ ๗๒ ปีจะถวายเครื่องทรงท่านไว้อีกชุดหนึ่ง ถ้าเป็นเครื่องทรงฤดูหนาว น่าจะแพงพอ ๆ กับองค์พระ ไม่ได้แพงตรงราคาทองหรอก แพงที่ฝีมือช่าง
เครื่องทรงที่ถูกที่สุดน่าจะเป็นเครื่องทรงฤดูร้อน แต่ก็ไม่แน่ พวกสร้อยสังวาลพอใส่เพชรใส่พลอยเข้าไป ก็อาจจะแพงพอ ๆ กัน
ถาม : ที่บ้านไปรับขันครับ ?
ตอบ : ที่บ้านไม่มีขันใช้หรือถึงต้องไปรับขัน ? อาตมาเองเห็นพวกไปรับขันธ์มาเยอะ ท้ายสุดกลายเป็นทาสเขา ไปรับแปลว่ายอมเขา มีหลายแห่งโดนเขาใช้ผีคุมเลย กลายเป็นคนหาเงินให้เขา ไม่ไปก็ไม่ได้เขาให้ผีบังคับ ตัวเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องไป ไปลองรับมาดูก็ได้จ้ะ จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร แล้วไม่ต้องมาให้แก้นะ อาตมาแก้ไม่เป็น ยุให้รับจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
คนเราจะมีองค์หรือไม่มีองค์อยู่ที่ตัวเราจะรู้หรือไม่รู้ ไม่ใช่เขา ถ้าเรารู้สึกปกติดี ไม่มีอะไรผิดปกติสักอย่าง แล้วจะไปรับมาทำไม ?
ถาม : น้องเขาบอกว่า ในตัวเขามีอยู่สองคน อีกคนหนึ่งเขาอยากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ตัวเขาเองปฏิบัติไม่ดีเลยออกมาไม่ได้ เลยต้องไปรับนั่นรับนี่เข้าสำนักนี้ ?
ตอบ : ถ้าโง่ขนาดนั้นก็ปล่อยมัน..! อยากจะทำดีคืออะไร ? ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำได้ทุกคน ฟังอะไรใช้เหตุผลด้วย เขามักจะชักให้เรา ถึงเวลาก็ไปขึ้นครู อย่างน้อย ๆ ก็ได้ค่าครู ถ้าเคารพศรัทธาเป็นบริวาร ถึงเวลาเขามีงานอะไรก็ต้องไปช่วยเขา เป็นการประกันความเสี่ยงว่าอย่างน้อย ๆ ก็มีบริวารเพิ่มอีกคนหนึ่ง แล้วจะมีรายการบอกว่า ช่วงนี้มีเคราะห์ต้องไปสะเดาะเคราะห์ ต้องหมดอีกเยอะ
ถาม : ผมถวายพระบรมสารีริกธาตุให้วัดไป ๓ วัด ไม่รู้จะทำเยอะเกินไปหรือเปล่า เพราะว่าจะทำอีก เกินกำลังไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ ต้องคิดให้ดี ๆ สมัยโบราณเขาได้มาแค่องค์สององค์ ถึงขนาดสร้างเจดีย์สูงลิบโลกถวายไว้เป็นพุทธบูชา สมัยนี้ทำส่งทำเดชไปเรื่อยเปื่อย บางทีกระทั่งพานรองสักอันยังไม่มี เคยเจอใส่ถุงมาถวาย สมควรตายจริง ๆ..!
พระบรมสารีริกธาตุต้องถือว่าเป็นวัตถุมงคลที่สำคัญที่สุดในโลก ไม่มีวัตถุมงคลอะไรที่มาจากเลือดเนื้อร่างกายของพระพุทธเจ้าเช่นนี้ ไม่ว่าตกไปที่ไหนพรหมเทวดาก็รักษา ไม่ว่าทำอะไรต้องทำให้สมพระเกียรติให้มากที่สุด มีผอบมีเจดีย์อะไรที่สวยงามที่สุด หาได้อย่างไรก็ต้องเอาดีที่สุดเท่านั้น
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ปีหน้าอาตมารับปริญญาเอก ถ้าไม่มีอะไรทำ เดี๋ยวจะเรียนปริญญาเอกอีกใบ ทางโลกยิ่งเรียนรู้สึกว่ารู้น้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้วยิ่งเรียนก็ยิ่งเห็นอัศจรรย์ตรงที่ว่า ทุกอย่างลงในทางธรรมหมด ไม่มีอะไรหนีออกไปได้เลย
อย่างวิชาการจัดการ ทฤษฎีของฝรั่งทุกอย่างลงของพระพุทธเจ้าหมด ไม่มีเกินนั้นเลย เขาออกข้อสอบ ๒ ข้อ ใช้เวลาเขียน ๓ ชั่วโมงยังไม่เสร็จ ของฝรั่งเขาสอนให้คิดออก ของพระพุทธเจ้าท่านสอนให้คิดอยู่ข้างใน ของเราทวนกระแส ทวนแล้วจบ แต่ของเขาออกทะเลกว้างไปเรื่อย ๆ "
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเด็ก ๆ อาตมากลัวเข็มเพราะหมอข้างบ้านเป็นหมอทหารเสนารักษ์ แกฉีดยาแบบจิ้มแล้วกระแทก บวมเป็นก้อนทุกทีเลย อาตมาจะเดินก้นบิดไปเป็นอาทิตย์ ๆ เพราะฉะนั้น..จะกลัวเข็มมาก ถึงเวลาเจอเข็มระบบร่างกายจะตัด เป็นลมทุกที มาเลิกกลัวเข็มตอนเป็นทหาร ไม่ได้..! ชายชาติทหารกลัวเข็มจนเป็นลม ขายหน้าเขา
วันนั้นไปเจาะตรวจเลือด พร้อมกับฉีดวัคซีนกันบาดทะยักก่อนออกชายแดน ก็เลยตั้งระบบร่างกายใหม่ว่า "ไม่เป็นลม ๆ" ร่างกายของเรานี่สั่งได้ ตอนนั้นก็ปฏิบัติภาวนามาอย่างชนิดเข้มข้นแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าสั่งร่างกายได้ ก็ตั้งใจสั่ง ทีนี้พอเขาเจาะเลือดเสร็จ อาตมาก็เดินออกมา ทำเป็นวางท่า กลัวจะเป็นลมขายหน้าเขา ปรากฏว่าไม่เป็นจริง ๆ พอปฏิบัติไป ๆ ถึงได้รู้ว่าร่างกายของเราสั่งงานได้ จะตั้งระบบอะไรสั่งได้เลย
แม้กระทั่งตั้งว่าจะตื่นเวลาไหนก็สั่งได้ แต่เพิ่งจะรู้ว่าถ้าเดินทางข้ามทวีปแล้วจะไม่ให้ jet lag ก็สั่งได้ ความจริงไม่รู้หรอก ขากลับเครื่องบินผ่านเขตอากาศแปรปรวน เครื่องบินตกหลุมอากาศตึงตัง ๆ อาตมาก็ว่าขาไปเครื่องไม่ตก แต่จะตกขากลับหรือเปล่า ? หลับตานึกถึงพระ ปรากฏว่าเห็นภูเขามหึมาเลย ดำปี๋เป็นภูเขานิล มองไปมองมา "ภูเขาอะไรวะ มีทับทรวง มีสังวาล มีมงกุฎด้วย" ปรากฏว่าเป็นท่านราหูมาเอง
พอท่านเห็นเครื่องบินกระดอนหลายที ท่านรำคาญ ท่านจึงอมเครื่องบินไปเลย ถามท่านว่า "แปรงฟันหรือยัง ?" พ่อเจ้าประคุณก็บอกว่า “ท่านก็ไม่ได้แปรงเหมือนกันแหละ..!” ก็อาตมาเพิ่งตื่น สรุปแล้วท่านพาจนกระทั่งผ่านเขตนั้น แต่ยังไม่ยอมคาย อมอยู่แท้ ๆ ยังคุยได้ ท่านบอกว่า "ท่านปรับเวลาเป็นเวลาของประเทศไทยหรือยังครับ ? ถ้าไม่ปรับเวลากลับไปจะเมาเครื่องหลายวันนะ" อาตมาก็ถามว่าปรับอย่างไร
ท่านบอกว่าตอนที่เราไป เราย้อนเวลา เพราะว่าไปแล้วช้าไป ๕ ชั่วโมง คราวนี้ให้ดึงกำลังใจกลับมาให้เดินหน้าไป ๕ ชั่วโมง อาตมาก็บอกว่าทำง่าย ๆ แค่นี้เองหรือ ท่านก็บอกว่าใช่ อาตมาก็ตั้งกำลังใจย้อนขึ้นหน้าไป ๕ ชั่วโมง ท้องดันร้องจ๊อก ถามว่าทำไมถึงหิวอย่างนี้ ท่านบอกว่า "นี่เวลาแปดโมงครึ่งของเมืองไทย..!" ดันมาหลอกกันได้
ต่อไปถ้าใครเดินทางไปต่างประเทศไปลองดูได้นะ ขาไปก็ย้อนเวลากลับถอยหลัง ขามาก็เดินหน้า ถ้าบังคับจิตเก่ง ๆ แค่พักเดียวก็ทำได้แล้ว"
"ตอนที่ย้อนเวลาก็ประมาณ ๘ โมงครึ่งของเมืองไทย ปกติอาตมาจะฉันเช้าประมาณ ๖ โมง พอ ๘ โมงครึ่งก็ไส้แขวน ท้องลั่นโครกคราก ๆ เอง กว่าเขาจะมาเสิร์ฟอาหารให้อีกก็เป็นชั่วโมง ๆ เพราะเขาจะต้องรอให้สว่างก่อนแล้วค่อยเสิร์ฟ รอไปเถอะ..ตอนนั้นเพิ่งจะรู้ว่าไม่น่าไปให้พ่อเจ้าประคุณต้มเอาเลย รอให้ถึงเวลากินแล้วค่อยย้อนเวลาก็ได้ แต่อย่างว่า..เทวดามักจะบอกแต่บอกไม่หมด เพื่อดูความฉลาดของพวกเรา ลองเมื่อไรโง่กว่าเขาทุกที..!
ขาไปตั้งใจไปให้เครื่องบินตกก็ไม่ยอมตก...ท่านเอามือช้อนเครื่องบินไป ไม่ใช่ท่านราหู นี่อีกท่านหนึ่งแต่ว่ามาแนวพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ตั้งใจว่าจะไปเครื่องบินตกตายแท้ ๆ ไม่ยอมให้ตาย สรุปว่าเดินทางข้ามประเทศแล้วเพี้ยน หลับ ๆ ตื่น ๆ ก็เลยฝันบ้างตื่นบ้าง จึงมีเรื่องมาเล่าให้โยมฟัง"
"แบบเดียวกับตอนไปพม่า ตื่นเช้าขึ้นมาเข้าร้านอาหารก็ดันประเคนกาแฟ ฉันกาแฟเข้าไปแล้วกาแฟดีด เห็นพญามารกับบริวารกำลังขย่มรถจะให้รถคว่ำ "เฮ้ย ๆ ทำอะไร ?" เขาก็บอกว่า "ก็เห็นอยู่ว่าจะทำอะไร" คราวนี้อาตมาจะทำอย่างไรดี ถ้าคว่ำไม่เจ็บก็ตายกันบาน แน่นทั้งคันรถขนาดนั้น ก็เลยบอกพวกเขาว่า "นี่พวกเรากำลังจะไปไหว้พระกันนะ กำลังใจของแต่ละคนกำลังเกาะพระอยู่ ถ้าหากว่ารถคว่ำตาย อย่างน้อย ๆ ไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม พ้นมือแกไปนานเชียวนะ" แกก็ทำหน้าคิด พอทำหน้าคิดเสร็จ แกคงเปลี่ยนใจแล้วก็ทำท่ายิ้ม ท่ายิ้มแกเห็นแล้วสยอง ยิ้มแบบเอาเรื่องแน่ แต่ไม่รู้จะมาไม้ไหน
แกก็หายไปหมด อาตมาก็คิดว่าปลอดภัย ที่ไหนได้ ยางระเบิดตูมสองเส้นหน้าหลังเลย อันนั้นถ้าไม่เตือนเขาไว้ก่อนก็คว่ำจริง ๆ เพราะว่าตอนที่เห็นภาพ เขาขย่มรถเอียงไปข้างหนึ่งแล้ว อาตมาลงจากรถได้ก็ปูผ้าอาบ นอนเลย รู้อยู่แล้วว่าเขาตั้งใจแกล้ง สรุปว่าปกติออกจากย่างกุ้ง ๖ โมงเย็นจะไปถึงหลวงพ่อมหามุนีประมาณ ๙ โมงเช้า วันนั้นออก ๖ โมงเย็น ไปถึงเกือบ ๕ โมงเย็น รถเสียไปตลอดทาง นึกอยากจะเสียอะไรก็เสียหน้าตาเฉย เขาก็ซ่อมกันไป อาตมาก็ไม่ว่าอะไร
บางทีเราเจออุปสรรคอะไรเยอะ ๆ ให้ระแวงไว้ด้วยว่าเป็นการกลั่นแกล้งของเขา เป็นการทดสอบของเขา คราวนี้การสอบจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ห้ามตก ถ้าตกก็ตกไปเรื่อย แต่ถ้าสอบได้ครั้งหนึ่ง จะไม่มีวันตกตรงจุดนั้นอีก เพราะเรารู้แล้วว่าถ้ามาท่านี้ต้องแก้อย่างนี้ เขาก็จะไม่มาท่านั้น จะตะแบงไปท่าอื่น ถึงเวลาเจอครูขยันสอบบ่อย ๆ ก็มาแค่รัก โลภ โกรธ หลง เท่านั้นแหละ ไม่ได้มาเกินนั้นหรอก เพียงแต่ว่าแตกแขนงได้เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ต้องระมัดระวังตัวอย่างสุดชีวิต"
ถาม : คนที่ทำไม่ดีกับพ่อแม่ ถ้าจะกราบขอขมา ?
ตอบ : ถ้าขอขมาแล้วท่านอโหสิให้ก็จบกันเลย อย่าไปเริ่มต้นทำใหม่ก็แล้วกัน หาโอกาสดี ๆ ป้องกันการเขิน เช่น ตรุษ สารท ขึ้นปีใหม่ อะไรก็ได้ เอาดอกไม้พวงมาลัยไปกราบขอขมาท่าน คนที่ทำกรรมไว้กับพ่อแม่จะไม่รู้หรอก จนกว่าตัวเองจะมีลูก ถ้ามีลูกเมื่อไรโดนเล่นคืนหนักหลายเท่า เป็นอย่างนี้ทุกคน ถ้ารู้ว่าทำไม่ดีกับพ่อแม่ไว้เยอะ ๆ ต้องไม่แต่งงาน..!
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาดูฝรั่งเขาใช้ของ เขาใช้แบบคนเห็นคุณค่า ตอนเขาขอถ่ายรูปอาตมาแล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมา ปลอกโทรศัพท์แตกเป็นลายงาเลย อย่าไปคิดว่าฝรั่งเขาเห่อของใหม่ เขาใช้ของจนหมดสภาพแล้วค่อยซื้อใหม่ ส่วนของอาตมารอจนของเก่าพังแล้วค่อยหาใหม่"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงก่อนวันเกิดประมาณหนึ่งเดือน กับช่วงหลังวันเกิดประมาณหนึ่งเดือน จะเป็นช่วงจังหวะรอยต่อของกรรมพอดี ถ้าไม่เร่งทำความดีไว้ บางทีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ฉะนั้น..ต้องชิงทำกุศลไว้ก่อน อย่ารอให้ถึงวันเกิดแล้วค่อยทำ ก่อนวันเกิดสักเดือนหนึ่งก็รีบทำได้แล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้งานที่วัด ถ้านับแล้วก็เหลือศาลาร้อยปีของหลวงปู่สาย ที่ตั้งใจทำเป็นหมู่พิพิธภัณฑ์เรือนไทยด้วย งานหล่อพระทองคำไม่นับ เพราะถือเป็นงานจร ไม่ใช่งานหลัก
ปีหน้าหลวงปู่สายวัดท่าขนุนอายุครบ ๑๐๐ ปี ว่าจะทำบุญใหญ่ถวายท่าน ตัวอาคารเสร็จไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจะบวชพระสัก ๑๐๐ รูป เกณฑ์ลูกศิษย์ของหลวงปู่สายด้วย บอกว่าแก่แค่ไหนก็อย่าเพิ่งตาย บวชให้หลวงปู่ก่อน ไม่ต้องมาก เอาแค่ ๓ - ๕ วัน ถ้าบวชมากเท่ากับเอาคนแก่มาทรมาน
มีแต่คนถามว่าไม่มีเหรียญหลวงปู่สายบ้างเลยหรือ ? มี..แต่โยมต้องดูให้เป็น ถ้าเป็นของที่วัด ส่วนใหญ่จะแพง รุ่นใหม่ราคาถูก ส่วนของญาติโยมไม่ต้องห่วงหรอก เขาเลี่ยมทองขึ้นคอกันหมด เวลาตักบาตรเทโวฯ บรรดาญาติโยมเขาแต่งตัวกันมาเต็มที่ ลูกศิษย์อาตมาบางคนก็ไปเดินเล็งทีละคน ดูว่าใครแขวนรุ่นไหนบ้าง ลูกศิษย์หลวงปู่สายจะปลื้มใจมาก ถึงเวลาวันงานก็เอาเหรียญหลวงปู่มาอวดกัน
ปีหน้าจะสร้างเหรียญให้ท่านสักรุ่นหนึ่ง โยมเขาเรียกร้องมานาน ท่านสร้างรุ่นสุดท้ายปี ๓๔ ก็ ๒๐ กว่าปีแล้ว"
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เหรียญพระเกจิอยุธยามีเหรียญซ้อนมอเตอร์ไซค์ด้วย จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อวัดไหน รู้แต่ว่าพอท่านออกเหรียญมาญาติโยมเฮกันใหญ่
กิจนิมนต์ท่านเยอะ แล้วท่านเองก็ไม่ชอบรถใหญ่ด้วย ท่านบอกว่ามอเตอร์ไซค์ไปไหนคล่องตัวดี ถึงเวลาก็โดดขี่มอเตอร์ไซค์แล้วลูกศิษย์ก็พาไป ไป ๆ มา ๆ คนศรัทธามาก ขอให้ท่านออกเหรียญ เลยเป็นเหรียญซ้อนมอเตอร์ไซค์ ก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านต้องการ"
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนหนูคาราเมลมาใส่บาตร ความจริงเขาใส่บาตรมาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ พอเริ่มยืนได้ก็ใส่บาตรแล้ว ใส่ไปจน ป. ๕ - ๖ คาราเมลหายไป ถามว่าทำไม ปรากฏว่าโดนเพื่อนแซวว่าเป็นยายแก่ เพราะใส่บาตรทุกวัน เลยอายเพื่อน บางทีเพื่อนเขาแค่ล้อเล่นสนุก ๆ ไม่ได้คิดว่าเขาจะคิดมาก พอเขาอายก็เลิกใส่บาตร แต่วันก่อนโผล่มาใส่ โอ้โห...ตัวสูงกว่าหลวงตาอีก ถามว่าทำไมวันนี้ใส่บาตร เขาบอกว่าวันนี้วันเกิด คนเคยทำถึงเวลาก็อดไม่ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครออกแบบกำไลสวย ๆ ได้ไหม ? ความจริงตามตำราของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ ท่านสร้างเป็นแหวนมงคล ๙ แต่คราวนี้อาตมาคิดว่าแหวนวงเล็กไป ไม่สะใจ เอากำไลดีกว่า เพียงแต่ว่าใครจะออกแบบได้สวยถูกใจอาตมาเท่านั้นเอง คนกิเลสเยอะเห็นของสวยแล้วจะชอบ จะมีอักขระ ๙ ตัว อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ทำอย่างไรให้เขาวางอักขระหรือพระพุทธเจ้าก็ได้ อยู่ตรงกลาง ใหญ่แล้วทยอยเล็กเอียงลง ๒ ข้างก็ได้ ไว้แทน นวหรคุณ เป็นบาลีขอม แต่ว่าเราใช้รูปพระแทนก็ได้
แหวนมงคล ๙ ของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ นี่เสด็จกลับ อาตมาเองไม่ได้ตั้งใจหรอก อาจเป็นเพราะว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านค่อนข้างเป็นคนโบราณ แหวนจึงวงใหญ่กระทั่งอาตมาใส่นิ้วชี้ยังหลวมเลย แสดงว่าคนรุ่นเก่าตัวใหญ่มาก
วันนั้นไปวัดอนงค์ฯ กราบหลวงพ่อเจ้าคุณไสว (พระเทพวิสุทธิเวที) วัดอนงคาราม ท่านเป็นเพื่อนเรียนบาลีของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอก "เฮ้ย..วันนี้มีพระตาย เขากำลังแบ่งสมบัติกัน ไปดูซิเผื่อเขามีอะไรให้บ้าง"
เวลาพระมรณภาพ คณะสงฆ์จะเข้าไปดูแลจัดการเรื่องทรัพย์สมบัติทั้งหมด ถ้าไม่ได้ยกให้ญาติโยมไปก่อน ของทุกอย่างจะเป็นของสงฆ์ โยมจะไม่มีสิทธิ์เลย ต่อให้เป็นลูกเป็นหลานก็ไม่มีสิทธิ์ ต้องรอให้สงฆ์เขาแบ่งให้ อาตมาไม่ได้เป็นญาติเป็นโยมอะไรหรอก แต่เป็นลูกศิษย์เจ้าอาวาส พอเข้าไปเขาก็เลยให้แหวนมาหนึ่งวง อาตมาก็ใส่ติดตัวไว้เพราะเลื่อมใสหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านมานาน
วันนั้นจะทิ้งขยะ พอโยนลงคลอง ปรากฏว่าแหวนหลุดไปด้วย เพราะหลวม แล้วคลองแถว ๆ พระโขนงไม่ใช่คลองเปล่า ๆ มีสวะไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ประเภทกระโดดลงไปไม่ถึงน้ำหรอก ติดอยู่ในสวะ..! อาตมาก็ได้แต่นั่งเสียดายแหวน ปรากฏว่า ๓ วันต่อมาท่านกลับมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า ตู้เสื้อผ้าที่เป็นโครงหุ้มพลาสติก แล้วก็มีไม้อัดบาง ๆ นี่แสดงว่า เอ็งอย่าทิ้งข้าเสียให้ยากเลย อย่างไรข้าก็จะยังอยู่กับเอ็ง"
"หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงคาราม ท่านสำเร็จวิชากระสุนคด สมัยช่วงสงครามโลกบ้านเรายังมีโรงยาฝิ่นอยู่ พวกที่ติดฝิ่นก็ชอบขโมยกล้วยวัดอนงค์ฯ ไปขาย ท่านก็ห้ามแล้วห้ามอีก บอกว่าเดี๋ยวติดหนี้สงฆ์ พวกนั้นก็ไม่รู้ว่าหนี้สงฆ์เป็นอย่างไร อยากยาฝิ่นเสียมากกว่า หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ ก็ต้องใช้คันกระสุน ก็คือธนูนี่แหละ แต่ยิงด้วยลูกดินเหมือนหนังสติ๊ก แรงกว่าหนังสติ๊กสัก ๔-๕ เท่าเห็นจะได้ สามารถยิงกระบอกไม้ไผ่แตกได้เลย..!
ถึงเวลาหลวงพ่อท่านก็บอกเด็กวัด "เฮ้ย..ช่วยดูหน่อย ใครมาขโมยกล้วยให้ตะโกนบอกหลวงตาด้วย" เด็กวัดก็เล่นกันตามลานวัด พอเห็นขี้ยามาตัดกล้วย "หลวงตา..มีคนมาขโมยกล้วย" ท่านก็คว้าคันกระสุนมายิง ไม่ได้เล็งหรอก แต่โดนกลางหลังทุกราย ปรากฏว่าคนทำชั่วก็มีปัญญา สังเกตไป ๓ - ๔ ครั้ง พระยิงทีไรโดนหลังทุกที ก็เลยเอาสังกะสีผูกหลังมา ถึงเวลาเด็กวัดบอก "หลวงตา..คนขโมยกล้วย.." ท่านยิงออกไปโดนสังกะสี เสียงดังผ่าง..! ท่านด่าลั่นเลย "ไอ้ห่_เล่นตาตุ่มแม่_เถอะ" ท่านเหนี่ยวอีกทีโดนตาตุ่ม โป๊ก..! ลงไปกองอยู่ตรงนั้นเอง "หลวงตา..ยอมแล้ว ๆ"
วิชากระสุนคดที่อาตมากับหลวงตาวัชรชัยเรียนมานั้น ๒ สาย ๒ ครู ครูใหญ่ท่านหนึ่งคือ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ ครูใหญ่อีกท่านหนึ่งท่านคือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อวัดอนงค์ฯ ถ่ายทอดให้หลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าถ่ายทอดให้หลวงพ่อวัดท่าซุง กลายเป็นวิชา ๒ สายมาเจอกัน
ช่วงนั้นซ้อมกันทั้งวันทั้งคืน ตอนแรกหลวงตาวัชรชัย จ้างเด็กปั้นกระสุน เอาถัง ๒๐ ลิตรมา บอกว่า "ถ้ามึงปั้นเต็มถัง เดี๋ยวกูให้ ๑๐๐ บาท" เด็กก็ปั้นกันใหญ่ สมัยนั้นเงิน ๑๐๐ บาทเยอะนะ แต่พอยิงไปกระสุนหมด ร้อยบาทไม่ไหวแล้ว หลวงตาต้องใช้วิธีเอากระสอบมา ๔ ใบ มาสอยตะเข็บติดกันแล้วกางเป็นฉาก พอยิงไปกระสุนก็ติดกระสอบไม่ไปไหน ร่วงอยู่แถวนั้น ประหยัดเงินไปได้เยอะ
ซ้อมยิงกันทั้งวัน ต้องภาวนาคาถาให้กำลังใจมั่นคงแล้วยิง ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมไม่แม่นสักที มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะตั้งใจเกินไป ที่จับเคล็ดได้คือ ไม่ได้เจตนาเลย ยิงส่งเดชแล้วเป๊งทุกที ยิงเอาเสาแป๊บหน้าวัดที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้โยงลวดสลิงป้ายศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร"
"ทำใจสบาย ๆ ยิงส่งเดชเป๊งพอดี พอตั้งใจยิงจะยิงไม่ถูก เพิ่งจะรู้ว่าเป็นเรื่องของกำลังใจแบบพอดี ๆ ลักษณะเหมือนมโนมยิทธิ มากเกินก็ไม่เห็น น้อยเกินก็ไม่เห็น ลักษณะการใช้คาถาก็ต้องพอดี ๆ เช่นกัน
อาตมาใช้ประโยชน์มากตอนคนมาขโมยมะม่วงในวัดท่าซุงกับขโมยปลาหน้าวัด พวกรุ่นน้องก็ลุ้น เมื่อไรจะยิงสักที พวกที่ขโมยมะม่วงก็ใจดำจริง ๆ เลย ตัวเองโดนแล้วร่วงลงมา ไม่บอกเพื่อนสักคำ วิ่งหนีคนเดียวเลย เพื่อนก็โดนด้วยสิ..!
มาเข้าใจที่โบราณท่านเล่นเรื่องคาถาเลขยันต์ต่าง ๆ ท่านต้องการให้ฝึกสมาธิ จะได้รู้ว่าจังหวะที่พอเหมาะพอดีที่เป็นสมาธิใช้งานจริง ๆ นั้นเป็นจังหวะไหน หลวงตาวัชรชัยบ่นว่า โธ่..กว่าจะสำเร็จแต่ละวิชาหมดเงินไปเยอะ เพราะหลวงตาเล่นจ้างเด็กมาปั้นกระสุน ก็หมดเยอะนะสิ...
ต้องเอาอย่างโบราณ ปั้นไปเสกไปให้แห้งคามือเลย ต้องใช้ความเพียรสูงมากในเรื่องของการปฏิบัติ คือเราจะทำอะไรก็ได้ เล่นอะไรก็ได้ แต่ใจต้องเป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น จะเห็นว่าทำไมพระโบราณเคี้ยวหมากแทบทุกรูปเลย คือเคี้ยวหมากเพื่อสร้างสติ ใจต้องจดจ่ออยู่ตรงนั้น คายออกมาควักปืนยิงได้เลย ยิงไม่ออกสักก้อน เช่น ชานหมากหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค เป็นต้น
สมัยอยู่วัดท่าซุง พวกเรือหาปลาห้ามแล้วไม่ฟังกัน อาตมายืมเอ็ม. ๑๖ ของทหารที่เฝ้าวัดนั่นแหละ พวกนั้นบอกว่า "หลวงพี่..ถ้าพลาดนี่ตาย ปาราชิกเลยนะ" หลวงตาวัชรชัยบอกว่า "อธิษฐานสิ ตั้งใจยิงให้ตรงหน้าผาก ถ้าโดนให้แฉลบออกข้าง" แหม..แนะนำดีมาก ถ้าตั้งใจอย่างนั้นแบบนั้นก็ได้ทุกศพแหละ..!
ความจริงพวกทหารเขาไม่รู้ว่าอาตมายิงแบบสั่งได้ ถึงเวลาก็ล่อแค่เรือพัง หลวงพี่สามารถบอกว่า "ทำไมไม่เล่นอาร์พีจีให้กระจายทั้งลำไปเลย.." ถ้าอย่างนั้นก็เกินไป ทำลายทรัพย์สินชาวบ้านเขา โดนลูกปืนก็พออุดพอยา เอาไปใช้งานต่อได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมซื้อหนังสือธรรมะมาถวายอาตมา บางทีในหนังสือนั้นมีหลักธรรมที่ผิด ๆ พลาด ๆ ถ้าโยมเอาไปอ่าน เอาไปใช้ก็พลาดต่อ ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดสามแยก โยมเอาหนังสือท่านมาถวาย อาตมาเก็บชั่งกิโลขายเกลี้ยง..! เขาก็สงสัยว่าทำไมไม่แจก มาตอนหลังโยมเพิ่งถึงมารู้ว่าท่านสอนไม่ให้เคารพพระ เพราะเห็นพระเป็นแค่ปูนปั้น ทองเหลืองเท่านั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ ยังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ถ้าเป็นภาษาโบราณ สมัยนี้ได้ยินแล้วสะดุ้ง โบราณบอกว่า "ลูกเธอนี่ทะลึ่งจังเลย" ทะลึ่งสมัยก่อนคือโตไว ทะลึ่งสมัยนี้บวกทะเล้นไปด้วย ความหมายจึงเปลี่ยน"
ถาม : ปฏิบัติมาจนรู้สึกว่าถึงทางตันแล้ว เราจะมีวิธีปรับปรุงอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ตันจ้ะ...ถ้ารู้สึกว่าตันแสดงว่ากำลังไม่พอ ให้ทำย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เบื่อไม่ได้ ต่อให้ ๑ ปีก็ต้องทำ ๒ ปีก็ต้องทำ ๓ ปีก็ต้องทำ ถ้ากำลังพอจะก้าวข้ามไปเอง ที่บอกว่าตันจริง ๆ ไม่ใช่หรอก กำลังยังไม่พอที่จะผ่านตรงจุดนั้น ให้ใช้ภาวนาสลับกับพิจารณา อย่างน้อย ๆ จะได้มีอะไรให้ทำ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวใจเบื่อแล้วบางทีไม่เอาเลย
พอภาวนาจนกระทั่งกำลังใจเต็มที่แล้ว เผลอปล่อยให้ถอยออกมา ถ้าไม่หาวิปัสสนาให้พิจารณา ก็จะเอากำลังไปฟุ้งซ่าน คราวนี้จะฟุ้งอย่างเป็นหลักเป็นฐานเป็นงานเป็นการมากเลย เพราะมีกำลังดี ฉะนั้น..ต้องหาวิปัสสนาญาณให้ใจคิด คิด ๆ พิจารณาจนกำลังใจทรงตัว แล้วจะเป็นภาวนาไปโดยอัตโนมัติ แต่ตอนหยุดภาวนาออกมาแล้วต้องบังคับให้คิด ถ้าไม่บังคับให้คิดแล้วจะฟุ้ง
ถาม : นักปฏิบัติที่อัตตาเยอะ ๆ จะแก้อย่างไร ?
ตอบ : อัตตาเยอะ ถ้ารู้ตัวก็แก้ไขไม่ยาก พยายามลดลงหน่อย อันดับแรกพิจารณาเยอะ ๆ หน่อย ไม่ว่าตัวเราตัวเขาก็มีความเสมอกัน คือเป็นธาตุ ๔ เหมือนกัน ท้ายสุดมีความตายเหมือนกัน เราถือตัวถือตนไปก็ตาย ไม่ถือตัวไม่ถือตนก็ตาย แต่คนที่ไม่ถือตัวเขาไปแล้ว เขาไปภพสูงกว่า เพราะเขาไม่ได้แบกอัตตาไว้ ส่วนเราจะถือตัวถือตน ถึงเวลาก็ไปภพต่ำกว่า ถ้าอยากสูงอย่างเขาต้องลดอัตตาให้ได้ พิจารณาให้เห็น
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เรื่องของการครองคู่ สมัยก่อนผู้ชายมีหน้าที่ออกล่า หาอาหารมาเลี้ยง ผู้หญิงมีหน้าที่ฟูมฟักรักษาครอบครัว ดูแลลูกดูแลสามี ความรอบคอบและระมัดระวังของผู้หญิงจึงติดมาจนกลายเป็นสัญชาตญาณ ปัจจุบันไม่รู้จะเอาไปใช้ตรงไหน เลยกลายเป็นเอามาระแวงผู้ชายแทน
เราต้องดูตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หน้าที่เขาต่างกัน ผู้ชายออกล่าสัตว์ เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย และออกรบเพื่อรักษาดินแดนของตัวเองไม่ให้คนอื่นมารุกราน ตัวเองจะได้มีอาหารไว้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไป ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลรักษาลูกหลานตัวเอง เพื่อให้รอดไปสืบเผ่าพันธุ์ต่อ ฉะนั้น..การระมัดระวังของผู้หญิงจะสูงกว่าหลายเท่า
พอยุคสมัยเปลี่ยน อย่างในหนังสือเรื่องหนึ่ง "ความลับของเอสกิโม" กระมัง ? เขาเข้ามาในเมืองครั้งแรก เขาก็ไม่รู้ เห็นผู้หญิงในเมืองมีแต่ผอม ๆ พอพาผู้หญิงมาแนะนำตัว เขาก็ตำหนิผู้ชายเลยว่า "เจ้าเป็นพรานที่ใช้การไม่ได้ เลี้ยงเมียอีท่าไหนถึงผอมอย่างนี้.." เอสกิโมที่เป็นพรานเก่ง ๆ ล่าสัตว์ได้เยอะ จะต้องเลี้ยงเมียให้อ้วนได้ เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงในเมืองชอบหุ่นผอม ๆ
ผู้ชายที่โดนตำหนิทำหน้าไม่ถูกเลย พอเอสกิโมเจอของที่ตัวเองไม่เคยเจอ ก็เห็นเป็นเวทมนต์ไปหมด พอพาไปอาบน้ำฝักบัว เขาก็แตกตื่นกันใหญ่ หมอผีเอสกิโมเรียกฝนตกได้เป็นวงกว้าง ๆ แต่หมอผีฝรั่งเก่งจัง เรียกฝนให้ตกได้เฉพาะที่ด้วย ถึงเวลาไปเจอกระจก ส่องเห็นเงาตัวเอง โอ้..หมอผีฝรั่งเก่งจริง ๆ สามารถเอาบึงน้ำมาตั้งให้ดูได้ ปกติเขาดูแต่เงาในน้ำ ฉะนั้น..ถ้าผู้หญิงผอม ๆ อย่าเพิ่งไปเที่ยวเอสกิโม ต้องกินให้อ้วนก่อนนะ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "แม้กระทั่งสมเด็จวัดเกศไชโย ที่ความนิยมอยู่ท้าย ๆ ของพระตระกูลสมเด็จ ก็ราคาขึ้นเป็นล้านบาทแล้ว ต้องบอกว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยภาพของหลวงพ่อวัดระฆังท่าน ที่สร้างพระชิ้นฟัก
สมัยก่อนจะแกงก็หั่นฟักเป็นเหลี่ยม ๆ ถ้าสลักบนฟักด้วยก็แบบนางจันทร์เทวี สลักแล้วค่อยแกง "ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์ ชิ้นสองต้องขับเที่ยวเซซัง อุ้มลูกไปยังพนาลัย ชิ้นสามเมื่ออยู่กับยายตา ลูกยาออกช่วยขับไก่ ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพร ทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน ชิ้นห้าบิตุรงค์ทรงศักดิ์ มารับเอาลูกรักไปจากบ้าน ชิ้นหกจองจำทำประจาน จะประหารฆ่าฟันไม่บรรลัย ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล ทั้งเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรทัย ใครใครไม่ทันจะสงกา ฯลฯ"
ฉะนั้น..พอทำอะไรเป็นรูปสี่เหลี่ยม ๆ เขาเลยเรียกชิ้นฟักมาตลอด มาระยะหลังนี่เขาเลิกเรียกกันแล้ว เรียกสมเด็จองค์นั้นองค์นี้ มีองค์กวนอู องค์ลุงพุฒ องค์พระธาตุ องค์คุณแจ๋ว เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า เป็นความรู้จริงของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดระฆัง ที่ท่านอัญเชิญบารมีพระได้ วัตถุมงคลจึงกลายเป็นติดลมบน
โดยเฉพาะช่วงที่อหิวาต์ระบาด ปีระกาห่าใหญ่ ท่านไปเข้าฝันคนแถวบางขุนพรหมว่า ให้เอาพระของท่านทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ คราวนี้คนก็แสวงหาพระของท่านกันใหญ่ สมัยนั้นราคาทอง รู้สึกว่าทองบาทหนึ่ง ๔ บาท คนกล้าบูชาพระสมเด็จองค์ละบาท สมัยนั้นขายข้าวได้แค่เกวียนละบาท เขากล้าบูชาพระกันองค์หนึ่ง..!"
"ต้องบอกว่าความกลัวตายเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม บาลีบอกว่า อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเปตปฺปสุภีนรานํ ธมฺโมหิ เตสํ อธิโก วิเสโส ธมฺเมน วีณา ปสุภีนรานา
อาหาระ การกิน นิททัง การนอน ภยะ การกลัวภัย เมถุนนะ การเสพกาม สามัญญะเปตัปปสุภีนะรานัง เป็นเรื่องธรรมดาที่เสมอกันทั้งคนและสัตว์ทั้งหลาย ธัมโมหิ เตสํ อธิโก วิเสโส พระธรรมเท่านั้นที่ทำให้คนต่างไปจากสัตว์ ธัมเมนะ วีณา ปสุภีนะรานา ธรรมจึงเป็นเครื่องจำแนกคนและสัตว์ออกจากกัน ถ้าไม่มีหลักธรรม คนก็เหมือนกับสัตว์ดี ๆ นี่เอง
ในเมื่อยังกลัวตายอยู่ อะไรที่ช่วยให้ไม่ตายได้ก็ต้องแสวงหามา จิ๋นซีฮ่องเต้แสวงหายาอายุวัฒนะ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม จิ๋นซีฮ่องเต้พลัดเข้าไปในเมืองลับแล คนจีนเรียกว่าแดนดอกท้อ เพราะว่าแจวเรือทวนน้ำขึ้นไป เห็นดอกท้อปลิวลงน้ำไหลมาเยอะแยะไปหมด ทวนขึ้นไปดูจนไปเจอเข้า เป็นแดนที่สุขสงบ สวยงามมาก เขาชวนอยู่ก็ไม่อยู่ด้วย กลับออกมา พอตอนเหนื่อยยากกับการทำสงครามปกครองแคว้น อยากจะไปก็หาไม่เจอแล้ว
แบบที่ฝรั่งเขาหลงเข้าไปในแชงกรีลา ไปเจอคนอายุ ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี ยังแข็งแรงเป็นหนุ่มอยู่เลย เดินขึ้นเขาลงห้วยสบาย ตัวเองเดินตามแทบตาย ทุกวันนี้จีนหรือปากีสถาน ต่างคนต่างมีแชงกรีลาของตัวเอง จีนบอกว่าเป็นที่จงเตี้ยน เพราะว่าลักษณะภูมิประเทศเหมือนที่เขาอธิบายไว้ในเรื่อง the lost horizon แต่ว่าของปากีสถานบอกว่าเป็นตรง Hunsa ด้านบนของปลายถนนคาราโครัม ต่างคนต่างเอาเป็นจุดขาย นักท่องเที่ยวจึงต้องไปทั้งสองที่"
"ที่ว่ามาก็เพื่อที่จะให้รู้ว่า เมืองลับแลจริง ๆ แล้วมีอยู่ทุกมุมโลก ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี่แหละ เพียงแต่สร้างความดีไว้มากกว่า ความดีของท่านไม่พอที่จะไปเกิดเป็นเทวดา แต่ก็ดีเกินกว่าที่จะมาอยู่ปะปนกับพวกเรา เลยต้องแยกเขตออกไป ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมา หรือว่าเป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาต จะเข้าไปในเขตเขาไม่ได้
อาตมายังติดหนี้พวกลับแลอยู่เลย ถึงขนาดท้าเขาแข่งกัน คือวันนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจให้เห็นหรอก แต่อาตมาดันทะลึ่งไปอยู่ผิดที่ผิดทาง วันพระใหญ่ พระที่ไหน ๆ ก็ต้องอยู่บนศาลาให้ญาติโยมมาทำบุญ อาตมาดันไปนั่งพิงภูเขาภาวนาอยู่คนเดียว อยู่ ๆ เขาก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า อาตมาก็คิดว่านี่ผิดปกติแล้ว พอเห็นว่าผิดปกติก็ถามเขาว่ามาจากไหน ? เขาสารภาพตรง ๆ ว่ามาจากเขตลับแล
ถามเขาว่า "การที่คุณมา เป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบาก หรือเป็นฤทธิ์โดยอภิญญา ?" เขาบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบาก ถ้าใครเกิดเป็นชาวลับแลสามารถไปมาอย่างนี้ได้ทุกคน เป็นกัมมวิปากชาฤทธิ์ เลยบอกว่าลองแข่งกันดูหน่อยไหม ? ...(หัวเราะ)... เขาบอกว่าแข่งกันเฉย ๆ ไม่สนุก ต้องมีเดิมพันหน่อย ถามเขาว่าเดิมพันอย่างไร ? เขาเอาถุงเงินมาให้ดู เขาบอกว่าถ้าท่านชนะ ผมจะให้หมดเลย ชาวลับแลพม่าใช้เหรียญพระราชินีวิกตอเรียด้วย เป็นเหรียญเงินแท้ของพระราชินีวิกตอเรีย ถุงเบ้อเร่อเลย ถามว่าเอามาจากไหนเยอะแยะอย่างนี้ ? เขาบอกว่าตอนอังกฤษครองเมืองพม่า เขาขนเข้ามากันเยอะแยะ
"ถ้าท่านชนะ ผมให้หมดเลย ถ้าท่านแพ้ ท่านต้องหาเพื่อนพระอีก ๔ รูป รวมท่านด้วยเป็น ๕ รูป เข้าไปให้พวกผมทำบุญวันหนึ่ง" พอได้ยินว่าวันหนึ่ง อาตมาก็บอกว่าไม่แข่งด้วยแล้ว วันหนึ่งของเขาเท่ากับปีหนึ่งข้างนอก ไปปีหนึ่งพวกเราก็ตายกันพอดี เลยยังตกลงกันไม่ได้ เขาบอกเอาอย่างนี้แล้วกัน จะพาไปดูทางก่อน ถ้าท่านเปลี่ยนใจเมื่อไร มาถึงตรงนี้แล้วเรียก ผมจะมารับ
แล้วเขาทำภาพให้ดู อยู่ด้านหลังภูเขา เดินข้ามลำห้วยสายหนึ่งแล้วลัดเข้าซอกเขาไป ถามว่าอย่างนี้ใคร ๆ ก็ไปได้ใช่ไหม ? เขาบอกว่าถ้าไม่ใช่คนที่มีกรรมเนื่องกันมา หรือคนที่ได้รับอนุญาตจริง ๆ เดินมาจะเจอแต่ภูเขาตัน ๆ
ลักษณะอย่างนี้อาตมาเคยเจอที่ด่านช้างมาแล้ว ตอนเดินเข้าไปเป็นถ้ำ แต่พอหันหลังกลับมาเป็นผนังหิน ออกไม่ได้ ต้องตะกายไปออกทางอื่นแทบตาย ตอนที่เขาให้เข้า ก็เดินเข้าไปได้เรื่อยเปื่อย ตอนนั้นมีมหาเค ท่านกอล์ฟอยู่ด้วย อาตมาจึงมีพยาน เดินเข้าไปเป็นถ้ำโล่ง ๆ แต่หันกลับมาเป็นหินตัน ๆ เลย"
ถาม : ผมเคยไปเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน ๑ ครั้ง หลัง ๆ ผมรู้สึกว่าเหมือนโดนของ ?
ตอบ : ถ้ายังรักษายันต์เอาไว้ได้ก็หมั่นภาวนาทุกวัน เรื่องคุณไสย นอนฝันไปเถอะ ไม่โดนหรอก
ถาม : ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่โดนแล้วจะไปเป็นอะไรได้ ?
ถาม : ถ้าใจเกาะพระสงฆ์ตลอด แต่ไม่ได้ปฏิบัติอย่างอื่น จะไปพระนิพพานได้ไหมคะ ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! เกาะอย่างเดียวก็เป็นแค่อนุสติ อย่างดีก็ไปแค่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าทรงฌานได้ก็เป็นพรหม เกาะอย่างเดียวแต่กิเลสท่วมหัวจะไปพระนิพพานได้อย่างไร ?
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บอกแล้วว่าอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่คิดถึง คิดถึงเป็นแค่กำลังใจยึดเกาะ เป็นแค่อนุสติ ไม่เกินกามาวจร ถ้ารักษาจนเป็นฌานได้ก็ไม่เกินพรหม
ถาม : หนูไปบูชาพระของหลวงปู่เณรคำมา จะทำอย่างไรกับพระนั้นดีคะ ?
ตอบ : บูชาไว้สิจ๊ะ พระก็คือพระ..! คำว่าพระแปลว่าดีเลิศประเสริฐศรีอยู่แล้ว เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าอย่าไปนึกถึงเณรคำสิ..! แค่นี้ก็กำลังใจตก ถ้าเป็นสมัยโบราณออกศึกก็กลายเป็นศพถมสนามไปนานแล้ว สมัยโบราณเขามีแค่ว่านยา เขายังรอดมาไม่รู้ตั้งกี่สนาม เพราะใจเขายึดมั่น ส่วนเราขนาดเป็นพระแท้ ๆ หมดความนับถือ กำลังใจไม่ยึดมั่น แล้วจะไปปลอดภัยอีท่าไหน ?
เรื่องของตัวบุคคล เราอาจจะยึดผิด ฉะนั้น..ท่านถึงให้ยึดหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในส่วนที่เป็นนามธรรม คือคุณความดีของท่าน ไหว้เมื่อไรก็ถึงเมื่อนั้น ไม่ว่าเณรคำหรืออาตมาก็เหมือนกันนั่นแหละ เป็นแค่รูปแค่นามแค่ธาตุ ๔ เหมือนกัน ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังเหมือนกัน
ถ้าเรายึดผิด พูดง่าย ๆ ว่าวางกำลังใจผิดเอง ถ้าจะยึดจริง ๆ ยึดความดี พระสงฆ์ท่านเป็นสุปฏิปันโน...ปฏิบัติดี อุชุปฏิปันโน...ปฏิบัติตรง ญายปฏิปันโน...ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม สามีจิปฏิปันโน...ปฏิบัติชอบแล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนไม่ให้ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ใช่ใครเขาว่าอะไรที่ไหนดี เราก็ตื่นไปโดยที่ไม่ได้พิจารณา ถึงเวลาเราเองพอเห็นว่าไม่ดีจริง ก็เสียกำลังใจอีก ถ้าตอนกำลังใจตก กำลังเศร้าหมองอยู่ เกิดตายตอนนั้นก็ซวยอีก ถ้าเรายึดในคุณพระรัตนตรัยที่เป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณจริง ๆ อย่างไรก็ไม่พลาดอยู่แล้ว
เมื่อวานนี้มีโยมมาถามว่า ถ้าอยู่ในที่เลือกเนื้อนาบุญไม่ได้ ก็ทำบุญไม่ได้เลยสิ ? อาตมาบอกว่า ถ้าโง่ก็ทำบุญไม่ได้ ถ้าฉลาดก็ถวายเป็นสังฆทาน ต่อให้เป็นอาจารย์นิกร อาจารย์ยันตระ ท่านภาวนาพุทโธ หรือเณรคำมานั่งรับสังฆทานพร้อมกันก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราตั้งใจเป็นสังฆทาน คนรับเป็นเพียงตัวแทนสงฆ์ อานิสงส์ของเราได้เต็มร้อยอยู่แล้ว
ในปฐมสมโพธิกถา อันตรธานปริวรรต กล่าวถึงการเสื่อมสูญของพระศาสนา ว่าช่วงท้ายก่อน ๕,๐๐๐ ปีเล็กน้อย เพศพระจะหายไป เหลือเพียงผ้าเหลืองพันข้อมือ หรือผ้าเหลืองคล้องคอไว้นิดหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ให้ไปดูที่ประเทศญี่ปุ่น พระญี่ปุ่นใส่ชุดสากล มีแถบติดคออยู่หน่อยให้รู้ว่าเป็นพระเท่านั้น ท่านบอกว่าต่อให้เพศพระเสื่อมไปถึงขนาดนั้นก็ตาม ถ้าถวายเป็นสังฆทานตั้งใจอุทิศเฉพาะเจาะจงแก่สงฆ์ ก็มีอานิสงส์เท่ากัน เณรคำเขายังห่มจีวรอยู่เต็มผืน ถวายไปเถอะ..!
ในทักขิณาวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงอานิสงส์ของการให้ทาน ขนาดการให้ทานแก่นักบวชนอกพุทธศาสนา ยังบอกว่าอานิสงส์เป็นแสนเท่า เพราะส่วนใหญ่นักบวชนอกพระพุทธศาสนาจะได้ฌาน ได้อภิญญา แม้จะเป็นฌานโลกีย์ อภิญญาโลกีย์ก็ตาม แต่กำลังใจความสะอาดมากกว่าคนปกติมาก ฉะนั้น..เวลาให้ทานจึงมีอานิสงส์เป็นแสนเท่า
ท่านบอกว่าให้ทานพระโสดาบันประมาณอานิสงส์ไม่ได้ แต่ให้ทานพระโสดาบัน ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังไม่เท่ากับให้ทานพระสกทาคามี ๑ ครั้ง คูณ ๑๐๐ เข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงพระอรหันต์ จนถึงพระพุทธเจ้า จนถึงสังฆทาน บอกว่าให้ทานโดยตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง อานิสงส์ก็ยังไม่เท่าสังฆทาน ๑ ครั้ง ฉะนั้น..ถ้าทำบุญเป็น ที่ไหนก็ทำได้
ในธรรมบท กล่าวถึงท่านเศรษฐี นิมนต์พระที่วัดใกล้บ้าน สมาทานศีลด้วยความเคารพ น้อมของเข้าไปถวายด้วยความเคารพ ถึงเวลาก็หิ้วของไปส่งที่วัด ปรากฏว่าไปถึงวัด พระท่านจะขึ้นกุฏิ สมัยก่อนพระเขาไม่ใส่รองเท้ากัน พระบอกให้เศรษฐีช่วยหยิบขันน้ำให้หน่อยจะล้างเท้า เศรษฐีเอาเท้าเขี่ยให้ คนเห็นก็สงสัย เมื่อครู่ยังทำทานด้วยความเคารพสุดจิตสุดใจ ทำไมตอนนี้เอาเท้าเขี่ยให้ เศรษฐีบอกว่าตอนทำทานท่านถวายเป็นสังฆทาน พระที่วัดใกล้บ้านเป็นตัวแทนสงฆ์ ในเมื่อเป็นตัวแทนสงฆ์ท่านต้องเคารพ แต่โดยจริยาของพระรูปนั้นแล้วส่วนตัวท่านไม่เคารพ พอใช้ให้หยิบของ เอาเท้าเขี่ยให้ยังเสียดายเท้าเลย..!
ต้องวางกำลังใจให้ได้อย่างนั้น ถึงเวลาส่วนของบุญ ก็ทำดีให้เต็มที่ แต่ส่วนตัวท่านใช้ไม่ได้ เราก็เอาแค่นั้นแหละ
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้การแปลความหมายเปลี่ยนไปจนบาลีสับสนไปหมด อย่างวิญญาณของเราแปลว่าผี แต่ความจริงวิญญาณเป็นประสาทความรู้สึก ความหมายผิดไป กลายเป็นเพี้ยนไปเลย ต่อไปจะรักษาหลักธรรมเอาไว้ไม่ได้ ฉะนั้น..บาลีต้องแปลให้ถูก
สมานัตตตา เขามักจะแปลว่าเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าชั่วเสมอต้นเสมอปลายก็ใช้ได้สิ..? คำนี้มาจาก สมาน + อัตตา = เสมอด้วยตัวเอง คือเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราคิดอยากได้อะไรเขาก็อยากได้อย่างนั้น เราไม่ชอบอะไรเขาก็ไม่ชอบอย่างนั้น
อาตมาสงสัยว่าชั่วเสมอต้นเสมอปลาย จะไปผูกใจเขาได้อย่างไร ? ถ้าชั่วเสมอต้นเสมอปลาย คนอื่นเขาก็เกลียดขี้หน้าเอา บาลียังเหมือนเดิม แต่คนแปลเข้าใจไม่ลึกพอ จึงแปลออกมาจนเละเทะไปหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ดวงอาตมาราหูทับลัคน์ อะไร ๆ ก็แห่กันมาทีเดียว งานก็เยอะ เงินก็เยอะ โรคก็เยอะ เยอะไปหมด ถ้าเราพิจารณาว่า การมีชีวิตอยู่แม้จะต้องทนลำบากขนาดไหนก็ตาม ไม่เกิน ๑๐๐ ปีก็ตายแล้ว ถ้าสามารถตัดชาติตัดภพได้อย่างไรก็คุ้ม ไม่อย่างนั้นก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน"
ถาม : ส่วนใหญ่พุทธภูมิที่ผมรู้จัก เขาจะคิดหรือทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านครับผม เป็นเพราะเรายังไม่เข้มหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ถ้าทำเหมือนชาวบ้านก็เป็นสาวกภูมิคือตาม ๆ เขาไป ฉะนั้น..พุทธภูมิไม่เหมือนเขาหรอก ทางมีไม่เดิน ชอบหักร้างถางพงเอง เลยค่อนข้างจะเพี้ยน ๆ ในสายตาคนปกติเขาหน่อย
ถาม : อะไรที่คนเขาว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาทำได้ ?
ตอบ : ที่ว่าเป็นไปไม่ได้นั้นเป็นกำลังใจของคนอื่น แต่กำลังใจของท่านเรื่องแบบนี้ง่ายนิดเดียว ต่อให้ชาตินี้ไม่เสร็จ ชาติหน้าก็ทำต่อได้ เรามีอารมณ์อย่างนั้นหรือเปล่า ?
ถาม : กระผมก่อนจะสนิทกับใคร ผมจะต้องไม่ถูกชะตาเขาก่อน หรือเกลียดขี้หน้าเขาก่อน ท้าดวลก่อน จึงจะให้ความเคารพเขา หรือสนิทกับเขา เป็นสันดานเก่าหรือครับ ?
ตอบ : สันดานทรพี..! เจออะไรก็ชนดะไปก่อน ไม่มีอะไรจะชน ชนกับจอมปลวกก็เอา ไปดูตามภาคอีสาน ตามท้องนา ไม่มีอะไรก็ขวิดกันเอง หาคู่ขวิดไม่ได้ก็ขวิดจอมปลวก
ถาม : อย่างเพื่อนรักก็อย่างเดียวกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต่อยตีไม่รู้จักกัน ภาษิตจีนเขาบอกไว้ชัดแล้ว
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ถวายดอกไม้บาน ๆ แบบนี้ ก็จะได้ประมาณท่านอาจารย์มิตซูโอะ คู่นี้ผู้ชายอายุ ๖๓ ปี ผู้หญิงอายุ ๕๒ ปี ยังไม่ถือว่าไกลนะ เมื่อหลายปีก่อนมีผู้ชายอายุ ๗๓ ปี ผู้หญิงอายุ ๘๒ ปี แต่งงานกัน บรรดาลูกหลานก็คิดว่าจะแต่งไปทำไม ? อายุจนป่านนี้แล้ว
แต่เขายืนยันว่าพอเห็นหน้าก็รักเลย ไปเจอกันที่วัดหลวงพ่อพระพุทธชินราช ต่างคนต่างไปทำบุญ พอเห็นหน้าก็รักเลย ทำไมบุพเพสันนิวาสมาช้าแท้ โบราณบอกว่า ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม ถ้าสึกตอนแก่จะไปทำมาหากินทันใคร ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สังขารัง โรคนิทธัง สังขารเป็นรังของโรค ปะภังคุณัง ย่อมเน่าเปื่อยเป็นธรรมดา ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้ สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ สัตว์ทั้งหลายจะต้องถึงแก่ความตาย มะริงสุจะ มะริสสะเร ไม่อาจล่วงพ้นความตายไปได้ ตะเถวาหัง มะริสสามิ ตัวเราก็ต้องตายเช่นกัน นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย ไม่มีใครล่วงพ้นไปได้ ทั้งเอ็งและข้าก็ตายเหมือนกัน..!"
ถาม : ทำไมนั่งสมาธิแล้วแน่นหน้าอก ?
ตอบ : มีสองอย่าง อย่างแรก..เป็นเรื่องปกติ ถ้าสมาธิทรงตัว เราจะรู้สึกว่าแน่นเข้า ๆ อย่างที่สอง...ขันธมาร มาทดสอบดูว่าเรายังกลัวตายหรือเปล่า ?
ถาม : แสดงว่านั่งกรรมฐานต่อได้เรื่อย ๆ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดอย่างไรช่างมัน..!
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานซืนนี้สามเณรของวัดท่าขนุนสูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว ที่เหลืออยู่ ๑ รูปสึกไปแล้ว พอสามเณรเริ่มโตเป็นวัยรุ่น ก็เริ่มมีดวงตาเห็นธรรมว่า..สึกดีกว่า ความจริงเขาจะสึกนานแล้ว อาตมาบอกเขาว่า เอ็งช่วยอยู่ล้างอาถรรพ์ให้หน่อยได้ไหม ? เขาถามว่าล้างอาถรรพ์อะไร ? "สามเณรวัดท่าขนุนไม่เคยอยู่จนได้บวชพระ ส่วนใหญ่สึกไปก่อนแล้วค่อยย้อนมาบวชพระทีหลัง"
เขาก็ทนอยู่มาอีก ๓ - ๔ เดือน ในที่สุดก็สึกดีกว่า ไม่อย่างนั้นเข้าพรรษาแล้วกว่าจะได้สึกก็ต้องรับกฐิน แต่พวกนี้ยังดี กำลังใจยังอยู่กับวัดกับวา ยังเทียวไปเทียวมา หลายรายสึกแล้วก็เวียนไปเวียนมาอยู่กับวัด ถามว่าแต่งงานหรือยัง ? "ยังครับ" "หาไม่ได้เลยหรือ ? " "ไม่ได้หาครับ" "แล้วจะสึกไปทำไมวะ ? สึกไปไม่แต่งเมียถือว่าสึกไปขาดทุน..!"
ถามไปถามมาได้ความว่าใจไม่ถึง ตอนเป็นพระกลัวว่าถ้าทำไม่ดีแล้วจะเกิดโทษ ถึงได้ตัดสินใจสึกเป็นฆราวาส แต่ชีวิตฆราวาสถ้ามีครอบครัวแล้วการปฏิบัติไม่ต้องพูดถึงเลย โอกาสมีน้อย เลยตัดสินไม่ถูก ทำตัวครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถ้าเป็นนิทานกำลังภายในเรียกว่า "พวกครึ่งหลวงจีน" คือปฏิบัติตัวเหมือนพระ แต่ตัวเองเป็นฆราวาส
อย่างอาตมา เพื่อนเรียกว่า "มหา" มาตั้งแต่เล็ก ๆ เพราะใจรักชอบทางนี้เอง ของเก่าทำเอาไว้เยอะ ถึงเวลาทิ้งไม่ได้ สมัยก่อนเขานิยมเฟรนด์ชิป เวลาเขียนเสร็จ เพื่อนจะเอารูปไปแปะ ประเภทอดีต ปัจจุบัน อนาคต ความรักชอบส่วนตัว คติธรรม ของอาตมา อนาคต... "..เดินตามรอยบาทพระศาสดา.." บอกไว้ชัดเลย ไม่เคยโกหกเพื่อน"
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่การตัดสินใจ การเข้าถึงมรรคผลทุกระดับต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดและแน่นอน สัจจะต้องมั่นคงจริง ๆ เอาก็คือเอา ไม่เอาก็คือไม่เอา ประเภทครึ่ง ๆ กลาง ๆ เดี๋ยวบวชเดี๋ยวสึกยังไม่ได้เรื่อง ให้ตายเป็นตายไปข้างหนึ่งเลย ถ้าไปพระนิพพานไม่ได้ก็ลงอเวจีเลย ถ้าตัดสินใจแบบนั้นได้ถึงจะได้เรื่อง พวกที่ยังกั๊กอยู่ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถือว่าไม่ได้เรื่อง ถ้าเป็นเศรษฐีไม่ได้ก็เป็นมหาโจรไปเลยถึงจะใช้ได้..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปั้น การวาด ถ้าเผลอเมื่อไรหน้าตาจะเหมือนเจ้าตัว ไปนึกถึงช่างประเสริฐ สามีป้าจำเนียรที่วัดท่าซุง ช่วงแรก ๆ ที่ทำงานออกมาหน้าตาเหมือนตัวเองเปี๊ยบเลย จนกระทั่งมาช่วงหลัง ๆ ใช้วิธีขอบารมี แล้วแต่พระท่านจะสงเคราะห์ นั่นแหละถึงจะฉีกแนวตัวเองออกไปได้ ไม่อย่างนั้นปั้นพระกี่องค์หน้าตาเหมือนตัวเองหมด"
ถาม : พระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้ามีตลอดเวลาไหมครับ ?
ตอบ : ต้องการให้ปรากฏถึงปรากฏ จะมีอยู่บางพระองค์ในอดีตที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา นั่นท่านสงเคราะห์บริวารของท่านโดยเฉพาะ แล้วก็มีบางองค์รัศมีไม่ได้มีเฉพาะโลกของเรา พระพุทธเจ้ามีนามว่า มังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีท่านแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ พอ ๆ กับพระอาทิตย์นั่นแหละ
ถาม : เห็นด้วยตาเปล่าหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าพระองค์ท่านแสดงก็เห็นด้วยตาเปล่า แต่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราต้องบอกว่าพระรัศมีแคบที่สุด ไม่กี่วา หลายองค์มีรัศมีปกติก็ ๑ โยชน์ แต่ว่าในรัศมี ๑๖ กิโลเมตรนี่เห็นท่านหมด
พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราต้องไปดูในพุทธวงศ์ รู้สึกว่าทุกอย่างของพระองค์ท่านนี่จะน้อยกว่าคนอื่น และยากกว่าคนอื่นทั้งหมด มีอยู่พระองค์เดียวที่เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ลำบากกว่าเจ้าชายสิทธัตถะ คือพระพุทธนารทสัมมาสัมพุทธเจ้าออกเดินไป ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะของเราทรงม้าไป บางท่านทรงช้างไป บางท่านนั่งคานหามไป มีบางองค์ลอยไปทั้งปราสาทเลย ไม่ต้องลงจากปราสาท ท่านเจตนาจะออกมหาภิเนษกรมณ์แล้วปราสาทถอนเสาลอยไปทั้งหลังเลย บารมีท่านขนาดนั้น
พระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญเพียรนานที่สุด ๖ ปี มีหลายท่านที่บรรลุใน ๗ วัน อย่างลำบากเลยก็ ๖ เดือนบ้าง ๑ ปีบ้าง ต้องบอกว่าพระพุทธเจ้าของเราท่านทรงผจญทุกอย่างมาโชกโชนที่สุด ถ้าเปรียบกับพระพุทธเจ้าองค์อื่นแล้วก็ต้องบอกว่าต้นทุนน้อย ในเมื่อต้นทุนน้อยแล้วสามารถทำกำไรจนกระทั่งอยู่ในระดับมหาเศรษฐีเท่ากัน ก็ต้องคิดเหมือนกันนะว่าฝีมือขนาดไหน ถึงได้บอกว่าท่านเป็นปัญญาธิกะจริง ๆ ก็คือเป็นพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีมาในด้านปัญญา ต้นทุนน้อย เรียนระยะสั้น แต่จบเท่ากัน
ถาม : ท่านั่งขัดสมาธิทั่วไปกับนั่งขัดสมาธิเพชร อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่เราชอบ ขัดสมาธิเพชรดีอยู่อย่างหนึ่งคือนั่งมั่นคงดี ไม่หลุดง่าย ๆ แต่ถ้าคนไม่เคยชินก็ปวดขาดีแท้ กว่าจะนั่งให้ชินได้ก็ต้องหัดกันเป็นเดือน ๆ
ถาม : น้องสาวผมนั่งขัดสมาธิเพชรอยู่ ผมบอกว่าทรมาน
ตอบ : เป็นความเคยชินของเขา สมาธิท่านั้นเขาเรียกว่าปัทมบัลลังก์ รูปดอกบัวบาน เป็นของทางด้านโยคะ นั่งแบบนั้นยืดเส้นยืดสายได้ด้วย ถ้านั่งจนเคยแล้วจะไม่อยากนั่งท่าอื่น
ถาม : นั่งแบบนั้นทรมานครับ
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจเราสู้เขาไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องของการปฏิบัติไม่ได้เน้นที่ร่างกาย การปฏิบัติเขาเน้นที่ความสงบของใจ ถ้ากายทรมานมากเกินไปบางทีใจก็ไม่สงบ แต่ว่าบางคนโดยจริตนิสัย โดยเฉพาะคนอีสาน ด้วยความที่ต้องดิ้นรนทำมาหากินมาก การต่อสู้กับภัยธรรมชาติสูงมาก กำลังใจจะเข้มแข็งมาก ถ้าไม่ได้ทรมานกันสุด ๆ นี่ไม่ยอมลงให้ง่าย ๆ หรอก ถ้าเป็นจริตนิสัยลักษณะนั้นก็ต้องยอมเขา ต้องออกไปทางนั้น
ยกเว้นว่าเราจะปฏิบัติลักษณะการดูเวทนา อยากรู้ว่าเวทนานี้เป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า ? เป็นจริงไหม ? หรือสักแต่ว่าเป็นความรู้สึกที่เราปรุงแต่งขึ้นมา แล้วก็ไปยินดียินร้าย ก็ลองนั่งดู แต่ว่าไม่ต้องถึงขนาดนั่งขัดสมาธิเพชรหรอก นั่งธรรมดา ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ก็ทรมานพอกันนั่นแหละ
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เราไม่ได้มีเจตนาโกหกเขานี่ ถ้าเจตนาชักนำเขาไปในทางที่ดี แล้วสิ่งที่ตอบไปนั้นถูกต้องตามศีลตามธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าบางอย่างบอกหมดเขาก็รับไม่ได้ ในเมื่อรับไม่ได้ก็ให้แค่เขารับได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณก็ตีความว่าพระพุทธเจ้าโกหกด้วย เพราะท่านรู้เท่าใบไม้ทั้งป่า แต่ท่านเอามาสอนแค่กำมือเดียว ครูบาอาจารย์ก็พลอยโกหกคุณไปด้วย เพราะสอนเท่าไรเราก็ไปไม่ถึงจุดสุดท้ายเหมือนท่านสักที
ความพอเหมาะ ความพอดีต่อกาละและเทศะคือเวลาและสถานที่ จึงเป็นศิลปะชั้นสูงสุด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะถือว่าเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง สำคัญที่สุดก็คือศิลปะในการดำรงชีวิต ความจริงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดหรอก ศิลปะในการเอาตัวรอดจากวัฏสงสารจึงสำคัญที่สุด แต่การที่เราจะอยู่ในวัฏสงสารโดยที่ตัวเองไม่ลำบากมากนั้น ศิลปะการดำรงชีวิตสำคัญที่สุด
พระอาจารย์กล่าวหลังจากที่ฉันยาไปว่า “รู้ว่าลำบากแล้วกินไปทำไม ? ไหน ๆ โยมก็หามาแล้ว กินให้เขารู้ว่ากินไปก็เท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นเอามากันจัง นั่นก็ดี นี่ก็ดี โบราณเขาบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา ขอให้เชื่อเถอะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ตกผลึกแล้ว สังเคราะห์ออกมาใช้งานแล้ว
คนป่วยด้วยโรคเดียวกันแท้ ๆ ยังต้องรักษาด้วยยาคนละขนานเลย เพราะว่าสภาพร่างกายไม่เท่ากัน โบราณเขาว่าธาตุไม่เหมือนกัน หลวงพ่อวัดท่าซุงฉันยาถ่ายทีละ ๑๒๐ เม็ด เป็นพวกเราฉันไหวไหมเล่า ? เจอไป ๒ เม็ดก็ตายแล้ว ของท่าน ๑๒๐ เม็ดแต่ถ่ายออกมานิดเดียว"
ถาม : พระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทัสนะ ?
ตอบ : โน่น..คือพระพุทธเจ้าตั้งแต่ช่วงสร้างบารมีแรก ๆ การจะสร้างบารมีนั้น การเกิดเป็นพระมหากษัตริย์หรือเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังเป็นแค่บารมีขั้นต้น ๆ เท่านั้น ไม่เกินอุปบารมี การปฏิบัติในเนกขัมมะบารมียังอ่อนอยู่ เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาก็ยังอยู่ในระดับต้น ๆ แต่ก็ต้องเป็นผู้นำคนหมู่มากอยู่ดี สมัยนั้นท่านครองกรุงกุสินารา แต่กุสินาราในสมัยนั้นชื่อมหาสุทัสนนคร
ถาม : มีมานานมาก ?
ตอบ : นานจนลืม แผ่นดินจะสลายตัวลงแล้วก็พอกพูนขึ้นมาใหม่ สลายตัวลงแล้วพอกพูนขึ้นมาใหม่ ท่านบอกว่าถ้าแผ่นดินหนากลับมาได้ ๑ โยชน์ก็จะเริ่มมีคนมาอยู่อาศัย แสดงพวกต้นไม้ใบหญ้าต้องมาก่อน ตายทับตายถมกันไปเรื่อย เวลาไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกก็เหมือนกับไฟไหม้ขอน ไหม้จนเหลือข้างในหน่อยหนึ่ง เวลาฝนตกลงมา เกิดสิ่งมีชีวิตก็ค่อย ๆ หนากลับคืนมา หนาได้ ๑ โยชน์คนก็เริ่มมาอยู่ได้ ฉะนั้น..ในเรื่องของการเจริญและเสื่อมเป็นเรื่องปกติ
จะมีสังวัฏฏอสงไขยกัปและวิวัฏฏอสงไขยกัป สังวัฏฏอสงไขยกัปเป็นกัปในขั้นเสื่อม สลายลงไปเรื่อย ๆ แบบของเราในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นเส้นกราฟวิวัฒนาการก็โค้งลง ถ้าสังวัฎฏัฏฐายีอสงไขยกัปเป็นกัปที่เสื่อมสนิทแล้ว เส้นกราฟโค้งติดดินแล้ว แล้วถ้าเป็นวิวัฏฏอสงไขยกัปก็เริ่มโค้งขึ้น เพราะเป็นกัปในข้างเจริญ เป็นวิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัปก็เจริญเต็มที่แล้ว สมัยพระศรีอาริยเมตไตรยนั่นแหละ เจริญเต็มที่แล้ว เส้นกราฟโค้งขึ้นสุด มนุษย์เราก็สูง ๘๘ ศอก ถ้าเปรียบกับสมัยนี้ก็เป็นยักษ์เลย
รุ่นของเราเหลืออยู่หน่อยเดียว ๒ เมตร เต็มที่ ๘๘ ศอก ตีว่าเป็นศอกสมัยนี้ยังตั้ง ๔๔ เมตร สูง ๒๐ กว่าวาก็ตึกทั้งหลังดี ๆ นี่เอง สงสัยว่าถ้ามนุษย์ตัวขนาดนั้น พวกไดโนเสาร์ก็ประมาณกะปอมสมัยนี้ ไล่คล้องมาปิ้งได้เลย
ถาม : สูงเท่าเทวดาไหมคะ ?
ตอบ : บังเอิญว่าอยู่คนละช่วงกัน เทวดาเขาอัตภาพอย่างน้อย ๓ คาวุต ก็ ๑๒ กิโลเมตร อันนี้ของเราแค่ ๔๐ กว่าเมตร ๑๐๐ เมตร ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปคิดถึงครึ่งกิโลเมตร ถึงได้บอกว่าตอนไปยุโรปเทวดาท่านเดินเอามือช้อนประคองเครื่องบินให้ รู้สึกว่าท่านเพลินมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลย กลัวเครื่องบินตกก็แค่เอามือรองไว้
ถาม : พระพุทธศาสนาอายุยาวห้าพันปีหรือครับ ?
ตอบ : ๕,๐๐๐ ปีสั้นสุด ๆ
ถาม : แปดหมื่นปีถือว่ายาวนานที่สุด ?
ตอบ : ใครบอก ? พระปทุมมุตระอายุพระศาสนา ๓ อันตรกัป อายุพระศาสนานานขนาดนั้น ๕,๐๐๐ ปีนี่น้อยแล้ว น้อยมาก ๆ เลย แต่องค์อื่น ๆ ที่อายุศาสนาท่านไม่ยาว เพราะบางทีท่านเทศน์จบเดียวไปหมดแล้ว ก็เลยไม่รู้จะเอาอายุศาสนาไปทำอะไร แสดงว่าบริวารของท่านนี่สั่งสมมาเต็มที่เลย
ถาม : คนที่ใช้มโนมยิทธิแล้วค่อย ๆ ดูแบบละเอียด เป็นสายพุทธภูมิบารมีต้นหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก บารมีไหนก็เหมือนกัน เพราะว่าเขาต้องการรู้ทุกอย่าง ในเมื่อต้องการละเอียด อาตมาจะไปเข็นอย่างไรไหว เราไปไกลจนไม่เห็นฝุ่นแล้ว เขายังไปค่อย ๆ ไปเล็งพื้นอยู่เลย เขาจะเอารายละเอียดทั้งหมด ทำไมถึงต้องเอารายละเอียดทั้งหมด ? ก็วิสัยการจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ต้องไปเป็นครูสอนเขา ถ้ารู้ไม่ครบเวลาลูกศิษย์มาถามก็บอกเขาไม่ได้
ฉะนั้น..ท่านก็ต้องค่อย ๆ ไป คุณจะไปรถสปอร์ตพรืดเดียว ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ไปเถอะ ของท่านขอไปทีละก้าว
ถาม : ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น ?
ตอบ : เดินตามรอยคนอื่นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ แหกคอกไปเองจะสบายใจที่สุด
ถาม : คุ้มค่าหรือครับ ?
ตอบ : ก็ดูว่าคุ้มค่ากับการลงทุนไหม ? ถ้าคุ้มค่ากับการลงทุน ท่านเห็นว่าเป็นการสร้างบารมีของท่านก็เอา ประเภทกระโดดไปเป็นเหยื่อให้เสือกิน เพื่อที่เสือจะได้ไม่ล่ากวางก็ทำ..!
ถาม : เพราะเหตุใดสัตว์เดรัจฉานถึงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเขาอยู่ในภูมิที่มืดบอด ดวงปัญญาไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงธรรม การสั่งสมยังไม่เพียงพอ และภพภูมิที่ตนเองไปอยู่ตามกรรมที่สร้างมาเป็นภูมิที่ต่ำ ทำให้สติปัญญาน้อย ไม่สามารถจะตัดสินใจให้เด็ดขาดได้ อาลัยอาวรณ์อยู่ เหมือนอย่างที่ท่านเปรียบว่า เป็นหมู่หนอนในกองขี้ เพื่อนเป็นเทวดาชวนให้รักษาศีลจะได้ไปอยู่เป็นเทวดาด้วยกัน เขากลับบอกอยู่ในกองขี้สบายแล้ว มีกินทุกวัน ไม่เห็นต้องไปทำอะไรให้ลำบากเลย ตื่นขึ้นมาก็มีกินแล้ว
ถาม : พวกที่ไปเสวยกรรมไม่มีโอกาสเข้าใกล้พระหรือครับ ?
ตอบ : โอกาสไม่มี ถ้าโอกาสมีไปเจอพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านให้รับไตรสรณาคมณ์ ส่วนใหญ่จะหลุดจากภูมิเดิมไปเลย ที่โอกาสไม่มีบางทีกรรมยังบังอยู่ โอกาสจะเข้าใกล้ก็ไม่มี พอมีโอกาสจะเข้าใกล้พระ ก็เห็นพระเป็นศัตรูอีก เพราะ หวงที่ของตัวเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเรามีหลายคนที่หนักใจในเรื่องการรักษาศีล เพราะว่าต้องไปละเมิดศีลตอนทำงาน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำให้รักษาศีลเป็นเวลา อย่างเช่น ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงที่ทำงานเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ พอถึงที่ทำงานแล้วค่อยยอมให้ขาดหน่อย ตั้งแต่เลิกงานแล้วจนกระทั่งนอนก็รักษาศีลให้บริสุทธิ์
คราวนี้การรักษาศีลเป็นเวลา อย่างน้อย ๆ ความดีก็มีอยู่ เพราะว่าเวลาที่เราทำความดียังมี ไปยุโรปงวดนี้เห็นว่า ถ้าแนะนำให้เขารักษาศีลเป็นเวลาก็ได้ เพราะคนยุโรปเขาล่าสัตว์กันเป็นฤดู ถ้าไม่ใช่เวลาล่าสัตว์นี่เขาก็ยืนมองกันอยู่ข้างทาง รถวิ่งไปมามีป้ายระวังกวางข้ามถนน ระวังหมูป่าข้ามถนน บ้านเรามีแต่ระวังคนข้ามถนน ถ้าไม่ถึงฤดูการให้ล่าสัตว์ ไม่มีบัตรอนุญาต ต่อให้สัตว์ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ได้แต่มองเฉย ๆ ก็น่าจะแนะนำให้เขารักษาศีลเป็นเวลาได้
หงส์ว่ายอยู่เต็มน้ำเลย เป็นบ้านเราก็อาหารอย่างดี ตัวใหญ่กว่าห่านอีก เขาก็ปล่อยให้ว่ายอยู่นั่นแหละ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกหมาเขาฉลาดสุด ๆ เลยนะ ตอนนี้อาตมาไม่ได้เลี้ยงหมาเลย แต่มีหมาที่หน้ากุฏิ ๗ - ๘ ตัวเข้าไปแล้ว แต่ละตัวเสนอตัวมาเป็นหมาของอาตมาเอง ยัดเยียดตัวเองมาให้เราเป็นเจ้าของ มีไอ้เก็บตกนี่แสบที่สุด ไม่ได้เสนอตัวมาเป็นหมาของอาตมา แต่ไปฝากตัวเป็นลูกของนังแสบที่อาตมาอุ้มมาจากเกาะพระฤๅษี แล้วก็อยู่กันอย่างกับแม่ลูกจริง ๆ เลย
สรุปก็คือถ้าเลี้ยงนังแสบก็ต้องเลี้ยงไอ้เก็บตกด้วย ร้ายจริง ๆ ถ้าอยากรู้จักหมาให้ลึกซึ้งก็ต้องดูที่อนุสาวรีย์ย่าเหล ดูว่าในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านมีพระราชดำริเกี่ยวกับหมาอย่างไร"
ถาม : การละโทสะ ?
ตอบ : ถ้าเกิดนี่ละไม่ทันแล้ว ฉะนั้น..เรื่องของสติ สมาธิ ปัญญายังไม่พอ ทำให้โทสะเกิดขึ้น ถ้ากระทบ รู้ว่าสู้ไม่ได้ให้ถอยไปก่อน ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ก็ปลีกตัวออกจากเหตุการณ์ไปเลย ถ้าอยู่แล้วไปชนกันเดี๋ยวเสียหายเยอะ
ถาม : มีความจำเป็นต้องตัดต้นไม้ใหญ่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นต้นไม้ที่บ้านให้ตั้งศาลเพียงตาหลังหนึ่ง ศาลพระภูมิก็ได้ ตั้งไว้ในที่ ๆ เหมาะสมแล้วก็ตัดกิ่งของต้นนั้นมากิ่งหนึ่ง เอาที่ค่อนข้างใหญ่หน่อย ประมาณให้ตั้งได้ สูงสักคืบสองคืบ ตัดแล้วเลื่อยให้เรียบเพื่อจะได้หันปลายตั้งขึ้นได้ เอาปลายกิ่งขึ้นนะ อย่าหันผิดด้าน แล้วก็จุดธูปเชิญท่านมาอยู่ที่นั่นแทน ที่เหลือก็โค่นไปได้เลย
ไม่ต้องกังวลหรอก..รุกขเทวดากี่ร้อยกี่พันองค์ก็อยู่ได้ เพราะว่าถ้าเกิดความจำเป็นขึ้นมานี่ พื้นที่ ๑ หัวเข็มหมุดเทวดาอยู่ได้ ๘ องค์..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่เรียนนักธรรมเอกอยู่ เขาบอกว่าอุทกุกเขปสีมา หรือสีมาน้ำ ให้ห่างจากฝั่ง ๗ อัพภันดร ๑ อัพภันดรประมาณกำลังบุรุษปานกลางวักน้ำไปถึง อาตมาก็สงสัยว่ามีกำลังปานกลาง กำลังมาก กำลังน้อยอะไรของเขา มาตอนนี้เข้าใจแล้ว บางอย่างคนอื่นยกไหวแต่อาตมายกไม่ไหว เพราะกำลังคนต่างกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ต้องรักษารูปแบบไว้ แต่เนื้อหาอยู่ที่เราจะใส่ การเทศน์ ๓ ธรรมาสน์มาจากการสังคายนาพระไตรปิฎก องค์ประธานก็คือพระมหากัสสปะจะเป็นผู้สอบถาม พระอุบาลีกับพระอานนท์จะเป็นผู้ตอบ แต่คราวนี้เขาไม่ได้กำหนดตายตัวว่า จะต้องตอบเรื่องวินัยเรื่องธรรมหรืออะไร กลายเป็นว่า ๓ ท่านจะมีท่านหนึ่งเป็นหลักคอยถาม ท่านที่เป็นหลักถ้าคนอื่นตอบไม่ตรงอย่างไรนี่ ต้องต้อนกลับไปให้ตอบตรงให้ได้
แต่ถ้าเทศน์ ๒ ธรรมาสน์จะเป็นพระสกรวาทีกับพระปรวาที คือท่านผู้ถามกับผู้ตอบ ๒ คน เขาจะสมมติว่าพระสกรวาทีพิจารณาธรรมอยู่ในป่า แล้วก็ติดขัด นึกถึงพระปรวาทีว่าท่านเป็นผู้ที่เจริญด้วยศีลสุตาธิคุณ กอปรไปด้วยปัญญาอันยิ่ง คงจะเข้าใจซึ่งปัญหาอันนี้ เราควรที่จะไปสอบถาม แล้วก็มีการสมมุติให้เดินทางไปสอบถาม บางที่คำถามก็งัดเอาคำถามที่โยมเขียนนั่นแหละมาถาม จะมีการขึ้นต้นลงท้ายที่เป็นรูปแบบตายตัวของเขา ส่วนคำตอบก็อยู่ที่ปัญญาของคนเทศน์"
ถาม : แล้วการเทศน์แจงละครับ ?
ตอบ : การเทศน์แจงเป็นเรื่องของการสังคายนาพระไตรปิฎกโดยตรงเลย เป็นการเทศน์เดี่ยว ใครถามปัญหาอะไรต้องตอบได้หมด จริง ๆ แล้วเขาเรียกเทศน์แจง ๕๐๐ รู้สึกว่าจะมีแต่หลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงสาวาส ที่จัดได้ เพราะลูกศิษย์นักเทศน์ของท่านเยอะ ถามกันคนละประโยคก็หมดวันแล้ว
ปกติแล้วจะใช้ในงานศพ ขึ้นต้นว่า ยันเตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ ฯลฯ แปลเป็นไทยก็ถามตอบดี ๆ นี่แหละ
ปะฐะมัง ปาราชิกัง กัตถะ ปัญญัตตันติ ฯ ......ปฐมบัญญัติปาราชิกบัญญัติขึ้นที่ไหน ?
เวสาลิยัง ปัญญัตตันติ ฯ ......................... บัญญัติขึ้นที่เมืองเวสาลีครับ
กัง อารัพภาติ ฯ .....................................ด้วยปรารภเรื่องอะไร ?
สุทินนัง กะลันทะปุตตัง อารัพภาติ ฯ ..............ด้วยปรารภเรื่องพระสุทินนกลันทบุตรครับ
พูดง่าย ๆ ก็คือธรรมะของพระพุทธเจ้าง่ายสุด ๆ ท่านเล่นถามตอบกันทีละประโยคอย่างกับถามเด็กเลย คนสมัยนั้นฟังแล้วเข้าใจก็ได้มรรคได้ผลไปตาม ๆ กัน อย่างในอนัตตลักขณสูตร ท่านถามว่า
ตังกิง มัญญะถะ ภิกขะเว............................ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย
รูปัง นิจจัง วา อนิจจัง วาติ ..........................รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
อนิจจัง ภันเต .........................................ไม่เที่ยงขอรับ
ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ...........ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่า ?
ทุกขัง ภันเต .........................................เป็นทุกข์ขอรับ
ถามเหมือนถามเด็กเลย เรียนบาลีรู้ไว้ก็ดีเหมือนกัน เพราะหลักธรรมแท้ ๆ แคะได้จากบาลี แต่ระยะหลังความหมายเริ่มเพี้ยนเยอะ คือการแปลขึ้นอยู่กับกำลังใจของคน ของบางอย่างต้องแปลจากสิ่งที่เราไม่เห็น เหมือนกับเวลาที่เขาอ่านพวกสัญญาบัตรตราตั้ง เราต้องอ่านสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย เช่น มีลายเซ็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นพระปรมาภิไธย ก็ต้องอ่านว่า “โดยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยลเดช ปร.” ต้องอ่านสิ่งที่มองไม่เห็น อ่านให้เห็นให้ได้
เรื่องของหลักธรรมหนักกว่านั้น เพราะว่าคำพูดและตัวหนังสือหยาบเกินไป อธิบายหลักธรรมชัด ๆ ไม่ได้ ต้องอธิบายในสิ่งที่มองไม่เห็นแต่อยู่ตรงนั้นออกมาให้ได้
ต้องบอกว่าสัญญาและปัญญาทรามลงอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก สัญญาคือความจำ ปัญญาคือการรู้แจ้ง ปัจจุบันนี้บางทีก็เป็นจินตามยปัญญา คือคิดแล้วเข้าใจขึ้นมา แต่เนื่องจากว่ายังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ยังไม่ใช่การรู้แจ้งจริง ๆ ก็ยังมีการสูญหายไปได้ ถ้าเป็นเรื่องที่รู้แจ้งแล้วจะติดใจอยู่ตลอดไป ทรงอยู่ในใจอยู่ตลอดไป ถ้ามีใครสะกิดก็จะเข้าใจเลย รอคนสะกิดหน่อยเดียว หรือไม่ก็ประเภททำถึงเองก็จะเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง
มีโยมขนข้าวของมาถวายสังฆทาน พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ทำไมขนมาไม่หมดสักที แสดงว่ารวยได้เรื่อย ๆ มาเป็นระยะ ๆ แปลว่ารวยได้เรื่อย ๆ เหมือนน้ำไม่ขาดสาย ถ้าแบบนี้ต้องแบบของสมเด็จพระพุทธกัสสปะ เหมือนน้ำในแม่น้ำใหญ่ที่หลั่งไหลต่อเนื่องไม่ขาดสาย ส่วนทานของสมเด็จพระพุทธทีปังกรมาครืนเดียวเป็นคลื่นยักษ์เลย ซัดมาทีเดียวให้รวยสะใจไปเลย
พระพุทธเจ้าเหมือนกัน สร้างบารมีมาเหมือนกัน แต่ความคล่องตัวในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน อย่างของสมเด็จพระพุทธทีปังกรกับสมเด็จพระพุทธกัสสปะ พระองค์ท่านเริ่มด้วยทานบารมี ฉะนั้น ๒ พระองค์นี้ในเรื่องลาภผลจะเด่นเป็นพิเศษ อย่างถ้าเริ่มด้วยปัญญาบารมีก็จะฉลาดมาก เลยกลายเป็นว่าสร้างบารมีมาเหมือน ๆ กัน แต่ตอนเริ่มต้นไม่ได้เริ่มจากบารมีเดียวกัน"
พระอาจารย์อ่านข้อความจากหนังสือเล่มหนึ่ง "แค่นี้ก็ไปแล้ว เขาเขียนว่าพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นผู้บันลือเสียงดังกังวานดุจราชสีห์ ความหมายผิดแล้ว จริง ๆ แล้วท่านเป็นผู้ที่กล้าประกาศว่า ใครอยากรู้ธรรมส่วนไหนให้มาถามเรา เหมือนสิงห์สั่งป่า ถึงเวลาก็คำรามลั่นประกาศให้สัตว์ทั้งหลายรู้ว่านี่คือถิ่นที่อยู่ของเรา ฉะนั้น..ถ้าหลักธรรมนี้เรารู้ เธอก็มาถามได้เลย..อะไรประมาณนั้น
การแปล..พอแปลไปความหมายจะเพี้ยนไปเรื่อย อย่างพระสุภูติเถระ เป็นเอตทัคคะทางเลิศด้วยอรณวิหารและทักขิไณยบุคคล ท่านเป็นเลิศ ๒ ด้าน อยู่ด้วยอรณวิหารคืออยู่ด้วยหลักธรรมที่ปราศจากโทษ ท่านเข้านิโรธสมาบัติเป็นปกติ ในเมื่อเข้านิโรธสมาบัติอย่างเดียวก็ย่อมเป็นทักขิไณยบุคคล คือบุคคลที่เขาสมควรที่จะทำบุญด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การวางผางประทีปครั้งนี้ ถ้าฝนตกตอนเก็บผางให้คว่ำถ้วยลงด้วยนะจ๊ะ คราวที่แล้วเขาเก็บถ้วยไปทั้งที่ยังหงายอยู่ กว่าจะทำความสะอาดได้ก็ลำบาก เพราะยังมีน้ำขังอยู่ การวางผางประทีปเราต้องแนะนำคนใหม่เขาด้วย หลายคนไม่เฉลียวใจ ทำไมคนอื่นวางได้เท่ากันแล้วของเราวางไม่เท่ากัน ลานธรรมมีแผ่นกระเบื้องปูอยู่ จะวางเว้นช่วงกี่แผ่นก็วางไปสิ จะได้พอดี ๆ กัน ข้างทางก็มีเหล็กที่ปิดท่อของเทศบาลเขาอยู่ แผ่นเหล็กแต่ละช่วงก็ห่างกันพอดี ก็วางไปสิ เขาวางเลื้อยเป็นงูได้ทั้ง ๆ ที่มีแนวให้ตรง ๆ ต้องบอกว่าปัญญาน้อยจริง ๆ..!
ชอบใจสมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ต้องให้บอก ไม่ต้องขอให้ช่วย ถึงเวลาก็วิ่งช่วยทำเอง แล้วก็ทำได้ไม่พลาดด้วย ต้องบอกว่ารุ่นนั้นเป็นรุ่นหัวกะทิ รุ่นของเราเป็นหางนม ไม่ใช่หางกะทิ เวลาเขาทำเนยจะมีการล้างไปเรื่อย ๆ หางนมนี่แทบจะเป็นน้ำเปล่าแล้ว..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "กินอาหารฝรั่งแล้วรู้สึกว่าเขากินเพื่ออยู่กันจริง ๆ เรื่องจะเอาให้อร่อยนี่ยาก เขาต้องการรสชาติอาหารแท้ ๆ แต่บ้านเราเอาเครื่องปรุงประดังลงไป ไปยุโรปมัคคุเทศก์ของเราเขาเตรียมพริก มะนาว น้ำพริกนรก และพวกเครื่องปรุงอื่น ๆ ไปบานเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันแม่ ๑๒ สิงหาคม อาตมาไม่ได้นิมนต์หลวงตาวัชรชัย ไม่ได้นิมนต์หลวงตาชลอ ไม่ได้นิมนต์หลวงพ่อวิรัช เพราะนิมนต์ไปเมื่อวันที่ ๒๑ มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากว่าช่วงนั้นทุกท่านต้องจัดงานที่วัด ในเมื่อท่านไปไม่ได้ก็ต้องนิมนต์ไปงานอื่นแทน
หลวงตาท่านบอกว่า “เดี๋ยวปีหน้าขอข้าอีกปีว่ะ แล้วหลังจากนั้นพี่น้องคนไหนพร้อมก็เตรียมงานได้เลย จะได้แห่กันไปวัดอื่นบ้าง” สรุปว่างานฉลองสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก หลวงตาวัชรชัยไปถึงคนแรกเลย เพิ่งจะ ๖ โมงกว่า ยังไม่ทันจะ ๗ โมงไปถึงแล้ว
ส่วนหลวงตาชลอไปกับพระทั้งวัด พร้อมด้วยลอดช่องหน้าวัดเจษฯ อีก ๘๐ กิโลฯ อย่าคิดว่าเยอะนะ ถ้าคนยังไม่กินก็เห็นว่าเยอะ ซดเข้าไปสักถ้วยมักจะขอถ้วยที่ ๒ ลอดช่องหน้าวัดเจษฯ เขายังทำแบบโบราณอยู่ ประเภทใส่น้ำใบเตย อบเทียน ของโบราณ ๆ เขาทำประณีตมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้มีแต่คนมาขอความช่วยเหลือ เขาบอกว่าอาจารย์เล็กรวย ความจริงอาตมาก็มีคล้าย ๆ เขานั่นแหละ แต่ว่าของอาตมาเวลาเขาขอแล้วอาตมาให้ คนอื่นขอแล้วไม่ได้ เมื่อวานมาก็แวะไปร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างโรงเรียนการกุศลวัดไตรรัตนารามไปสามแสนบาท ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีสุทธิวงศ์ วัดอรุณราชวรารามท่านขอให้ช่วย สรุปว่าบางทีอาตมานั่งรับสังฆทานทั้งเดือนให้เขารายเดียวก็หมดแล้ว"
ถาม : ลูกสาวนั่งสมาธิแล้วมักจะง่วง ?
ตอบ : เขาเรียกถีนมิทธะ เป็นเรื่องปกติจ้ะ พยายามสู้หน่อย ตั้งสติไว้นิดหนึ่ง ถ้าแก้ไม่หายก็ให้ลูกเขาไปเดินจงกรมแทน แต่อย่าทิ้งการภาวนา บางคนถึงขนาดเดินแล้วยังหลับได้ นั่นเป็นกิเลสหยาบที่พยายามมาขวางเราไม่ให้ทำความดี
ถาม : รู้สึกว่าคล้าย ๆ จะหลุดไปแบบเต็มกำลัง ?
ตอบ : ถ้าเต็มกำลังต้องปล่อยเลย หงายตึงไปได้เลย อย่ามัวแต่กลัวแล้วไปรั้งไว้ ปล่อยให้ล้มไปเลยจ้ะ เราเข้าสมาธิอยู่อำนาจของฌานป้องกันได้ ล้มแค่นั้นไม่เป็นอะไรหรอก อาตมาตกจากหลังคาลงมายังเฉย ๆ เลย ถ้ามีความคล่องตัวแล้วจะก้าวข้ามไปเลย แต่ของเรามัวแต่กลัว อายเขาก็จะดิ้นอยู่นั่นแหละ ต้องยอมหน้าด้าน ทนให้อาละวาดเต็มที่ไปสักทีหนึ่ง ตึงตังโครมครามให้เขาเห็นไป ๓ บ้าน ๘ บ้านเลย พอก้าวข้ามไปได้ต่อไปจิตเรียบก็จะไม่ดิ้นอีก
ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอก ที่ดิ้น ๆ ก็คือกายในจะออก แต่เจ้าตัวดันไปกลัวก็เลยรั้งเอาไว้ ยิ่งรั้งก็ยิ่งดิ้น อย่างกับเด็กดื้อ ถ้าตัดใจว่าเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ตายเป็นตาย เราไปพระนิพพานดีกว่า เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่ที่พูดว่าตัดใจ ๆ นั้น ตอนพูดยังพูดได้ ตอนเจอเข้าจริง ๆ ตัดใจไม่ได้..เพราะกลัว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ธรรมเนียมคนจีนที่เขาป้อนข้าวศพก่อนใส่โลง อาตมาก็มานั่งคิดว่า พวกที่มาป้อนตอนนี้มีประโยชน์อะไร ? คนตายก็ไม่ได้กินอยู่แล้ว ยิ่งประเทศไทยเราก็มีการเอาข้าวปลาอาหารไปวางไว้หน้าโลง แล้วเคาะโลงก๊อก ๆ เรียกแม่กินข้าว หรือไม่ก็เรียกพ่อกินข้าว ถ้าเป็นอาตมาเดี๋ยวก็มีเสียง “เออ..กูยังไม่หิว”
มีอะไรทำให้ท่านชื่นใจตั้งแต่ตอนเป็น ๆ นี่แหละ แม้ว่าบางอย่างอยู่ในลักษณะของความเห็นไม่ตรงกันก็เถอะ เราต้องเข้าใจว่าขณะที่คนหนึ่งเป็นวัยรุ่น ฮอร์โมนกำลังเกิน คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็วัยทอง ฮอร์โมนขาดพอดี ไปกันได้ก็เก่งมากแล้ว"
ถาม : ตอนไปปฏิบัติที่วัดได้ผลดี แต่มาทำที่บ้านแล้วไม่ได้อย่างนั้น ?
ตอบ : ธรรมดา..เพราะกระแสคนละอย่างกัน ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งย่อมต่างกับอีกสิ่งแวดล้อมหนึ่ง พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่า การปฏิบัติต้องมีสถานที่สัปปายะด้วย ก็คือสถานที่ ๆ เหมาะสม จนกว่ากำลังใจเราจะทรงตัวมั่นคงจริง ๆ ถึงจะอยู่ที่ไหนก็ได้
แรก ๆ ก็หาที่ ๆ สงบ เหมาะสมกับเราหน่อยแล้วก็ทำ อยู่ที่วัดมีเสียงสวดมนต์ แหม..น่านั่งสมาธิ อยู่บ้านมีแต่เสียงด่า จะไปชวนนั่งสมาธิอย่างไร ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีแต่คนบอกว่าหลวงพ่อวัดท่ามะขามทำบุญมาดี เลยได้อาจารย์เล็กเป็นลูกศิษย์ ความจริงไม่ใช่หรอก ต้องบอกว่าท่านทำบุญมาดีด้วยตัวท่านเอง เพราะว่าระยะหลังสุขภาพท่านก็ไม่ดี ผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจตั้ง ๓ เส้น อายุท่านก็มากกว่าอดีตเจ้าคณะจังหวัดปีหนึ่ง ใคร ๆ ก็ว่าตายก่อนแน่ ไม่มีทางได้เป็นเจ้าคณะจังหวัดหรอก ปรากฏว่าหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ไปอินเดีย ล้มตึงมรณภาพ ท่านก็มาเลื่่อนเป็นเจ้าคณะจังหวัดจนได้ เป็นจนกระทั่งเกษียณ อยู่มาจนกระทั่ง ๘๔ ปี ทั้ง ๆ ที่ผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจไป ๓ เส้นแล้ว
ถึงเวลาเจ้านายอยากให้เลื่อนเป็นพระเทพเมธากรก็สั่งมา ลูกน้องทำประวัติกันแทบตายเพราะไม่ได้เตรียมเอาไว้เลย ไม่นึกว่าเขาจะให้ ท่านก็ได้ของท่านจนได้ แล้วได้แบบอัศจรรย์ คือในหลวงพระราชทาน
ทั้ง ๆ ที่ในหลวงให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ไปพระราชทานแทน แต่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ไปรออยู่ในโบสถ์วัดพระแก้ว ที่พระราชทานจริง ๆ ต้องเป็นพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในหลวงท่านมา เจ้าพนักงานขานชื่อ ก็ทรงพระราชทานไปเรื่อยไปถึงท่านรับเป็นรูปสุดท้าย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จมาถึงพอดี ในหลวงก็หยุดให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระราชทานต่อ ตกลงว่าท่านรับจากพระหัตถ์ในหลวงเป็นรูปสุดท้าย อย่างนี้ไม่ใช่บุญของอาตมาหรอก เป็นบุญของท่านเองแท้ ๆ
ท่านมีนิสัยว่าจะไปไหนต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อน ถ้าจะออกกิจนิมนต์กันตี ๔ - ๕ ท่านก็ต้องลุกมาสวดมนต์ตั้งแต่ตี ๓ สวดมนต์ไม่เสร็จไม่ไป หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกกับหลวงพ่อวัดท่ามะขามไว้เลยว่า ไปงานวัดท่าซุงได้ทุกงาน ไม่ต้องรอฎีกา ท่านก็ไปคู่กับหลวงพ่อวัดเขื่อนฯ ต้องบอกว่าความดีที่ท่านทำส่งผลให้ ท่านบอกว่าในชีวิตก็ไม่ได้คิดว่าจะขึ้นมาจนถึงระดับนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่ครูบาอาจารย์พูดนั้นพอดีอยู่แล้ว อย่าพยายามอวดฉลาดไปขยายความให้มากขึ้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพวกเราระยะหลังบารมีบกพร่องมาก โดยเฉพาะเรื่องของสัจจะ ความจริงจังจริงใจในการปฏิบัติมีน้อย ไปดูรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวด แม้แต่กระทั่งเป็นเสือเป็นสาง เป็นโจรก็ประเภทหนังเหนียว มีฤทธิ์มีปาฏิหาริย์กัน เพราะว่าเขาทำกันจริง ๆ จัง ๆ พอมารุ่นเราสัจจะบารมีไม่มั่นคง ขันติบารมี (ความอดทน) ไม่เพียงพอ วิริยบารมี (ความเพียร) ไม่ถึง เจ๊งเลย
ถ้าใครคิดว่าจะปฏิบัติให้ก้าวหน้าก็เร่ง ๓ ตัวนี้ให้เยอะ ๆ วิริยบารมีถ้าเร่งขึ้นมาก็ต้องมีขันติบารมีหนุนเสริม ต้องมีสัจจะบารมี ต้องมีอธิษฐานปักใจแน่วแน่ต่อเป้าหมาย ไม่ได้ไม่เลิก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บาลีเขาบอกว่าเด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง สตรีมีน้ำตาเป็นกำลัง สมณชีพราหมณ์มีศีลเป็นกำลัง คราวนี้เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องดูว่าเรามั่นคงเข้มแข็งพอไหม ? ถ้าไม่หวั่นไหวก็ไม่มีปัญหา ถ้ายังหวั่นไหวอยู่นี่เสร็จเขาแน่
ท่านบอกว่า พะลังจันโท พะลังสุริโย พะลังสมณะพราหมณา พะลังเวลาสมุทัสสะ พลาติพะละมิตถิโย ไม่ว่าจะกำลังของพระจันทร์ พระอาทิตย์ กำลังของมหาสมุทร หรือว่ากำลังของสมณชีพราหมณ์ก็ตาม ถ้านับแล้วสตรีมีกำลังมากที่สุด
พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่ผิดหรอก ๓๘ พรรษายังสึกไปแล้ว เวลาท่านยังเป็นพระอยู่ อาตมาไปสนทนาธรรมด้วย ท่านพูดภาษาไทยไม่ชัดก็น่ารักดี ตอนที่มาออกคลิปพูดภาษาไทยไม่ชัดนี่มีแต่คนด่า ท่านบอกว่าคงจะเป็นเนื้อคู่กันมาแต่ปางก่อน พอเห็นก็รักเลย ต้องบอกว่าพระบวชมาระดับนั้น ฝึกปฏิบัติมาระดับนั้น กำลังยังก้าวล่วงไม่ได้ ถึงเวลาไปชนเข้าก็เสร็จ ฉะนั้น..เราจะประมาทไม่ได้เลย
อย่างเรื่องชอลิ้วเฮียงที่มี "สามีคันชั่ง ภรรยาลูกตุ้ม" ชั่งจีนเขาจะมีลูกตุ้มอยู่ ผัวแกผอมเป็นตะเกียบ เมียอ้วนเป็นกระพ้อม เขาก็เลยได้ฉายาสามีคันชั่ง ภรรยาลูกตุ้ม ผัวบอกเมียว่าผู้ชายอายุตั้งแต่ ๘ ขวบถึง ๘๐ ก็ไว้ใจไม่ได้ เมียเขาจับตัวพระเอกได้ โดนพระเอกหลอกไปเรื่อย ท้ายสุดใจอ่อนยอมให้กินเหล้า ปรากฏว่าพระเอกหลอกกินเฉย ๆ แล้วพ่นออกมาคลายจุดตัวเอง เพราะฉะนั้น..ผู้ชายอายุ ๘ ขวบถึง ๘๐ นี่ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีนิสัยไม่ชอบรบกวนคนรวย ถ้ารบกวนคนรวยคงกลายเป็นเณรคำไปตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องของโลกธรรมเข้ามา ผู้ที่ไม่หวั่นไหวได้กำลังใจต้องหนักแน่นกว่าหินผาเสียอีก
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ภูเขาศิลาล้วน เป็นแท่งทึบ ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะสายลมฉันใด บัณฑิตที่ฝึกตนดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมฉันนั้น” คราวนี้เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตนเองฝึกตนดีแล้วหรือเปล่า ฉะนั้น..จึงประมาทไม่ได้ ต้องคอยระวังไว้ตลอดเวลา
โยมจะถวายรถราคาแพง ๆ อาตมาก็ต่อรองจนราคาถูก แถมมีกติกาด้วยนะ ต้องเอาไปซ่อมให้ด้วย เอาไปต่อทะเบียนให้ด้วย ยังดีที่ไม่ให้ขับให้ด้วย"
ถาม : นักบวชใช้กระเป๋าแบรนด์แนมแพง ๆ ผิดไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดหรอก แต่ไม่เหมาะสม อาตมาไปเดินดูในร้านหลุยส์ วิตตองมาแล้ว ไม่เห็นมีถูกตาสักใบ เขาใช้ไปได้อย่างไรกัน ดูลักษณะอย่างไรก็ไม่ใช่ของที่พระใช้ได้ ท้ายสุดก็เลยไปซื้อยี่ห้อ "คีบลิง" เพราะว่าเป็นสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลซึ่งพระใช้ได้ ถึงขนาดนั้นยังเจอไปตั้ง ๖๗ ยูโร
เข้าไปซื้อของเพื่อให้รู้ว่าเราพูดได้ เราต่อรองได้ ทดสอบตัวเองแค่นั้นแหละ อยากจะลองจ่ายเงินบ้าง แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ไปยุโรปทั้งทำบุญ ทั้งไล่แจกพวกเจ้ากรรมนายเวร ทั้งซื้อของ ตอนไปมี ๒,๑๗๘ ยูโร ขากลับเหลือ ๒,๔๐๐ กว่ายูโร มาอย่างไรก็ไม่รู้ รู้อย่างนี้ใช้ให้เยอะกว่านั้นก็ดี
ถึงเวลาพวกองค์กรการกุศลก็ดี พวกแหกตาหากินก็ดี มาถึงก็ให้เซ็นชื่อบริจาคเท่านั้นเท่านี้ อาตมาเซ็นกระจาย คุณโอ๋ มัคคุเทศก์เขาก็บอก “หลวงพ่ออย่าไปเซ็นครับ เขาหากิน” อาตมาบอกว่า “ตั้งใจให้เขา” ติดหนี้เขามาก่อน กลัวอยู่อย่างเดียวแหละ กลัวโดนล้วงกระเป๋า ถ้ามัวแต่เผลอเซ็น ไม่ระวังกระเป๋าก็เสร็จ
ถาม : พระมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวได้ไหม ?
ตอบ : ถามว่ามีได้ไหม ? ตอบว่าได้ แต่สมควรกับฐานะไหม ? พระพุทธเจ้าจัดฐานะของพระไว้เท่ากับขอทาน ต้องไปขอเขากิน คนอื่นเขาช่วยสงเคราะห์ให้ ถ้าขอทานขี่เครื่องบินเจ็ตแล้วไปขอใครเขาจะให้ ?
ถาม : แล้วโยมเขาถวายให้ละคะ ?
ตอบ : ได้...แต่สมควรไหม ? ถ้าไม่สมควรก็ปฏิเสธได้นี่ มีโยมเขาจะถวายรถเล็กซัส อาตมาขอเปลี่ยนเป็นฟอร์จูนเนอร์ ราคาถูกกว่ากันตั้งหลายเท่า
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วถ้าตรงกับวันอาสาฬหบูชา มาฆบูชา วิสาขบูชา ออกพรรษา เขาทำบุญกัน พระยายมท่านจะปล่อยผีมาให้โมทนาบุญ ได้บุญแล้วจะได้ไปให้พ้น ไม่ต้องเสียเวลาให้ท่านตัดสิน เป็นวิธีลดงานประเภทหนึ่ง มีปีละ ๓ ครั้ง ครั้งละ ๓ วันเท่านั้น
พวกผีก็ตระเวนหา ญาติของตัวเองอยู่ที่ไหน ถ้าวัดไหนประเภท “เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี” พวกเขาจะล้อมวัดเลย ถ้าวัดไหนให้ “อิทังเม ญาตินัง โหนตุ” ก็ยืนน้ำตาเล็ดไป เพราะถ้าไม่ใช่ญาติก็ไม่ได้ อิทังเม ญาตินัง โหตุ ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย สุขิตา โหตุ ญาตโย ขอความสุขพึงถึงแก่ญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย
บางคนก็ใช้ ญาตัง เย ปัตติทานัม เม อนุโมทันตุ เต สะยัง ทานอันข้าพเจ้ากระทำไว้ดีแล้ว ขอญาติทั้งหลายจงอนุโมทนาด้วยเทอญ คนไม่ใช่ญาติก็อดไป
ฉะนั้น..ใช้ภาษาไทยง่าย ๆ “ผลบุญที่เราทำแล้วตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ รวมทั้งผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ ขออุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะใช่ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดี ขอให้เธอทั้งหลายจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอทั้งหลายจงได้รับด้วย” แค่นั้นแหละ ภาษาไทยชัดดี มัวแต่ไป "อิมินา ปุญญะกัมเมนะ" ก็เจ๊งพอดี
ให้กำลังใจเราตั้งตรงเลย ถ้าปากพูดเรื่อยเปื่อยพวกกำลังน้อยจะรับไม่ได้ เราต้องตั้งใจโยนให้ถึงด้วย ประเภทเหวี่ยงส่งเดชเป็นโปรยทานก่อนเข้าโบสถ์ อาตมาบอกพวกนาคโปรยทานหลายทีแล้ว อย่าไปโปรย ขว้างใส่หน้าไปเลย..!"
ถาม : จะเอาชนะกามราคะได้ต้องถึงอนาคามีใช่ไหมครับ
ตอบ : ไม่ต้อง..แค่พระสกทาคามีก็หมดสภาพแล้ว ไม่ต้องถึงอนาคามีหรอก พระสกทาคามีกำลังท่านสูงมาก รัก โลภ โกรธ หลงจางเหลือเกิน คู่แท้อย่างพระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานี หนุ่มสาวอยู่ด้วยกันแต่นอนหันหลังอยู่ด้วยกันตั้งหลายปี สมัยนี้หนุ่มสาวตะกายทะลุข้างฝาไปนานแล้ว แต่นี่นอนหันหลังให้กัน แล้วไม่ใช่ว่าไม่สวยนะ สวยชนิดหาใครทาบไม่ได้ ขนาดพราหมณ์เขาเอาทองคำหล่อเป็นรูปสาวงามมา แล้วก็ให้เอานั่งเสลี่ยงไปตั้งไว้ สาวใช้ผ่านมาก็ตีเพียะเข้าให้ ดุว่า "หลบไปที่ไหนมา ตามหากว่าจะเจอ"
พอตีเข้าเจ็บมือเพิ่งจะรู้ว่าไปตีรูปทองคำ คือนอกจากสวยแล้วยังมีรัศมีออกจากกายอีก แสดงว่ากึ่ง ๆ นางฟ้าแล้ว พวกพราหมณ์เขาซุ่มดูอยู่ พอเห็นก็กรูกันออกมาถามว่า “แม่หนู..คนบ้านไหนหรือถึงมีรูปร่างแบบนี้ ?” พอรู้ว่าเป็นเจ้านายเธอ จึงขอตามไปดูตัว
ต่างคนต่างไม่อยากแต่งงาน พอได้ข่าวว่าจะแต่งงาน ฝ่ายผู้หญิงก็ร่างจดหมายให้คนใช้ เอาไปบอกฝ่ายโน้นด้วยว่าไม่แต่งงาน ฝ่ายผู้ชายก็ร่างจดหมายให้คนใช้ ส่งไปบ้านโน้นด้วยบอกว่าจะไม่แต่งงาน ปรากฏว่าคนใช้มาเจอกันกลางทาง จึงแลกจดหมายกันอ่าน คนใช้ก็เลยเขียนใหม่บอกให้รีบส่งคนมาขอ แสดงอยากให้เจ้านายเป็นฝั่งเป็นฝา
คเวสโก ผู้แสวงหาซึ่งฝั่ง คือฝั่งแห่งการพ้นกิเลส แต่คราวนี้เขาวงเล็บฝาไว้ด้วย "ผู้แสวงหาซึ่งฝั่ง(ฝา)" พระหลายรูปที่มีประวัติผจญกับคู่เวรคู่กรรมมา อย่างของสายหลวงปู่มั่นก็มีหลวงปู่ฝั้น ท่านบอกว่าต้องธุดงค์หนีข้ามไปหลายจังหวัดเลย หลับตาลงเมื่อไรไม่ได้นึกถึงพุทโธหรอก เห็นแต่หน้าผู้หญิง หลวงปู่สิงห์ท่านเดินขึ้นบ้านก็เข่าอ่อนทรุด ผู้หญิงก็เป็นลมเลย ต่างคนต่างรู้กันว่าของเก่ามาแล้ว
แต่หลวงปู่สิงห์ท่านรู้แล้วนี่ว่าท่านปฏิบัติแล้วจะได้อะไร ถึงเวลาเขาจะจับแต่งงานท่านตั้งกติกาเลย “ขอกติกา ๓ ข้อ ข้อที่ ๑ ต้องสร้างเรือนหอที่ลอยอยู่ในอากาศได้” พ่อแม่ก็ว่า “อ้าว..อย่างนั้นใครจะไปทำได้ ?” ท่านบอกว่า “ถ้าลูกบวชอยู่ลูกตายแล้วลูกได้แน่” เรือนที่ลอยได้คือได้วิมาน เพราะฉะนั้น..ถ้าให้แต่งงานเอาเรือนที่ลอยได้ “ข้อที่ ๒ ต้องเอายาที่กินแล้วไม่แก่ ไม่ตายมาให้ด้วย” เสร็จเลย..ข้อเดียวก็ไม่ได้แล้ว ท่านยื่นคำขาดว่า ถ้าพ่อแม่หาให้ไม่ได้ก็ไม่แต่ง
จะว่าลูกดื้อไม่ได้นะ ลูกอยากแต่งเหมือนกันแต่ต้องให้ได้อย่างนี้ ท้ายสุดท่านก็เอาตัวรอดได้ ฉะนั้น..ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งและกำลังใจว่ามีเท่าไร
:4672615:เก็บตกเดือนกรกฎาคมปี ๕๖ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.