เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖


เถรี
23-06-2013, 20:33
พระอาจารย์เล่าว่า "ของบางอย่างแสดงก็ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ทำก็ลำบาก ระยะหลังอาตมาโดนพระขังอยู่ในตึกแดงมาหลายครั้ง จึงบอกท่านว่า "ถ้าผมกลับดึก พวกคุณไปกันหมดแล้วจะไม่ว่าสักคำ แต่นี่ผมมาทำวัตรเย็นอยู่ด้วยแท้ ๆ ยังเสือกทะลึ่งขังผมอีก..!" พอท่านเปิดเสียงตามสายเสร็จ กลับออกไปแล้วก็ปิดประตูจากด้านนอกเลย ส่วนอาตมานอนอยู่ข้างบนก็เรียบร้อยสิครับ โดนขังไป ๓ รอบแล้ว..!

วันก่อนจะไปเอารองเท้ารัดส้นที่เกาะพระฤๅษี คราวนี้ท่านชายไปเรียนหนังสือ เหลือแต่โยมที่เขาจ้างมาทำความสะอาดอยู่ ๒ คน อาตมาก็บอกไปเอากุญแจมา เขาก็บอกว่าไม่มี พอเจอกุญแจแล้วเขาไขเท่าไรก็ไขไม่ได้ อาตมาเลยบอกว่า "เอามา..เดี๋ยวไขเอง" ไขเสร็จแล้วก็เข้าไป ปรากฏว่าทางนี้ไปลองไขกันใหญ่ ไม่เห็นจะไขได้เลย น้องเล็กก็โพนทะนาว่า "หลวงพี่ท่านแหกตาพวกเราแล้ว" อาตมาก็เซ็ง พวกโง่แล้วยังปากสว่างอีก จึงบอกว่า "ไม่เป็นไร ถ้าหันหลังให้จะไขได้" พอพวกเขาหันหลังให้ อาตมาไขปิดเสร็จแล้วก็ไป

ถ้าไม่จำเป็น ก็ต้องยอมรับกฎของกรรมได้ เพราะมีเวลาเพียงพอก็นั่งรอได้ รอให้ช่างเขาใช้ความสามารถของเขา แต่ถ้าจำเป็น เวลาไม่พอ งานรออยู่ข้างหน้าต้องรีบไป แบบนั้นก็ใช้วิธีพิเศษไปเถอะ...

เถรี
23-06-2013, 20:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของบัญชี เงินสงฆ์ ของสงฆ์ ถ้ามีรายละเอียดได้มากเท่าไรก็ดีเท่านั้น ตอนไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ อาตมาทำบัญชีโดยไม่มีเงินส่วนตัว รับมาทุกอย่างถือว่าเป็นของสงฆ์ เขาถวายระบุส่วนตัวก็ลงบัญชีสงฆ์ไป ทำงานไป ๘ เดือน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา ก็แปลว่าท่านต้องมรณภาพมาประมาณ ๑ ปีแล้ว..!

ท่านถามว่า “แกมีเงินส่วนตัวเท่าไร ?” กราบเรียนท่านด้วยความภูมิใจว่า “ไม่มีครับ..ผมผลักลงกองกลางเป็นเงินสงฆ์หมด” อยากจะอวดท่านว่าอาตมาไม่โลภ “เออดี..แล้วแกเอาลงไปเป็นเงินสงฆ์เท่าไร ?” “ไม่ทราบครับ” โดนฟาดกบาลเลย..! ถามว่าเอาไปใช้เป็นเงินส่วนตัวเท่าไร ? “ไม่ทราบครับ” เอาไปใช้เป็นเงินสงฆ์เท่าไร ? “ไม่ทราบครับ” โป๊ก..!

ท่านบอกว่าไปรื้อบัญชีทำเสียใหม่ เงินทุกบาททุกสตางค์รับมาจากใคร จ่ายไปในรายการอะไร ถ้าใครเขาสอบสวนต้องชี้แจงเขาได้ คราวนี้ก็เสร็จละสิ ตั้ง ๘ เดือนใครจะไปจำได้ ท้ายสุดก็ตัดใจหั่นทิ้งไปเลย ๘ เดือนแรกไม่มีเงินส่วนตัว เริ่มต้นเดือนที่ ๙ เพื่อความสะดวกในการทำบัญชี

สมัยแรกตอนอยู่วัดท่าซุง เวลาส่งบัญชีครูนนทา อาตมาเป็นประเภทสุดยอดของความซื่อเลย สลึงหนึ่งก็ส่ง ๕๐ สตางค์ก็ส่ง ๓ สลึงก็ส่ง ครูนนทาบอกว่า “ท่านเล็ก..ตัดยอดออกให้เหลือ ๕ บาท ๑๐ บาทได้ไหม ?” ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบาก ตอนนี้รู้สึกแล้ว พอเริ่มแก่ตัวก็รู้สึกว่าประเภทเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ลำบากจริง ๆ ต้องตัดเศษให้เหลือยอดเต็มเท่านั้น"

เถรี
24-06-2013, 15:26
ถาม : กว่าจะมาถึงที่นี่ใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่ง ไม่รู้ว่ารถติดอะไรเหลือเกิน ?
ตอบ : รถติดเราควรจะดีใจ เพราะว่าคนรวยมีเยอะ ก็เลยมีรถขับกันมาก ควรโมทนากับเขาเถอะ

ถาม : ด่าเขาด้วย ?
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจไม่ถึง แทนที่จะโมทนา กลับไปด่าเขาเสียนี่ ต้องเห็นเป็นธรรมดาว่ารถมากก็ต้องติด แต่ก็ไม่ได้ติดมากมายหรอก ติดแค่คันที่เรานั่งนั่นแหละ..!

เถรี
24-06-2013, 16:26
ถาม : พระอาจารย์มาเข้าฝันผมหรือครับ ฝันว่าท่านเอากล่องแดงมาให้ ?
ตอบ : เรื่องอย่างนี้บางทีก็พูดยาก บางอย่างพระหรือเทวดาท่านสงเคราะห์ให้ แต่คราวนี้ว่าเคยมีอะไรเนื่องกับพระมา ท่านก็สงเคราะห์ผ่าน กลายเป็นว่าอาตมาเองไปสงเคราะห์

เถรี
24-06-2013, 16:33
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อนโดนตำรวจตามล่าทั้ง ๒ สัปดาห์ พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านต้องการนิมนต์ไปทำบุญ ครั้งแรกให้หน้าห้องคือ พ.ต.อ. ไพบูลย์ โทรศัพท์ติดต่อไปทางเลขาฯ วัด อาตมาบอกว่าไม่ไป ท่านเลยให้ตำรวจตามหาตัวว่าอาตมาอยู่ที่ไหน ไป ๆ มา ๆ เล่นเอาผู้กำกับทองผาภูมิต้องมาเอง

เรื่องของตำรวจ การบริการเจ้านายสำคัญที่สุด คุณเป็นผู้กำกับทองผาภูมิ พระรูปเดียวนิมนต์ไปให้เจ้านายไม่ได้ คงต้องโดนย้ายไปดาวอังคารแน่เลย..! สงสารท่านผู้กำกับก็เลยต้องรับปากว่าจะไปให้

อาตมาไม่ค่อยคบคนรวยกับผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินหรอก เพราะว่าคนรวยกับผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินจะมีส่วนของทิฏฐิมานะอยู่ ต่อให้ท่านดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากมีอะไรไม่ถูกใจ อาจจะเข้าใจพระผิดไปได้ แล้วอาตมายิ่งง้อชาวบ้านไม่เป็นอยู่ด้วย ไปวัดอื่นเขาจะต้องเอาอกเอาใจ คอยตามดูแลบริการ ไปวัดท่าขนุนคุณก็ราคาเท่ากับตาสีตาสายายมียายมานั่นแหละ วัดอื่นนักการเมืองไป ดาราไป เจ้าใหญ่นายโตไป ต้องไปถ่ายรูปเอาไว้อวดเขา ไปวัดท่าขนุนราคาเดียวกันหมด ถ้ามาผิดเวลาก็รอไปเถอะ

คุณสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ กับคุณนฤมล นิลวรรณ ไปตอนกำลังทำวัตรเย็น อาตมาก็ทำวัตรไปเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้เขารอไปเถอะ มาผิดเวลาเองนี่นา ท้ายสุดคุณสะอาดอดรนทนไม่ไหวเพราะเวลาไม่มี จะเดินทางต่อ จึงขออนุญาตถวายสังฆทาน ถวายก็จะรับนะ แต่จะให้ไปนั่งสวดมนต์ยาว ๆ ไม่เอา เพราะกำลังทำวัตรอยู่ ดีอยู่อย่างว่าสำหรับอาตมาไม่มี ๒ มาตรฐาน ใครมาก็มาตรฐานเดียวกันหมด"

เถรี
24-06-2013, 16:47
"หลายท่านให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ บอกว่าเวลามากรุงเทพฯ ให้โทรศัพท์ไปหาด้วย ถึงขนาดปวารณาไว้ว่า สร้างหนี้ไว้เท่าไร เขาจะช่วยจัดการให้ อาตมาไม่โทรไปหรอก..เสียเวลา เห็นใจว่าเขาเคยยกหูโทรศัพท์ช้าไป ๕ นาที เจ๊งหุ้นไป ๒๐ กว่าล้านบาท แล้วคนประเภทนี้เขาจะมีเวลามาหาหรือ ? ถ้าตอนมาหาพระพอดีหุ้นตกอาตมาก็ซวยสิ..!

บางทีเขาก็น้อยอกน้อยใจ มาถึง “ผมปวารณาไว้ตั้งนานเนกาเล ทำไมท่านไม่ขออะไรบ้างเลย ?” บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ในกระเป๋ามีเท่าไรเอามาแค่นั้น” เขาเปิดกระเป๋าเอกสาร เทมามีอยู่เกือบ ๔ แสนบาท..! เขาบอกว่าเพิ่งไปจ่ายเงินลูกน้องมา ถ้าไม่จ่ายเงินให้ลูกน้องจะมีให้อาจารย์เยอะกว่านี้ ท่านเหล่านี้ต้องบอกว่านิสัยไม่ดี ทำอะไรชอบทำคนเดียว

อย่างเขาไปเดินดูที่เกาะพระฤๅษี จะมีชื่อเจ้าภาพติดอยู่ กุฏิหลังนี้เจ้าภาพชื่อนี้ ๆ เขาเดินดูทั่วเสร็จสรรพ แล้วถามว่า “แล้วของผมอยู่ไหน ?” อาตมาก็บอกว่า “อ๋อ...ที่เหลือของโยมทั้งวัดนั่นแหละ” ที่คนอื่นถวายเป็นเจ้าภาพมาพอเสียที่ไหนเล่า ? อาคารหลังหนึ่ง ศาลาหลังหนึ่งแพงกว่านั้นตั้งเยอะ แต่คิดเขาไปแค่นั้น ส่วนที่เหลือก็เงินโยมนั่นแหละ เขาก็น้อยใจที่ไม่มีชื่อติด เดี๋ยวก็เอาไปติดหน้าส้วมให้เสียหรอก..!

อาตมาก็เลยไม่ค่อยจะโทรศัพท์ไปหา ปล่อยไปเถอะ เขารู้เมื่อไรเขาก็มาเอง บางรายก็ต้องสั่งเลขาฯ ไว้เลย ช่วยดูวันเวลาให้ด้วย พระอาจารย์มาเมื่อไรเขาจะได้มาหา"

เถรี
24-06-2013, 16:51
"ถ้าเป็นวัดอื่น เท่าที่พบมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน เขาใช้วิธีโทรศัพท์ตามกัน ในลักษณะให้ความสำคัญ เชิญมาเป็นประธานสร้างนั่นสร้างนี่ เป็นประธานงานนั้นงานนี้ บางทีเขาก็ติดงานสำคัญ บางทีเขาก็มาผิดเวลา วัดอาตมาผิดเวลาไม่ได้หรอก ตรงเวลาเมื่อไรเริ่มงานทันที ประธานไม่มีก็ไม่เป็นไร อาตมาจัดงานเองได้

ขนาดเจ้านาย ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธิเมธีโทรศัพท์เข้ามา อาตมากำลังทำวัตรเย็นอยู่ เปิดให้ท่านฟังเสียงทำวัตรไป ๕ นาทีกว่า จนท่านทนไม่ไหวต้องตัดสายทิ้งไปเอง งานสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน เป็นงานของพระ ถ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นอริยประเพณี ความเป็นพระของเราจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ก็เลยต้องใช้วิธีนี้แหละ ต่อให้เป็นเจ้านายถ้าโทรมาผิดเวลาก็เจอแบบนี้เหมือนกัน"

เถรี
24-06-2013, 20:23
ถาม : ผมเคยบวชพระไม่เกิน ๖ วัน เมื่อปี ๒๕๕๓ ครับ สมัยที่บวชได้สนทนากับหลวงพี่รูปหนึ่ง และได้กล่าวพาดพิงถึงพระรูปหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาว่า พระพี่เลี้ยงทำอย่างนั้นไม่ถูก และผมได้พูดเห็นด้วยคล้อยตามไป ก่อนหน้านี้ผมได้เคยแจ้งเรื่องสึกของผมให้พระพี่เลี้ยงทราบไปแล้ว ไป ๆ มา ๆ ผมได้แจ้งให้หลวงพี่อีกรูปจัดการเรื่องการสึกของผม

ทีนี้ผมไม่ทราบว่าพระสองรูปนั้นจะมีปัญหาในการจัดหาพระในวันสึกหรือไม่ แต่ผมกับพระพี่เลี้ยงไม่ได้แตกแยกกัน แต่เข้าใจว่าหลวงพี่คงจัดหาพระมาในวันสึก และอีกส่วนหนึ่งเป็นพระที่พระพี่เลี้ยงจัดหามา หลังจากนั้นพอผมสึกไปแล้ว ถามพระพี่เลี้ยงว่าเคยแตกแยกกับหลวงพี่รูปนั้นหรือไม่ ? ท่านว่าไม่ได้แตกแยกกัน มีการทำสังฆกรรมร่วมกัน แต่ถ้าลงปาฏิโมกข์ ปกติหลวงพี่รูปนี้จะไม่ค่อยลงอยู่แล้ว ลักษณะเช่นนี้ผมเป็นคนยุยงให้สงฆ์แตกกัน ผิดในสังฆเภทหรือสังฆาทิเสสหรือไม่ครับ ?

ตอบ : คุณอยากเป็นไหมล่ะ ? ถ้าอยากเป็นก็เป็นได้ คำว่าสังฆเภทหรือทำให้สงฆ์แตกกัน หมายความว่าสงฆ์แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ต่างฝ่ายต่างลงสังฆกรรมของตนเอง ไม่ลงรวมกันทั้ง ๆ ที่อยู่วัดเดียวกัน แล้วของเราจะเป็นสังฆเภทอะไรเล่า ? นอกจากพระท่านไม่พอใจกัน เหม็นขี้หน้ากันเท่านั้น

ถาม : แล้วสังฆาทิเสสหรือไม่ ?
ตอบ : สังฆาทิเสสตั้งแต่ข้อ ๙ - ๑๓ จะเป็นก็ต่อเมื่อมีการประกาศท่ามกลางสงฆ์ครบ ๓ ครั้งแล้ว คุณนี่อ่านศีลไม่ละเอียด

ถาม : หลังจากผมสึกออกไป ถ้าพระสองรูปนี้มีปัญหากัน ผมก็ไม่เกี่ยวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของเขา ถ้าเราชอบใจฝ่ายไหนก็ไปช่วยชกอีกฝ่ายก็แล้วกัน..!

เถรี
24-06-2013, 20:27
ถาม : ระหว่างที่ผมบวช ผมนั่งกับกลุ่มพระวัยรุ่น ทีนี้มีผู้หญิงเดินผ่านไป ในใจผมคิดว่าพระวัยรุ่นน่าจะพูดถึงผู้หญิงที่เดินผ่านไป แต่ผมไม่ได้พูด ผมจะเป็นสังฆาทิเสสไหมครับ ?
ตอบ : จะเป็นได้อย่างไร ? การเป็นสังฆาทิเสส เขาบอกว่าภิกษุเกี้ยวหญิงด้วยจิตกำหนัด เราเองได้พูดเกี้ยวสักคำไหมเล่า ?

ถาม : ระหว่างบวชเราไปถูกมือผู้หญิงโดยไม่ได้เจตนา แล้วเกิดความไม่สบายใจ ไปถามหลวงตาในวัดท่านบอกว่าเป็นสังฆาทิเสส ?
ตอบ : เขาเรียกว่าโดนอาบัติทุกกฎ ต้องปลงอาบัติ การเป็นสังฆาทิเสสท่านกำหนดว่า "ภิกษุมีจิตกำหนัด จับต้องกายหญิง (แม้เด็กหญิงแรกเกิด) ต้องอาบัติสังฆาทิเสส" ของเราไม่ได้จับเขา เป็นการกระทบถูกเข้าโดยไม่ได้เจตนา...

เถรี
24-06-2013, 20:32
ถาม : ตอนที่ผมสึกผมได้เอาของสงฆ์มา และเจตนานำไปถวายพระที่วัดอื่น ทำอย่างนี้จะเป็นปาราชิกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เราเอามาตอนเป็นฆราวาสแล้ว เป็นอาบัติปาราชิกไม่ได้หรอก แต่โอกาสที่จะซวยเพราะเอาของสงฆ์มานั้นมีเยอะ ถ้าชิงตายเสียก่อนก็เฮงเลย..!

ถาม : และผมได้นำของใช้ อัฐบริขารกลับบ้านด้วย โดยไม่บอกพระพี่เลี้ยง ถือเป็นปาราชิกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ตอนเป็นพระหรือฆราวาส ?

ถาม : น่าจะตอนสึกครับ ?
ตอบ : ถ้าสึกไปแล้วก็ติดหนี้สงฆ์..!

ถาม : ถ้ายังไม่สึกล่ะครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สึกก็ปาราชิก..!

เถรี
25-06-2013, 20:17
ถาม : เงินที่คนทำบุญมาในช่วงบวช ผมได้แบ่งให้พ่อแม่ไปบางส่วน ?
ตอบ : บอกท่านให้รีบไปสร้างพระชำระหนี้สงฆ์เสีย ถ้าตายก่อนก็ซวยจริง ๆ ส่วนใหญ่สมัยนี้ลูกก็ไม่รู้ ได้อะไรมาตอนเป็นพระก็ดันเอาไปให้พ่อให้แม่ ให้ญาติให้โยม พาเขาซวยชัด ๆ..!

ถาม : ถือว่าเป็นปาราชิกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น...แต่เป็นการเอาของสงฆ์เข้าบ้าน หาเรื่องเดือดร้อน ปาราชิกต้องขโมย นี่เป็นของเรา แต่ว่าเราได้จากการที่เป็นพระแล้ว เขาเรียกว่าของสงฆ์

ถาม : ต้องไปร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าใครเขาสร้างก็ต้องร่วมกับเขาไป ถ้าไม่มีก็ต้องรีบสร้างเสียเอง เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะสมัยนี้ส่วนใหญ่บวชตามประเพณี แล้วครูบาอาจารย์หรือพระพี่เลี้ยงก็ไม่สั่งไม่สอน ก็เลยกลายเป็นบวชแล้วมีโทษมากกว่า

อยู่วัดท่าขนุนนี่ทิดกวางจะต้องปากเปียกปากแฉะอย่างน้อย ๗ วัน ย้ำแล้วย้ำอีก ถ้าคนไหนเคยบวชมาก่อน ต้องไล่ถามกันเลยว่าเคยโดนอาบัติสังฆาทิเสสข้อไหนมาบ้าง ไล่ไปทีละข้อ ถ้าใครเคยโดนมาก่อน ให้ไปอยู่ชุดสุดท้าย บวชเสร็จก็ส่งไปอยู่ปริวาสเลย ให้อยู่กรรมให้ครบแล้วค่อยกลับมา เพราะว่าถ้าอยู่ชุดแรกนี่เท่ากับเป็นสังฆาทิเสสคาอยู่ ถึงเวลาบวชเสร็จไปนั่งเข้าสังฆกรรม พระชุดต่อ ๆ ไปก็ไม่เป็นพระแล้ว เพราะกลายเป็นอนุปสัมบัน คนที่ศีลไม่เสมอกันไปอยู่ด้วย สังฆกรรมก็เสียหมด

เถรี
25-06-2013, 20:25
ถาม : ถ้าผมตายไปแล้ว มีคนจะเอากระดูกผมไปทำวัตถุมงคล ผมจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : คงไม่มีใครสิ้นสติขนาดนั้นหรอก..! ไม่ต้องไปกลุ้มใจ เราตายไปแล้วไม่ต้องทำอะไร เพราะเป็นคนอื่นทำแล้ว ไม่ใช่เรา เป็นเรื่องของเขา ถ้าใครสิ้นสติขนาดนั้นก็ยกให้เขาไปเถอะ ถึงเวลาอย่าไปตาม “เอาของกูคืนมา” ก็พอ..!

เถรี
25-06-2013, 20:29
ถาม : เจ้ากรรมนายเวรมากวน
ตอบ : ปล่อยเขา เราทำเขาเอาไว้เยอะ ถึงเวลาเขามาเอาคืนก็เป็นเรื่องปกติ ก็ค่อย ๆ ทยอยใช้หนี้ไป หรือไม่ก็ประเภท 'ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย' ก็จบ

ถาม : ภาวนาพุทโธไม่ได้เลยค่ะ ฟุ้งตลอด ?
ตอบ : ไม่เป็นไร...พุทโธไม่ได้ก็มองภาพพระ แน่จริงก็มาบังพระไปจากเราดูสิ คืออะไรที่เป็นส่วนของความดี เราเอาตรงส่วนนั้นให้ได้ สมัยที่อาตมาบวชใหม่ ๆ บางที ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ รุมตีเสียจนกระทั่งภาวนาไม่ได้ ฟุ้งไปหมด จึงไปนั่งมองหน้าพระประธาน ดูซิว่าเขาจะมีปัญญาทำอะไรเราได้มากไปกว่านี้ไหม ?

ไม่ต้องไปกังวลหรอก สำคัญที่กำลังใจของเราคิดจะเอาดีไหม ? ถ้าเราคิดจะเอาดีก็นั่งพิจารณาในเรื่องของศีลไปก็ได้ ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่นี่ ศีลของเราบริสุทธิ์ กายของเราไม่ได้ทำชั่ว วาจาไม่ได้พูดชั่ว ถ้าใจอยากคิดชั่วก็ได้นิดเดียว ให้มันไป ส่วนกำไรของเรามีตั้งเยอะ

เถรี
25-06-2013, 20:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องศรัทธาของคนนี่น่ากลัวนะ ก่อนหน้านี้เวลาอาตมาไปไหนก็เดินต๊อก ๆ หรือไม่ก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ นั่งสองแถว โอ๊ย...มีความสุขจะตาย เดี๋ยวนี้ออกจากวัดได้ที่ไหน พอชาวบ้านเห็นอาตมาเขาขี่มอเตอร์ไซค์หรือขับรถมา เขาก็เลี้ยวมาหา “อาจารย์..นิมนต์ครับ” อาตมาว่า “กูขอไปเองบ้างไม่ได้หรืออย่างไรวะ ? จะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตแล้ว ไม่ได้เดินเองเลย”

ส่วนใหญ่เขาไปวัดแล้วก็ไปดุอาตมาด้วย เห็นทำงานก๊อก ๆ อยู่ เขาก็บอกว่า "ลูกศิษย์มีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไม่ให้เขาทำ ? ทำไมยังต้องทำเองอีก ?" ถ้าให้เขาทำแล้วต้องมาแก้ไข ลำบากกว่าทำเองตั้งเยอะ"

เถรี
25-06-2013, 20:43
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งที่พ่อแม่เขาพาไปวัด มีปัญหาเพราะเขาพูดคนละภาษากัน คนหนึ่งเอาแต่ภาษาธรรม ส่วนอีกคนเอาแต่ภาษาโลก ไปด้วยกันไม่ได้ คราวนี้หลวงปู่มหาพล วัดเขื่อนท่าทุ่งนา ท่านก็เลยโทรศัพท์มา “อาจารย์เล็ก...รบกวนหน่อยเถอะ เรื่องนี้เกินกำลังผมแล้ว” อาตมาจึงนัดท่านไปที่วัดท่าขนุน โยมชุดนี้เป็นลูกศิษย์ท่านอยู่

พ่อเขาเป็นคนเริ่มก่อน “ถ้ามีอะไรจะคุยเป็นการส่วนตัว เดี๋ยวผมกับแม่ออกไปก่อนก็ได้” อาตมาก็เลยบอกลูกเขาว่า “สิ่งที่เราพูด คนอื่นเขาฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็ว่าเราบ้า” คนเป็นลูกบอกว่า "ทำไมต้องไปสนใจร่างกายนี้ด้วย มีแต่ของเน่า ๆ แล้วทำไมต้องไปคอยดูแลผูกพันอยู่กับลูกด้วย เมื่อถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป" เวรกรรม..! คนทั่วไปฟังจะรู้เรื่องไหม ?

อาตมาบอกเขาไปว่าต้องทำตัวอย่างไร "เรายังอยู่กับโลก เราต้องเคารพสมมติทางโลกเขาด้วย การที่เราทำ เราวางได้ก็จริง แต่เป็นการวางใส่หัวคนอื่นเขา คนอื่นเขายังรับไม่ได้ ถึงเวลาเขาตำหนิ เขาด่าว่าขึ้นมา ก็เป็นโทษใหญ่แก่เขา ร่างกายของเราสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่คนอื่น พ่อแม่ถึงแม้จะเป็นคนละบุคคลกัน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ถึงเวลาต่างคนต่างตายก็จริง แต่ถ้าไม่มีพ่อแม่ เราก็ไม่ได้เกิดมา ในเมื่อไม่มีพ่อแม่ เราไม่ได้เกิดมา แล้วเราจะรู้เห็นธรรมะในส่วนนี้ไหม ? " ต้องค่อย ๆ คุยกับเขา ท้ายสุดคิดว่าพูดกันรู้เรื่องแล้วเชียวนะ เห็นพ่อแม่กลับไปคืนดีกันได้ แต่ที่ไหนได้...คนเป็นลูกหันมาบอกว่า จะพาลูกของตนไปบวชเณร อาตมาก็ว่าเดือดร้อนตูอีกแน่ ๆ เลย..!

สิ่งที่เขาพูดมาใช่ทั้งหมดนั่นแหละ แต่คนที่ยังรับไม่ได้ เขาจะฟังไม่เข้าใจหรอก แล้วก็หาว่าลูกบ้า พ่อจะเข้าใจง่ายกว่าแม่ พ่อเขาบอกว่า “อย่างนี้นะครับท่านอาจารย์ สรุปว่าลูกผมปกติใช่ไหม ?” อาตมาก็บอกว่าปกติ อาการของคนที่ปฏิบัติในตอนแรก ๆ จะยังปรับตัวเข้ากับทั้ง ๒ ฝั่งไม่ได้ จะเป็นอย่างนี้แหละ ต้องรอเขาปรับตัวไประยะหนึ่ง เขาก็ว่า “ถ้าอย่างนั้นผมก็โล่งใจ”

แต่คนเป็นแม่ไม่ยอม “เขาบอกว่าเขาตัดหนูได้ตั้ง ๒ ปีแล้ว เป็นไปได้อย่างไร มาตัดแม่ตัดลูกกัน.!” โอ๊ย...โกรธเสียไม่มี"

เถรี
25-06-2013, 20:46
ถาม : เขามาถูกทางหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าเขามาถูกทางแล้ว แต่ออกตัวแรงไปหน่อย พ่อแม่เขาอยากให้มาช่วยกิจการทางบ้าน เพราะมีรีสอร์ทอยู่ คนเป็นลูกก็บอกว่า “แล้วจะมีประโยชน์อะไร เดี๋ยวก็ตายแล้ว ทรัพย์สมบัติก็ขนไปไม่ได้สักอย่าง แล้วทำไมต้องไปทำให้ทุกข์มากขึ้นด้วย ?” ใช่ทั้งนั้นเลย..ใช่ไหม ?

อาตมาบอกกับเขาแล้วว่า ถ้าไม่มีทางก็แวะไปวัดท่าขนุนก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ตรงนี้พอจะเป็นหลุมหลบภัยให้พักบ้าง

ถาม : นักปฏิบัติส่วนใหญ่มักมีปัญหากับครอบครัวมาก ?
ตอบ : มีมาก เพราะอีกฝ่ายเริ่มต้นคุยเรื่องก.ไก่ แต่อีกคนไปคุยเรื่องปริญญา เขาจะไปรู้เรื่องอะไรเล่า คาดว่าคงจะปรับตัวได้ดีขึ้นหน่อย เพราะว่าพยายามชี้แจงเขาแล้ว บอกว่าสมมติกับวิมุติเหมือนกับเหรียญ ๒ หน้า คุณทิ้งไม่ได้หรอก อย่างไรก็ต้องติดตัวเราไป เพราะฉะนั้น..การปฏิบัติ ควรจะทำตัวเองให้เป็นทุกข์โทษเวรภัยกับคนอื่นให้น้อยที่สุด เรียกง่าย ๆ ว่า เราไม่สามารถสงเคราะห์อย่างอื่นเขาได้ อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยเมตตา อย่าให้ กาย วาจา ใจ ของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับเขาเลย แต่นี่...แม่เจ้าประคุณจะทิ้งอย่างเดียว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาไม่มีโอกาสไป แล้วคราวนี้หลวงพ่อวัดเขื่อนท่าทุ่งนาบอกพ่อแม่เขา พ่อแม่เขาก็โทรศัพท์หาลูก พ่อแม่เขายังแปลกใจ เอ๊ะ..คราวนี้ลูกเขายอมไป เขาว่าอย่างนั้น พอพ่อแม่เขาออกไป เขาค่อยมากระซิบบอกว่าเป็นเพื่อนกับคุณไพรินทร์ อ๋อ...ที่แท้เขารู้จักอาตมาล่วงมาก่อนหน้าแล้ว

เถรี
25-06-2013, 20:51
ตอนแรกก็ว่าเขาคุยกันรู้เรื่องแล้ว อย่างน้อย ๆ กลับไปทุกอย่างน่าจะดีขึ้น ที่ไหนได้เขาหันมาบอกว่า "จะเอาลูกไปบวชเณร" เดี๋ยวพ่อแม่ก็ได้ดิ้นตายเท่านั้นเอง..!

แม่เขาบอกว่า “อยู่เมืองไทย หลานไม่ยอมพูดภาษาไทย พอบอกลูกให้สอนหลาน ลูกก็มากรี๊ดใส่แม่ว่า จะไปห่วงไปใยอะไรนักหนา เดี๋ยวก็ตายจากกันไปแล้ว” ที่เขาพูดมานั่นใช่ทั้งนั้นเลย เพียงแต่ว่าใช้กระบวนท่าผิดจังหวะเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าไม่มีกาลัญญุตา ไม่รู้ว่ากาละ เวลา สถานที่ไหนที่เหมาะสม เห็นว่าสิ่งนี้ดีก็พุ่งไปสุดตัวเลย ไม่มียั้ง คนอื่นเขาจึงรับไม่ได้

ถาม : เขาบอกว่าตัดแม่แล้วหรือคะ ?
ตอบ : เขาบอกว่าตัดพ่อตัดแม่ได้มา ๒ ปีแล้ว แม่โกรธ พูดขึ้นมาประโยคไหน แม่เขาจะต้องเอ่ยคำนี้ขึ้นมา “อุตส่าห์เลี้ยงมันมาขนาดนี้ มันบอกว่ามันตัดแม่มา ๒ ปีแล้ว ถึงเวลาเราหวังดีปรารถนาดี มันทำกิจการอะไรเราก็อุตส่าห์หาเงินหาทองไปให้มัน มันดันบอกว่าตัดแม่ได้แล้ว” นึก ๆ แล้วก็ขำดี

ถาม : หนูว่าที่เขาพูดมานั้นใช่ค่ะ ?
ตอบ : ใช่ทั้งหมด แต่เขาใช้ผิดจังหวะ เสียเวลาอธิบายให้เขาฟังเป็นชั่วโมง ก่อนจะกลับหลวงปู่วัดท่าทุ่งนาว่าอย่างไรรู้ไหม ? “สมกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าเป็นผู้มีปัญญามาก” อาตมาก็บอก “ไม่ใช่หรอกครับหลวงพ่อ ผมแค่เคยผ่านมาก่อน คนอื่นเขาเดินตามรอยมา ผมบอกเขาได้อยู่แล้วครับ”

หลวงปู่ท่านอายุตั้ง ๘๐ กว่าปีแล้ว ท่านไม่มีแรงไปรบกับเขาหรอก กว่าจะอธิบายให้เข้าใจทั้งแม่ทั้งลูก หลวงปู่ก็เป็นลมพอดี

เถรี
25-06-2013, 20:53
กรณีอย่างนี้มีบ่อยนะ อย่างเดือนก่อนก็มีเหมือนกัน คนนี้หนีไปถึงจะไปอยู่วัดเลย “หนูเคยอารมณ์พังมาหลายที หนูไม่ยอมแล้วครั้งนี้” ลืมไปว่าพ่อแม่เพิ่งจะพาไปลงทะเบียนที่ ม.อัสสัมชัญเสร็จ รุ่งขึ้นกลับหนีไปวัดเลย ไม่เรียนแล้ว คนอื่นทั้งชีวิตจะเข้าอัสสัมชัญ บางทีได้แต่ฝัน แต่นี่เข้าได้แล้ว ลงทะเบียนเสร็จ หนีไปวัดเลย ดีเหมือนกัน อยู่ ๆ ก็หาภาระมาให้พระได้ลับสมองเล่นอยู่เรื่อย ...(หัวเราะ)...

หยกอย่าทำอย่างนี้ให้พ่อแม่ตกใจนะ ปล่อยสไบเงินไปคนเดียวก่อน ตอนนี้ให้สไบเงินไปเป็นคุณครูแล้ว เขารู้สึกว่าเขาเรียนรู้มาตั้งเยอะแยะแล้วเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์ พอดีทางโรงเรียนต้องการครูสอนภาษาอังกฤษ ก็เลยแบ่งไปให้ ๔ ชั่วโมง ให้พระท่านไป ๔ ชั่วโมง เอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง วันก่อนย่องไปดูที่โรงเรียน เห็นเขานั่งทำงานแล้วมีความสุข อาตมาก็ว่าดีเหมือนกัน เขาไม่เห็นหรอก อาตมาเห็นเขาฝ่ายเดียว

เถรี
25-06-2013, 20:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปริญญาเอกที่อาตมาเรียนอยู่เป็นสาขา Buddhist Management เพราะฉะนั้น..ทุกอย่างจะเป็นของฝรั่งจ๋าขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดต้องดึงมาเข้าหลักของพระพุทธเจ้าให้ได้ ซึ่งในปัจจุบันคนเขากำลังเริ่มฮือฮาสาขานี้กันอยู่ ว่าของดีอยู่ในบ้านเรา ฝรั่งขโมยไปใช้แท้ ๆ ทำไมเราไม่เอาของเรามาใช้เสียเอง ก็เลยคิดว่าต่อไปใครจบสาขานี้ไปงานคงท่วมหัว เพราะส่วนใหญ่หลักของฝรั่งที่เขาว่ามา จับลงหลักของพระพุทธเจ้าได้หมด เหมือนที่ท่านบอกว่าจะลำธารหรือแม่น้ำกี่สายก็ตาม ท้ายสุดก็ลงมหาสมุทรทั้งหมด

ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักปรัชญาคำว่า "พอเพียง" ควรจะเป็นหลักธรรมข้อไหน ?"

ถาม : สันโดษหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : สายกลางก่อน สันโดษยังรองลงไป มัชฌิมาปฏิปทาก่อน พอเหมาะพอดี ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เสร็จแล้วถึงจะเน้นเข้ามาหาเรื่องของสันโดษ ยินดีตามมีตามได้ ยินดีตามที่ตนหาได้ ยินดีตามฐานะที่ตนมีอยู่ คนส่วนใหญ่เขากระโดดข้ามไปสันโดษกันทั้งนั้น

หลักสำคัญจริง ๆ ไม่ได้คิดถึง พระพุทธเจ้าตรัสครั้งแรกก็มัชฌิมาปฏิปทาเลย เสร็จแล้วก็ไล่ไป หลักการเขามีกี่ข้อ วิธีการเขามีกี่ข้อ ต้องดึงเข้าหาธรรมะของเราให้ได้

เถรี
25-06-2013, 21:00
เรียนระดับนี้แล้วเห็นชัด ๆ เลยว่า เรื่องของแนวความคิดนั้นสำคัญที่สุด เขาบอกว่าปริญญาตรีเราเรียนรู้ทฤษฎีคนอื่นก็พอแล้ว ถ้าปริญญาโทเราต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า แนวคิดของทฤษฎีนั้นคืออะไร แต่ปริญญาเอกเขาบอกว่า คุณต้องตั้งทฤษฎีของคุณเอง

แสดงว่าในหลวงเราเกินปริญญาเอกไปเยอะเลย แต่ละอย่างที่พระองค์ท่านบอกมาสุดยอดทั้งนั้นเลย ทฤษฎีเกษตรทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีของพระองค์ท่านไม่รู้ออกมาเท่าไร สรุปแล้ว ๔,๐๐๐ กว่าโครงการ แต่ในหลวงก็ถ่อมพระองค์นะ พระองค์ท่านบอกว่าไม่ใช่สำเร็จทุกโครงการ แต่ถ้าสำเร็จก็จะเป็นประโยชน์แก่ชาวบ้านเขา

แต่ปรากฏว่า ๔,๐๐๐ กว่าโครงการของพระองค์ท่าน สำเร็จเกินร้อยละ ๙๐ ที่สำคัญที่สุดก็คือหลากหลายมาก ครอบคลุมทุกเรื่องที่ชาวบ้านเขาเดือดร้อนแล้วต้องการให้ช่วย

เถรี
26-06-2013, 12:33
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ถวายสังฆทานว่า "คราวหน้าอุ้มพระมาก็ได้จ้ะ ไม่ต้องถึงขนาดกับเทินหัวมาหรอก แต่ประเภทหิ้วคอพระนั่นเกินไป สภาพจิตหยาบเกิน ส่วนประเภทเทินหัวมาก็จิตละเอียดเกิน การปฏิบัติจะเป็นอย่างนี้แหละ กาย วาจา ใจ ค่อย ๆ ขัดเกลาไปเรื่อย ๆ เขาถึงได้เรียก สัลเลขะตา มีการขัดเกลา อัปปิจฉตา เป็นผู้มักน้อย สันตุฏฐิตา เป็นผู้สันโดษ เป็นต้น"

เถรี
26-06-2013, 12:37
ถาม : ลูกสาวหนู เวลานั่งสมาธิแล้วสัปหงก แสดงว่าต้องหลับแน่เลยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ให้นั่งก็แล้วกัน ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะหลับหรือไม่หลับ จะเป็นถีนมิทธะหรือว่าจะเป็นนิวรณ์ก็ช่างเขา ขอให้ได้ทำ

ถาม : แต่พอเลิกเขาก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้หลับ หนูเลยชักไม่แน่ใจ หรือตกลงไม่ได้หลับจริง ๆ ?
ตอบ : สภาพจิตของเขาอาจจะรู้ตัวตลอด แต่อาการข้างนอกพาไป ถ้าลักษณะอย่างนั้นอาจจะเป็นเรื่องของปีติก็ได้ เพราะว่าโอกกันติกาปีติก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

ถาม : เขาเป็นแทบทุกครั้งเลยค่ะ ?
ตอบ : พอนาน ๆ ก้าวข้ามไปได้ก็เลิก ตอนนี้ยังข้ามไม่ได้ก็ทนไปก่อน

เถรี
26-06-2013, 13:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครอ่านเรื่องเจ้าพ่อหลักเมืองสิงคโปร์ในเว็บวัดท่าขนุนบ้าง ถ้าไปสิงคโปร์แล้วมีเรื่องอะไรเดือดร้อนขอให้ท่านช่วย แก้บนด้วยบุหรี่ ๑ มวนนะจ๊ะ จุดติดแล้วก็วางไว้ที่สูงหน่อย ถ้าเป็นซิการ์ฮาวานาได้จะดีมาก"

เถรี
26-06-2013, 13:32
ถาม : ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิ ผมตั้งใจว่านั่ง ๓๐ นาที เหมือนเป็นช่วงตั้งตัวที่ดีขึ้น จิตจะคลายตัวออกมารับรู้ช่วงหนึ่ง และจะเข้าไปทำสมาธิอีกช่วงหนึ่ง ผมจะทำอย่างไรให้ขยายเวลาได้ยาวอย่างนั้น ?
ตอบ : ช่วงที่คลายออกมานั้นแสดงว่ากำลังใจตันแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้ว ก็จะหลุดของออกมาเอง ตอนนั้นให้เราพิจารณาวิปัสสนาญาณต่อไปเลย ถ้าเราพิจารณาวิปัสสนาญาณ จิตจะนิ่งแล้วกลับไปเป็นสมาธิอีกช่วงหนึ่ง แล้วช่วงจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ แต่คุณไม่ได้พิจารณา เอาแต่จะตะบันเข้าไปอีก ก็จะได้ระยะเวลานิดเดียว ใหม่ ๆ เป็นอย่างนี้ทุกคนแหละ จนกว่าจะรู้วิธี

ถาม : บางครั้งผมเคยพิจารณาละเอียดจนภาวนาได้ แต่หลัง ๆ นี่ไม่เป็น เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้าเคยทำอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ย้อนกลับไปดูว่าตอนที่เราพิจารณาได้เราทำอย่างไร สร้างเหตุเหมือนเดิม ผลเดิมก็เกิดอีก

ถาม : เกี่ยวกับผลการปฏิบัติของพระคาถาเงินล้าน ถ้าทำมาหลายเดือนแล้วแต่ไม่ค่อยเห็นผล เราควรจะต้องย้อนกลับไปดูตรงไหนเป็นหลัก ?
ตอบ : อย่าภาวนาด้วยความอยาก เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่าง เราก็ว่าของเราไป ถ้าอยากจะโดนตัดไปเลย

เถรี
26-06-2013, 13:45
ถาม : เวลาทุกครั้งที่ทำสมาธิ ถ้ากำลังใจคลายออกมาก็คือให้พิจารณา ?
ตอบ : ต้องพิจารณาเลย ไม่อย่างนั้นถ้าฟุ้งคราวนี้ก็สาหัสเลย เพราะเอากำลังของสมาธิไปฟุ้ง เราจะฟุ้งชนิดที่หยุดไม่อยู่

ถาม : ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมบางครั้งถึงทำสมาธิได้ยาว เป็นเพราะสมาธิจิตหรือครับ ?
ตอบ : เพราะสิ่งแวดล้อม เราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างไร ถ้าทำแล้วดี ก็เท่ากับว่าเราต้องคิดอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น ถ้าอยู่ผิดที่ก็เหลือสั้นหน่อยเดียว

เถรี
26-06-2013, 14:03
ถาม : วัตถุมงคลเกี่ยวกับเสือ เช่น เขี้ยวเสือ เป็นเมตตาตรงไหน ?
ตอบ : มหาอำนาจ ป้องกันภัย ส่วนเมตตานี่เป็นของแถม ในหลวงรัชกาลที่ ๕ สงสัย ถามหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ว่า “ขรัวตา..เสือมีเมตตาอย่างไร เพราะเอาแต่ฆ่าสัตว์อื่น” ท่านบอกว่า “มหาบพิตรลองจับเสือมาขังไว้สิ มีแต่คนแห่มาดู” เมตตาตรงเป็นมหานิยมในตัว คนสนใจเพราะเป็นสัตว์ดุร้าย

อย่างตัวที่ให้ท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลีดู ตัวนั้นไม่เคยใช้มาก่อนเลย เก่าแห้งไปเฉย ๆ เสร็จแล้วท่านถามว่า “มึงได้มาอย่างไรวะ? กูหามาทั้งชีวิตก็หาไม่ได้” กราบเรียนท่านว่า “เขาตั้งใจขาย ๓,๕๐๐ ครับ ผมเห็นว่าเขี้ยวเก่า ต่อให้ปลอมก็คุ้ม แต่ดันเป็นของแท้” ตัวนั้นเก่าแห้งกรอบเลย ถ้าอยู่กับเนื้อคนตลอด จะฉ่ำเป็นเงาธรรมชาติ

ถาม : เป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : เหมือนกับได้รับพลังอะไรบางส่วนจากตัวคนไปด้วย

ถาม : และการที่เราเอาน้ำมันไปชุบ ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ เพราะต่างกัน ประเภทค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป กับประเภทไปทีเดียว ต่างกันมากนะ ถ้าคนเขามีตา เขาดูออก เดี๋ยวครั้งนี้จะพาเสือตัวนี้ไปเที่ยวยุโรปด้วย

เถรี
26-06-2013, 14:11
เขาบอกว่าวัตถุมงคล ถ้ามีของจริงดูแล้วจะชิน ต่อไปจะได้จำได้ เราจะได้เห็นข้อต่างว่า ของที่เขาไปรมควันมา ทอดน้ำมันมา กับของเก่าจริงนั้นต่างกันเยอะมาก

คนโบราณแกะเก่งจริง ๆ ชิ้นแค่นี้ แกะออกมาเป็นธรรมชาติมากเลย เซียนเขาบอกว่า ต้องหูหนู หน้าแมว เขี้ยวโปร่งฟ้า ยันต์กอหญ้า ตาลูกเต๋า ถึงจะเป็นของวัดบางเหี้ยแท้ ๆ แต่ก็อย่างว่า..คนเราได้ยินอย่างเดียว ถ้าไม่มีของจริงเป็นตัวอย่างก็โดนเขาหลอกได้

เถรี
26-06-2013, 14:14
พระอาจารย์กล่าวเตือนว่า "ภาษิตจีนเขาบอกว่า ทหารหนีทัพ ๕๐ ก้าว หัวเราะเยาะคนหนี ๑๐๐ ก้าว หาว่าอีกฝ่ายขี้ขลาด ทั้งที่หนีด้วยกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น..ต่อให้ตัดกิเลสได้มากกว่าเขา เราก็ยังหัวเราะเขาไม่ได้ เพราะยังไม่หลุดจากกิเลสเหมือนกัน"

เถรี
27-06-2013, 10:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะเล่นพระเครื่องต้องเอาทีละอย่าง ศึกษาทีละเนื้อ ไม่อย่างนั้นแล้วจะมั่วไปหมด แม้กระทั่งศึกษาทีละเนื้อ อย่างเช่นเนื้อผงหรือเนื้อดิน เราก็ต้องรู้ว่าเนื้อนี้สร้างด้วยอะไรบ้าง ต้องรู้ถึงลักษณะเด่นว่าเวลาสร้างขึ้นมาแล้ว จะมีอะไรเป็นจุดเด่นของเนื้อชนิดนั้น ลักษณะของเนื้อใหม่เป็นอย่างไร เนื้อปานกลางเป็นอย่างไร เนื้อเก่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะดูยากสักหน่อย

แต่ว่าถ้าเป็นเสียครั้งแล้วก็จะจำได้ตลอดชีวิตเลย ถ้าเล่นหลาย ๆ อย่าง ใครว่าอะไรดีก็แห่ตามเขาไป เดี๋ยวก็เจ๊ง เพราะค่าครูมักจะแพง กว่าจะรู้จริงแต่ละอย่างนี่หมดไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

อาตมาได้เปรียบ เพราะพี่ชายเล่นพระมาตั้งแต่อาตมายังตัวเล็ก ๆ วัน ๆ กับพวกเพื่อนร่วมก๊วน ๔ - ๕ คน มากินน้ำชากาแฟส่องพระกันทั้งวัน เสร็จแล้วพระน้องชายก็มาชอบต่อ ตั้งแต่พวกเรายังเรียนป. ๕ - ๖ ก็มีพระเก่าดี ๆ กันคนละหลาย ๆ องค์ อย่างพระถ้ำเสือพิมพ์ตุ๊กตา พระถ้ำเสือพิมพ์ใหญ่ พระขุนแผนพิมพ์ไข่ผ่าซีก ฯลฯ เพราะตอนนั้นบ้านอยู่กำแพงแสนติดสุพรรณบุรี ก็ต้องเล่นของในพื้นที่ก่อน คราวนี้พอดูเป็นแล้วก็สบาย

บางทีรุ่นใหญ่เขาสอนถึงขนาดให้เอาน้ำหยดใส่พระถ้ำเสือ หยดลงก็หายวาบเลย องค์นี้ตีไปเลย ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของแท้ ถามว่าทำไม ? เพราะของที่ผ่านการเผามาเก่านานขนาดนั้น ความชื้นจะมีน้อยมาก ฉะนั้น..ถ้าความชื้นลง จะถูกดูดวูบหายเกลี้ยงเลย เขาจะมีจุดเด่นจุดตาย ลักษณะพิมพ์ทรงที่ต้องจำให้แม่น เรียนทีละอย่างแล้วจะแม่น ถ้าเรียนหลาย ๆ อย่างมักจะมั่ว"

เถรี
27-06-2013, 10:15
ถาม : สีของพระผงหลวงปู่ปานล่ะครับ ?
ตอบ : เป็นสีขาว แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วเขาอุดด้วยซีเมนต์ เพราะฉะนั้น..ที่ข้างนอกด้านบนจะเป็นซีเมนต์

ถาม : ผมก็คิดว่าเป็นผง ?
ตอบ : ไม่ใช่ ผงส่วนผง ซีเมนต์อุดส่วนซีเมนต์

ถาม : จำเป็นไหมครับที่รอยอุดจะต้องนูนขึ้นมา ?
ตอบ : อยู่ที่คนอุด ถ้าคนอุดประณีตหน่อยก็แทบจะเสมอเลย ถ้าคนอุดไม่ประณีตก็เป็นก้อนเชียว สำคัญตรงพิมพ์ทรงกับเนื้อหา เนื้อพระหลวงปู่ปานจะเป็นดินท้องนา ถ้าคุณเป็นลูกชาวบ้าน เคยเห็นเขาเผาอิฐ จะจำแม่นเลยว่าดินท้องนาเผาแล้วหน้าตาจะเป็นอย่างนี้ ดูทีเดียวจะจำได้เลย ในเรื่องของแบบพิมพ์อะไรก็ตาม สำคัญที่สุดตรงอักขระ อักขระจะมี ๔ ตัว หรือจะเป็นยันต์อะไรของหลวงปู่ก็ตาม อักขระจะคมชัดมาก ถ้าเลือน ๆ นี่ระวังไว้ก่อนว่าไม่ใช่

พระหลวงปู่ปาน ส่วนใหญ่คนได้ไปจะใช้งานเลย เพราะฉะนั้น..ก็มักจะเจอที่เขาใช้งานมาจนกระทั่งเนื้อหาเก่าเยอะต่อเยอะด้วยกัน ประเภทใหม่แล้วไม่ได้ใช้งานเลย ถ้ามาอยู่ถึงมือเรา บางทีเราก็ตีปลอมไปเลย ต้องระวังให้ดี ต้องจำจุดตำหนิพิมพ์ทรงให้แม่น ถ้าดวงเฮง ๆ ไปเจอใหม่เอี่ยมไม่เคยใช้แล้วตีปลอมนี่เจ๊งเลยนะ..!

เถรี
27-06-2013, 10:28
ถาม : แล้วจริงไหมว่าที่ว่าด้านหลังเขาจะใช้ไม้ไผ่ช่วยพิมพ์ เพราะบางทีก็มีลายนิ้วมือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา เหมือนกับเราจับพลิกไปมาก็ติดลายไป เพราะฉะนั้น..สำคัญตรงพิมพ์ทรงกับลักษณะของอักขระเลขยันต์ พวกนี้จะเป็นตัวชี้ขาด เนื้อหาก็สำคัญมาก เพราะว่าดินท้องนาต่างจากดินอย่างอื่น ถ้าอยากจะดูพระที่เนื้อใกล้เคียงของหลวงปู่ปาน ให้ดูเนื้อพระของหลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน แต่พระของหลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน ท่านทำเยอะเป็นลำเรือ ก็จะไม่มีเวลามากรองดิน พระของหลวงปู่ปานจึงเนื้อละเอียดกว่า แต่ลักษณะสีสันของเนื้อจะเหมือนกัน

หลวงปู่โหน่งท่านตั้งใจจะทำแค่เป็นพุทธบูชา เพราะฉะนั้น..พิมพ์อะไรสวยท่านทำหมด แต่พระของหลวงปู่ปานท่านทำตามตำราพระร่วง ลักษณะที่พระขี่หนุมาน ทำน้ำมนต์รักษาโรค พระขี่ครุฑก็ออกไปทางอำนาจ พระขี่ปลาก็ไปค้าขายทางเรือ ถ้าพระขี่ไก่ก็เมตตามหานิยม ถ้าพระขี่นกให้ไว้ทำนา ถ้าพระขี่เม่นก็เอาไว้ทำมาหากินเข้าป่าเข้าดง ก็เลยกลายเป็นว่าคุณสมบัติคนละอย่างกัน แต่หลวงปู่ปานท่านทำผงเสร็จแล้ว ท่านเอามาคลุกรวมกัน องค์เดียวก็มีอานุภาพครบทุกอย่าง

พระของหลวงปู่ปาน ถ้าจะเล่นก็เล่นรุ่นหลัง ก็คือรุ่นล่าสุดที่ท่านทำ ถ้าเป็นรุ่นโบราณ มักจะไปปนกับของวัดคู้สลอด เพราะของวัดคู้สลอดหลวงปู่ปานท่านทำ บางคนก็มักง่ายแหกตาชาวบ้าน เอาของวัดคู้สลอดมาหลอกว่าเป็นพิมพ์โบราณของหลวงปู่ปาน

เถรี
27-06-2013, 15:22
เล่นพระให้เล่นด้วยตา อย่าเล่นด้วยหู ไม่ใช่เขาชักประวัติว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเชื่อเลย โดนต้มมาเยอะแล้ว อย่างจับพลังนี่อาตมาเจ๊งเลย เพราะจับแล้วมีพลังทุกองค์

ถาม : องค์นี้จริงหรือปลอมครับ ?
ตอบ : พระของหลวงปู่ปานท่านบอกว่า จะจริงจะปลอม จะใหม่จะเก่า ถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากันหมด เพราะฉะนั้น..อย่าสงสัย มี ๒ องค์ที่ให้พรไว้อย่างนี้ก็คือ หลวงพ่อวัดระฆังกับหลวงพ่อปาน ๒ องค์นี้ท่านจะพิเศษหน่อย เพราะว่าเป็นสายพระโพธิสัตว์มาก่อน กำลังท่านสูง ก็สงเคราะห์ให้ได้มาก

เถรี
27-06-2013, 15:23
อาตมาไม่ชอบเลี่ยมพระให้แกะง่าย ๆ เลี่ยมแกะง่าย ๆ แล้วเขาแกะส่องกันจัง สมเด็จวัดเกศไชโยโดนเขางัดบิ่นไปมุมหนึ่งแล้ว ที่น่าฆ่าที่สุดก็คือ พระโคนสมอเนื้อว่านจำปาสัก เขาดันจิกออกมาดู เอาเล็บจิกจนแหว่งเลย พวกส่องพระแบบนี้ต้องบ้องหู..!

เถรี
27-06-2013, 15:27
อาตมาไม่อยากเอาพระผ่านด่านตรวจต่างประเทศ บางรายโหดขนาดที่ว่า “เอายาเสพติดมาปั๊มเป็นรูปพระหรือเปล่า..!?”

ระยะหลังนี่เจอไป ๒ ครั้ง ตอนไปอินโดนีเซีย มัวแต่เพลินดูคนอื่นเขา ลืมอาราธนาพระ เครื่องเลยดัง ตอนไปเขมรเขาเอาลูกมายกให้ รับไปรับมาลืมอาราธนา เครื่องดังอีก กี่ครั้ง ๆ ไม่ดัง ไปดังตอนเผลอทุกที แล้วที่ขำก็คือเรื่องของพระเรื่องของเทวดาท่านสอนให้เรารอบคอบ อาราธนาแค่ไหนได้แค่นั้น กันที่ตัวไปดังที่กระเป๋า กันที่กระเป๋ามาดังที่ตัว..ยุ่งไปหมด..!

เถรี
27-06-2013, 19:27
สมัยก่อนอาตมาไม่พกเครื่องรางของขลัง คำว่าสมัยก่อนก็คือ เมื่อรับยันต์เกราะเพชรมาแล้ว ด้วยความที่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน พอนึกถึงก็เห็นยันต์สว่างอยู่ในท้อง ก็ไปแล้ว...สบาย ไม่ได้พกอะไรอยู่หลายปีเลย จนกระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ตัวเรามีโอกาสเผลอได้ ถ้าเผลอสติไม่ได้อาราธนา พระท่านก็ไม่ได้คุ้มครองให้ แล้วท่านก็เล่าเรื่องของหลวงปู่ปานให้ฟัง

หลวงปู่ปานมีศัตรูตามจองล้างจองผลาญอยู่ตลอด เพราะเขาหากินทางไสยศาสตร์ ส่วนหลวงปู่ปานรักษาคนที่โดนไสยศาสตร์ เขาก็เลยหากินไม่ได้ เพราะทำแล้วไม่มีประโยชน์ หลวงปู่ท่านแก้ได้หมด เขาก็จ้องเล่นงานหลวงปู่ จนเขาไปได้จังหวะตอนท่านสรงน้ำ ท่านถอดอังสะที่ในกระเป๋ามีพระ แขวนไว้จะสรงน้ำ ท่านล้มทั้งยืนเลย โดนเขาบังฟันเอา ขนาดหลวงปู่ยังโดนเลย..!

หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าวาระกรรมมาถึง จะมีจังหวะปลอด ทำให้เราเผลอพอดี ถ้าเราอาราธนาพระท่านคุ้มครอง ถึงเราเผลอสติ พระหรือเทวดาที่ท่านรักษาพระเครื่อง ท่านก็ปกป้องคุ้มครองให้ ดังนั้นโอกาสที่เราเผลอก็มีเหมือนกัน จึงต้องพกไว้บ้าง

เถรี
27-06-2013, 19:33
ถาม : ต้องอาราธนาเช้าเย็นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาราธนาเช้าเย็นได้จะปลอดภัย ส่วนอาตมาอาราธนาทุกครั้งที่ขึ้นรถ ขนาดนั้นยังชนมาหลายต่อหลายครั้ง เพียงแต่เป็นการชนที่คนไม่เป็นอะไรสักที ล่าสุดก็เพิ่งอัดเสาจนหน้ารถยุบเป็นสี่เหลี่ยมเลย แต่ก็แปลก ไม่ได้รัดเข็มขัดเลย ตัวโยกแค่นิดเดียวเอง โยกเหมือนเรานั่งโยกเล่น แต่พอลงไปดู โอ้โห...รถยุบเป็นคืบเลย หน้ารถกลายเป็นรูปเสาไปเลย

มีอยู่ครั้งหนึ่งแยกตึกชัย ต้องให้เขามาช่วยงัดออกจากรถ เพราะออกจากรถไม่ได้ ตอนที่วิ่งมาไฟเขียวอยู่ ต่างคนต่างก็เร่งจะให้พ้นไฟ พอไปถึงกลางสี่แยก ไฟเหลืองขึ้น คันหน้าเบรกหยุดทันที ลักษณะนั้นต่อให้ไฟแดงยังต้องวิ่งตามกัน ๒ - ๓ คัน แต่พอไฟเหลืองขึ้นรถคันหน้าเบรกหยุด คันของอาตมาก็ส่งคันหน้าข้ามแยกไปเลย เขามาสารภาพทีหลังว่า ภรรยาบอกให้เบรก แสดงว่ารักเมียมาก อยากได้เมียใหม่เร็ว ๆ การเบรกลักษณะนั้นตายมาเยอะแล้ว งวดนั้นโดนค่าซ่อมไป ๑๘,๐๐๐ กว่าบาทเพราะไปชนท้ายเขา

ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุไม่เคยสนใจว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เป็นไรแน่ จะลงไปดูคู่กรณีเขาก่อน ถามเขาก่อนว่าเป็นอะไรไหม ? มีใครบาดเจ็บหรือเปล่า ?

เถรี
27-06-2013, 19:43
พระอาจารย์เล่าว่า "สมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรกที่อาตมาทำ ใช้แบบของวัดพระธาตุห้าดวง ตอนนั้นวัดพระธาตุห้าดวงสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำ หน้าตัก ๕ นิ้ว แล้วก็ทำองค์เล็ก อาราธนาหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ กับหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ มาพุทธาภิเษกให้ อาตมาเห็นว่ามีโอกาสดีอย่างนี้ ก็เลยฝากเขาผลิตเพิ่มมา ๕,๕๐๐ องค์ จึงกลายเป็นสมเด็จองค์ปฐมที่แบบเหมือนกับทางวัดพระธาตุห้าดวงทุกประการ คนเสกก็คนเดียวกัน เพียงแต่ว่าเป็นของวัดเกาะพระฤๅษี หรือของวัดท่าขนุนเท่านั้นเอง

เชื่อว่ารุ่นพวกเราคงไม่ค่อยมีใครได้เห็นกระมัง ๕,๐๐๐ กว่าองค์ ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด"

เถรี
27-06-2013, 19:52
ถาม : จะเปิดร้านค่ะ ทำที่นี่ดีหรือเปล่า ?
ตอบ : ทำที่ไหนก็ทำไปเถอะ ถึงเวลาก็ถวายสังฆทานอุทิศให้เจ้าที่เขาหน่อย จุดธูปเทียนบอกเขา ขอความสะดวกคล่องตัว ขอให้เจริญรุ่งเรืองอะไรก็ว่าไป

ถาม : เปิดตอนเก้าโมงหรือคะ ?
ตอบ : เวลาไหนก็ได้จ้ะ ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ใช้ได้ทั้งวัน

งานที่ต้องอาศัยพึ่งคนอื่นเขา ไม่ค่อยได้อย่างใจหรอก เพราะฉะนั้น..ถ้าทำงานจะเอาสบายใจ ให้ทำแค่พอกำลังของตัวเอง ที่ดอนหวายใกล้ ๆ วัดไร่ขิง มีนายเงี้ยบ ขายเป็ดพะโล้ สัปดาห์หนึ่งทำงาน ๓ วัน ตีเสียว่า ๔ วันก็แล้วกัน วันพฤหัสบดีซื้อเป็ดทำเป็ด วันศุกร์พะโล้ เสาร์กับอาทิตย์ขาย แล้วของแกจำกัดด้วยนะ ขายวันละ ๒๐๐ ตัวเท่านั้น ใครมาช้าก็อด..!

เป็ดพะโล้ ๒๐๐ ตัวควรจะเป็นเงินเท่าไร ? เขาขาย ๒ วัน ก็ ๔๐๐ ตัว เริ่มงานพฤหัสบดีกับวันศุกร์ ขายวันเสาร์กับอาทิตย์ วันจันทร์, อังคาร, พุธนอนตีพุง..สบายไป...

เถรี
27-06-2013, 19:56
ถาม : แล้วถ้าเราเปลี่ยนชื่อ เพื่อให้ดีขึ้น ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจแย่ก็กลายเป็นเราแช่งตัวเอง ถ้ากำลังใจดี ทุกอย่างก็ดีหมด เพราะฉะนั้น..ชื่อนี่แทบจะไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตเลย ไม่อย่างนั้นปู่ย่าตาทวด ชื่อนายดำ นายแดง นายหมู นายหมา ก็คงอยู่มาไม่ถึงเราหรอก เพราะชื่อไม่เป็นมงคล คงตายหมดแล้ว เพราะฉะนั้น..อย่าเสียเวลาไปเปลี่ยนเลย คนรู้จักก็เรียกชื่อเดิมของเราอยู่ดี

เถรี
27-06-2013, 19:59
ถาม : พลังจิตสามารถแผ่ได้ ขอความเมตตาช่วยอธิบายด้วยค่ะ ?
ตอบ : ไม่เห็นมีอะไรต้องอธิบาย ที่วัดก็สอนให้เขาทำอย่างนี้กันทุกวัน เพียงแต่เราแผ่ไปลักษณะเหมือนกับแผ่เมตตา ซักซ้อมกระจายออกแล้วรวมเข้า รวมเข้าแล้วกระจายออก เป็นการซ้อมกีฬาสมาธิ ทำให้สมาธิมั่นคง แล้วก็เป็นฌานใช้งานไปในตัว ถึงเวลาจะทำอะไรก็สะดวก เท่ากับเราซ้อมสมาธิอยู่ทุกวัน

ถาม : ต้องกำหนดรูปพระไหมคะ ?
ตอบ : กำหนดนึกถึงรูปพระ แล้วก็กำหนดให้รัศมีของรูปพระให้แผ่ออกไป

ถาม : แล้วถ้ากำหนดรูปพระไว้ตรงศีรษะ ?
ตอบ : ได้..ไว้ตรงไหนก็ได้ อยู่ที่เราจะทำเอง

เถรี
28-06-2013, 19:54
ถาม : คนที่บ้านเป็นโรคไทรอยด์ครับ มียาสมุนไพรรักษาไหมครับ ?
ตอบ : พวกไทรอยด์ไม่ค่อยมั่นใจ เพราะไม่เคยไปศึกษาเกี่ยวกับทางด้านนี้เลย ลองไปสอบถามร้านเจ้ากรมเป๋อที่จักรวรรดิดูสิ ถามเขาว่ามีตำรายาที่รักษาเกี่ยวกับพวกนี้หรือเปล่า ที่นั่นจะเป็นต้นตำรับสมุนไพรเลย ร้านเจ้ากรมเป๋อยาจะแพงกว่าที่อื่นหน่อย แต่รับประกันทุกตัว ที่อื่นบางครั้งเอาอย่างอื่นมาปลอม อย่างเช่นเอารากสามสิบมาแทนหนอนตายอยาก เพราะหน้าตาคล้าย ๆ กัน

ถาม : ตอนนี้พ่อไม่สบายมากครับ นอนไม่ได้สติ ควรแนะนำเขาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้สตินี่แนะนำไม่ทันแล้ว ถ้ายังมีสติอยู่ อย่างน้อย ๆ เอาเสียงสวดหรือเสียงพระเทศน์ให้ท่านฟัง ลองดู..ถ้าได้สติขึ้นมาก็ทำอย่างนั้น จริง ๆ แล้วเรื่องของความเจ็บป่วย ต้องไปบนหลวงพ่อ ๔ - ๕ องค์ที่วัดท่าซุง เพราะท่านจะถนัดเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยโดยตรง ถ้ามีโอกาสลองไปบนดู นึกเสียว่าเราไปเที่ยวก็แล้วกัน แต่ตั้งใจไปบนให้พ่อด้วย ว่าขอให้ท่านได้สติขึ้นมา หรือหายเจ็บป่วยอะไรก็แล้วแต่เรา

เถรี
28-06-2013, 20:07
ถาม : ช่วงหลังนี้หนูฝันแล้วแม่นด้วยค่ะ ?
ตอบ : ตายแล้ว...ฝันแม่นด้วยหรือ ? เมื่อวานอาตมาเพิ่งฝันว่าเครื่องบินตก ไถลไปอยู่ตรงหน้าประตูปราสาทริมน้ำของใครก็ไม่รู้ ? ยังไม่ทันจะช่วยใครสักคน ดันสะดุ้งตื่นเสียก่อน เครื่องที่นั่งไปยุโรปลำนั้นแหละ แม่นจริง ๆ ด้วยนะ..!

ถาม : แต่ของหนูไม่ได้แม่นแบบตรง ๆ ค่ะ จะเป็นแบบตรงตีความ
ตอบ : เขาเรียกว่าเทพสังหรณ์ บอกตรงเกินไปก็ไม่ได้ กว่าจะเข้าใจ บางทีเรื่องก็ผ่านไปแล้ว

ถาม : อย่างนี้ความฝันก็เป็นภาษาสากลอย่างหนึ่งสิคะ แล้วคนแปลความฝันเขาแปลออกได้อย่างไร เก่งจัง
ตอบ : ต้องค่อนข้างเป็นคนฟุ้งซ่านและมีจินตนาการหน่อย ๆ ก็เขาสรุปไว้ว่าการฝันเป็นเพราะธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์

ธาตุวิปริต..กินแล้วท้องไส้ไม่ดี ฝันไปเรื่อยเปื่อย กรรมนิมิต..ทำดีทำชั่วอะไรมา ผลจะเกิดขึ้นก็แสดงให้รู้ จิตนิวรณ์..เก็บเอาความฟุ้งซ่านไปฝัน อย่างที่อาตมาฝันว่าเครื่องบินตก เทพสังหรณ์..เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ให้รู้ เขาแยกเป็นศาสตร์มาตั้งแต่โบราณแล้ว พวกพราหมณ์เขาขยันฟุ้งซ่านเรื่องแบบนี้ เก็บข้อมูลไปเรื่อย แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเป็นพวกกรรมนิมิต หรือเทพสังหรณ์ จัดเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน ถ้าไม่มีของเดิมอยู่ก็ไม่ทราบหรอก

เถรี
28-06-2013, 20:12
ถาม : หนูเป็นไมเกรนค่ะ ตอนที่ไปนั่งสมาธิในห้องพระ ปรากฏว่าหายปวด แต่พอเดินออกมาจะกลับห้องนอน ระหว่างเดินเหมือนจะกลับมาปวดใหม่ ตอนนอนหนูก็เลยภาวนาแน่นเลย กลัวจะปวดอีกค่ะ แล้วอาการปวดก็หายจริง ๆ แต่หนูตาค้างทั้งคืนเลยค่ะ ?
ตอบ : ธรรมดา..ถ้าสภาพจิตเลยปฐมฌานหยาบไป ก็จะสว่างโพลงอยู่อย่างนั้น เราก็ภาวนาไปเรื่อย ถือว่าตัวได้นอนแล้ว

ถาม : ที่เขานั่งแล้วหายคงไม่ใช่แบบนี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เขานั่งแล้วหายเพราะเขาหายเครียด อาการปวดก็หาย ไมเกรนเกิดจากความเครียด ต้องหยุดคิดให้เป็น ถ้าหยุดคิดไม่เป็น เราก็ได้แค่กดเอาไว้ชั่วคราว หรือไม่ก็หารากบวบ จะบวบเหลี่ยมก็ได้ บวบงูก็ได้ บวบขมก็ได้ ให้หารากบวบมา ล้างสะอาดตากแห้ง ชั่งน้ำหนักรวมกันให้ได้ ๑ ขีด ต้มกินแทนน้ำ แก้ไมเกรนสะเด็ดยาดเลย เพียงแต่ว่ารากบวบ ๑ ขีดนี่หายากหน่อย เพราะค่อนข้างมาก

ถาม : หาไม่ได้สิคะ ?
ตอบ : ทำไมจะหาไม่ได้ เขากินกันมาเสียเยอะแล้ว หรือไม่ก็ไปสั่งร้านขายยาให้เขาหาให้

ถาม : ตอนแรกหนูก็อยากหายค่ะ แต่ตอนหลังกลับคิดว่าเลี้ยงไว้ดูเล่นก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวจะสบายเกินไป
ตอบ : ใช่ ๆ ๆ เป็นให้หนัก ๆ เลย จะได้ดูให้ชัด ๆ ...(หัวเราะ)...

เถรี
30-06-2013, 21:38
ถาม : ถ้าเราเคยเอาเงินของสงฆ์มาให้คนอื่น คนที่รับเงินเป็นหนี้สงฆ์ด้วยหรือไม่ หรือเป็นเฉพาะเราคนเดียว ?
ตอบ : คนที่เอาไปให้เป็นคนติดหนี้สงฆ์ ส่วนคุณจะเอาไปให้ใครนั่นเป็นเรื่องของคุณ เพราะเขารับจากคุณไม่ได้เอาไปจากสงฆ์

ถาม : สมมติว่าเราเอาเงินของสงฆ์มา ๑๐๐ บาท เอาไปทำนั่นนี่จนได้กำไรมา เราต้องชำระหนี้สงฆ์เท่าไรถึงจะหมดครับ ผมเข้าใจว่าชำระตามราคาเท่าที่เอามา ?
ตอบ : อันนี้เข้าใจถูก แต่เขาชำระเท่าราคาปัจจุบัน อย่างเช่นในสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ราคา ๕ สตางค์ ถ้าคุณไปเอาเงินมา ๑๐๐ บาท ตอนนี้ก็อ่วมอรทัยเลย เพราะสมัยนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓๕ - ๔๐ บาท ชำระเป็นมูลค่าในปัจจุบัน ถ้าเทียบยาก ให้เทียบจากราคาทอง อย่างเช่น ราคาทองสมัยนั้นบาทละ ๔๐๐ บาท สมัยนี้บาทละ ๒๐,๐๐๐ บาท ก็ต้องใช้คืนในราคาบาทละ ๒๐,๐๐๐ บาทนะจ๊ะ

เถรี
30-06-2013, 21:40
ถาม : สมมติว่าก่อนรับยันต์เกราะเพชร เราเก็บสิ่งของของคนอื่นได้ เช่นโทรศัพท์มือถือ เอามาใช้เป็นของเราเอง รับยันต์เกราะเพชรแล้ว เรายังใช้ของของคนอื่นที่เก็บได้ ยันต์เกราะเพชรจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของยันต์เกราะเพชรต้องเจตนาขโมย เก็บของได้ ตั้งใจหาเจ้าของแล้วคืนเขา ถ้าหาเจ้าของคืนไม่ได้ เราใช้ไปก่อน ถ้าเจ้าของมาทวงคืน เราต้องคิดค่าเสื่อมสภาพให้เขาด้วย

อันนี้ไม่ถือว่าขโมย เพราะฉะนั้น..ยันต์ไม่เสื่อม

ถาม : ก่อนรับยันต์เกราะเพชรเราใช้โปรแกรมเถื่อนอยู่ หลังจากรับยันต์เกราะเพชรแล้ว เราก็ยังใช้โปรแกรมเถื่อนต่อไป ยันต์เกราะเพชรเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน..หลังจากรับมาแล้วค่อยขโมยถึงจะเสื่อม แต่คราวนี้อย่าตั้งใจเอาเสียเต็มที่แล้วค่อยไปรับยันต์นะ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเจตนาขโมย..เจ๊งเหมือนกัน..!

เถรี
30-06-2013, 21:42
ถาม : การไปวัดแล้วถ่ายรูปกิจกรรมต่าง ๆ ในวัด เอาไปโพสต์ในอินเตอร์เน็ต เป็นธรรมทานหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เป็น แต่ได้ในส่วนของปัตตานุโมทนามัย คือคนอื่นเขาพลอยยินดีในความดีที่เราทำด้วย ยกเว้นว่าคุณไปฟังธรรมมา แล้วเอาเนื้อหานั้นไปลงให้คนอื่นอ่าน ถึงจะเป็นธรรมทาน

ถาม : ใช้ของที่คนอื่นขโมยมา ศีลขาดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่รู้..ไม่เป็นไร ถ้ารู้แล้วก็รีบคืนเขาไป ก่อนที่จะติดคุกในข้อหาสมรู้ร่วมคิดด้วย..!

เถรี
30-06-2013, 21:44
ถาม : หนังมีลิขสิทธิ์มีคนมาขาย คนซื้อไม่ได้ขโมยตรง ๆ ผิดศีลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วของที่ขาย ถ้าเราซื้อนี่สิทธิเป็นของเรา แต่คราวนี้เราก็ต้องรู้ด้วยว่า คนที่เอามานั้นเอามาแบบไหน ถ้าเราไม่รู้ไม่ถือว่าผิด แต่ถ้าถึงเวลาเรารู้ขึ้นมา หรือว่าเจ้าของลิขสิทธิ์เขาทวงขึ้นมา จ่ายค่าลิขสิทธิ์เขาไปเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับขโมย ถ้าไม่รู้ก็ดูไปเรื่อย ๆ ก่อน

ถาม : หนังมีลิขสิทธิ์ มีคนปล่อยให้ดาวน์โหลดในเว็บ แล้วพอดาวน์โหลดมาดู ผิดศีลหรือไม่ ?
ตอบ : เรื่องของลิขสิทธิ์นี่ต้องคิดให้ดีนะ ถ้าเขาระบุไว้ชัดเลยว่าห้ามทำซ้ำ ถ้าอย่างนั้นเขาถือว่าผิด แต่ถ้าเขาแค่ขายลิขสิทธิ์เฉย ๆ คนแรกซื้อไปแล้ว แล้วก็เอามาปล่อยให้ดาวน์โหลดต่อ ก็ถือว่าคนแรกเขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ไปแล้ว..ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขามีบอกห้ามทำซ้ำไว้ชัดเจน อย่างนั้นผิดแน่นอน

ถาม : ถ้าหนังเรื่องนั้นมีลิขสิทธิ์แล้วคนก๊อปปี้มาขายตามท้องตลาด เช่น คลองถม ผิดศีลไหม ?
ตอบ : ตอบไปแล้ว

เถรี
30-06-2013, 21:45
ถาม : ในเว็บพลังจิต มีคนสอนบอกว่า พระนิพพานเป็นธรรมที่ไม่ได้เสวยอารมณ์ อยากทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ให้ไปพระนิพพานเสียเอง แล้วจะรู้

ถาม : เคยได้ยินว่าของสงฆ์ ตกที่ไหนก็เป็นของสงฆ์ จริงหรือไม่ครับ ? ถ้าเราได้บูชาสิ่งที่เป็นของสงฆ์มาเป็นของเรา โดยที่เราไม่รู้ เกิดตายไปจะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : ก็ตั้งใจชำระก่อนที่จะตายสิ

ถาม : การที่เราไปกวาดใบไม้ในวัด แล้วตักเศษหินเศษดินทิ้งถังขยะไปด้วย จะจงใจหรือไม่จงใจ เราจะเป็นหนี้สงฆ์หรือทำลายของสงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าฟุ้งซ่านมากก็เป็น ถ้าไม่ฟุ้งซ่านก็ไม่เป็น เราตั้งใจทำความสะอาดวัด ยกเว้นว่าคุณตั้งใจว่าวัดนี้ดีเกินไป เดี๋ยวเราจะทำลายเสียหน่อยหนึ่ง ตั้งใจกวาดให้เยอะเป็นพิเศษแล้วเอาไปทิ้ง ถ้าอย่างนั้นถือว่าทำลายของสงฆ์

เถรี
30-06-2013, 21:49
ถาม : การที่เราไปวัด เอาพัดลมและโทรศัพท์มือถือไปเสียบกับปลั๊กไฟวัด เป็นหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : เป็น...เมื่อครู่เขาชำระหนี้สงฆ์มาแล้ว ๒๐ บาท

ถาม : เราไปวัด ใช้ไฟในวัด เปิดไฟทิ้งไว้ เป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็น..สมัยอยู่วัดท่าซุงหลวงพ่อท่านปรับพระเลยนะ ถ้าใช้แล้ว ถึงเวลาเลิกใช้ไม่ปิดให้ดี สูญเสียราคาครบ ๑ บาท ท่านปรับอาบัติปาราชิกเลย..! เพราะฉะนั้น..อาตมาจะเบื่อมากเลย เวลาพวกเด็ก ๆ ไปอยู่ค่ายที่วัด จะต้องตามปิดไฟ ปิดพัดลม ปิดน้ำให้ตลอด จนเขาคิดว่าระบบของวัดท่าขนุนเป็นระบบอัตโนมัติ ทิ้งไว้ก็ปิดได้เอง เพราะความเคยชินที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอบรมเอาไว้ ท่านถึงกับปรับปาราชิกเลยนะ ท่านยอมลงทุนติดมิเตอร์เอาไว้ทุกกุฏิเลย ถ้าใช้เกินที่กำหนดเอาไว้ จ่ายมาเสียดี ๆ ถ้าไม่เกินกำหนดก็แล้วไป

ถาม : การโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเพื่อร่วมบุญ เช่น สร้างพระ หรือวิหารทานต่าง ๆ เจ้าของบัญชีไม่สามารถนำเงินไปทำบุญตามที่เจ้าของบัญชีประกาศไว้ตามจุดมุ่งหมายของคนโอนเงิน จะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สามารถทำได้ อันดับแรกเป็นหนี้สงฆ์ก่อน อันดับที่สอง ถ้าไม่สามารถทำได้อย่างที่ประกาศไว้ แล้วเอาไปทำอีกอย่างหนึ่ง อันนี้ปรับโทษย้ายเจดีย์ด้วย เพราะฉะนั้น..เรื่องอย่างนี้ ถ้าไม่มั่นใจในศักยภาพของตัวเอง อย่าพยายามไปแตะเป็นอันขาด ถ้ามั่นใจเมื่อไรแล้วค่อยทำ

เถรี
05-07-2013, 13:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "จริง ๆ แล้วความประพฤติของเด็กอยู่ที่การฝึกหัด การฝึกอบรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าพ่อแม่ไม่เข้มงวด เอาแต่ตามใจลูก ย่อมไม่มีทางฝึกลูกให้ดีได้ ตัวเราเองก็เหมือนกัน ถ้าเอาแต่ตามใจกิเลส โดยไม่คิดที่จะห้ามปราม ไม่คิดที่จะต่อต้าน ก็จะโดนกิเลสจูงไปเรื่อย ผลก็จะออกมาเหมือนกับเด็กที่ขาดการฝึกอบรมนั่นแหละ"

เถรี
05-07-2013, 13:36
ถาม : บ้านถูกงัดมีวิธีแก้ไหมครับ ?
ตอบ : มีคนอยู่ประจำหรือเปล่า ?

ถาม : ไม่มีครับ
ตอบ : จริง ๆ แล้วเขามีวิธีฝากบ้านไว้กับเทวดา หรือไม่ก็ตอกไม้กันขโมย

ถาม : ต้องทำเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ทำก็เหมือนเดิม

ถาม : ยาวประมาณกี่ศอกครับ ?
ตอบ : ไม้กันขโมยเขาเอา ๑ ศอกของเจ้าของบ้าน จากปลายนิ้วกลางถึงข้อศอก ๔ อัน ต้องไปตอกเอง

เถรี
05-07-2013, 13:39
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กน้อยลูกโยมคนหนึ่งที่กำลังจะกลับไปยุโรปว่า "กลับไปแล้ว อย่าทิ้งสมาธินะจ๊ะ มีเวลาให้ทำไว้ วันละ ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้ ฝรั่งอาจจะเจริญกว่าเราทุกอย่าง แต่เรื่องของสมาธิเขาไม่มี ฉะนั้น..เราเองจะทำอะไรได้ดี สมาธิต้องทรงตัว ถ้ากำลังใจมั่นคงจะไม่ตกใจอะไรง่าย ๆ มีสติอยู่ตลอด เกิดอะไรขึ้นก็แก้ปัญหาได้ ฉะนั้น..อย่าทิ้งสมาธิ

ตอนนี้ทางตะวันตกของฝรั่ง พวกยุโรป อเมริกา หันมาเรียนสมาธิกันเยอะ เพราะเห็นประโยชน์ เราอยู่กับธรรมะอยู่แล้วต้องทำให้ได้ เผื่อไปสอนเขาด้วย"

เถรี
05-07-2013, 13:44
ถาม : ถ้าปฏิบัติแล้วจะละกิเลสภายในใจจะทำอย่างไร ?
ตอบ : รับรู้และเห็นโทษให้ได้ ถ้ารับรู้และเห็นโทษ ใจก็จะหาทางหลีกหนีจากกิเลส ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคืออยู่กับลมหายใจเข้าออก จะได้มีกำลัง มีสติที่จะระงับยับยั้ง หลังจากนั้นก็พิจารณาเห็นโทษ แล้วถอนใจออกมา แต่ว่าอย่างหลังจะลำบากนิดหนึ่ง ถ้ากำลังของสมาธิพอก็ตัดได้ ถ้ากำลังของสมาธิไม่พอก็ตัดไม่ขาดสักที

เถรี
05-07-2013, 13:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เป็นห่วงสมเด็จพระสังฆราช เพราะว่าปีนี้ทรงเจริญพระชนมายุ ๑๐๐ พรรษาแล้ว ที่สำคัญก็คือสถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยดีเลย มีแต่คนจะพยายามปั่นให้ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ พระระดับสมเด็จพระสังฆราช ถ้าจำเป็นก็อาจจะทิ้งขันธ์เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศชาติให้ดีขึ้น

ตามเกณฑ์จะต้องเป็นช่วงปลายปี กลัวแต่ว่าถ้าเรื่องแรงขึ้นก็ไปเร็ว บางเรื่องที่ฟุ้งซ่านไปล่วงหน้า ถ้าทำใจไม่ได้ก็เครียด..!

อีกองค์หนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือหลวงพ่อคูณ ถ้าเรื่องหนักกลัวจะไปแบบผูกแพ ผูกแพนี่ไปกันเป็นชุดเลย ไม้ไผ่ลำเดียวเป็นแพไม่ได้ จะผูกแพต้องใช้ไม้ไผ่หลายลำ"

เถรี
05-07-2013, 14:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเลี้ยงลูก ถ้าเรารักลูกต้องปล่อยให้เขาทำอะไรด้วยตัวเองให้ไว ๆ ถ้ามัวแต่ไปช่วยไปโอ๋อยู่ ถ้าขาดเราเขาจะทำอะไรไม่เป็นก็เป็นที่น่าสงสารมาก เขาจะไปไหนปล่อยให้ไปเองเลย จะได้เก่งไว ๆ"

เถรี
05-07-2013, 14:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใจร้อนหรือใจเย็นอยู่ที่ตัวเราคิด ถ้าเราไม่คิด ก็จะไม่ใจร้อน เวลาก็จะผ่านไปเร็ว แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่าน ใจร้อน เวลาจะเหมือนผ่านไปช้า ยิ่งถ้าคนเราเครียด คิดถึงแต่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ วันหนึ่งก็เหมือนกับปี สมัยที่อาตมาบวชใหม่ ๆ กว่าจะผ่านไปวันหนึ่งเหมือนเป็นเดือนเป็นปี แต่พอเลิกเครียด เวลาผ่านไปเดี๋ยวก็พรรษา เดี๋ยวก็พรรษา"

ถาม : คนในปัจจุบันรู้สึกเวลาผ่านไปไม่เร็วมาก ไม่เหมือนกับคนสมัยก่อน
ตอบ : จริง ๆ แล้วเวลาก็เป็นไปตามปกติ แต่เขาไม่ต้องห่วงเรื่องการทำมาหากิน ไม่มีการแก่งแย่งกันอะไรกัน ทำให้เหมือนมีความสุขไปวัน ๆ ไม่รู้ทันตัวเวลาก็ผ่านไปแล้ว

ถาม : ทำงานเจ็ดวันทรมานค่ะ
ตอบ : ลองว่าเกิดมาแล้วก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ ๓ วัน ๗ วันของเขาก็เหมือนของเราประเภท ๓๐ ปี ๗๐ ปี..!

เถรี
05-07-2013, 19:55
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนที่งานจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์พื้นบ้านของทองผาภูมิ ร้านที่อาตมาตั้งใจตรงเข้าไปเลยคือร้านขายแมลงทอด มีทั้งตั๊กแตน จิ้งโกร่ง จิ้งหรีด แมงสะดิ้ง แมงเหนี่ยง หนอนไหม รถด่วน

รถด่วนเวลาทอดแล้วแทบจะไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่เปลือกเปล่า ๆ ตอนแรกเขาไม่คิดจะซื้อของกัน เด็ก ๆ มีเงินติดตัว ๑๐ บาท ๒๐ บาท ท้ายสุดต้องกู้หลวงพ่อทั้งนั้น

ทำให้เห็นอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่าสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง คือ มีทรัพย์ จ่ายทรัพย์ ไม่เป็นหนี้ ทำงานไม่มีโทษ มีเงินมีทองมีสมบัติก็ปลื้มใจหาได้เยอะ ถึงเวลาได้ใช้จ่ายซื้อของที่ชอบใจก็มีความสุข ไม่มีหนี้ไม่มีสินก็ไม่ต้องกลุ้ม ไม่ต้องเครียด ท้ายสุดทำงานที่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดศีลธรรม ท่านบอกรายละเอียดเอาไว้หมด"

เถรี
06-07-2013, 10:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเขาหิ้วน้ำมาแล้วนึกถึงอนาคต หลาย ๆ ประเทศอาจจะมีคนอดน้ำตายเป็นจำนวนมาก อย่างประเทศจีนมองการณ์ไกลมากเลย ที่สร้างเขื่อนสามผากั้นแยงซีเกียง สร้างเสร็จกักน้ำจืดไว้ได้ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ของโลก

อย่างบ้านเราไม่ค่อยรู้คุณค่าของน้ำจืด สมัยเด็ก ๆ ถ้าบอกว่าต้องซื้อน้ำเขากิน คงหัวเราะกันตายเลย มีแต่คนเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ ถึงเวลาก็ตั้งร้านน้ำไว้หน้าบ้าน ไปไหนก็ขอน้ำกินหน่อย น้ำบ่อเขาไม่ใช้หรอก..ไม่แล ใช้แต่น้ำฝน ลองมาดูตอนนี้ บรรพบุรุษของเราถ้าฟื้นขึ้นมา พอรู้ว่าต้องซื้อน้ำขวดละ ๑๐ บาท คงเป็นลมตายไปใหม่..!

เรื่องพวกนี้อาตมาก็ฟุ้งซ่านล่วงหน้าไปเรื่อย พอถึงเวลาเกิดขึ้นจริง ๆ โยมก็คงระลึกได้ว่าอาตมาเคยพูดไว้แล้ว

ไปดูสารคดีที่ทางแอฟริกาเขาหาน้ำกัน บ่อเขาลึกเป็นร้อย ๆ เมตร คนต้องเอาวัวมาลาก ลักษณะเป็นคานดึงขึ้นมาเป็นร้อย ๆ เมตรกว่าน้ำจะโผล่ขึ้นมาได้ ดึงมาครั้งหนึ่งก็ได้น้ำแค่ครึ่งถังเล็ก ๆ วัวก็วิ่งมาหวังจะได้กิน เปล่าหรอก..คนผลักวัวออก ตัวเองกรอกใส่หม้อก่อน เห็นแล้วก็น่าสงสาร วัวออกแรงแทบตายไม่ได้กิน

เผ่าที่เก่งที่สุดเป็นพวกบุชแมน (มนุษย์พุ่มไม้) หาน้ำจากธรรมชาติ เดินหาเห็นก้านไม้เล็ก ๆ โผล่ออกมาจากทรายนิดเดียว ค่อยคุ้ย ๆ ขึ้นมา เป็นพืชลักษณะคล้ายหัวมันแกว หัวเบ้อเริ่มเลย เขาจะขูดเป็นฝอย ๆ แล้วบีบเป็นน้ำใส่ปาก แค่นั้นก็รอดตายวันหนึ่ง"

เถรี
06-07-2013, 10:23
"หลายคนที่มีฐานะดี ๆ อย่างบิลเกตต์ , วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาจัดตั้งมูลนิธิเพื่อจะช่วยให้คนอยู่ดีกินดีเสมอกัน ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ดี น่าสนับสนุนมาก แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะคนเราทำบุญมาไม่เท่ากัน ถ้าขาดทานบารมีก็จะไปเกิดในที่ลำบากยากแค้นอย่างนั้น ประเภทที่ไม่รู้ว่ามื้อนี้มีกิน แล้วอีกกี่มื้อกว่าจะได้กิน เด็กเกิดมามีแต่หัวโต ๆ แขนขาลีบเล็กนิดเดียว เขาถ่ายรูปมาที่พวกกาชาดสากลเข้าไปช่วย ฝรั่งก็มือใหญ่อยู่นะ มีมือเด็กประมาณ ๒ นิ้วแปะอยู่บนมือฝรั่ง

เคยมีคนให้คำจำกัดความว่า "เปรตเดินดิน" แต่นี่เขาไม่ได้ลำบากขนาดเปรตหรอก เปรตอดอยากกันเป็นกัป ไม่มีอะไรจะกิน แล้วก็ไม่ตายเพราะแรงกรรมค้ำเอาไว้ ทุกข์ทรมานไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงคนเรียกกินข้าวกินน้ำ ก็โซซัดโซเซเดินหาไปเรื่อย เดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที ท้อใจก็ลงนอนกลิ้งเกลือกไปมา คร่ำครวญว่าตนเองสร้างเวรสร้างกรรมอะไรขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีกิน ต้องมาอดอยากหิวโหยแทบล้มประดาตาย ท้ายสุดพอได้ยินเสียงเขาเรียกอีกก็เกิดความหวัง เดินต่อไปอีก กัปแล้วกัปเล่าก็เดินหาของกินอยู่อย่างนั้น

ดังนั้น..พวกเราที่เกิดมาอยู่ในเขตศาสนาพุทธ รู้จักว่าทาน ศีล ภาวนาเป็นอย่างไร นับว่าโชคดีสุด ๆ แล้ว ต่อให้ลำบากอย่างไรก็ลำบากชาตินี้เท่านั้น ถ้ามีโอกาสสร้างบุญในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนาไว้ อย่างไรแล้วชาติหน้าเกิดใหม่สบายแน่ แล้วดูพวกนั้นสิ เขาต้องลำบากอีกตั้งเท่าไรกว่าจะพ้นจากเขตนั้นขึ้นมา บางทีเราตาย ๆ เกิด ๆ ไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ อย่างเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสารรอตั้ง ๙๑ กัป นั่นประเภทที่กรรมเหลือน้อยแล้ว ถ้ากรรมหนัก ๆ จะต้องทนทุกข์นานขนาดไหน..!"

เถรี
08-07-2013, 14:03
ถาม : หลับแบบรู้ตัวเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตัวหลับ แต่สภาพจิตตื่นอยู่

ถาม : อยู่ในฌานระดับไหน ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นระดับปฐมฌานละเอียด เท่ากับหลับนั่นแหละ..เพียงแต่สภาพจิตไม่ได้หลับด้วย

ถาม : ฌานลึกกว่านี้ไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ลึกกว่านี้ไม่ได้ ได้..แต่ต่ำสุดต้องเป็นปฐมฌานละเอียด ตอนเราหลับมักจะเผลอสติ กิเลสจะกินเราตอนหลับได้ ดังนั้น...ควรพยายามประคองสติซักซ้อมให้มีความคล่องตัวในฌานไว้ พอซ้อมทำไปจนคล่องตัวมาก ๆ คราวนี้ไม่ต้องเสียเวลาประคอง จะกำหนดให้อยู่ระดับนั้นได้เลย

การฝึกเพื่อให้สภาพจิตอยู่ในสภาพของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะลำบากที่สุดในช่วงแรกที่ต้องการจะให้ตื่นกับหลับแล้วมีสติรู้เท่ากัน เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไรจะตัดหลับเลย อาตมาเคยตามดูจิตตัวเอง เหมือนกับเปลวเทียนที่ค่อย ๆ หรี่ลง ๆ ๆ แล้วท้ายสุดจะเหลืออยู่นิดเดียว ถ้าเราสามารถหยุดไว้ตรงนั้นได้ ก็จะตื่นอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่ถ้าหยุดไว้ไม่ได้ เผลอนิดเดียวก็จะตัดหลับไปเลย

ตอนช่วงที่ฝึกอยู่ ซักซ้อมอยู่เป็นปี ๆ กว่าจะรักษาเอาไว้ได้ บางคนตอนกลางวันประคับประคองรักษาศีล กาย วาจา ใจดีมาก พอเผลอหลับตอนกลางคืน บางทีดิ้นไปทั้งศาลาเลย กิเลสไปตีตอนหลับ

สภาพจิตอยู่กับรัก โลภ โกรธ หลงนั่นแหละ แต่สติไม่รับรู้ ก็เลยปล่อยให้ปรุงฟุ้งซ่านตามสบาย อย่างที่ปริศนาธรรมบอกว่า "กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว" ประเภทลุกไหม้เป็นราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็แปลว่ากิเลสกินใจเราทั้งหลับทั้งตื่น ถ้าสภาพจิตหลับกับตื่นรู้เท่ากัน เราก็ระวังกิเลสไม่ให้กินใจเราได้

เถรี
08-07-2013, 14:04
เรื่องของกิเลสเขาเก่งมาก เขากินเราได้ทุกเวลาที่เผลอ บางคนตอนกลางวันมดสักตัวก็ยังไม่กล้าเหยียบ แต่พอกลางคืนฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพ บางคนประเภทเจ้าของไม่ได้ให้ แตะของเขายังไม่กล้าแตะ แต่กลางคืนฝันว่ายกเค้าคนอื่นไป ๓ - ๔ บ้าน บางทีกลางวันแม้แต่ผู้หญิงยังไม่กล้ามอง แต่กลางคืนไล่ปล้ำผู้หญิงไปแล้ว..!

ฉะนั้น..เรื่องของกิเลสมีสารพัดวิธีที่ทำให้จิตใจเราตกต่ำ เราจะได้หนีไม่รอด มีวิธีเดียวคือหลับกับตื่นสติต้องเท่ากันตลอด ถึงจะพอตีคืนมาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นต่อให้กลางวันเราระวังดีขนาดไหนก็ตาม กลางคืนก็จะขาดทุนเสมอ

ถาม : .....ภาวนาต่อหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าสติหลับกับตื่นรู้เท่ากัน จะภาวนาเองอัตโนมัติ

ถาม : ถ้าจังหวะนั้นเราหยุดไม่อยู่ ?
ตอบ : ถ้าทำไปถึงระดับนั้นแล้ว จิตจะดำเนินไปเองอัตโนมัติ เหมือนกับเราแค่เอาสติประคองไว้เฉย ๆ เขาจะภาวนาของเขาเอง ถ้าอยากพิจารณาเขาพิจารณาของเขาเอง เรามีหน้าที่ตามรู้อย่างเดียวเลย

เถรี
08-07-2013, 14:08
ถาม : แยกไม่ออกระหว่างศักดิ์ศรีกับสักกายทิฐิ ขอท่านช่วยอธิบายด้วยค่ะ
ตอบ : ตัวเดียวกันเลย บุคคลที่สักกายทิฐิน้อยจะไม่ค่อยคำนึงถึงศักดิ์ศรีตัวเอง อย่างเช่น พระราชาที่ลดพระองค์ลงไปไหว้ขอทานเพื่อขอเรียนวิชาตามที่พระธรรมบทว่า แต่ถ้าเรายังมีศักดิ์ศรีขึ้นหน้าอยู่ "มึงไม่รู้เสียแล้วว่ากูเป็นใคร" นั่นสักกายทิฐิเต็ม ๆ เป็นตัวเดียวกันจ้ะ

ขอให้รู้ว่าถ้าศักดิ์ศรียังขึ้นหน้าอยู่ แสดงว่าเรายังแบกอยู่ ถ้าศักดิ์ศรีลดน้อยลงไปได้เรื่อย ๆ สภาพจิตจะดีขึ้น จากนั้นจะอยู่ในสภาวะแค่ว่า ถ้ารู้ว่าสิ่งนี้ทำแล้วอาจจะกระทบต่อสถานภาพในส่วนรวม เราก็จะเลี่ยงเสีย อันนี้ไม่ได้ถือศักดิ์ศรีที่เป็นมานะหรือเป็นสักกายทิฐิ แต่ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่เขา ว่าเราจะไม่ทำให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ใคร

อย่างสมมุติว่า ถ้าพระไปประจบคฤหัสถ์ อาจจะไปทำลายตระกูลพระพุทธเจ้า คนเขาจะคิดว่า "เออ..พระทุกรูปก็เป็นอย่างนี้เอง" ถ้าเขาตีราคาอย่างนั้น เดี๋ยวศาสนาจะอยู่ไม่ได้ ก็ต้องยั้งตัวไว้ระดับหนึ่ง อันนี้ไม่ใช่ศักดิ์ศรี แต่เป็นภาระหน้าที่ซึ่งเราต้องดูแลในภาพรวม ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะรักษาพระศาสนาเอาไว้ได้ แต่ถ้ายึดศักดิ์ศรี ไม่รู้เสียแล้วว่าอาตมาเป็นเจ้าคุณ...นั่นก็ไปเลย

ต้องดูพระอนุรุทธ ในมหาปุริสสวิตกของพระอนุรุทธมีอยู่ข้อหนึ่งว่า ขอผู้อื่นจงอย่ารู้ว่าเราเป็นใครเลย นั่นแหละ..ไม่มีมานะเลย แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าสอนพระโมคคัลลานะว่า จงอย่าชูงวงเข้าไปในสกุล ก็คืออย่าแบกศักดิ์ศรีเข้าไปในสกุล อย่าแบกฐานะเข้าไปในสกุล ทำตัวเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ส่วนพระอนุรุทธก็คือว่า ถ้าไปไหนถ้าใครไม่รู้จักว่าตัวเองเป็นใคร...ก็สบาย กลืนไปกับเขาได้เลย ไม่ต้องแบกอะไรไป พอเขารู้ขึ้นมาก็ต้องมาบริการพิเศษ นั่นคือท่านรู้ตัว แต่ถ้าไม่รู้ตัวก็ "ทำไมวะ..อาจารย์เล็กมาแล้วยังไม่มีใครมาทำอะไรให้เลย ?" แบบนั้นก็เจ๊งแล้ว

เถรี
08-07-2013, 14:13
ถาม : อย่างฆราวาส บางคนนินทาเราอยู่ แล้วเราโกรธ ถ้าเราคิดอย่างนั้น แสดงว่าเรามีมานะ ?
ตอบ : มี..ถ้าไม่มีตัวกูของกู จะไม่รับแรงกระทบ ลองนึกว่าเขาขว้างก้อนหินใส่อากาศ หินจะกระทบอะไรไหม ? แต่ถ้ามีกำแพงขวางอยู่ก็จะกระทบ ถ้าตัวกูของกูไม่มีก็คือกำแพงไม่มี ก็จะเลยผ่านไปเฉย ๆ ไม่กระทบอะไร

แต่กำลังในระยะแรก ๆ ของเรา เหมือนลักษณะคนใส่เกราะหรือตั้งกำแพง กระทบแล้วก็ให้กองอยู่ตรงนั้น กระทบแล้วอย่าให้ถูกเราที่อยู่ในกำแพง ถ้ากระทบแล้วถูกเราในกำแพง เดี๋ยวก็โดดออกไปฟัดกับเขาข้างนอก ฉะนั้น...สติ สมาธิ ปัญญาในตอนแรกก็คือหยุดเอาไว้ก่อน ให้มีกำแพงก่อน จะเป็นสักกายทิฐิหรืออะไรก็ช่างเถอะ รักษาใจของเราให้ผ่องใสไว้ก่อน ถ้ามีสติก็รู้อยู่

เขาขว้างมาติดกำแพง "มันด่ากู.." ไอ้กูอยู่ตรงไหนหว่า ? อ๋อ...เขาด่าแค่เปลือก เขาไม่เห็นเราข้างในหรอก ในเมื่อด่าเปลือกไม่เห็นเรา ก็ให้ติดอยู่ที่เปลือก กระทบปังแล้วก็หล่นอยู่ตรงนั้น แบบเดียวกับที่ตลกเขาเล่นกัน "มึงด่าใครวะ ?" "ก็ด่ามึงนั่นแหละ" "เออ..ด่ามึงไม่เป็นไร อย่าด่ากูก็แล้วกัน" ลักษณะนั้นเลย แรก ๆ ก็วางให้ได้แค่นั้นก่อน..ไม่ต้องมากหรอก หลังจากนั้นถ้าสามารถทำใจให้เหมือนคนไม่มีกำแพง ขว้างมาเท่าไรก็เลยไปเฉย ๆ

ตอนอาตมาฝึกใหม่ ๆ อาตมาก็ขำ เขาด่าไอ้เหี้ย..! "เออ..เก่งแฮะ เขารู้ว่าอดีตเราเคยเป็นเหี้ยมาตั้งเยอะ" ไอ้ชาติหมา..! "เออ... กูก็เคยเป็นหมา..เป็นเยอะด้วย ไอ้นี่เก่งจริง ๆ" แล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว เขาแทบคลั่ง เพราะยิ่งด่าอาตมาก็ยิ่งหัวเราะ

ถาม : เขาด่าว่าไอ้หมาหรือคะ ?
ตอบ : เขาด่าไม่ดี แต่สำหรับอาตมาเขาด่าดีเกิน ดูยันไปอดีต "ไอ้ชาติหมา.." แสดงว่าเขาเก่งมาก

เถรี
08-07-2013, 14:22
ถาม : เวลาที่เราเข้าฌานแล้วเราอธิษฐานให้เกิดผล ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาอธิษฐาน แค่นึกก็เป็นแล้ว จะเอาระดับไหนก็เข้าระดับนั้นเลย

ถาม : แล้วที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าต้องเข้าสมาธิถึงระดับหนึ่ง ?
ตอบ : ที่หลวงพ่อท่านสอนเรา ท่านบอกให้เข้าฌานสลับไปสลับมาให้คล่อง นั่นแหละ..ตรงนี้เลย ถ้าคล่องตัวจริง ๆ เราต้องการระดับไหน แค่นึกจะเป็นเลย เขาเรียก สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าถึงสมาธิแต่ละระดับ

ชำนาญในการเข้า เรียกว่า สมาปัชชนวสี ชำนาญในการออก เรียกว่า วุฏฐานวสี คราวนี้ทุกคำลงด้วย "นะ" หมดเลย คนก็เลยดันไปเรียกว่า "นวสี" ความจริงไม่ใช่ นวสีวถิกาหรือป่าช้า ๙ อย่าง หรือซากศพ ๙ ประเภท

อธิษฐาน ต่อด้วย วสี , สมาปัชชน ต่อด้วย วสี , วุฏฐาน ต่อด้วย วสี คราวนี้คนเขาไปอ่านติดกันเป็น "นวสี" ความจริงไม่ใช่ ที่ถูกมาจาก วสีภาพ , วสีภาวะ ความชำนาญในการเข้าถึงหรือออกจากตรงนั้น

ถาม : ถ้าเลยอุปจารฌานคือได้เห็นภาพ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้าเลยอุปจารสมาธิแล้วจะไม่เห็น จนกว่าจะไปฌาน ๔ คล่องตัวถึงจะเห็นใหม่ เหมือนห้อง ๒ ห้อง อยู่ชั้นบนกับชั้นล่าง ลักษณะการตกแต่งเหมือนกันหมดทุกอย่าง อุปจารสมาธิคือห้องชั้นล่าง ฌาน ๔ คล่องตัวคือห้องชั้นบน ถ้าเราอยู่ห้องชั้นล่างเราจะเห็น แต่ถ้าเราเดินอยู่ระหว่างขั้นบันได เราจะไม่เห็นอะไร จนกว่าเราขึ้นไปอยู่ห้องชั้นบนแล้ว

เถรี
08-07-2013, 15:55
ถาม : เวลาสวดมนต์ คำว่า คต กับ คตา ความหมายอย่างเดียวกันไหมคะ ?
ตอบ : คต แปลว่า ที่ไป , คตา ไปหลายคน อยู่ระหว่างเอกพจน์กับพหูพจน์

ถาม : บางทีสระอะเป็นสระอา ?
ตอบ : บางครั้งอยู่ที่เพศ ส่งเสียงอะเป็นเพศชาย ส่งเสียงอาเป็นผู้หญิง อย่างผู้ชายใช้ วันทันโตหัง ผู้หญิงใช้ วันทันตีหัง ระบุเพศด้วย ภาษาบาลีถึงบอกว่า ลิงคัตเถ ปฐมา อย่างแรกต้องให้รู้ก่อนว่าเพศอะไร หลังจากนั้นทุกคำถึงจะวิเคราะห์ได้

ถาม : บางทีก็งงค่ะ ?
ตอบ :ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ตั้งใจสวดบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลย จะผิดถูกอย่างไร ให้ใจมุ่งตรงก็แล้วกัน

เถรี
08-07-2013, 16:03
ถาม : รูปพระในหนังสือสวดมนต์วัดท่าขนุนสวยค่ะ
ตอบ : จริง ๆ เป็นเจตนาเลยนะ รูปพระไม่ใช่ไว้มีแค่คั่นหน้าบอกว่า ถึงเวลาทำวัตรวันใหม่ แต่ตั้งใจให้ดูเป็นอนุสติ ถ้ารูปพระออกมาสวยที่สุด ทำให้กำลังใจของเราเกาะง่าย นั่นตั้งใจให้ดูเลย

เถรี
08-07-2013, 16:26
ถาม : การเห็นในอุปจาระกับการเข้าฌานที่หนึ่งแล้วถอยมาที่อุปจาระ การเห็นจะต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ฌานที่สูงกว่าแล้วถอยลงมา จะเห็นชัดกว่าและมั่นคงกว่า มั่นคงกว่านี่อยู่ในลักษณะที่สภาพจิตเราสะอาดขึ้น ความแจ่มใสของภาพมีมากขึ้น สมาธิทรงตัวมากขึ้น คราวนี้การที่เราได้ฌานที่สูงกว่าแล้วถอยออกมา ถ้าคนที่มีความคล่องตัวจริง ๆ แม้ว่าจะอยู่ในอุปจารสมาธิ ความนิ่งของใจจะเท่ากับปฐมฌานที่ตัวเองเคยได้ ที่เขาเรียกว่าฌานใช้งานคือตรงนี้

อย่างเช่น ฌานที่ ๒ ใช้งาน ฌาน ๓ ใช้งาน ฌานที่ ๔ ใช้งาน เหมือนกัน ก็คือกำลังใจคลายออกมา แต่ความนิ่งของใจเท่ากับระดับฌานนั้น ๆ ก็เลยทำให้เกิดความมั่นคงมาก สมัยก่อนจึงต้องพยายามซักซ้อมฌานใช้งานเป็นพิเศษ เพราะสามารถทรงอยู่ได้เป็นวัน ๆ จะทำอะไรก็ทำไป แต่ความนิ่งของใจเท่ากับตอนเข้าฌานนั้นเลย

ถาม : บางทีเราทำงานอยู่ จะเห็นภาพที่...?
ตอบ : ทำงานต้องใช้สมาธิ ไม่อย่างนั้นงานจะผิดพลาด ถ้าสมาธิลงตัวพอดีก็เห็นภาพเอง แล้วพยายามอย่าสับสน ถ้าสับสนจะเหมือนอาตมา เห็น "ท่านเซอร์" เดินมา ต้องมองก่อนว่าคนหรือผี ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกลายเป็นนั่งคุยอยู่คนเดียว คนอื่นเขาจะแตกฮือไปหมด ฉะนั้น..ดูให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะนั่งพึมพำอยู่คนเดียว จนเพื่อน ๆ สงสัยว่าเครียดขนาดนี้เลยหรือ ?

ถาม : ถ้าเป็นฌานอากาสานัญจายตนะ จะเห็นชัดไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของอรูป เขาทิ้งรูปไปแล้วเลยไม่เห็นอะไร จริง ๆ แล้วถ้าเป็นอากาสานัญจายตนะ นับเป็นฌาน ๕ แต่กำลังเท่าฌาน ๔ เพียงแต่เขากำหนดกำลังใจทิ้งรูป ไปจับความว่างของอากาศแทน ในเมื่อทิ้งรูปก็เลยไม่มีรูปให้เห็น

เถรี
08-07-2013, 16:38
ถาม : ที่พระนิพพานมีไหมคะ ที่พระพุทธเจ้าใส่ฉลองพระองค์เป็นแขนยาว ?
ตอบ : ท่านใส่เป็นปกติ ขอยืนยันว่าปกติท่านใส่แขนยาว ถ้าวันไหนเห็นห่มจีวรมาแสดงว่าอั้นไว้เต็มที่เลย

ถาม : สงสัยมานานว่าทำไมถึงเห็นอย่างนี้ แล้วถ้าเราเห็นเทวดาเหมือนที่พระนิพพาน ?
ตอบ : บางทีเราชอบอะไรสิ่งนั้นจะปรากฏ พระนิพพานมีสภาพความสมบูรณ์พร้อม จิตใจเราเคยชอบใจอะไร ถึงแม้กิเลสเหล่านี้จะบางมาก เพราะเราเข้าไปอยู่อายตนะนิพพานแล้วก็จริง แต่ความรักชอบเดิม ๆ ยังเป็นอยู่ พอถึงเวลาเรารักชอบแบบนี้ก็มีให้ ถ้าเราไม่ต้องการก็หมดไป ความสมบูรณ์พร้อมของพระนิพพานคือต้องการอะไรมีอย่างนั้น ถ้าไม่ต้องการก็หายไปเอง

เทวดาถ้ามีผู้เชิญก็ไปพระนิพพานได้ ถ้าไม่มีผู้เชิญ บุคคลที่อยู่ชั้นต่ำกว่า จะไปยังที่สูงกว่าไม่ได้

ปกติแล้วข้างบนวิมานจะเป็นแก้ว ๗ ประการ แก้ว ๙ ประการ วิมานของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นแก้วแกมทอง ท่านชอบของท่านอย่างนั้น เวลาขึ้นไปวิมานของท่านก็เป็นอย่างนั้น ต้องการอย่างไรก็เอาไปเถอะ เพราะเต็มที่แล้ว ในเมื่อเต็มที่แล้วอยากได้อะไรก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งว่า อายตนะนิพพาน ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตนเองก็จะขาดความเข้าใจ ถึงสัมผัสด้วยตนเอง มีความเข้าใจ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าสภาพแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะว่าการที่บริสุทธิ์จนถึงที่สุด ไม่ยึดไม่เกาะอะไรเลย ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไปคือต้องไม่มีอะไร แต่ความจริงสิ่งที่ไม่มีคือกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง

พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ภิกษุทั้งหลาย..อายตนะนั้นมีอยู่ ในเมื่ออายตนะนั้นมีอยู่ ถึงได้บอกว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง" นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีอะไรเลยจะรับรู้ความสุขไม่ได้ ฉะนั้น..อธิบายยาก

ถามว่าเป็นอัตตาใช่ไหม ? ไม่ใช่ เป็นอนัตตาใช่ไหม ? ไม่ใช่ แล้วเป็นอย่างไร ? บอกไม่ถูก ไปดูเอาก็แล้วกัน

เถรี
10-07-2013, 17:24
ถาม : อรูปฌานมีกำลังของฌานสี่ แต่ทำไมถึงไม่เห็นภาพ ?
ตอบ : ตอนช่วงนั้นเขาไม่เอาอะไรนอกจากอารมณ์ที่ตนเองจับอยู่ อย่างเช่น จับความว่างของอากาศ จับความไม่มีขอบเขตของวิญญาณ จับความไม่มีอะไรเลย หรือไม่เอาความรู้สึกอื่น ๆ เลย ฉะนั้น..เรื่องของรูปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง รูปไปพูดกับอรูปฌานไม่ได้ ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็เหลือแต่นาม ไม่เหลือรูปแล้ว

ถาม : เหลือแต่นามหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ รูปยังเหลืออยู่เป็นปกติ แต่จิตไม่เอารูปแล้ว

ถาม : แล้วการรับรู้ละครับ ?
ตอบ : การรับรู้ภายนอกไม่มี เพราะถึงเวลานั้นแล้วอายตนะรับสัมผัสไม่มี ถ้าตายแล้วไปติดอยู่ที่อรูปพรหม จนกว่าจะพ้นเขตนั้นไป ก็ต่อเมื่อได้รับอายตนะหยาบคืนมาใหม่ จึงเกิดการรับรู้ขึ้นมาใหม่

ถาม : เรียกว่าไม่มีอายตนะหรือครับ ?
ตอบ : อายตนะที่หยาบไม่มี เพราะเหลือแต่จิตอย่างเดียว

เถรี
10-07-2013, 17:34
ถาม : ตอนที่เข้าถึงมรรคเบื้องแรก กับการที่ได้ฌานสี่แล้วน้อมใจเข้าอาสวักขยญาณ เป็นคนละแบบกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คนละแบบกัน คนที่เข้าถึงมรรคเบื้องต้นนั้น ความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างสุดจิตสุดใจจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จะไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ลักษณะนั้นเขาเองใคร่ครวญเรื่องศีลนิดเดียวเท่านั้น สภาพจิตยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่มีถอยหลังอยู่แล้ว แค่ชำระศีลของตนเองให้บริสุทธิ์เพื่อให้เข้าถึงผล

ส่วนบุคคลที่ปฏิบัติเพื่ออาสวักขยญาณ เป็นสภาพจิตเพื่อดำเนินไปเพื่อตัดกิเลสในแต่ละลำดับขั้น ก็แปลว่ากำลังทำอยู่ แต่ทำแล้วจะได้ระดับไหน จะเป็นโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล แล้วแต่สติ สมาธิและปัญญาในช่วงนั้น

ถาม : ผมเข้าใจว่าอาสวักขยญาณเป็นอภิญญา ?
ตอบ : ยิ่งกว่าอภิญญาอีก เป็นอภิญญาแท้ ๆ แต่คนเขาไม่พูดกัน

ถาม : มรรคผลเทียบเท่ากับอภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าอภิญญาทั่ว ๆ ไปก็เป็นโลกียะ เรื่องของพระอริยเจ้าเป็นโลกุตตระ แต่คราวนี้ว่าพระอริยเจ้าท่านไม่ได้กล่าวถึง แต่อาตมาอยากจะบอกว่า นั่นแหละอภิญญาจริง ๆ อภิ = ยิ่งกว่า อัญญา = ความรู้ จะมีอะไรรู้เหนือกว่าการตัดกิเลส รู้ยิ่งต้องรู้ตัดกิเลส แต่คนเขาไปเน้นเรื่องอภิญญาโลกีย์มาก ไปยึดติดว่าอภิญญาต้องเป็นอย่างนั้น แต่ที่บอกว่าโลกุตรภิญญา..ใช่เลย

ถาม : ถ้าเป็นปฐมฌานเขาไม่เรียกอภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นของพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปเขาเรียกผลสมาบัติ คือเข้าถึงผลระดับนั้น ๆ

ถาม : เรียกว่าอภิญญาหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าจะเรียกอภิญญาก็เรียกแบบของเรา คือโลกุตรอภิญญา คราวนี้กำลังที่ตัดกิเลสตั้งแต่ระดับอนาคามีขึ้นไปจนถึงอรหันต์ ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ คล่องตัว ก็ไม่ได้รับประทาน ถ้าได้ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ แล้วมาตัดกิเลสระดับพระโสดาบัน หรือสกทาคามี ถือว่าใช้ของหนักมาเล่นของเบา เอาเครื่องมือหนักมาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าถึงระดับของอนาคามีหรืออรหันต์นี่ ดีไม่ดีแทบจะไม่พอใช้งาน

เถรี
10-07-2013, 17:37
ถาม : ทำไมคนที่ได้สมาบัติถึงไม่เอาตรงนี้มาใช้ตัดกิเลส ?
ตอบ : บางคนกำลังใจเขาไม่ไปด้วยซ้ำ ยังติดอยู่แค่นั้นเลย เข้าไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันก็มี

ดูอย่างพวกโยคีสมัยพุทธกาล ส่วนใหญ่ก็สมาบัติ ๘ ทั้งนั้นแหละ แต่ติดอยู่แค่นั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงเทศน์สูตรแรกคือพรหมชาลสูตร ชาละคือตาข่าย ตาข่ายดักพรหม ติดแค่พรหม ไปได้ไม่เกินนั้น คือเขาขาดตัวปัญญาในช่วงท้าย ในขณะเดียวกันก็คิดว่าการทรมานกายอย่างเดียวสามารถเข้าถึงโมกษะ คือความหลุดพ้นได้

ตรงนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา ถ้าจะพูดถึงตบะก็คือความอดทนในการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ตบะคือการทรมานตัวเอง

เถรี
10-07-2013, 19:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อผางประทีปและลอยโคมครั้งนี้มีข้อผิดพลาดที่ต้องแก้ไขหลายอย่าง ข้อผิดพลาดอันดับแรกคือคนที่ไปช่วยมักจะไม่เป็นงาน ผางประทีปสามารถวางให้ระยะห่างเท่า ๆ กันได้ แต่เขาวางไม่เท่ากัน พื้นที่ของเราในส่วนที่เป็นลานธรรมนั้น จะมีแผ่นอิฐที่มีระยะห่างเท่ากันอยู่แล้ว เราเว้นกี่ช่วงก็ห่างกันพอดี ๆ แต่เขาไม่ดูเลย วางกันไปเรื่อยเปื่อย

ส่วนทางด้านนอกที่เป็นถนน เหล็กที่เป็นตะแกรงท่อของเทศบาลเขาก็มีระยะห่างชัด ๆ อยู่ ถ้าเราวางระหว่างตะแกรงแต่ละอันก็จะเท่ากันเป๊ะ แต่เขาก็วางของเขาไปเรื่อย ตรงจุดนี้น่าจะมีคนที่เป็นงานคอยแนะนำเขาบ้าง พอแนะนำให้หน่อยเขาเข้าใจก็ทำได้เลย

ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือตอนเก็บผางประทีปมีฝนตก ตอนเก็บแทนที่จะคว่ำลงก็ไปหงายไว้ ก็เปียกอยู่อย่างนั้นแหละ คนที่จะไปทำความสะอาด ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องเอาไปคว่ำก่อน เสียเวลาอยู่เป็นวัน ๆ กว่าจะแห้ง ประการสุดท้าย ใครเป็นคนบอกว่าต้องวางผางให้หมด..! พอไม่มีที่วางเขาก็วางซ้อนอันเดิมไป อาตมาถามว่าวางไปทำไม ? เขาบอกว่าเหลือ ถ้าเหลือก็เก็บไว้สำรองได้ วางจนหมดคราวหน้าต้องหล่อตายกันพอดี จะให้ใช้หมดทีเดียว รู้หรือเปล่าว่าแต่ละครั้งใช้เทียนเป็นตัน

ส่วนโคมลอยคราวนี้ดีมาก จนป่านนี้อาตมายังมีแผลเต็มตัวอยู่เลย เพราะหยดทุกอัน เปลี่ยนเจ้าซื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เขาชุบพาราฟินมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่น้ำมันก๊าด เวลาพาราฟินละลายก็หยดลงมา อาตมาเองหัวหูแขนขาด่างไปหมดเลย หยดใส่ไหม้ทุกที่ ความจริงโดนทีเดียวก็พอแล้ว แต่ไปทางไหนโยมส่งให้จุดก็โดนอีก"

เถรี
10-07-2013, 20:12
ถาม : ทำอย่างไรไม่ให้ติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ?
ตอบ : อันดับแรกต้องเห็นโทษก่อน ถ้าไม่เห็นโทษ จะไม่เบื่อ ไม่หน่าย ไม่อยากหลีกไป เมื่อเห็นโทษชัดเจนแล้ว ก็มาสร้างสมาธิของเรา เพื่อที่ว่าพอถึงเวลาจะได้สามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำก่อน ยังไม่สามารถจะตัดขาดได้นะ

การที่เราจะสร้างสมาธิได้ต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน กำลังใจที่ระมัดระวังในศีลทำให้สมาธิเราทรงตัว ก็คือเราต้องเอาสติทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเพื่อระวังไม่ให้ศีลขาด ทำให้สมาธิทรงตัวได้ง่าย ในเมื่อมีสมาธิเราก็สามารถที่จะหยุดรัก โลภ โกรธ หลง เอาไว้ได้แล้ว จากนั้นเราก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นอย่างไร ? เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นปกติหรือเปล่า ? ถ้าเราไปยึดไปถือ เราเป็นทุกข์ไหม ? ท้ายสุดก็ไม่สามารถที่จะยึดถือมั่นหมายอะไรได้ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสมบัติของร่างกายเท่านั้น

รัก โลภ โกรธ หลงอาศัยร่างกายนี้เกิด ถ้าไม่มีร่างกายนี้ก็ไม่สามารถทำงานได้ ถ้าเราไม่ปรารถนาในร่างกายนี้อีก เราถอนใจออกมาจากการยึดถือ ก็จะเป็นคนละส่วนกัน ไม่ตั้งกำแพงแล้วใครที่ไหนจะขว้างอะไรมาถูกได้ พอถึงเวลาเราก็สามารถที่จะดึงตนออกมาจากสภาพนั้นได้ ก็พ้นไปจากรัก โลภ โกรธ หลง

แต่ถ้าไม่เริ่มจากเห็นโทษ เราก็ยังยึดติดอยู่ เพราะไม่เบื่อ ไม่หน่าย จึงต้องเห็นโทษก่อน การเห็นโทษก็คือปัญญา คือสัมมาทิฐิ แล้วเราก็ค่อยมาไล่ ศีล สมาธิ ตบท้ายด้วยปัญญาอีกที

ถาม : กามราคะมองไม่ค่อยเห็นโทษ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าจิตยังไม่เบื่อหน่ายก็เสร็จหมด

ถาม : ขนาดมีฌานกดอยู่ ?
ตอบ : ระงับได้ชั่วคราวเท่านั้น อย่างฤๅษีพอเหาะผ่านสระสวนอุทยาน เห็นนางกำนัลกำลังเล่นน้ำอยู่ก็ร่วงลงมาเลย

ถาม : ขนาดจับภาพพระได้แล้ว ยังเกิดได้ ?
ตอบ : แค่ข่มไว้เฉย ๆ ถึงเวลาเราไปยกก้อนหินออก หญ้าก็งอกงามใหม่ คราวนี้งอกเร็วเสียด้วยเพราะเก็บกดมานาน

เถรี
10-07-2013, 20:15
ถาม : แล้วการยินดีในสุขเป็นกามราคะไหมครับ ?
ตอบ :ส่วนนั้นยังเป็นรูปราคะอรูปราคะ เป็นสังโยชน์ในส่วนละเอียด ไม่ใช่เรื่องกามราคะที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่เป็นสภาพจิตที่ยึดในรูปหรืออรูปแล้วมีความสุข

ถาม : คำว่ารูปราคะกับอรูปราคะ คือติดในรูปฌานและอรูปฌานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือรูป รส กลิ่น เสียง นั่นแหละ แต่เป็นส่วนที่ละเอียดที่สุด คือรูปฌานกับอรูปฌาน

ถาม : คำว่า ติดในรูปฌานและอรูปฌาน ก็คือ ?
ตอบ : ก็คือฌานตั้งแต่อุปจารสมาธิไล่ขั้นไปถึงฌาน ๔ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ยังข้องเกี่ยวอยู่กับรูปต่าง ๆ โดยเฉพาะถ้าใช้กสิณต้องยึดรูปเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในส่วนของอรูปฌาน สภาพจิตมีความสุขเพราะทิ้งรูปนั้นได้ คิดว่ารูปนี้ทำให้เกิดทุกข์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพราะความอยากต่างหากทำให้เกิดทุกข์

ถาม : อรูปนี่ไม่ใช่ในกาม ?
ตอบ : อรูปเป็นความละเอียดของสมาธิจิตที่เข้าถึงในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งมีความสุขประณีตกว่า ในลักษณะที่ไม่ต้องเสพเสวยด้วยอายตนะ รับรู้เพียงด้วยใจเท่านั้น จัดเป็นกามราคะแบบละเอียด จะเรียกว่ากามราคานุสัยก็ได้

เถรี
11-07-2013, 14:12
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : พยายามดูว่าท่านชอบใจอะไรแล้วพยายามทำให้ได้ดั่งใจของท่าน อาจจะลำบากเราหน่อย แต่ถือว่าเราเกิดมาทุกวันนี้ก็ด้วยท่าน การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ เราก็ไม่มีแดนเกิด ในเมื่อท่านมีบุญคุณส่งเรามาเกิดแล้ว แม้ว่าสิ่งที่ท่านทำ อะไรบางอย่างจะไม่ถูกอารมณ์เราก็ตาม ต้องถือว่าเป็นความบกพร่องของเราเอง

ฉะนั้น..ตัวเราควรที่จะเลือกดูว่าท่านชอบใจอะไร แล้วทำอย่างนั้นให้ได้ แต่ถ้าพยายามทำทุกอย่างแล้ว ท่านยังไม่ชอบใจสักอย่าง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเราสร้างกรรมไว้มากเกินไป เจอสถานภาพอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดสำหรับเราไม่มีอีก ตายแล้วไปพระนิพพานดีกว่า ไม่ต้องมีแม่ด้วย

ถาม : แม่เขารู้เรื่องเกี่ยวกับพระโสดาบัน ?
ตอบ : เรื่องของพระโสดาบันเขาเน้นเรื่องศีลและการเคารพพระรัตนตรัย และสติสุดท้ายให้รู้อยู่เสมอว่าต้องตาย ถ้าแม่มีความรู้ทางด้านนี้ เวลาแม่ออกงิ้วหรือโกรธ ก็สะกิดเล่น ๆ "แม่..ตายตอนนี้ไม่ได้ขึ้นข้างบนนะ" ท่านจะโกรธมากขึ้นหรือได้สติมากขึ้นก็ช่างเถอะ สะกิดให้รู้ตัวหน่อยก็แล้วกัน

ถาม : ตอนนี้มักโกรธ ไม่มีใครเอาใจถูก ?
ตอบ : ถ้าอยู่ใกล้แล้วทำให้ท่านโกรธมากขึ้นก็ถอยห่างออกมานิดหนึ่ง ถ้ามีโอกาสแล้วค่อยแวะไปดูใหม่ ต้องบอกว่าธรรมดาคนแก่เป็นอย่างนั้น เลือดลมแปรปรวน จิตใจไม่ปกติ อาการอย่างนี้ เดี๋ยวเราก็เป็นเหมือนกัน ในเมื่อเราจะเป็นอย่างนี้ เห็นหรือยังว่าน่ากลัวขนาดไหนที่ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็เบื่อ ไม่อยากจะเป็น ไปพระนิพพานดีกว่า

เถรี
11-07-2013, 14:17
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หาค่ามิได้ เพราะเราไปจ้างคนอื่นให้ทำให้เราเห็นทุกข์ ก็ยังจ้างไม่ได้เลย แต่เขาช่วยให้เราได้เห็นทุกข์ พระพุทธเจ้ากว่าจะเกิดมา ต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ถึงจะเห็นทุกข์อย่างชัดเจน ตอนนี้สิ่งทั้งหมดนี้อยู่ตรงหน้าเราแล้ว จึงเป็นโอกาสที่ดีของเรา

การเกิดของพระพุทธเจ้าแต่ละชาติ ถ้าคิดเป็นทรัพยากร กว่าจะครบ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป มากจนประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ สิ่งที่เราเห็นตรงหน้าสูงค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก จะไปจ้างวานเขา บังคับเขา เพื่อทำให้เราเห็นทุกข์อย่างนี้ ก็จ้างใครไม่ได้หรอก บังคับใครไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาแสดงให้เราเห็นอย่างชัดที่สุด

ฉะนั้น..ต่อไปถ้าสภาพจิตเราพลิกกลับอีกรอบหนึ่ง เราจะรู้สึกขอบคุณเขาอย่างยิ่งเลย ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางเห็นทุกข์ได้ชัดเจน ไม่มีทางที่จะเบื่อหน่ายในร่างกายและโลกนี้ได้แบบนี้

เถรี
11-07-2013, 14:29
ถาม : การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้าเลย ?
ตอบ : ก็มัวแต่กังวลแล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไรเล่า วิธีที่ดีที่สุดคืออยู่กับปัจจุบัน อย่าไปคิดฟุ้งซ่านกับเรื่องเก่า เขาทำอย่างไรกับเรา เขาจะทำอย่างไรกับเรา ไม่ต้องไปคิด ที่ผ่านมาแล้วช่างมัน ยังมาไม่ถึงช่างมัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกในปัจจุบัน ถ้ารักษาอารมณ์นี้ได้ความก้าวหน้าจะมี ถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไรจะเริ่มทุกข์ ความก้าวหน้าจะหาไม่ได้อีกต่างหาก

ถาม : เวลาอยู่คนเดียวไม่มีอะไรให้ยึด ?
ตอบ : นึกถึงพระพุทธเจ้าที่ไหนก็ได้สักองค์หนึ่งที่เราเคารพมากที่สุด บารมีพระครอบคลุมอยู่ทุกอณูในจักรวาลนี้ เพียงแต่เราระลึกถึงท่านหรือเปล่า ? ถ้าเราระลึกถึงท่าน ท่านก็อยู่ในจิตในใจเรา พร้อมที่จะสนับสนุนช่วยเหลือเรา ต่อให้เรารู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขอให้เราเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นแล้วยึดท่านเป็นที่พึ่ง

เถรี
11-07-2013, 14:31
ขอให้จำไว้นะ ความทุกข์เป็นสิ่งมีค่าที่หาซื้อไม่ได้ ต่อไปถ้ากำลังใจเราสูงกว่านี้ จะขอบคุณเขาอย่างบอกไม่ถูก ดีไม่ดีจะนั่งร้องไห้เป็นวัน ๆ

ใครทำให้เราโกรธ ใครทำให้เรากลุ้ม ใครทำให้เราเกลียด ใครทำให้เรากลัว ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกเข็ด ไม่อยากเกิดอีก ต่อไปเราต้องกราบขอบคุณเขาชนิดนับครั้งไม่ถ้วน จ้างใครช่วยให้เราเห็นทุกข์อย่างนี้ยังไม่ได้เลย พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง เหมือนโลกพลิกกลับ มองคนละมุมไปเลย สิ่งที่เคยเห็นเป็นทุกข์เป็นโทษ กลับเป็นประโยชน์ไปหมด

ถ้ายังทำไม่ถึง ก็ยังวางไม่ได้ ถ้าทำถึงจริง ๆ แล้วจะเห็นประโยชน์ของทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นท่านนั่งกราบกระท่อมน้ำตาไหลอยู่ครึ่งค่อนวัน กระต๊อบหลังเดียวแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมดทุกอย่างเลย

เราจะเห็นว่ากระท่อมแค่นั้น ถ้าสภาพจิตเราละเอียดอ่อนจะเห็น ทุกสิ่งทุกอย่าง ประเภทเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไม้สอย ทุกอย่างอยู่ในหลักธรรมทั้งหมด เป็นครูของเราทั้งหมด เสื้อผ้าตอนแรกใหม่ ตอนนี้เก่า ตัวผ้าเองสะอาด พอเราใส่ไปโดนเหงื่อไคลเข้าไปก็สกปรก เห็นเป็นหลักธรรมหมด

ถาม : ทำไมเห็นถึงขนาดนั้นคะ ?
ตอบ : ถ้าทำไปถึงแล้วจะเห็นยิ่งกว่านี้อีก ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ให้มีสติรู้ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำให้ได้ อย่าไปหยุดอยู่แค่นั้น โดยเฉพาะคำพูดบางอย่าง ถ้าไม่พูดมีประโยชน์กว่าพูด เพราะฉะนั้น..ตั้งสติอยู่กับคำพูดให้มาก ๆ บางอย่างเราพูดไปสะเทือนคนอื่น กลายเป็นเราสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว ต่อให้เขาไม่คิดเป็นศัตรูกับเรา เขาก็จะไม่ชอบหน้าเรา

เถรี
11-07-2013, 14:35
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ในเรื่องของคำพูดนั้น

วาจาที่ไม่มีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนไม่ชอบใจ ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
วาจาไหนไม่มีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนชอบใจ ตถาคตก็ไม่กล่าววาจานั้น
วาจาไหนมีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนไม่ชอบใจ ตถาคตรู้ว่าควรจะกล่าวเวลาไหน
วาจาไหนมีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนชอบใจ ตถาคตมักกล่าววาจานั้น

ฉะนั้น..พยายามตั้งสติให้ดี ระวังเรื่องคำพูดได้ ต่อไปก็จะระวังเรื่องใจได้

พวกเราปฏิบัติในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา มามาก ตอนนี้เรื่องของศีล เราบังคับกายของตนเองได้ แต่จะไปเผลอเรื่องวาจา เมื่อคอยระวังเรื่องวาจาได้ เมื่อควบคุม กาย วาจา ได้ ต่อไปก็ระวังเรื่องใจ ไปเป็นขั้น ๆ ตอนนี้ก็ระวังว่าจะพูดคำหยาบไหม ? จะพูดเพ้อเจ้อไหม ? จะพูดส่อเสียดไหม ? จะพูดโกหกไหม ?

ถาม : บางทีก็มีค่ะ
ตอบ : กลับไปก็หาเหรียญมาอม อาตมาเคยอมมาแล้ว ไม่อย่างนั้นปากไว เมื่อก่อนปากไวมาก ถึงเวลาก็อมเหรียญ พอจะขยับลิ้นก็ติดเหรียญหลวงพ่อ ก็นึกได้ว่าต่อไปจะไม่พูดอย่างนั้น ๆ อีก แต่อย่าอมนานนะ เดี๋ยวเหรียญสึก ราคาตก ...(หัวเราะ)...

ถาม : บางอย่างเราก็ไม่อยากจะโกหก แต่ถ้าเราพูดอย่างนั้นแล้วสถานการณ์ดีขึ้น ?
ตอบ : ในเรื่องของการโกหก เขาเน้นว่าหลอกลวงคนอื่นแล้วผลประโยชน์ตกแก่เรา ถ้าผลประโยชน์ตกแก่ส่วนรวม ผิดสัก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ก็พอ อย่างสมัยก่อน เวลาขี่ม้าลากกิ่งไม้คนละ ๗ - ๘ กิ่ง ฝุ่นตลบมาแต่ไกลเลย พวกนั้นคิดว่ากองทัพม้ามาเยอะ ความจริงมีแค่ ๕ ตัว ๑๐ ตัวเอง นั่นเจตนาโกหกเลย แต่แหม..คนเขามาเป็นหมื่น ถ้าตีเราก็ตายสิ..ก็ต้องหลอกเขาก่อน...

เถรี
11-07-2013, 17:18
ถาม : นั่งกรรมฐานทีไรจะหลับทุกที ช่วงนั้นเป็นอารมณ์อะไรคะ ?
ตอบ : ปฐมฌานหยาบ พอสภาพจิตทรงสมาธิเป็นฌานแล้ว สติตามไม่ทัน ดำรงอยู่ในสมาธินั้นได้แต่สติขาดไป เพียงแต่มีตัวรู้ตัวกำหนด คือถ้าถึงเวลาแล้วจะออกจากฌาน พอได้ยิน "อิทัง ปุญญะผะลัง.." จะโผล่พรวดออกมา ต่อไปถ้าต้องการก้าวข้ามจุดนี้ได้ ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดจี้ติดอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าห่างเมื่อไรก็เป็นอีก...

เถรี
11-07-2013, 19:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือในปัจจุบันจำนวนมากที่คนรุ่นเก่าเขาเขียนถูก แต่ปัจจุบันกลายเป็นผิด ต้องระวังตรงนี้ให้ดี อย่างสถิต สมัยก่อนมี ย์ ตอนนี้ตัดทิ้งไปแล้ว อาตมาเองอยู่ช่วงกลาง สับสนอย่าบอกใครเลย เรียนแบบเก่ามา แต่ต้องเขียนแบบใหม่

ไปนั่งเถียงกับท่านอาจารย์จำนง ทองประเสริฐ ว่าสมัยก่อนเขียนอย่างนี้ มีรากศัพท์บาลีชัดเลย อาจารย์บอกว่าเมื่อเขียนแบบไทยได้ ทำไมต้องลากไปบวชด้วย เออ..ท่านอาจารย์ก็คิดแปลก ๆ มีภาษาไหนที่เป็นภาษาของตัวเองแท้ ๆ บ้าง ก็ต้องปนภาษาอื่นด้วยกันทั้งนั้น

แน่จริงลองเขียน ปฏิมากร แบบใช้ ต.เต่าดูสิ ปฏิมากร คือผู้สร้างพระพุทธรูป ถ้าปติมากร กลายเป็นผู้สร้างผัว..! ปาติโมกข์ยังเขียนเป็น ต.เต่าไปแล้ว บาลีเขาใช้ ฏ

ภาษาเก่าที่เขียนถูกตามบาลีกลายเป็นผิดไปเลย อย่างสมัยเด็ก ๆ เขาใช้พิลาป แปลว่าร้องไห้คร่ำครวญ สมัยนี้กลายเป็นพิราบ คนไม่เข้าใจว่านกพิราบ คือเสียงร้องของนกเหมือนคนร้องไห้ ครางฮือ ๆ ทั้งวัน โบราณเขาจึงเรียกนกพิลาปคือนกร้องไห้"

เถรี
11-07-2013, 19:15
ถาม : อยากให้จัดบวชเนกขัมมะที่กรุงเทพ ฯ
ตอบ : วัดในกรุงเทพฯ ที่เขาให้บวชก็มีเยอะแยะ แวะวัดไหนก็ได้ใกล้ ๆ บ้าน สำคัญอยู่ที่เราทำจริงหรือเปล่า ? ถ้าทำจริงไม่ได้สำคัญตรงสถานที่ ที่ไหนก็ทำได้

เถรี
11-07-2013, 19:34
ถาม : ครั้งที่แล้วมีปัญหาการปฏิบัติ คือ ออกจากสมาธิโดยกะทันหัน
ตอบ : แล้วใครเขาบังคับให้คุณออกจากสมาธิโดยกะทันหัน ?

ถาม : ได้ยินเสียงเรียกแล้วผมตกใจสะดุ้งขึ้นมา
ตอบ : ไม่มีปัญหา

ถาม : บางครั้งมีอาการหนัก ๆ ที่ท้ายทอย
ตอบ : เรื่องปกติ..แสดงว่าตอนที่ภาวนา นอกจากสมาธิไม่ทรงตัวแล้วยังไปคิดเรื่องอื่นอีกด้วย พอสมาธิไม่ทรงตัว คิดเรื่องอื่นอยู่ ประสาทกระทบเสียงเรียกขึ้นมา จิตวิ่งกลับเข้าหาตัวเร็วเกินไป จึงมีอาการที่เรียกว่าตกใจ

ไปปฏิบัติใหม่ แสดงว่าที่ผ่านมายังไม่ได้ขึ้นชั้นอนุบาล ๑ เลย ถ้าสมาธิทรงตัว ฟ้าผ่าลงข้างตัวยังไม่ตกใจเลย

ถาม : ตอนที่ผมภาวนา กำหนดดูรู้ว่าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ทุกวันนี้แค่หลับตาก็สามารถทำได้แล้ว
ตอบ : ถ้าสามารถทำได้แล้วจะไปตกใจได้อย่างไร ? ลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าสมาธิอยู่ในระดับฌานขั้นใดขั้นหนึ่งที่เราสามารถเข้าได้ทุกเวลาอยู่แล้ว การที่เข้าฌานได้ทุกเวลาขนาดนั้น กำลังใจต้องมั่นคงมาก แปลกดีเหมือนกัน...ตกลงที่คุณว่ามาต้นกับปลายไม่ได้เสมอกันเลย ไปด้วยกันไม่ได้ น่าจะมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง

เถรี
11-07-2013, 19:45
ถาม : พ่อผมกำลังจะตายแล้วครับ
ตอบ : ตายแล้วค่อยมารายงาน ถ้ามีโอกาสและหมอยอมให้เข้าห้องฉุกเฉิน ก็หาเสียงสวดมนต์ไปเปิดให้ท่านฟัง อย่างน้อย ๆ ใจท่านจะได้เกาะความดีไว้

เถรี
12-07-2013, 12:21
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาจะไปยุโรปแล้วฝันว่าทั้งคณะเครื่องบินตก ไปตกที่ชายทะเลอะไรก็ไม่รู้ ? หัวเครื่องบินไถพรวดเข้าไปเหมือนประตูวังใหญ่มหึมา อาตมาเองกำลังจะคิดอยู่ว่าจะมุดออกไปทางไหนเพื่อช่วยคนอื่นเขาได้ ดันไปสะดุ้งตื่นเสียก่อน ยังไม่รู้ว่าบาดเจ็บหรือล้มตายเท่าไร ?

คนที่เขากลัวนั้นมี แต่อาตมาตายด้านแล้ว ชีวิตเก็บตกมาตั้งแต่อายุ ๒๗ ปี ที่เหลือเป็นกำไรล้วน ๆ ถ้าถึงเวลาก็ไปเถอะ..!

สมัยพรรษาแรก ๆ อยู่ที่วัดท่าซุง ตั้งเป้าหมายการปฏิบัติไว้ว่าจะเอาอะไร ก็ไปอ่านมงคล ๓๘ ของพระพุทธเจ้าท่าน ไปติดใจ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺสนกมฺปติ จิตที่กระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว จัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง อาตมาเขียนติดหน้าสมุดบันทึกไว้เลย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ได้

ถึงเวลา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์เข้ามาได้ ก็พยายามพิจารณาให้เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น อะไรที่ดีเข้ามาก็อย่าฟูมาก อะไรที่ร้ายเข้ามาก็อย่าฟุบ พยายามรักษาใจเป็นกลาง ๆ ไว้ ถ้าไม่ยินดียินร้ายได้เมื่อไรเดี๋ยวก็แก่ช้าไปเอง เพราะไม่เครียด เคล็ดลับอยู่ตรงนี้แหละ"

เถรี
12-07-2013, 13:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "การแห่นาคสมัยก่อนนี้เขาตั้งใจให้คนที่เห็นได้โมทนา มาสมัยหลังเมากันเละเลย สมัยก่อนที่เขาให้โมทนา บางทีเขาแห่รอบ ๒ - ๓ หมู่บ้านเลย โดยเฉพาะลูกของคนใหญ่คนโตประเภทผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน

บางหมู่บ้านก็มีการแห่นาคด้วยม้า แห่นาคขี่ช้าง อย่างที่หาดเสี้ยว สุโขทัยแห่นาคขี่ช้าง อย่างบ้านหนองขาว กาญจนบุรีนั้นแห่นาคด้วยม้าเพราะไปไกล ขืนให้คนผลัดกันขี่ก็เป็นลมตายพอดี จึงต้องขี่ม้าแทน สมัยเด็ก ๆ มีคนใกล้บ้าน เขามีวัวอยู่คู่หนึ่ง วัวคู่นี้ยอมให้เฉพาะนาคขึ้นหลังเท่านั้น คนอื่นไม่ให้ขึ้นหรอก โดนสลัดทิ้งหมด แสดงว่าเอาแต่บุญอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอา ขึ้นไปให้เก่งแค่ไหนก็โดนสลัดทิ้งจนได้ ไม่ยอมให้นั่ง แต่ถ้าเป็นนาคกลับยอมให้นั่ง แปลกดีเหมือนกัน

ตอนแรกคนก็ไม่รู้หรอก เห็นวัวโตเป็นหนุ่มเขาก็เอาไปแห่นาค แล้ววัวก็ชอบด้วย เสียงปี่เสียงกลองดังแค่ไหนไม่มีกลัว เดินนิ่มเลย ปรากฏว่าพอคนอื่นสนุกกระโดดขึ้นบ้าง โดนสลัดลงเลย ต้องบอกว่าสัตว์ก็คือคน เพียงแต่ว่าเขาอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ความคิดเขาก็เหมือนกับคนนี่แหละ ใครที่มีจิตใจน้อมไปทางบุญกุศลก็เน้นเอาบุญกุศลอย่างเดียว ซ้ำค่อนข้างถือตัวมากด้วย ถ้าไม่ใช่นาคไม่ให้ขึ้นหลังเลย"

เถรี
15-07-2013, 14:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กที่ซนเราสามารถหัดให้เขาทำงานบ้านได้ เช่น เอาผ้าขี้ริ้วมาแล้วเราก็ถู ๆ พอเด็กมาแย่งเราก็แกล้งว่าไม่ให้ ๆ เดี๋ยวเขาก็สนุก หลอกให้ถูบ้านได้ หัดเอาไว้..เอาให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนตั้งแต่เล็ก ๆ จะได้เป็นขวัญเรือน จริง ๆ ชื่อโบราณความหมายลึกซึ้งมากเลยนะ เป็นมิ่งขวัญในบ้านเลย

แบบเดียวกับพราหมณ์ที่ไปหลอกเอามิ่งขวัญของบ้านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ปกติคนร่ำรวยจะต้องมีมิ่งขวัญ ก็คือส่วนที่เป็นกำลังบุญเสริมอยู่ พอพราหมณ์เข้าไปสอดส่องดูก็พบว่า มิ่งขวัญสถิตอยู่ที่หงอนไก่ แสดงว่าวิชาเขาดีนะ..เขาดูออก

พราหมณ์ก็เลยขอไก่ตัวนั้น อนาถปิณฑิกเศรษฐีเห็นว่าเป็นคนจน ขออะไรก็ให้ทั้งนั้น พอพราหมณ์อุ้มไก่มิ่งขวัญ ปรากฏว่ามิ่งขวัญหนีจากไก่ไปอยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง พราหมณ์ก็ขอนั่นขอนี่ เศรษฐีก็ให้ทุกอย่าง พอหนีไปอยู่ที่ฉัตรเศรษฐี พราหมณ์หมดท่าเลย ขอไม่ได้ เพราะว่าฉัตรเศรษฐีต้องให้พระราชาพระราชทานเท่านั้น"

เถรี
15-07-2013, 14:30
ถาม : พระสวมเสื้อกันหนาวผิดไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจำเป็นก็ต้องใส่ สมัยก่อนที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ท่านยังเป็นพระสาสนโศภณอยู่ ได้ข่าวว่าพระไทยที่ไปเป็นธรรมทูตอยู่ที่ต่างประเทศแต่งตัวไม่เหมาะสม แต่งตัวเหมือนฆราวาส ใส่เสื้อใส่กางเกง ท่านก็เลยเดินทางไปตรวจการณ์ด้วยพระองค์เอง

ตอนนั้นคุณเสถียรพงษ์ วรรณปก ยังเป็นมหาไต้อยู่ แกล้งพาท่านขึ้นรถไฟ กว่าจะถึงก็หนาวแย่สิ..พอไปถึงท่านก็เลยได้ข้อสรุปว่า ถ้าในที่อย่างนี้ก็จำเป็น อนุญาตให้ใส่ได้ เขาแกล้งพระผู้ใหญ่ได้ขนาดนั้น ถ้าท่านไม่แข็งแรงนี่ได้ไข้จับตายกันบ้าง หนาวขนาดนั้น หิมะตกเลยให้ท่านใส่จีวรกับสังฆาฏิห่มซ้อนแค่นั้นเอง

เถรี
15-07-2013, 19:55
ถาม : อวิชชาเป็นต้นเหตุทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด แล้วต้นเหตุของอวิชชามาจากไหนครับ เป็นเพราะตัวเราเองหรือเป็นเรื่องของมารครับ ?
ตอบ : เกิดจากตัวเราเอง สภาพจิตที่ไม่รู้จึงไปปรุงแต่งในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง จนเจริญงอกงามใหญ่โต เหมือนกับเด็กเล่นไม้ขีด เขาไม่รู้ว่าขีดเล่นแล้ว จะเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้บ้านไปทั้งหลังได้อย่างไร แต่เด็กก็เล่นไปแล้ว เล่นเพราะไม่รู้ ความไม่รู้ของเด็กที่ไปเล่นไม้ขีดก็คืออวิชชา เกิดจากตัวเด็กนั้นแหละ กว่าจะรู้ก็ได้บทเรียนด้วยการที่บ้านหมดไปเป็นหลังแล้ว

เถรี
15-07-2013, 20:28
ถาม : ในพระไตรปิฎก ภรรยาของพรานหยิบอุปกรณ์ล่าสัตว์ส่งให้สามีเพื่อเอาไปล่าสัตว์ การปฏิบัติของนางไม่เป็นอกุศลใช่ไหมครับ เพราะนางทำตามหน้าที่ ?
ตอบ : ไม่ต้องถาม พระโสดาบันไม่สร้างอกุศลโดยเจตนาอยู่แล้ว นางแค่ทำตามหน้าที่ภรรยาที่ดี เตรียมสิ่งของให้กับสามีไว้ใช้งาน ส่วนสามีเอาไปทำอะไรนางไม่รับรู้ รู้แค่ว่าทำหน้าที่ของภรรยา ส่วนอื่นเป็นเรื่องของสามี ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเอง

ถาม : การทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของนางจัดว่าเป็นกุศลได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าเป็นกุศลไหม ? ก็ต้องบอกว่าเป็นความดีที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เต็มสติกำลัง คราวนี้เราก็ต้องมาดูว่าในส่วนที่เขาทำนั้นได้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมอะไรหรือเปล่า ? ถ้าเกี่ยวข้องกับหลักธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติถูกก็เป็นกุศล ถ้าไม่อย่างนั้นก็สักแต่เป็นหน้าที่ ๆ ตนเองทำเท่านั้น

เถรี
15-07-2013, 20:41
ถาม : มารย่อมดลใจให้เรากระทำความผิด เมื่อความผิดนั้นสำเร็จลง มารที่ถือว่าเป็นผู้บงการจะต้องได้รับเคราะห์กรรมนั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คุณจะไปสรุปอย่างนั้นไม่ได้ มารพยายามช่วยเราอย่างสุดชีวิตเพื่อให้เราหลุดพ้น แต่ความโง่ของเราที่ไม่ยอมหลุดพ้นต่างหาก ก็เลยสอบตกทุกที ครูออกข้อสอบให้ลูกศิษย์ ลูกศิษย์สอบตกครูมีความผิดไหม ? ไม่ผิดหรอก ต้องโทษว่าเป็นความโง่ของเด็กเอง

ถาม : ที่สุดของมารเป็นอะไรครับ ?
ตอบ : ท้ายสุดก็เข้าถึงนิพพานเหมือนกัน เพียงแต่ในวาระนั้นท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน หน้าที่เป็นคุณครูออกข้อสอบไปเรื่อย ๆ เกษียณอายุแล้วก็ไป ตัวใครตัวมัน

ถาม : ทำไมท่านถึงชอบทดสอบ ?
ตอบ : ท่านมีจริตนิสัยที่ชอบทำอย่างนั้น คราวนี้ในสิ่งที่ท่านทำ ถ้าเราสอบผ่านเราจะไม่มีวันตกในจุดนี้อีก แต่ถ้าเราสอบไม่ผ่านเราจะติดอยู่แค่นั้น ไม่สามารถที่จะก้าวข้ามไปได้ ท่านก็เลยได้ชื่อว่ามาร มาระคือผู้ฆ่า ผู้ขวางเราจากความดี ความจริงต้องโทษว่าเราไม่เก่งเอง สอบตกแล้วก็พาลไปว่าครูออกข้อสอบโหด

ถาม : ผู้เป็นมารจะต้องมีอานุภาพมากเพราะสามารถดลใจให้คนเห็นผิดได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ในส่วนของความดลใจนี่ได้เฉพาะบุคคลทั่ว ๆ ไปเสียส่วนใหญ่ สำหรับพระอริยเจ้าไม่ได้อยู่ในลักษณะดลใจ แต่ต้องใช้คำว่าปิดบังมากกว่า ปิดบังทำให้นึกไม่ถึง มองไม่ทัน คิดไม่ได้อย่างนี้

เถรี
15-07-2013, 20:52
ถาม : วิตกคืออะไร ? วิจารคืออะไรครับ ?
ตอบ : วิตก..คิดอยู่ว่าตอนนี้เราจะภาวนาอะไร วิจาร..ตามดูว่าตอนนี้ลมหายใจเข้าหรือออก แรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ใช้คำภาวนาอย่างไร ฉะนั้น..วิจาระคือการแยกแยะตามดูอาการ วิตกก็แค่คิดว่าจะทำ

ถาม : ผู้ที่ได้เอกัคตารมณ์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรครับ ไม่กระทบหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ในลักษณะของเอกกัคตารมณ์นั้น คืออารมณ์ใจที่ตั้งมั่นในอุเบกขา ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เข้ามากระทบ ก็เลยทำให้หลายท่านที่เข้าถึงตรงจุดนี้ คิดว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว แต่ความจริงเพราะอำนาจของสมาธิที่แนบแน่นมาก กดกิเลสต่าง ๆ ให้นิ่งสนิทลงไป เกิดอาการวางเฉยต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้ ด้วยอำนาจของสมาธิช่วยข่มไว้

ในส่วนนี้ก็เลยกลายเป็นการก้าวล่วงเรื่องของสุขทุกข์ไปได้ด้วยในขณะที่กำลังใจยังดำเนินอยู่ในฌานนั้น ถ้าคลายออกมาเมื่อไรก็โดนงัดหงายท้องเหมือนเดิม

ถาม : อย่างในอรูปฌานก็เหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเข้าถึงจริง ๆ กำลังก็เท่ากัน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนวิธีกรรมเท่านั้น จากการยึดรูปก็เปลี่ยนเป็นไม่ยึด แต่กำลังอำนาจของสมาธิก็เท่ากับกำลังของฌาน ๔ ในเมื่อเข้าถึงตรงส่วนท้ายของฌานที่จัดเป็นอุเบกขา ก็สามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ชั่วคราวเช่นกัน

เถรี
16-07-2013, 12:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำราจีนเขาบอกว่า พืชหรือสัตว์ที่สีสันสดใส ให้คิดไว้ก่อนว่ามีพิษ อาตมาเองก็สงสัยว่านกยูงสีสันสดใสจะมีพิษตรงไหน ? ปรากฏว่าพิษที่ร้ายมากเลยอยู่ที่ดีของนกยูง อย่างนกกระเรียนเขาบอกว่าพิษอยู่ที่หงอน งูเขียวแอฟริกาที่เขาเรียกแบมบา สีน่ารักจะตายไป ที่ไหนได้กัดช้างยังล้มเลย..!"

เถรี
16-07-2013, 12:55
ถาม : ขอให้ช่วยอธิบายปฏิจจสมุปบาทหน่อยครับ
ตอบ : เสียเวลาคิด..ถ้าคุณไม่คิดจะเกิดก็จบแล้ว ถ้าเกิดเมื่อไรก็ยาวเลย

อวิชชาเป็นอดีตเหตุ ปัจจุบันผลก็คือตัวเราที่เสวยทุกข์อยู่ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราทำในปัจจุบันเป็นปัจจุบันเหตุ จะส่งผลให้คุณทุกข์ต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตผล ดังนั้น..ถ้าจะดู..ก็ดูแค่นี้ เสียเวลาไปดู แค่เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา กูไม่เอามึงอีกแล้วก็จบ หมดทุกอย่างเลย

ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะท่องคล่องปากกันทุกคนแหละ รู้หรือเปล่าว่าอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดอะไรขึ้น ? ความไม่รู้ทำให้จิตของเราไปยินดี ในเมื่อเรายินดีก็อยากมีอยากได้ ความอยากมีอยากได้พอเกิดขึ้น ก็เลยทำให้เกิดการปรุงแต่งหรือสังขาร สังขารตัวนี้ไม่ใช่ร่างกาย ตัวนี้คือจิตสังขาร คือการปรุงแต่งของใจ ในเมื่อการปรุงแต่งของใจเกิดขึ้น ความรู้สึกก็จะเกิดขึ้น ก็คือรัก ชอบ เกลียด ชัง เขาถึงได้บอกว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ

คราวนี้ความรัก ชอบ เกลียด ชังหรือวิญญาณต้องอาศัยประสาทรับความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่งจะต้องอยู่ในรูป ในเมื่ออวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณก็เลยเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป เพราะว่าต้องอาศัยอยู่ นามรูปเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีอายตนะ คือส่วนที่ติดต่อสัมผัสได้ทั้งภายในและภายนอก เมื่อมาบรรจบประชุมรวมกันขึ้นมา จึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

เถรี
16-07-2013, 12:59
คราวนี้เห็นหรือยังว่า แค่ความไม่รู้เรื่องอย่างเดียว แล้วไปรัก ชอบ เกลียด ชัง พายาวไปจนถึงขนาดนี้ ในเมื่ออายตนะมี การรับสัมผัสต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็เลยบอกว่าอายตนะทำให้เกิดผัสสะ คือการสัมผัส เมื่อเกิดผัสสะขึ้นมา ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดขึ้น เขาถึงได้บอกว่าผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเวทนา ในเมื่อสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นก็จะเกิดตัณหา ก็คือเลือกเอาในส่วนที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องการส่วนที่ตัวเองไม่ชอบ ก็เป็นทั้งกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ในเมื่อเกิดตัณหาขึ้นมา ก็เลยทำให้ตัวเองไปยึดว่าสิ่งนี้กูเอา สิ่งนี้กูไม่ เอาทำให้เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น คราวนี้ตัวเองไปเกาะแล้วนี่ อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ซวยเลย ทำให้เกิดภพคือที่อยู่ เพราะตัวเองไปเกาะหนับอยู่ตรงนั้นแล้ว คราวนี้ก็ ภะวะปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีที่แล้วก็เกิดสิ คราวนี้ แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์โศกร่ำไร ตามมาเป็นลูกระนาดเลย

บาลีท่านบอกว่าให้ย้อนกระบวนการกลับไป แล้วก็จะกลับไปสู่จุดดับ ก็เหลือแค่ว่าถ้าเราไม่ยินดี ไม่อยากมีอยากได้ในร่างกายนี้ก็จบเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปปรุงแต่ง เรื่องพวกนี้ถ้าอธิบายละเอียดแล้วยาว แต่จริง ๆ แล้วก็อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก คือไปเล่นจุดสุดท้ายเลยก็หมดเรื่อง

ถาม : ถ้าพ้นไปแล้วจะเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดขึ้นไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าพ้นไปแล้วมองกลับมาจะเห็นละเอียดดีมาก

เถรี
16-07-2013, 19:40
ถาม : พระอรหันต์ท่านพูดด้วยความรู้ ส่วนคนทั่วไปพูดด้วยความจำ เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พระอรหันต์ท่านมีความจำด้วย มีความรู้ด้วย และมีความรู้แจ้งด้วย ดังนั้น..ท่านจะพูดด้วยสติ แต่ว่าบุคคลทั่วไปส่วนใหญ่แล้วพูดแบบขาดสติ สรุปอย่างนี้ชัดไหม ?

ถาม : ในเมื่อท่านมีสติตลอดเวลา ท่านจะจำชื่อคน จำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านจะจำในเรื่องของธรรมะ ชื่อคนไม่จำเป็นต้องไปจำก็ได้ เพราะไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่เกี่ยวเนื่องด้วยธรรมะ ยกเว้นบุคคลที่ใกล้ชิด ต้องเรียกไปตามสมมตินั้น ๆ

เรื่องคน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ถ้าไม่เคยทราบมาก่อนก็จำเป็นที่จะต้องสอบถามจากคนอื่นเขา เรื่องชื่อเสียงเรียงนาม ถ้าไม่ได้อยู่คลุกคลีใกล้ชิดกัน ไม่ได้จดจำเอาไว้ก็ลืมได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเรื่องของธรรมะ คือการเห็นเกี่ยวกับร่างกายนี้และโลกนี้ ท่านไม่มีวันลืมเด็ดขาดว่ามีแต่ความทุกข์จริง ๆ

เถรี
16-07-2013, 19:45
ถาม : ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีสติสมบูรณ์ ท่านรู้แจ้งโลก ท่านก็สามารถจำชื่อ จำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ?
ตอบ : ท่านไม่ต้องจำ เวลาอยากรู้ท่านรู้เลย แล้วท่านไม่ได้รู้แค่ชาตินี้ด้วย ท่านรู้ข้ามไปอีกหลายชาติ สามารถเรียกตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบันได้ ลองไปดูในฆฏิการสูตร ท่านคุยกับฆฏิการพรหมที่เอาบริขาร ๘ มาถวาย “เป็นอย่างไร..ช่างปั้นหม้อ ?” เรียกย้อนกลับไปชาติแรก ๆ ที่เป็นเพื่อนกันมา

ทางด้านนั้นท่านเป็นพรหมอยู่ มีความเป็นทิพย์ พอโดนเรียกก็มองย้อนกลับไปก็รู้ว่าใช่ ท่านก็สามารถที่จะรับคำได้ว่าเป็นอย่างไรในเหตุการณ์สมัยนั้น พูดง่าย ๆ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ต้องเสียเวลาจำ เนื่องเพราะสัพพัญญุตญาณของท่านไม่มีอะไรที่ปิดบังได้ อยากรู้เรื่องอะไรรู้ได้หมด

พระพุทธเจ้าท่านมีเบญจพิธจักษุ คือมีดวงตา ๕ ประเภท คนทั่ว ๆ ไปมีไม่ครบอย่างนั้นหรอก โดยเฉพาะในส่วนของสมันตจักษุ คือการรู้รอบ แม้กระทั่งพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่มี พระอรหันต์ทั่วไปไม่ต้องไปเทียบท่านหรอก คงเหมือนกับเอาเทียนดวงหนึ่งไปเทียบกับแสงตะวัน

สำหรับพระอรหันต์ทั่วไป ด้วยความที่ท่านมีสติมั่นคง ทำให้ระลึกถึงเรื่องที่พูดมาแล้วนาน ๆ ได้ ทำให้เรื่องระลึกถึงเรื่องที่ทำมาแล้วนาน ๆ ได้ ดังนั้น..ในเรื่องของชื่อเสียงเรียงนามของบุคคล ถ้าเคยบอกเคยกล่าวท่านเอาไว้ ท่านจะระลึกได้ง่ายกว่าเรา เราเองบางทีผ่านไป ๓ วัน ๕ วันก็ลืมแล้ว ท่านเองบางทีหลาย ๆ ปีท่านก็ยังจำได้อยู่ เพราะสติท่านมั่นคงกว่า

เถรี
16-07-2013, 20:09
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะว่าลูกเขามีของเก่าด้านสมาธิมาก่อน ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติจ้ะ โดยเฉพาะกำลังใจเขายังสะอาดอยู่ ถ้าของเก่ามีนี่ได้ง่าย ๆ เลย

ถาม : เป็นไปได้ไหมคะว่าเขาเกิดมาเพราะมีหน้าที่อะไร ?
ตอบ : เป็นไปได้จ้ะ แต่ไม่ต้องไปกังวล ถ้าใช่จริง ๆ ถึงเวลาเขาจะทำของเขาเอง เราวางแนวเริ่มจากศีล แรก ๆ ให้เขารักษาศีล แล้วก็หัดทำสมาธิเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ถ้าวิสัยเดิมของเขามีเดี๋ยวเขาทำของเขามากขึ้นไปเอง

เถรี
16-07-2013, 20:13
มีโยมช่วยยกของสังฆทานเก็บให้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "บุญเป็นของเราด้วย เขาเรียกเวยยาวัจมัย ขวนขวายให้งานบุญของผู้อื่นให้สำเร็จลง เขาว่าได้ตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ค้ากำไรเกินควรหรือเปล่า ? "

ถาม : เหมือนกับโมทนาบุญคนอื่นหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อันนี้ต้องลงมือทำเลย สมัยที่นั่งนับเหรียญอยู่ที่วัดท่าซุง บางวันก็หลังขดหลังแข็งจนดึกดื่นกว่าจะนับเสร็จ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “ถ้าเอ็งนับเหรียญอย่างเก่งก็วันกว่า ๆ เณรเขาบวชเณรรักษาศีลบริสุทธิ์ตลอดระยะเวลา ๑๐๐ ปี ถ้าตายไปเป็นเทวดามีนางฟ้าหนึ่งแสนเป็นบริวาร แต่บุคคลที่มานั่งนับเงินเป็นเวยยาวัจมัย ถ้าตายลงไปตอนนี้ เราทำงานแค่วันกว่า ๆ เกิดเป็นเทวดามีนางฟ้าแปดหมื่นเป็นบริวาร” คงต้องเอาอะไรมาอุดหู แค่ผู้หญิงคนสองคนบ่นก็จะแย่แล้ว แต่นี่มาทีตั้งแปดหมื่น..!

ถามว่าทำไมนางฟ้ามีมากมายขนาดนั้น ? ต้องบอกว่าคนเราที่ทำบุญใหญ่มีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่ก็ทำบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเรื่อย โดยเฉพาะถ้าไม่เคยทำในส่วนของวิหารทานมาก่อนย่อมไม่มีที่อยู่ ก็เลยต้องไปอาศัยเป็นบริวารของวิมานอื่น ดังนั้น..ท่านที่สร้างกุศลใหญ่ มีศักดานุภาพมาก บริเวณวิมานของท่านอยู่กันแสนสองแสนเป็นเรื่องปกติ

เถรี
16-07-2013, 20:27
ถาม : ฝันว่าโดนเสือกัด ?
ตอบ : นึกเสียว่าเป็นเสือกิเลสแล้วกัน เผลอเมื่อไรก็โดนกิเลสกินเกลี้ยง คนเรามีความกลัวเป็นปกติ ในฝันให้ดูว่าสภาพจิตใจเรามีความกลัวอยู่หรือไม่ ? แล้วถ้ากลัวแล้วเรานึกถึงความดีได้หรือไม่ ? ถ้ากำลังใจมั่นคงไม่หวั่นไหวเลยก็ถือว่าใช่ได้ ถ้ามีความกลัวอยู่ แต่นึกถึงสิ่งที่เรายึดเกาะเป็นความดี อย่างเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานก็แปลว่าใช้ได้ ถ้าประเภทกลัวหนีแล้วเตลิดเปิดเปิงอย่างเดียว อันนั้นยังต้องฝึกอีกนาน

เถรี
18-07-2013, 20:00
ถาม : ระดับที่เป็นอภิญญาคือระดับฌานสี่ แต่ถ้าโสดาปัตติมรรคซึ่งอาศัยแค่ปฐมฌาน จะเรียกว่าเป็นอภิญญาได้อย่างไร ?
ตอบ : ที่เรียกอภิญญาคือเราเรียกกันเอง จริง ๆ แล้วการเป็นพระอริยเจ้านั้นยิ่งกว่าอภิญญาอีก เพราะศัพท์คำว่าอภิญญาแปลว่ารู้ยิ่ง แต่อภิญญาที่เขาว่ากันตามบาลี หมายถึงอภิญญาที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ในความเห็นของอาตมาบอกแล้วว่า การรู้ยิ่งไม่มีอะไรรู้ไปกว่าการตัดกิเลส

เรื่องของสมาธิภาวนาจะระดับไหนก็ตาม สามารถช่วยในการตัดกิเลสได้ก็ต้องระดับปฐมฌานขึ้นไป คราวนี้บางท่านอาจจะคล่องถึงระดับสมาบัติ ๘ เลย แต่เนื่องจากกำลังใจอาจจะพะวงอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง หรือกำลังปัญญาไม่ถึง กลายเป็นสมาธิมีมากแต่ปัญญาไม่ถึง ก็อาจจะตัดได้น้อย

ดังนั้น.. ถ้ากำลังถึงปฐมฌานขึ้นไป ก็แปลว่าเราสามารถตัดกิเลสเป็นพระอริยเจ้าในขั้นต้น ก็คือพระโสดาบันกับสกิทาคามีได้ แต่ไม่ได้หมายว่าบุคคลที่ได้ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ จะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีไม่ได้ เป็นได้เหมือนกัน กำลังสูงแต่บังเอิญอาวุธทื่อไปหน่อย ก็ฟันของได้น้อยเหมือนกัน

เถรี
18-07-2013, 20:02
ถาม : หนูรับยันต์เกราะเพชรผ่านอินเตอร์เน็ตสองครั้งแล้วค่ะ
ตอบ : รับทางไหนก็ได้จ้ะ ให้เวลาตรงกับที่ทางวัดทำอยู่ ถ้าเราตั้งใจรับด้วยความเคารพอยู่ที่ไหนก็รับได้ เพราะพระท่านสงเคราะห์ให้

เถรี
18-07-2013, 20:09
ถาม : หนูได้เงินมาไม่สุจริต แล้วเอาเงินนั้นมาซื้อรถครึ่งหนึ่ง แล้วเอาอีกครึ่งหนึ่งไปทำบุญ หนูอยากทราบว่ามีผลกรรมไหม ?
ตอบ : สามารถบอกได้ไหมว่าเงินที่ไม่สุจริตมาอย่างไร ?

ถาม : บอกได้แบบไม่ชัดเจนค่ะ
ตอบ : ถ้าบอกไม่ได้ก็ตีความไม่ได้ มีเงินบางประเภทที่ถึงเวลาเขาแบ่งมาให้เองโดยที่เราไม่ได้เรียกร้องอะไร โดยเฉพาะบางหน่วยงาน เขากลัวว่ากินคนเดียวเดี๋ยวจะเดือดร้อน เขาก็แบ่งปันคนอื่น แต่เขาเอามาให้เฉย ๆ โดยไม่บอกว่าอะไร ถ้าอย่างนั้นเราก็ถือว่าเขาให้โดยเสน่หาก็แล้วกัน เพราะอย่างของพระเรา ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่อเรา ไม่เห็นว่าเขาทำเพื่อเรา ส่วนเราเป็นฆราวาสโทษไม่หนักขนาดนั้น ในเมื่อไม่รู้ที่มาที่ไปก็ถือว่าเขาให้โดยเสน่หาแล้วกัน

ถาม : ถึงแม้จะเป็นเงินที่......
ตอบ : ต่อไปก็อย่าเอามา แล้วจะไม่ต้องมาระแวงอีกเลย วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าไปยุ่งกับเขา แต่ไม่ยุ่งกับเขาก็จะโดนแบบอาตมา ไม่ยุ่งกับเขาแล้วท้ายสุดเขากินไม่สะดวกก็หาทางงัดให้กระเด็น อาตมาโดนตั้งกรรมการสอบสวนมาโดยที่ไม่มีความผิดด้วย ผิดอยู่อย่างเดียวคือไปขวางอยู่ตรงกลางเขาพอดี เขาต้องงัดออกไปให้พ้น ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเกะกะหูตาเขา แต่ก็ต้องขอบคุณที่เขาทำอย่างนั้น เพราะพออาตมารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ก็ลาออกเลย เปลี่ยนมาบวชแทน..!

เถรี
18-07-2013, 20:19
ถาม : ถ้าพระแตกเราควรเอาไปทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระแตกหรือหักเขาให้บรรจุในองค์ใหญ่ หรือไม่ก็บรรจุกรุบรรจุเจดีย์ไปเลย อย่าเอาไปตำผงสร้างพระเชียวนะจ๊ะ โทษทำลายพระพุทธรูปสาหัสนักแล รู้สึกเขานิยมกันมากเลย เอาพระเก่า ๆ มาตำ มาหลอมสร้างพระกัน อาตมาสยดสยองจริง ๆ แต่ไม่รู้จะบอกอย่างไร ก็ต้องตัวใครตัวมัน

ถ้าเป็นสมเด็จวัดระฆังแตก ๆ หัก ๆ ชิ้นหนึ่งก็หลายกำมือนะจ๊ะ กำมือเป็นภาษานักเลงพระ..!

เถรี
18-07-2013, 20:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไม่เคยท้อเรื่องอ่านหนังสือ เพราะฉะนั้น..ใครขอหนังสือก็ให้..เชื่อว่าเขาอ่าน ให้จำไว้ว่าอย่าเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่น เราไม่ชอบอ่านไม่ได้แปลว่าคนอื่นเขาไม่ชอบ ถ้าเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่นนี่จะพลาดอะไรดี ๆ ไปเยอะเลย

ปัจจุบันนี้บรรดานักวิชาการต่าง ๆ เขาเอาตัวเขาไปวัดคนอื่น โดยเฉพาะวัดพระพุทธเจ้าด้วย เขาถึงได้แบ่งพระไตรปิฏกออกเป็นส่วน ๆ เขาบอกว่า พระไตรปิฏกไม่ได้มีขึ้นสมัยพุทธกาล ในเมื่อไม่ได้มีขึ้นในสมัยพุทธกาล คนรุ่นหลังอาจจะเขียนแต่งเติมเข้าไปได้ ดังนั้น..ส่วนไหนที่คนทั่วไปทำไม่ได้อย่าพึงเชื่อ อาจจะเป็นการเขียนเพื่อสรรเสริญพระศาสดาอย่างเดียวก็ได้ ส่วนไหนที่คนทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้างให้ละไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะเป็นสาธารณะ คือคนทั่วไปทำได้ ส่วนไหนที่คนทั่วไปทำได้จึงเชื่อ

แบบนี้เฮงมาก ต้องบอกว่าอยู่ดีไม่ว่าดี สมัยนี้เขาเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ไปเก่งเทียบใครไม่ว่า ไปเก่งเทียบพระพุทธเจ้าก็หมดเลย"

เถรี
19-07-2013, 14:17
ถาม : นอกจากตัดปฏิฆะแล้ว จะตัดราคะต้องใช้อานาปานสติไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วกรรมฐานทุกกอง ถ้าควบอานาปานสติสามารถแก้ได้ เพียงแต่ว่าแก้ไม่ตรง แบบเดียวกับปวดท้องแล้วไปกินยาแก้ปวดหัว พอรักษาได้เหมือนกัน เพราะว่าอานาปานสติมีกำลังสามารถกดรัก โลภ โกรธ หลงได้ เพียงแต่ว่าเราสามารถรักษาให้ต่อเนื่องได้หรือเปล่าเท่านั้น ที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่ากรรมฐาน ๔๐ กองใดกองหนึ่งก็เป็นพระอริยเจ้าได้ แล้วถ้าเราตัดราคะไม่ได้จะเป็นพระอริยเจ้าอีท่าไหน โดยเฉพาะในระดับสูงขึ้นไป

เถรี
19-07-2013, 14:23
ถาม : ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงฟุ้งได้ ?
ตอบ : อยู่ดี ๆ ไม่ฟุ้งหรอก เราต้องไปช่วยจึงฟุ้ง บางทีเราก็ช่วยแบบไม่รู้สึกตัว คือไปใส่ฟืนใส่ไฟให้โดยที่ไม่รู้ตัว ถ้าตาเห็นรูปแล้วสักแต่ว่าเห็นก็ไม่มีโทษอะไร คราวนี้พอไปเห็นแล้วเราไปคิดต่อแม้แต่นิดเดียว ว่าเราชอบหรือไม่ชอบก็เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง

ดังนั้น..เวลาตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดอะไรก็ตาม ต้องหยุดให้ทัน ถ้าหยุดไม่ทันก็ฟุ้งทั้งหมด จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ เพียงแต่ว่าบางทีสภาพจิตเราหยาบไปหน่อย ก็เลยไม่รู้ว่าฟุ้งเพราะอะไร ตามไม่ทัน ตัวเองกวนน้ำขุ่นเอง แต่สงสัยว่าเราไม่ได้กวนสักหน่อย เราแค่เดินลุยน้ำเฉย ๆ ...(หัวเราะ)...

เถรี
19-07-2013, 14:24
ถาม : นอกจากไม่ติดในรส ยังมีอะไรอีกในอาหาเรปฏิกูลสัญญา ?
ตอบ : นอกจากตรงจุดนี้แล้ว ส่วนที่สำคัญที่สุดก็ตรงสมาธิ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร ตัวระงับยับยั้งจะมีมากเท่านั้น สามารถห้ามปากห้ามลิ้นตัวเองได้ ไม่ไปแสวงหาเพิ่มเติม แต่ถ้ากำลังสมาธิไม่พอ ก็จะยอมแพ้ใจตัวเอง วิ่งไปหาสิ่งที่ตัวเองชอบเข้ามา

ดังนั้น..อันดับแรก พิจารณาเห็นว่าอาหารมีพื้นฐานเป็นของสกปรก สักแต่ว่าอาศัยกินเข้าไปเพื่อรักษาร่างกายนี้ไว้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ถ้าในส่วนอื่นก็อย่างที่บอก ใช้ยาแก้ปวดหัวไปรักษาโรคปวดท้องก็ไม่เป็นไรหรอก ขอให้มีเถอะ

เถรี
19-07-2013, 14:45
ถาม : ท่องพุทโธแล้วยังฟุ้งค่ะ
ตอบ : รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ลมหายใจ ถ้ารู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมา แรก ๆ เหมือนอย่างกับม้าหรือลิงที่อยู่ในป่า เขาไม่ชอบให้กักขังก็จะดิ้นไปทางนั้นทางนี้ ก็คือคิดนั่นคิดนี่ฟุ้งซ่านไปเรื่อย เราต้องดึงมาผูกไว้กับหลัก ก็คือลมหายใจเข้าออกให้ได้ รู้ตัวว่าเตลิดเมื่อไรก็รั้งกลับมา อยู่ตัวว่าเตลิดเมื่อไรก็รั้งกลับมา

หรือถ้าตั้งใจสู้จริง ๆ ดูว่าจะคิดได้สักเท่าไร ก็ตามดูไปเรื่อย ๆ รับรองว่าคิดได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหรอก เรามักจะคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้นะ จาก ๑ ไป ๒ ไป ๓ เรื่อย ๆ จนจบแล้วก็จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ ถ้าเป็นอย่างนี้นะ ๑-๒-๓ ใหม่ เราจะเห็นว่าจริง ๆ เราคิดไม่นาน แต่จะคิดวนไปวนมา ฉะนั้น..ถึงเวลาเรารู้ตัวก็ดึงกลับมา บางทีปล่อยให้คิดไปสักรอบสองรอบก็ได้ พอเหนื่อยแล้วดึงกลับมาภาวนา เขาก็ยอมเราหน่อย พยายามซ้อมบ่อย ๆ จ้ะ

การปฏิบัติแรก ๆ จะลำบากนิดหนึ่ง แต่ถ้าเราเคยชินแล้ว อารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ภาวนาเมื่อไรอารมณ์ใจทรงตัว เราก็ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านอีก

ถาม : มักจะยอมก่อนค่ะ
ตอบ : ถ้ายอมก่อนนี่มักจะยอมไปเรื่อย ๆ ฉะนั้น..ต้องพยายามดึงกลับมา

ถาม : เราต้องสู้กันตลอด จนกว่าจะยอมเราหรือคะ ?
ตอบ : จนกว่าจะยอมเรา พอเรามีความคล่องตัว มีกำลังเหนือกว่า เราก็กดคอไว้เลย กำลังเหนือกว่าเราก็จับลิงมัดเลย แต่ถ้ากำลังยังสู้ลิงไม่ได้ ลิงก็จะเตลิดไปเรื่อย ๆ ตอนแรก ๆ ต้องพยายามนิดหนึ่งจ้ะ ใครภาวนาก็เป็นแบบนี้ทุกคน เราไม่ได้เป็นแค่คนเดียว

เถรี
19-07-2013, 14:56
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กว่า "เป็นอย่างไรจ๊ะตัวเล็ก ? ถึงเวลานั่งกรรมฐานเลยลูก หลวงตายืนยันว่าใครนั่งกรรมฐานเรียนเก่งทุกคน"

เมื่ออาทิตย์ก่อนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ไปบิณฑบาตที่โรงเรียนแล้วก็เทศน์ให้ฟังวันวิสาขบูชา ก็ยืนยันกับเด็กเขาไปว่า ทานเราได้ทำแล้วตอนใส่บาตร เมื่อครู่นี้เราก็ได้สมาทานศีล เหลืออย่างเดียวคือภาวนา คราวนี้การภาวนาถ้าใครทำเป็นจะเรียนเก่งทุกคน แล้วก็ยกตัวอย่างให้เขาฟัง

เรื่องของเด็ก ๆ ถ้าไปพูดไม่ถูกจังหวะเขาก็คุยแข่งกับเรา แต่ถ้าพูดในสิ่งที่เขาอยากฟังเขาก็จะตั้งใจฟัง เด็กทุกคนอยากเรียนเก่งทั้งนั้นแหละ ในเมื่อมีวิธีทำให้เรียนเก่งก็สบาย บอกเขาว่าสมัยก่อนหลวงตาเองก็ไม่ได้เรียนเก่งหรอก แต่พอภาวนาแล้วเรียนเก่งขึ้นเรื่อย ๆ "

เถรี
19-07-2013, 15:03
ถาม : ภาวนาแล้วตัวจะลอยค่ะ
ตอบ : คราวหน้าอย่าแค่จะลอย ให้ลอยจริง ๆ ดู ปล่อยลอยเลย ไม่ไปไหนหรอก ถึงเวลาก่อนภาวนาปิดหน้าต่างไว้ พอลอยแล้วดูว่าไปไหน ก็จะวน ๆ อยู่รอบห้องนั้นแหละ พอเรากลัวก็จะกลับที่เดิมพอดีเลย ถึงเวลาเราก็ทำใหม่ ซ้อมให้คล่อง ต่อไปเวลาไปไหนไม่ต้องเสียค่ารถ เราใช้ลอยไปแทน

นี่ไม่ใช่พูดเล่นนะ บอกเรื่องจริงเลย เพราะว่าอาตมาเองเคยทำมาก่อน ภาวนาแล้วลอยดีนักแล เพียงแต่ตอนอาตมาภาวนาดันไปเปิดพัดลมเพดานไว้ ลอยขึ้นไปห่างพัดลมนิดเดียว เกือบตายมาแล้ว..!

เถรี
19-07-2013, 15:10
ถาม : ไปเอากุมารทองมา แล้วเขาตามไปไหนมาไหน ?
ตอบ : ให้ตั้งใจถามเขาว่า เขามาเพื่ออะไร

ถาม : ได้มาปีกว่าแล้วค่ะ ต้องทำอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรจ้ะ ทำบุญอะไรก็อุทิศให้เขาก็แล้วกัน บอกว่ากุศลทั้งหมดที่เราสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอได้รับด้วย เสร็จสรรพเรียบร้อยจะให้เขาช่วยเรื่องอะไรก็บอกเขาไป ให้เขาช่วยดูแลรักษาเรื่องความปลอดภัยของเราทุกครั้งที่เดินทางอยู่ในบ้านนอกบ้านก็ว่าไป หรือจะให้เขาช่วยในเรื่องอื่น ๆ เช่น ขอให้มีความคล่องตัวในด้านหน้าที่การงานก็ว่าไป

ถาม : ต้องอุทิศส่วนกุศลไหมคะ ?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลนั่นถูกเลย ถ้ากำลังบุญเราสูงแค่ไหนเขาไปแค่นั้นเลย แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะกตัญญู รู้ว่าได้อะไรไปจากเรา ถึงเวลาก็พยายามตอบแทน ดังนั้น..ถ้าเราขอไม่เกินวิสัย ท่านก็สงเคราะห์ให้ แต่เราไม่ขอท่านก็สบาย นอนตีพุงรออยู่ข้างบนว่าเมื่อไรจะขอสักที

ถาม : ทุกวันนี้เหมือนกับเป็นการขังเขาหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ...ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขาอย่างนั้นเขาไปได้เลย

เถรี
19-07-2013, 19:52
ถาม : เทวดาจะมีเทพธิดา นางฟ้าเป็นบริวาร เขาทำกรรมอะไรไปเกิดในลักษณะเป็นบริวาร ?
ตอบ : พวกนั้นสร้างบุญมาน้อย ในเมื่อทำบุญแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะไม่เคยสร้างบุญในเรื่องของวิหารทาน จึงไม่มีวิมานของตัวเองอยู่ ต้องอาศัยคนอื่นเขา เพราะฉะนั้น..ใครที่มีกำลังบุญใหญ่กว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไปอาศัยเขา เขาก็เลยมีกฎเกณฑ์ว่าถ้าทำบุญระดับไหนจะมีบริวารได้เท่าไร

ถาม : แล้วถ้าเจ้าของวิมานไปเกิด บริวารจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ..เดี๋ยวเขาก็ไปหาที่ใหม่ของเขาเอง พวกที่ไปมีน้อยกว่าที่อยู่ไม่รู้เท่าไร ไม่ต้องกลัวจ้ะ ไม่ได้เหน็บบริวารไปด้วยหรอก ไปก็ไปคนเดียว

เถรี
19-07-2013, 20:25
ถาม : กุมารทองเขาอยู่ในภพภูมิอะไรครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาเอาอะไรมา ส่วนใหญ่จะเป็นสัมภเวสี แต่ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขา ก็จะมีสภาพเป็นเทวดา

ถาม : สัมภเวสีคือ ?
ตอบ : พวกที่ตายแล้วยังไม่หมดอายุของความเป็นมนุษย์ จะไปรับความดีความชั่วก็ไม่ได้ ต้องรออายุความเป็นมนุษย์หมดก่อน สมมุติว่าอายุความเป็นมนุษย์ ๘๐ ปี แล้วตัวเองตายตั้งแต่ ๓๐ ปี ก็ต้องร่อนเร่อยู่ ๕๐ ปี ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกที่ตายก่อนอายุ ที่เขาเรียกว่าตายโหง

ถาม : อย่างนี้เขาก็อยู่ชั้นจาตุมหาราช ?
ตอบ : จะอยู่ในเขตของกึ่ง ๆ จาตุมหาราช ในบริเวณนั้นจะมีที่ตั้งของตำหนักพญายมอยู่ด้วย เขาไปไหนไม่ได้ก็วนเวียนไปเรื่อย

ถาม : ไม่ใช่เปรตหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เปรตนี่รับโทษไปเลย อสุรกายรับโทษไปเลย แต่สัมภเวสียังเร่ร่อนอยู่ รอเวลาหมดอายุขัยความเป็นคน เขาถึงจะไปรับโทษหรือรับความดีได้ ดังนั้น..ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลไปเท่าไร พวกนี้จะได้รับทั้งหมด แล้วถ้าเขาได้รับ เขาจะมีสภาพเหมือนเทวดา ต่อให้ร่อนเร่อย่างไรก็มีความสุข

เถรี
25-07-2013, 09:10
ถาม : กุมารทองมีที่เป็นเทวดาไหมครับ ?
ตอบ : มี..ของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่ามที่นครปฐม คนเขาถามหลวงพ่อว่าวิชาพวกนี้ต้องเอาผีมาไม่ใช่หรือ ? หลวงพ่อท่านบอกว่า "ข้าเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว" แสดงว่าอุทิศส่วนกุศลให้เขาจนเป็นเทวดาไปหมด

เถรี
25-07-2013, 09:12
ถาม : มีดตัดหวายนิมิต มีอานุภาพอะไรบ้าง ?
ตอบ : เอาไว้ขู่ขโมยได้จ้ะ เพราะอันใหญ่ดี..! ต้องดูว่าเขาเข้าพิธีพุทธาภิเษกมาหรือเปล่า ถ้าไม่ได้เข้าพิธีก็เท่านั้นแหละ ก็เป็นมีดอันหนึ่ง ถ้าเข้าพิธีพุทธาภิเษกมาก็ใช้แบบเดียวกับมีดหมอ

เถรี
25-07-2013, 09:31
ถาม : กุมารทองปฏิสนธิแบบไหนครับ ?
ตอบ : การปฏิสนธิของกุมารทองเป็นแบบโอปปาติกะ คือผุดขึ้นก็เป็นตัวตนเลย

ถาม : อย่างนี้เรียกว่าเปลี่ยนภพภูมิหรือครับ ?
ตอบ : เปลี่ยนแล้ว..เพียงแต่อยู่ในสภาพของจิตที่ยังไม่ได้ไปในภพภูมิเฉพาะของตน ต้องเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ จนกว่าหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ ถึงจะไปภพภูมิเฉพาะตามบุญตามบาปที่ตัวเองทำมา

ถาม : ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหน ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่ญาติที่เนื่องกันมาหรือไม่ใช่คนที่ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลเฉพาะแก่เขาทั้งหลายเหล่านี้ เขามีกติกาว่าห้ามไปรบกวน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยเป็นญาติกันมาเขาถึงมาได้

ถาม : พอเราทำความดี เขาก็แห่กันมาขอ ?
ตอบ : เราทำความดีก็สว่าง เขาเองเหมือนกับคนที่อยู่ในที่มืด แสงสว่างตรงไหนมาก เห็นชัด เขาก็ลุยไปตรงนั้นแหละ ถ้าตรงนั้นจุดตะเกียงเจ้าพายุ ส่วนเราจุดเทียน เขาก็วิ่งไปหาตะเกียงเจ้าพายุกันหมด

เถรี
25-07-2013, 09:43
ถาม : เทวปุตตมารถือว่าเป็นผีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นผี ก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมาก เพราะว่าตั้งแต่สัมภเวสีจนถึงพระบนนิพพาน พวกเราก็เหมาว่าเป็นผีหมด แต่ถ้าเป็นมารแท้ ๆ เลยเขาจะอยู่สวรรค์ที่ ๖ คือปรนิมมิตวสวัสตี จะมีเขตของเขาต่างหาก คนละครึ่งกับเทวดา

จะว่าไปแล้วในระดับความดีของเขาสูงกว่าเทวดาแต่ยังเป็นพรหมไม่ได้ ในบาลีเอ่ยถึงว่า เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เขาไล่ไปจากเป็นเทวดา เป็นมาร เป็นพรหม ฟัง ๆ ดูแล้วเขาอยู่ในระดับที่สูงกว่าด้วยซ้ำไป

ถาม : แล้วตอนที่เชิญพระโพธิสัตว์จากดุสิตลงมา มารก็ไปเชิญด้วย ?
ตอบ : ถ้าพร้อมใจกันทุกคนก็ไปเชิญ

ถาม : แล้วทำไมตอนหลังจึงมาคอยทำร้ายครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำร้าย พวกเราเข้าใจผิด นั่นเป็นข้อสอบ ครูออกข้อสอบ อยู่ที่ลูกศิษย์จะทำได้ไหม แล้วครูท่านนี้ค่อนข้างโหดหน่อย ข้อสอบหนักมากเลย

ถาม : แล้วอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นกรรมหรือครับ ?
ตอบ : เป็นการทดสอบจ้ะ ครูออกข้อสอบให้ลูกศิษย์ แล้วลูกศิษย์ทำไม่ได้ครูมีโทษไหมเล่า ? ครูไม่มีโทษหรอก มีแต่นักเรียนนั้นแหละจะโทษครู

เถรี
25-07-2013, 10:16
ถาม : เราไม่ใช่ญาติเขา แต่เขาก็มากวน ขอกุศลจากเรา ?
ตอบ : ยกเว้นอย่างสายเรา "เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี" เราให้เป็นประจำ เขาก็วิ่งใส่เหมือนกัน ถ้าไม่อยากให้เขากวนก็ตัดคำนี้ออก แต่ก็โหดไปหน่อย

ถาม : บางท่านรับกุศลได้ แต่บางท่านก็รับกุศลไม่ได้ ?
ตอบ : อย่างทั่วไปที่ทำกรรมไม่มาก มีโอกาสโมทนาบุญได้ แต่ถ้าเป็นท่านที่ทำกรรมมาหนัก อาจจะประเภทฆ่าสัตว์ใหญ่ทุกวัน อย่างเช่น อยู่โรงฆ่าสัตว์ ฆ่าวัวฆ่าควายตลอด ก็โมทนาบุญได้ยาก

มีฝรั่งอยู่คนหนึ่งนอกจากเลิกฆ่าสัตว์แล้วยังกินมังสวิรัติด้วย เขาบอกว่าเขาอยู่โรงฆ่าสัตว์ มีหน้าที่เอาปืนไฟฟ้ายิงหัววัวควาย วัวควายทุกตัวก็มักจะดิ้นรนหนี ต้องให้คนต้อนเข้าซองมาตรงเขา แต่เขาบอกว่าวันนั้นสะเทือนใจจริง ๆ วัวตัวนั้นเดินตรงดิ่งเข้ามาเองเลย แต่มายืนมองหน้าเขาแล้วน้ำตาไหล เหมือนกับว่ายอมตายแต่โดยดี เขาสะเทือนใจมาก เลยเลิกอาชีพนั้น เลิกอาชีพนั้นไม่พอ ยังกินมังสวิรัติด้วย

เถรี
25-07-2013, 10:20
ถาม : ทำไมคนฮินดูถึงกินมังสวิรัติคะ ?
ตอบ : เขาถือว่าเป็นการไม่เบียดเบียน ส่วนใหญ่แล้วมาในสายของศาสนาเชนที่เขาเป็นนักบวชแก้ผ้า พวกนั้นจริง ๆ เป็นต้นตำรับศีล ๕ มาก่อน แต่เป็นศีล ๕ ที่เคร่งครัดมาก อย่างเช่นต้องมีผ้าปิดจมูกเพราะกลัวหายใจเอาจุลชีวะเข้าไปแล้วทำให้เขาตาย

เวลาเดินทางต้องมีลูกศิษย์กวาดนำหน้าไป เพราะกลัวจะเหยียบสัตว์เล็ก ๆ ตาย เขาก็เลยพลอยไม่กินเนื้อสัตว์อื่นไปด้วย ไปกินมังสวิรัติแทน แล้วคราวนี้ความเชื่อนี้ฝังรากลึกมานาน ก็เลยทำให้ชาวฮินดูทั้งหมดกินมังสวิรัติเป็นปกติ

ถาม : เวลากินอาหารเข้าไป เราก็กินชีวะไปนี่ครับ ?
ตอบ : ก็ต้องถามเขาดู ขนาดน้ำเขาต้องกรอง ๗ ครั้ง ความจริงเขาถือเคร่งครัดดี แต่กลายเป็นสีลัพพัตตุปาทาน คือยึดมั่นในศีลของตัวเองมากเกินไป ในเมื่อยึดมั่นมากก็เลยหลุดพ้นไม่ได้

ศาสนาของเขามาก่อนศาสนาพุทธ ประวัติแทบทุกอย่างของเขาคล้าย ๆ พระพุทธเจ้า ศาสดาคือมหาวีระหรือเขาเรียกนิครนถนาฏบุตร เป็นกษัตริย์แล้วก็สละราชสมบัติออกบวชเหมือนกัน บรรลุธรรมเหมือนกัน แล้วมีมหาปุริสลักษณะเหมือนกัน คราวนี้เวลาเราไปอินเดีย เวลาจะไปไหว้พระต้องดูดี ๆ ก่อน ถ้าเห็นอวัยวะเพศอยู่นั่นคือรูปของมหาวีระ แต่หน้าตาเหมือนพระพุทธรูปเลย เอาให้ดี ๆ นะ ไปที่นั่นเราอาจจะเปลี่ยนศาสนาโดยไม่ตั้งใจ

เถรี
25-07-2013, 12:24
ถาม : เรามีโอกาสที่จะได้เจอเจ้ากรรมนายเวรตัวจริงไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็คือพวกที่ไม่หมดอายุขัยนั่นแหละ เขาจะตามไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เจ้ากรรมนายเวรคือผลกรรม แต่ที่มีตัวตนคือพวกนี้แหละ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานหรอก หมดอายุความเป็นมนุษย์แล้วก็ไป

เถรี
25-07-2013, 12:27
ถาม : พญานาคเป็นพวกอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นเดรัจฉานแต่ว่าอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ต้องบอกว่าบุญใหญ่เขาก็มี แต่ว่าขณะเดียวกันจิตก็ไปเกาะในส่วนความเป็นอกุศลหน่อยหนึ่ง ก็มักจะไปเกิดเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ ตัวอย่างก็เอรกปัตตนาคราช
เอรกปัตตนาคราชเดิมบวชเป็นพระ ถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่สองหมื่นปี แต่ว่าศีลขาด ไปทำต้นไม้ขาด เป็นการพรากของเขียวแล้วไม่ได้ปลงอาบัติ เลยไปเกิดเป็นพญานาค

เถรี
25-07-2013, 20:09
ถาม : คนที่มีสายตามีอำนาจมาก ที่จะมองใครแล้วทำให้ตายมีไหมคะ ?
ตอบ : พระยายมมีอาวุธคือสายตา เคยอ่านคาถาเทพอาวุธไหม ? ยะมัสสะ นะยะนาวุธัง พระยายมมีสายตาเป็นอาวุธ อาตมาเจอมาเอง สมัยที่เรียนชั้นมัธยม เพื่อนผู้หญิงคนนี้ชื่อนันทา วงศ์สุวรรณ เวลาเขามองนี่ อาตมาเข่าอ่อนกองกับพื้นเลย เหมือนหัวใจจะขาด ตาเขามีอำนาจมาก แต่เขารู้ตัวนะ..เขามักจะหลบ ๆ ตาลง ไม่ค่อยมองใคร

ตอนแรกที่อ่านในวินีตวัตถุของปาราชิกที่ว่า ภิกษุฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติปาราชิก มีอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า “ผู้มีดวงตามีอำนาจ ถลึงตาจ้องมองผู้อื่นตั้งใจให้ตาย ถ้าเขาตาย ต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระ” ถ้าไม่ได้เจอเพื่อนคนนี้มาจะไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไร แต่พอเจอมาแล้วรู้จริง ๆ แค่เขามองธรรมดาอาตมาร่วงไปกองกับพื้นเลย

ถาม : มีเด็กคนหนึ่งพ่อแม่เขาบอกว่าชอบหลบตาคน หนูเห็นรู้เลยว่าตาเขามีอำนาจ
ตอบ : คงจะลักษณะเดียวกับของนันทา นันทานี่เพื่อนทั้งห้องกลัวหมด เขาเป็นคนเงียบ ๆ แล้วนั่งเหลือบตาลงต่ำอยู่เรื่อย แม้กระทั่งครูยังไม่กล้าถามเลย คงจะประเภทลูกหลานพระยายมมาเกิด ตาเขามีอำนาจรุนแรงมากเลย

ถาม : เป็นกรรมหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อันนี้เขาเรียกกัมมวิปากชาฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ที่เกิดขึ้นโดยวิบากกรรม

เถรี
25-07-2013, 20:14
ถาม : คนที่ทำบุญตั้งใจไปเกิดเป็นพญานาค ?
ตอบ : ไปได้..นั่นเป็นความตั้งใจของเขา จัดเป็นอธิษฐานบารมี ในเมื่อเจตนาเขามุ่งมั่นอย่างนั้น บวกกับแรงบุญหนุนส่ง เขาก็จะไปเกิดในสถานที่นั้น เขาตั้งใจไปว่าจะเป็นอย่างนั้น ถึงเวลากรรมก็ปรุงแต่งให้เขาเป็นอย่างนั้น

เถรี
25-07-2013, 20:43
ถาม : คนที่เกิดที่พรหมชั้นที่ ๑๑ เป็นคนประเภทไหน ?
ตอบ : เป็นบุคคลที่ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิระดับฌาน ๔ แล้วมีความสุขอยู่ในสมาธิ ไม่ยอมคลายออกมา ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยไม่รับรู้เรื่องภายนอก ก็อยู่อย่างนั้นไปเรื่อย

ถาม : แสดงว่าท่านอยู่ในอภิญญาสมาบัติ ?
ตอบ : เป็นอำนาจของฌานสมาบัติ แต่ท่านไปด้วยฌาน ๔ อย่างเดียว แล้วมีความสุขอยู่ในฌานนั้นไม่ยอมคลายจิตออกมา เกาะมั่นเลย ในเมื่อเกาะมั่นไม่ยอมคลายก็เลยเป็นอย่างนั้น ถึงเวลารับรู้อะไรไม่ได้ เพราะว่าสมาธิดำเนินอยู่ข้างในอย่างเดียว ถึงเป็นรูปพรหมอยู่ก็กลายเป็นหมันไปเลย ก็คือรับรู้อะไรข้างนอกไม่ได้

เถรี
25-07-2013, 20:45
ถาม : การหลุดจากลมหายใจเข้าออกคืออะไรคะ ?
ตอบ : คิดเรื่องอื่น ไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออก พูดง่าย ๆ คือฟุ้ง

เถรี
25-07-2013, 20:51
ถาม : คนรอบข้างเขาบอกว่า เวลาหนูทำงานมีสมาธิกับงานมากเกินไป ไม่ได้ยินเสียงคนอื่น จริง ๆ แล้วเราทำงานหนักแต่จิตเราก็นิ่ง หนูก็เลยไม่รู้ต้องแก้อย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ถ้าสภาพจิตนิ่ง ข้างนอกจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เป็นลักษณะของสมาธิใช้งาน เหมือนกับน้ำก้นบ่อลึก ๆ ปากบ่อกระเพื่อมไปตามแรงลม แต่น้ำก้นบ่อยังนิ่งอยู่ ถ้าอย่างนั้นถึงจะใช้ได้

เถรี
25-07-2013, 21:03
ถาม : บางทีเห็นของกินสิ่งนี้่แล้วบอกว่าไม่กิน เพราะต้องจ่าย แต่ก็อดไม่ได้ ?
ตอบ : เป็นเพราะกิเลสชวน ที่เขาบอกว่า “อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกถ้าอดเสน่หา” ไม่ตายหรอกแต่ทรมาน ...(หัวเราะ)...

เถรี
25-07-2013, 21:10
ถาม : ทางไปสวรรค์ไปอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าตรงไปข้างหน้าเป็นนรก ถ้าซ้ายมือหน่อยจะเป็นสวรรค์ ถ้าขวามือเป็นพรหม เลือกเอาว่าจะเลี้ยวไปทางไหน ? แต่ถ้าไปในสภาพจิตที่ละเอียดจริง ๆ ตรงทาง ๓ แพร่งจะมีเสาใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง เขาเรียกเสาอินทขีล เป็นการกั้นเขตระหว่างโลกมนุษย์กับโลกอื่น ตรงนั้นจะมีเทวดารักษาอยู่ท่านหนึ่งเรียกท่านว่า "ลุงอิน" ก็ได้ ถ้าไปไหนไม่ถูกให้ถามท่าน ท่านจะบอกทางได้

ส่วนใหญ่ลูกหลานหลวงพ่อวัดท่าซุงไร้มารยาท ไปทีเดียวก็พรวดข้ามหัวท่านไปทุกที คราวหน้าหัดไปช้า ๆ ดูบ้าง จะได้รู้รายละเอียดว่าอะไรอยู่ที่ไหน แล้วเราจะได้รู้ว่าทำไมวัดทางเหนือถึงได้นิยมสร้างเสาอินทขีล อินทขีลจริง ๆ ก็คือหลักเขต เหมือนกับปัจจุบันเวลาเราซื้อที่ก็มีหมุดหลักของกรมที่ดิน เขาจะแสดงอาณาเขตให้เรารู้

เถรี
27-07-2013, 20:05
ถาม : องค์พระมาลัยมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : มัวแต่สงสัยอยู่นั่นแหละ..เราก็คิดว่ามีองค์จริงก็แล้วกัน

ถาม : ถ้ามีจริงแล้วถ้าเราเอาเรื่องพระมาลัยมาตีความ ?
ตอบ : แล้วทำไมถึงต้องตีความ ?

ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)......เป็นการปรามาส ?
ตอบ : ไม่สมควร ประวัติพระมาลัยมีอยู่ บอกไว้ชัดว่าเป็นคนที่ไหน เกิดเมื่อไร หาในอินเตอร์เน็ตก็มี

ถาม : เราสามารถแต่งเติมเนื้อหาเข้าไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : เติมเข้าไปได้ แต่เติมในลักษณะเสริมเกียรติของท่าน อย่าไปเติมในลักษณะทำให้ท่านเสียหาย

เถรี
27-07-2013, 20:11
ถาม : ฤกษ์ที่จะสร้างโบสถ์ ไปตรงกับวันอัฏฐเสาร์ นวศุกร์ สร้างบ้านได้ไหมครับ ?
ตอบ : เขาบังคับว่าพวกนี้เป็นฤกษ์สร้างอุโบสถ ห้ามสร้างบ้าน คุณไปตีความตรงกันข้ามหมด ศุกร์ ๙ ค่ำ เสาร์ ๘ ค่ำ ให้สร้างโบสถ์อย่างเดียว ห้ามทำอย่างอื่น
ถาม : ใช้ตอนวางศิลาฤกษ์ ?
ตอบ : เอาไว้วางศิลาฤกษ์หรือยกเสาเอก

ถาม : ต้องใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหาฤกษ์ที่ตรงกับพรหมประสิทธิ์ได้ดีกว่า ไหน ๆ ก็ทำแล้วให้ก็สบายใจว่าดีทุกอย่าง คุณเรียนจุฬาฯ มาหรือเปล่า ?

ถาม : ครับ
ตอบ : คนจบจากจุฬาฯ จะมีการพูดลักษณะเดียวกันหมด อาตมาฟังดูจะรู้ ไม่ต้องใช้ความเป็นทิพย์เลย พวกเราต้องหัดสังเกตดู พวกนิสิตจุฬาฯ จบมาจะพูดแบบเดียวกันหมด

เราต้องช่างสังเกต คิดดูว่ากิเลสละเอียดมาก ถ้าเราไม่ช่างสังเกตจะกันกิเลสไม่ทัน พอช่างสังเกตเรื่องพวกนี้ก็กลายเป็นเรื่องหยาบ ๆ เท่านั้น ไปเจอพวกนิสิตจุฬาฯ มากี่คนพูดลักษณะเดียวกันหมดเลย

เถรี
27-07-2013, 20:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ดู่ท่านสร้างพระอัศจรรย์มาก ถ้าพระธาตุขึ้นนี่ขึ้นเต็มองค์เลย ท่านสร้างพระเหนือพรหมเป็นรูปของท้าวพกพรหม แล้วมีพระพุทธเจ้าองค์เล็ก ๆ อยู่บนเศียร"

เถรี
28-07-2013, 13:41
ถาม : ในเรื่องศีลห้า ผมไปอ่านเจอเขาบอกว่าศีลข้อ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ ต้องมีเมตตา กรุณา มีความละอาย ?
ตอบ : เมื่อวันวิสาขะฯ ที่ผ่านมา อาตมาอธิบายให้เด็กฟังว่า เราจะไม่ฆ่าสัตว์และไม่ทำร้ายสัตว์โดยเจตนา ถึงเวลาให้ศีลจะให้เป็นบาลีแล้วแปลไทยทีละข้อ เช่น ข้อที่ ๒ อทินนาทานา เวรมณี ข้าพเจ้าจะเว้นจากการลักขโมยและเว้นจากการหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ อธิบายให้เขาฟังทีละข้อ

กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี ข้าพเจ้าจะงดเว้นจากการแย่งคนรักของคนอื่น แย่งของรักของคนอื่น เด็ก ๆ นี่แย่งของเล่นก็ไม่ได้นะ แย่งก็ผิดศีล

ถาม : รวมถึงของเล่นด้วยหรือครับ ไม่ได้อยู่ในข่ายศีลข้อที่ ๒ หรือครับ ?
ตอบ : อยู่ในข่ายกาเมสุมิจฉาจาร ก็คือไปแย่งของรักของคนอื่น ถ้าเป็นของเล่นเขา บางทีเด็กเขาไม่ได้ตั้งใจขโมยหรอก แต่เห็นคนอื่นเล่นแล้วตัวเองก็อยากเล่นบ้าง ไปกระชากเขามาเลย

เถรี
28-07-2013, 13:44
เราต้องอธิบายให้ละเอียด เรื่องจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ในปัจจุบันไม่มีพระรูปไหนทำได้ครบ เพราะถ้าอธิบายแล้วทำได้ครบนี่ตายเลย กระดิกไม่ได้เลย แม้กระทั่งในเรื่องของการปลุกเสกเลขยันต์ก็แตะไม่ได้เลย การดูหมอ ดูดวงก็ไม่ได้เลย

ถาม : อยู่ที่เจตนาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เจตนาเขาต้องตั้งไว้ในการสงเคราะห์คน ไม่ได้ทำเพื่อลาภ

ถาม : ถือว่าเป็นการผิดวินัยสงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : พระวินัยสงฆ์ไม่ได้บอกรายละเอียดไว้มากขนาดนั้น แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเพราะว่าคนอินเดียสมัยนั้นส่วนใหญ่ไปสุดโต่ง ในเมื่อไปสุดโต่ง อธิบายละเอียดหน่อยก็เป็นการดีสำหรับพวกเขา ที่พราหมณ์เขาบอกว่าสมณโคดมก้มหน้ากินหรือเงยหน้ากิน พระพุทธเจ้าบอกว่าท่านไม่ได้พินิจแผ่นดิน ไม่ได้ดูหมอดูดวงอะไร ท่านจึงไม่ได้ก้มหน้ากิน และไม่ได้เงยหน้ากิน เพราะการดูดวงต้องพิจารณาจากดวงดาวต่าง ๆ ก็ต้องเงยดู

เถรี
28-07-2013, 13:47
ถาม : ถ้าต้องอาบัติปาราชิก ไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นพระได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : หมดสิทธิ์เลยจ้ะ บวชใหม่ก็ไม่เป็นพระ เอาผ้าเหลืองไปห่มตอดีกว่า อย่างน้อยไหว้ผ้าเหลืองก็ยังได้อนุสติอยู่บ้าง

ถาม : ถ้าปาราชิกวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ทำสังฆกรรม ?
ตอบ : เจ๊งตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องสงสัยหรอก สมัยนี้สังฆกรรมที่บริสุทธิ์หายากขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี
28-07-2013, 13:50
(คุยกับเด็ก) "น้องญาไปโดนอะไรมาจ๊ะ ? เห็นเป็นแผล"

ถาม : โดยยุงกัดค่ะ ขาลายไปหมด
ตอบ : ราคาค่าตัวตกหมดเลย น้องญาต้องฝึกสมาธิให้ได้ฌาน ๔ แล้วยุงจะไม่กิน เมื่อสมาธิทรงตัว ลมหายใจจะเหลือแต่ลมละเอียด ลมละเอียดก็เท่ากับไม่มีลมหายใจในความรู้สึกของคนทั่วไป ในเมื่อถึงระดับนั้นร่างกายก็เหมือนกับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง พวกยุงมาแล้วตามความร้อนไม่ได้ จะเลยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ใช่ว่าไม่กินนะ ถ้ายุงตามความร้อนได้ก็กิน แต่นี่ตามไม่ได้ คิดว่าเป็นท่อนไม้ก็เลยไม่กิน

เถรี
28-07-2013, 14:08
ถาม : ผู้นับถือศาสนาอื่นสามารถปฏิบัติในกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ จะว่าไปแล้ว ถ้าศาสนาอื่นเขารู้วิธีทำ เขาก็ทำได้ทั้งหมดนั่นแหละ แต่มีอยู่ข้อหนึ่ง คือ ทิฎฐุชุกรรม การมีความเห็นเป็นสัมมาทิฐิ บางศาสนาจะทำไม่ได้ เพราะว่าหลักการผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : เผอิญว่าหนูมีเพื่อนต่างชาติเป็นคริสต์ค่ะ
ตอบ : ถ้าเป็นพวกคริสต์ จะคาทอลิก โปรแตสแตนต์ มอร์มอน หรือ ออร์โธดอกซ์ทำได้ทั้งนั้น

ถาม : ในเรื่องของทาน ?
ตอบ : เขากันทำเป็นปกติ เพียงแต่เขาทำในลักษณะที่ว่า ช่วยเหลือเฉพาะคนของเขา

ถาม : เคยถามเขา เขาจะมีอธิษฐานด้วย
ตอบ : อาตมาอยู่กลางดงอิสลามมาหลายปี ไปกินบุญเขามานับงานไม่ถ้วนแล้ว ชอบงานอิสลามอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาเราไปแล้วขากลับเขาจะให้ค่ารถกลับ ปกติงานบ้านคนไทยเราต้องเอาเงินไปช่วยเขา แต่งานบ้านอิสลามนี่ต้องให้เงินคนไปร่วมงาน

เถรี
28-07-2013, 20:04
ถาม : การเจริญอนิจสัญญาทำอย่างไร ?
ตอบ : เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง คน สัตว์ วัตถุสิ่งของ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด พูดง่าย ๆ ว่ามองไปทางไหนก็ต้องเห็นให้ได้อย่างนั้น

อย่างเช่น เห็นต้นไม้ก็จากต้นเล็ก ๆ โตขึ้นมาสูงสักคืบ สูงสักศอก สูงสักวา ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ท้ายสุดก็ตาย เห็นคนก็คิดว่า นี่เด็กเล็ก นี่เด็กโต นี่หนุ่มสาว นี่วัยกลางคน นี่คนแก่ เดี๋ยวก็ตายเหมือนกัน จะเห็นลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีแต่ความเป็นอนิจจัง หาความแน่นอนไม่ได้ ของทุกอย่างก็เห็นลักษณะเดียวกัน แม้แต่ของที่แข็งแรงอย่างเรือนชานบ้านช่อง ตอนนี้ใหม่อยู่อีกไม่นานก็ค่อย ๆ เก่า ท้ายสุดไม่เกิน ๒๐๐ - ๓๐๐ ปีก็พังหมดเหมือนกัน

ถาม : แรก ๆ ก็คือจำ ?
ตอบ : ตอนแรกก็คือรู้ในลักษณะที่ศึกษามาว่าเป็นอย่างนั้น แต่พอพิจารณาไป ๆ ปัญญาถึง สภาพจิตจะยอมรับจริง ๆ ว่าเป็นอย่างนั้น ถ้ายอมรับจริง ๆ เมื่อไรนั้นถึงจะเป็นของแท้

ถาม : แล้วนิโรธสัญญา ?
ตอบ : อันนั้นอยู่ในลักษณะของนิโรธสมาบัติเลย เข้าถึงความดับ โลกียะก็ไม่เอา โลกุตระก็ไม่เอา ผ่ากลางไปพอดี ๆ เลย อันนี้เป็นเรื่องอธิบายยาก ค่อย ๆ ทำให้ถึง

ถาม : ถ้า... ?
ตอบ : อย่าเดา ถ้าเดาเดี๋ยวผิด เรื่องของธรรมะ “คิดว่า คาดว่า” ไม่ได้ ต้องประเภทเข้าถึงแล้วเป็นปัจจัตตัง อธิบายเป็นภาษาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นพูดมาเราจะรู้ว่าใช่

ถาม : นิโรธสัญญาเป็นกรรมฐานที่นอกจากกรรมฐาน ๔๐ หรือครับ ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วก็อยู่ในกรรมฐาน ๔๐ นั่นแหละ เพียงแต่ว่าบุคคลที่ทำจนคล่องตัวจริง ๆ ก็เหมือนอย่างกับต่อยอดขึ้นไปได้อีกหน่อย อยู่ในระหว่างของโลกียะและโลกุตระ อยู่ในระหว่างกึ่งกลางของสมถะและวิปัสสนา ไม่เอาอะไรเลย

เถรี
28-07-2013, 20:09
ถาม : ปฏิฆานุสัย ก็คืออารมณ์กระทบกระทั่งทั้งด้านดีและด้านร้าย ?
ตอบ : ต้องบอกว่าทั้งด้านดีและด้านร้าย ถ้าดีเราไปยินดี ถ้าร้ายเราไปยินร้าย ทำให้เกิดการปรุงแต่งได้ทั้งคู่ ปฏิฆะเหมือนกับสะเก็ดไฟที่เริ่มติด ถ้าเราไปปรุงแต่งต่อก็จะเป็นราคะหรือโทสะ กลายเป็นราคัคคิ โทสัคคิ ไฟราคะหรือไฟโทสะก็ผลาญเรา ปฏิฆะเหมือนกับเอาหินเหล็กไฟมากระแทกกัน

ถาม : กามราคานุสัยเป็นผลเนื่องมาจากปฏิฆานุสัย ?
ตอบ : กามราคานุสัยส่วนใหญ่ไปทางราคะและโลภะ ปฏิฆานุสัยส่วนใหญ่จะไปทางโทสะ ฉะนั้น..จะว่าเนื่องกันไหม ? ก็มีสิทธิ์เนื่องกันได้ เพราะว่าในเมื่อไม่ได้อย่างใจก็จะโกรธ

เถรี
28-07-2013, 20:15
ถาม : บุคคลที่ยอมรับกฎของกรรมต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไปหรือคะ ?
ตอบ : ตั้งแต่พระโสดาบันไปเขาก็ยอมรับกฎของกรรมกันหมดแล้วจ้ะ

ถาม : แล้วท่านไม่ช่วยเลยหรือคะ ?
ตอบ : ช่วย...แต่ต้องดูว่าเกินวิสัยหรือเปล่า ? เมตตาได้ กรุณาได้ แต่ถ้าเกินวิสัย เกินกำลัง ท่านก็อุเบกขา แล้วถ้าท่านทั้งหลายเหล่านี้อุเบกขาก็เบรกได้หนักกว่าเรา เพราะกำลังใจของท่านสูงกว่ามาก

ถาม : คนที่ยังตามหลังก็ต้องระวังตัวเอง
ตอบ : อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน รับรองได้ว่าอาศัยได้แน่นอน ถ้าหวังจะพึ่งพระท่านก็ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม

เถรี
29-07-2013, 10:31
ถาม : คำว่า สัพพะกายะปะฏิสังเวที คืออะไร ?
ตอบ : บอกถึงความสงบระงับของสังขารทั้งปวง โดยเน้นเอากายสังขารเป็นใหญ่ ก็คือถ้าระงับกาย ระงับใจได้ แม้กระทั่งตัวสังขารคือการปรุงแต่งก็จะระงับไปได้ด้วย จะเข้าถึงความสงบที่เขาเรียกว่าสันติในระดับแรกเริ่ม

ถาม : ดูกองลมเข้าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาใช้คำว่า ระงับกายสังขารดูกองลมเข้า ระงับกายสังขารดูกองลมออก จริง ๆ แล้วก็คือสภาพจิตที่ไม่ปรุงแต่ง เอาความรู้สึกทั้งหมดแนบชิดอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว

ถาม : คำว่าสัพพะกายะ หมายถึงกองลมกายในอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : กองลมเป็นกายใน ตัวเราเป็นกายนอก สภาพร่างกายที่เป็นกายนอก กับกองลมที่เขานับเป็นกายใน ต้องสงบระงับด้วยกันทั้งคู่ คราวนี้การที่เราจะสงบระงับกายสังขารข้างใน แปลว่าสมาธิต้องทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว

ถาม : เวลาเรากำหนดกองลม เหมือนกับว่าเรารู้การเคลื่อนไหวของกายภายใน ก็แสดงว่าไม่ได้รู้แต่ลมอย่างเดียว ?
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดจริง ๆ จะรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งคำภาวนาเป็นอย่างไร ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้นอย่างไร จะกำหนดรู้พร้อมมูลไปหมด อธิบายแล้วเป็นคำพูดที่ยาวมาก แต่ว่าตอนช่วงนั้นเกิดขึ้นแวบเดียวเท่านั้นเอง

ถาม : แสดงว่ารวมทั้งกายในกายนอก ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าต้องรวมทั้งกายในกายนอก

เถรี
29-07-2013, 14:20
ถาม : ในระดับพระนางวิสาขาท่านเป็นพระโสดาบัน ตัดสักกายทิฐิได้แล้ว แต่ทำไมนางยังมีความอาลัยอยู่ ?
ตอบ : มีคำหนึ่งที่บาลีใช้คำว่า อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่าถอนเสียซึ่งความอาลัยได้ ต้องเป็นระดับพระอนาคามีขึ้นไป ถ้ายังไม่ถึงระดับนั้นก็ยังเหมือนนางวิสาขา แล้วเราอย่าลืมว่าพระโสดาบันมีตั้ง ๓ ระดับ ถ้าเป็นระดับต้นอย่างสตฺตกฺขตฺตุปรมะอย่างไรก็ยังมีกิเลสเต็ม ๆ เหมือนฆราวาส เพียงแต่ว่าท่านอยู่ในกรอบของศีลเท่านั้น

ถาม : พระโสดาบันยังลุ่มหลงกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่หรือครับ ?
ตอบ : ก็ยังมีความผูกพันต่าง ๆ ทั้งปวงเหมือนปกติ เพียงแต่เป็นไปในกรอบของศีล เพราะฉะนั้น..จะหัวเราะจะร้องไห้ก็ยังเหมือนกับคนปกติ แต่ที่มีมากกว่าคนปกติคือความเคารพในพระรัตนตรัย ความสมบูรณ์ของศีล และมีปัญญาที่มองเห็นสภาพความเป็นจริงว่า อย่างน้อยเราก็ต้องตาย มีต่างกับคนธรรมดาอยู่ตรงนี้เอง

ถาม : พระโสดาบันยังมีความกลัว ?
ตอบ : ก็มีเป็นปกติ ต้องบอกว่าท่านกลัวแบบมีสติ รู้ว่ามรณภัยมาถึงก็มีความกลัวเหมือนกัน แต่มีความมั่นใจว่าคติคือที่ไปของตนนั้นดีแน่ แล้วก็มีที่ยึดเกาะของตนก็คือพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้น ฉะนั้น..ความกลัวของท่านเป็นความกลัวลึก ๆ เพียงแต่ว่าสภาพจิตของท่านมุ่งตรงและมีที่ยึดเกาะคือพระรัตนตรัย ก็เลยทำให้ไม่ได้กลัวจนขาดสติเหมือนกับพวกเรา

เรื่องกลัวจนขาดสตินี่ต้องคุณย่าของอาตมาเอง ก่อนท่านตาย ๗ วัน ท่านเห็นคนจะมาเอาชีวิต พวกเราที่เป็นลูกเป็นหลานเข้าไปเรียกให้กินข้าวท่านไม่ฟังเสียง ไม้เท้าในมือจะหวดไม่เลือกหน้า เข้าไปแต่ละทีนี่แทบจะเสี่ยงชีวิต ย่าคิดว่าเขาจะมาเอาชีวิตอย่างเดียว ไม่ได้สนใจว่าเป็นลูกเป็นหลานหรือเปล่า พอเข้าใกล้ก็ตีไว้ก่อน

เถรี
29-07-2013, 14:29
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อุทธัจจะจริง ๆ เป็นตัวท้าย ๆ แล้ว คือความฟุ้งซ่านอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล อย่างเช่นเห็นบุญยังดีก็ทำ เลยกลายเป็นติดดีไป เราต้องไม่ลืมว่าอุทธัจจะสังโยชน์นั้นเลยสังโยชน์ ๕ ไปแล้ว บุคคลที่ล่วงพ้นสังโยชน์ ๕ คือพระอนาคามี

ในเมื่อเป็นพระอนาคามี เราก็มาดูว่าความฟุ้งของท่านยังมีอย่างไรอยู่ ก็เหลือแค่ว่าจิตที่มีสภาพเป็นกุศล อย่างเช่นว่ายังเห็นว่าผลบุญนั้นดี ผลบุญนี้ดีก็ยังทำอยู่ ขณะเดียวกันก็เห็นว่าตนเองยังเข้าไม่ถึงความเป็นอรหัตผล ก็ยังมีจิตฟุ้งต้องการอรหัตผลอยู่ ต้องเรียกว่าเป็นการฟุ้ง ถ้าสำหรับคนทั่ว ๆ ไปก็คือคิดดี แต่ของท่านก็คือความฟุ้ง

เถรี
29-07-2013, 14:33
พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องบันทึกการเดินทางไปยุโรปเดี๋ยวไว้มีโอกาสจะเขียนให้ ตอนนี้เรื่องไปอินโดฯ ยังไม่จบ ไปเขมรกับไปจีนยังไม่ได้เริ่ม แต่ไปยุโรปอีกแล้ว มีคนเขาถามว่าจำอะไรได้หนักหนาขนาดนั้น อาตมาบอกไปว่า “ถึงเวลาก็เปิดเทปดูย้อนหลังสิวะ” ง่ายจะตายไป

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า การบันทึกประจำวันเท่ากับเป็นอตีตังสญาณอย่างหนึ่ง เพราะเราต้องนึกว่าเราทำอะไรไปบ้าง ฉะนั้น..ตอนที่ท่านสอนให้ฝึกอตีตังสญาณ ท่านให้ย้อนจากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นครึ่งวัน จากหนึ่งวันเป็นวันที่แล้ว ๒ วัน วันที่แล้ว ๓ วัน ท่านให้ซ้อมไปเรื่อย สามารถย้อนไปได้จนกระทั่งอยู่ในท้องแม่ แล้วก็ก่อนที่จะเข้าท้องแม่ ย้อนหลังไปได้เรื่อย ๆ

ถ้าสมาธิไม่มั่นคง ถึงเวลาเริ่มเลือนก็ถอยออกมาเข้าสมาธิใหม่ ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวใหม่ แล้วค่อยย้อนใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ถ้าไม่ทำแล้วจะไม่ชัด ระยะหลัง ๆ จะไม่รู้เรื่องก็เริ่มต้นใหม่ เข้าสมาธิแล้วก็ไปใหม่

แต่ละคนกำลังไม่เท่ากัน บุคคลที่ระลึกได้ไม่จำกัดชาตินี่ในระดับของพระสาวกมีแค่ ๓ - ๔ ท่านเท่านั้น อย่างเช่นพระมหากัสสปะ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระนางพิมพาเถรี นอกนั้นก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เหลือนี่จำกัด คำว่า "ไม่จำกัด" ก็คือรู้ได้ทุกชาติ ตั้งแต่เกิดชาติแรกมาถึงปัจจุบัน ส่วนที่เหลือ ๆ ก็อาจจะได้สักแสนชาติบ้าง กัปหนึ่งบ้าง ๓ กัปบ้าง ๕ กัป ๑๐ กัปบ้าง"

เถรี
29-07-2013, 14:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของทานบารมี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือพระพุทธกัสสปะกับพระพุทธทีปังกร ทั้งสองพระองค์มาด้วยทานบารมี ซึ่งปกติเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกพระองค์ก็จะมีลาภมากเป็นพิเศษ แต่ทั้ง ๒ พระองค์นี้เนื่องจากเริ่มต้นด้วยทานบารมี ฉะนั้น..ลาภของพระองค์ท่านจะมีหนักกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าบูชาทั้ง ๒ พระองค์นี้ รำลึกถึงเป็นปกติ หลวงพ่อท่านบอกว่าช่วยในเรื่องของลาภผลได้ดี

แต่ว่าทั้ง ๒ พระองค์ก็อยู่ในลักษณะว่าการสร้างทานบารมีไม่เหมือนกัน พระองค์หนึ่งก็นิยมประเภททุ่มทีเดียว อีกพระองค์หนึ่งนิยมทำเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..พระองค์หนึ่งก็ลาภมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสายเหมือนกับน้ำไหล อีกพระองค์หนึ่งมาตูมตามเป็นคลื่นทะเลเลย อาจจะถึงระดับสึนามิก็ได้"

เถรี
29-07-2013, 14:36
ถาม : สภาพจิตที่เราสามารถเห็นได้เป็นรูปธรรมเลยเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : สภาพจิตของเราจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ต้องมีทิพจักขุญาณด้วย คราวนี้รูปธรรมที่เราเห็นมี ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งคือเห็นเป็นลักษณะของดวง จะเป็นดวงกลมใสสว่างตามกำลังบุญของเรา อีกลักษณะหนึ่งคือเห็นเป็นกายเลย ลักษณะร่างกายก็เป็นไปตามกำลังบุญในตอนนั้น

เถรี
29-07-2013, 15:03
ถาม : การที่วัดต่าง ๆ นำเอากระเบื้องโบสถ์เก่า ๆ มาให้เช่าบูชา เมื่อเราเอามาเช่าบูชาที่บ้าน ถือว่าเป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ติดหนี้สงฆ์ เพราะค่าเช่าบูชาเท่ากับชำระหนี้สงฆ์ไปแล้ว

ถาม : ถ้าเป็นพระกรุละครับ ในกรุแตกแล้วเขาเอามาให้บูชา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องมีคณะกรรมการที่เป็นสงฆ์ มีความเห็นร่วมกันกำหนดราคาขึ้นมา ถ้าทุกคนมีความเห็นร่วมกันว่าราคาเท่านี้ เราไปบูชามาก็ไม่ถือว่าติดหนี้สงฆ์ แต่ถ้างุบงิบทำกันเองแค่ไม่กี่คนก็โดนแน่ ๆ..!

เถรี
29-07-2013, 15:12
ถาม : พระสงฆ์ออกรับบิณฑบาตแล้วพบกับคนชราหรือขอทานที่อดอยาก สามารถให้ทานโดยแบ่งอาหารให้กับผู้นั้นได้เลยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่งลงปูผ้าฉันอย่างเป็นทางการแล้วที่เหลือค่อยให้เขา

ถาม : ถ้าเกิดบิณฑบาตอยู่ข้างทางละครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าอนุญาตให้เฉพาะพ่อกับแม่เท่านั้น มีอย่างเดียวคือต้องให้เหลือจากการฉันก่อน แล้วคราวนี้พระเราส่วนใหญ่จะให้เหลือคือต้องฉันแล้ว ถ้าท่านที่เคร่งครัดหน่อย ถึงฉันไปแค่คำเดียวก็คือฉันแล้ว ต้องอดไปเลย ที่เหลือก็เอาให้โยมไป

มีทางเดียวคือปูผ้าฉันอย่างเป็นทางการ เหลือแล้วก็ยกให้โยมไป

ถาม : ถ้าได้รับการจัดแบ่งจากคณะสงฆ์เรียบร้อยแล้ว ออกมาแจกจ่ายได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสังฆทาน ได้รับการอปโลกน์แล้ว ก็กินได้แค่ในวัดเท่านั้น เอาออกจากวัดไปก็ยังมีโทษอยู่ดี

ถาม : ถ้าพระมีปัจจัยแล้วให้โยมไปซื้อข้าวกิน ?
ตอบ : สะดวกกว่าเยอะเลย แต่ต้องเป็นเงินส่วนตัวนะ มีผู้หญิงอุ้มลูกมาหาอาตมา "หลวงพ่อ..ขอเงินกินข้าวยี่สิบ" อาตมาล้วงทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่หกสิบบาท บอกว่า "เอาไปสี่สิบแล้วกัน ยี่สิบจะไปพอกินอะไร" อย่าไปถามและอย่าไปคิดว่าเขาหลอกเราหรือไม่หลอก เป็นบุญลาภอันใหญ่แล้วที่เขามาขอเรา รีบให้ไปเลย

เถรี
31-07-2013, 09:54
ถาม : ซองปัจจัยที่โยมถวายมา ถือว่าเป็นของส่วนองค์ของพระถูกหรือไม่ครับ ? เมื่อลาสิกขาแล้ว นำกลับไปใช้ส่วนตัวได้หรือไม่ ? หรือควรนำไปทำบุญให้หมดครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าหาเรื่องลงอเวจีแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ต่อให้เขาระบุว่าเป็นเงินส่วนตัวก็ต้องใช้ในสิ่งที่สมควรเท่านั้น เช่น เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ส่วนที่เหลือก็ให้ผลักเข้ากองบุญการกุศลอันใดอันหนึ่ง เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้กับผู้ถวาย แต่นี่เขาถวายมาไม่ได้บอกว่าส่วนตัวหรือไม่ ก็ไปยึดเป็นส่วนตัว แปลว่ากำลังหาเรื่องไปที่ดี ๆ แล้ว..!

ถาม : แล้วถ้าเขาบอกว่าอันนี้ถวายส่วนองค์ พอลาสิกขาแล้วเอามาใช้ได้ ?
ตอบ : เงินส่วนตัวตอนเป็นพระ ไม่ใช่เงินส่วนตัวตอนเป็นฆราวาส ถ้าเอาไปใช้ก็สวัสดี..!

เถรี
31-07-2013, 09:56
ถาม : เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ผมอายุ ๒๕ ปี ผมตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เหงื่อแตกเยอะมาก หนาวสั่นไปทั้งตัว ก็เลยคิดว่าเรากำลังจะตายแล้ว ผมเริ่มคิดมาก ฟุ้งซ่าน เคยได้ยินคนแก่บอกว่าถ้าตายตอนเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า ยังไม่ได้กินอะไร คนข้างหลังจะสบายเพราะยังไม่ได้กินอะไรไปเลย ผมดูนาฬิกาเป็นตอนตีสอง เห็นว่าตายตอนนี้ได้ไม่เป็นไร นอน ๆ ไป อยู่ดี ๆ ก็นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งว่า "สุปฏิปันโน พระสงฆ์รักษาโรค" เลยนอนนึกถึงประโยคนี้ไปเรื่อย ทีนี้ได้ยินเสียงมาพูดข้างหูว่า "ลูกศิษย์หลวงพ่อปานไม่ต้องกลัว" ก็เลยลืมตาขึ้นมาดูว่าใคร แล้วอาการที่เป็นอยู่ทั้งหมดก็หายไป ตัวก็อุ่นขึ้นและหลับไปจนถึงเช้า กราบเรียนถามว่า คนที่ใกล้จะตาย ๆ จริง ๆ อยู่คนเดียว เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีใครหรือท่านใดมาบอกข้าง ๆ ตัว ?
ตอบ : เป็นไปได้ทุกคน เพียงแต่อย่าตกใจก็แล้วกัน ส่วนใหญ่ใกล้ตายจะมีนิมิตบอกเหตุ หรือไม่ก็สารพัดท่านที่มาหา แต่ไม่รู้ว่าจะดึงลงหรือดึงขึ้น..!

ถาม : คนที่มาพูดข้างหูผมเป็นใครครับ ?
ตอบ : ถามท่านสิ..ท่านไม่ได้พูดกับอาตมานี่หว่า

ถาม : ถ้าโอกาสหน้ามีอาการอย่างนี้อีก ผมจะภาวนาว่านิพพานัง กับนึกถึงพระองค์ที่ ๑๑ ที่ผมฝันถึง
ตอบ : จงนึกถึงตั้งแต่บัดนี้ ถ้ารอโอกาสหน้าอาจจะไม่มีโอกาสได้นึกทัน

ถาม : ถ้าเกิดทุกขเวทนามาก ๆ แล้วนึกอะไรไม่ออก จะมีวิธีภาวนาอย่างอื่นไหมครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้เริ่มตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่ไปรอตอนใกล้ตาย ครั้งที่แล้วถือว่าโชคดีที่สุดแล้วที่รอดมาได้

เถรี
31-07-2013, 11:47
ถาม : ตามที่มีกระแสเรื่องการล้างพิษตับด้วยการกินน้ำมันมะกอก เพื่อเอานิ่วหรือตะกอนพิษที่สะสมในตับและถุงน้ำดีออกมานั้น จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยทำ ก็เลยยังไม่สามารถบอกได้ ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

เถรี
31-07-2013, 12:02
ถาม : การแผ่เมตตาไปแล้ว มีการดึงกลับได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่อาตมาสอนอยู่นี่ มีการดึงกลับเป็นปกติเลย

ถาม : ถ้าดึงกระแสที่แผ่เมตตาออกไปนั้นกลับมา จะไม่เรียกว่าเราขาดเมตตาในตอนที่เราจะให้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของคุณปราศจากเมตตาจะเรียกว่าขาดก็ได้ ก็เขากำลังซักซ้อมความคล่องตัวอยู่ จะไปขาดได้อย่างไรเล่า ?

เถรี
31-07-2013, 12:06
ถาม : หากจะเอาโสดาปัตติผลให้ได้ โดยใช้พรหมวิหารสี่เป็นหลัก จะต้องมีวิธีการปฏิบัติสำหรับผู้ครองเรือนอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่อให้ใครเขามาฆ่าเรา ก็นอนยิ้มให้เขาฆ่าแต่โดยดี รำลึกถึงความตายว่ามีอยู่เป็นปกติ ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง วินาทีนี้เรามีศีลบริสุทธิ์ ตายแล้วไปพระนิพพาน แค่นั้นแหละ ถ้าไม่เอาพรหมวิหารยังวิ่งหนีได้ แต่นี่เอาพรหมวิหารก็นอนให้เขาเชือดเสียแต่โดยดี..!

เถรี
01-08-2013, 15:15
ถาม : การพึ่งบารมีหลวงพ่อให้คลายทุกข์หนัก ให้คลายสงสัย พอสบายตัวแล้วละเลยหลงลืมการปฏิบัติ อย่างนี้จะมีโทษในเรื่องการอกตัญญูไม่รู้คุณท่านหรือไม่ครับ ? และจะมีโทษหรือมีภัยติดตามมาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอาตมาจะปรับเรื่องปรามาสพระรัตนตรัยมากกว่า ต้องบอกว่าใช้พระ พอสบายแล้วก็ลืม ขอบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนทั่วไป พอเวลาทุกข์ก็นึกถึงพระ ตั้งใจเกาะท่านเป็นที่พึ่งสุดชีวิต แต่พอสบายขึ้นมาก็ลืมท่าน หลงลืมการปฏิบัติ เป็นอย่างนี้แทบทั้งนั้น

จริง ๆ แล้วควรยึดท่านเป็นที่พึ่งและยึดจริง ๆ ไม่ใช่ยึด ๆ ปล่อย ๆ ถ้ายึด ๆ ปล่อย ๆ ก็คือลักษณะของการปรามาสพระรัตนตรัย ลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่เอาจริง

เถรี
01-08-2013, 15:47
ถาม : เนื่องจากเคยอ่านพบว่า องค์พระจุฬามณีสร้างด้วยแก้วอินทนิลเป็นหลัก ประดับตั้งแต่กลางองค์ถึงยอดด้วยทองคำ ประดับด้วยสัตตพิธรัตนะเจ็ดประการ ภายในประดิษฐานพระเกศโมลี เข้าใจว่าผอบแก้วที่รองรับก็เป็นแก้วอินทนิลด้วย คิดว่าแก้วอินทนิลเป็นแก้วที่คู่ควรกับพระเขี้ยวแก้วเช่นนี้ ใช่หรือไม่ที่ทำให้พระอาจารย์ได้รับแก้วอินทนิลมา ในฐานะผู้รักษาพระเขี้ยวแก้ว ?
ตอบ : อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตอบไม่ได้จ้ะ

เถรี
01-08-2013, 15:51
ถาม : ถ้ามีคนปฏิบัติธรรมได้คุณธรรมระดับพระอริยะตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์ อยากทราบว่าบิดามารดาภรรยาและบุตร จะได้รับอานิสงส์เช่นเดียวกับการบวชพระหรือไม่ครับ ?
ตอบ : บิดามารดาได้ สามีภรรยาบุตรถ้าไม่ยินดีด้วยจะไม่ได้ ถ้าเป็นอาตมาก็เป็นเจ้าภาพบวชพระไปเรื่อย เก็บอานิสงส์การบวชคนอื่นไปก่อน แต่ถ้าบวชใจด้วยการทำตนเป็นพระอริยเจ้าเองได้จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง ทั้งแก่ตนเองและบิดามารดา

เถรี
01-08-2013, 15:57
ถาม : ถ้าบิดามารดาเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เห็นด้วยกับการทำบุญในเขตพระพุทธศาสนา แต่บุตรซึ่งมีสัมมาทิฐิ ขอเงินจากบิดามารดาโดยกล่าวว่าตนต้องการนำไปใช้ ขอเงินโดยไม่ได้บอกว่าจะนำไปทำอะไร แต่สุดท้ายก็นำไปทำสังฆทานบ้าง วิหารทานบ้าง ธรรมทานบ้าง ตามจำนวนที่ได้รับมา โดยไม่ได้บอกล่าวบิดามารดาให้อนุโมทนา เนื่องจากเกรงว่าท่านจะไม่พอใจ ไม่ทราบว่าบิดามารดาจะได้อานิสงส์จากการทำบุญของบุตรหรือไม่ และจะได้ผลบุญเทียบเท่ากับบุตรหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : ได้ไม่เท่า..เพราะเจตนาในการทำบุญไม่มี แต่อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็มีอยู่ แต่จะอยู่ในลักษณะของกตัตตากรรม คือ การกระทำโดยไม่เจตนา ซึ่งจะเป็นแรงกรรมตัวที่เบาที่สุด ถ้าไม่มีอะไรส่งผลกรรมตัวนี้จึงจะโผล่มา ถ้ายังมีอย่างอื่นส่งผลก็จะโดนกรรมอื่นแซงไปก่อน

เถรี
01-08-2013, 16:05
ถาม : การที่เราทำบุญในนามคนอื่น หรือเพิ่มชื่อคนในครอบครัวโดยที่เขาไม่ได้ออกเงินร่วมทำบุญไปด้วย ถือว่าเป็นการมุสาหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ถือว่าเป็นการมุสา อย่างน้อยก็ถือว่าช่วยให้เขามีชื่อฝากไว้ในพระพุทธศาสนาบ้าง ก็ชื่อติดอยู่หน้าซองทำบุญนี่นา

ถาม : แล้วได้บุญไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่โมทนาก็ไม่ได้

เถรี
01-08-2013, 17:09
ถาม : การขออโหสิกรรม ถ้าไม่ได้ขออโหสิต่อหน้าอีกฝ่าย แต่ขอผ่านโทรศัพท์ ผ่าน sms ผ่าน e-mail ผ่าน facebook หรืออื่น ๆ ถ้าอีกฝ่ายตอบว่าอโหสิกรรม ถือว่ากรรมขาดจากกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาด...ขอให้ยอมรับเท่านั้น ถือว่าโจทก์หรือจำเลยรับรู้ทั้งคู่ แล้วยินดีให้อภัยอีกด้วย

เถรี
01-08-2013, 17:17
ถาม : ถ้าเราเขียนพินัยกรรมให้ทายาทนำทรัพย์สินส่วนหนึ่งของเรา ไปทำบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์และปิดทองคำแท้หลังเราตายไปแล้ว จะถือว่าเราได้ชำระหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้ตั้งแต่คิดแล้ว ถ้าจะให้ปลอดภัยก็ทำเสียก่อนตาย แล้วค่อยเผื่อไว้ว่าอาจจะไปติดหนี้รอบใหม่ ด้วยการทำในพินัยกรรมอีกรอบหนึ่ง

เถรี
01-08-2013, 17:24
ถาม : อยู่ดี ๆ ก็มีเพื่อนมาบอกว่าพระท่านมาสงเคราะห์ แล้วให้ผมจับพระรูปพระโฉมท่านไว้เหนือหัว จะเป็นรูปพระที่ชอบ หรือรูปพระสงฆ์ที่เราชอบ องค์ใดก็ได้ แล้วระลึกถึงความสว่างขององค์ท่าน และฉายมายังตัวเรา ผมเห็นเป็นฉัพพรรณรังสีไล้ลงตัวครับ ก็ระลึกถึงที่หลวงพ่อสอนให้ทรงไว้ ผมก็ระลึกไว้ตลอด แต่เวลาระลึกถึงองค์พระ ความรู้สึกไม่เหมือนกันสักครั้ง บางทีก็เป็นพระพุทธชินราช แต่องค์สีขาว บางทีก็เป็นพระคันธารราฐสีขาว (ที่มีพระเกศาแบบโรมัน) บางทีก็เป็นพระพักตร์สมเด็จองค์ปฐม บางทีก็เป็นท่านแม่ใหญ่ บางทีก็เป็นพระปัจเจกฯ ไม่ทราบว่า ต้องทรงองค์ใดองค์หนึ่งไว้ หรือมีวิธีการอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ยึดองค์ใดองค์หนึ่งเป็นหลัก องค์ไหนมาก็เอาเถอะ ถือว่ากำไรใหญ่ทั้งนั้น ถ้ายึดองค์ใดองค์หนึ่งเป็นหลัก องค์อื่นมารู้สึกกำลังใจไม่เต็ม เราก็ไปนึกถึงองค์เดิมของเรา

ถาม : ถ้ารักพี่เสียดายน้อง ชอบทุกองค์ ?
ตอบ : เหมาหมด นิมนต์ท่านนั่งเรียงไปเลย

ถาม : มองไม่ชัดครับ ?
ตอบ : ไม่ชัดไม่เป็นไร ขอให้รู้ว่ามีก็พอ

เถรี
01-08-2013, 17:27
ถาม : ผมไปซื้อประคำข้อมือที่ทำจากหิน หินอื่น ๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร มาเจอหินตระกูลโกเมนเขียว จับขึ้นมาดู รู้สึกวูบ ๆ ตัวเบา ๆ โหวง ๆ ใจแน่นเต็มหน้าอก ก็ลองวางไปจับหินอื่น ๆ ก็ธรรมดา กลับมาจับโกเมนเขียวอีก ก็เป็นเหมือนเดิม และรู้สึกว่าไม่ใช่เราเองที่อยากได้ มีบางอย่างเขาต้องการ อาการวูบ ๆ ตัวเบา ๆ โหวง ๆ นี่คืออาการอะไรครับ ?
ตอบ : อาการจะเสียเงิน ถ้าจับประคำเป็นเพชร ไม่ใช่แค่ตัวเบาแต่กระเป๋าจะเบาไปด้วย..!

เถรี
01-08-2013, 17:32
ถาม : ตอนนี้ครอบครัวกำลังสร้างบ้าน แต่ก่อนบ้านจะเสร็จเหมือนบ้านจะแตก เพราะคนในบ้านมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน แม่บอกซ้าย พ่อบอกขวา จะทะเลาะกันในทุกจุด กราบขอความเมตตาให้กำลังใจในการสร้างบ้านเจ้าค่ะ
ตอบ : กำลังใจ...กำลังใจ...กำลังใจ ก็ เขาอยากได้นี่..จึงให้เยอะ ๆ

ถาม : เขาทะเลาะกันขอกำลังใจครับ
ตอบ : ก็ให้ไปแล้วอย่างไรล่ะ ?

เถรี
01-08-2013, 17:35
ถาม : สิ่งที่รู้เห็นจากการฝึกมโนมยิทธิคืออะไร ?
ตอบ : ทุกอย่างที่คุณอยากรู้ ก็ถ้าฝึกได้อยากรู้อะไรก็รู้หมด แต่รู้แล้วต้องมีปัญญาแยกแยะด้วย ไม่เช่นนั้นอันตราย..!

เถรี
01-08-2013, 17:40
:54bd3bbb:เก็บตกเดือนมิถุนายนปี ๕๖ หมดแล้วค่ะ:54bd3bbb:
ขออภัยด้วยที่เถรีล่าช้าค่ะ :875328cc:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน