เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖


เถรี
19-05-2013, 14:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อกลางวันฉันเพล ได้คุยกับมหาติ๊กเรื่องติดดี คือเมื่อปฏิบัติไปแล้วรู้สึกว่าตัวเองดี พอถามต่อไปว่ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองดี “อ๋อ...เปรียบเทียบกับคนอื่นเขา” ก็โดนเต็ม ๆ เท่านั้นแหละพ่อคุณ..! ถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นก็กลายเป็นสักกายทิฏฐิกับมานะถือตัวถือตน เพราะฉะนั้น..การปฏิบัติต้องพึงระมัดระวังให้หนัก ถ้าเผลอเมื่อไรก็เรียบร้อย

เคยคุยกับโยมว่า สมัยก่อนที่ปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ เมื่อทุ่มเทให้กับหลักการปฏิบัติของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็อยู่ในลักษณะที่ว่ามอบกายถวายชีวิต จนเรียกคนอื่นเป็นหลวงพ่อไม่ได้ ปลื้มอกปลื้มใจว่าชีวิตนี้เรามีครูบาอาจารย์ที่สุดยอดอย่างนี้แล้ว ไม่มีใครเหนือกว่า พอปฏิบัติไป ๆ ดูไปดูมา โอ้โฮ...สังโยชน์ตัวใหญ่เบ้อเร่อเลย สังโยชน์ซ้อนสังโยชน์ด้วย ก็คือเป็นทั้งสักกายทิฏฐิ เป็นทั้งมานะถือตัวถือตน คุณยิ่งปฏิบัติต้องยิ่งดีขึ้น ถ้ายิ่งดีขึ้น ก็ต้องยิ่งลดเรื่องของสักกายทิฏฐิและมานะลงได้ แต่นี่ลดลงไม่ได้ไม่พอ กลายเป็นเหยียบคนอื่นไปอีกต่างหาก กลายเป็นว่าพอทำดีแล้วติดดี ก็ไปไหนไม่รอด แต่กว่าจะรู้ตัวก็นาน

เรื่องอย่างนี้ต้องพิจารณาแบบไม่เข้าข้างตัวเอง ดูให้รอบด้าน ดูให้ทุกเรื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นก็แปะอยู่แถวนั้นแหละ ก็ดีเสียแล้วนี่ เลยไม่พัฒนาตัวเองต่อ"

เถรี
19-05-2013, 14:12
ถาม : แค่ไหนถึงเรียกว่าอิจฉาคะ ?
ตอบ : ไม่พลอยยินดีกับเขาก็เป็นอิจฉาแล้ว หลุดจากมุทิตาเมื่อไรก็เป็นอิจฉาเมื่อนั้น ให้ดูในลักษณะว่าเราต้องทำให้ได้อย่างเขา ถ้าดูในลักษณะนั้นก็จะกลายเป็นตัวนำเราที่จะก้าวไปสู่ความเจริญ แล้วก็ประสบความสำเร็จ อิจฉาอย่างเดียวจะไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากใจเศร้าหมอง มีแต่จะพาไปอบายภูมิ..!

เถรี
19-05-2013, 14:34
"ตอนอยู่ที่วัดเขาวง คุยกับพระครูวิลาศสรคุณ วัดประยุรวงศาวาส ท่านถามว่าทำไมไม่สร้างรูปหลวงพ่อฤๅษีฯ ให้ใหญ่มหึมาไปเลย เป็นการประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อของเราบ้าง อาตมาก็บอกว่า “สร้างได้ครับ แต่มีเหตุผลอยู่ ๒ ประการที่ไม่สร้าง ประการที่หนึ่งก็คือ หลวงพ่อคนรักก็มาก คนเกลียดก็มาก สร้างไปแล้วคนไม่ชอบเขามองเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเอ่ยปากไม่ดีคำเดียว ก็เท่ากับหานรกให้เขาแล้ว” ท่านบอกว่า “ก็สมควรแล้ว เขาอยากแส่หาเอง”

อาตมาเลยบอก “ประการที่สอง เราสร้างรูปหลวงพ่อขึ้นมาเป็นรูปเคารพ เป็นสังฆานุสติ หวังให้คนเห็นแล้วระลึกถึงคำสอนหลวงพ่อแล้วปฏิบัติตาม แต่กลายเป็นว่าเขาไปจุดธูปขอหวย ไปจุดธูปบนบานศาลกล่าวกัน แทนที่หลวงพ่อท่านจะเป็นพระผู้บริสุทธิ์ ก็โดนดึงลงมา มีราคาแค่เทพเจ้าแบบฮินดูเท่านั้น”

ท่านฟังแล้วก็ยังงง ๆ ก็เลยบอกว่า “ถ้าปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะเกิดความรู้สึกว่า เราไม่ควรทำตัวให้เป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น แม้ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เมตตาเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าเห็นชัด ๆ ว่าทำขึ้นมาแล้วคนจะลงนรกเป็นแถว ก็ยังทำขึ้นมาให้สะใจ" ครูบาอาจารย์ของเรา เราเคารพอยู่แล้ว แต่คนอื่นไม่แน่ว่าจะเคารพอย่างเรา ในเมื่อจะเป็นโทษกับคนอื่น จะทำอะไรก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง

ขนาดพระใหญ่หน้าวัดท่าขนุน ตอนนี้คนขับรถผ่านก็บีบแตรกันแล้ว แทนที่จะกลายเป็นพระพุทธเจ้า ก็กลายเป็นเจ้าพ่อไปแล้ว..! สร้างบุคคลที่บริสุทธิ์จนไม่มีใครจะบริสุทธิ์ได้ยิ่งกว่าแล้ว ยังโดนดึงลงมาเหลือแค่เทวดาเท่านั้นเอง แล้วถ้าเป็นเทวดาชั้นสูงก็ไม่ว่า นี่เป็นเทวดาชั้นต่ำอีกด้วย..!

เถรี
19-05-2013, 14:35
ถาม : เดี๋ยวนี้เขาสร้างกันเยอะ ?
ตอบ : จะทำก็ทำ เพียงแต่ทำแล้วให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษ อย่างไรเสียถ้าสร้างพระพุทธรูป คนเห็นก็รู้ว่าพระพุทธรูป แต่ถ้าสร้างรูปพระสงฆ์ คราวนี้ปากคนจะเริ่มแล้ว

ถาม : บางทีเขาก็ว่าทำไมสร้างพระพุทธรูปใหญ่กว่าที่อื่นอีก ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือสร้างแล้วให้อยู่ในลักษณะว่าสมพระเกียรติ

เถรี
19-05-2013, 15:19
ถาม : ปัจจุบันมีการใช้คำว่า "ศีลจาริณี" (อ่านว่า สี-ละ-จา-ริ-นี) อย่างแพร่หลาย อาทิ บวชศีลจาริณี เป็นต้น จึงกราบขอความเมตตาพระอาจารย์ อธิบายความหมายอย่างถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา และที่มาของคำนี้ด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่มี...โบราณมีแต่สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา คำว่า "ศีลจาริณี" เป็นคำสวย ๆ ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ในลักษณะบุคคลนี้เป็นผู้ปฏิบัติอยู่ในศีลเท่านั้น

ถาม : แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : ผู้ที่ตั้งใจประพฤติอยู่ในศีล พูดง่าย ๆ ว่ามีศีลเป็นแบบอย่าง

เถรี
19-05-2013, 15:50
ถาม : หนูมีความสงสัยในข้อธรรม เรื่องวัญจกธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหลอกลวง ๓๘ ประการ พยายามที่จะทำความเข้าใจ เพื่อที่จะได้ตรวจตัวเอง และแก้ไขให้ถูกต้อง ขอความกรุณาหลวงพ่ออธิบายเกี่ยวกับข้อธรรมนี้ด้วยนะคะ ?
ตอบ : วัญจกธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและรายละเอียดมีมาก ถ้าเอาหมด ๓๘ ข้อ วันหนึ่งยังไม่พออธิบายเลย ยกตัวอย่างที่ง่าย ๆ เช่น เราฟุ้งซ่านอยู่ แต่เรากลับคิดว่าเราปรารภความเพียร ก็คือนั่งสมาธิแทนที่จิตจะเป็นสมาธิ กลับไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ทนนั่งไปเรื่อย ๆ คิดว่าตนเองปรารภความเพียรอยู่ แสดงว่าเรื่องนี้กำลังหลอกลวงเราอยู่

ส่วนเรื่องของความลังเลสงสัย ก็บอกกับตนเองว่าเราเป็นคนรอบคอบระมัดระวัง คิดอย่างถ้วนถี่ เป็นต้น ถ้าเผลอเมื่อไรเราจะไปคิดเข้าข้างตัวเอง พูดง่าย ๆ ว่าหลอกตัวเอง หรือ เราเป็นผู้นิยมกล่าวคำหยาบ ด่าคนอื่นบ้าง แล้วก็ไปอ้างว่าเราเป็นผู้มีปกติกล่าววาจาเพื่อสะกดข่มคนชั่ว พูดง่าย ๆ ว่าเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น..!

ฉะนั้น..ในเรื่องวัญจกธรรม เป็นหลักธรรมที่ลึกซึ้งมาก แบบวันก่อนที่บอกไว้ว่า แบกมานะไว้เต็มตัว แต่คิดว่าเราดี ปฏิบัติธรรมไปแล้วคิดว่าตนเองดี ถามว่าดีอย่างไรก็เปรียบเทียบกับคนอื่น อ้าว..เป็นการยกตัวเองเหนือคนอื่น ก็คือมานะดี ๆ นี่เอง ถ้าจะศึกษาวัญจกธรรมลองดูในพระไตรปิฎกได้ มีรายละเอียดมาก แต่ภาษาในพระไตรปิฎกเป็นภาษาที่ค่อนข้างยาก อาจจะทำให้เราเข้าใจยากนิดหนึ่ง เพราะต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที

ถาม : เป็นเรื่องที่น่าศึกษาครับ
ตอบ : มี ๓๘ ข้อ บางข้ออย่างเช่น ประจบชาวบ้านแต่กลับคิดว่าเรากล่าววาจาอันเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น หลอกตัวเองสองชั้น มีกระทั่งตระหนี่ธรรมะ กลัวคนอื่นรู้เท่าตัวเอง แต่กลับไปอ้างว่าเรารักษาธรรมไว้ไม่ให้สูญหาย ธรรมนั้นจะได้ดำรงอยู่คงมั่นตลอดไป เป็นต้น

เถรี
19-05-2013, 18:55
ถาม : เนื่องจากผมพักที่ห้องพักเล็ก ๆ มีห้องน้ำในตัว ผมจะจัดโต๊ะหมู่บูชาพระ ซึ่งมีความจำเป็นต้องวางพิงกำแพงที่เป็นห้องน้ำ พระท่านจะได้หันหน้าไปทิศตะวันออก ซึ่งถ้าจัดให้หันไปทางทิศเหนือ ก็ไม่เหมาะสมเพราะเป็นทางเดินจากประตูหน้า-ไปห้องน้ำ ลักษณะของห้องถูกบังคับให้วางโต๊ะหมู่ด้านนี้เท่านั้น ไม่ทราบว่าจะวางแบบนี้ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : วางโต๊ะหมู่พิงห้องน้ำได้ แต่อย่าไปวางโต๊ะหมู่ไว้ในห้องน้ำก็แล้วกัน..!

เถรี
19-05-2013, 19:00
ถาม : ถ้าภิกษุถือธุดงค์ข้อที่ว่า "ของดอดิเรกลาภ ขอสมาทานองค์ของภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร" แล้วไปซื้อน้ำหรืออาหารมาฉัน ธุดงค์ข้อนี้จะขาดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาดไปเรียบร้อยแล้ว การถือธุดงค์ข้อนี้สรุปง่าย ๆ ว่า ของอะไรที่เขาไม่ได้ใส่ลงไปในบาตร ถ้าไปฉันก็ขาดแล้ว

ถาม : ถ้าไปซื้อของแล้วบอกว่า ใส่เอามาในบาตรสิโยม ?
ตอบ : นั่นตั้งใจให้ขาดเลย..! ในวัญจกธรรมก็มีอยู่ข้อหนึ่ง ที่บอกว่า ไม่ยอมแบ่งบิณฑบาตให้แก่ผู้อื่น แต่กลับคิดว่าตนเองเป็นผู้มีอาชีวะปาริสุทธิศีล แต่ความจริงขี้เหนียวอย่าบอกใคร..!

เถรี
19-05-2013, 19:05
ถาม : มีอยู่วันหนึ่ง ผมระลึกถึงพระพุทธคุณที่พระองค์ท่านเมตตากับโลกกับสรรพสัตว์ ใจนึกไปถึงแสงสว่างในโลกนี้ พระกรุณาของพระองค์ท่านมีอยู่ทุกอณู เปรียบเสมือนแสงสว่างในโลก เหมือนท่านแผ่มาให้ ใจผมอิ่มเอิบ ผมก็เลยหลับตาเพราะสงบ ผมเห็นเป็นนิมิตแสงเหมือนสีรุ้งอาบไล้ไปทั่วโลก อาบและไล้ไปตามตึกรามบ้านช่อง และสิ่งต่าง ๆ บนโลก .. แบบนี้เป็นกรรมฐานอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน

ถาม : จนวันนี้ผมยังระลึกถึงพระพุทธคุณที่มีอยู่ทุกอณู ใจก็ยังอิ่มเอิบได้อยู่เลย แต่ภาพที่เห็นตอนหลับตาไม่ชัด ไม่สดเท่าเดิม ไม่เหมือนเดิมครับ และต้องปรับหรือมีอะไรเพิ่มเติมไหมครับ ?
ตอบ : ขอยืนยันว่าแม้แต่การนึกถึงตอนนี้ก็เจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว สำคัญตรงที่ว่าถ้าปฏิบัติได้แล้วต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง คราวนี้เรารักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องไม่ได้ ปล่อยให้หลุดไปแล้ว จะเอาให้ดีเหมือนเดิมก็ยากแล้ว

เถรี
19-05-2013, 19:11
ถาม : ถ้าภิกษุถือธุดงค์ข้อที่ว่า "ของดภาชนะที่ ๒ ขอสมาทานองค์ของภิกษุผู้มีการฉันเฉพาะอาหารในบาตรเป็นวัตร" ถ้าโยมถวายน้ำเต้าหู้โดยใส่ถุงแล้วมาใส่บาตรพระตอนเช้า ถ้าเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้วโดยไม่เทใส่ในบาตรแล้วฉัน ธุดงค์ข้อนี้จะขาดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาดเรียบร้อยอีกเหมือนกัน ถ้าอยากจะฉันจริง ๆ เทใส่บาตรแล้วค่อยฉัน แต่การใส่น้ำเต้าหู้ในบาตรนี่ฉันยากอย่าบอกใครเลย เพราะยกบาตรซดก็โดนอาบัติอีก

ถาม : ต้องใช้ช้อนตัก ?
ตอบ : ค่อย ๆ ตักทีละช้อน ในเมื่ออยากนักก็ทรมานเสียให้เข็ด..!

ถาม : ฉันคาวก่อนแล้วเทหวานตาม หรือต้องเทรวม ?
ตอบ : ถ้าสมาทานธุดงค์ต้องเทรวมทีเดียว คาวหวานรวมกัน สรุปว่าอย่าไปถือธุดงควัตรเลย เพราะจะหาเรื่องฉันให้ได้..!

เถรี
19-05-2013, 19:27
ถาม : ตามไตรภูมิพระร่วงที่กล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ ทั้งด้านภูมิประเทศ วิถีชีวิต หน้าตาหรืออุปนิสัยของมนุษย์ในแต่ละทวีป อันได้แก่ อุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป นั้นสามารถเชื่อถือได้ไหมครับ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าถ้าไม่เห็นเอง ถ้ามีศรัทธาในพุทธศาสนาก็เชื่อไว้ก่อน รอไว้เห็นเองเมื่อไรก็หายสงสัยเอง

ถาม : ส่วนชมพูทวีปนั้นที่กล่าวว่าเป็นมงคลจักรวาล ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติ องค์สมเด็จพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิก็จะเกิดในชมพูทวีปเท่านั้นใช่ไหมครับ ? แล้วทวีปอื่น ๆ มีพระอรหันต์ไปเผยแผ่พุทธศาสนาไหมครับ ?
ตอบ : ทวีปอื่น ๆ มีพระอรหันต์ไปเผยแผ่ธรรมเป็นปกติ บางครั้งพระพุทธเจ้าก็เสด็จเองด้วย

ถาม : แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่ไปตรัสรู้ที่โลกอื่นบ้างครับ ?
ตอบ : เพราะคนในโลกอื่นบรรลุยาก เขาบอกว่าอนิจจังก็เห็นได้ยาก เพราะอายุขัยหลายหมื่นปี ถึงแสนปีหรือสองแสนปีก็มี พอบอกว่าทุกขัง เขาอยากได้อะไรก็นึกเอาได้ กดปุ่มเอาก็ได้ ดังนั้น..พอไปบอกว่าทุกข์ เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง ไปเกิดที่นั่นก็เสียเวลาเปล่า

แต่อย่างน้อย ๆ ท่านที่สร้างบารมีมาถึง ได้ไตรสรณคมน์หรือเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็มี บางท่านก็เข้าถึงพระนิพพานไปเลยก็มี แม้จะน้อยแต่ก็มีเช่นกัน พระท่านถึงต้องไปโปรด

ถาม : แม้จะมีหมื่นโลกธาตุหรือแสนโกฏิจักรวาล พวกเราทั้งหมดมีนรก มีสวรรค์ มีพระนิพพาน เป็นสถานที่รองรับผลกรรมเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ว่าที่ไหนก็ลงที่เดียว ขึ้นที่เดียวกันหมด

เถรี
19-05-2013, 19:28
ถาม : หากเราเห็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักใหญ่กว่า ๔ ศอกชำรุด และเราได้ทำการปิดทองใหม่ทั้งองค์ ถือว่าเราชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด (รวมทั้งคณะ) ได้หรือไม่ครับ ? หรือว่าเราต้องสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาใหม่ และทำการปิดทองทั้งองค์จึงจะสามารถชำระหนี้สงฆ์ (รวมทั้งคณะ) ได้ ?
ตอบ : พระพุทธรูปเก่าองค์ใหญ่แค่ไหนก็ตาม ไม่ถือเป็นการชำระหนี้สงฆ์ ถ้าเราทำอย่างนั้นจะได้อานิสงส์การซ่อมพระพุทธรูปเท่านั้น ถ้าต้องการชำระหนี้สงฆ์ต้องสร้างใหม่เลย

ถาม : ถ้าจะเอาแบบหมู่คณะก็ต้องปิดทองด้วย ?
ตอบ : ปิดทองด้วย

เถรี
19-05-2013, 19:28
ถาม : การตั้งเสาเอกใช้ฤกษ์ข้างขึ้น เดือนคู่ วันศุกร์ ควบกับฤกษ์พรหมประสิทธิ์ สมควรหรือไม่ครับ ? หรือต้องใช้ฤกษ์ตามตำราการยกเสาเอกเพียงอย่างเดียวครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ฤกษ์ทุกอย่างตรงกันหมดได้ก็ดี แต่ถ้าไม่มีเอาอย่างหนึ่งอย่างใดก็พอ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ไม่ได้สร้างบ้านเสียที..!

เถรี
20-05-2013, 11:41
ถาม : ขอทราบประวัติหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อโสธรเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปหาตำราอ่านเอา มีเยอะแยะไป เสียเวลามาถาม...!

เถรี
20-05-2013, 12:09
ถาม : ตารางกิจวัตรในการปฏิบัติภาวนาในแต่ละช่วงเวลาของหลวงพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : แต่ละวันนึกถึงลมหายใจเข้าออกให้มากที่สุด

เถรี
20-05-2013, 12:10
ถาม : การที่นักบวชหรือนักปฏิบัติติดพวกเกม ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลน์ หรือเกมในมือถือต่าง ๆ เข้าข่ายผิดศีลหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ขโมยโหลดของเขามาก็ไม่ผิด แต่ถ้าเราไม่สามารถหักห้ามใจของตนเองไม่ให้เล่นเกมได้ ต่อไปเราก็สามารถที่จะละเมิดศีลได้ง่ายเหมือนกัน ถ้าเราสามารถหักห้ามใจตนเองไม่ให้เล่นเกมได้ ถึงเวลาเราก็สามารถหักห้ามใจตนเองไม่ให้ละเมิดศีลได้ เพราะใช้กำลังใจเท่ากัน

เถรี
20-05-2013, 12:29
ถาม : ญาติของผมที่ล่วงลับไปแล้วจากอุบัติเหตุ วัย ๑๙ ปี ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลลอยอังคารไปหมดแล้ว แต่เหตุใดวิญญาณยังสื่อผ่านคนรอบข้าง ร้องไห้เป็นปกติ หลังจากถวายผ้าไตรพร้อมพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วก็ยังมาสื่อสารด้วยตลอด หมายความว่าวิญญาณรับอานิสงส์ไม่ได้หรือเปล่าคะ ? หรือมีวิธีใดที่สามารถจะบรรเทาทุกข์ให้วิญญาณเหล่านั้นให้มีความสุขได้มากขึ้น ?
ตอบ : บอกผีให้มาใกล้ ๆ แล้วตบไปสักฉาดหนึ่ง...! จำไว้ว่าถ้าผีมาได้แสดงว่าเขาไม่ลำบาก พวกที่ลำบากมาไม่ได้หรอก ฉะนั้น..ถ้าเขาร้องไห้ก็ช่วยตบให้ได้สติสักที..!

ถาม : มีวิธีอะไรที่ทำไม่ให้เขาร้องไห้ไหมครับ ?
ตอบ : ปล่อยให้ร้องไป เหนื่อยเมื่อไรก็เลิกร้องเอง

เถรี
20-05-2013, 19:23
ถาม : บุคคลผู้โมทนาบุญ จะได้รับผลเหมือนกับเราทุกอย่างหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ากำลังของเราไปถึงไหน เขาก็ไปได้แค่นั้น ถ้ากำลังเราไม่ถึง เขาก็ยังไปไม่ได้ สมมติว่าภพภูมิท่านสูงกว่า เราทำแค่ทาน ปกติท่านเป็นพรหมอยู่ ท่านเองท่านโมทนาได้ แต่ภพภูมิท่านไม่เปลี่ยน เพียงแต่ว่ารัศมีกายจะเพิ่มความสว่างมากขึ้น แต่ถ้าภพภูมิเราสูงกว่า อย่างเช่น ท่านเป็นเทวดาหรือนางฟ้า แต่เราทรงฌานสมาบัติได้เป็นปกติ ถึงเวลานั่งกรรมฐานเราอุทิศส่วนกุศล ภพภูมิของท่านจะเปลี่ยนไปเป็นพรหมเลย ไปเท่ากำลังที่เราทำได้

เถรี
20-05-2013, 19:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "การพุทธาภิเษกที่วัดเขาวง พระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาครู่เดียว แล้วก็มอบให้พระปัจเจกพุทธเจ้า เจ้าของพระคาถาเงินล้านท่านเป็นประธานของงานแทน คราวนี้ช่วงท้าย ๆ ท่านเมตตาบอกว่า "วัตถุมงคลรุ่นนี้เป็นวัตถุมงคลเพื่อความสำเร็จ ใครจะทำงานเก่าก็ตาม งานใหม่ก็ตาม ถ้าต้องการความสำเร็จก็ให้บูชาวัตถุมงคลรุ่นนี้ไป"

คราวนี้การบูชา ถ้ามีเวลามากให้สวดอิติปิโสฯ ๓ ห้อง ตามกำลังวัน ถ้าเจอวันพฤหัสบดี (๑๙) หรือวันศุกร์ (๒๑) ก็เป็นลมพอดี แต่ถ้าเวลาไม่พอเอาสัก ๓ จบก็พอ อิติปิโสฯ ๓ ห้อง ๓ จบนี่ก็ไม่นานมาก หรือถ้าฉุกเฉินขึ้นมา มีวัตถุมงคลชิ้นเล็กติดตัวอยู่ ก็เอาแค่ "สัมปะติจฉามิ" ท่านบอกว่าให้อธิษฐานว่า "ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ประสบความสำเร็จในการปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ก็ดี การตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นปึกแผ่นมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันก็ดี พระองค์ท่านประสบความสำเร็จโดยง่ายอย่างไร ก็ขอให้เราประสบความสำเร็จอย่างนั้นด้วย" แล้วก็ภาวนาไปเถอะ

พอถึงเวลาพุทธาภิเษกเสร็จ ก็ไปสะกิดหลวงพ่อท่านเจ้าคุณอนันต์ บอกท่านว่า “เต็มแล้ว” ก็ให้ท่านถวายน้ำหอมเป็นพุทธบูชา คุณเฟิร์สอยู่ใกล้ ๆ ก็บอกว่า “ท่านยังต้องให้บอกอีกหรือ ?” เลยบอก “ท่านรอให้ข้าบอก” เรื่องนี้ในบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหมด เขายกให้อาตมาหมด

ในบรรดาพระใหม่ ถึงเวลาเขานิมนต์พระวัดท่าซุง เขาก็จะเอาหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป หลวงพี่สุรจิต ที่เหลือก็เป็นพระใหม่ อาตมาเป็นพระใหม่นั่งท้าย ส่วนใหญ่หลวงพี่โอท่านจะนั่งหน้า เพราะว่าท่านอาวุโสกว่าเพื่อน พอถึงเวลาท่านก็ “เอ้า..ท่านเล็กไปจัดการให้หน่อย” เซ็งสุด ๆ บางทีเหนื่อยมาก พอเหนื่อยก็โวยใส่ “โธ่พี่..อยู่กับหลวงพ่อมานานขนาดนี้แล้ว ไม่เรียนอะไรไว้บ้างเลยหรือ ?” ท่านก็บอกหน้าตาเฉยว่า “เป็นแล้วมันเหนื่อย” อ้อ..เข้าท่านะ ท่านพี่เขาสารภาพ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมท่านยังต้องคอยรออยู่ พอถึงเวลาพุทธาภิเษกทีไร คนอื่นเขานั่งรอ เมื่อไรอาตมาจะให้สัญญาณจบเสียที

พี่ ๆ น้อง ๆ เขาอยู่ด้วยกัน เขารู้ว่าใครเป็นอย่างไร มาระยะหลังนี่ไม่ใช่เฉพาะพี่น้องแล้ว คนอื่นเขาชักรู้เยอะแล้ว ไปพุทธาภิเษกที่วัดทองผาภูมิ เจ้าคณะอำเภอพอถึงเวลาจะพรมน้ำมนต์ ก็เดินตักน้ำมนต์ของท่านนั้นท่านนี้ใส่ ๆ รวมกันไป มาถึงของอาตมาคนสุดท้ายท่านตักทับหน้าแล้วไปพรม ใครบอกเจ้าคณะอำเภอไม่เป็นอะไรสักอย่าง ท่านรู้ยิ่งกว่ารู้เสียอีก พอถึงเวลาท่านถวายไทยธรรม ก็ถือมาถวายอาตมาอยู่คนเดียว ท่านอื่นให้โยมไปช่วยถวาย เออ..ต้องอย่างนี้ถึงเป็นเจ้านายอาตมาได้ เพราะท่านรู้จักใช้คน"

เถรี
20-05-2013, 19:40
ถาม : ยังมีอะไรพิเศษอีกไหมครับ ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องปกติ ความสำเร็จยังไม่ถือว่าพิเศษอีกหรือ จริง ๆ แล้วน้อยมากนะที่ท่านจะให้ลักษณะนี้ แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างเหตุไว้ดี ถ้าสร้างเหตุไม่ดีผลก็ไม่เกิด ที่ท่านบังคับให้เราภาวนาตามกำลังวันก็ดี หรืออธิษฐานเสร็จแล้วให้ภาวนาคาถาก็ดี ก็คือการที่เราสร้างบุญของเราขึ้นมาเพื่อรองรับ ถ้ากำลังไม่พอ คนอื่นได้เราก็ไม่ได้ หรือไม่ก็คนอื่นได้เร็วเราอาจจะได้ช้า ไม่ใช่ว่าให้แล้วจะได้เหมือน ๆ กันหมด ให้แล้วต้องขยันด้วย

ถามว่าบรรดาพี่ ๆ ก่อนจะเข้าวัดท่าซุงได้ ต้องได้มโนมยิทธิแล้วทุกคน ทำไมต้องรอให้อาตมาบอก ? ก็คือส่วนใหญ่ท่านไปในลักษณะถึงเวลาก็พอใจแค่นั้น แต่อาตมาไม่ใช่ ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก ซ้อมจนโดนครูฝึกไล่ ในเมื่อซักซ้อมไม่เลิก ความคล่องตัวก็มีมากกว่าเขาหน่อยหนึ่ง

สมัยก่อนนั้นหลวงพี่อาจินต์จะเป็นอาจารย์สอนมโนมยิทธิอยู่ ถ้าหลวงพี่อาจินต์เข็นไม่ไหวจะไปตามหลวงตาวัชรชัยมาช่วย ถ้าหลวงพี่กับหลวงตาเข็นไม่ไหวก็จะเอารถมารับอาตมา เพราะมีลูกศิษย์บางคนที่หนักจริง ๆ ส่วนใหญ่พวกนี้จะมาสายพุทธภูมิ แล้วก็จะเป็นคนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ต้องมานึกว่าขนาดสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเข็นไม่ไป แล้วหลงมาถึงรุ่นเรานั้นจะขนาดไหน ?

เถรี
20-05-2013, 19:46
ปรากฏว่าวันนั้นหลวงพี่อาจินต์เอาซูซูกิคาริเบียนคันเล็ก ๆ วิ่งมา หลวงตาวัชรชัยนั่งมาถึงบอก “เฮ้ยเล็ก..ทิ้งงานแป๊บหนึ่งเว้ย” ถามว่าทำไม “ไปเข็นมันหน่อยซิ เรือเกลือมาอีกแล้ว” อาตมาสอนมโนมยิทธิมาไม่เคยเกินครึ่งชั่วโมง แต่รายนั้น ๒ ชั่วโมงครึ่งไปได้แค่จุฬามณี..! เป็นพระสงฆ์ด้วย แล้วเป็นวันสุดท้ายของท่านด้วย ไม่อย่างนั้นหลวงตาคงไม่ปล่อยมือหรอก นี่เห็นว่าวันสุดท้ายแล้วยังเข็นไม่ไป ท่านเลยเอาอาตมาไปช่วยเข็น

ปรากฏว่าท่านนั้นเอารายละเอียดขนาดไล่นับบันไดทีละขั้น จะไปจุฬามณีดันไปนับบันไดทีละขั้น..! ถ้าเป็นมนุษย์ละก็..เอ็งตาย นับไม่ถึงขั้นสุดท้ายแก่ตายก่อน จะเอารายละเอียดขนาดนั้น สอนพวกนี้ทีไรนี่แผ่หลาทุกที ต้องใช้กำลังใจมหาศาลเลย

ก็ได้แต่บอกว่า ถ้าได้แล้วคุณไปซักซ้อมเอาเอง ไปด้วยวิธีนี้แหละ เพียงแต่ว่าต้องซ้อมความคล่องตัวให้มาก ๆ แล้วคราวนี้ถ้าคุณอยู่คนเดียว จะเอารายละเอียดขนาดไหนคุณก็ดูไปเถอะ แต่ถ้าให้ผมมานั่งนำแล้วจะเอารายละเอียดขนาดนี้ ผมไม่มีเวลาพอหรอก ๒ ชั่วโมงครึ่งไปได้แค่จุฬามณี

ถาม : ท่านไม่สอนมโนมยิทธิอีกหรือคะ ?
ตอบ : เลิกสอนไปนานแล้วจ้ะ เพราะสอนแล้วเข้าป่าเข้าดงกันหมด เพราะลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฉลาด โดนหลอกไม่นาน แต่ลูกศิษย์ของอาตมาฉลาดน้อย โดนหลอกกันหัวทิ่มหัวตำหมด เพราะเรื่องของมโนมยิทธิ ยิ่งรู้เห็นชัดเจนการทดสอบยิ่งแรง โดยเฉพาะมาระยะหลังใช้ผิดกันเยอะมาก มโนมยิทธิท่านให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง เมื่อรู้อารมณ์พระนิพพานว่าปราศจากรัก โลภ โกรธ หลงแบบไหน ก็พยายามลงมาทำใจตนเองให้ได้อย่างนั้น จะได้เป็นการรวบรัดตัดตรงเข้าหาพระนิพพาน

แต่พวกนี้ส่วนใหญ่ได้แล้วก็ไปดู ก่อนหน้านั้นเธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน ดูแล้วแทนที่จะละ จะเข็ดว่ากี่ชาติ ๆ ก็ทุกข์ไม่รู้จบ ดันไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ ก็กอดคอกันตายทั้งขบวน แล้วของพวกนี้บางอย่างวาระกรรมมาถึง พอเขาอ้างว่าชาติก่อนเคยเป็นอะไรกัน อีกคนดันทะลึ่งรับสมอ้าง ก็ไปกันใหญ่เลย

เถรี
20-05-2013, 19:51
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็คงขาดอยู่ดี เพราะว่าศีลพร่องแต่แรก เพราะว่าไม่ได้แสดงคืนอาบัติ ขาดวุฏฐานวิธี คือการออกจากอาบัติ ก็เท่ากับแช่อยู่ทั้งตัว คนพวกนี้ไม่ต้องดูอะไรมากหรอก ออกไปทำมาหากินอะไรก็ไม่เจริญ ปาราชิกกับสังฆาทิเสสโทษหนักมาก..ถ่วงเราหมด

ถาม : จะแก้ไขอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : บวชใหม่ ถ้าบวชหมู่ให้บวชเป็นรูปสุดท้าย ไม่อย่างนั้นถ้าคุณบวชก่อนแล้วคุณไปนั่งร่วม กลายเป็นสังฆกรรมเขาเสีย บวชเป็นรูปสุดท้าย ออกจากโบสถ์ได้ก็ไปอยู่ปริวาสเลย แก้ตัวเองให้เสร็จก่อน

คราวนี้การอยู่ปริวาส ปกติแล้วก็คือโดนอาบัติแล้วปกปิดไว้นานเท่าไร ก็ต้องอยู่เท่านั้น แล้วก็ต้องไปเก็บมานัตต์อีก ๖ วัน ๖ คืน พูดง่าย ๆ คือปิดไว้เท่าไรต้องใช้คืนเท่านั้น แล้วก็โดนลงโทษอีก ๖ วัน ๖ คืน แล้วถึงจะให้พระสวดคืนความเป็นพระให้

คราวนี้ท่านบอกว่า ถ้าจำไม่ได้ให้ใช้สุทธันตปริวาส คำว่า "สุทธันตปริวาส" เขาหมายถึงว่า ให้สงฆ์เป็นผู้กำหนด ว่าจะให้อยู่นานเท่าไร แต่ต้องกำหนดให้มากกว่าไว้เสมอ ปัจจุบันนี้ใช้แค่คำว่าให้สงฆ์กำหนด แล้วมักจะกำหนดให้ ๙ วัน ก็คืออยู่ปริวาส ๓ วัน แล้วก็เก็บมานัตต์ ๖ วัน เราลองคิดดูสิว่า ถ้าต้องโทษประหารชีวิต แล้วเรามาติดคุก ๖ วันก็พ้นโทษ..คิดอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ใช่ไหม ? แต่ปัจจุบันนี้เขามักจะเอาอย่างนั้นกัน

เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไปอยู่ปริวาสในบางสำนัก ถึงเวลาเขาเก็บมานัตต์เราก็อย่าไปเก็บกับเขา บาลีท่านใช้คำว่า ไม่ใช่มานัตตารหบุคคล ก็คือ ไม่ใช่บุคคลผู้ควรแก่มานัตต์ ในเมื่อยังไม่ควร เพราะโทษของเรายังใช้ไม่หมด เราไปเข้าอัพภาณ ย่อมไม่ใช่วิสัยที่จะพ้นโทษได้

เถรี
20-05-2013, 19:53
ที่วัดท่าขนุนมีอยู่รูปหนึ่ง ปัจจุบันนี้ขอเรียนต่อปริญญาโทอยู่ นั่นโดนไป ๗ เดือน ถามเขาว่าทำไมถึงโดน ๗ เดือน เขาบอกว่าเขาจำไม่ได้ว่าปกปิดไว้นานเท่าไร ก็เลยถามคุณบวชนานเท่าไร “ผมบวช ๗ เดือน” “คุณไปอยู่ปริวาสเลย ๗ เดือน” ท่านก็ใจถึงพอเหมือนกัน ไปอยู่เสีย ๗ เดือน

คราวนี้วัดที่จะจัดปริวาสเพื่อช่วยคนให้ออกจากอาบัติจริง ๆ มีน้อย ส่วนใหญ่เขาจัดเพื่อประโยชน์เขา จัดแล้วก็ไปโฆษณากันว่าทำบุญกับพระออกปริวาสแล้วจะได้บุญมาก จะไปบุญมากอีท่าไหน ? เพราะพระที่อยู่ปริวาสนี่ต้องศีลใหญ่พร่อง ทำบุญกับพระบวชใหม่ยังได้บุญมากกว่าอีก แต่โฆษณาจนกระทั่งกลายเป็นคนเขาชอบไปทำบุญกัน ก็เลยกลายเป็นการจัดเพื่อหาเงิน วัดที่อาตมาจะส่งพระไปอยู่ปริวาสเป็นประจำก็คือ วัดชากสมอ ที่ชลบุรี ที่นี่จะอยู่ปริวาสชุดละ ๑๕ วัน บอกเขาว่า "ครบ ๑๕ วันคุณไม่ต้องไปเก็บมานัตต์หรอก ถึงเวลาคุณอยู่ต่อไปเลย ครบ ๗ เดือนเมื่อไรแล้วคุณค่อยไปเก็บมานัตต์อีก ๖ วัน ๖ คืนจากนั้นค่อยไปเข้าอัพภาณ ให้สงฆ์สวดคืนความเป็นพระให้.." ท่านก็ไปอยู่มาจนครบถ้วนเหมือนกัน

เถรี
20-05-2013, 20:01
ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์สมัยหลังท่านไม่ได้บอกกล่าวยังไม่พอ ความเข้มงวดกวดขันตรงนี้ยังไม่มีด้วย ก็กลายเป็นว่าพอพระบวชเข้าไปก็ไปทำผิดทำพลาด

ปัจจุบันนี้ถ้าใครไปบวชเป็นนาคที่วัดจะมอบให้กับทิดกวาง ซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงพระใหม่อยู่ประจำ ให้เขาซักซ้อมเรื่องศีลพระให้ก่อน จะตอกย้ำไปเลยว่าสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ กับปาราชิก ๔ ข้อนี่ ห้ามโดนเด็ดขาด แต่ละข้อมีอะไรบ้าง ช่วงที่ซักซ้อมการบวช หัดขานนาคก็จะให้เขาแทรกเรื่องศีลเข้าไปด้วย คือให้พระใหม่รู้เสียตั้งแต่แรกว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เพราะว่าเรื่องนี้ถ้าพลาดแล้วเสียหายมาก

โดยเฉพาะพระสายหลวงปู่มั่นจะให้เป็นตาผ้าขาวอยู่ ๒ ปี พูดง่าย ๆ ว่าเป็นฆราวาสนุ่งขาวห่มขาวแต่ถือศีล ๒๒๗ ข้อ ถึงเวลาคุณพลาดโทษก็ไม่มี เพราะคุณยังไม่ใช่พระ แต่ถ้าคุณทำได้ เคยชินแล้ว ภายใน ๒ ปี ไปเป็นพระก็รักษาศีลเท่านั้นแหละ ไม่ได้เกินกว่านั้นหรอก

เถรี
20-05-2013, 20:03
ถาม : เจ้าแม่กวนอิมไปพระนิพพานหรือยังคะ ?
ตอบ : ท่านแม่กวนอิมไปพระนิพพานแล้วจ้ะ แต่ถ้าใครไหว้ท่านตอนนี้ช่วยได้เยอะกว่าเดิม เพราะภาระส่วนตัวท่านหมดแล้ว

ถาม : ท่านลาพุทธภูมิแล้วหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ลาก็ไปไม่ได้สิจ๊ะ เคยไปสวดมนต์ฉันเพลอยู่บ้านหนึ่ง เห็นเจ้าแม่กวนอิมท่านมาพรมน้ำมนต์ให้ ก็เลยแปลกใจ เล่าให้เจ้าของบ้านเขาฟัง เขาบอกว่าคุณแม่นับถือท่านมาก ขนาดสร้างห้องพระต่างหากเพื่อบูชาท่านโดยเฉพาะ ท่านเลยมาสงเคราะห์ให้เป็นพิเศษ

เถรี
20-05-2013, 20:07
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ฮินดูเขาสร้างเทวดาเก่ง เขาไปเที่ยวกำหนดว่าเทวดาองค์นั้นมีอานุภาพอย่างนั้น มีจริตนิสัยอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ไปบูชาท่าน คราวนี้การบูชาเทวดาเป็นส่วนหนึ่งของเทวตานุสติในพระพุทธศาสนา ก็เลยลำบากว่า ทางเบื้องบนต้องหาเทวดาที่ศักดานุภาพคล้ายคลึงกับที่เขากำหนดมารับหน้าที่นั้น ๆ ศาสนาฮินดูก็เลยเก่ง สร้างเทวดาได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ พอกำหนดขึ้นมาแล้ว ทางด้านเทวดาพรหมข้างบนก็ต้องหาใครไปรับหน้าที่นั้นจริง ๆ

อย่างพระศิวะท่านปู่พระอินทร์ก็รับไป เจอไปทีเดียวหลายตำแหน่ง พระอินทร์ก็ต้องเป็น พระศิวะก็ต้องเป็น เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ต้องเป็น จะว่าไปแล้วคนที่รู้นี่รู้เหมือน ๆ กันนะ คนจีนขึ้นไปเห็นท่านเขียวปี๋เลย นี่เง็กเซียนฮ่องเต้ หยกสีเขียว ๆ ก็รู้เท่ากัน เพียงแต่ว่าลักษณะของเครื่องแต่งกาย เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เขายึดถือมา ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในโลกมนุษย์แต่งตัวแบบไหน เขาก็ถือว่าผู้เป็นใหญ่ข้างบนก็น่าจะแต่งตัวแบบเดียวกัน

คราวนี้ถ้าแต่งตัวแบบอื่นมาเดี๋ยวเขาไม่ยอมรับ ก็เลยต้องให้เขาเห็นแบบนั้น อาตมายังกลุ้มใจแทนเทวดาเลย เยอะแยะไปหมด วันดีคืนดีจำไม่ได้ว่าประเทศไหนที่เขานับถืออิสลาม อยู่ ๆ ตัวอักขระที่เขาเขียนสรรเสริญพระอัลเลาะห์ เปล่งแสงสีเขียวอยู่เป็นอาทิตย์เลย ก็ยังสงสัยว่าเกิดจากอะไร

ท่านปู่พระอินทร์บอกว่าฝีมือท่านเอง ถามว่าแล้วได้ประโยชน์อะไร ท่านบอกว่า “ถ้าเขานึกถึงตรงนั้นก็คือเขานึกถึงผม อย่างน้อยก็เป็นเทวตานุสติ” แสดงว่าตรงนั้นต้องเคยมีความเนื่องกับท่านมา ไม่อย่างนั้นท่านก็ไม่ไปสงเคราะห์ พวกนั้นก็ดีใจกันใหญ่ ว่าพระอัลเลาะห์ท่านสำแดงฤทธิ์แล้ว ตกลง..ดีไม่ดีท่านปู่พระอินทร์ต้องรับตำแหน่งพระอัลเลาะห์ไปอีกตำแหน่ง

เถรี
20-05-2013, 20:09
ถาม : แล้วรัชกาลที่ ๕ ล่ะครับ ?
ตอบ : ไหว้ท่านไปเถอะ ตัวแทนมี ท่านเป็นอดีตพระโพธิสัตว์ เรื่องพวกนี้รู้ไปก็ไร้ประโยชน์ ไปคุยให้คนอื่นฟังก็หาว่าโม้ เราไปโกรธเขาอีก จริง ๆ ก็ควรจะฝึกให้คล่องตัวแล้วไปดูเอง ถ้าไปดูเอง แล้วมาเจอท่านที่รู้เหมือน ๆ กัน ถ้าสอบถามท่านแล้วตรงก็คือใช่ ถ้าไปถามอย่างเดียวก็สงสัยอีก จะใช่หรือ ? ไปดูเองเถอะ

มีบางคนใช้มโนมยิทธิแล้ว ดูอดีตตัวเอง ชาตินั้นเป็นอย่างนั้น ชาตินี้เป็นอย่างนี้ มีแต่ยิ่งใหญ่คับฟ้าทั้งนั้นเลย กลายเป็นว่าไปแบกมานะ ก็คือเอาอดีตมาปนกับปัจจุบัน กลายเป็นสังโยชน์ซ้อนสังโยชน์ ก็คือแทนที่สักกายทิฏฐิกับมานะในปัจจุบันจะลดได้ กลับไปแบกของอดีตเพิ่มเข้ามาด้วย กลายเป็นโทษหนักขึ้นไปอีก

ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ทราบว่ามโนมยิทธิอันตรายขนาดไหน แต่ท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ของท่านฉลาดพอที่จะเลือกในสิ่งที่ถูก ท่านถึงได้สอน เท่าที่อาตมาเคยกราบเรียนถามแล้วท่านบอกว่า “ถ้าทำให้คนรู้จักพระนิพพานได้แม้แต่คนเดียวก็คุ้มแล้ว” นั่นขนาดท่านเอาแค่คนเดียวนะ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับของท่านเหลือที่จะคุ้มแล้ว เพราะรู้จักกันเยอะไปหมด

เถรี
21-05-2013, 20:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของข่าวลือต่าง ๆ ถ้าเรามีความมั่นคงในพระรัตนตรัยจริง ๆ ก็จะไม่หวั่นไหวตามไป ถ้ายังหวั่นไหวตามไปแปลว่าเรายังหาความมั่นคงไม่ได้ บุคคลที่หาความมั่นคงในพระรัตนตรัยไม่ได้โอกาสลงอบายภูมิมีสูงมาก ฉะนั้น..พึงระมัดระวังให้ดี"

เถรี
21-05-2013, 21:00
มีโยมเอาอาหารเพลมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เวลาหลวงปู่มหาอำพันฉันภัตตาหาร ถ้ามีอาหารอะไรที่แปลก ๆ หรือเป็นของอร่อย ท่านจะเหลือไว้ให้ลูกศิษย์ บางทีลูกศิษย์ก็บ่นว่า “รู้ว่าหลวงปู่ชอบฉันของอย่างนี้ อุตส่าห์เอามาแล้วหลวงปู่ก็ยังเหลือไว้อีก ไม่ฉันให้หมด” หลวงปู่ท่านบอกว่า “แบ่งให้ลูกศิษย์เขาบ้าง”

ท่านบอกว่า “ถ้าข้าวเหนียวมี แต่มะม่วงหมด ลูกศิษย์อดแล้วอาจารย์อิ่มใช้ได้ที่ไหน ถ้าอดก็ต้องให้อดด้วยกัน ถ้าอิ่มก็ต้องให้อิ่มด้วยกัน”

เถรี
21-05-2013, 21:07
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่องานวันที่ ๑ พ.ค. ที่วัดเขาวง มีโยมท่านหนึ่งรู้จักกันมานาน บอกว่าตอนนี้กำลังลำบาก ถามว่าไปทำอะไรมา ? เขาบอกว่าไปซื้อขายเงินตราต่างประเทศอยู่ เขาสงสัยว่าทำไมใช้ทิพจักขุญาณดูแล้วว่าตัวนี้จะขึ้น แต่พอซื้อแล้วดันตก ก็เลยทำให้ขาดทุน

อาตมาถึงได้บอกกับเขาไปว่า การใช้ทิพจักขุญาณลักษณะของคุณผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าสภาพจิตไม่สะอาดพอ เอาความโลภขึ้นหน้าไปก่อน ถ้าจะบอกว่าผิดในเรื่องของการทำมาหากินก็ไม่ใช่หรอก คุณผิดมาตั้งแต่แรกโน้น ที่เที่ยวเอาทิพจักขุญาณไปดูว่าใครเป็นเนื้อคู่ของตัวเอง เรื่องในอดีตคือเรื่องของอดีต ปัจจุบันคือปัจจุบัน อย่าเอามาปะปนกัน ถ้ากระแสกรรมชักนำ โอกาสพลาดจะมีทันที เพราะเมื่อกระแสกรรมชักนำ เราไปดูแล้วเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วไปฟื้นความสัมพันธ์กันขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์คนละชาติกัน ต่อให้เป็นจริงก็ตาม ก็เท่ากับว่าเราใช้ทิพจักขุญาณในด้านที่ผิดแล้ว

ทิพจักขุญาณที่หลวงพ่อท่านสอนเรา ท่านต้องการให้เรารู้อดีตเพื่อที่จะได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วอดีตทุกชาติที่ผ่านมาก็มีแต่ความทุกข์ ปัจจุบันนี้เราก็ทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก สมควรที่จะพอได้แล้วหรือยัง ? ถ้าพอแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเราไป

เรื่องทิพจักขุญาณสำคัญที่สุดก็คือ ดูเพื่อที่จะเกรง จะกลัว จะเข็ดกับการเกิดมามีร่างกายนี้ หรือว่ากลัวการเกิดมาในโลกนี้ ไม่ใช่เที่ยวไปดูอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะในลักษณะของการทำมาหากิน อย่าดูด้วยตัวเอง เพราะว่าตัวเองพอถึงเวลาดูอดมีรัก โลภ โกรธ หลงเข้าไปแทรกไม่ได้ โอกาสที่พลาดจะมีมาก ถ้าจะคนอื่นดูให้ก็ต้องมั่นใจว่าเขามีความแม่นยำถูกต้องจริง ๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะแม่นในระยะแรก พอนานไป ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเข้ามา แทนที่จะดูเพื่อสงเคราะห์คนอื่นก็ดูเพื่อลาภ ดูเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ

ในเมื่อความตั้งใจผิดเสียแล้ว ต่อไปเรื่องที่เราดูอยู่ก็จะผิดไปด้วย ได้ยินเขาปรารภก็สงสารเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ต้องบอกว่ากรรมใครกรรมมัน"

เถรี
21-05-2013, 21:12
พระอาจารย์อ่านเนื้อหาจากหนังสือให้ฟังว่า "พระสงฆ์อาพาธเพราะฆราวาสทำ

๑. อาหารถวายพระไม่มีคุณภาพ
๒. ถวายแต่น้ำหวานน้ำอัดลม
๓. ถวายแต่เครื่องดื่มชูกำลัง
๔. ถวายแต่ของทอด
๕. ถวายแต่พวกไอศกรีม ขนมเค้ก
๖. ถวายแต่บุหรี่ ยาเส้น
๗. ถวายแต่วิตามิน

หมอเขาก็เขียนอย่างหมอนะ จะมีชาวบ้านสักกี่คนที่เขารู้จักว่า อาหารแต่ละอย่างมีอะไรเป็นโทษบ้าง"

เถรี
23-05-2013, 21:06
ถาม : ธรรมทานที่ทำได้อานิสงส์สูงสุดคือ ธรรมทานอย่างไรครับ ? คือการใช้เงินบริจาคเป็นธรรมทาน หรือการบริจาคหนังสือธรรมะ ได้อานิสงส์เท่ากันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อานิสงส์ธรรมทานสูงสุดคือเราปฏิบัติธรรมนั้นได้ สามารถยืนยันผลด้วยตนเอง แล้วนำเอาสิ่งนั้นไปสอนต่อ ทำให้ได้เองก่อนแล้วไปสอนคนอื่น จะได้มีรายละเอียด เวลาเขาซักถามอะไรจะได้ตอบได้

การที่เราบริจาคปัจจัยในเรื่องของธรรมทาน ตัวเราก็ไม่สามารถปฏิบัติธรรมนั้นเองได้ บริจาคเป็นหนังสือหรือพระไตรปิฎกก็ลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้น..จะเอาอานิสงส์สูงสุดจริง ๆ ต้องตัวเองทำได้และสอนคนอื่นให้ทำได้ด้วย

แม้แต่ตรงนี้อาตมาก็รำคาญมาก เพราะโยมมักจะเอาหนังสือธรรมะมาถวายเยอะแยะไปหมด ไม่ใช่ไม่ต้องการ แต่สงสัยว่าทำไมไม่อ่านแล้วทำเสียเอง ?

เถรี
23-05-2013, 21:12
ถาม : การโพสต์ตั้งกระทู้ธรรมะในอินเตอร์เน็ตเป็นการบริจาคธรรมทานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นหลักธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก หรือของหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ก็ถือว่าเป็นธรรมทานอย่างหนึ่ง เอาให้แน่ ๆ ก็คือ ตรวจสอบให้ถูกต้อง อย่าให้มีข้อผิดพลาด ขณะเดียวกัน ต้องมั่นใจอย่างแน่ว่าคำสอนเหล่านั้นถูกต้องอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประเภทคำสอน "อย่าไปไหว้พระพุทธรูป เพราะเป็นแค่ทองเหลือง" ถ้าอย่างนี้ก็บรรลัย..!

เถรี
23-05-2013, 21:16
ถาม : การอภัยทานกับธรรมทานมีอานิสงส์ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : อภัยทานเป็นในส่วนของพรหมวิหารธรรม ถ้าใครทำได้ จิตใจจะสงบเยือกเย็น ลักษณะนั้นจะสามารถรักษาศีลได้ทุกข้อ จัดเป็นศีลบารมีและเมตตาบารมี ส่วนธรรมทานนั้นจัดอยู่ในส่วนทานบารมี ต่างกันตรงที่ทำอย่างหนึ่งได้บารมีสองข้อ ทำอีกอย่างหนึ่งได้บารมีข้อเดียว

เถรี
23-05-2013, 21:18
ถาม : ในอินเตอร์เน็ตมีการบอกว่า "การให้อภัยทานสูงกว่าธรรมทาน" ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน อยากจะทราบว่าเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็แปลว่าไม่ได้สอนเท่านั้นเอง..!

เถรี
23-05-2013, 21:23
ถาม : ก่อนที่จะรับยันต์เกราะเพชร มีคนสวมรองเท้าผิดไป แล้วทิ้งรองเท้าคู่อื่นไว้เป็นคู่สุดท้าย เราจำเป็นต้องสวมคู่นั้นซึ่งไม่ใช่ของเรา หลังจากรับยันต์เกราะเพชรออกมา เราก็ยังสวมคู่นั้นอยู่ ยันต์จะขาดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่เหลือ..ไม่ใช่ของของเราแต่ไปเอาของเขามา รู้ด้วย ตั้งใจเอาด้วย ก็เท่ากับตั้งใจขโมย..!

ถาม : ไม่ได้ตั้งใจขโมยครับ เพราะเขาใส่ของเราไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่ได้ตั้งใจกินยาผิดก็ตายเหมือนกัน เพราะกินลงไปแล้ว..!

เถรี
23-05-2013, 21:28
ถาม : เรื่องน้ำท่วมโลกจะเกิดขึ้นเมื่อไร ? จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ากัปไหนโลกจะโดนทำลายด้วยน้ำ กัปนั้นน้ำย่อมท่วมโลกแน่นอน โลกของเรานั้นแต่ละกัปจะโดนทำลายด้วยน้ำบ้าง ด้วยลมบ้าง ด้วยไฟบ้าง ถ้าอยากให้ท่วมโลกต้องรอกัปที่ทำลายด้วยน้ำ เขาบอกว่าท่วมถึงพรหมชั้นที่ ๑๕ เหลือชั้นที่ ๑๖ เท่านั้น..!

ถาม : อย่างนี้ท่านปู่พระอินทร์ก็โดนด้วยสิครับ ?
ตอบ : ก็ย้ายที่สิวะ..!

เถรี
23-05-2013, 21:33
ถาม : บุคคลที่เข้าปฐมฌานอยู่ คนอื่นสามารถฆ่าคนที่กำลังทรงฌานได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ฆ่าได้สบาย บุคคลที่ทรงฌานอยู่ อำนาจของฌานจะแผ่ออกรอบข้าง บุคคลที่กำลังใจอ่อนจะไม่กล้ากล้ำกรายทำอันตราย แต่บุคคลที่มีมิจฉาสมาธิในระดับที่เข้มแข็งกว่า สามารถจัดการได้สบาย

ถาม : แต่ถ้าเข้านิโรธสมาบัติก็ทำอะไรไม่ได้ ?
ตอบ : กรณีนี้หมดสิทธิ์ เพราะไม่มีอะไรที่สูงกว่านั้น แต่ถ้าแค่ปฐมฌานยังเดี้ยงได้

เถรี
23-05-2013, 21:37
ถาม : การบริจาคทานโดยการโอนเงินเข้าบัญชีร่วมสร้างพระ วิหารทาน ที่คนเปิดรับบริจาคอยู่ เมื่อโอนเงินเสร็จแล้วแต่ไม่ได้แจ้งเจ้าของบัญชี จะได้อานิสงส์เท่ากับคนที่โอนแล้วเขาแจ้งไหมครับ ?
ตอบ : ได้ตั้งแต่คิดแล้ว อาจจะได้มากกว่าด้วย เพราะคนที่แจ้งอาจจะไม่มีอุเบกขาในทาน กลัวคนไม่รู้ ต้องรีบบอก แต่เราเองอาจจะมีอุเบกขาในทาน ไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ ขอให้ได้ทำก็แล้วกัน

เถรี
23-05-2013, 21:43
ถาม : ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิหรือทรงฌาน ถ้าแช่งบุคคลอื่นจะส่งผลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดทรงฌานหรอก คนธรรมดาก็ส่งผลได้ เพราะกำลังใจของเราที่มุ่งดีหรือมุ่งร้ายจะมีพลังงานทั้งนั้น ในเมื่อเราตั้งใจแช่งเขา พลังงานที่ไม่ดีก็จะแผ่ออกไป ถ้าช่วงนั้นอกุศลกรรมเข้า โทษก็จะเกิดแก่เขาได้เหมือนกัน แต่ถ้าเข้าสมาธิทรงตัวแล้วไปแช่งก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ถ้าแช่งเขานี่เป็นมิจฉาสมาธิแน่นอน

ถาม : ถ้าเกิดแช่ง ๆ อยู่แล้วเส้นเลือดในสมองแตกตาย ไปที่ไหนครับ ?
ตอบ : ไปด้วยโทสะลงนรกที่เดียว จิตใจเศร้าหมองแบบนั้น..รอดยาก..!

เถรี
25-05-2013, 19:24
ถาม : ขอขยายความเรื่องวัญจกธรรมหน่อยครับ มีเวลาก็พาคุยเพลิน ๆ
ตอบ : เวลาไม่พอหรอก ถ้าจะเอารายละเอียดต้องเอาตำรามากางว่ากันทีละข้อ ให้รู้ว่าแต่ละข้อนั้นล้วนแล้วแต่มีข้ออ้างให้เข้าใจผิดได้ทั้งสิ้น การเข้าใจผิดนั้นก็มักจะอยู่ในลักษณะการเข้าข้างตนเอง ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ห้ามปรารภตนเองเป็นใหญ่เด็ดขาด ถ้าขึ้นชื่อว่าตัวเองดีเมื่อไรก็เตรียมตัวเจ๊งได้เลย

ถาม : ผมลองฟังดูคร่าว ๆ แล้ว สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เลยอยากจะเรียนถามว่า มีจุดเครื่องเตือนใจอะไรไหมครับว่าเข้าข่ายแล้ว ?
ตอบ : สมัยก่อนที่ปฏิบัติอยู่ที่วัดท่าซุง จะมีธรรมสากัจฉาหลังปฏิบัติกรรมฐานภาคค่ำ คุยกันไปคุยกันมาในระหว่างพี่น้อง ว่าแต่ละคนปฏิบัติอย่างไร ถึงเวลาติดขัดจะแก้ไขอย่างไร ท้ายสุดก็มาเรื่องที่กิเลสหลอกเราอย่างไร สรุปลงได้ว่า ทุกคนมีคาถาบทสุดท้ายประจำตัวว่า “กูไม่เชื่อมึง” โดยเฉพาะถ้าเขาบอกว่าเราดีแล้ว อย่าพึงเชื่อเป็นอันขาด

ก่อนจะออกจากวัดประมาณ ๒ - ๓ พรรษา มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่นอนอยู่ในเรือ เพื่อดูแลรักษาปลาหน้าวัด ตื่นขึ้นมาภาวนารู้สึกว่าอารมณ์ใจโปร่งเบาดีมาก กิเลสต่าง ๆ สงบเงียบเรียบร้อยไม่มีวี่แววเลย รู้สึกว่าผ่องใสเป็นพิเศษ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เราน่าจะเข้าถึงธรรมส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว

ความเคยชินที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้ก็คือ ถ้าอยากรู้ว่าตนเองเข้าถึงธรรมในส่วนไหน ให้พิจารณาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ ๑๐ จึงค่อย ๆ ไล่ไปทีละข้อ ๆ เมื่อดูละเอียดจนถึงปลายแล้วย้อนทวนต้น ถึงต้นแล้วย้อนทวนปลายอยู่ ๓ รอบ สรุปได้ว่าติดครบทุกข้อ..! แต่ตอนนั้นกำลังของสมาธิหนักแน่นมากเป็นพิเศษ กิเลสก็เลยดับสนิทลงชั่วคราว ถามว่ากิเลสตายไหม ? ไม่ได้ตายหรอก หลบไปนอนที่ไหนก็ไม่รู้ เผลอเมื่อไรก็กลับมาใหม่ ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติจะเชื่อว่าดีแล้วไม่ได้เป็นอันขาด

เถรี
25-05-2013, 19:27
ตอนที่มาอยู่เกาะพระฤๅษี..มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ติดขัดตรงไหนก็สอบถาม มีการแนะนำเป็นการเฉพาะตัว แล้วเขาเก่งมาก สามารถที่จะทำตามได้แทบทุกขั้นตอน จนกระทั่งวันหนึ่งแม่สาวก็มาปรารภว่า “หลวงพ่อ..คนเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นจะต้องตายเลย” ก็บอกกับเขาไปว่า ถ้าเป็นฆราวาสตายแน่ เขาบอก “ไม่เห็นหนูจะตายเลย..!”

เขาสามารถที่จะทรงฌาน แล้วรักษาอำนาจของสมาธิต่อเนื่องได้เป็นเดือนเป็นปี กิเลสไม่เกิด เขาก็เลยเข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แล้ว ในเมื่ออาตมาพูดแล้วเขาไม่เชื่อ เมื่อมีสิ่งอื่นแทรกเข้ามา ในลักษณะของการรู้เห็น เขาก็ไปเชื่อทางด้านนั้นแทน ปัจจุบันนี้มีลูก ๔ คน สามี ๒ คน..! เพราะตอนนั้นโดนหลอกว่า เกิดมาแล้วต้องรับหน้าที่สำคัญในการรักษาประเทศชาติ โดยเฉพาะเมื่อตนเองเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว ถ้าอยากจะช่วยโลกนี้ให้ดีจริง ๆ ก็คือต้องสร้างเผ่าพันธุ์ซูเปอร์ฮิวแมนขึ้นมา เพราะว่าสามีก็บริสุทธิ์ ภรรยาก็บริสุทธิ์ ลูกเกิดมาจะต้องดีแน่ ๆ เลย ไป ๆ มา ๆ ก็เลยสบาย นั่งเลี้ยงลูกไปก็แล้วกัน

เถรี
25-05-2013, 19:29
ถาม : อย่างนี้ประมาทไม่ได้เลย
ตอบ : เผลอเมื่อไรก็จะโดนดึงออกนอกทางไป เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ

ถาม : เรื่องของการปฏิบัติยิ่งทำไปเรายิ่งต้องระวังมากขึ้น หรือเราทำได้แล้วก็ไม่ต้องระวังรักษาแล้ว เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติได้แล้วต้องมีการทบทวนอยู่เสมอ แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังบอกว่า “ถึงเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังพิจารณาธรรมอยู่เสมอ เพื่อความอยู่สุขของตนเอง และเพื่อความไม่ประมาท” แปลว่ายิ่งทำได้ยิ่งขยัน ถ้าทำได้แล้วทิ้งโอกาสที่จะตายมีสูงมาก..!

ถาม : คือว่ายิ่งปฏิบัติไป ความไม่ประมาทยิ่งเพิ่มมากขึ้น ผมก็เข้าใจผิดว่ายิ่งทำไปแล้วสบาย ๆ
ตอบ : เพราะว่าสบายก็เลยไม่ได้ไปไหนสักที ถ้าลำบากก็ตะกายไปไกลหน่อย

เถรี
25-05-2013, 19:47
ถาม : ถ้าเราซื้อของเตรียมมาถวายพระ แต่ของเสียกลางทางโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ แล้วเราไม่ได้นำไปถวายพระ เราต้องชำระหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..เพราะยังเป็นของ ๆ เราอยู่ สิ่งที่ควรทำก็คือ สร้างสติตัวเองให้ดีกว่านั้น เพราะว่าสติของตนเองบกพร่องก็เลยเกิดเรื่องอย่างนี้ บางทีญาติโยมบางท่านก็เหมือนกัน ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ไปนั่งเสียอกเสียใจอยู่เป็นนาน จิตใจเศร้าหมองอยู่ ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุน บางท่านซื้อปลาไปปล่อย พอเทลงน้ำก็หงายท้องตายไปเลย แล้วก็ไปนั่งเสียอกเสียใจว่าเราทำให้ปลาตาย เขาเรียกว่าหลงประเด็น

เจตนาของเราคือซื้อปลาไปปล่อย เราได้ปล่อยแล้ว ส่วนวาระกรรมของปลาเขาหนัก ไม่สามารถจะอยู่รอดได้ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว ถ้าเป็นอาตมาเห็นหงายท้องก็ช้อนกลับบ้าน เอาลงหม้อเรียบร้อยไปแล้ว..!

เถรี
25-05-2013, 19:49
ถาม : ที่ท่านกล่าวว่าการปฏิบัติเชื่อถือไม่ได้ ก็คือ ?
ตอบ : คำว่าเชื่อถือไม่ได้ก็คือเชื่อว่าตัวเองดีไม่ได้ ถ้าคิดว่าตัวเองดีเมื่อไรโอกาสที่จะเสียมีสูงมาก เพราะว่าถ้าคิดลักษณะอย่างนั้น อันดับแรกก็คือสักกายทิฐิ ตัวกูของกู ถูกวัญจกธรรมหลอกอีกแล้ว หลอกว่าเราดีแล้ว ขณะเดียวกันก็แบกมานะ คือความถือตัวถือตน อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า ทำไมเราถึงดี ก็ดีเพราะเราไปเปรียบกับคนอื่น กลายเป็นยกตนข่มท่านไป มานะเต็ม ๆ เลย

ถาม : ตัวเองอย่าไปเชื่อถือ ?
ตอบ : อย่าคิดว่าตัวเองดี

เถรี
25-05-2013, 19:51
ถาม : ความรู้สึกกลัวความตาย กลัวการพลัดพราก เพิ่งมาเกิดเมื่อไม่กี่วันมานี้ แล้วต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : แปลว่ากำลังในการปฏิบัติของเรายังอ่อนมาก ให้ไปเน้นในเรื่องของอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกให้มากไว้ อานาปานสติทำให้สมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่น ถ้าสมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่นปัญญาจะเกิด จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก เป็นธรรมดา ธรรมชาติของกายสังขารของเราและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในเมื่อความตายมีเป็นปกติ กลัวหรือไม่กลัวเราก็ตายอยู่แล้ว

ในเมื่อจะตายทั้งทีก็ทำดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าเราสามารถทำความดีจนกระทั่งมั่นใจว่าสุคติคือที่ไปของเรา เราก็จะไม่กลัวความตาย แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่มั่นใจในความดีของตัวเองก็จะกลัวไปเรื่อย ๆ ให้ไปเน้นที่ลมหายใจเข้าออกจ้ะ

เถรี
25-05-2013, 19:55
ถาม : บางทีหลังจากที่สวดมนต์เสร็จก็จะเปิดฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง บางทีระหว่างที่ฟังไปเหมือนกับไม่ได้ยินเสียงเลยครับ เหมือนกับเราจะมีสติอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าภาวะที่เราไม่ได้ยินแล้วกลับมาได้ยินใหม่ เป็นเพราะเราหลับหรือว่าเรามีสมาธิมากเกินไปแล้วขาดสติครับ ?
ตอบ : สมาธิน้อยเกินไป คำว่าสมาธิน้อยเกินไปก็คือเริ่มเข้าสู่ปฐมฌานขั้นหยาบ จิตกับประสาทแยกออกจากกันแล้วสติตามไม่ทัน ก็เลยรับรู้อาการอย่างอื่นไม่ได้ โปรดเข้าใจใหม่ ไม่ใช่สมาธิมากเกิน หากแต่น้อยเกินไป

ถ้าก้าวเข้าสู่ปฐมฌานละเอียดแล้วต้องการรับรู้ จะรับรู้ทุกอย่างรอบด้านได้ชัดเจนมากเป็นพิเศษ แต่ถ้ายังไม่ถึงตรงจุดนั้นก็มีโอกาสที่จะตัดเงียบไปเฉย ๆ แต่ถ้าบางท่านที่ไม่เคยชินกับลักษณะของฌานใช้งาน ที่สามารถจะสนใจในเรื่องอื่น ๆ ได้ ก็อาจจะเงียบไปเฉย ๆ เหมือนกันในทุกระดับฌานของตนเอง

เถรี
25-05-2013, 20:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "นั่งดูโยมถวายสังฆทานบ้าง ถวายปัจจัยบ้าง บางรายวนแล้ววนอีก อาตมาก็ได้แต่นั่งขำ พวกกลัวถูกรางวัลที่ ๑ ขอเลขท้าย ๒ ตัวไปเรื่อย ๆ ถวายที ๗ - ๘ รอบ

กำลังใจในการทำบุญของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เวลาเกิดผลตอบแทนก็ตอบแทนไม่เหมือนกัน รายที่ถวายสังฆทานชุดละ ๑๐๐ บาท ๙ ชุด ถวายไปเรื่อยจนกว่าจะครบ ๙ ชุด ประเภทนี้ในเรื่องของลาภผลมาก็มาเรื่อย ๆ เหมือนกับน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย ส่วนประเภทที่เทตูมเดียวมาครบเลย ก็จะเป็นประเภทสึนามิ ผลตอบแทนก็จะต่างกัน

อาตมาเองชอบทำอะไรเร็ว ทีเดียว ลักษณะนี้พอถึงเวลาก็รับอะไรทีเดียวเลย รับกันจนเบื่อไปเลย ทุกครั้งที่ได้อะไรจะไม่เคยได้อย่างเดียว จะมาทีหลายอย่างพร้อมกันอยู่เสมอ"

เถรี
26-05-2013, 19:53
ถาม : ทำไมขงเบ้งถึงล่วงรู้ดินฟ้า เขาได้อภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาเรียนอะไรก็ต้องรู้จริง เก่งจริง ดูตัวอย่างแค่ในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระองค์ท่านเรียนโหราศาสตร์แท้ ๆ แต่สามารถคำนวณได้ว่าจะเกิดสุริยุปราคาเมื่อไร ? ที่ไหน ? ถึงขนาดมีพระราชหัตถเลขาส่งไปเชิญฝรั่งมาดูเป็นสักขีพยาน อย่างนั้นสมัยโบราณก็เรียกว่า "ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร" เหมือนกัน สำคัญอยู่ที่ว่าเรียนให้รู้ เมื่อรู้จริงแล้วสามารถนำไปใช้งานจริงได้ด้วย

อย่างน้อยก็มีอยู่ ๒ เหตุการณ์ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ขงเบ้งน่าจะเป็นผู้ได้อภิญญา อย่างหนึ่งก็คือ ตอนที่ไปรบกับเบ้งเฮ็ก อีกฝ่ายมีการใช้กองทัพเทวดา ก็คือเสกหุ่นพยนต์ เขาว่าเสกกระดาษเป็นกองทัพเทวดามาช่วยรบด้วย แล้วขงเบ้งทำลายอาถรรพ์ได้หมด อีกส่วนหนึ่งก็คือ หลังจากตายไปแล้วสามารถบอกได้ว่า จะมีใครมาขุดหลุมศพตัวเองเมื่อไร มีจารึกบอกไว้เรียบร้อยว่า เราชื่อนั้น ตายไปในวันนั้นเวลานั้น อีก ๑๐๐ ปีให้หลังจะมีบุคคลนั้นชื่อนั้นมาขุดหลุมศพของเรา เมื่อเห็นป้ายนี้ให้หยุดอยู่แค่นี้ ถ้าขุดต่อไปเดี๋ยวจะตายเพราะเกาทันฑ์ เขาก็ไม่เชื่อ พอย้ายป้ายออกก็ไปโดนกลไก ถูกลูกเกาทัณฑ์ตายคาที่

ในสองส่วนนี้ก็น่าจะบอกได้ชัดว่า ขงเบ้งสามารถรู้อนาคตได้ อีกฝ่ายหนึ่งใช้อภิญญาในส่วนที่เป็นโลกียะคือไสยศาสตร์ แล้วตนเองสามารถแก้ตกได้ ถ้าความสามารถไม่ได้ขนาดนั้นก็คงแก้ของเขาไม่ได้

ถาม : เป็นพุทธหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นลัทธิเต๋า

ถาม : หุ่นพยนต์ทำงานอย่างไร ใช้อภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : ใช้อภิญญากำกับ อธิษฐานทิ้งไว้ ถึงเวลาก็เป็นไปตามที่ต้องการ

ถาม : เป็นวัตถุธรรมดาหรือครับ ?
ตอบ : เป็นวัตถุผสมกับกำลังของอภิญญา แบบเดียวกับที่ขุนแผนสร้างค่าย แทนที่จะไปตัดเสามาปัก ขุนแผนก็เอาไม้อ้อมาเสียบ ๆ พอถึงเวลาเสกคาถา ซัดข้าวสาร ก็เป็นเสาไม้จริงทั้งหมด ต้องมีวัตถุเป็นสื่อด้วย

ถาม : มีหลายคนที่ได้อภิญญา ?
ตอบ : ของพวกนี้สมัยก่อนเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องปกติเหมือนสมัยนี้เรียนหนังสือก็ต้องจบ สมัยนั้นเขาเรียนก็ต้องได้อภิญญา

เถรี
26-05-2013, 20:03
ถาม : หุ่นพยนต์ทำงานตลอดเวลาไหมครับ ?
ตอบ : ทำเฉพาะตอนที่ป้องกันอันตราย กลไกซึ่งมีวัตถุเป็นสื่อ ถ้าทำงานตลอดเวลาก็ชำรุด จึงทำงานเฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องป้องกันเท่านั้น

เถรี
26-05-2013, 20:07
ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้ว ๑ พระธรรมขันธ์ คืออย่างไรครับ ?
ตอบ : คือหัวข้อธรรมข้อหนึ่ง เขาจะแบ่งเป็นหัวข้อ ไปเปิดดูในพระไตรปิฎกก็ได้ เขาจะเขียนบอกทีละหัวข้อไล่ไปเรื่อย จะมีตัวเลขวงเล็บอยู่ด้านหน้า วงเล็บหนึ่งก็คือหัวข้อหนึ่ง ไล่ไปเรื่อยจนครบ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

ถาม : ในปฐมสมโพธิกถาเป็นพระธรรมขันธ์ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ปฐมสมโพธิกถาเป็นของที่แต่งขึ้นใหม่ อาศัยเนื้อความในพุทธประวัติ แต่งขึ้นเป็นเนื้อหาหนังสือในอีกสำนวนหนึ่ง

เถรี
26-05-2013, 20:14
ถาม : พื้นฐานมนุษย์มาจากพรหมจริงหรือไม่จริงครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามอัคคัญญสูตรของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้น ปล่อยให้ฝรั่งเขางมโข่งกันต่อไป ฝรั่งพยายามจะเอามนุษย์มาจากลิงให้ได้ แล้วก็สงสัยว่าทำไมถึงหาห่วงโซ่ข้อกลางไม่ได้ ก็คือระหว่างลิงกับคน โครโมโซมจะห่างกันอยู่ ๒ คู่ เขาบอกว่าถ้ามนุษย์กับลิงมาด้วยกัน อย่างน้อย ๆ ต้องมีอีกคู่หนึ่ง แต่ยังหาไม่ได้ ในเมื่อโครโมโซมห่างไป ๒ คู่ เท่ากับเป็นคนละพันธุ์กัน จะต้องมีอีก ๑ เผ่าพันธุ์ที่เป็นตัวเชื่อมตรงกลาง แต่จนบัดนี้ก็ยังหาไม่ได้

เรื่องพวกนี้ในความรู้สึกของฝรั่ง ก็เหมือนนิทานหลอกเด็ก เป็นพวกเทพนิยาย เขาพยายามจะหาหลักฐานที่พิสูจน์ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ แต่จนบัดนี้ก็ยังหาไม่ได้

เถรี
26-05-2013, 20:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงการทำบุญกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร มีญาติโยมหลายท่านทำแบบน่าชื่นชม อย่างเช่น ทำเป็นประจำ เดือนละ ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาท ๓๐๐ บาท บางคนทำเดือนนี้ ๓๐๐ บาท เดือนหน้า ๔,๐๐๐ บาท เดือนต่อไป ๕๐๐ บาท เดือนถัดไป ๑,๒๐๐ บาท มั่วไปหมด

คนที่เขาทำสม่ำเสมอ ต่อให้ลงบัญชีพลาด แต่ถึงเวลาก็จะรู้ว่าเขาทำแค่นี้ แล้วก็ลงให้เขาได้ บางคนขนาดทำวันเดียวกันทุกเดือน มีอยู่รายหนึ่งทำทุกวันที่ ๒๓ ของเดือน คนที่เขาทำสม่ำเสมอต้องบอกว่า นอกจากกำลังใจในจาคานุสติและทานบารมีทรงตัวแล้ว ในเรื่องของสัจจะบารมี ความแน่วแน่มั่นคง ตรงไปตรงมา สม่ำเสมอ ก็ยังมีอีกด้วย

บางทีไปคิด ๆ คำนวณตัวเลขเสร็จสรรพเรียบร้อย มองตั้งแต่ต้นยันท้าย เห็นว่าเขาทำเท่ากันทุกเดือน ก็เอา ๑๒ คูณไปเลย ปีละเท่าไร แต่ว่าหลายรายทำขึ้น ๆ ลง ๆ ตามกำลังของตัวเองในช่วงนั้น มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย บางทีก็ทำเอาอาตมาสับสนไปด้วย"

เถรี
26-05-2013, 20:31
"หลักการปฏิบัติธรรมนั้น ความจริงจังสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในลักษณะของการทำ ๆ ทิ้ง ๆ เอาดีได้ยาก ต้องบอกว่าบารมียังพร่องอยู่ ถ้าลักษณะของการทำไม่สม่ำเสมอ แสดงว่าสัจจะบารมียังพร่องอยู่"

เถรี
26-05-2013, 20:45
ถาม : มูลกัจจายน์อยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มูลกัจจายน์เป็นการศึกษาภาษาบาลีแบบถึงต้นรากของศัพท์เลย ลักษณะเดียวกับที่เราศึกษาหลักภาษาไทยหรือแกรมม่าของอังกฤษ แต่จะละเอียดลึกซึ้งกว่ากันมาก มูลกัจจายน์สืบสายมาจากพระมหากัจจายนะ

สมัยนี้เขาไม่ค่อยเรียนกัน เขาบอกว่ายาก อาตมาเคยเรียนแค่ส่วนหนึ่ง ไปนั่งท่องสูตรเป็นร้อย ๆ สูตร ถึงได้รู้ว่าบาลีมีที่มาที่ไปอย่างไร ปัจจุบันนี้เขาเรียนบาลีตั้งแต่ประโยค ๑ - ๒ ถึงประโยค ๙ บางทีไม่รู้หรอกว่ามาอย่างไร เขาให้เชื่อแล้วจำอย่างเดียว ในเมื่อเชื่อแล้วจำอย่างเดียว ไม่รู้ที่มา บางคนเรียนไปก็อึดอัด ไม่รู้ว่ามาอย่างไรแต่รู้ว่าต้องตอบแบบนี้ ปัจจุบันนี้ที่ยังมีมูลกัจจายน์เรียนอยู่ คือที่สำนักวัดท่ามะโอ วัดจองคำ และสถาบันบาลีศึกษาพุทธโฆษ พวกนี้ยังชอบของยากอยู่

แต่จะเรียนมูลกัจจายน์หรือบาลีไวยากรณ์ชั้นสูง เขาบังคับว่าต้องจบประโยค ๕ แล้วถึงยอมเรียนได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีพื้นฐานแล้วจะไปไม่เป็น อาตมาเองไม่มีพื้นฐานประโยคมาก่อน แต่เคยท่องไวยากรณ์บาลีมา พอไปอ่านสูตรแต่ละสูตร ก็เข้าใจเลยว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนหน้านั้นเขาบังคับให้ท่องแล้วเชื่ออย่างเดียว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าแต่ละอย่างมีที่มาอย่างไร

เขาขึ้นบาลีว่า "อตฺโถ อกฺขรสญฺญโต" อันดับแรกต้องจดจำอักขระทั้งหมดให้ได้ก่อน จะได้แม่นยำไม่ผิดเพี้ยน เขายกตัวอย่างว่า พระไปนั่งภาวนาอยู่ริมสระน้ำตามที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์บอก มอบคาถาไว้ให้ คาถาคือ "ขยะวยะ ขยะวยะ" ก็คือความสิ้นไปของกิเลส ท่านก็นั่งภาวนาไป พอดีนกกระยางพุ่งลงจับปลา โผพรวดลงน้ำไป ท่านภาวนาอยู่สมาธิยังไม่ทรงตัว ได้ยินเสียงนกกระยางพุ่งลงจับปลา ก็ตกใจลืมตาขึ้นมาดู คราวนี้จำคำภาวนาที่อาจารย์ให้ไม่ได้ จำได้แต่นกกระยางลงน้ำ ก็เลยกลายเป็นคำภาวนา "พกะ อุทกะ" พกะคือนกกระยาง อุทกะคือน้ำ

พอขึ้นบาลี อันดับแรกเลยต้องจำอักขระให้ได้ทั้งหมดก่อน ว่าแบ่งเป็นกี่วรรค มีเศษวรรคเท่าไร

เถรี
26-05-2013, 20:52
ถาม : คนที่จะเรียนมูลกัจจายน์ได้ต้องมีปัญญามากหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่..เป็นสิ่งที่คนโบราณเขาเรียนกันและรู้กันเป็นปกติ แต่คนสมัยใหม่สมองรับขนาดนั้นไม่ไหว ก็เลยกลายเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ดูอย่างพระสมัยก่อนท่องพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ได้เป็นเรื่องปกติ สมัยนั้นเขาใช้วิธีส่งต่อกันแบบมุขปาฐะคือท่องจำด้วยปากเปล่า จนกระทั่ง ๕๐๐ ปีผ่านไป ถึงได้มีการจารึกพระไตรปิฎกขึ้นเป็นตัวอักษรขึ้นมาที่ประเทศศรีลังกา เขาท่องกันมา ๕๐๐ กว่าปี สมัยนี้ขนาดเราเปิดคอมพิวเตอร์ยังจำไม่ค่อยจะได้เลย

ปัจจุบันนี้ประเทศพม่ามีพระผู้ทรงจำพระไตรปิฎกได้ เรียกว่าพหูสูตรอยู่ ๙ รูปด้วยกัน อาตมาไปลุ้นเขาอยู่ ๕ ปีติด ๆ กัน สอบตกยกชั้นทุกปี สมัยนี้เขาผ่อนผันลง แสดงว่าสมองคนแย่ลงไปเยอะ เขาผ่อนผันว่าให้เก็บทีละหมวดได้ หมวดพระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ได้ แล้วไปเก็บหมวดพระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้วค่อยไปเก็บหมวดพระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ว่าสมัยหลวงปู่วิจิตตะ ท่านท่องรวดเดียวเลย สมัยนี้ผ่อนผันให้มากแล้ว

ที่ไปดูเพราะมีพระไทยไปสอบด้วย ปัจจุบันนี้ท่านเก็บหมวดพระวินัยได้แล้ว แต่ที่เหลือก็ติดอยู่กับที่เหมือนเดิม เกรงอยู่อย่างเดียวว่าท่องขึ้นหน้ามาก ๆ เดี๋ยวถอยหลังมาจำไม่ได้ ก็จะสอบตกอีก

เถรี
26-05-2013, 20:57
พระพม่าเวลาจบพระไตรปิฎก เขาจะมีคำว่า "ตรีปิฏกะบัณฑิต" ต่อท้าย เวลาไปที่ไหนญาติโยมจะแห่กันไปทำบุญ เขาถือว่าเท่ากับเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า สามารถจำพระธรรมทั้งหมดของพระองค์ได้ โดยที่ลืมนึกไปว่า พระธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นใบไม้กำมือเดียว ในเมื่อเป็นแค่ใบไม้กำมือเดียวแล้วจะไปเป็นตัวแทนได้อย่างไร ? อีกอย่างหนึ่งก็คือ การจำได้ไม่ได้หมายความว่าทำได้ ไม่ได้หมายความว่าอธิบายให้ละเอียดลึกซึ้งได้ เป็นแค่การท่องจำเฉย ๆ เท่านั้น

เขามีการสอบกันทุกปี ใช้เวลา ๑ เดือน ท่านหนึ่งจะมีพระผู้ใหญ่ ๒ รูปเป็นกรรมการ และมีฆราวาสที่เคยได้เปรียญธรรมสูง ๆ อีก ๒ คน คอยดูแลควบคุมอยู่ ๑ ต่อ ๔ พอเริ่มต้นก็ว่าไป พระผู้ใหญ่ท่านก็เปิดพระไตรปิฎกทวนอยู่ตรงนั้น ถ้าเหนื่อยขึ้นมาก็นอนพักตรงนั้นแหละ หิวขึ้นมาโยมก็เอาอาหารมาประเคน จะไปห้องน้ำห้องส้วมโยมก็ตามประกบไป ไม่มีโอกาสหลบไปเปิดตำราที่ไหนเลย ให้เวลา ๑ เดือน ต้องท่องมาให้หมด

หลวงปู่วิจิตตะที่มรณภาพไปแล้ว หนังสือกินเนสบุ๊กบันทึกว่า เป็นบุคคลที่มีความทรงจำเลิศที่สุดในโลก สามารถทรงจำอักขระต่าง ๆ คิดเป็นตัวหนังสือในหน้ากระดาษ A๔ ได้ประมาณ ๑๑,๐๐๐ หน้า ก็คือพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั่นแหละ แต่ ๑๑,๐๐๐ หน้าของหลวงปู่ ท่านเก่งกว่าคอมพิวเตอร์อีก

ถ้าเรายกขึ้นมาคำหนึ่งค้นหาในคอมพิวเตอร์ จะได้ข้อมูลมาเยอะแยะไปหมดเลย คุณจะใช้ตรงไหนต้องไปเลือกเอา แต่ของหลวงปู่วิจิตตะ ถ้ายกขึ้นมาคำหนึ่ง ท่านบอกได้เลยว่าข้างหน้าคือคำอะไร ข้างหลังคืออะไร อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าไหน

เถรี
26-05-2013, 21:01
ถาม : แล้วที่บอกว่า พระที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณจะมีการทรงพระไตรปิฎกด้วย ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ

ถาม : แล้วต้องท่องจำหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาท่องจำ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมด สรุปรวมลงที่กายสังขารนี้ ในเมื่อรู้รายละเอียดของร่างกายทั้งหมด ก็แปลว่ารู้พระไตรปิฎกทั้งหมดนั่นแหละ ดังบาลีที่ว่า โอปนยิโก ให้น้อมเข้ามาดูข้างใน ไม่ต้องไปดูที่อื่น กว้างศอกยาววาหนาคืบ นี่แหละคือก้อนธรรม เกิดก็ตรงนี้ แก่ก็ตรงนี้ เจ็บก็ตรงนี้ ตายก็ตรงนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็อยู่ตรงนี้

ถาม : แต่ผู้ทรงพระไตรปิฎกก็รู้เรื่องพวกนี้ ?
ตอบ : รู้เป็นปกติ แต่รู้ตัวนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะท่านแค่จำได้ แต่พระปฏิสัมภิทาญาณท่านรู้เพราะทำได้ รู้ลักษณะนั้นลองไปถามท่านก็ได้ อย่างหลวงปู่บุดดาไม่เคยเรียนหนังสือมา แต่ถ้าไปถามท่าน ท่านยกพระไตรปิฎกมาให้ฟังได้เป็นเล่ม ๆ เลย

เถรี
26-05-2013, 21:09
ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เท่ากันทุกพระองค์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงนั้น บุคคลที่เข้าถึงธรรมจัดอยู่ในบารมีระดับไหน ถ้ามีบารมีน้อยก็ต้องเคี่ยวเข็ญกันมาก อาศัยหลักธรรมจำนวนมาก เพื่อที่จะให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าระดับไหนมาก็จะได้มีหลักธรรมเทศน์สอนเขาได้ แต่ถ้าไปเจอสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย เทศน์พระสูตรเดียวก็ไปพระนิพพานกันหมดแล้ว จะเอาอะไรมาเทศน์อีก ?

ถาม : คนสมัยนี้อยากไปบรรลุธรรมสมัยพระศรีอาริย์ ?
ตอบ : ปล่อยเขาไป ถ้าเราไปได้ก่อน เราก็ไปก่อน ถ้าไปไม่ได้ค่อยไปกับเขาด้วย อยากเกิดสมัยพระศรีอริยเมตไตรย ไม่ใช่ของง่ายนะ ท่านบอกว่าต้องรักษากรรมบถ ๑๐ ให้ได้เป็นปกติ ถ้ารักษากรรมบถ ๑๐ เป็นปกตินี่คุณเป็นพระโสดาบันได้สบาย ๆ เลย

เถรี
26-05-2013, 21:12
ถาม : พุทธมารดาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็เป็นพุทธมารดาของพระศรีอาริย์ด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านตั้งใจว่าจะไปเกิดเป็นพระพุทธมารดาอีกครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นท่านบรรลุมรรคผลไปตั้งแต่พระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์แล้ว แต่ท่านติดอธิษฐานบารมีว่า ตั้งใจจะเกิดเป็นพระพุทธมารดาอีกครั้ง ก็เลยต้องไปเกิดในสมัยหน้าอีกรอบ

คงอยากเกิดเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ๒ ครั้ง เบญจกัลยาณีนี่สวยสู้ผู้หญิงที่เป็นพระพุทธมารดาไม่ได้นะ เบญจกัลยาณีหลัก ๆ แล้วงามเด่นอยู่ ๕ อย่าง แต่พุทธมารดามีลักษณะความงาม ๖๔ อย่าง ในวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง..ใช่ไหม ? ที่ชมนางรจนาว่า "งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ นางในทั้งธรณีไม่มีเหมือน" เขาสงสัยว่าเป็นนางฟ้าลงมาหรือเปล่า ? นั่นยังไม่งามจริง ถ้า..งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์..ต้องเป็นพระพุทธมารดาเท่านั้น

เถรี
29-05-2013, 20:58
พระอาจารย์ถามญาติโยมว่า "เคยลองสมมติสถานการณ์ไหมว่า ถ้าไม่มีไฟฟ้าสักครึ่งเดือนเราจะทำอย่างไร ? รับรองว่าถ้าบ้านหน้าตาแบบนี้ไม่มีคนอยู่ในบ้านหรอก ถ้าวัดท่าขนุนไฟดับสักครึ่งวัน มีแต่พระโผล่อยู่หน้ากุฏิเต็มไปหมด พวกเราเคยชินกับความสะดวกสบายที่เครื่องอำนวยความสะดวกเขาให้ ทั้งพัดลม โทรทัศน์ ตู้เย็น สารพัด พอไฟดับแล้ว ความเคยชินหายไปจะรู้สึกว่าลำบาก แต่ถ้าเราเฉย ๆ หรือไม่ก็ไม่ให้ความเคยชินเหล่านี้มาครอบงำเรา เราก็จะอยู่ได้สบาย ๆ

จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ ไม่ค่อยได้ใส่รองเท้า กลัวอยู่อย่างเดียวคือหนามโคกกระสุน พวกนี้เม็ดเกือบเท่าหัวแม่มือ มีหนามรอบเลย ถ้าไม่ใช่โคกกระสุนนี่ไม่กลัวหรอก เดินลุยได้ทุกอย่าง ตอนไปโรงเรียนครั้งแรก ๆ ใส่รองเท้าแล้วรองเท้ากัด กว่าจะใส่รองเท้าได้ต้องพยายามอยู่เป็นปี

แต่ความรู้สึกในยุคนั้น การเป็นนักเรียนเหมือนกับเป็นบุคคลอีกชนชั้นหนึ่ง แม้กระทั่งพ่อแม่ก็รู้สึกว่าปฏิบัติกับเราต่างจากปกติ เพราะคนสมัยก่อนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หนังสือ พอมีคนรู้หนังสือแล้ว รู้สึกว่าเหมือนกับเขาให้เกียรติเรามากกว่าปกติ แม้เราจะเป็นเด็ก แต่ถ้าเราอ่านหนังสือออก ผู้ใหญ่เขาก็จะชื่นชม

เวลานั่งรถเมล์ด้วยกันเยอะ ๆ เขาจะถาม “ไอ้โน่นอะไรไอ้หนู ไอ้นี่อะไรหนู” ถ้าอ่านออกเขาจะปลื้มกันใหญ่ แต่ก็แปลก...โยมแม่อ่านหนังสือไม่ออก แต่ไปได้ทั่วไปหมด เพราะจำทางได้หมด"

เถรี
29-05-2013, 21:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าดูจากตัวเลข พระยาฉัตทันต์มีกำลังมากกว่าช้างปกติหนึ่งหมื่นล้านเชือก เพราะเขาบอกว่าช้างตระกูลกาฬวกหัตถีมีกำลังมากกว่าช้างปกติ ๑๐ เชือก ช้างตระกูลคังเคยยหัตถีมีกำลังมากกว่าช้างตระกูลกาฬวกหัตถี ๑๐ เชือก ก็แปลว่าจากธรรมดาก็ต้องเป็นร้อย

ตระกูลปัณฑรหัตถีมีกำลังมากกว่าคังเคยยหัตถี ๑๐ เชือก ก็ต้องเป็นพัน ตามพหัตถีมีกำลังมากกว่าปัณฑรหัตถี ๑๐ เชือก ก็เป็นหมื่น ปิงคลหัตถีมีกำลังมากกว่าตามพหัตถี ๑๐ เชือกก็เป็นแสน
คันธหัตถีมีกำลังมากกว่าปิงคลหัตถี ๑๐ เชือก ก็เป็นล้าน มังคลหัตถีมีกำลังมากกว่าคันธหัตถี ๑๐ เชือก ก็เป็นสิบล้าน เหมหัตถีมีกำลังมากกว่ามงคลหัตถี ๑๐ เชือกก็เป็นร้อยล้าน อุโบสถหัตถีมีกำลังมากกว่าเหมหัตถี ๑๐ เชือกก็เป็นพันล้าน ฉัตทันต์หัตถีมีกำลังมากกว่าอุโบสถหัตถี ๑๐ เชือก ก็เป็นหมื่นล้าน

บาลีเขาบอกว่าพระพุทธเจ้ากำลังมากกว่าช้างฉัตทันต์หัตถีอีก ฉะนั้น..ที่ท่านเดินทางวันละ ๑๒๐ โยชน์นี่เล็ก ๆ เลย พระนามของพระพุทธเจ้ามีอย่างหนึ่งก็คือ “นาคะ” ความหมายหนึ่งคือผู้ประเสริฐ ความหมายหนึ่งคือผู้ผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้ว อีกความหมายหนึ่งก็คือผู้ที่มีกำลังเหมือนช้าง"

ถาม : แล้วข่าวที่พบช้างเผือกที่แก่งกระจาน เป็นช้างเผือกจริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นช้างเผือกเพราะเม็ดสีทำงานผิดปกติ ไม่น่าจะใช่ช้างเผือกจริง ๆ เพราะถ้าช้างเผือกจริง ๆ ช้างอื่นมักจะไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่คอยดูแลแวดล้อมอยู่ห่าง ๆ คราวนี้ตามข่าวเขาบอกว่าลงเล่นน้ำด้วยกัน สมัยที่ป่ายังเยอะ ๆ อยู่ คุณน้อย อินทนนท์ หรือมาลัย ชูพินิจ ไปล่าแรดเผือก ตามจนกระทั่งเจอ ยิงตูมแล้วไปดูเป็นแรดดำธรรมดา แต่มันไปเกลือกปลักที่เป็นโป่ง พวกดินโป่งจะมีแต่เกลือ พอแห้งแล้วส่าเกลือขึ้นขาวไปทั้งตัวเลย

เถรี
29-05-2013, 21:27
ถาม : คนที่เขาอายุยืนเป็นร้อยปี เขาทำอะไรถึงได้อายุยืน ?
ตอบ : ปาณาติบาตน้อยจ้ะ พูดง่าย ๆ ก็คือ ชาติก่อนเรื่องฆ่าคนฆ่าสัตว์ ตั้งแต่เล็กสุดถึงใหญ่สุดนี่แทบไม่เตะเลย

อายุยืนเกิดจากพื้นฐานของจิตใจที่มีเมตตา ไม่ได้ทำปาณาติบาตเอาไว้ ในเมื่อเราไม่ฆ่าเขา ถึงเวลาอายุเราก็อยู่ยั้งยืนยง แต่ก็ไม่เกินเกณฑ์เท่าไรหรอก

เว้นจากการฆ่าสัตว์อายุจะยืน เว้นจากการลักทรัพย์ ทรัพย์สินจะไม่เสียหายด้วยภัยธรรมชาติหรือโจรภัย เว้นจากการประพฤติผิดในกาม จะเป็นผู้ที่มีอำนาจ สามารถปกครองคนอื่นให้เชื่อฟังทุกอย่างได้ เว้นจากการโกหก เกิดใหม่พูดอะไรก็มีแต่คนเชื่อฟัง เว้นจากการดื่มสุราเมรัย เกิดใหม่จะไม่เป็นโรคปวดหัว ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคบ้า ส่วนนี้เป็นแค่เศษ ๆ เท่านั้น เพราะว่าโทษหนักจริง ๆ ส่วนใหญ่ไปรับอยู่ข้างล่างแล้ว หลงมาเกิดเป็นคนแล้วถึงจะได้รับเศษที่เหลือ

เถรี
29-05-2013, 21:33
ถาม : ทำไมพระเยซูในศาสนาคริสต์ถึงดื่มไวน์ได้คะ ?
ตอบ : ศีล ๕ เป็นของศาสนาพุทธ จะเอาไปเปรียบกับศาสนาคริสต์ได้อย่างไร อย่าลืมว่าแม้แต่งานวิจัยของฝรั่ง เขาทดสอบด้วยการที่ให้ดื่มไวน์ ๔ แก้ว หรือเบียร์ ๒ กระป๋อง ไม่เมาหรอก แต่พอถอยรถเข้าซอง ชนบรรลัยหมดเลย เขาบอกว่าไม่เมา แต่ประสาทการกะระยะเพี้ยนไปแล้ว

ลักษณะเดียวกับผู้ปฏิบัติธรรม ท่านบอกว่ากิเลสเหมือนอย่างกับน้ำ ศีลเป็นเขื่อนกั้น ถ้าเราปล่อยให้เขื่อนมีรูแม้แต่นิดเดียว ถ้าน้ำเจาะทะลวงผ่านได้ไปเรื่อย ๆ รูก็จะกว้างขึ้นเรื่อย ในเมื่อกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขื่อนก็พัง สู้กระแสกิเลสคือน้ำไม่ได้ ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจึงให้งดเว้นไปเลยดีกว่า ไม่ต้องไปเสี่ยงด้วยประการทั้งปวง

อาตมาก็ไม่เคยฉัน ไม่รู้ว่าเบียร์ ๒ กระป๋องเมาหรือเปล่า ? คนไม่เคยฉันนี่ลำบาก อย่างวันก่อนไปงานหลวงตาวัชรชัยที่วัดเขาวง อาตมาฉันน้ำชาเข้าไป ๔ ทุ่มแล้วยังไม่ได้นอนเลย ไม่มีอะไรจะทำก็ภาวนาคาถาเงินล้านไปเรื่อย ๆ ขนาดน้ำชายังถ่างตาจนดึกดื่นเที่ยงคืน แสดงว่าประสาทอ่อน เคยแต่น้ำเปล่าเจอน้ำชาเข้าไปก็ตาค้าง

เถรี
29-05-2013, 21:37
ถาม : เทวดาเขามีประเทศไหมคะ ?
ตอบ : มีแต่เขต แต่ละท่านจะมีเขตเฉพาะของตนอยู่ เป็นไปตามกำลังบุญ สร้างบุญไว้มากเขตก็ใหญ่โตกว้างขวาง สร้างบุญไว้น้อยเขตก็เล็กหน่อย ต้องดูตัวอย่างพระนางโรหิณี พระนางโรหิณีขึ้นไปเป็นนางฟ้า มีความสวยมาก ใคร ๆ ก็อยากได้ คราวนี้ว่านางฟ้าถ้าอยู่ในเขตวิมานของใคร ก็เป็นบาทบริจาริกาของวิมานนั้น ปรากฏว่าพระนางโรหิณีไปนั่งอยู่ตรงกลาง ๔ วิมานพอดีเลย

เขามีกติกาว่าถ้าหันหน้าไปทางไหนก็เป็นของวิมานนั้น แม่เจ้าประคุณดันนั่งก้มหน้า เทวดาจะตีกันตายสิคราวนี้ เพราะต่างคนต่างอยากได้ ท้ายสุดพระอินทร์ต้องริบไปเอง ฉะนั้น..เทวดาไม่มีประเทศ มีแต่เขตตามกำลังบุญของตัวเอง

เถรี
29-05-2013, 21:40
หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยสงสัยว่าตอนนี้พระเยซูท่านอยู่ที่ไหน พอดีวันนั้นขึ้นดาวดึงส์ไปก็เห็นพระเยซูท่านเดินมา แต่งตัวแบบเทวดาฝรั่ง ใส่ผ้าขาวรุ่มร่าม ๆ มีวงแสงอยู่บนหัวด้วย หลวงพ่อท่านก็เลยพูดล้อเล่นว่า “เฮ้ย...ข้างบนนี้ไม่มีนะ เทวดาที่แต่งตัวแบบนี้” ท่านบอกว่า ถ้าผมไม่มาแบบนี้ท่านก็ไม่รู้ว่าผมคือเยซู หลวงพ่อถามว่าตอนนี้ท่านอยู่ไหน ? ท่านบอกว่าอยู่ชั้นดุสิต เป็นพระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อการตรัสรู้ต่อไปข้างหน้า

สรุปว่าไม่ว่าประเทศไหน ชาติไหน ภาษาไหนก็นรกสวรรค์เดียวกัน เพียงแต่ว่าถ้าไปขอพบเป็นพิเศษ ท่านก็จะแสดงให้เห็นว่าของท่านแต่เดิมมาจากไหน

ถาม : พระเยซูลงมาที่ชั้นดาวดึงส์ได้ ?
ตอบ : อยู่สูงกว่าลงมาต่ำได้จ้ะ อยู่ต่ำจะขึ้นสูงกว่าต้องรอเขาเชิญก่อน ถ้าไม่มีใครเชิญก็ไปไม่ได้

เถรี
30-05-2013, 09:12
ถาม : เมื่อพระบิณฑบาตกลับมาถึงวัด หนูมีหน้าที่จัดกับข้าวถุงใส่ในสำรับพระ ทีนี้พระบางรูปเห็นอาหารที่โยมใส่มาแล้วอยากฉัน จึงหยิบกับข้าวถุงนั้นออกไปใส่สำรับของตนเองเลย เท่ากับว่าผ่านมือหนูก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แล้วพระมาหยิบไปเองโดยที่ยังไม่ได้ประเคน อย่างนี้เป็นอาบัติไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นของจากบาตรของท่าน แล้วใจท่านยังผูกอยู่ว่าเป็นของท่าน จะผ่านกี่มือก็ไม่ขาดประเคน ไม่ต้องอาบัติ แต่ถ้าเป็นของจากบาตรท่านอื่นก็โดนไปเต็ม ๆ

ถาม : เช่นเดียวกัน พอจัดสำรับพระเสร็จ เตรียมจะฉัน พระลากสำรับนั้นไปใกล้มือตนเอง เพื่อให้หนูประเคน หนูก็เลยงงว่า แบบนี้เป็นอาบัติหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่ประเคน ไปแตะต้องเข้า โดนอาบัติทุกกฎ

ถาม : กรรมการวัดที่นี่มีนโยบายให้นำกับข้าวถุงที่เหลือจากมื้อเพล ออกขายในราคาถูก (กว่าราคาจริง) บอกกับชาวบ้านว่าเป็นค่าน้ำค่าไฟวัด ไม่ทราบว่าทำแบบนี้ชาวบ้านติดหนี้สงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าสงฆ์ไม่อนุญาต ก็อเวจีกันเป็นแถว..!

เถรี
30-05-2013, 09:14
ถาม : โยมที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดโรงครัว พอมีกับข้าวเหลือ โยมก็จะนำเอากลับบ้าน ซึ่งถือว่าติดหนี้สงฆ์ แต่ถ้าโยมคนนั้นบ้านอยู่ในวัดเลย (เจ้าอาวาสองค์ก่อนปลูกไว้ให้อยู่) ไม่ทราบว่าการนำกับข้าวกลับไปกินที่บ้านแบบนี้ติดหนี้สงฆ์หรือไม่คะ ?
ตอบ : จะอยู่ที่ไหนสิ่งที่เอาไปก็ยังเป็นของสงฆ์อยู่ดี โดนเต็ม ๆ เหมือนกัน

ถาม : ที่วัดเขาจะกำหนดให้แม่ชีมีสิทธิ์ฉันอาหารได้เท่าเทียมกับพระ ก็คือ พอพระได้กับข้าวมา แยกส่วนหนึ่งให้พระ ส่วนหนึ่งให้แม่ชี ถ้าเป็นกรณีนี้แม่ชีจะบาปหรือไม่ ? ถ้าไม่ผ่านพระสงฆ์ก่อนแต่กลับนำไปฉันได้เลย
ตอบ : แม่ชีคือฆราวาสที่ถือศีล ๘ โดนเต็ม ๆ จ้ะ..!

ถาม : หนูไม่สบายใจเรื่องนี้มานาน เพราะไม่ทราบว่าที่ถูกที่ควรเป็นอย่างไร เกรงว่าตัวเองจะลงนรกค่ะ
ตอบ : ถ้าจะปลอดภัยก็ทำอะไรไปเรื่อย จนท่านฉันเสร็จแล้วจึงเอาที่เหลือจากท่านมาฉัน ส่วนคนอื่นก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี
10-06-2013, 21:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บ้านเมืองเรา สถาบันที่ควรได้รับการเชื่อถือมากที่สุดคือศาลรัฐธรรมนูญ แต่ว่าเละเป็นโจ๊กเลย ต้องบอกว่าเขาทำตัวเอง เป็นเรื่องแปลกที่สถาบันซึ่งควรจะเป็นหลักของประเทศ และเป็นสถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็นที่สถิตความยุติธรรม กลับทำอะไรที่ทำให้คนอื่นเห็นความเป็น ๒ มาตรฐานอย่างชัดเจน

ถ้าช่วงที่ผ่านมาใครติดตามข่าวคราวก็จะเห็นว่า อะไรก็ตามที่พรรคเพื่อไทยยื่นไป เขาปัดทิ้งหมด แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยื่นไปเมื่อไรจะรับทันที ขณะที่สายตาชาวโลกเขาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติปี ๔๙ ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปโดยไม่ชอบธรรม แต่สายตาของพวกเขากลับไม่ได้มองตรงจุดนั้น ก็เลยทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศชาติลดลง

จะว่าไปแล้วเรื่องทั้งหมดก็อยู่ที่รัก โลภ โกรธ หลง เท่านั้นแหละ เพียงแต่ว่าถ้าถึงระดับนั้นแล้ว ยังโดนครอบงำด้วยผลประโยชน์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ก็เป็นที่น่าเสียดาย โดยเฉพาะเรื่องของรัฐสภา วุฒิสภา และศาลสถิตยุติธรรม เป็นการใช้พระราชอำนาจแทนในหลวง ถ้าเลอะเทอะเหลวไหลอย่างในปัจจุบันนี้ ก็คงจะอยู่ในลักษณะสะดุดขาตัวเองล้มเอง

ปัจจุบันนี้เห็นสื่อมวลชนบางคณะใช้คำว่า “เป็นกรรมการแต่ลงไปชกคนดู” คือศาลต้องอยู่ในลักษณะของกรรมการ ถ้าเพื่อไทยชกกับประชาธิปัตย์ แล้วคนดูไม่ชอบใจ โห่ไล่ขึ้นมา เพราะเห็นกรรมการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน กรรมการแทนที่จะแก้ไขตนเอง ไม่ให้เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง กลับลงไปชกคนดู ก็เลยเป็นอะไรที่ตลกในสายตาของต่างประเทศเขา

ถ้านึกถึงเกียรติภูมิของประเทศชาติ นึกถึงเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ของในหลวง แล้วก็นึกถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตัวเอง ก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น คราวนี้ไปนึกถึงผลประโยชน์ที่จะพึงได้ของตนและพวกของตนเข้า ก็เลยออกมาเละเทะดูไม่ได้ ถ้าพวกเราไม่ไปมีอารมณ์ร่วมด้วยก็ไม่มีปัญหา ถ้าเกิดอารมณ์ร่วมด้วยก็จะแบ่งเป็นฝ่ายต่าง ๆ แตกกันกระเจิดกระเจิง"

เถรี
10-06-2013, 21:35
"พอเห็นสภาพของบ้านเมืองและผู้คนที่วุ่นวาย ก็นึกถึงท่านชาติชาย เวลาไปงานคนอื่นเห็นงานเขาวุ่นมากเมื่อไร ท่านชาติชายจะนั่งหัวเราะ คนเราถ้าใจเริ่มสงบแล้ว ไปเห็นความวุ่นวายของคนอื่นก็เหมือนกับตลก ในสายตาของเราไม่ใช่ปัญหา แต่ในสายตาของคนที่วุ่นวาย กำลังใจไม่นิ่ง ไม่เห็นช่องทางแก้ปัญหา ก็เลยตลก เหมือนกับมดหัวขาด

เด็ก ๆ สมัยนี้ไม่เคยแกล้งมดขนาดนั้น มดหัวขาดจะเดินเปะปะไปหมด หาทิศไม่เจอเพราะไม่มีหัวแล้ว ในเรื่องของบ้านเมืองของเราก็เหมือนกัน ถ้าถึงเวลาเราเป็นผู้มีสติ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมได้ ไม่ไปวุ่นวายกับเขา บ้านเมืองก็ไม่เดือดร้อนยุ่งเหยิงอะไรมากมาย แต่ถ้าเราขาดสติ ไปร่วมมือกับเขา โดดลงไปเล่นด้วย คราวนี้ยุ่งแล้ว แทนที่จะเป็นคนดูกลายเป็นคนเล่น ตอนเป็นคนดูก็เห็นหมด ตอนเป็นคนเล่นนี่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออกมาท่าไหน เหมือนกับคนดูมวย เชียร์ได้ทุกที่ แต่พอชกเองก็ไม่เป็นท่า"

เถรี
14-06-2013, 20:31
พระอาจารย์กล่าวถึงการเลี้ยงลูกว่า "ต้องไปดูแม่ไก่ที่วัดท่าขนุน แม่ไก่ที่วัดท่าขนุนยอมกกลูกกับพื้นแค่ ๓ วัน พอถึงวันที่ ๔ แม่ไก่บินขึ้นยอดไม้เลย ลูกขึ้นได้ก็ขึ้น ขึ้นไม่ได้ก็เรื่องของลูก แม่เขายอมเสี่ยงอันตรายอยู่ที่พื้นมา ๓ คืนแล้ว พอคืนที่ ๔ แม่บินขึ้นยอดไม้เลย เลี้ยงลูกต้องเลี้ยงแบบลูกเสือลูกจระเข้แบบนั้นแหละ

ฉะนั้น..เวลาเราคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ให้คิดว่าถ้าไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่แล้วเราอยู่ได้ไหม ? แค่นั้นแหละ ถ้าไม่มีพ่อแม่แล้วเราอยู่ได้ ดูแลตัวเองได้ ทำงานหาเงินได้ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ถ้ายังต้องพึ่งพ่อแม่อยู่นี่ อายุแค่ไหนก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่

ลูกเสือจะอยู่กับแม่ประมาณหนึ่งปี ช่วงหลังจาก ๓ เดือนไปแล้วแม่จะพยายามหาสัตว์ จะจับสัตว์มาแบบไม่ให้ตาย แล้วก็เอามาให้ลูกซ้อมมือเล่น หัดล่า หัดตะครุบ พอคล่องตัวแม่ก็ให้ตามออกไปดูว่าแม่ล่าสัตว์อย่างไร หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ลูกล่าเอง คราวนี้ถ้าลูกล่าสัตว์เป็นแล้วแม่ก็ทิ้งเลย ต้องอย่างนั้น เขาถึงเรียกลูกเสือลูกจระเข้"

เถรี
14-06-2013, 20:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช้างที่เป็นข่าวไม่น่าจะเป็นช้างเผือก ช้างเผือกที่เป็นช้างสำคัญ ๑๐ ตระกูลไม่ค่อยจะหากินรวมกับตัวอื่น เพราะช้างอื่นจะกลัว ส่วนใหญ่ก็แค่ล้อมวงดูแลอยู่ห่าง ๆ แต่ในข่าวช้างตัวนี้ไปคลุกคลีอยู่ในฝูงด้วยกันเลยไม่น่าจะใช่

ช้างเผือกส่วนใหญ่เหมือนกับรู้ตัวว่าตัวเองเกิดมาแล้วตระกูลสูงกว่าเขา แล้วช้างอื่นก็ยอมรับด้วย เพราะฉะนั้นก็เลยมักจะคอยตามพิทักษ์รักษา คอยแวดล้อมดูแลอยู่ แต่ไม่ใช่ประเภทคลุกคลีตีโมงเล่นหัวกันอย่างนั้น ยกเว้นว่าเขาจะเปลี่ยนความประพฤติแล้วไปทำตัวติดดิน ซึ่งไม่ใช่..นั่นมันคน..ไม่ใช่ช้าง"

เถรี
15-06-2013, 20:02
ถาม : ยุคนี้ ยังมีช้าง ๑๐ ตระกูลอยู่หรือไม่คะ ? ?
ตอบ : พวกนี้ถึงเวลาแล้วจะเกิดมาเอง จะผ่าเหล่าผ่ากอขนาดไหนก็ตาม ถึงวาระก็จะเกิดมาเอง

ถาม : ต้องขึ้นอยู่กับกษัตริย์ด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็คงจะขึ้นอยู่กับเรื่องของชาวบ้านด้วย อย่างช้างปัจจยนาเคนทร์ของพระเวสสันดร เวลาอยู่ฝนฟ้าตกต้องบริบูรณ์ ชาวบ้านก็สบาย แสดงว่าต้องบุญเขาส่วนใหญ่รวมกัน แต่ผู้นำถือว่าเป็นหลัก

ถ้าเราไปอ่านผู้ชนะสิบทิศ จะเด็ดทอดบ่วงคล้องช้างเผือก อ้างพระบารมีพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ อ้างแล้วอ้างอีกก็คล้องไม่ติด จวนจะค่ำอยู่แล้ว แทบจะมองอะไรไม่เห็น ท้ายที่สุดต้องอ้างบารมีตัวเองว่า ถ้าจะได้เป็นกษัตริย์ขอให้ทอดบ่วงติด ปรากฏว่าคล้องช้างติดเลย คราวนี้ก็น้ำท่วมปากบอกใครไม่ได้ ได้แต่ทูลพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ว่าเป็นเพราะบารมีพระองค์ท่านจึงคล้องได้

เถรี
15-06-2013, 20:08
ถาม : ทำไมช้างเผือกมีบารมีเยอะกว่าช้างอื่น ?
ตอบ : สมัยก่อนมีการศึกการสงครามเป็นหลัก ช้างเผือกมีบารมีข่มช้างทั่วไปได้ เพราะกำลังสู้กันไม่ได้ ประเภท ๑ ต่อ ๑๐ เราลองนึกถึงพระอานนท์หรือนางวิสาขาที่มีกำลังเท่า ๗ ช้างสาร

พระเจ้าปเสนทิโกศลปล่อยช้างตกมันมา ตั้งใจดูว่าใครคือนางวิสาขา ในบาลีเขาใช้คำว่า ถ้านางวิสาขาเอามือจับงวงสลัดออกไป ช้างอาจจะบาดเจ็บสาหัส ท้ายสุดไม่รู้ทำอย่างไรก็เลยเอานิ้วทิ่มหน้าผากไว้ กลัวช้างจะเจ็บ ยังดีที่ทิ่มไว้เฉย ๆ ถ้าแรงหน่อยก็คงกะโหลกทะลุ..! คราวนี้ในเมื่อกำลังต่างกันมาก ช้างด้วยกันเขาจะรู้ เมื่อช้างด้วยกันรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ถอยไว้ก่อน เมื่อช้างหนีจะรบอย่างไร ? ก็เท่ากับกองทัพแตกไปโดยปริยาย อย่างช้างปัจจยนาคถ้าอยู่ที่ไหน ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล

แต่แปลก..ในบาลีเขาบอกว่า ช้างคู่บารมีพระเจ้าจักรพรรดิจะเป็นช้างตระกูลอุโบสถ ทั้ง ๆ ที่ฉัตทันตหัตถีตระกูลสูงกว่า หัตถิรัตนะ ช้างแก้วเป็นช้างสำคัญตระกูลอุโบสถ เขาระบุไว้ชัดเลย ไปดูในจักรวรรดิสูตร อังคุตตรนิกาย

ของเรามีพลายทองคำที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลำปาง ไม่รู้ยังอยู่หรือเปล่า ? ลักษณะดีมาก ๆ เลยแต่ไม่ใช่ช้างเผือก เพราะลักษณะสำคัญมีไม่ครบ เขาก็เลยตีว่าเป็นช้างสีประหลาด

เถรี
15-06-2013, 20:18
ถาม : ช้างเผือกจะต้องเป็นช้างพลายหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเป็นช้างพลายหรือช้างพังก็ได้ ท่านไม่ได้จำกัดไว้ นางพญาคำแก้วมิ่งเมืองลาวก็เป็นช้างพัง

ที่น่าขายหน้าที่สุดก็คือ มัคคุเทศก์พม่าพาคณะคนไทยไปดูช้างเผือก เขาบอกว่าช้างเผือกพม่ามี ๓ ช้าง แล้วท่านทราบไหมครับว่าช้างเผือกไทยมีกี่ช้าง ? คนไทยตอบไม่ได้ ความจริงแล้วช้างเผือกไทยมี ๑๑ ช้าง แต่เนื่องจากในหลวงเป็นรัชกาลที่ ๙ จึงขึ้นระวางไว้แค่ ๙ ช้าง เขารู้เรื่องของเรามากกว่าคนไทยเสียอีก

เขาบอกว่าถ้ามาที่นี่จะได้ดูแต่ช้างเผือกเท่านั้น แต่ถ้าท่านอยากดูช้างวาดรูป ดูช้างเตะฟุตบอล ให้ไปดูที่เชียงใหม่ ให้ตายเถอะ..แนะนำคนไทยให้ไปดูช้างที่เชียงใหม่..!

ถาม : ช้างเผือกต้องมีบุญบารมีเยอะใช่ไหมคะ ?
ตอบ :จะว่าไปแล้วส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ กติกาของความเป็นพระโพธิสัตว์ก็คือ ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะมีอัตภาพร่างกายไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่กว่าช้าง นกกระจาบก็อย่างเช่นสรรพสิทธิชาดก ดังนั้น..ปลาวาฬสีน้ำเงินหรือไดโนเสาร์เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ เพราะใหญ่เกินช้าง

เถรี
16-06-2013, 20:40
ถาม :ถ้าเกิดเป็นสัตว์ จะบำเพ็ญบารมีได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : สบาย...ถ้าเกิดเป็นกระต่ายก็กระโดดเข้ากองไฟให้พราหมณ์กิน ถ้าเกิดเป็นนาก หาปลามาได้ก็ซุกเอาไว้ก่อน ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้ใครต้องการปลาเราจะให้เขา เกิดเป็นลิงหาผลไม้มาได้ ตั้งใจว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถ ถ้าได้อาหารมาเราจะให้ทานก่อน จะไม่กินจนกว่าผู้อื่นจะได้รับอาหารนี้แล้ว ถ้าเช้ายันค่ำยังไม่มีคนมาขอ ก็แสดงว่าตัวเองต้องอดไปด้วย

เถรี
16-06-2013, 20:44
ถาม : กายในกับกายนอกคุยกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้...ยกเว้นจะตั้งใจคุยกับตัวเอง คุยในลักษณะของพระจูฬปันถก พระจูฬปันถกนั่งกรรมฐาน ถือเนสัชชิกังคธุดงค์ ไม่ยอมนอน คราวนี้โรคตากำเริบ หมอบอกว่าให้นอนหยอดยาเข้าจมูกแล้วโรคตาจะหาย ท่านก็ไม่ยอมนอน เพราะกลัวว่าจะเสียสัจจะ จนกระทั่งหมอบอกว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็รักษาไม่ได้ ต้องตาบอดแน่

พระจูฬปันถกใช้คำว่า 'ปรึกษากับกรัชกายนี้' ก็คือปรึกษากับกายที่จะต้องเน่าเปื่อยสูญสลายนี้ว่า เราต้องการธรรมะมากกว่าหรือต้องการร่างกายนี้มากกว่า ? สรุปได้ความว่าที่ปฏิบัติแทบล้มประดาตายก็เพราะต้องการธรรมะ ท่านจึงตัดใจไม่รักษา พิจารณาธรรมไป ท่านใช้คำว่าบรรลุมรรคผลพร้อมกับตาแตกทั้งสองข้าง นี่เป็นเพราะเป็นกรรมเก่าตามมา

ฉะนั้น..ถ้ากายนอกจะคุยกับกายใน ก็ต้องคุยแบบพระจูฬปันถกนี้

เถรี
18-06-2013, 08:16
ถาม : ทำไมผีถึงได้กลัวคาถาไล่ผีคะ ?
ตอบ : เหมือนกับโจรกลัวตำรวจ คาถาไล่ผีเป็นบารมีพระ ผีกลัวพระเป็นปกติอยู่แล้ว ผีเหมือนกับความมืด พระเหมือนกับความสว่าง พอความสว่างมาถึงความมืดก็หายไป คราวนี้ในเมื่อเป็นคาถาที่เป็นบารมีพระ ผีก็เหมือนขโมยที่เจอตำรวจ ย่อมเผ่นก่อน แต่อย่าไปเจอขโมยหน้าด้านเข้านะ ประเภทนี้ไม่กลัวคาถาไม่พอ ยังช่วยท่องให้อีกด้วย..!

เถรี
18-06-2013, 08:21
ถาม : ทำไมเราถึงจะมองเห็นใจตัวเองได้ว่าดีหรือไม่ดีครับ นอกจากอารมณ์ที่เรารับรู้ว่าเรามีราคะมีโทสะ ?
ตอบ : วัดด้วยนิวรณ์ ๕ วัดด้วยศีล วัดด้วยสังโยชน์ พิจารณาดูอยู่บ่อย ๆ หรือถ้าฝึกมโนยิทธิได้ก็ซักซ้อมเจโตปริยญาณให้คล่องตัว จะเห็นใจตัวเอง

ถาม : ซักซ้อมการมองภาพพระหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือการกำหนดดูดวงจิตตัวเอง ดูสองลักษณะ ลักษณะแรกคือดูเป็นดวงแสงหรือเป็นวงกลม ลักษณะที่สองคือเห็นเป็นกายในของเราเลย พอเห็นเป็นกายในซ้อนอยู่ข้างใน พอกายในมีความชัดเจนผ่องใสแสดงว่าสภาพจิตของเราดี ถ้ากายในมืดมัวแสดงว่าสภาพจิตของเราไม่ดี

เถรี
18-06-2013, 08:59
ถาม : เพื่อนไปบวช ๗ เดือน เพิ่งลาสิกขามาเมื่อเดือนที่แล้ว ทุกวันนี้ก็อยากกลับไปบวชอีก ?
ตอบ : อยากไปก็ไปสิ ใครเขาห้าม ...(หัวเราะ)... ตัดสินใจเอาเองเถอะ ไม่ต้องถามคนอื่น อยากไปก็ไป อยากอยู่ก็อยู่ ทำอะไรต้องเด็ดขาด ถ้าเด็ดไม่ขาดก็คาราคาซังไปเรื่อย

ถาม : โยมพ่อโยมแม่ไม่อยากให้เขาไป ?
ตอบ : ไปบวชท่านจะได้คิดถึงเราบ่อย ๆ เป็นอนุสติด้วย เท่ากับว่าทำให้ท่านสร้างความดีอยู่ทุกวัน ท่านนึกถึงเราก็เท่ากับนึกถึงพระสงฆ์

สำคัญตรงบวช ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้ ถ้าท่านไม่เห็นด้วย ท่านไม่อนุญาต เราก็หมดสิทธิ์ แต่ถ้าเราขอบวชแล้วท่านไม่ว่าอะไรก็ไม่ต้องห่วงท่านหรอก การบวชของเราถ้าท่านคิดถึงเราท่านก็เท่ากับคิดถึงพระสงฆ์ เท่ากับว่าท่านได้สร้างความดีอยู่เป็นปกติ

เถรี
18-06-2013, 09:15
ถาม : เครื่องบวงสรวงชุดเล็ก หัวหมูจะใช้สามชิ้นหรือสี่ชิ้น ?
ตอบ : หมูชิ้นเดียว หรือหัวหมูหัวเดียว

ถาม : บายศรีใช้สี่ข้าง ?
ตอบ : ใช้บายศรีปากชามคู่

ถาม : ทำไมงานบวงสรวงบางที่ตั้งสองโต๊ะ ?
ตอบ : ถ้างานไหนที่ไม่ใช่เรื่องของการพุทธาภิเษก เอาหัวหมูไก่ออกไปเลยก็ได้ ก็เลยกลายเป็นโต๊ะที่ไม่มีหัวหมูไม่มีไก่ ไป ๆ มา ๆ คนที่เขาไม่รู้ก็เลยตั้งคู่กันไปเลย

เถรี
18-06-2013, 09:18
ถาม : ที่บ้านตัวเอง สมัยก่อนยายเป็นครูมโนราห์ แกตัดหิ้งครูหมอ แล้วแกก็ไม่สบายจนตาย พอมารุ่นปัจจุบันนี้แม่ถามว่าจะแก้อย่างไร ถ้าเราตั้งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่กับขอขมาทั้งหมดจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องชุดใหญ่ มีชุดขอขมาที่เป็นบายศรีพาน มีปากชาม ๔ ทิศเหมือนกัน มีหัวหมูมีไก่อะไรเหมือนกัน ไม่ใช่ต้นใหญ่ เป็นบายศรีพานอย่างเก่งน่าจะไม่เกิน ๓ ชั้น

ถาม : อันนี้เขาเรียกชุดขอขมาหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วอยู่ในลักษณะแก้ไข อย่างเช่นว่าบนแล้วลืม

ถาม : ขึ้นบ้านใหม่กับเปิดกิจการใหม่ ใช้วันเดียวกันคือวันศุกร์ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : กิจการใหม่จะใช้วันไหนก็ใช้ไป แต่ห้ามใช้วันศุกร์เด็ดขาด ส่วนขึ้นบ้านใหม่ให้ใช้วันศุกร์

เถรี
18-06-2013, 09:20
ถาม : ถอนศาลนี่เราไปถอนของเก่าก่อนแล้วมาตั้งของใหม่ หรือตั้งของใหม่ก่อนแล้วไปถอนของเก่าครับ ?
ตอบ : ถอนของเก่าก่อน

เถรี
18-06-2013, 09:24
ถาม : บางคนวางกำลังใจว่า เอาประโยชน์ส่วนตัวให้ได้มรรคผลก่อน โดยไม่สนใจประโยชน์ของพระพุทธศาสนา เอาตัวเองให้จบก่อน ส่วนเพื่อนจะอย่างไรก็ช่างมัน กับอีกคนประโยชน์ส่วนตัวทำไปด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้ประโยชน์ของพระพุทธศาสนาเสียไปด้วย วางกำลังใจอย่างนี้ผิดหรือถูกครับ ?
ตอบ : ผิดทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมาแบบไหน ถ้าสายสาวกภูมิ ก็เอาตัวเองก่อน ถ้ามาสายพระโพธิสัตว์ก็เอาส่วนรวมก่อน

เถรี
18-06-2013, 09:35
ถาม : ในส่วนของนรกสวรรค์ เคยเห็นจริง พรหมก็มีเพราะเคยเห็น ส่วนพระนิพพาน การถอดข้างในไปเห็นเลยก็ยังไม่เคยเห็นขนาดนั้น ก็เลยยังวางกำลังใจว่าพระนิพพานมีเต็มร้อยไม่ได้ ?
ตอบ : เขาไม่ได้บังคับให้เราเต็มร้อยนี่

ถาม : แต่เราไม่ได้เชื่อเหมือนสวรรค์กับนรกนี่ครับ ?
ตอบ : ป.๑ มี ป. ๒ มี ไล่ไปถึงปริญญาตรีมี ปริญญาโทมี ก็แสดงว่าปริญญาเอกต้องมี ถ้าคิดไม่เป็นแสดงว่าปัญญาแย่มาก..!

ถาม : อย่างคุณยายแม่ชีเพียงเดือนเขาไม่ได้เห็นพระนิพพาน แต่ท่านก็มั่นใจว่าพระนิพพานมีแน่นอน ?
ตอบ : อารมณ์ใจถึงพระนิพพานเมื่อไร พระนิพพานก็มีอยู่ในทุกที่ทุกทาง

เถรี
18-06-2013, 19:47
ถาม : วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีข้อห้ามหรือข้อแนะนำอะไรบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ห้ามโชว์ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง มีสิทธิ์โดนปล้น..!

ถาม : แล้วแม่ย่านางรถ กับวัตถุมงคลที่รักษารถ ต่างกันอย่างไรครับ
ตอบ : วัตถุมงคลที่ติดรถนั่นแหละทำหน้าที่ดูแล หรือเป็นแม่ย่านาง

เถรี
18-06-2013, 20:17
ถาม : ผมเห็นเพื่อนเขาซักผ้าที่มีรูปพระหรือยันต์รวมกับกางเกงใน ผมก็ว่าเกินไปหรือเปล่า น่าจะแยก ในความรู้สึกผม ถึงแม้เราจะไม่ยึดติดว่าเป็นผ้า แต่ถ้าคนอื่นเขาเห็น อาจจะเลื่อมใสน้อยลง คนที่ไม่เลื่อมใสจะไม่เลื่อมใสยิ่งขึ้น ประโยชน์พระพุทธศาสนาจะเสีย ผมมองแบบนี้ครับ ไม่รู้ว่าคิดมากไปหรือเปล่า ขณะที่เพื่อนมองว่า ก็แค่ผ้าเท่านั้น ?
ตอบ : ถ้ามองแค่ผ้าเท่านั้น ใจเรายังหยาบเกินไป

ถาม : แล้วผมที่เตือนเพื่อน ฟุ้งเกินไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยุ่งเรื่องกรรมของคนอื่นมากเกินไป

ถาม : แล้วมีจุดกึ่งกลางไหมครับ ?
ตอบ : แยกผ้าออกมาสิ เคยบอกหลายครั้งแล้วว่า เราอย่าทำตัวเราให้เป็นทุกข์โทษเวรภัยกับคนอื่น แม้ด้วยกายวาจาหรือใจ เมื่อเราทำแล้วยังเป็นโทษแก่คนอื่น ก็แปลว่าสิ่งนั้นยังไม่ดีจริง

ถาม : ถ้าเราคิดว่าไม่ทำตัวให้เป็นทุกข์โทษเวรภัยแก่ใคร ก็แปลว่าเราแบกคนอื่นด้วยสิครับ ?
ตอบ : เราไม่ได้แบกตัวเราเอง แต่เราแบกพระศาสนาอยู่ด้วย เป็นการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม คำว่าการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม คือเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเองแล้ว ในเมื่อตัวของเราเอง ถ้าเราทำได้แล้ว ก็ต้องทำตนเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น

ถาม : ถึงแม้เรายังไม่จบกิจเราก็มีหน้าที่ระวังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องระวัง ถ้าไม่ระวังแปลว่าเราหยาบเกินไป

ถาม : ถ้าไม่ระวัง เรียกว่าวางบนหัวคนอื่นหรือครับ ?
ตอบ : มีโอกาสก็ตักเตือน แต่ถ้าเตือนแล้วไม่ฟังก็ปล่อยไป

ถาม : อย่างพระอรหันต์ท่านจบกิจแล้วก็ยังต้องทำดียิ่งขึ้น เพราะท่านต้องทำเป็นแบบอย่างใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อให้คนอื่นเขาทำตาม ไม่ใช่ว่าถึงเวลาทำเละ ๆ เทะ ๆ ให้คนอื่นทำตามก็บรรลัยหมด

เถรี
18-06-2013, 20:23
:54bd3bbb: เก็บตกเดือนพฤษภาคม ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ:54bd3bbb:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน