PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๖


เถรี
26-04-2013, 08:41
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า ทำความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เรามีความถนัด

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ เป็นวันจักรีคือวันสถาปนาราชวงศ์จักรี เราจะเห็นว่าราชวงศ์จักรีที่เริ่มตั้งกรุงรัตนโกสินทร์มา ตั้งแต่สมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) นั้น บ้านเราเมืองเราก็มีการพัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาตามลำดับ ต้องกล่าวว่าถ้าเป็นบุคคลสมัยเก่าหน่อย และไม่เคยออกจากบ้านเลย มาเห็นสภาพบ้านเมืองยุคนี้ ก็อาจจะเกิดการตื่นตระหนกตกใจว่าสภาพบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้เชียวหรือ ?

การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี ตลอดจนวัตถุธาตุทั้งหมดก็ตาม มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงขันธ์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต หรือสิ่งที่ไม่มีชีวิต ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ

สิ่งมีชีวิตก็ทุกข์จากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การเศร้าโศกเสียใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น

สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็มีสภาวะทุกข์ ก็คือก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ท้ายสุดแม้แต่สิ่งที่แข็งแกร่งมั่นคง อย่างตึกรามบ้านช่องก็ดี ภูเขาก็ดี หรือแม้กระทั่งก้อนหิน ก็ค่อย ๆ เสื่อมสลายพังลงไปตามลำดับ

ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องมั่นคง ต้องยืนยง ต้องอยู่อย่างที่เราต้องการ เราก็จะประกอบไปด้วยความทุกข์มาก เพราะไปฝืนความเป็นจริง และท้ายสุดสรรพสิ่งทั้งหลายก็ไม่อาจจะยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ เพราะว่าทั้งหมดก็ล้วนประกอบขึ้นจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก้าวเข้าไปหาความเสื่อมแล้วก็พัง ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่

ร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี หรือวัตถุธาตุต่าง ๆ ที่ทรงตัวเป็นรูปร่างก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบของธาตุ ๔ ซึ่งเป็นสมบัติของโลกนี้ ให้เป็นรูปเป็นขันธ์เพียงชั่วคราว สิ่งที่มีชีวิตก็จะมีดวงจิตเข้ามาอาศัยอยู่ เพื่อประกอบกรรมความดี หรือสร้างกรรมความชั่ว แล้วแต่สภาพจิตที่บงการ

เถรี
28-04-2013, 13:01
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แม้กระทั่งราชวงศ์จักรีของเราที่ยืนยงมาเป็นระยะเวลา ๒๐๐ กว่าปี ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตัวของเราก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนชรา และท้ายสุดก็ก้าวไปสู่ความตาย

เมื่อเราเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ ไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนเราเขาได้ จิตใจของเราก็จะประกอบไปด้วยความเบื่อหน่าย อยากจะหลีกหนีไปเสียให้พ้น เราก็ต้องอาศัยกำลังของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ในการนำตนให้พ้นไปจากร่างกายนี้ ไปจากการเกิดมาในโลกนี้

ด้วยการที่เราตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เมื่อเราตั้งสติระมัดระวังรักษาศีลอยู่เป็นปกติ สมาธิของเราก็จะค่อย ๆ ทรงตัวตั้งมั่นขึ้น เมื่อสมาธิตั้งมั่นขึ้น เราก็มีกำลังในการกดกิเลสคือรัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว

เมื่อกิเลสคือรัก โลภ โกรธ หลงโดนอำนาจสมาธิกดให้ดับลงชั่วคราว จิตใจของเราก็มีสภาพผ่องใสมาก สามารถพิจารณาเห็นความเป็นจริง ว่าสภาพร่างกายของเราประกอบไปด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ โอกาสที่เรามีความทุกข์เช่นนี้หรือทุกข์ที่หนักกว่านี้ก็ยังมีเป็นปกติ อย่ากระนั้นเลย เราควรที่จะหาทางหลุดพ้นดีกว่า

เมื่อเป็นเช่นนั้น สภาพร่างกายของเราก็จะไม่เป็นที่ต้องการ โลกนี้ก็จะไม่เป็นที่ต้องการ เมื่อสภาพจิตของเราไม่ต้องการในร่างกาย ไม่ต้องการในโลกนี้ ก็จะเกิดความเบา เราก็ค่อย ๆ ถอนจิตของเราออกจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน คือร่างกายนี้ ในตัวตนของผู้อื่นคือร่างกายผู้อื่น ถอนความยึดมั่นถือมั่นในการเกิดมาในโลกนี้ ในการเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ถ้าสามารถรื้อถอนสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกจากใจได้จริง ๆ เราก็จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นที่จะต้องทบทวนศีล สมาธิ และใช้ปัญญาในการพิจารณา จนกระทั่งสภาพจิตยอมรับว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ เมื่อจิตสลัดออกจากการยึดมั่นถือมั่น เราก็จะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุด

ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกระทั่งได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าและเถรี)