เข้าระบบ

View Full Version : สิ่งที่พระอาจารย์ กล่าว สอน ไว้ดีแล้ว


วาโยรัตนะ
17-01-2009, 22:53
ให้สังเกตว่า เมื่อเราปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่ามันดีเหลือเกิน ทาน ศีล ภาวนา ของเรา มีความก้าวหน้ามาก มีความคล่องตัวมาก แล้วอยู่ ๆ มันพังเสียเฉย ๆ ถ้าเราสังเกตุจุดนี้ หมั่นจับตรงจุดนี้บ่อย ๆ จะเห็นได้ว่า ทันทีที่เราปฏิบัติแล้ว ความดีเริ่มทรงตัว อยู่ ๆ มันก็พังไปทุกที่มันจะเอา โลภะ โทสะ โมหะ เข้ามาอยู่ในใจเราแทนก่อนกรรมฐานนั้น ๆ นี้คือฝีมือของมาร มารคือผู้ขวาง

ขอให้ทุกท่านทราบไว้ว่า "ขณะที่กำลังใจท่านฟุ้งซ่านที่สุด ความจริงแล้วเป็นเวลาที่ท่านใกล้ความดีมากที่สุด" มารเขารู้ว่า เราจะพ้นจากมือเขาแล้ว เขาจึงพยายามที่จะดึงเราให้เป๋ไปจากจุดที่เรามุ่งไป เหมือนกับเรายืนอยู่หน้าประตู แค่เอื้อมมือไปเปิดประตูเราก็จะก้าวพ้นไปแล้ว แต่ว่าทุกครั้งเขาสามารถหลอกให้เราสนใจสิ่งอื่นได้แล้วก็เลี้ยวตามเขาไปจนกระทั้งพอรู้ตัวขึ้นมา เอ๊ะ ก่อนหน้านี้ทำไมเราทำแล้วรู้สึกดีเหลือเกิน! แต่ตอนนี้ทำไมกำลังใจมันแย่ขนาดนี้?

ถ้าท่านรู้จักตรอง โดยการคิดย้อนกลับไปให้รู้ว่าตัวเองตอนนั้นคิดอย่างไร? พูดอย่างไร ? ทำอย่างไร? อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน? กำลังใจเราถึงได้ดี ทรงตัวได้
ให้สร้างสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นขึ้นมา เราก็จะก้าวไปสู่จุดที่เคยทำได้อีก แล้วคราวนี้ให้ใช้สติระมัดระวังควบคุมเอาไว้ อย่าให้คล้อยตามกำลังของมารที่มาหลอกลวงและดึงเราไปอีก หากเราหมั่นพินิจพิจารณาในลักษณะนี้บ่อยเราก็เริ่มจะชนะเขา (มาร) ได้บ้าง...

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 22:54
"จุดพื้นฐานของความกลัวทั้งหมด คือกลัวความตาย"

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 22:55
"มโนมยิทธิ"ที่แท้จริงก็คือ"เรารู้จักพระนิพพาน เราไปพระนิพพาน เอาใจตั้งไว้ที่ พระนิพพาน ถ้าเราเอาใจเกาะที่พระนิพพานไว้เป็นปกติทุกวัน ๆ กำลังใจทรงตัวเคยชินกับความปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าทำไปนาน ๆ อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง มันจะจะสลายตัวไปของมันเอง"
" มโนมยิทธิ"
ไม่ได้จำเป็นต้องรู้อดีต อดีตทุกชาติเราเกิดมาไม่มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์
ไม่จำเป็นต้องรู้ปัจจุบัน เพราะปัจจุบัน ชีวิตเราเกิดอยู่มีขันธ์ ๕ อยู่ก็ทุกข์ตลอด
ไม่จำเป็นต้องรู้ อนาคต เพราะว่า อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก
ไม่จำเป็นต้องระลึกชาติเพราะว่าไม่มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์
ไม่จำเป็นต้องรู้ใจคนอื่น เพราะว่าแค่ระวังใจของเราให้พ้นจากกองกิเลสก็ระวังไม่หวาดไม่ไหวแล้ว
ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน

ถ้าเรามั่นใจ ในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนเราว่า
ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปดูมัน
"มโนมยิทธิ"สำคัญที่สุดคือเกาะพระนิพพานให้ได้ใช้ในอุปสมานุสสติกรรมฐานให้ได้

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 23:00
พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ตรงไหนนอกจากพระนิพพาน จำไว้ให้แม่นถ้าเราเจอพระพุทธเจ้าที่อื่น นั้นเป็นฉัพพรรณรังสีของพระองค์ท่าน ที่ส่งไปปรากฏต่อหน้าเรา ลักษณะเหมือนท่านทุกประการ แต่ว่ากายที่แท้จริงของพระองค์ท่านนั้นอยู่ที่พระนิพพาน ได้กล่าวย้ำอยู่เสมอว่าพระองค์ท่านไม่อยู่ที่ไหน นอกจากพระนิพพาน
"ในเมื่อเราจับภาพพระ แล้วกำหนดว่า พระองค์ท่านไม่อยู่ที่ไหนนอกจากบนพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน"

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 23:02
"ถ้าเราตายแล้ว สามารถหลุดพ้นเข้านิพพานได้ นั่นเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด แต่เราก็ประมาทไม่ได้ ดังนั้น ต่อให้เรารู้ว่า ถ้าตายแล้ว เราจะเข้าพระนิพพานแน่ ๆ เราก็ยังคงต้องสร้างสมความดี ละเว้นความชั่วให้เป็นปกติ ทุก ๆ ขณะจิตให้มีพระพุทธเจ้า ให้มีพระธรรม ให้มีพระสงฆ์ อยู่ในใจ ทุก ๆ ขณะจิตให้มีพระนิพพานอยู่ในใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่ามันจะต้องตาย ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว"

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 23:05
อันดับต่อไป ถ้าหากว่าท่านสวดมนต์เป็นปกติ สภาพจิตมันจะก้าวหน้าขึ้นเป็นฌานได้ง่าย เพราะมันเคยชินกับการถูกบังคับให้จดจ่ออยู่เฉพาะหน้า เป็นระยะเวลานานประมาณครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน หรือว่าท่านจะทำเป็นทิพจักขุฌาณ เวลาเราสวดมนต์ก็นึกคำสวดของเราเป็นตัวหนังสือมาอยู่ตรงหน้า ทีละคำ ทีละประโยคให้มันลอยผ่านไปเรื่อย ๆ ถ้าเราเห็นตัวหนังสือชัดเจนเท่าไหร่ ก็สามารถเห็นผี เห็นเทวดา ได้ชัดเท่านั้น
หรือว่า ถ้าจะเอาประโยชน์กันจริง ๆ ก็ทำอย่างที่ผมทำ คือ ส่งใจไปกราบพระบนนิพพาน ตั้งใจสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าลักษณะนั้นท่านอยู่บนนิพพาน นาน ๆ ไปจิตมันจะชินกับอารมณ์ที่ปราศจากกิเลส กิเลสมันจาง มันจะบางลงไปเรื่อย ๆ ในที่สุดมันก็หมดไปได้ ตายเมื่อไหร่ก็อยู่บนพระนิพพานเลย

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 23:06
อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง

เป็นคาถาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้ ถ้าฟุ้งซ่าน รักษาอารมณ์ใจให้ทรงตัวไม่ได้ ก็นึกถึงคาถานี้ ให้ใช้แทนคำภาวนาอื่น ๆ ชั่วขณะหนึ่ง อาจเป็นห้านาที สิบนาที จากที่เคยลอง ไม่เกินสามนาที กำลังใจที่มันฟุ้งซ่าน มันจะนิ่ง มันจะทรงตัว
คาถานี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านประทานให้ ดังนั้น เราใช้คาถานี้ก็เท่ากับเราทรงพุทธานุสติอยู่ ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นปกติ เรานับว่าโชคดีที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตา คอยอนุเคราะห์อยู่ตลอดเวลา

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 23:08
พวกเราจะอยู่ในลักษณะ ทำทำ ทิ้งทิ้ง ไม่สม่ำเสมอ เปรียบเหมือนกับ การขุดบ่อน้ำเพื่อจะหาน้ำ พอขุดลงไปได้สักสองวาสามวา ยังไม่ถึงน้ำเสียที คนอื่นบอกตรงโน้นดีก็เปลี่ยนที่ไปขุดตรงโน้น
ขุดลงไปได้สักสองวาสามวา คนอื่นเขาบอกว่าตรงโน้นดี ก็เปลี่ยนที่ไปอีก

การที่เราขาดความจริงจังสม่ำเสมอ ในการทำกรรมฐาน ทำให้มันไม่เกิดผล ดังนั้น เมื่อมันไม่เกิดผล หรือว่าเกิดผลน้อย เหมือนกับขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำเสียที เราอาจจะท้อแล้วก็เลิกขุด

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านทรงอารมณ์กรรมฐานได้แล้ว ทรงตัวได้แล้ว
ให้พยายามประคับประคองอารมณ์นั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ให้ยาวที่สุด เพื่อความเคยชินของกำลังใจ

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 23:10
สังฆานุสติ การระลึกถึงพระสงฆ์ ไม่ใช่แต่นึกว่าเป็นหลวงปู่องค์นั้น เป็นหลวงพ่อองค์นี้ แต่ให้ดูปฏิปทาการปฏิบัติของท่าน

ว่าหลวงปู่หลวงพ่อองค์นั้น ท่านปฏิบัติของท่านอย่างไร สร้าง กาย วาจา ใจของท่านอย่างไร ท่านถึงได้ยกตนขึ้นเป็นกัลยาณชน เป็นพระอริยะชนจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน หรือเป็นพระโพธิสัตว์ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

วาโยรัตนะ
17-01-2009, 23:11
..การบวชน้อย ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็มีคุณค่ามาก
เหมือนกับเพชร แม้จะเม็ดเล็ก แต่ก็ราคาสูง
การบวชมาก ถ้าหากว่าทำแต่ความชั่ว
ก็เหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่ ก็ยิ่งเหม็นมาก..! ?

..ถ้าเราจะเป็นนักบวช เราควรจะเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ฆราวาส เพื่อที่เวลาบวชแล้ว ญาติโยมจะได้ไหว้เราได้เต็มมือ ทำบุญกับเราแล้วจะได้บุญเต็มที่..

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:05
ทุกข์เป็นเรื่องที่เรากำหนดรู้เท่านั้น รู้แล้วก็ปล่อยมันเอาไว้ตรงนั้น วางไว้ตรงนั้น จิตใจก็เบา สบายมีแต่ความสุข เรื่องทุกข์ต่าง ๆ เป็นเรื่องของร่างกาย เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด มีแต่บารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา มีแต่พระนิพพานเต็มอยู่ในใจของเราเท่านั้น

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:06
หายใจเข้าครั้งหนึ่ง หายใจออกครั้งหนึ่ง นึกถึงภาพพระองค์ท่าน นึกถึงคำภาวนา ก็คือเราใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจเข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจออกใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง
ให้ตั้งใจว่า...ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ เราไม่ขอเกิดมามีมันอีก ขึ้นชื่อว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ เราไม่ขอมาเกิดอีก การเป็นเทวดาเป็นพรหม ที่มีสุขชั่วคราว เราก็ไม่ปรารถนา ตายเมื่อไร เราขอไปอยู่พระนิพพาน กับพระองค์ท่านเท่านั้น

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:07
มารไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีที่สุด เป็นครูที่ขยันออกข้อสอบมากที่สุด จึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องสร้าง สติ สมาธิ ปัญญา ให้มั่นคง เพื่อจะได้รับมือกับเขาได้
บริวารของเขาทั้งหลายที่ส่งออกมา อยู่ในลักษณะของ

กามฉันทะ พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
พยาบาท ความผูกโกรธ อาฆาตแค้นผู้อื่นเขา
ถีนมิททะ ความง่วงเหงาหาวนอน ความขี้เกียจปฏิบัติ จะได้อยู่กับเขาต่อไป
อุธัจจะ ความฟุ้งซ่านอารมณ์ใจไม่ตั้งมั่น
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ ลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลังเลสงสัยในครูบาอาจารย์ ว่าจะมีความสามารถจริงหรือไม่ ?

นั่นเป็นการดลใจของมาร เป็นบริวารของมาร
เราสามารถหลีกพ้นได้ง่ายที่สุด คืออยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกเท่านั้น หายใจเข้าก็นึกว่า พุท หายใจออกก็นึกว่า โธ กำหนดภาพพระให้แนบแน่นอยู่ในใจ

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:09
นิพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา เรารับผ้ากาสาวพัตร์นี้มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:09
แม้กระทั่งการปฏิบัติในมโนมยิทธิของเรา คณาจารย์สายอื่น ท่านก็กล่าวว่าไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการส่งจิตออกนอก แต่อาตมาขอยืนยันว่า การส่งจิตออกนอกในลักษณะฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ เป็นคนละเรื่องกับมโนมยิทธิ
"มโนมยิทธิเป็นการส่งจิตออกนอก ด้วยกำลังของฌานสมาบัติ จะมีการควบคุม มีการป้องกัน ควบคุมไม่ให้นิวรณ์กินใจเราได้ ควบคุมไม่ให้ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นกับใจได้ ต้องการจะไปตรงจุดไหนไปได้ "

นี่คือการใช้ผลของฌานสมาบัติ ไม่ใช่ว่าสร้างผลเกิดแล้วไม่สามารถที่จะนำผลนั้นไปใช้ได้

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:11
ลีลาของมารก็คือ ยั่วให้กำหนัด ล่อให้หงุดหงิด ลวงให้หลงผิด
ความกำหนัดยินดี อยากมีอยากได้ ทำให้เกิดความราคะกับโลภะ เพราะโลภจึงอยากได้ เพราะยินดีจึงอยากมีอยากเป็น ยั่วให้หงุดหงิดคือกระตุ้นโทสะให้เกิด ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส มันพยายามสอดแทรกเข้ามาในใจของเราอยู่เสมอ จะทำลายเกราะป้องกันจิตใจของเรา เพื่อยึดเราให้เป็นทาสของมันให้ได้ รู้จักหน้าตาของมันเอาไว้

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:12
เรื่องของการทรงฌานสำคัญมาก เพราะว่าทันทีที่กำลังใจทรงเป็นฌานนั้น รัก โลภ โกรธ หลงจะกินใจของเราไม่ได้
ไฟใหญ่สี่กองได้แก่

ราคัคคิ ไฟคือราคะ
โลภัคคิ ไฟคือโลภะ
โทสัคคิ ไฟคือโทสะ
โมหัคคิ ไฟคือโมหะ

ไฟใหญ่สี่กองจากรัก โลภ โกรธ หลง เผาเราอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่กำลังใจของเราทรงเป็นฌานได้ ไฟทั้งสี่กองนี้จะดับลงชั่วคราว
เราจะมีความสุข ดังนั้น ต้องพยายามกำหนดใจของเรา ให้ทรงเป็นฌานให้ได้
ถ้ายังทรงฌานระดับใดระดับหนึ่งไม่ได้ เราก็ยังไม่สามารถที่จะหนีความทุกข์ได้ การจะหนีความทุกข์นั้น
ถ้าเราหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ไปเลย เข้าสู่พระนิพพานไปเลย ก็จบเรื่องกันไป

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:14
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

อุปปาทา วา ภิกขเว ตถาคตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจะเกิดขึ้นก็ดี

อนุปปาทา วา ตถาคตานัง
ตถาคตจะไม่เกิดขึ้นก็ดี

ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตตา
ธรรมธาตุทั้งหลาย ก็ทรงตัวของมันอยู่อย่างนั้น เป็นปกติอยู่แล้ว

สัพเพ สังขารา อนิจจาติ
อันว่าสังขารทั้งหลาย หมายถึง สรรพสิ่งทั้งหลาย คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของใด ๆ ก็ตาม มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น
เปลี่ยน แปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด

สัพเพ สังขารา ทุกขาติ
สรรพสิ่งทั้งหลาย ประกอบไปด้วยความทุกข์ ไม่ว่าจะคน จะสัตว์ จะต้นไม้ จะสิ่งของใด ๆ
ก็ตาม ถ้าไม่ใช่ตัวของมันเองเกิดอยู่ในกองทุกข์ ก็ประกอบขึ้นมาจากความทุกข์ยากลำบากเหมือนผู้อื่น
สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรทรงตัว เป็นเราเป็นของเราได้ ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไปทั้งสิ้น

นี่คือนิยามแห่งธรรม นี่คือความเป็นจริงแห่งธรรมะนั้น นี่คือคำจำกัดความของธรรมะนั้น
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นอัจฉริยะมนุษย์สุดประเสริฐ ทรงพระปัญญาคุณอันล้ำเลิศ สามารถตรัสรู้ มองเห็นธรรมะที่มีอยู่เป็นปกตินี้ได้ชัดเจน ขณะที่ผู้อื่นเขาไม่เห็น เมื่อรู้แล้ว พระองค์ท่านก็นำมาสอนเราให้รู้ตาม

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:29
คนเราทุกคน สรรพสัตว์ทั้งหมด ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนกำลังเป็นไปตามกรรมเท่านั้น การสมมติคำว่าดี คำว่าเลวขึ้นมา เพื่อที่เราจะแยกแยะได้สะดวกเท่านั้น ไม่ใช่สมมติขึ้นมาแล้ว ให้เราไปแบกมัน

"บุคคลที่ทำดีตามคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การกระทำของเขาทำให้เขาตกอยู่ในกระแสสีขาว มันจะไหลทวนกระแสโลก ขึ้นไปสู่ข้างบนอยู่เสมอ ไปสู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป"

"บุคคลที่กระทำสิ่งที่คัดค้านคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เขาตกอยู่ในกระแสสีดำ พาไหลลงอยู่ตลอดเวลา ลงไปสู่ความเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา"

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:31
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น
คือ ทุกคนเกิดมาแล้ว ต้องตายแน่นอน สัตว์ทุกตัวเกิดมาแล้ว ต้องตายแน่นอน แต่ที่เห็นคนเห็นสัตว์ มันมากขึ้นทุกวัน เพราะว่า การเกิดขึ้นมา มันยังต้องดำรงชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง อาจจะไม่กี่ปี หรือว่าหลายสิบปี
ดังนั้น คนเก่ายังไม่ทันจะตาย สัตว์เก่ายังไม่ทันจะตาย คนใหม่ สัตว์ใหม่ มันก็เกิดขึ้น เราถึงได้รู้สึกว่า มันมากขึ้น ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันเกิดมาเท่าไหร่ มันตายหมดเท่านั้น
การระลึกถึงความตาย ทำให้เราไม่ประมาท
เป็นการสรุปยอดคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ลงเหลือแต่คำว่า"ไม่ประมาท"คำเดียว คนเราถ้ารู้ตัวอยู่ว่าจะตาย ตายแล้วไม่แน่ว่าจะไปสุคติหรือทุกคติ

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:32
แม้มันจะดีถึงที่สุดไม่ได้ ก็ให้มันดีในลักษณะของ
"พระโยคาวจร" คือ ผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น แม้จะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์
ขึ้นชื่อว่าพระโยคาวจร ก็ยังไม่ขาดทุนมาก

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:36
สภาพของเราก็ดี ของเขาก็ดี ของคนหรือสัตว์ก็ตาม
เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุดดังนี้ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้
เกิดใหม่เมื่อไร ก็เป็นอย่างนี้เมื่อนั้น ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่ ไม่ควรจะมีสำหรับเราอีก เราก็เอาใจเกาะพระนิพพานเข้าไว้ ตั้งใจว่า เราตายเมื่อไร ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 09:37
สมถกรรมฐานเป็นการเพาะกำลังให้แข็งแรง
วิปัสสนากรรมฐานเหมือนกับอาวุธที่คมกล้า

เมื่อมีกำลังมีอาวุธแล้ว การจะตัดกิเลสก็เป็นเรื่องง่าย

ในเมื่อเรารู้ว่า ทั้งสองอย่างต้องทำสลับกันไป แต่บางทีมันก็ยังไม่ไหว มันก็ยังรู้สึกว่าไปได้ไม่ดี ไม่คล่องตัว
อาจจะเกิดจากอิริยาบถของเรา
ที่มันซ้ำ ๆ อยู่กับที่ ไม่ใช่ว่านั่งก็นั่งมันอย่างเดียวไปตลอด ยืนก็ยืนมันอย่างเดียวไปตลอด เดินก็เดินมันอย่างเดียวไปตลอด
นอนก็นอนมันอย่างเดียวไปตลอด
มีน้อยคนที่ทำอยู่อิริยาบถอย่างเดียว แล้วอารมณ์ใจจะตั้งมั่น

"ให้เราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
เมื่อเราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอิริยาบถ มีสิ่งที่แปลกใหม่เข้ามา สภาพจิตก็จะไม่เบื่อหน่าย มันก็จะเริ่มปฏิบัติในอิริยาบถใหม่
หรือว่าเริ่มปฏิบัติในสถานที่ใหม่ เพื่อที่จะให้กำลังใจ ทรงตัวเท่ากับที่เราเคยทำมา หรือว่าอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เพราะว่ามันไม่ซ้ำซากจำเจแล้ว "

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 10:47
สมาธิทรงตัวสูงมากเท่าไร กำลังการสละออกของเราก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น สามารถที่จะให้ได้ตลอดเวลา แม้แต่ชีวิต เลือดเนื้อ ร่างกาย ถ้ามีคนต้องการมันก็สละให้ได้ เพราะเรารู้ว่าเราตาย เราก็ไปพระนิพพาน ก็ให้เอาใจเกาะพระนิพพานเป็นจุดสุดท้าย จับอารมณ์ภาวนาให้ทรงตัว ให้กำลังมันสูงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ จาคานุสติกรรมฐาน ก็จะสามารถทรงตัวอยู่ ตราบใดก็ตามที่เรายังคิดจะสละออก ตราบนั้นตัวอนุสติตัวนี้ก็ตั้งมั่นอยู่กับเราตลอดไป

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:06
มาว่าเรื่องกรรมฐานของเราต่อ จริง ๆ แล้วการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เราต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ และต้องมีปัญญาประกอบด้วย การที่เราจริงจังสม่ำเสมอ ผลของการปฏิบัติถึงจะมี เพราะว่าการที่เรามาปฏิบัติกรรมฐานกัน เป็นการฝืนกระแสโลก เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ถ้าหากว่าเราไม่พยายามว่ายเข้าไว้ให้ตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอ มันก็จะลอยตามกระแสไป

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:06
รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าไม่มีจิตไปคอยปรุง คอยแต่งกับมัน มันก็ไม่สามารถทรงตัวได้ มันก็สลายตัวของมันไปเอง
เมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง สลายตัวไป เราก็เข้าถึงอุปสมานุสติที่แท้จริง
"นี่คือมโนมยิทธิที่หลวงพ่อท่านต้องการ"

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:07
เรื่องของอนุสติ คือ การตามระลึกถึงความดีในจุดใดจุดหนึ่ง สำหรับวันนี้จะสรุปลงที่อานาปานสติ อย่าลืมว่าอานาปานสตินั้นเป็นกรรมฐานใหญ่ เป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกอง

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:08
อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือเราจะต้องพิจารณาให้เห็นว่า อาหารที่เราฉันไปทุกวัน จริง ๆ แล้วมันเป็นของสกปรก
เขาไม่ต้องการให้เรากินอาหารเข้าไปเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย เพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ เพื่อไปกระตุ้นกิเลสให้เกิดขึ้น
จุดมุ่งหมายของการกินจริง ๆ ก็คือ กินเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ให้อยู่ได้เท่านั้น
"เป็นการระงับดับความกระวนกระวาย ที่จะเกิดขึ้นจากอาการหิวกระหายของร่างกาย เพื่อที่จะประคับประคองร่างกายนี้ไว้
ใช้ปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป"

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:08
เราอาศัยอยู่กับเปลือกนี้ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ เรามีความสุขหรือไม่ ?
มันมีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา

มันหิว มันกระหาย มันร้อน มันหนาว มันเจ็บไข้ได้ป่วย
มันสกปรกโสโครกเป็นปกติ
เราก็ต้องลำบากยากแค้น ในการหาให้มันกิน หาให้มันดื่ม
พามันไปถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ รักษาพยาบาลมันยามเจ็บป่วย
ดูแลทำความสะอาดมัน ไม่ให้มันสกปรกโสโครกจนกระทั่งเราเองถึงกับทนไม่ได้
มันมีความทุกข์ของมันอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังเกิดมามีร่างกายนี้ มันก็ยังทุกข์อีก
ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งมันบกพร่อง อาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับร่างกาย
ก็ต้องมาลำบาก ต้องมาทุกข์ยากอยู่กับมัน เสียเวลารักษาพยาบาลดูแลเอาใจใส่มัน นั่นก็ยังไม่เท่าไร ถ้ามันบกพร่องมาก ๆ
เติมให้มันไม่ไหว หนุนมันเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น มันก็หมดสภาพ"ตาย"

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:09
ในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น เราจะพบกับอารมณ์ใจในระดับต่าง ๆ ที่ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าเราขาดปัญญากับการพิจารณา ไปน้อมใจเชื่อเข้าว่านั่นเป็นธรรมะแท้ นั่นเป็นมรรค นั่นเป็นผล นั่นเป็นที่สุดของการปฏิบัติ
มันก็จะกลายเป็นกิเลสทันที "บาลีเรียกว่าอุปกิเลส"

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:10
หลักการปฎิบัติในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้สามขั้นคือ

ศีล เป็นการควบคุมกายวาจาให้เรียบร้อย
สมาธิ เป็นการควบคุมกายวาจาให้เรียบร้อยและสร้างความมั่นคงทางใจ
ส่วนปัญญา เป็นผลสืบเนื่องมาจากศีลและสมาธิ ที่ควบคุมกายวาจาและใจให้สงบ เมื่อสงบลงก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง ก็จะสามารถสะท้อนภาพสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นบนผิวน้ำนั้นได้ให้เกิดประโยชน์ได้

ตัวสมาธิภาวนาจะเป็นคำตอบที่สำคัญที่สุด

ในขั้นตอนของการปฎิบัติทุกระดับแม้กระทั่งระดับสุดท้าย เพราะกำลังของสมาธิจะช่วยให้ รักษาศีลได้สมบูรณ์และคงตัวมากขึ้นในขณะเดียวกัน ขณะเดียวกันความนิ่งของจิตที่มีสมาธิ ก็จะทำให้เกิดปัญญาขึ้นได้ง่าย
สมาธิจะทรงตัวหรือไม่ทรงตัวสำคัญอยู่ที่ ลมหายใจเข้าออกของเรา การสงบระงับของจิตแต่ละระดับชั้นนั้นเป็นของละเอียด เราต้องอาศัยของหยาบ คือลมหายใจเข้าออก เป็นเครื่องโยงไปหาความละเอียด คือ ความสงบของจิตให้ได้ การปฎิบัติสมาธิไม่ว่าจะรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งก็ตาม

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:12
พระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยะมนุษย์สุดประเสริฐ มีพระปัญญาคุณอันอันล้ำเลิศ สามารถตรัสรู้พบเห็นอริยสัจที่ไม่มีใครพบเห็นได้

พระองค์มีพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงตรากตรำพระวรกายสั่งสอนสัตว์โลกอยู่ ๔๕ ปีเต็ม ๆ
๔๕ ปีที่พระองค์ท่าน อดตาหลับขับตานอนสอนพวกเรา เนื่องจากเพราะเห็นว่าพวกเราโปรดได้สงเคราะห์ได้
ในแต่ละคืน พระองค์ท่านจะได้บรรทมสักชั่วโมง สองชั่วโมงก็แสนยาก ในบาลีกล่าวถึง พุทธกิจ ๕ ประการ ไว้ว่า


“ปุพพัณเห ปิณฑปาตัญ จะ” เช้าขึ้นมาเสด็จออกบิณฑบาต พระองค์ท่านเสด็จบิณฑบาตตลอดพระชนม์ชีพ

“สายัณเห ธัมมเทสนัง” ตอนบ่ายทรงเทศน์โปรดสั่งสอนประชาชน

“ปโทเส ภิกขุโอวาทัง” ค่ำลงมาให้โอวาทสั่งสอนพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี และสิกขมานาทั้งหลาย

“อัฒฑรัตเต เทวปัญหะนัง” เที่ยงคืนไปแล้วแก้ปัญหาให้กับเทวดา พรหม ที่เขาสงสัย หรือเทศน์โปรด เทวดา พรหม ที่มาขอฟังธรรม

“ปัจจุเสว คเตกาเล ภัพพาภัพเพ วิโลกะนัง” พอใกล้รุ่ง อย่างเช่นตอนนี้ เวลานี้ พระองค์ท่านก็จะสอดส่อง ตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลก
ว่าสมควรจะเสด็จไปโปรดผู้ใด สรุปแล้วลองคิดง่าย ๆ ดูว่า พระองค์ท่านมีเวลาบรรทม คือนอนอย่างพวกเราคืนหนึ่งกี่ชั่วโมง

พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายลักษณะนี้ ๔๕ ปีเต็ม ๆ ด้วยพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่
เพื่อสงเคราะห์พวกเรา เห็นว่าพวกเราสอนได้ มีโอกาสที่จะทำเพื่อความหลุดพ้นได้ พระองค์ท่านทุ่มเทชีวิต จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็เพื่อพวกเรา และขณะนี้พระองค์ท่าน เสด็จอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของเรา พร้อมที่จะสนับสนุนความดีในทุก ๆ ด้านของเรา พร้อมที่จะรับเราไปสู่
"พระนิพพาน"

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:13
การปฏิบัติ เรามักจะไปตามดูตามจี้มันอยู่ตรงนั้น ซึ่งอันนี้ผิด อย่างการทรงปฐมฌาน มันจะผ่านอารมณ์วิตกคือนึกอยู่ว่าภาวนา วิจารณ์คือ รู้อยู่ว่าตอนนี้ภาวนาอยู่ ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น คำภาวนาว่าอะไรรู้อยู่ ปิติ มี อาการ ต่าง ๆ ๕ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง ร่างกายลอยขึ้น หรือว่าพองตัวใหญ่ ตัวรั่วเป็นรูมาก ๆ หรือว่าแตกไปเลย ถัดไปคือสุข ความเยือกเย็นใจเนื่องจากกำลังใจปนเปอยู่เฉพาะหน้า ทำให้รัก โลภ โกรธ หลง ที่แผดเผาเราอยู่ต้องตัดลงชั่วคราว มันเย็นกายเย็นใจบอกเป็นภาษาคนไม่ถูก อันดับสุดท้ายคือเอกัตถตา อารมณ์ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว ไม่เคลื่อนคล้อยไปที่อื่น

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:14
"สิ่งที่ตถาคตรู้ คือใบประดู่ในป่า แต่สิ่งที่ตถาคตสอนพวกเธอคือใบประดู่กำมือเดียว
ท่านเลือกเอาใบประดู่กำมือเดียวที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สุขในปัจจุบันและประโยชน์สุขในอนาคต โดยเฉพาะการหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานมาสอนเราเท่านั้น กำมือเดียวนี่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์"

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 12:14
พระอาจารย์เล็กเคยกล่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติไว้ว่า
"เราต้องคอยตรวจต้องทบทวนกำลังใจของตัวเองไว้เสมอ ๆ ว่ากำลังใจของเราตอนนี้ดีหรือว่าเลว ต้องรู้ตัวโดยที่ไม่เข้าข้างตัวเองด้วย
เช็คอยู่เสมอว่าตอนนี้ความดีในใจของเรามีหรือไม่?
ถ้าไม่มีทำให้มันมีขึ้นมา ถ้ามันมีอยู่แล้วทำให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ตอนนี้ความชั่วในใจของเรามีหรือไม่?
ถ้ามันมีขับไล่มันออกไปแล้วคอยระวังไว้อย่าให้มันเข้ามา ต้องคอยเตือนตัวเองเสมอ ๆ อยู่ตลอดเวลา"

วาโยรัตนะ
21-01-2009, 20:58
ถ้าหากว่าเราทำกำลังใจของเราในด้านมโนมยิทธิไปเรื่อย เกาะพระไปเรื่อย เดี๋ยวพอกำลงใจมันทรงตัว ของเก่ามันมาทั้งหมดเอง ตอนนี้เราไม่สามารถใช้อภิญญาเต็มที่ได้ทั้ง ๆ ที่อดีตเราเคยทำมาแล้วเพราะว่า เรายังไม่ยอมรับกฏของกรรมอย่างจริงจัง

อภิญญานี่ถ้ามันเต็มสภาพเต็มกำลังของมันนี่มันฝืนกฏของกรรมได้ เห็นคนป่วยมาคิดให้เขาหายป่วยก็หาย เห็นคนง่อยมาคิดให้เขาหายง่อยก็หาย มันหายเดี๋ยวนั้นเลยเพราะเป็นการอธิษฐานอำนาจของกสิณโดยเฉพาะธาตุ ๔ คราวนี้พวกเราถ้าไม่ยอมรับกฏของกรรม เห็นปั๊บสงสารช่วยเขา จะทำเอากฏของกรรมอลเวงไปหมด เพราะว่าเราลืมดูไปว่าเขาเป็นอย่างนั้น เพราะอดีตทำอะไรมา เขาก็มีกรรมที่จำเป็นที่เขาจะต้องรับ ดังนั้นว่าตราบใดที่เรายังไม่ยอมรับกฏของกรรมอย่างจริงจังนี่โอกาสจะใช้อำนาจอภิญญาได้เต็มที่อย่างอภิญญาใหญ่นั้นอย่าหวังเลย โดนล๊อคหมด จะได้โล่งใจซะที ไม่งั้นมันจะคิดอยู่นั้นละ เอ๊ะ ....ทำได้ขนาดนี้ อภิญญาไม่เกิดซะที เกิดเมื่อไหร่บรรลัยเมื่อนั้นล่ะ โดยเฉพาะพวกเรามันเชื้อสายพุทธภูมิเก่า คือผู้ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า คนที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ คนอื่นลำบากแค่ไหนตัวเองก็ยอมช่วยเขา ช่วยเขาโดยไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง ในเมื่อทำในลักษณะนั้นมันจะเผลอไปฝืนกฏของกรรม ลองดูซิพอได้แล้วลองไปช่วยใครเข้าซักยกหนึ่งเดี๋ยวมันก็เสื่อม นี่ไม่ใช่กำลังใจเราเสียเอง บางที่ท่านตัดผลมันไปเสียดื้อๆ ถ้าหากไปฝืนกฏของกรรม

วาโยรัตนะ
22-01-2009, 07:19
สมมติว่าถ้านรกสวรรคไม่มี ชาติหน้าไม่มี คุณตั้งใจทำความดีก็เสมอตัว
แต่ถ้านรกมี สวรรค์มี ชาติหน้ามี คุณตั้งใจทำความดีคุณกำไร
แต่ถ้านรกสวรรคไม่มี คุณทำชั่ว คุณก็เสมอตัว
แต่ถ้านรกมี สวรรค์มี ชาติหน้ามี คุณทำชั่ว คุณก็ขาดทุน
เพราะฉะนั้นคุณก็เลือกเอาด้วยปัญญาของคุณเองว่า คุณจะเอาเสมอตัวแล้วกำไรดี หรือ ว่าเสมอตัวแล้วขาดทุนดี
เลือกเอา ๒ ประตู

วาโยรัตนะ
23-01-2009, 06:36
ถ้าสติปัญญาสมบรูณ์พร้อมเมื่อไหร่ มันก็จะสามารถที่จะเห็นช่องทางที่ ลด ละ เลิก จนกระทั่งไม่ข้องแวะกับกิเลสได้อีก

ถ้าหากว่าสติมากเกินไป มันจะไปจด ๆ จ่อ ๆ ไม่กล้าตัดสินใจ กลัวผิดกลัวพลาด
ปัญญามากเกินไปเราก็บุ่มบ่ามโฉ่งฉ่าง

สติกับปัญญาเราต้องไปพร้อม ๆ กัน

วาโยรัตนะ
23-01-2009, 06:44
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำอยู่ไม่ว่า จะใหญ่ จะเล็ก ขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดมันให้ผลทั้งสิ้น

วาโยรัตนะ
23-01-2009, 06:48
การปฏิบัติทุกอย่างลงมือเมื่อไหร่เป็นคุณแก่ตัวเมื่อนั้น

วาโยรัตนะ
27-01-2009, 08:50
คนเรามีปัญญามันต้องแก้ไข แก้ไขให้สิ้นกำลังตัวเอง สิ้นกำลังปัญญา สิ้นกำลังคน สิ้นกำลังทรัพย์ ถ้าแก้ไขไม่ได้ แล้วค่อยยอมรับว่ามันเป็นกฏของกรรม ถ้ายังมีช่องทางให้ดิ้นรนแม้แต่นิดเดียว ก็ต้องทำก่อน

วาโยรัตนะ
27-01-2009, 08:56
ตัวการเข้าสู่มรรคผลนิพพานจริงๆ ไม่จำเป็นต้องได้อภิญญา ไม่จำเป็นต้องได้วิชาสอง ไม่จำเป็นต้องได้สมาบัติแปด
หากแต่ท่านบอกว่าให้

เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ
เคารพพระธรรมจริง ๆ
เคารพพระสงฆ์จริง ๆ
ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
คิดว่าตายเมื่อไหร่จะไปพระนิพพาน

มีข้อไหนที่บอกว่าต้องได้อภิญญา

วาโยรัตนะ
27-01-2009, 09:06
อภิ-ยิ่งกว่า อัญญา-ความรู้ รวมเป็น อภิญญา

ไม่มีอะไรรู้เกินกว่า การตัดกิเลส อย่างต่ำ ๆ ให้รู้ว่าพระโสดาบันมีคุณสมบัติอย่างไรแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำคุณสมบัตินั้นไป

วาโยรัตนะ
14-02-2009, 10:12
คนเราควรจะมีปัญญา รู้อยู่ว่าเวลาไหนวาระไหนควรจะหลบจะเลี่ยงอะไร เราดำรงชิวิตอยู่ในลักษณะของความเป็นมนุษย์ ถ้าปล่อยให้"กรรมเก่า"ตามทัน มันจะเกิดความทุกข์ยากลำบากมาก
แล้วเรื่องของอกุศลกรรมนั้นแปลก ถ้ามันมีโอกาสเข้ามาแทรกได้ครั้งหนึ่งพรรพวกของมันมีเท่าไหร่มันก็ระดมมาหมด จะสังเกตุว่าบางที่พอเราอยู่ในลักษณะที่ช่วงอกุศลกรรมเข้า
ที่ชาวบ้านเรียกว่า"ดวงตก" เรารู้ว่าผีซ้ำด้ำพลอย อะไรต่อมิอะไรมันก็มะรุมมะตุ้มมาในเวลาเดียวกัน
เพราะฉะนั้นอย่าเปิดโอกาศให้เขาเป็นอันขาด หนีได้หนีไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าพระนิพพานได้
ไม่ต้องใช้มันเลยยิ่งดี

วาโยรัตนะ
14-02-2009, 16:28
ท่านลุงพระยายมบอกไว้ว่า บุคคลที่เคยถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าไม่ทำอนันตริย
กรรมทั้งห้า คือ ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และ ทำสังฆเภท
คือยุสงฆ์ให้แตกกัน ไม่ว่าอย่างไร ก็จะพยายามดลใจให้นึกถึงความดีให้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ให้ไปรับกรรมดีก่อน

วาโยรัตนะ
14-02-2009, 16:42
โดยเฉพาะนักปฏิบัติ พอเริ่มเข้า"เขตอุปจารสมาธิไปแล้ว"
มารเขารู้ว่าเราจะหนีห่างไปแล้ว เขาจะหาวิธีขวางเราไว้ทุกวิถีทาง วิธีที่ขวางได้ง่ายที่สุดคือ ทำให้เราเกิดการลังเลสงสัย หรือทำให้เรามีความคิด มีคำพูด มีการกระทำ ที่เป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย
พอเราเกิดความคิด มีคำพูด หรือมีการกระทำอย่างนั้น อย่าไปเสียอกเสียใจ อย่าไปหนีห่างจากความดีตรงจุดนั้น

ให้คิดว่า ถ้าสติสัมปชัญญะของเราสมบรูณ์ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านี้ เราไม่ทำอยู่แล้ว
แต่ว่าขณะนี้ด้วยการชักนำของ กิเลส ตัณหา ของอุปทาน ของอกุศลกรรม พาเราไป
พาให้เราทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ถึงไม่ใช้เจตนาโดยตรงของเราก็เถิด
แต่เราก็เต็มใจกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วก็ตั้งใจกราบขอขมาไป

วาโยรัตนะ
14-02-2009, 16:58
เรื่องของธรรมะเป็นสากล ใครก็ตามที่เห็นตัวทุกข์เห็นธรรมเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้ารับไปปฏิบัติต่อเนื่องไปอารมณ์มันจะทรงตัว มันก็ได้เลย
ส่วนใหญ่พวกเรามันจะเห็นเป็นพัก ๆ ถ้าทุกข์มาก ๆ ขึ้นมาก็กำลังใจดีหน่อย พอความทุกข์เลยไปก็เริ่มเละใหม่ มันทำไม่ต่อเนื่อง

การปฏิบัติทุกอย่างทั้ง ทางโลก ทางธรรม ถ้าขาดการต่อเนื่องผลงานจะไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของทางธรรม ถ้าขาดการต่อเนื่องกำลังของ "อกุศลกรรม" มันแทรกได้เมื่อไหร่นี่ ตีคืนได้ยากแล้ว เหนื่อยสาหัสเลย

วาโยรัตนะ
15-03-2009, 20:21
การคิดพึ่งพิงคนอื่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

พระพุทธเจ้าสอนว่า "อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ขนาดพระองค์ท่านยังไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้แล้วใครจะอยู่ให้เราพึ่งได้
อัตตาหิ สุทันเตนะ นาถังลภติ ทุลลภัง ถ้าหากว่าตัวของเราฝึกดีแล้ว จะเป็นที่พึ่งที่ไม่มีใครพึ่งได้มากยิ่งไปกว่านี้แล้ว
ถ้าจะเกาะพระให้เกาะความดีของท่านที่เป็นสังฆานุสสติ ไม่ใช่ไปเกาะองค์ท่าน เกาะร่างท่าน พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานให้เห็นแล้ว พระอรหันต์ทุก ๆ องค์ก็ไปให้เห็นแล้ว หลวงปู่หลวงพ่อก็ไปให้เห็นแล้ว ถ้ายังขืนเกาะต่อไป ก็เตรียมพลาดหวังต่อไปอีก ให้เกาะในส่วนความดี พยายามพึ่งตนเองยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่าทำตัวเป็นภาระของใครให้เป็นภาระของตัวก็พอ

วาโยรัตนะ
15-03-2009, 20:23
พระพุทธเจ้า แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร นอกจากระยะเวลาในการบำเพ็ญแล้ว
ปัญญาธิกะบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่าน มีดี มีชั่ว มีรวย มีจน มีสวย มีอัปลักษณ์ ปะปนกันไป ถ้าหากว่าเป็น ศรัทธาธิกะ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านก็จะ ดี รวย สวย เสมอกันหมด เขตที่ท่านประกาศพระศาสนาคนชั่วจะเข้าไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป นอกจากบริวารจะดีรวย สวย เสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วไม่ได้เกิด ตกลงที่ท่านต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นเขาเป็นเท่าตัวไป เหนื่อยเพื่อบริวารของตัวเอง แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำก็จะทำให้บุญญาบารมีท่านมากกว่าองค์อื่นที่ทำมาน้อยกว่า ถ้าหากว่าอยู่ข้างบนพระวรกายของท่านจะใหญ่โตกว่าเขา

วาโยรัตนะ
15-03-2009, 20:25
ทำดีส่วนทำดี ทำชั่วส่วนทำชั่ว มันหักกลบลบล้างกันไม่ได้ แต่ถ้าอำนาจของความดีมีสูงกว่ามันสามารถจะหนีความชั่วได้อย่างพระองคุลีมาล
ถ้าหากว่าคนไหนติว่าตัวเองชั่วต้องถามว่าขนาดพระองคุลีมาลหรือเปล่า ?
ฆ่าคนมาเป็นพันเสร็จแล้วพอท่านตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นพระอรหันต์ไปได้ พระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ที่เข้าพระนิพพานไปแล้ว ไม่มีใครใช้กรรมเก่าหมด ส่วนใหญ่ความดีของท่านมากกว่าจนหลุดพ้นไปพระนิพพานเพราะฉะนั้น “ความดีส่วนความดี ความชั่วส่วนความชั่ว”

วาโยรัตนะ
15-03-2009, 20:31
ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้วมีแต่เจริญขึ้นไม่มีต่ำลง อริยะคือเจริญขึ้นโดยฝ่ายเดียว คราวนี้ท่านเปรียบเอาไว้ว่า
ความสุขของพระเจ้าจักรพรรดิที่อยู่สุขอยู่เย็น มั่นใจว่า โลกนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูของท่านได้ มีความสุขเท่าไรไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบหกของพระโสดาบัน
พระเจ้าจักรพรรดิท่านเป็นหนึ่งในสี่ประเภทที่กลัวอะไรไม่เป็นจำได้ไหม ?
สี่ประเภทที่กลัวอะไรไม่เป็น คือ
หนึ่งช้างศึก
สองม้าอาชาไนย
สามพระเจ้าจักรพรรดิ
สี่พระอรหันต์
สี่ประเภทนี้กลัวอะไรไม่เป็น
พระอรหันต์ท่านกลัวอะไรไม่เป็นเพราะ ท่านไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับใครอยู่แล้ว ใครจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับท่านๆก็ไม่สนใจ เพราะมันเบียดเบียนได้แค่ร่างกาย เบียดเบียนจิตใจท่านไม่ได้
ส่วนพระเจ้าจักรพรรดิท่านปราบได้ในทวีปทั้งสี่ไม่มีใครเป็นศัตรูกับท่าน คนที่มั่นใจได้ขนาดนั้นจะไปกลัวอะไร
เรื่องของช้างศึกกับม้าอาชาไนยเขาผ่านการฝึกฝนมาดี ผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างสาหัสสากรรจ์จนกลัวอะไรไม่เป็น เสียงดังแค่ไหนก็ปลุกไปข้างหน้าอย่างเดียว อาวุธขนาดไหนก็บุกไปข้างหน้า เจ็บแค่ไหนก็บุกไปข้างหน้า

วาโยรัตนะ
23-03-2009, 08:52
"จำเอาไว้ว่าเราไม่สามารถจะแก้ไขคนรอบข้างได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องของโลก เราแก้ไขได้เฉพาะเรื่องของเรา เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาเรื่องของโลกมาเป็นเรื่องราวของเรา กอง ๆ ไว้ตรงนั้นแหละ รู้ก็สักแต่รู้ว่าไม่ต้องรับเข้ามาเลย ตัวนี้เป็นกิเลสมารอย่างหนึ่ง ให้เรารู้ว่ากิเลสแท้จริงของมารเป็นอย่างนี้"

วาโยรัตนะ
23-03-2009, 08:54
ตอนฝึก ตรงนั้นศีลมันไม่ขาด เรานั่งอยู่ตรงนั้นจะไปฆ่าใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราไปขโมยของใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปแย่งคนรักใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปโกหกใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปกินเหล้าได้อย่างไร ตอนช่วงนั้นเวลานั้นเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อย่าลืมว่ามโนมยิทธิสำหรับพวกเราคือ โลกียอภิญญา ถ้ารวบรวมความมั่นใจได้เมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น มันก็ได้ตอนนั้น มันก็ได้เดี๋ยวนั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าศีลบกพร่องมันก็เสื่อม มันก็คลายตัวไป เรามั่นใจใหม่เมื่อไหร่มันก็ได้อีกเมื่อนั้น เรื่องของอภิญญาโลกีย์ มันเป็นอย่างนี้

ถามว่าในเมื่อเป็นอภิญญาโลกีย์ ทำไมถึงไปพระนิพพานได้เพราะว่าตอนช่วงนั้นครูฝึกจะสอนให้เราตัดกิเลสให้วางกำลังใจเราเทียบเคียงพระโสดาบัน พระโสดาบันแปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เราก็เลยไปนิพพานได้ แต่ของเราไปได้แค่ชั่วคราวถึงเวลาเขาไล่กลับ เขาไม่ให้อยู่ เพราะฉะนั้น ทำเอาไว้เถอะ เพราะว่าเราทำมโนมยิทธิได้แล้วให้เกาะพระนิพพานโดยตรง ให้เกาะพระพุทธเจ้าบนนิพพานโดยตรง อันนั้นเป็นวิธีตัดกิเลสโดยอัตโนมัติที่สุด
รู้สึกว่าโกรธใครก็วิ่งไปกราบพระบนนิพาน รู้สึกว่าราคะเกิดก็วิ่งไปกราบพระบนนิพาน หากว่าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นอยู่กับตัวของเรานี้ไม่มีจิตปรุงแต่ง มันเจริญงอกงามไม่ได้ มันจะเฉาตายไปในเวลาอันรวดเร็วไม่เกินนาที สองนาที ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆจะเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ ถ้ามันเคยชินจะเป็นพระอรหันต์ไปเลย
มโนมยิทธิที่หลวงพ่อสอน จุดสำคัญที่สุดมันอยู่ตรงจุดนี้ อย่าไปใช้ผิดจุด

วาโยรัตนะ
30-03-2009, 18:41
:af48944b:สาธุ ขอความมีสติจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

ฅนเมืองพริบพรี
06-05-2009, 14:43
โมทนา สาธุธรรม คุณwonderislandที่นำธรรมทาน
จากพระอาจารย์มาลงในกระทู้นี้ครับ

ขออนุญาตคัดลอก ไว้อ่าน คิดตาม และ ปฏิบัติ ต่อไปนะครับ
กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

วาโยรัตนะ
06-05-2009, 16:06
ขอบพระคุณมาก ๆ เลยครับ แล้วจะรีบแก้ไขให้
แต่หากเจออีกก็ขอความกรุณาแก้ไขลงไปในกระทู้เลยครับ จะมีช่อง Reason for Editing ให้ใส่เหตุผลว่าทำไม อย่างไร จะได้ไม่สิ้นเปลืองข้อความครับผม

ชยาคมน์
29-01-2013, 12:48
หายใจเข้าครั้งหนึ่ง หายใจออกครั้งหนึ่ง นึกถึงภาพพระองค์ท่าน นึกถึงคำภาวนา ก็คือเราใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจเข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจออกใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง
ให้ตั้งใจว่า...ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ เราไม่ขอเกิดมามีมันอีก ขึ้นชื่อว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ เราไม่ขอมาเกิดอีก การเป็นเทวดาเป็นพรหม ที่มีสุขชั่วคราว เราก็ไม่ปรารถนา ตายเมื่อไร เราขอไปอยู่พระนิพพาน กับพระองค์ท่านเท่านั้น

"จำเอาไว้ว่าเราไม่สามารถจะแก้ไขคนรอบข้างได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องของโลก เราแก้ไขได้เฉพาะเรื่องของเรา เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาเรื่องของโลกมาเป็นเรื่องราวของเรา กองๆไว้ตรงนั้นแหละ รู้ก็สักแต่รู้ว่าไม่ต้องรับเข้ามาเลย ตัวนี้เป็นกิเลสมารอย่างหนึ่ง ให้เรารู้ว่ากิเลสแท้จริงของมารเป็นอย่างนี้"

ผมขอกราบอาราธนาธรรมไปโพสต์ในเฟซบุ๊กชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิตครับ

โมทนา

ชยาคมน์
06-02-2013, 09:30
ผมขอกราบอาราธนาธรรมทั้งกระทู้ไปโพสต์ในเฟซบุ๊กชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิตครับ

โมทนา