เถรี
25-03-2013, 16:48
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ลมหายใจเข้าออกเป็นพื้นฐานใหญ่ของกรรมฐานทุกกอง ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกเป็นตัวคอยกำกับอยู่ สมาธิของเราจะไม่ทรงตัว ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกรรมฐานแต่ละกองได้อย่างแท้จริง
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ วันนี้อยากจะบอกท่านทั้งหลายว่า การปฏิบัติธรรมของเรานั้น บุคคลจำนวนมากยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเกิดความรู้สึกว่ากิเลสมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะชาวต่างชาติเข้ามาปฏิบัติแล้วบอกว่า ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองมี รัก โลภ โกรธ หลง เท่าไร ให้ลองไปปฏิบัติธรรมตามหลักของพุทธศาสนาดู ซึ่งความจริงแล้วเหตุที่เป็นดังนั้น เพราะว่าการปฏิบัติของเรานั้นดำเนินไปผิดทาง
การที่เราเดินผิดทาง ก็เพราะว่าเมื่อถึงเวลาเราภาวนาแล้วอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว เราไม่ได้คลายออกมาแล้วใช้กำลังจากการภาวนาไปพิจารณาวิปัสสนาญาณต่าง ๆ เมื่อจิตไม่มีสิ่งที่ดีเอาไว้ยึดไว้เกาะ ไว้พิจารณา ก็จะฟุ้งซ่านไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ที่ตนเองเคยชิน พอจิตมีกำลังมากเพราะมีสมาธิหนุนเสริมอยู่ ก็จะฟุ้งซ่านใน รัก โลภ โกรธ หลง อย่างเป็นงานเป็นการ เป็นหลักเป็นฐานมาก ก็ทำให้ท่านที่ไม่เข้าใจไปกล่าวว่า ยิ่งปฏิบัติ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ยิ่งมาก กิเลสก็ยิ่งมาก ถ้าเป็นดังนั้นก็ขอให้รู้ว่าเราทำผิดแล้ว
การที่เราจะปฏิบัติให้ถูก เมื่อภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้วให้ถอยกลับมาวิปัสสนา การที่เราจะรู้ว่าอารมณ์ใจทรงตัวได้แค่ไหน ก็เหมือนกับเราก้าวไปถึงทางตัน สภาพจิตไม่สามารถดำเนินความเป็นสมาธิต่อไปได้ ก็จะถอยกลับ ในช่วงที่สมาธิจิตถอยกลับมา ถ้าเราไม่หาวิปัสสนาญานให้คิด สภาพจิตก็จะเลี้ยวไปหา รัก โลภ โกรธ หลง โดยอัตโนมัติ
วิปัสสนาญาณต่าง ๆ ที่เราควรจะคิด ควรจะนำมาพิจารณา ได้แก่ ไตรลักษณ์ คือลักษณะความเป็นจริง ๓ ประการ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด นี่คืออนิจลักษณะ คือความไม่เที่ยงเป็นปกติ
ในระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น นี่คือทุกขลักษณะ อาการที่ต้องทน แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ต้องทน ก็คือทนคู่กับความเสื่อมสลายตามสภาพนั่นเอง แล้วในที่สุดไม่ว่าเป็นกายเราก็ดี กายคนอื่นก็ดี กายของสัตว์อื่นก็ดี หรือวัตถุธาตุต่าง ๆ ก็ดี ก็ไม่สามารถที่จะยืนยงดำรงอยู่เป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขาได้ ล้วนแล้วแต่ต้องเสื่อมสลายตายพังไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเป็นเราเป็นของเราเลย
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ วันนี้อยากจะบอกท่านทั้งหลายว่า การปฏิบัติธรรมของเรานั้น บุคคลจำนวนมากยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเกิดความรู้สึกว่ากิเลสมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะชาวต่างชาติเข้ามาปฏิบัติแล้วบอกว่า ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองมี รัก โลภ โกรธ หลง เท่าไร ให้ลองไปปฏิบัติธรรมตามหลักของพุทธศาสนาดู ซึ่งความจริงแล้วเหตุที่เป็นดังนั้น เพราะว่าการปฏิบัติของเรานั้นดำเนินไปผิดทาง
การที่เราเดินผิดทาง ก็เพราะว่าเมื่อถึงเวลาเราภาวนาแล้วอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว เราไม่ได้คลายออกมาแล้วใช้กำลังจากการภาวนาไปพิจารณาวิปัสสนาญาณต่าง ๆ เมื่อจิตไม่มีสิ่งที่ดีเอาไว้ยึดไว้เกาะ ไว้พิจารณา ก็จะฟุ้งซ่านไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ที่ตนเองเคยชิน พอจิตมีกำลังมากเพราะมีสมาธิหนุนเสริมอยู่ ก็จะฟุ้งซ่านใน รัก โลภ โกรธ หลง อย่างเป็นงานเป็นการ เป็นหลักเป็นฐานมาก ก็ทำให้ท่านที่ไม่เข้าใจไปกล่าวว่า ยิ่งปฏิบัติ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ยิ่งมาก กิเลสก็ยิ่งมาก ถ้าเป็นดังนั้นก็ขอให้รู้ว่าเราทำผิดแล้ว
การที่เราจะปฏิบัติให้ถูก เมื่อภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้วให้ถอยกลับมาวิปัสสนา การที่เราจะรู้ว่าอารมณ์ใจทรงตัวได้แค่ไหน ก็เหมือนกับเราก้าวไปถึงทางตัน สภาพจิตไม่สามารถดำเนินความเป็นสมาธิต่อไปได้ ก็จะถอยกลับ ในช่วงที่สมาธิจิตถอยกลับมา ถ้าเราไม่หาวิปัสสนาญานให้คิด สภาพจิตก็จะเลี้ยวไปหา รัก โลภ โกรธ หลง โดยอัตโนมัติ
วิปัสสนาญาณต่าง ๆ ที่เราควรจะคิด ควรจะนำมาพิจารณา ได้แก่ ไตรลักษณ์ คือลักษณะความเป็นจริง ๓ ประการ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด นี่คืออนิจลักษณะ คือความไม่เที่ยงเป็นปกติ
ในระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น นี่คือทุกขลักษณะ อาการที่ต้องทน แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ต้องทน ก็คือทนคู่กับความเสื่อมสลายตามสภาพนั่นเอง แล้วในที่สุดไม่ว่าเป็นกายเราก็ดี กายคนอื่นก็ดี กายของสัตว์อื่นก็ดี หรือวัตถุธาตุต่าง ๆ ก็ดี ก็ไม่สามารถที่จะยืนยงดำรงอยู่เป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขาได้ ล้วนแล้วแต่ต้องเสื่อมสลายตายพังไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเป็นเราเป็นของเราเลย