PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖


เถรี
09-03-2013, 21:12
ถาม : การที่คนเราป่วยด้วยโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น โรคท้าวแสนปม สะเก็ดเงิน เด็กดักแด้ กรรมเก่าในอดีตมีผลมากน้อยเพียงไรต่อการป่วยครับ ?
ตอบ : มีผลเต็มร้อยส่วน เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเพียงเศษกรรมจากอดีตเท่านั้น ต้นทุนเราต้องไปใช้ในนรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานก่อน เศษกรรมที่เหลือถึงทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยในชาตินี้

บางท่านที่ไปด่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า "ไอ้ขี้เรื้อน" ตัวเองก็เลยป่วยเป็นโรคเรื้อนอยู่ ๕๐๐ ชาติ อย่างสุปพุทธกุฏฐิ เป็นต้น กรรมที่ล่วงเกินผู้บริสุทธิ์ขนาดนั้น ด่าทีเดียวตัวเองเป็นไป ๕๐๐ ชาติ ฉะนั้น..กรรมเก่ามีผลร้อยส่วนเต็ม ๆ หมายความว่า อาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ เป็นผลมาจากกรรมเก่าอย่างแน่นอน

เถรี
09-03-2013, 21:16
ถาม : ตอนนี้หนูกำลังฝึกอานาปานสติกรรมฐาน เมื่อเข้าสมาธิไล่ฌานตั้งแต่ปฐมฌานถึงฌานสี่ ในระหว่างนั้นไม่แน่ใจนักค่ะว่าอยู่ในฌานลำดับใด เกิดความรู้สึกว่า ตนเองนั่งอยู่ท่ามกลางที่โล่งแจ้ง ที่กว้างนั้นมืดมิด ความรู้สึกคล้ายกับเรานั่งอยู่เดียวดายภายใต้ท้องฟ้ายามรัตติกาล ในสมาธินั้นมองเห็นดวงดาวนับร้อยนับพันดวงส่องประกายระยิบระยับ ดับวูบแล้วก็หายไป แล้วเกิดใหม่เรื่อย ๆ สีของดวงดาวนั้นเป็นสีขาวประกายพรึกบ้าง สีฟ้าบ้าง และมีสีม่วงบ้างค่ะ หนูนั่งมองอยู่เพียงชั่วครู่ก็ถอนสมาธิออกมา เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร ครั้งแรกก็ไม่ติดใจอะไรค่ะ แต่ระยะหลังมานี้ ได้เข้าสมาธิและเห็นบ่อยขึ้น หนูขอกราบเรียนถามว่า สิ่งที่เห็นนี้เป็นอุปาทานหรือไม่คะ? แล้วสภาวธรรมที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร?
ตอบ : สิ่งที่เกิดขึ้นแปลว่าเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว แสงสีต่าง ๆ จึงได้ปรากฏ กำลังของอุปจารสมาธินั้นเกือบจะทรงฌานได้ ด้วยความที่สภาพจิตเริ่มปลอดจากรัก โลภ โกรธ หลงชั่วขณะ เพราะกำลังของฌานสูงขึ้น ก็เลยทำให้รู้สึกโล่ง ว่าง เบาสบาย ขณะเดียวกันความเป็นทิพย์ก็เริ่มปรากฏ สิ่งที่อยากจะเตือนก็คือ อย่าเพิ่งทึกทักว่าตนเองได้ฌานนั้นฌานนี้ เพราะเพิ่งจะเริ่มขึ้นอนุบาลหนึ่งเท่านั้น

ถาม : ควรจะทำอย่างไรต่อไป ?
ตอบ : ตั้งหน้าตั้งตาซักซ้อมการภาวนาให้มากกว่านี้ ถ้ารักษาอารมณ์ต่อเนื่องได้นานขึ้น จะได้สมาธิที่สูงขึ้นไปเอง

เถรี
09-03-2013, 21:29
ถาม : การสะเดาะเคราะห์ทำได้โดยวิธีใดบ้างคะ? โดยปกติเห็นหลายท่านนิยมไปที่วัด เขียนชื่อใส่ในโลง และให้พระท่านทำพิธีให้ หากเราปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา ในคุณความดี ก็จัดเป็นบุญที่ช่วยให้เคราะห์ต่าง ๆ เบาบางลงได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาจริง ๆ จะตัดเคราะห์กรรมได้ดีที่สุด แต่วิธีตัดเคราะห์ทั่ว ๆ ไป เท่าที่บุคคลเขาทำกัน อันดับแรกให้ถวายสังฆทาน เพราะการตัดเคราะห์คือกรรมเก่าที่ตามมา ถ้าเราสร้างบุญให้มีกำลังสูงไว้ ก็จะหนีห่างกรรมนั้นไปได้

อันดับที่สองให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาขายไว้เพื่อฆ่า ถ้าตนเองเคราะห์หนักก็ปล่อยชีวิตสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย อันดับที่สามให้ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น เป็นการปฏิบัติในมรณานุสติกรรมฐานซึ่งถือว่าเป็นบุญใหญ่ ทำให้หนีห่างกรรมนั้นไปได้ อันดับที่สี่ ถ้าอาการหนัก เห็นว่าแย่แน่ ๆ ให้จัดงานศพตัวเอง นิมนต์พระมา ๔ รูป สวดศพของเราแล้วถวายสังฆทาน และการไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรก็ถือว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง

แต่ขอให้เข้าใจว่า คำว่าสะเดาะเคราะห์ในความหมายของเรา กับในความเป็นจริงนั้นคนละอย่างกัน คำว่าสะเดาะก็คือทำให้หลุดหรือให้พ้นไป ซึ่งความจริงเคราะห์กรรมนั้นไม่ได้พ้นไป เราแค่ทำความดีแล้วหนีห่างกรรมออกไป ถ้าความดีขาดช่วง เคราะห์กรรมนั้นก็จะตามทันอีก ดังนั้น..ควรที่จะสร้างความดีในศีล สมาธิ ปัญญาไว้บ่อย ๆ จะได้หนีห่างกรรมไปได้เรื่อย ๆ ท้ายสุดถ้าเข้าถึงความบริสุทธิ์ หลุดพ้นไปพระนิพพานได้ถึงจะพ้นกรรมจริง ๆ

ถาม : การสร้างพระ จัดว่าเป็นบุญที่ช่วยให้เคราะห์เบาบางลงหรืออีกนัยหนึ่งคือสะเดาะเคราะห์ได้ไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ได้...การสร้างพระอานิสงส์ใหญ่มาก พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้านั้นประมาณไม่ได้ ดังนั้นการสร้างพระจึงถือว่าเป็นการตัดเคราะห์กรรมได้อย่างหนึ่ง

เถรี
11-03-2013, 20:54
ถาม : บ้านผมโทรมมากแล้ว เกรงว่าจะหาปัจจัยมาบำรุงซ่อมไม่ทันการ ผมจึงคิดจะทำพิธีฝากบ้านกับท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ แล้วผมจะทำบุญสังฆทานให้ท่านด้วย แต่ไม่ได้มากมายอะไร ว่าจะใส่ตู้บริจาคของใกล้บ้านแทนเพราะปัจจัยมีจำกัด ?
ตอบ : คุณเข้าใจได้อย่างไรว่าฝากบ้านกับเทวดาแล้วบ้านจะไม่เก่า ? การฝากบ้านกับเทวดาท่านหมายเอาว่า ถ้ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นท่านจะช่วยป้องกันให้ นี่บ้านเก่าจะพังแล้วไปฝากบ้านกับเทวดา บ้านจะได้ไม่พัง ท่านน่าจะช่วยให้พังเร็วขึ้นมากกว่า..!

ถาม : ผมจะบูชาผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามมาอาราธนาไว้กับท่านเจ้าที่ แต่ศาลเจ้าที่บ้านผมเป็นศาลเจ้าที่จีนอยู่ในบ้าน ไม่ทราบว่าจะเหมาะสมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องของมหาพิชัยสงครามนั้น ขอแนะนำว่าติดให้สูงหน่อย ถ้าเป็นศาลเจ้าที่ที่วางติดพื้นแบบศาลจีนก็ติดธงเหนือท่านให้อยู่สูง ๆ ไปเลย

เถรี
11-03-2013, 20:57
ถาม : ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามที่เย็บติดกับธงชาติแล้วอาราธนาแขวนที่หน้าบ้าน ปัจจุบันเก่าขาดแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนธงผืนใหม่โดยเลาะผ้ายันต์ฯ จากธงเดิมออกมาเย็บติดกับธงใหม่ ส่วนธงเดิมจัดเก็บพับใส่ซองวางที่หิ้งพระ จะเป็นการถูกต้องเหมาะสมหรือไม่คะ ?
ตอบ : ทำได้..แต่ถ้าจะให้ดีเอาธงใหม่สองผืนมาประกบธงเก่าตรงกลางแล้วเย็บติดไปเลย

เถรี
11-03-2013, 20:59
ถาม : ดิฉันหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่ม นึกว่าเป็นน้ำอัดลม พอดื่มถึงทราบว่าเป็นเหล้าหมักจึงบ้วนทิ้ง ล้างปากแล้วหาน้ำเปล่ามาดื่ม อย่างนี้ที่ไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรมาไม่ทราบว่า ยันต์เกราะเพชรจะยังอยู่กับเราหรือเปล่าคะ ? เป็นกังวลค่ะ
ตอบ : ถ้ายังไม่กลืนก็ไม่เป็นไร

เถรี
11-03-2013, 21:04
ถาม : ผมมีความรู้สึกเลื่อมใสในตัวหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเป็นปกติ ผมจึงใคร่อยากให้พระคุณเจ้าแนะวิธีทำให้ศรัทธาเต็มด้วยเถอะครับ ?
ตอบ : หล่อรูปหลวงพ่อฤๅษีขนาด ๒ เมตรขึ้นด้วยทองคำแท้ รับรองศรัทธาเต็มแน่นอน..!

ถาม : ผมว่าชาติหน้ายังไม่เต็มเลย ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านสอนอะไรมา คุณก็ประพฤติปฏิบัติให้ได้ตามนั้น ยิ่งทำได้มากเท่าไร ศรัทธาจะแน่นแฟ้นมากขึ้นเท่านั้น เพราะเห็นคุณประโยชน์ความดีที่ท่านสอนไว้จริง ๆ

เถรี
11-03-2013, 21:08
ถาม : คนที่เป็นกระเทยผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิงแล้วเรียบร้อย แต่มีความสงสัยว่าถ้าแต่งงานกับผู้ชาย จะผิดศีลข้อสามไหม ?
ตอบ : ผิดตรงไหน ?

ถาม : ก็เขาเป็นผู้ชายด้วยกัน
ตอบ : อย่าลืมว่าการล่วงละเมิดบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตถึงจะมีโทษศีลข้อสาม ถ้าแต่งงานแสดงว่าได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย

ถาม : ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นผู้ชายกับผู้ชาย ?
ตอบ : ผู้ชายกับผู้ชายเขามีมาแต่โบราณแล้ว

เถรี
11-03-2013, 21:22
ถาม : การฝึกกสิณเป็นสมาธิอย่างหยาบ สามารถทำให้มีสมาธิเป็นฌานได้ง่ายกว่าอานาปานสติ จริงหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่ากสิณต้องอาศัยของหยาบเป็นเครื่องจูงจิตให้ทรงตัวได้ง่าย เพราะมีวัตถุข้างนอก ไม่ใช่ประเภทไปนึกเอา แต่กสิณไม่ใช่สมาธิอย่างหยาบ เพราะถ้าทำกสิณได้จริง ๆ ต้องเข้าถึงฌานสี่ละเอียดจึงจะใช้งานได้ ต่อไปใช้คำพูดให้ถูก ๆ หน่อย

กรรมฐานทุกกองถ้าทำเป็น ท้ายสุดเข้าถึงพระนิพพานได้ทั้งหมด แม้กระทั่งภาพกสิณระหว่างที่เราฝึกก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ๆ ไป ตามลำดับของสมาธิที่เราเข้าถึง การที่เราฝึกปรืออยู่ก็ต้องประกอบไปด้วยความทุกข์ ต้องใช้ความเพียรพยายามสูง ท้ายที่สุดแม้กระทั่งคนฝึกคือเราก็ต้องตายเหมือนกัน ถ้าสามารถมองเห็นสภาพความเป็นจริงอย่างนี้ได้ หมดความอยากที่จะเกิดอีก ก็ไปพระนิพพานได้เหมือนกัน

เถรี
11-03-2013, 21:29
ถาม : ถ้าเราใช้เส้นเพื่อฝากลูกเข้าเรียน ทำให้คนอื่นเสียประโยชน์หรือไม่คะ ? จะมีวิบากกรรมอะไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านเกินเหตุ ถ้าเราไม่ได้ใช้เส้นแล้วคนอื่นใช้ ตัวเราเองนั่นแหละจะเสียประโยชน์ อะไรก็ตามถ้าสามารถทำได้โดยไม่ได้ผิดศีลผิดธรรม ก็ทำไปเถอะ เขาเรียกว่าเป็นการมีปัญญาด้วยซ้ำไป แต่ถ้าเป็นประเภทพอตนเองไม่ได้เอาปืนไปจี้หัว ผอ. ขอให้รับลูกเราเข้าเรียน..นั่นก็เกินไป

ถาม : การใช้เส้นเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งหรือครับ ?
ตอบ : เป็นวิธีอย่างหนึ่ง บ้านเราแก้ไขไม่ได้แล้ว ฝังรากลึกไปจนถึงดีเอ็นเอแล้ว

เถรี
11-03-2013, 21:34
ถาม : การสร้างพระพุทธรูปสีดำทั้งองค์ มีความหมายบอกถึงอะไรครับ เพราะปกติคนไทยไม่ค่อยนิยมใช้สีดำในสิ่งที่เป็นมงคล ทำไมถึงมีการสร้างพระพุทธรูปสีดำขึ้นมาบูชาครับ ?
ตอบ : แสดงว่าเกิดช้า..ไม่เคยเห็นพระพุทธรูปโบราณ เขารมดำทั้งนั้นแหละ ไม่ได้สำคัญที่สี แต่อยู่ที่เราชอบ ถ้าสร้างพระมาแล้วได้รูปแบบและสีที่เราชอบ จิตใจของเราจะสบาย เกาะภาพพระได้ง่าย จะสีอะไรก็ทำไปเถอะ สำคัญตรงที่ได้ทำหรือเปล่า ? มัวแต่ไปคิดว่าสีนี้ไม่เหมาะแล้วไม่ได้ทำสักที ก็ตายเปล่าไม่ได้อะไรเลย..!

เถรี
12-03-2013, 20:38
ถาม : อยากทราบที่มาของตำรับยาวัดท่าซุง เช่นยาเก้าร้อย ยาหนอนตายอยาก ว่าหลวงพ่อท่านเป็นผู้ค้นพบ หรือเป็นผู้ปรุงเอง หรือเป็นตำราโบราณสืบต่อกันมาจากอาจารย์ท่านอื่น ๆ ครับ ? และพระอาจารย์ได้ฉันตำรับยาหลวงพ่อวัดท่าซุงเพื่อการบำรุงและการรักษาบ้างหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เคยฉันมาหลายเกวียนแล้ว...!

ถาม : ว่ากันเป็นเกวียนเลยหรือครับ ?
ตอบ : ตำรายาส่วนใหญ่เป็นของโบราณ แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเห็นว่าเหมาะสมที่จะใช้งาน ก็นำมาบอกกล่าวกัน บางอย่างเป็นของเก่า พระหรือเทวดาท่านมาเตือนว่าสามารถรักษาโรคนี้ได้ ท่านก็นำมาแนะนำ ท้ายสุดอาจารย์บุปผชาติ พงษ์ประดิษฐ์เห็นว่าควรจะทำขึ้นมาสงเคราะห์คนอื่น เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถจะเข้าถึงสมุนไพรต่าง ๆ ได้ครบถ้วน ท่านก็เลยทำเป็นยาขึ้นมา แต่ระยะหลังเห็นว่า อย. เล่นงานเสียย่ำแย่เลย

เถรี
12-03-2013, 20:41
ถาม : ทำไมการเอาพระพุทธรูปไปบรรจุใต้ฐานหรือบรรจุในองค์พระ ซึ่งจะถูกโบกปูนปิดทับไว้ไม่มีใครเห็น หลาย ๆ ท่านทำกันครับ ? เพราะเทียบกับการเอาพระพุทธรูปเหล่านั้นเก็บเอาไว้ด้านนอกเพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาแบบเห็นองค์จริง น่าจะได้อานิสงส์มากกว่าหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...เขาต้องการอานิสงส์พุทธบูชาแบบเฉพาะของตน ก็เลยเอาไปบรรจุไว้ อันดับที่สอง..พระที่บรรจุไว้ไม่ว่าจะชำรุดทรุดโทรมอย่างไรเสีย เราไม่เห็น กำลังใจไม่เสีย แต่ถ้าเราเอาไว้ข้างนอก บางทีปล่อยให้ฝุ่นจับเขรอะอยู่หรือผุพังเลยก็มี

ดังนั้น..ก็ต้องดูเจตนาว่าเขาตั้งใจสร้างเพื่อให้บูชาเป็นส่วนรวมหรือไม่ ถ้าเป็นส่วนรวมก็ต้องเอาไปแสดงให้คนอื่นเขาเห็น แต่ถ้าอยากได้อานิสงส์เป็นการส่วนตัวก็มักจะบรรจุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยก่อนเขาตั้งใจเอาไว้ว่า นานไปข้างหน้าถ้ามีผู้ใดมาสืบเสาะพบเห็นเข้า เขาถือว่าเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาด้วย พูดง่าย ๆ ว่าถึงข้างนอกพังหมดแล้ว ข้างในก็ยังมีเหลืออยู่

เถรี
12-03-2013, 20:45
ถาม : การนำเอาเงินเหรียญและของมีค่าไปใส่ไว้ใต้ฐานหรือองค์พระ ผมไม่เข้าใจเลยครับว่าจะเป็นบุญกุศลอย่างใด ถ้าเทียบกับเอาของเหล่านั้นไปขายและนำไปซื้อทอง ซื้อปัจจัยในการหล่อองค์พระแทน หรือนำเครื่องประดับเหล่านั้นมาประดับที่องค์พระ น่าจะได้บุญมากกว่าเก็บเอาไว้ใต้ฐานเฉย ๆ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เจตนาเขาตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา แต่เจตนาคุณดันไปดูที่มูลค่าสิ่งของ แสดงว่ากำลังใจต่ำกว่าเขาหลายเท่า เขาถวายแล้วถวายเลย แปลว่าเขามีอุเบกขาในทานบารมี ส่วนคุณนี้ไม่ได้ถวายเองแท้ ๆ ยังหาอุเบกขาไม่ได้ กำลังใจห่างจากเขาลิบโลกเลย..!

เถรี
12-03-2013, 21:02
ถาม : นอกจากมนุษย์แล้วจะมีผู้ใดชื่นชอบทองคำและเพชรอีกบ้างไหมครับ ? คุณค่าในทองคำและเพชรเกิดจากที่มนุษย์เห็นได้ด้วยตาและมีอุปาทานว่าสิ่งนี้มีค่ามาก จากการสะท้อนแสงและความคงทนเท่านั้นหรือไม่ ? เพราะถ้าไม่มีแสงก็จะไม่เห็นว่าสวย หรือจริง ๆ แล้วเป็นสัญญาเก่าที่เคยเกิดในสวรรค์ ?
ตอบ : ของจะมีค่ามีราคาก็ต่อเมื่อของนั้นมีน้อย และมีคนต้องการมากจึงตีค่าไว้สูง ถ้าไปดวงดาวบางดวง อาตมาเชื่อว่าเอาก้อนกรวดไปแลกเพชรของเขาได้ เพราะบ้านเขามีแต่เพชรแต่พลอยเต็มไปหมด ไม่มีก้อนกรวดเลย เพราะฉะนั้น..เก็บกรวดไว้เยอะ ๆ นะ เผื่อมีโอกาสเจอเขาจะได้เอาไปแลก..!

สมัยอาตมาเด็ก ๆ เขายังใช้หอยเบี้ยแลกเปลี่ยนอยู่เลย สมัยนี้ไม่เห็นใช้ สมมติเปลี่ยนไป ถ้าเขาตั้งสมมติขึ้นมาใหม่ ให้ก้อนกรวดข้างถนนมีราคา เขาก็จะไปแย่งก้อนกรวดกันต่อ

เถรี
13-03-2013, 20:42
ถาม : การถวายปัจจัยต่าง ๆ ให้กับดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต โดยวิธีโบราณสืบมา คือการนำของดังกล่าวตั้งไว้กลางแจ้งและจุดธูปบอก แล้วนำไปลอยหรือวางไว้โคนไม้ เทียบกับการนำของดังกล่าวเอาไปถวายพระให้ท่านสวดยะถาฯ ให้ จะได้ผลหรือต่างกันอย่างไรครับ ? และถ้าของนั้นอาจไม่เหมาะกับพระสงฆ์ เช่น ผ้าสไบของผู้หญิง หรือของเล่นเด็ก จะยังสามารถถวายพระสงฆ์เพื่อนำส่งบุญและปัจจัยเหล่านั้นต่อดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาของไปวางแล้วจุดธูปบอก ผีก็จะยืนตาปริบ ๆ เพราะสิ่งที่เขาจะได้เป็นเรื่องของบุญกุศล ไม่ใช่เรื่องของวัตถุ ส่วนเรื่องเอาของไปถวายนั่นทำถูก แต่ของที่ไม่เหมาะสมกับพระ เขาไม่ได้บังคับว่าต้องถวายพระ ก็คือมอบให้กับผู้ใดผู้หนึ่งก็ได้ ถ้าเขารับไปถือเป็นส่วนของทาน อานิสงส์เกิดขึ้นแล้ว สามารถอุทิศให้กับผู้อื่นได้

ฉะนั้น..ถ้ามีสไบก็เอาไปมอบให้กับแม่ชีที่เขาอยู่ปฏิบัติธรรมก็ได้ หรือถ้าเป็นสไบสารพัดสีก็บริจาคให้คนที่ไหนก็ได้

ถาม : จัดว่าเป็นทานเหมือนกัน ?
ตอบ : จัดว่าเป็นทาน มีอานิสงส์ก็ถึงผู้ตายได้เหมือนกัน

เถรี
13-03-2013, 20:47
ถาม : ขณะป่วยภาวนาแยกกายกับจิต แล้วเห็นอนิจจังของโลก การดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่กับมรรคมีองค์ ๘ ถือว่าถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : แปลกมาก..เห็นอนิจจังของโลกแทนที่จะเห็นอนิจจังของตนเอง ? เรื่องของธรรมะต้องดูจากข้างในก่อน พอดูจากข้างในจนมั่นใจแล้วค่อยไปดูข้างนอก ถ้าไปดูข้างนอกแต่ลืมข้างใน ก็ไม่ไปถึงไหนหรอก ถ้าสามารถเห็นอนิจจังแสดงว่าก้าวแรกเริ่มไปตรงแล้ว ต่อไปก็ให้ดูความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนเราเขา

ถาม : เห็นความไม่เที่ยงอย่างเดียวยังไม่พอใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อันดับแรกเอาที่ตัวก่อน ถ้าเห็นตัวเองชัดเจนก็จะเห็นคนอื่น สัตว์อื่น ข้าวของอื่นในลักษณะเดียวกัน

ถาม : เห็นข้างนอกจะเห็นง่ายกว่าครับ ?
ตอบ : เห็นข้างนอกนั่นของเขา เห็นข้างในนั้นของเรา

เถรี
13-03-2013, 20:54
ถาม : หนูปลูกมะเขือเทศไว้ ๑ ต้น รดน้ำแล้วสวดคาถาเงินล้าน ๑ จบ ลูกมะเขือดกมากค่ะ เต็มต้นเลย
ตอบ : ทำไมไม่เอามาถวายพระบ้างล่ะ..?

เถรี
13-03-2013, 20:58
ถาม : ขอคาถาย่นระยะทางครับ เวลาเดินทางจะได้สะดวกรวดเร็วทันใจ ?
ตอบ : หลับซะ ตื่นขึ้นมาก็ถึงแล้ว..!

ถาม : เป็นคนขับหลับไม่ได้ครับ ?
ตอบ : จริง ๆ คาถาบทไหนก็ได้ ให้ใจมุ่งมั่นเท่านั้น ในตอนต้นนึกว่าต้องการอะไร หลังจากนั้นให้ลืมเสีย แล้วภาวนาอย่างเดียว เพราะคาถาเป็นเครื่องโยงใจให้เกิดสมาธิ เมื่อสมาธิเกิดขึ้นก็จะมีพลานุภาพบันดาลให้เป็นไปตามที่ต้องการ

ถาม : เป็นอธิษฐานบารมีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ

เถรี
13-03-2013, 21:30
ถาม : ผมพิจารณาว่าตัวรูปในร่างกายก็ไม่มีแล้ว ตัวอารมณ์ก็ไม่มีแล้ว เพราะอารมณ์อาศัยร่างกาย เมื่ออารมณ์ไม่มี รูปไม่มี โลกก็ย่อมไม่มี ไม่มีอะไรเหลือเลย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปผิดศีล ตัวที่ไปผิดศีลเพราะมาจากสาเหตุตัวนี้ เพราะไม่เหลืออะไรแล้ว ?
ตอบ : ศีลเป็นการกระทำ ถึงแม้เป็นสมมติทางโลก แต่ถ้าเราทำผิดสมมติทางโลกก็ยังเป็นความผิดอยู่ ขณะเดียวกันสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่อารมณ์ภาวนา แต่ต้องเป็นความเป็นจริงที่มีอยู่ ตราบใดที่เราต้องเสียเวลาพิจารณาก็ยังอีกไกล ต้องเห็นได้ทุกเวลาถึงจะใช้ได้

เถรี
13-03-2013, 21:35
ถาม : ผมไปเจอที่หลวงปู่ดาบสบอกว่า 'คุณต้องทิ้งอดีต ๕ กิโล ทิ้งอนาคต ๕ กิโล' ซึ่งจะตรงกับคำสอนพระอาจารย์ที่ว่าไม่ต้องไปคำนึงถึงอดีต อนาคต แต่ผมไม่เข้าใจที่หลวงปู่ดาบสบอกว่า 'คุณต้องทิ้งปัจจุบันอีก ๕ กิโล' ถ้าทิ้งกับปัจจุบันแล้วจะไปอยู่กับอะไรครับ ?
ตอบ : หมายความว่า ใจเราไม่ยึดเกาะขันธ์ ๕ แม้ในปัจจุบันนี้ สักแต่ว่าใช้งานไปก็พอ

ถาม : ท่านพูดยิ่งกว่านั้นครับ แม้กระทั่งตัวพุทโธก็ยังเป็นตัวยึดในปัจจุบันอยู่ ?
ตอบ :ใช่

ถาม : ทำไมพระอาจารย์จึงสอนให้ยึดล่ะ ?
ตอบ : ยึดดีไว้ก่อน พอถึงเวลาแล้วค่อยวางดี ใจของคนเราถ้าไม่เกาะดีก็ต้องเกาะชั่ว ที่จะปล่อยวางได้จริง ๆ เลยนั้นมีน้อย ครูบาอาจารย์ท่านถึงสอนให้เรายึดดีก่อนเพื่อความปลอดภัย ถ้าเราทำดีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกำลังใจเต็มจริง ๆ แล้วจะวางดีไปเอง ไม่ใช่ว่าบางทีไปได้เคล็ดลับจากพระที่ท่านทำได้แล้ว บอกว่าปล่อยดีแล้วเราก็ไม่ทำความดีเลย ถ้าอย่างนั้นเตรียมตัวเจ๊งได้..!

เถรี
13-03-2013, 21:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเปิดให้ผู้ปฏิบัติธรรมบูชาพระนาคปรกลอยองค์ที่วัด ปรากฏว่ามีส่วนหนึ่งต้องการสีทองมากกว่า อาตมาก็นึกว่า ส่วนใหญ่เวลาเห็นพระท่านจะเป็นแก้ว ดูแล้วคล้ายเงินมากกว่า แต่คนกลับไปติดสีทอง"

เถรี
14-03-2013, 21:16
ถาม : แสดงว่าอารมณ์ในปัจจุบันเรายังทิ้งไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นที่พักของใจชั่วคราว ?
ตอบ : เป็นที่อาศัย ในเมื่อใจอาศัยร่างกาย เราอยู่กับร่างกายได้ แต่อย่าไปเกาะร่างกาย สักแต่ว่าอยู่เท่านั้น ในเมื่อเราสักแต่ว่าอยู่ ถ้าเรารู้เท่าทันปัจจุบันจริง ๆ จะเห็นทุกข์เห็นโทษของการปรุงแต่ง ซึ่งจะไปในอดีตหรืออนาคต ในเมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษตรงจุดนี้ ตัวปัญญาที่เห็นโทษจะเกิดความเข็ด ในเมื่อเข็ด สติก็จะรั้งให้หยุด ไม่ไปปรุงทั้ง ๒ ทาง ในเมื่อหยุดอยู่กับปัจจุบันได้จริง ๆ ก็จะจบ แต่ถ้ายังหยุดไม่ได้จริง ๆ ก็ยังต้องอาศัยร่างกายไปก่อน

ถาม : แสดงว่าตัวหยุดได้จริง ๆ ก็คือตัวนี้แหละ ตัวยึดในปัจจุบันอยู่ ?
ตอบ : นั่นแหละ ๕ กิโลนี่วางไม่ได้ ยังยึดแล้วจะไปวางอย่างไร ?

ถาม : ตอนที่ผมพิจารณาทุกข์ก็เห็นนะครับ แต่ก็ไม่ทุกข์เพราะจิตอยู่กับสมาธิ โดยที่เราไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มและอยู่กับปัจจุบัน แต่ทันทีที่เราออกจากปัจจุบันก็ทุกข์ทันทีครับ ?
ตอบ : สภาพจิตยังไม่ยอมรับ ถ้าสภาพจิตยอมรับจะตัดเหตุคือการปรุงแต่งนั้นเสีย ก็จะไม่ทุกข์ เพราะเห็นอยู่ว่าสภาพร่างกายมีสภาวทุกข์เป็นปกติอยู่แล้ว สภาพจิตก็จะยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายนี้เป็นอย่างนั้น ในเมื่อเห็นเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นก็เป็นไป คบกันแค่ชาตินี้ เท่ากับเรากองภาระทั้งหมดไว้ตรงนั้น มีหน้าที่ดูก็นั่งดู หมดเวลาเมื่อไรก็ลาก่อน ไม่ต้องดูอีกแล้ว ก็เลยไม่หนักใจ ไม่ทุกข์ เอ็งอยากจะเจ็บก็เจ็บไป อยากจะหิวก็หิวไป อยากจะป่วยก็ป่วยไป ข้าก็นั่งดูของข้าอยู่อย่างนี้

ถาม : อันนี้คือนิพัทธทุกข์หรือครับ ?
ตอบ : ความทุกข์ทุกอย่างเลย ความทุกข์ทุกประเภทเหมือนกัน เพราะความทุกข์อยู่กับร่างกาย

เถรี
14-03-2013, 21:19
ถาม : แล้วทุกข์ที่เกิดจากความคิดที่ว่า คนนั้นต้องเป็นอย่างนั้น คนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ทุกข์เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ทุกข์เพราะยึด..ก็ยึดไอ้ตัวนี้แหละ เพราะเรายึดตัวเรา เราก็เลยยึดตัวเขา ถ้าวางตัวนี้ได้ อย่างอื่นก็ไม่ยึดหรอก หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสรุปแล้วเหลือไอ้ตัวนี้ตัวเดียว เหลือไอ้ ๕ กิโลนี่แหละ ไม่ได้หนักอะไรมากมายหรอก ค่อย ๆ วางไป

ถาม : แต่ที่สังเกตได้ พอเราหลุดจากสมาธิเมื่อไร เราทุกข์ทันทีครับ ?
ตอบ : แน่นอน...เพราะเรายังต้องอาศัยสมาธิช่วยหนีทุกข์ ทันทีที่เราหลุดออกมา ก็คือเราหลุดจากปัจจุบัน พอหลุดจากปัจจุบันก็เสวยอารมณ์เต็มที่

ถาม : แต่พอเราจับอารมณ์สมาธิ ก็ลืมไปเลย
ตอบ : อันนั้นเขาเรียกว่ากินยาแก้ปวดไปก่อน แก้ปวดลดไข้ไปเรื่อย ๆ ถ้าวางได้ไข้ก็หายไปเอง

เถรี
14-03-2013, 21:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนมาคร่ำครวญว่ามาช้าไป เลยไม่ได้ไปไหนกับหลวงพ่อ เขาอยากจะเดินทางไปกับหลวงพ่ออย่างในหนังสือกระโถนฯ บ้าง เห็นว่าสนุกดี แต่ขณะเดียวกันบางคนก็บ่นว่าไปด้วยกันแท้ ๆ แต่ทำไมพอมาอ่านแล้วเหมือนกับคนละเหตุการณ์เลย

ตรงนี้ขึ้นอยู่กับมุมมอง มุมมองและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน จะทำให้มองเหตุการณ์ต่างกัน บางทีถ้าเราไปเองแล้วเจออย่างนี้ เราอาจจะเครียดเกือบตาย แต่คนที่ไปกำลังใจก้าวข้ามตรงนั้นแล้ว จึงกลายเป็นของสนุก พอถึงเวลาเขาแสดงมุมมองของเขาออกมา ก็คือมุมมองที่สนุก แต่ถ้าเราไปเองนี่แทบตายเลย จึงกลายเป็นคนละงานกัน"

เถรี
19-03-2013, 09:41
ถาม : ผมได้สนทนากับพระสายป่า ท่านบอกว่าการถวายอาหารกระป๋องไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเลย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นครับ ?
ตอบ : เพราะพระเขาถือว่าถ้ารับประเคนแล้วค้างคืน ก็โดนอาบัติที่ฉันอาหารขาดประเคน

ถาม : ท่านบอกว่าบางทีจะไม่เก็บอาหารไว้ในกุฏิด้วย ถ้าถวายวัดบ้านก็ว่าไปอย่าง ?
ตอบ : ตรงนี้เป็นศีลของพระอยู่แล้ว พระห้ามเก็บอาหารไว้เอง ห้ามหุงต้มอาหารเอง ห้ามเก็บอาหารไว้ภายในที่อยู่ของตนเอง ก็คือป้องกันการแอบกิน เป็นเรื่องปกติ วัดไหนที่มีโรงครัวเขาก็เก็บไว้ในโรงครัว

คราวนี้อาหารที่บอกว่าประเคนหลังเพลไปแล้ว ถ้ารับแล้วหากไม่ได้ใช้งาน ก็จะขาดประเคน เพราะพระเขาห้ามเก็บของข้ามคืน แต่คราวนี้เราประเคนไปแล้ว เสร็จแล้วลูกศิษย์ยกไปก็ถือว่าขาดไปแล้ว ก็ไม่ต้องอาบัติข้อนี้

ความเคร่งครัดในศีลเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเคร่งเกินพอดีจะกลายเป็น สีลัพพตุปาทาน คือยึดมั่นในศีลพรตของตนเอง

ถาม : ถ้าผมมาที่นี่หลังเพล แล้วเตรียมอาหารแห้งกับผ้าไตร ยังพออนุโลมได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าที่อื่นไม่เป็นไร แต่ถ้าวัดป่าอย่าไปถวายท่าน บอกให้ลูกศิษย์ท่านรับไปแทน บอกให้ลูกศิษย์ท่านเอาไปประเคนวันอื่น การระมัดระวังศีลเป็นเรื่องดี ยิ่งระมัดระวังมากสมาธิยิ่งเกิดได้ง่าย แต่ระวังจะไปยึดถือว่าศีลเราดีกว่า เราบริสุทธิ์กว่า กลายเป็นอุปาทานไป

เถรี
19-03-2013, 10:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ชวนทำบุญแล้วไปทันที นั่นบารมีเขาเต็มแล้ว จะสังเกตว่าหลายวัดโฆษกต้องป่าวประกาศ ชักชวนคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า พวกนี้หากินที่วัดท่าขนุนไม่ได้หรอก วัดท่าขนุนไม่ต้องเสียเวลาประกาศ ถึงเวลาโยมเขาวิ่งมาทำเอง แต่นั่นเขาพูดอานิสงส์จนน้ำลายแห้ง กว่าโยมจะยอมควักกระเป๋าทำบุญ

เพราะฉะนั้นเรื่องของทาน ถ้าเป็นบารมีต้นอย่างหยาบตัดใจทำทานไม่ได้ บารมีต้นอย่างกลางนี่เป็นประเภทคิดแล้วคิดอีก นับแล้วนับอีก บางทีล้วงออกมาแล้วยังยัดกลับเข้าไป ต้องเป็นสามัญบารมีอย่างละเอียดถึงจะทำทานได้ แต่รักษาศีลไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องของทานนี่เป็นบารมีต้น

บารมีต้นอย่างหยาบตัดใจทำทานไม่ได้หรอก ใจจะขาด แบบเดียวกับพิราฬกเศรษฐี พิราฬกเศรษฐีจะทำบุญใช้ ๓ นิ้วหยิบ เขาเลยเรียกเศรษฐีตีนแมว เพราะถ้าหยิบเยอะกว่านี้จะขาดใจตาย ถ้าสามัญบารมีอย่างกลาง ก็ประเภททำบุญไปแล้วชักกลับครึ่งหนึ่ง ต้องสามัญบารมีอย่างละเอียดจึงสามารถทำทานได้เต็มกำลังใจตนเอง"

เถรี
20-03-2013, 21:02
ถาม : ได้บ้านหลังหนึ่ง มีเจ้าที่เก่าอยู่ ?
ตอบ : จะตั้งศาลเจ้าที่ใหม่หรือ ?

ถาม : ยังไม่ตั้งค่ะ
ตอบ : ถ้ายังไม่ตั้งก็ปล่อยไว้ก่อน จนกว่าเราจะมีโอกาสตั้งใหม่ แล้วก็เชิญเจ้าที่เก่าขึ้นของใหม่ ค่อยรื้อของเก่า ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนไปรื้อบ้านเขา แต่ไม่มีที่อยู่ใหม่ให้เขา เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก

ถาม : ปล่อยไว้ก่อน ?
ตอบ : จ้ะ..ปล่อยไว้ก่อน ยกเว้นว่าเราจะตั้งใหม่ ตอนนี้ก็บูชาที่เดิมไปก่อน

เถรี
20-03-2013, 21:07
พระอาจารย์เล่าว่า "คุณจิอูลิโอ เป็นอุปทูตของสถานทูตอิตาลีประจำกรุงเทพฯ เขาไม่เคยฝึกกรรมฐาน คุณลุคก็พาไปฝึกปฏิบัติธรรม ๓ วัน เขาบอกว่าปฏิบัติไปวันแรก นอนหลับสนิทไม่ตาค้างเหมือนอย่างสมัยก่อนเลย มีความสุขที่สุดในชีวิต ไม่เคยนอนหลับสบายอย่างนี้มาก่อน แบบนี้ต่อไปเขาคงเดินจงกรมทั้งวัน"

ถาม : หนูก็เหมือนกันค่ะ เหนื่อยแบบไม่รู้ตัวเลย นอนได้ก็หลับไปเลย
ตอบ : เราจะได้รู้ว่าร่างกายก็ดี จิตใจก็ดี ก็ต้องการการพักผ่อนเหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วเราพักแต่ร่างกาย แต่ใจไม่ได้พัก สภาพจิตของเรารับนั่นรับนี่มาตั้งแต่เกิดจนตาย เหนื่อยเต็มทีแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้องหยุดให้เป็น วิธีการต้องหยุดจิตอยู่กับปัจจุบัน ถ้าไม่ไปปรุงไปแต่งก็เบาสบาย ถ้าปรุงเมื่อไรก็หนักเมื่อนั้น

เถรี
20-03-2013, 21:13
ถาม : หนูกินข้าวก็ไม่อร่อย ขับรถมาฟังเพลงก็ไม่เห็นจะรู้สึกไพเราะ ?
ตอบ : แสดงว่าเริ่มเป็นคนไร้รสชาติแล้ว ท่านอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้าว่า “สมณโคดมเป็นผู้ไร้รสชาติ” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ใช่..ท่านด่าได้ถูก” เพราะจิตใจของพระองค์ท่านไม่ปรุงแต่งแล้ว ตกลงอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ด่า พระพุทธเจ้ารับว่าใช่ คนด่าเลยเซ็งไปเอง

มีบางคนบอกว่าดูหนังไปแล้วพิจารณาไปดีไหม ? อาตมาบอกไปว่าถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปดู เพราะดูแบบนั้นก็หมดอารมณ์ไปเอง

เถรี
21-03-2013, 10:05
ถาม : เวทนาภายนอกคือ ?
ตอบ : จริง ๆ เวทนาก็คือสภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เวทนาภายในก็คือดูว่าใจของเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

ถาม : ถ้าดูเวทนาภายนอก ?
ตอบ : จะเสียเวลาไปดูทำไมเล่า ภายในคือที่เกิดกับจิตใจ ภายนอกคือที่เกิดกับร่างกาย

ถาม : แล้วดูกายภายนอก คือ ?
ตอบ : ดูกายภายนอกหรือกายภายในก็ลักษณะเดียวกัน แต่กายภายนอกสามารถดูกายของคนอื่นได้ ก็คือ ดูลักษณะของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ถาม : ที่เขาบอกว่า กายภายนอกคือใจของคนอื่น กายภายในคือใจของตนเอง ?
ตอบ : จริง ๆ ท่านบอกว่ากายภายนอกคือร่างกายนี้ กายภายในถ้าหาไม่เจอจริง ๆ ท่านให้ดูลมหายใจเข้าออก ท่านถือว่าเป็นตัวที่ซ้อนกันอยู่ข้างใน คือไม่สามารถที่จะใช้ทิพจักขุญาณดูทะลุไปถึงกายภายใน ก็ดูแค่ลมหายใจก็ได้

ถาม : แล้วจิตภายนอก ?
ตอบ : ในสภาพของจิตแบ่งเป็น จิตที่ออกไปรับอารมณ์กับจิตที่อยู่ข้างใน ออกไปเมื่อไรยุ่งเมื่อนั้นแหละ เพราะออกไปรับอารมณ์

เถรี
21-03-2013, 10:12
ถาม : สงสัยเรื่องการทำเสน่ห์ สามารถทำให้คนติดอยู่กับผู้ชายคนนั้น แล้วเขาจะทำกิจกรรมได้ตามปกติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะผิดปกติเลย

ถาม : แข็งทื่อ ๆ หรือครับ ?
ตอบ : อยู่ในลักษณะอะไร ๆ ก็ทำเพื่อคนนั้นคนเดียว แต่ถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเจอมา ท่านบอกว่าเด็กสาววัยรุ่นอายุประมาณ ๑๗ - ๑๘ ปี อยู่ ๆ นั่งเหม่อไปเฉย ๆ เป็นวัน ๆ นั่งอยู่อย่างนั้น เป็นอยู่ตั้ง ๓ - ๔ วัน พอดีหลวงพ่อท่านไปถึง พวกบรรดาลูกศิษย์ก็วิ่งมาบอก ว่าลูกหลานมีอาการอย่างนี้ ๆ หลวงพ่อท่านก็เลยถามพระ พระท่านแนะนำให้ทำตะกรุดมหาสะท้อน แต่ตะกรุดมหาสะท้อนบังคับว่าต้องเป็นวัตถุมีค่า เช่น เงิน นาก หรือทองคำ น้ำหนักอย่างน้อย ๑ บาท

ท่านก็ถามพ่อแม่ของเด็กว่าหาได้ไหม ? เขาบอกว่าได้ ปรากฏว่าเขาหาทองคำมาเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงจึงทำแล้วก็ให้เด็กแขวน พอแขวนก็ได้สติขึ้นมาทันที ส่วนคนทำไปนั่งเหม่อแทน..!

มีข้อสงสัยว่า ตอนที่นั่งเหม่อนั่นเป็นอะไร ถามเด็กแล้วเขาบอกว่า นึกถึงแต่หน้าคน ๆ นั้น นึกแล้วจะมีความสุขมาก ก็เลยนั่งนึกไปเรื่อย ๆ ถ้าลักษณะอย่างนี้ผิดปกติ แต่ก็ยังอยู่ในทางที่ดี ถ้าเป็นไสยศาสตร์ในลักษณะใช้อำนาจผีบังคับ อาจจะต้องออกจากบ้านไปหาเขาเลย แต่สงสารหนุ่มคนนั้นแหละ คงรู้รสชาติชีวิตว่าการนั่งคิดถึงเขา ข้าวปลาไม่ยอมกินนั้นเป็นอย่างไร ดันไปทำเขาก่อน

ถาม : แล้วเป็นไปได้ไหมที่มีมากกว่านั้น คือผู้หญิงยังดำรงชีวิตตามปกติ ?
ตอบ : ลักษณะนั้นเป็นไปได้ทั้งโดนทำเสน่ห์ ขณะเดียวกันก็มีเรื่องของกรรมเก่าที่เนื่องกันมา เพราะฉะนั้น..เราจะไปคิดว่าเป็นการทำเสน่ห์อย่างเดียวไม่ได้ เสน่ห์ยาแฝดอย่างเดียวส่วนใหญ่จะลุ่มหลงขาดสติ ถ้าเป็นปกติทุกอย่าง แต่ทุ่มเทให้คน ๆ นั้นคนเดียว อาจจะเกี่ยวกับกรรมเก่าที่เนื่องกันมาในอดีต

ถาม : ทำอย่างไรเขาถึงจะตัดกรรมเก่านั้นได้ ?
ตอบ : ผู้ที่จะสามารถตัดกรรมได้ จะต้องถึงที่สุดแล้วเท่านั้น ลองแนะนำเขาเรื่องของการทำบุญใหญ่

เถรี
21-03-2013, 10:19
ถาม : ทำบุญใหญ่ เช่น สมาธิ ภาวนาหรือครับ ?
ตอบ : สมาธิภาวนาได้ แต่ถ้าใครสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ ก็ให้ไปร่วมเป็นเจ้าภาพกับเขาด้วย เรื่องพวกนี้น่าจะระแวงว่าเป็นกรรมเก่ามากกว่า โดยเฉพาะการโดนทำเสน่ห์ก็ต้องมีกรรมเนื่องกันมา ไม่อย่างนั้นเขาทำเราไม่ได้หรอก

ถาม : กรรมที่เคยทำเสน่ห์ให้เขาหรือครับ ?
ตอบ : อาจจะในอดีตเคยสร้างความลุ่มหลงให้แก่ผู้อื่น ชาตินี้ก็เลยโดนผู้อื่นเขาทำบ้าง

ถาม : ที่สงสัยเพราะว่าพี่สาวของตนเอง มีชีวิตลักษณะแบบนี้ โดนเขาโขกสับขนาดนี้ ยังไม่รู้หนาวรู้ร้อน
ตอบ : ลักษณะนั้นเป็น ๑ ในภรรยา ๗ ประเภท ประเภทที่เรียกว่าทาสี เขาโขกเขาสับอย่างไรก็ยอม จะมีวธกาภริยา มีเมียเหมือนเพชฌฆาต ทุบตีทำร้ายสามีเป็นปกติ โจรีภริยา เมียเหมือนโจร ยักยอกสมบัติทั้งหลายในเรือนเป็นว่าเล่น อัยยาภริยา มีเมียเหมือนนาย ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว สขีภริยา มีเมียเหมือนเพื่อน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกอดคอกันไป ภคินีภริยา มีเมียเหมือนน้องสาว ช่างออดช่างอ้อนสารพัด ทาสีภริยา มีเมียเหมือนทาส จะโขกสับด่าว่าอย่างไรก็รับไว้อย่างเดียว

แบบสุดท้ายในความรู้สึกของอาตมาว่าดีที่สุดก็คือ มาตาภริยา เมียดีเหมือนแม่ แทบจะอุ้มชูเลี้ยงดู ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม หายากสุด ๆ ถ้าหาไม่ได้ก็เอาแค่สขีภริยา ส่วนน้องกับลูกก็คล้าย ๆ กัน อยากได้อะไรต้องให้เขา

ที่ว่ามานี้รวมถึงสามีด้วยนะ แต่ว่าคนถามเป็นผู้ชาย พระพุทธเจ้าท่านเลยกล่าวถึงแต่ภรรยา

เถรี
21-03-2013, 10:26
เรื่องพวกนี้พอถามแล้วพระพุทธเจ้าตอบเสร็จ ท่านจะดึงหลักธรรมขึ้นมา ให้คนเบื่อหน่ายคลายกำหนัด หมดความอยากที่จะเกิดอีก ถึงได้สรุปธรรมะของพระองค์ท่านว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่น

ถ้าขืนไปถามศาสนาพราหมณ์ หรือพวกศาสดาลัทธิอื่น ๆ คงได้ด่าพระพุทธเจ้าว่าทำให้ผู้อื่นฉิบหายเสียแล้ว พอถึงเวลาก็ไปบวช ไม่เอาครอบครัว ไม่เอาอะไร ลูกหลานก็ไม่มี เพราะคนเรามองคนละมุมกัน รู้ไหมที่อินเดียทุกวันนี้ประชากรเป็น ๑,๐๐๐ ล้าน ก็เพราะไปยึดหลักธรรมของทางศาสนาฮินดูว่า บุคคลที่ไม่มีลูกไม่มีหลาน ต้องไปตกขุมนรกที่มีชื่อว่าปุตตะ บ้านใครไม่แต่งงานนี่มีสิทธิ์ลงนรกเลย ส่วนบ้านเรานี่ถ้าแต่งงานก็ลงนรกเลย ...(หัวเราะ)...

ความเชื่อในศาสนาเขาเป็นอย่างนั้นเสียแล้ว เขาเชื่อว่าไม่มีลูกหลานสืบตระกูลต้องตกนรก เขาจึงแย่งกันผลิตลูกผลิตหลานกันใหญ่ ประชากรก็เลยเยอะแยะอย่างที่เห็น พระพุทธเจ้าท่านลงไปตรัสรู้ที่ประเทศอินเดีย ก็เพราะว่าความสุขความทุกข์ที่นั่นสุดขั้ว ความเชื่อทางศาสนาเขาก็เป็นแบบสุดขั้ว คือเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตนจนถึงที่สุด กับกามสุขัลลิกานุโยค ปรนเปรอความสุขให้ตนเองจนถึงที่สุด

โดยที่เขาเชื่อว่าทำให้หลุดพ้น คิดว่าทรมานตนเต็มที่แล้วหลุดพ้นได้ เพราะเป็นที่พอใจของพระเจ้า ส่วนอีกด้านคิดว่า ในเมื่อปรนเปรอตนเองจนเต็มที่ เดี๋ยวเบื่อก็เลิกไปเอง ก็จะหลุดพ้นได้

เรื่องของความเป็นอยู่ประชากรก็สุดขั้ว คนที่รวยก็รวยล้นฟ้าไปเลย คนที่จนก็ขนาดอดตายข้างถนนไปเลย แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็เป็นอย่างนั้น ถ้าอยากดูสภาพอินเดียแล้วไม่มีโอกาสไปดูที่ประเทศเขา ให้ไปดูหนังเรื่อง Slumdog Millionaire เด็กที่อาศัยในสลัม เราจะเห็นชัดมากเลยว่ากว่าจะหลุดออกมาได้แต่ละคน ต้องปากกัดตีนถีบขนาดไหน

เถรี
21-03-2013, 11:13
ถาม : ในแต่ละฌานมีประโยชน์อยู่หรือไม่ครับ นอกจากได้ความเงียบสงบ ?
ตอบ : อย่างต่ำที่สุดก็คือสามารถกดกิเลสหยาบ ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ลงได้ ส่วนที่มากกว่านั้นก็คือ กำลังที่ได้มาสามารถใช้ตัดกิเลสไปตามลำดับได้ แต่ถ้าจะตัดระดับพระอนาคามี พระอรหันต์ ต้องได้ฌาน ๔ คล่องตัว ดังนั้น..ฌานแต่ละขั้นล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น เพียงแต่เราเข้าถึงประโยชน์ได้แค่ไหน

ประโยชน์ใหญ่อย่างหนึ่งที่คนทั่ว ๆ ไปมักจะไม่เข้าใจก็คือ ถ้าเราตั้งกำลังใจไว้ก่อนว่าจะตัดกิเลสอะไร แล้วเข้าฌานไป จิตจะตัดให้โดยอัตโนมัติ ตัดรัก ตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลง ตัดอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นการตัดเฉพาะช่วงที่เข้าฌาน หลังจากออกจากฌานมา ถ้าสามารถประคับประคองกำลังนั้นเอาไว้ได้ ก็ยังตัดกิเลสได้อีกชั่วคราว ไม่ใช่การตัดโดยขาดเลย แต่ว่าเป็นการตัดด้วยองค์ฌานนั้น ๆ

เป็นลักษณะของวิขัมภนวิมุตติหรือตทังควิมุตติ แล้วแต่ว่าเราเข้าถึงมากน้อยแค่ไหน อย่างน้อยก็สบายชั่วคราว ไฟไม่เผาเรามาก

แต่คนเราพอไปถึงระดับนั้น บางทีก็เพลิดเพลินกับความสุขที่ปราศจากกิเลสชั่วคราว ก็เลยติดอยู่ในฌาน กลายเป็นติดในรูปราคะกับอรูปราคะไป

เถรี
21-03-2013, 11:30
ถาม : กายวิภาค ?
ตอบ : กายวิภาคจะอยู่ลักษณะการแยกแยะสภาพร่างกาย อาจจะเป็นอาการ ๓๒ หรืออะไรก็ได้ ถ้าเราสักแต่ว่าท่องเฉย ๆ ก็จะเป็นสมถกรรมฐาน แต่ถ้าเรามองเห็นสภาพความเป็นจริงแล้วจะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน

ดังนั้น..เวลาพระอุปัชฌาย์ให้มูลกรรมฐาน เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา ก็มีคนไปถามว่าทำไมพระอุปัชฌาย์ให้แต่สมถกรรมฐาน แสดงว่าทำไม่เป็น ถ้าทำไม่เป็น เอาไปทำเป็นคำภาวนาอย่างเดียวก็ได้แค่สมถะเท่านั้น

เถรี
23-03-2013, 18:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนก็แปลกใจว่าทำบุญแล้วทำไมคนป่วยที่อาการร่อแร่กลับอยู่ต่อ นั่นแสดงว่าเขาจะหมดบุญแล้วเขาก็ได้ต่อบุญ เพราะในเรื่องของอายุขัยมี..หมดอายุเพราะหมดบุญ หมดอายุเพราะหมดกรรม บุญหมดก็ตายได้นะ กรรมหมดก็ตายได้ ถ้าดูตัวอย่างก็คือพระลูกศิษย์พระสารีบุตร แต่ละวันท่านกินข้าวได้ไม่เกิน ๗ เม็ด นั่นกรรมเลี้ยงไว้ ๒๐ กว่าปี วันนั้นสำเร็จอรหันต์หมดกรรมแล้ว มรณภาพไปพระนิพพานเลย เขาเรียกว่าหมดกรรม

นอกจากนี้แล้วยังมีหมดอายุเพราะหมดอาหาร หมดอาหารนี่พวกเราเข้าใจ เพราะเห็นชัด"

เถรี
23-03-2013, 19:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "จริง ๆ แล้วเราจะหัดงานให้เด็ก ๆ ไม่ยากหรอก ประเภทถูบ้าน ล้างจาน ซักผ้า ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ให้ทำเหมือนเล่น พอเด็กคิดว่าได้เล่นแล้วเขาจะสนุก ทำไปเรื่อย สมัยเด็ก ๆ พี่สาวคนที่สองของอาตมามีจิตวิทยาแบบนี้ ชวนน้อง ๆ เล่น แต่ความจริงก็คือใช้งานพวกเรานั่นแหละ พอเด็ก ๆ เห็นว่าได้เล่นก็เล่นสนุกอย่าบอกใคร เพราะฉะนั้น..จะหัดงานเด็กให้ทำเหมือนเล่น ถ้าเด็กเห็นว่าเล่นจะให้ความร่วมมือเอง"

เถรี
23-03-2013, 19:22
ถาม : ......เป็นธรรมภายนอก ?
ตอบ : เหมือนเดิม...ถือว่าร่างกายนี้เป็นภายนอก อารมณ์ใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นภายใน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเรา สิ่งเหล่านี้จะยึดหน่วงร่างกายของเราให้กระทำคล้อยตามไปหรือเปล่า ถ้าร่างกายคล้อยตามก็เป็นภายนอก แต่ถ้าสภาพจิตใจก็เป็นภายใน

จริง ๆ แล้วในเรื่องของมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นหลักธรรมสำหรับมนุษย์ต่างดาว เขาว่าแคว้นกุรุปัจจุบันคือกรุงบอมเบย์ แสดงว่าคนมีบุญเขาได้อยู่สถานที่สำคัญตั้งแต่โบราณเลย

สมัยที่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ก็จะเอาบรรดาคนจากทวีปอื่น ๆ มาอยู่ที่โลกนี้ เป็นการแสดงพระราชอำนาจ พวกชาวอุตรกุรุทวีปก็เอามาไว้ที่แคว้นกุรุ ก็เลยทำให้ความฉลาดของเขามีมากกว่า ถึงได้บอกว่าแขกจะมีความฉลาดมาก แต่ความฉลาดในความรู้สึกของพวกเราเกี่ยวกับแขกอินเดียก็คือ มักจะออกไปทางเจ้าเล่ห์ จนกระทั่งเขาบอกว่า ถ้าเจองูกับแขกให้ตีแขกก่อน แล้วก็จะมีเสียงประท้วงว่า “อีนี่ตีฉานทำไมนะ ? แขกน่ารักนะนาย”

เถรี
23-03-2013, 19:28
ถาม : เขาบอกว่าแคว้นกุรุพูดถึงสติปัฏฐาน ?
ตอบ : เหลือเชื่อนะ...เขาบอกว่านกแขกเต้าโดนเหยี่ยวโฉบไป สามเณรีกระโดดตบมือร้องเสียงดัง เหยี่ยวตกใจปล่อยนกแขกเต้า พอนกแขกเต้ากลับคืนมา ภิกษุณีถามว่า “ตอนที่โดนเหยี่ยวโฉบไปรู้สึกอย่างไร ตกใจอกสั่นขวัญแขวนหรือเปล่า ?” นกแขกเต้าบอกว่า “รู้สึกเหมือนกับร่างกระดูกกำลังจะเอาร่างกระดูกไปกิน” อะไรจะสุดยอดปานนั้น เขาเห็นตลอดเวลาจริง ๆ นั่นขนาดเป็นนกนะ ชาติต่อไปไม่ได้เกิดเป็นนกแน่นอน

ถ้าไม่ได้อยู่ในสภาพสัตว์เดรัจฉาน นกแขกเต้าตัวนั้นน่าจะเข้าถึงธรรม คราวนี้พออยู่ในสภาพสัตว์เดรัจฉาน ความหนักของภพภูมิไปกั้นอยู่ กรรมไปกั้นอยู่ แต่ชาติต่อไปถ้าไม่ได้เป็นเทวดาก็คงเป็นพรหมไปเลย

ถาม : ถ้าอย่างนั้นสภาพจิตเขายอมรับแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ลองคิดดูว่ากำลังจะถึงแก่ชีวิต แต่ไม่ได้คิดถึงความตายเลย คิดถึงแต่กรรมฐานที่ตัวเองยึดอยู่ เหยี่ยวจะเอาไปฉีกกินเป็นชิ้น ๆ อยู่แล้ว ยังนึกว่าร่างกระดูกกำลังจะเอาร่างกระดูกไปกิน เพราะนกแขกเต้าฝึกอัฏฐิกอสุภ ก็คือการพิจารณากระดูกเป็นปกติ สงสัยเห็นเจ้านายกินนกทอดกรอบบ่อย คิดว่าต้องพิจารณาเอาไว้ เดี๋ยวเราจะโดนบ้าง..!

เถรี
23-03-2013, 19:36
ถาม : ......ธรรมภายในคือโพชฌงค์ ?
ตอบ : เป็นสติที่ดำเนินไปภายในหรือดำเนินไปภายนอก แบบเดียวกัน ก็เราจะดูว่าเราจะดูที่ไหน ดูที่ยึดโยงกับร่างกาย การที่ร่างกายไปกระทำ อย่างเช่น การเคลื่อนไหวอิริยาบถอะไรต่าง ๆ หรือว่าเราจะดูสภาพจิตที่ดำเนินไปภายใน

จะว่าไปแล้วที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เป็นสิ่งที่ละเอียดเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะย้ำแล้วย้ำอีก กว่าอาตมาจะเขียนมหาสติปัฏฐานสูตรเสร็จนี่เป็นเล่ม ๆ เลย เพราะว่าเป็นสูตรเดียวที่อ่านไม่จบ อ่านแล้วอยากวางมือไปปฏิบัติ อ่านกี่ครั้งก็อ่านไม่จบ คราวนี้จะทำอย่างไร พอดีว่าสอบนักธรรมเอก ตอนนั้นมาลาเรียกำเริบอาตมาก็ไม่รู้ เพราะหมอบอกว่าเป็นไวรัสลงตับ เรี่ยวแรงจะนั่งยังไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ จะสอบอยู่วันสองวันแล้ว ท้ายสุดก็เลยบนพระท่าน ว่าถ้าสอบได้จะเขียนมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยลายมือตัวเอง เป็นการบังคับว่าต้องอ่านให้จบ

คราวนี้เวลาเขียนจะเขียนย่อไม่ได้ ต้องเขียนเต็ม ที่ท่านย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในบาลีที่เขาแปลมา เขาจะตัด ๆ ลงไปยาลน้อยเอาไว้เป็นตัวย่อ อาตมาต้องไปเขียนเต็มทั้งหมด มันในชีวิตมากเลยช่วงนั้น นี่เฉพาะแค่บาลี ถ้าแปลไทยด้วยตายแน่

ท่านบอกว่า อิติ อัชฌัตตังวา พะหิทธาวา เห็นภายในบ้าง เห็นภายนอกบ้าง บอกชัดเลย แต่ท้ายที่สุดก็สรุปตรงที่ว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราไม่ควรยึดอะไร ๆ ในโลกนี้

เถรี
23-03-2013, 19:40
ถาม : สมาธิที่ไม่มีนิมิต คือ ?
ตอบ : ไม่อาศัยสิ่งอื่นเป็นเครื่องยึดโยง เอาแค่ความสงบภายในเท่านั้น เขาเรียกสมาธิที่ไม่มีนิมิต

เถรี
25-03-2013, 13:26
ถาม : ทำบุญกับสมเด็จองค์ปฐมส่งผลเร็วมากเลยค่ะ ตอนสุดท้ายเจอกับตัวเอง มีงานเรียกให้ทำทั้งเดือน ก็เป็นเรื่องแปลก ?
ตอบ : พุทธานุภาพไม่มีประมาณอยู่แล้ว สำคัญตรงที่ว่าเรามีศรัทธาเลื่อมใสขนาดไหน

เถรี
25-03-2013, 13:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความเข้าใจตอนแรก ก็คือ ทองผาภูมิมีคนต่างด้าวเยอะมาก น่าจะเป็นมอญ เป็นพม่า เป็นทวาย เป็นกะเหรี่ยง ปรากฏว่าวันตรุษจีนมีแต่เสียงประทัดรอบวัดเลย เดินบิณฑบาตก็ได้ยินแต่เสียงประทัด แล้วญาติโยมเปิดบ้านใส่บาตรกันมากผิดปกติ ส่วนใหญ่รอกันตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสว่าง แต่ปีหนึ่งใส่ครั้งเดียว ใส่เฉพาะวันตรุษจีน..!

หลายบ้านมีการเซ่นไหว้แม่ย่านางรถ มีการจัดโต๊ะข้าวปลาอาหาร บางบ้านใช้วิธีติดเครื่อง เปิดไฟด้วย ในความรู้สึกของอาตมาสรุปว่าพระสงฆ์กับรถราคาเท่ากัน เขาไหว้พระแล้วก็ใส่บาตร และเขาไหว้รถแล้วก็เซ่นโต๊ะใหญ่กว่าที่ใส่บาตรพระอีก นั่นทั้งโต๊ะเลยนะ..ส่วนพระเขาใส่ถุงเดียว..!

เดินไปก็นึกขำ ๆ ว่า บ้านเราเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่บุคคลกลับเหมือนกับฮินดู คือถือเทวดาเป็นใหญ่ ไหว้เจ้า ไหว้แม่ย่านางรถ ลองสังเกตดูในระยะหลัง ๆ วัดวาอารามหลายแห่งมีเทพเจ้าของฮินดูไปสถิตอยู่อย่างสง่างาม อย่างเช่น มีศาลพระพรหม มีตรีมูรติ มีพระพิฆเณศวร์

ในเรื่องของเทวดาเราจะเคารพกราบไหว้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเป็นเทวตานุสติ แต่ถ้าไม่ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนจะกลายเป็นศาสนาอื่นปนเข้ามาก โดยเฉพาะในปัจจุบัน พระผู้ใหญ่บางรูปถึงกับสร้างอุทยานพระพิฆเณศวร์ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบันไดให้ศาสนาอื่นเหยียบขึ้นไปโต ผู้ที่ลงทุนก็คือพุทธศาสนา แต่พอถึงวันเกิดพระพิฆเณศวร์ บรรดาชาวฮินดูก็แห่เข้าไปทำบุญที่วัด กลายเป็นศูนย์รวมใจของชาวฮินดูแต่อยู่ในวัดพุทธ"

เถรี
25-03-2013, 13:33
"มาคิดว่าในยุคของเรามีการปะปนของศาสนามากจนสับสนไปหมด ถ้าเนิ่นนานไปกว่านี้ สัจธรรมแท้ ๆ ของพระพุทธเจ้าจะเหลือสักเท่าไร ? แม้ตอนนี้บางสำนักก็ใช้อัตโนมติ คือความเห็นของอาจารย์เป็นใหญ่ สอนตามที่คิดว่าใช่ ไม่ได้สอนตามพระไตรปิฎก ในเมื่อสอนตามที่คิดว่าใช่ โอกาสที่จะหลุดออกนอกทางไปก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

วัดพุทธในสิงคโปร์ ทั้ง ๆ ที่เป็นวัดเถรวาทหรือวัดไทย ไม่ว่าจะเป็นสิงค์โปร์ มาเลเซีย หรืออินโดนิเซีย จะต้องมีศาลพระพรหม จะต้องมีเจ้าแม่กวนอิม ไม่อย่างนั้นแล้วโยมไม่เข้าวัด เมื่อมีศาลพระพรหม เราก็เป็นส่วนของฮินดู เจ้าแม่กวนอิมก็มหายาน แต่เป็นวัดเถรวาทเต็ม ๆ เพราะว่าคนพุทธส่วนใหญ่ในมาเลเซีย สิงค์โปร์ หรืออินโดนิเซีย เป็นคนจีนแทบทั้งนั้น ถ้าเข้าไปแล้วไม่มีเจ้าแม่กวนอิม ก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่วัดของเขา แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเคารพพระพรหมที่เอราวัณ วัดทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องสร้างศาลพระพรหมไว้ด้วย เพื่อที่จะไม่ต้องเดินทางไกลมาประเทศไทย

พุทธศาสนาของเราเพิ่ง ๒,๕๕๖ ปี ถ้าจะนับตั้งแต่วันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ ๒,๖๐๐ ปี ก็แปลว่ายังเหลืออีก ๒,๔๐๐ ปี ก็เกือบ ๆ ครึ่ง แต่ศาสนาของเราโดนแปลกปลอม ปลอมปน ปะปน แม้กระทั่งคำสอนก็มีในส่วนอัตโนมติเยอะมาก ถ้านานไปสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ย่อมมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเรื่องที่น่าหนักใจว่า ต่อไปจะเหลือนักปฏิบัติที่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ สักเท่าไร ? แล้วในช่วงนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็คงต้องรับภาระหนักมากเป็นพิเศษ ที่จะยกเอาหลักธรรมแท้ในพระพุทธศาสนามาให้ญาติโยมได้ปฏิบัติกัน"

เถรี
25-03-2013, 13:37
"ศาสนาฮินดูมีรากฐานมาตั้งแต่โบราณ จะว่าไปแล้วศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่น่ายกย่อง เพราะเป็นศาสนาที่เข้าถึงระดับยอดของเรามาตั้งแต่แรกเลย แม้กระทั่งพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เป็นพระราชพิธี เท่าที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา จนมาถึงปัจจุบัน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพิธีพราหมณ์ทั้งนั้น แต่เมื่อเข้าถึงระดับยอดแล้วศาสนาฮินดูไม่ได้ครอบงำ ถ้าฮินดูฉวยโอกาสใช้พระราชอำนาจในการครอบงำประชาชน คิดว่าศาสนาฮินดูจะมีศาสนิกมากมายมหาศาลทีเดียว

ที่เห็นชัดเจนที่สุดในปัจจุบันคือพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีพราหมณ์แท้ ๆ เลย ถ้าเราอ่านพุทธประวัติ พระเจ้าสุโทธนะก็ทำพิธีแรกนาขวัญ ที่พระพุทธเจ้าถูกพี่เลี้ยงทิ้งใต้ต้นหว้า แล้วพระองค์ท่านก็เลยเจริญพระกรรมฐาน จนกระทั่งบ่ายคล้อยไปแล้วเงาต้นหว้ายังตั้งตรงเหมือนเดิม เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ไม่ให้ร้อน

คราวนี้พอศาสนาฮินดูอยู่กับสังคมไทยมานานแสนนาน ทำให้คนไทยของเราติดพิธีกรรมของฮินดูมาโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพิธีการบวงสรวงต่าง ๆ ก็เป็นของฮินดู แต่คราวนี้หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านเอามาปรับเป็นการไหว้พระแทน แต่พวกเราก็ยังติดรูปแบบของฮินดูอยู่โดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น การสร้างรูปหลวงปู่ หลวงพ่อใหญ่ ๆ ลักษณะนั้นเป็นการยกบุคคลขึ้นเป็นเทพเจ้าให้คนได้สักการบูชา เมื่อคนไปสักการบูชา เดี๋ยวก็อดไม่ได้หรอก ไปงุบงิบบนบานศาลกล่าวตรงนั้น สรุปว่าเจตนาแรกเริ่มตั้งใจให้เป็นพุทธานุสติหรือสังฆานุสติ แต่พวกเราทำเสียหมด พอถึงเวลาไปไหว้ ไปบน ไปร้องขอกัน"

เถรี
25-03-2013, 13:39
"เรื่องของการบนบานศาลกล่าวหรือการร้องขอเป็นของฮินดู แต่พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่า การยึดในเทวตานุสติจริง ๆ แล้วเป็นของดี พระองค์ท่านจึงไม่ได้ห้ามตรงจุดนี้ แต่พระองค์ท่านใช้วิธีปรับ ว่าเราจะบูชาในเทวตานุสติอย่างไร ก็ให้ปรับให้เข้ากับคุณสมบัติของเทวดาระดับนั้น ๆ อย่างเช่น จะบูชาเทวดา เราต้องมีศีล ๕ ต้องมีหิริโอตัปปะ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ แม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นเทวดาได้

ถ้าเราจะบูชาพระพรหม เราก็ต้องมีศีล ๕ มีพรหมวิหาร ๔ มีฌานสมาบัติ ถ้าเราทำอย่างนี้เราก็เป็นพระพรหมเองได้ หรือเราจะบูชาเทวดาผู้บริสุทธิ์ก็คือพระวิสุทธิเทพ ก็คือพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็มอบศีล สมาธิ ปัญญา ให้พวกเราใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ก็คือ มรรค ๘ นั่นเอง ถ้าหากพวกเราทำได้ดังนั้น ก็เป็นการบูชาที่ถูกต้อง สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้"

เถรี
25-03-2013, 13:42
"เมื่อพระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีการปรับอย่างนี้ พวกเราแทนที่ยึดหลักธรรมในการปฏิบัติ เพื่อให้ตนเองได้เป็นเทวดา ได้เป็นพระพรหม ได้เป็นพระวิสุทธิเทพ เรากลับไปใช้วิธีการของศาสนาฮินดู ก็คือบนบานศาลกล่าวร้องขอ เพราะศาสนาฮินดูเชื่อว่า ถ้าทำอย่างนั้นจะทำให้เทวดาโปรดปราน แล้วก็จะประทานพรให้ ก็เลยทำให้พระธรรมบริสุทธิ์ที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้แก่พวกเรา กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป ก็คือโดนปลอมปนกับหลักการปฏิบัติของศาสนาอื่น ด้วยการกระทำที่เราก็ไม่รู้ว่า เราทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมลงไปเอง

ไปนึกถึงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ว่า บุคคลต้องการแก่นไม้ แต่ไม่รู้จักแก่นไม้ เมื่อไปถึงก็ตัดเอากิ่งและใบไป คิดว่านั่นเป็นแก่นไม้ แต่ไม่รู้จักแก่นไม้ ไปถึงก็ถากเอาเปลือกไปแล้วถือว่านั่นเป็นแก่นไม้ บุคคลอีกผู้หนึ่งต้องการแก่นไม้ ไม่รู้จักแก่นไม้ ก็ถากเอากระพี้ไปคิดว่าเป็นแก่นไม้ จนกระทั่งท้ายสุด บุคคลผู้รู้จักแก่นไม้ ถึงเวลาก็ถากเอาไปแต่แก่นไม้ สรุปก็คือว่าจะติดอยู่ในระดับของศีล สมาธิ ต่าง ๆ ลงไป ตราบใดที่ยังเข้าไม่ถึงวิมุติญาณทัศนะ พระพุทธเจ้ายังไม่ถือว่าเข้าถึงแก่นของพุทธศาสนา ก็แปลว่าบุคคลที่เข้าถึงแก่นของพุทธศาสนา ต่ำสุดต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป

เพราะวิมุติญานทัศนะเป็นเครื่องรู้เห็นเพื่อความหลุดพ้น ถ้ายังไม่ใช่พระโสดาบันขึ้นไป ถือว่ายังคลุกอยู่กับโลกเต็มที่ โอกาสหลุดพ้นมีน้อยมาก ดังนั้นหาแก่นไม้กันไว้ ถ้าผิดก็เอามาตีหัวกันเอง ถ้าหาถูกจะได้เอาไปใช้งาน"

เถรี
25-03-2013, 13:42
ถาม : หลักการอธิษฐานในศาสนาพุทธ จะต้องมีข้อยึดอย่างไรจึงจะเป็นอธิษฐานบารมี ?
ตอบ : อธิษฐานบารมี..อันดับแรกสร้างบุญใหญ่ให้เกิดก่อน เมื่อเกิดแล้วตั้งใจว่าจะให้ผลบุญนั้นเป็นอย่างไร

เถรี
26-03-2013, 09:55
ถาม : ถ้าเพื่อนเขาแต่งงานวันผิด เราไปบอกเขาให้เปลี่ยน แล้วเขาไม่เชื่อ ?
ตอบ : ก็เรื่องของเขา อย่าไปยุ่งกับเขาสิ

ถาม : ถ้าจะแก้ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปช่วยเขาแก้ เขาแก้กันเองได้..!

ถาม : ไม่มีทางแก้เลยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีทางแก้ อย่าเสือกไปยุ่งกับเรื่องของเขา..! ปล่อยวางบ้าง อะไรที่แก้ไขไม่ได้ รู้แล้วไม่พูด เขายังได้กำลังใจ ถ้ารู้แล้วไปพูด เขาเสียกำลังใจ จะพังเร็วกว่านั้น

พวกเราส่วนใหญ่ความพอดีไม่มี ในเมื่อความพอดีไม่มี ก็มักจะดิ้นรนในสิ่งที่เกินกำลัง แล้วก็ทำให้ทุกข์มาก ในเมื่อหมดทางแก้ไข เราอย่าไปยุ่งก็หมดเรื่อง เรียกว่าหัดปล่อยวางเสียบ้าง อย่างไรเสียเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนวันแต่งงานแน่ แล้วจะไปยุ่งกับเขาทำไม ?

เถรี
26-03-2013, 10:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีข้อธรรมอีกหมวดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้ทั่ว ๆ ไป คือพระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านสอนพรหมเทวดา พรหมเทวดาถือว่าเป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล เขามีความเป็นทิพย์อยู่ ฟังเพียงหัวข้อธรรมก็สามารถรู้โดยตลอด ว่าในหัวข้อธรรมนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง

ในปฐมสมโพธิกถาได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าเมื่อเสวยวิมุตติสุข ๔๙ วัน ทรงใช้เวลาในการพิจารณาทบทวนพระอภิธรรมถึง ๗ วัน ด้วยระดับความรู้รอบเกินกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์อย่างพระพุทธเจ้า ยังใช้เวลาสรุปประมวลผล ๗ วัน แล้วลองคิดดูว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างเราจะไหวไหม ? แค่เราฟังธรรม ๗ วันก็อดข้าวตายแล้ว นั่นขนาดท่านสอนพรหมเทวดายังว่าเสีย ๓ เดือน แล้วจะมีใครจะสามารถฟังอภิธรรมตั้งแต่ต้นยันปลายได้บ้าง แล้วรับประกันได้ไหมว่าฟังแล้วจะรู้เรื่อง เข้าใจ แล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้ผล

ดังนั้น..ในปัจจุบันนี้มีบางแห่งบางสำนัก สอนในเรื่องของพระอภิธรรม แล้วมีประกาศนียบัตรให้ด้วย อาตมาก็ว่าเข้าท่าดีเหมือนกันนะ ไปนึกถึงปู่สัจจะ ปู่สัจจะชื่อเล่นว่าไล หลวงปู่อุตตมะบอกว่า “โยมไล..เรียนอภิธรรมเดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ” เขารู้มากกว่าพระ แล้วปู่สัจจะเขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ คือมักจะคิดว่าตัวเองรู้มากกว่าพระ

มีอยู่ครั้งหนึ่งในงานหลวงพ่อสาย ปู่สัจจะอาราธนาให้สวดธัมมนิยาม ส่วนใหญ่พระท่านสวดไม่ได้ แกก็เลยเอาหนังสือมนต์พิธีไปไล่แจก เป็นที่อับอายขายหน้ามาก เพราะพระระดับเจ้าคณะตำบลและเป็นเจ้าอาวาสทั้งนั้น สงสัยว่าถ้าปู่สัจจะตายคงเหลือแต่พระวัดท่าขนุนไปสวดให้ วัดอื่นเขาคงไม่รับหรอก"

เถรี
26-03-2013, 10:30
ถาม : การทำใจให้ผ่องใสในกรณีที่มีทุกข์เข้ามารอบด้าน ควรจะปล่อยวางอย่างไร คิดอย่างไรไม่ให้ทุกข์ และไม่ให้ใจเศร้าหมอง ?
ตอบ : เขาให้เลิกคิด ไม่ใช่คิดอย่างไรไม่ให้ใจเศร้าหมอง คิดเมื่อไรก็เจ๊งเมื่อนั้นแหละ..!

หยุดคิดเป็นไหม ? คนเราทุกวันที่ทุกข์อยู่ ส่วนใหญ่แล้วทุกข์เพราะความคิดตัวเอง เพราะความคิดของเราที่มักจะเอาไปเปรียบเทียบกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย น่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ว่าควรจะเป็นเช่นนั้น ควรจะเป็นเช่นนี้ เป็นการส่งกำลังใจออกนอก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นสาเหตุของความทุกข์ เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็ต้องหยุดคิด

การที่จะหยุดคิดได้ ต้องหยุดความรู้สึกของเราเอาไว้แค่ลมหายใจเข้าออก ซักซ้อมกำลังใจเราให้เกาะลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ ถ้ากำลังใจทรงตัวถึงสมาธิ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไฟเผาเราอยู่ จะโดนกำลังของสมาธิกดดับลงชั่วคราว ความทุกข์จะไม่ปรากฏ กำลังใจก็จะผ่องใส

เพราะฉะนั้น..อย่าถามว่าคิดอย่างไร เพราะตอนที่กิเลสรุมตีนี่คิดไม่ทันหรอก เราต้องหยุดคิด ควรจะซักซ้อมบ่อย ๆ ทุกเวลาที่มีโอกาส ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเราไปรอ เวลาเจอข้าศึกแล้วค่อยไปซ้อม ไม่ทันรับประทานหรอก อย่างเช่นคนที่กลัวตาย ต้องซักซ้อมถึงความตายอยู่บ่อย ๆ ที่ท่านพุทธทาสภิกขุใช้คำว่า "ตายก่อนตาย" ในเมื่อซักซ้อมนึกถึงความตายอยู่บ่อย ๆ พยายามทำใจของตนให้ชิน ว่าความตายต้องมาถึงเราอย่างแน่นอน เพราะปกติธรรมดาเป็นเช่นนั้น

ถ้าซักซ้อมจนชิน จะไม่เห็นว่าความตายน่ากลัว บางทีลืมกลัวไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราไม่ซ้อม ปุบปับจะให้คิดอย่างนั้นได้เลย รอไปก่อนเถิด เพราะฉะนั้น..หยุดคิดให้เป็นนะจ๊ะ หยุดไม่เป็น เย็นไม่ได้ ไม่ได้เล่นสำนวนนะ..นี่เป็นเรื่องจริง

เถรี
26-03-2013, 10:36
ถาม : ตอนปฏิบัติธรรมที่วัด หนูภาวนาไป จิตหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วก็มีเสียงท่านเคาะหัว ?
ตอบ : หลายต่อหลายคนที่ไปปฏิบัติธรรม โดนเคาะหัวแล้วชอบใจ ตอนที่เดินอยู่อาตมาจะดูไปเรื่อย ถ้าเห็นว่าสติเริ่มขาดก็จะเคาะสักโป๊กหนึ่ง ถ้ายังไปตามองค์ฌานหรือไปตามการภาวนาได้จะไม่ไปยุ่งด้วย เพราะฉะนั้น..คนไหนที่โดนให้รู้ไว้ด้วยว่าสติขาดแล้ว ไม่รู้เรื่องแล้ว คราวนี้คนที่จะทำอย่างนั้นควรที่จะรู้จริงสักนิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นถ้าเขาทรงฌานตามปกติ แล้วเราไปเคาะให้เขาหลุดออกมานี่..กรรมสาหัสเลยนะ

ถาม : คุยกับพี่อีกคนหนึ่ง เขาก็บอกว่าเกือบโดนเขกเหมือนกัน ?
ตอบ : เพราะเราขาดการฝึกซ้อมให้ชำนาญ เมื่อเราขาดความชำนาญ ถึงเวลาสภาพจิตไม่สามารถจะก้าวล่วงนิวรณ์ไปสู่ความผ่องใสได้เลย หรือไม่ก็พอเข้าสมาธิไปได้หน่อยหนึ่ง เผลอสติขาด..ก็หลุดอีก บางคนก็ตกใจ อยู่ ๆ หลุดก็สะดุ้งขึ้นมา อันนั้นแหละไม่ค่อยดี ถ้าสมาธิมั่นคงหน่อย พอโดนแตะรู้สึกตัว ก็เริ่มภาวนาต่อไปตามปกติ เอาเป็นว่าช่วยเท่าที่ช่วยได้ก็แล้วกัน มากกว่านั้นก็ช่วยไม่ได้หรอก ยกเว้นต้องใช้ไม้หน้าสาม..!

เถรี
26-03-2013, 10:42
ถาม : ตอนตั้งท่าทำสมาธิมักจะไม่ค่อยได้ มักจะได้ตอนเผลอ ?
ตอบ : เพราะตั้งใจมากเกินไป เหมือนอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาสอนมโนมยิทธิ ท่านบอกว่าอย่าตั้งใจมากเกินไป คนตั้งกำลังใจมากเกินไปเหมือนกับคนที่ยืดคอเลยช่อง ประเภทตั้งใจน้อยเกินไปก็ต่ำกว่าช่อง ไม่สามารถจะไปตรงนั้นได้ ต้องพอดีช่องถึงไปได้

แต่คำว่าพอดีต้องเจอด้วยตัวเอง ถึงจะรู้ว่าแค่ไหนคือพอดี เพราะพอดีของแต่ละคนไม่เท่ากัน มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีต และสิ่งที่เราขวนขวายในปัจจุบัน พอรวมกันขึ้นมาก็จะมีจุดพอดี ซึ่งไม่เท่ากับคนอื่น ถ้าใครทำมาใกล้เคียงกัน ถึงเวลาก็มักจะได้อะไรเหมือน ๆ กัน คล้าย ๆ กัน ในเวลาใกล้ ๆ กัน ถ้าทำมาไม่ใกล้เคียงกันก็ต่างคนต่างไป บางคนก็หลายปี บางคนก็ไม่นาน

เวลาเราอ่านพระไตรปิฎกจะเห็นว่า บางท่านพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็บรรลุมรรคผลเลย แต่บางท่านต้องผ่านไปอีก ๗ วัน ๑๕ วัน หรือไม่อย่างท่านพระอนุรุทธก็ใช้เวลา ๗ ปี หรือไม่ก็พระอานนท์ตั้งหลายปี พระอานนท์นี่น่าเห็นใจ เพราะว่าท่านทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐากดูแลพระพุทธเจ้า แค่จัดคิวให้คนเข้าพบพระพุทธเจ้าก็ไม่มีเวลาเหลือแล้ว ไหนจะต้องเรื่องส่วนตัวอีก จนท่านไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ทรงความเป็นพระโสดาบันอยู่นานมาก

พระอานนท์ท่านบวชหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วหลายปีเหมือนกัน ต้องบอกว่าอธิษฐานมาเพื่อความเป็นพุทธอุปัฏฐาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ต่อให้พุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าในอดีตก็ดี ในอนาคตก็ดี แม้ว่าพึงมีก็ไม่เกินอานนท์นี้” พูดง่าย ๆ ว่าท่านทำหน้าที่ของท่านได้เต็มที่แล้ว ในอดีตเคยทำได้แค่ไหนพระอานนท์ก็ทำได้แค่นั้น ในอนาคตจะทำได้แค่ไหนก็ไม่เกินที่พระอานนท์ได้ทำไว้แล้ว

พระอานนท์อายุยืนมาก ปรินิพพานตอนอายุ ๑๒๐ ปี แปลว่าอยู่มาหลังพุทธปรินิพพานอีก ๔๐ ปีได้ ตอนช่วงนั้นจะมีการสืบสายธรรมะมา มีสายของพระมหากัสปปะ สายของพระมหากัจจายนะ สายของพระโมคคัลลานะ สายของพระสารีบุตร สายของพระอานนท์ แต่พอมาระยะหลัง ๆ ลูกศิษย์สายของพระมหากัจจายนะกับสายของพระอานนท์ มีการบันทึกหลักธรรมเป็นตัวอักษร ก็เลยมีการตกทอดมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะทางสายพระมหากัจจายนะ ตกทอดมาเป็นตำรามูลกัจจายน์ นักเรียนบาลีเจอเข้า..อ้วกทุกราย

เมื่อเช้าได้คุยกับมหาเบิร์ธ ถึงกับบอกว่า เราเรียนกันแค่ผิว ๆ เท่านั้น ถ้าเจอบาลีไวยากรณ์ชั้นสูงกับพระสูตรนี่ ต้องท่องกันหูดับตับไหม้กว่านี้อีก..!

เถรี
26-03-2013, 10:43
ถาม : หนูสงสัยว่าปฏิบัติจริงจัง หมายความว่า ให้เราพยายามรู้ลมหายใจเข้าได้ตลอดเวลา หรือแค่ตั้งหน้าตั้งตาทำจริงจัง ไม่ต้องทำอะไร นั่งแต่ในกรรมฐาน ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ แต่ให้สติรู้อยู่กับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก คนที่จะทำอย่างนี้ได้อย่างน้อยต้องทรงปฐมฌานละเอียดได้คล่องตัว สภาพจิตจะรู้และภาวนาเองโดยอัตโนมัติ เรามีหน้าที่กำหนดสติประคับประคองไว้ตลอดเวลาก็พอ

ถาม : อย่างนี้ก็เป็นพระโสดาบันเลยสิครับ ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่ากำลังของพระโสดาบัน แค่ปฐมฌานก็พอแล้ว ความอยากจะเป็นพระโสดาบัน ทำเอาอาตมาปล้ำปฐมฌานอยู่หัวไม่วางหางไม่เว้น ๓ ปีเต็ม ๆ พอได้เข้าจริง ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นพระโสดาบันเลย

เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเรื่องของสมาธิ กับเรื่องของกำลังใจเข้าถึงธรรมเป็นคนละเรื่องกัน แต่กำลังใจที่เข้าถึงธรรมต้องอาศัยกำลังสมาธิช่วยในการตัดกิเลส เสียเวลาไปสู้อยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ใครจะอึดขนาดนั้น ทำเท่าไรไม่ได้สักที แต่จะต้องการจะเอาให้ได้ ไม่ยอมถอย ถ้าความบ้าไม่พอนี่ก็เลิกกันไปนานแล้ว

เถรี
26-03-2013, 10:46
ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะเป็นอย่างนั้น ก็คือสภาพของสังคม กระแสบริโภคนิยมทำให้คนใจร้อนใจเร็ว ไม่สามารถจะค่อย ๆ สั่งสมอะไรได้ ถึงเวลาปฏิบัติธรรมก็อยากจะบรรลุตอนนั้นเลย การไปหาพระหาเจ้าในความหมายของพวกเขา โดยเฉพาะพวกที่มาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ อาตมาเบื่อที่สุด มาลักษณะจะให้เราเสกเพี้ยงเดียวให้เขาเป็นพระอริยเจ้าไปเลย ถ้าทำอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าพาเราไปหมดแล้ว ท่านเสกทีเดียวก็ไปหมดแล้ว คงไม่เหลือพืชเหลือพันธุ์มาถึงเราหรอก ไปพระนิพพานกันเกลี้ยงแล้ว..!

แต่เขาเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ ก็เลยกลายเป็นคนรุ่นใหม่ไม่มีความอดทน แล้วถ้าความอดทนไม่พอ การที่จะเข้าถึงธรรมจะน้อย เราต้องดูว่าโอวาทปาฏิโมกข์ ก็คือคำสั่งสอนที่ประกาศอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านขึ้นมาประโยคแรกก็ ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา

ขันตี คือ ความอดทน ความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่งของนักปราชญ์ ก็คือใช้ความอดทนอดกลั้นในการเผาผลาญกิเลส ถามว่าต้องทำถึงขนาดไหน ต้องถึงขนาดเผาเหล็กละลาย ไม่อย่างนั้นเผากิเลสไม่ตายหรอก

คราวนี้พอเผาไปชั่วนาตาปี ความร้อนที่เผากิเลส ก็ทำให้กิเลสดิ้นรน จะตายแล้วนี่ แต่คราวนี้พอกิเลสโวยวายว่าจะตาย กิเลสรัก โลภ โกรธ หลง อาศัยตัวเราอยู่ เราก็ไปหลงประเด็นว่าเราเองจะตาย เราก็เลยเลิกปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะตาย แต่ความจริงเราโดนกิเลสหลอก ดังนั้น..ต่อไปอย่าไปเชื่อกิเลสนะ ถ้ากิเลสบอกว่าจะตาย เออ..! ให้ตายไปเลย แล้วก็ลุยต่อไป หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านถึงได้บอกอยู่เสมอว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ถ้าข้ามความตายไม่ได้เข้าไม่ถึงธรรมหรอก

เถรี
27-03-2013, 09:21
พระอาจารย์พูดถึงพระนาคปรก ๙ เศียรทองคำว่า "ชนวนเก่ามีตะกรุดมหาสะท้อน เนื้อทองคำอยู่ ๒ ดอก และมีตะกรุดโสฬส เนื้อทองคำของหลวงปู่เอี่ยม ๑ ดอก อาตมาลอกเอาผงตะกรุดโสฬสของหลวงปู่เอี่ยมที่พอกไว้ข้างนอก ไปผสมเป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๑ แต่ทองคำเอามาหลอมเป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ คราวนี้พอเอาชนวนมาหล่อพระนาคปรกลอยองค์ ก็เลยกลายเป็นติดไปด้วย

มีเพื่อนพระที่เล่นเครื่องรางของขลังท่านหนึ่งบอกว่า ตะกรุดโสฬสเนื้อทองคำของหลวงปู่เอี่ยมท่านไม่น่าจะทำ อาตมาถามว่า “แล้วที่ของผมคืออะไร ? ” ท่านบอกว่า “พระอาจารย์ลองคิดให้ดี ๆ นะครับ พระพุทธเจ้าห้ามพระจับเงินจับทอง แล้วพระสมัยก่อนท่านเคร่งครัดกว่าเราเยอะ จะเห็นว่าท่านทำตะกรุดจะใช้ฝาบาตรหรือใช้ตะกั่วถ้ำชา เพราะฉะนั้น..ผมว่าตะกรุดทองคำไม่น่าจะใช่ของหลวงปู่เอี่ยม”

“แต่ผมเคยเห็นตะกรุดทองคำที่หลวงปู่มั่นจารให้โยมว่ะ..!” อาตมาเชื่อว่าถ้าเรื่องเคร่งครัด หลวงปู่มั่นท่านเคร่งเป็นที่เลื่องลือแน่ แต่ท่านก็ทำให้โยมเพราะโยมเป็นคนหาแผ่นทองคำมา ก็เลยขึ้นอยู่กับการพิจารณา ถ้าท่านใดมั่นใจก็ใช้ไปเถอะ เพราะวัตถุมงคลสำคัญตรงความมั่นใจ ของดีแค่ไหนถ้ากำลังใจไม่เปิดรับก็เท่านั้นแหละ

แต่ว่าสิ่งที่ท่านท้วงติงมานี่มีเหตุผลเลยนะ แต่อาตมาก็คิดในแง่ที่ว่า ถ้าดังระเบิดไปทั้งประเทศอย่างหลวงปู่เอี่ยม พวกลูกศิษย์ที่เป็นเจ้าใหญ่นายโต พ่อค้า คหบดี ต้องมี แล้วท่านที่ฐานะรวย ๆ ก็อยากจะได้ของที่สมกับฐานะตัวเอง อย่างหลวงปู่ศุขท่านก็ทำตะกรุดสามกษัตริย์ทอง นาก เงิน ด้วยซ้ำไป ที่ทำถวายบรรดาเจ้าใหญ่นายโตตามวังต่าง ๆ โดยเฉพาะเสด็จในกรมหลวงชุมพร พวกเครื่องข้าราชศาสตราสมัยก่อนเป็นโลหะมีค่าทั้งนั้น แม้กระทั่งลูกสะกดยังเป็นสามกษัตริย์เลย"

เถรี
27-03-2013, 09:28
ถาม : การที่พระใช้เงิน นาก ทอง จริง ๆ นี่อยู่ที่เจตนาว่าดีหรือไม่ดีหรือครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าทรงทราบว่ากำลังใจของคนรุ่นหลังใช้ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องไหลตามไปแน่ พระองค์ท่านก็เลยห้ามไว้เลย แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า รับมาก็อย่าคิดว่าเป็นของเราสิ แล้วจะมีสักกี่คนที่คิดแบบนี้ ? ท่านถึงได้สอนพระสายวัดท่าซุงว่า "เงินปีนี้อย่าใช้ถึงปีหน้า ก่อนที่จะถึงปีหน้าถ้ามีเงินเหลือ ให้คิดทำงานที่ใหญ่กว่าเงินเอาไว้ พอเงินมาเราจะได้ไม่คิดว่าเงินเป็นของเรา" เป็นสุดยอดของคำสอนเลย ใครกลัวเงินทับตาย พระสายวัดท่าซุงไม่กลัวหรอก มีเท่าไรก็เทลงการก่อสร้างไปหมด

เดือนนี้อาตมาติดลบไปเกือบสองล้านบาทเอง ใครบอกว่าถวายเป็นเงินส่วนตัว อาตมามักขู่เขาไว้ว่าจะเก็บไว้แต่งเมีย แต่ไม่พอแต่งเสียที เทลงเงินสงฆ์หมด แยกบัญชีเอาไว้ไปอย่างนั้นเอง ถึงเวลาก็จ่ายรวมกันไป

เถรี
27-03-2013, 09:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกที่เดินเท้าอย่างเช่นอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เดินจากเชียงใหม่ไปเกาะสมุย โดยตั้งใจว่าจะไม่ใช้เงินแม้แต่บาทเดียว มีคนช่วยไปตลอดทางจนไปถึงเกาะสมุย หรือไม่ก็พวกขี่จักรยานรอบโลก ไปตรงไหนก็มีคนสงเคราะห์ เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เกิดจากเรื่องของบุญของกรรมที่เนื่องกันมาตั้งแต่อดีต พอถึงเวลาก็ต้องมาสงเคราะห์ต่อกัน

อาตมาเองสมัยเรียนชั้น ป. ๑ - ป. ๔ มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งไม่รู้เป็นอย่างไรจะคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด ที่บ้านอาตมามีฐานะค่อนข้างจะยากจน ปีทั้งปีแทบจะไม่มีสตางค์ไปโรงเรียนเลย มีแต่ข้าวห่อไป เพื่อนคนนี้จะคอยซื้อขนมมาให้ตลอด ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ดีเหมือนกัน ไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้รู้จักมักจี่สนิทสนมกันมาก่อน รู้อยู่อย่างเดียวว่าพอถึงเวลาเขาจะต้องมาช่วยเรา เขาเองก็คงงง ๆ อยู่เหมือนกัน

ดังนั้น..ของพวกนี้ เราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า “บุคคลที่เกิดมาพบกันในชาติปัจจุบันนี้ ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาเลยนั้นไม่มี” อย่างน้อย ๆ ต้องเคยเป็นอะไรกันมาก่อน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นหลาน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา เป็นครูบาอาจารย์ เป็นศิษย์ เป็นเพื่อน แล้วมาเจอกันชาติใหม่ ก็มาเกื้อกูลกันต่อไป มาเข็นกันหรือมาถ่วงกัน มาเข็นกันนี่ยังพอไหว อย่างน้อย ๆ ก็ยังพยายามขึ้นหน้า แต่ประเภทมาถ่วงกันนี่เล่นเอาเราไปไหนไม่ได้เลย"

เถรี
27-03-2013, 09:49
ถาม : ถ้าพระธรรมยุติจับเงินไม่ได้ เราถวายเป็นเช็กได้ไหมครับ ?
ตอบ : พุทธเจ้าท่านใช้คำว่า "เงินทอง" หรือ "วัตถุที่ใช้แทนเงินทอง" ตกลงใช้เช็กได้ไหมเล่า ? แต่ก็เห็นเขารับเช็กกันเป็นว่าเล่น

สมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ เจอพระธรรมยุติพกตั๋วแลกเงิน ๓ เล่ม ใบละร้อยล้วน ๆ อาตมาก็คิดว่าท่านไม่จับเงิน แต่ท่านมีเยอะกว่าอีก ๓ เล่มก็ ๓๐,๐๐๐ บาทแล้ว สมัยนั้นอาตมามีเงินติดตัว ๒๐๐ บาทก็ดีใจแย่แล้ว ออกกิจนิมนต์ครั้งหนึ่งเต็มที่ได้ ๒๐ บาท กว่าจะได้ ๒๐๐ บาทนี่รอกิจนิมนต์ตั้ง ๑๐ ครั้ง แล้ว ๑๐ ครั้งนี่บางทีก็ครึ่งค่อนปี

สมัยบวชใหม่ ๆ ภาระยังไม่มาก พอถึงเวลามีโอกาสก็ลาไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทราวาส ถึงได้เห็นว่าวัดเทพศิรินทราวาสเป็นวัดธรรมยุติแต่เงินสะพัดมากเป็นพิเศษ นั่งคุยกับหลวงพี่ที่นั่น สักพักท่านขอตัว “หลวงพี่ครับ..ผมขอตัวแป๊บหนึ่ง” “ไปไหนวะ ?” “ไปบังสุกุลอัฐิให้โยม” เดินไปไม่ถึง ๑๐ นาที กลับมาเอาซองวางแปะไว้ อาตมาก็เปิด ดึงใบปวารณาออกมาดู ๔๐๐ บาท ไม่ถึง ๑๐ นาทีได้ ๔๐๐ บาท..! อาตมาอยู่วัดท่าซุงสวดเป็นชั่วโมงเขาถวาย ๒๐ บาท..!

เถรี
28-03-2013, 20:11
ตอนก่อนบวชก็ศึกษาเกี่ยวกับวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะวัดที่อยู่ใกล้บ้าน ตอนนั้นบ้านอยู่ที่ท้ายซอยอ่อนนุช วัด....เป็นวัดธรรมยุติ อาตมาก็ว่าพระธรรมยุติท่านเคร่งครัดดี จึงไปสอบถามว่าจะบวชที่นี่ต้องทำอย่างไรบ้าง ปรากฏว่าต้องไปรอคิวเซ้งกุฏิให้ได้ก่อน ถามว่า "เซ้งกุฏิเขาคิดกันอย่างไรครับ ?" เขาบอกว่า “แสนหก..รับประกัน ๒ ปีมีกำไร” นั่นคือเกือบ ๓๐ ปีที่แล้ว ปัจจุบันนี้น่าจะเป็นล้านแล้วกระมัง ?

แต่จะว่าท่านก็ไม่ได้ เพราะว่ากุฏิเต็มจริง ๆ ต้องไปเข้าคิวลงชื่อไว้ก่อน คืนหนึ่ง ๆ พระบางรูปต้องวิ่งรอกกัน ๓ - ๔ ศาลา แต่ละศาลาก็ถวายกันไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ บาท ตีเสียว่าวิ่งแค่ ๒ รอบก็ ๑,๐๐๐ บาทต่อคืน เดือนหนึ่ง ๓๐,๐๐๐ บาท ปีหนึ่งปาไป ๓๖๐,๐๐๐ บาท คืนทุนแน่ ๆ อยู่แล้ว

สรุปแล้วอาตมาหนีไปบวชที่วัดท่าซุง พี่ชายบ่นอย่าบอกใครเลย เพราะว่าทางบ้านเข้าสมาคมตระกูลแซ่ เวลามีงานเขามีกติกาเป็นที่รู้กันว่า ถ้าเขามางานเราช่วยเงินไว้เท่าไร ถึงเวลาเราไปงานเขาก็ต้องให้มากกว่านั้น ถึงเวลาที่อื่นส่งบัตรเชิญมาให้ ทางเรามีหน้าที่จ่ายอย่างเดียว เพราะว่าที่บ้านแต่งงานกันช้ามาก ก็เลยไม่มีงาน พอมาถึงคิวอาตมาบวช แทนที่จะได้จัดงาน กลับหนีไปบวชที่วัดท่าซุง พี่ชายบ่นว่า..คิดว่าจะได้ถอนทุนคืนบ้าง ดันหนีไปบวชกับหลวงพ่อเสียนี่

เถรี
28-03-2013, 20:16
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงหล่อรูปยืนองค์ใหญ่ในวิหารร้อยเมตร ปรากฏว่าเจอทั้งลมทั้งฝน ลักษณะนั้นช่างจะกลัวที่สุดเพราะแบบไม่ร้อน โลหะที่เทลงไปเย็นตัวเร็วเกิน ก็จะไปกั้นเอาไว้ไม่ให้โลหะอื่นไหลลงไปข้างล่าง ตรงที่โดนกั้นไว้ก็จะเป็นช่องโบ๋ แต่ปรากฏว่ารูปหล่อของท่านส่วนบนสมบูรณ์มาก แต่งองค์บริเวณจีวรเพิ่มหน่อย เพราะว่าพอเย็นมากแล้วโลหะแล่นไม่ถึง ต้องมาโปะเพิ่มกันทีหลัง

ส่วนที่ช่างกลัวที่สุดก็คือใบหน้า ปรากฏว่าออกมาสมบูรณ์แบบ เลยโล่งใจไป เพราะแต่งองค์แต่งเท่าไรก็แต่งได้ แต่ใบหน้านี่ถ้าแต่งแล้วเสียรูปขึ้นมา ก็ต้องหล่อใหม่ทั้งองค์

ที่เราเห็นองค์ยืนองค์ใหญ่มหึมาในวิหารร้อยเมตร ช่างเขาหล่อด้วยความอกสั่นขวัญแขวนมาก เพราะดินฟ้าอากาศไม่ให้เลย สมัยที่หลวงพ่อท่านอยู่วัดบางนมโค หล่อพระพุทธชินราชองค์หนึ่ง ก็เจอลักษณะอย่างนั้น ก็คือทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำ เททองเสร็จ เอาทรายทับแล้วช่างไม่กล้าทุบแบบ ต้องนั่งซึม

หลวงพ่อบอกว่า “ทุบแบบออกมาดูสิ” ช่างบอกว่า “เสียแน่ ๆ ครับท่าน” หลวงพ่อบอกว่า “ทุบมาเถอะ เสียก็ทำใหม่..ไม่ว่ากัน” ปรากฏว่าทุบออกมาแล้วงามจนแทบจะไม่ต้องขัดแต่งเลย คราวนี้ช่างดีใจจนน้ำตาไหล หลังจากนั้นพระพุทธรูปองค์นั้น ถึงเวลาใครต้องการฝน อาราธนาไปเป็นได้ฝนทุกที่ ปัจจุบันนี้ไม่รู้ทางวัดบางนมโคเอาไปซุกไว้ที่ไหน ?"

เถรี
28-03-2013, 20:24
ถาม : คุณพิเศษที่เป็นปฏิสัมภิทา เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นพระโสดาบันหรือครับ ?
ตอบ : ปฏิสัมภิทาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้ว เพราะถ้าต่ำกว่านั้นเดี๋ยวรัก โลภ โกรธ หลงชักลากไปได้ อำนาจคลุมอภิญญา ๖ ได้นี่น่ากลัวมาก ต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไป ถ้าไม่ได้ตัดรักตัดโกรธได้จริง ๆ เดี๋ยวก็ได้เผาชาวบ้านเขาเล่น

อย่างวันก่อนมีข่าวฝรั่งโดนไฟเผาตาย หาต้นเหตุไม่ได้ ฝรั่งเขามีสถิติเก็บไว้เยอะต่อเยอะด้วยกัน ที่อยู่ ๆ โดนไฟไหม้ชนิดที่เหลือแต่ขี้เถ้า ซึ่งเขาบอกว่าต้องเป็นความร้อนที่สูงมหาศาล แต่ทำไมสิ่งของที่อยู่รอบ ๆ ข้างไม่ไหม้เลย ลักษณะนั้นขอยืนยันว่าเป็นเตโชกสิณ อาจเป็นไปได้ว่าเขาเคยเป็นมาแต่อดีต ได้มาแต่อดีต แต่ตอนที่ของเก่ากลับมา ไปขยายนิมิตแล้วลืมควบคุม เพราะไม่รู้วิธีควบคุม ก็เลยเผาตัวเองไปเลย แล้ววันก่อนหมอไทยก็มาแสดงความเห็นว่า โดยหลักวิทยาศาสตร์แล้วเป็นไปไม่ได้ ที่ร่างคนอยู่ ๆ จะลุกเป็นไฟ ก็ไฟไหม้อยู่เห็น ๆ แล้วคุณจะมาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เห็น ๆ อยู่ว่าเหลือแต่ขี้เถ้าต่อหน้าต่อตา

ท่านที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้มาก็จะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ท่านที่ศึกษามาก็เห็นเป็นเรื่องปกติ อาตมาก็เพิ่งจะออกข้อสอบให้พระนิสิตเขาทำเก็บคะแนน ถามว่า “เมื่อเจริญเตโชกสิณจนคล่องตัวแล้ว สามารถกระทำอะไรได้บ้าง ?” เขาก็ตอบกันใหญ่ สามารถเข้าฌาน ๔ อธิษฐานบังหวนควันให้เกิดขึ้น ทำให้ถ่านเพลิงตกลง เกิดเปลวไฟขึ้นในบริเวณที่กำหนดได้ เขียนมาเยอะแยะเลย ไม่ต้องสงสัย...ลอกมาจากอินเตอร์เน็ตทั้งนั้น อาตมาสอนเขาไม่ค่อยได้จำหรอก ถึงเวลาตอบไม่ได้ก็เปิดอินเตอร์เน็ตลอกเอา..!

เถรี
28-03-2013, 20:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "นักปฏิบัติธรรมควรจะลดความอยากลงไหม ? คราวนี้ภาษาไทยของเราจำกัด ความอยากในการทำความดี บาลีเขาเรียกว่าธรรมฉันทะ ถ้าความอยากในการกอบโกยในสิ่งอื่น ๆ เข้าหาตัว ก็คือรัก โลภ โกรธ หลง เขาเรียกว่าตัณหา ต่างกันชัดมาก แต่ภาษาไทยเราใช้คำว่าอยากเหมือนกันหมด

แบบท่านที่ไปฝึกปฏิบัติที่วัด เวลาเราปฏิบัติไป ถ้าเป็นสายพองหนอยุบหนอ การเคลื่อนไหวทุกอย่างท่านจะให้กำหนดต้นจิต คือตัวระลึกก่อนว่า "อยาก" อย่างเช่นว่า อยากเดินหนอ อยากนั่งหนอ เราอาจจะไปเถียงว่าไม่อยากก็ได้อยู่ แต่คราวนี้ถ้าไม่อยากแล้วคุณจะทำอย่างนั้นทำไม ? เพียงแต่เป็นความอยากที่ฝังลึกอยู่ แล้วเรามองไม่เห็น

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยกลายเป็นว่า ภาษาไทยเรามีความจำกัดมากไปหน่อย เราใช้คำว่าอยากเหมือนกัน แต่อยากดีกับอยากชั่ว เป็นคนละอย่างกัน แล้วบาลีเขาแสดงชัด อยากทำดี พอใจที่จะทำความดีเป็นฉันทะ แต่อยากชั่วเป็นตัณหา เป็นความอยากที่ทำให้ตนเกิดความทุกข์มากกว่า

ดังนั้น..ในเรื่องของฉันทะ ส่วนใหญ่ก็เป็นไปเพื่อความดี ความงาม ความเจริญ ในเรื่องของตัณหา ส่วนใหญ่ก็เป็นไปเพื่อที่จะทำให้ตนเองยึด เกาะ ติด อยู่กับสิ่งต่าง ๆ แล้วหลุดพ้นไม่ได้"

เถรี
28-03-2013, 20:41
ถาม : สัมมาอาชีวะในมรรค ๘ คือ ?
ตอบ : สัมมาอาชีวะคือการประกอบอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม คราวนี้อาชีพที่มีศีลธรรมนั้น พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่าให้เว้นมิจฉาวณิชชา ๕ อย่าง คือละเว้นจากการขายสุรา ขายยาพิษ ขายอาวุธ ขายมนุษย์ และขายสัตว์ที่มีชีวิต เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายว่าสนับสนุนให้คนทำความชั่ว

ในเรื่องของสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ อยู่ในส่วนของศีล สัมมาวาจาก็คือไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดจนเขาแตกร้าวกัน และไม่พูดวาจาไร้ประโยชน์ สัมมากัมมันตะที่ท่านบอกว่ากระทำการชอบ ก็คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการดื่มสุราเมรัย คราวนี้สัมมาอาชีวะก็เว้นจากมิจฉาวณิชชาทั้ง ๕ ตั้งใจประกอบอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม

ในส่วนของศีล ความดีที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ศีลเป็นพื้นฐานก่อให้เกิดสมาธิ ด้วยความที่เราต้องตั้งสติระมัดระวังรักษาศีล ช่วยทำให้เกิดสมาธิขึ้น ในเมื่อสมาธิเกิดขึ้น ทำให้ระมัดระวังศีลได้ดียิ่งกว่าเดิม ก็เหมือนกับเราหมุนน็อตตัวหนึ่ง ยิ่งไขก็ยิ่งสั้นเข้า ๆ พอท้ายที่สุดก็สุดไปเอง คราวนี้ทั้งศีลทั้งสมาธิก็จะสนับสนุนให้เกิดปัญญา เราจะเห็นการทำงานเป็นวงจรครบ พอปัญญาเกิดก็จะไปควบคุมศีลและสมาธิอีกที ยิ่งควบคุมศีลสมาธิได้ทรงตัวเท่าไร ปัญญาก็ยิ่งผ่องใส ยิ่งแหลมคม

เถรี
28-03-2013, 21:07
ถาม : การตรึกในสัมมาอาชีวะ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
ตอบ : ไม่ตรึกในการค้าขายหรือการกระทำหน้าที่การงานที่เบียดเบียนผู้อื่น ถ้าจะนับจริง ๆ นอกจากศีลแล้วยังมีเรื่องของพรหมวิหารด้วย เพราะว่าพรหมวิหารจะคุมศีลเป็นปกติ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็คือ ตรึกอยู่ว่าเราจะไม่ประกอบอาชีพที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ถึงเวลาก็กระทำตามให้เป็นไปตามที่ตนเองคิด เมื่อกระทำให้เป็นไปตามที่ตนเองคิดได้ ก็จะเป็นผล

ถาม : ในขณะที่เรานั่งภาวนาอยู่ การที่เราจะไปล่วงละเมิดทุจริตกาย ทุจริตวาจา ก็ไม่มี ?
ตอบ : ถ้าเรานั่งภาวนาอยู่ ศีลทุกสิกขาบทไม่ผิดอยู่แล้ว จะมีได้ก็ความฟุ้งซ่านที่จัดเป็นส่วนของมโนกรรม ศีลส่วนใหญ่แล้วจะควบคุมกายกับวาจา ดังนั้น..ถ้าเรานั่งลงภาวนาก็แปลว่าเรามีศีลโดยอัตโนมัติ ถ้าจิตประกอบด้วยการงดเว้นด้วย ก็แปลว่าตอนนั้นศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์เลย ในเมื่อเป็นดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผลได้ เพราะว่ามีความบริบูรณ์ในศีลในสมาธิ ก็เหลือแต่ปัญญาที่จะพิจารณาอย่างเดียวเท่านั้น

ถาม : อย่างเราอยู่ในสมาธิฌาน ไม่มีการละเว้นจิตกุศล จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นการละเว้นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว คุณนั่งอยู่ตรงนี้แล้วจะไปผิดศีลได้อย่างไร ?

ดังนั้น..ในส่วนของบารมีต้นจะเกี่ยวกับเรื่องของทาน ถ้าบารมีกลางก็ขึ้นมาก็จะเป็นทานกับศีล ถ้าบารมีปลายก็เป็นเรื่องของสมาธิกับปัญญา ถ้าเราก้าวล่วงมาถึงสมาธิ แสดงว่าคุมศีลได้แล้ว ถ้ายังคุมศีลไม่ได้ สมาธิก็ไม่ทรงตัว กำลังไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น..ศีลจึงเป็นพื้นฐานของสมาธิ ก่อให้เกิดสมาธิ แล้วศีลกับสมาธิก่อให้เกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาก็กลับไปควบคุมศีล ควบคุมสมาธิอีกที

ถาม : ได้ยินจากข้างนอกว่าในขณะอยู่ในสมาธิ ไม่มีการละเว้น ไม่มีการสร้างบุญกุศล ก็เลยไม่มีจิตกุศล ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องไปถามเขาว่าทำไมถึงว่าอย่างนั้น ? อย่าลืมว่าบุคคลเมื่อตั้งใจประกอบกรรมความดี กามาวจรจิตมหากุศลเกิดขึ้นแต่แรกแล้ว ในเมื่อกามาวจรจิตมหากุศลเกิดขึ้น สิ่งที่ตัวเองกระทำในการระงับกาย ระงับวาจา และกำลังระงับใจอยู่ ก็ยิ่งก่อเกิดมหากุศลนั้นให้ยิ่งมากขึ้นไปอีก ต้องบอกว่าเขาทำตั้งแต่เริ่มนั่งแล้ว

เถรี
28-03-2013, 21:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของภาษาไทย ถ้าเป็นไปได้ช่วยกันรักษาไว้หน่อย อย่าปล่อยให้ยับเยินลงไปมากมายนัก พวกคำแสลงต่าง ๆ ที่เป็นไปตามยุคสมัยจะใช้ก็ใช้ไปเถอะ แต่เวลาเขียนอย่าเขียนให้ผิด เวลาเขียนพยายามรักษารูปแบบไว้นิดหนึ่ง ถ้าเขียนถูก บรรดาลูก ๆ หลาน ๆ เห็นจะได้จำได้ว่าตัวนี้ถูก

แต่ปัจจุบันนี้พวกเว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งเฟซบุ๊กมักจะใช้ศัพท์เฉพาะของตัวเอง เหมือนกับว่ายิ่งเขียนให้อุบาทว์เท่าไรก็ยิ่งเท่เท่านั้น ถึงเวลาเข้าไปก็จะเจอภาษาไทยที่เหมือนภาษาต่างดาว อ่านแล้วบางทีก็ไม่รู้เรื่องว่าแปลว่าอะไร"

เถรี
28-03-2013, 21:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่พอถึงเวลาโยมก็ทำบุญ เห็นตั้งหน้าตั้งตาทำบุญกันจัง แต่พอถามโยมจริง ๆ ว่าบุญคืออะไร จะมีสักกี่คนที่ตอบได้

บุญอธิบายโดยนัยของอรรถกถา ท่านบอกว่า บุญเป็นชื่อของความดี ความงาม ความสบายใจ เพราะฉะนั้น..สิ่งไหนที่ทำแล้วเป็นความดี เป็นความงาม เป็นความสบายใจ สิ่งนั้นชื่อว่าบุญ
แต่คราวนี้ความดีความงามของสมัยโบราณนั้นชัดเจน

แต่สมัยปัจจุบันนี้ไม่ชัดเจน อย่างเช่นเราบอกว่าบุญเป็นชื่อของความงาม พวกที่ไปทำศัลยกรรมมาก็เป็นบุญสิ..ภาษาเปลี่ยนไป ในเมื่อความหมายของภาษาเปลี่ยน ก็เลยทำให้ความหมายของคำว่าบุญในปัจจุบันเปลี่ยนไปด้วย อย่างที่อาตมาพูดไปต้องบอกว่าแกล้งโง่ เจตนาหาเรื่องมาค้าน"

ถาม : แล้วกุศลล่ะครับ ?
ตอบ : กุศล ตามรากศัพท์โดยตรงแปลว่าความฉลาด ก็คือฉลาดเลือกในสิ่งที่ดีที่งาม ดังนั้น..กุศโลบาย คืออุบายอย่างชาญฉลาด กุศล กับ โกศล เป็นคำเดียวกัน

เถรี
28-03-2013, 21:55
ถาม : เวลาทำบุญ แล้วอุทิศไปให้คนที่ไม่ตาย เขาจะได้รับหรือไม่ครับ ?
ตอบ : บุคคลที่ไม่ตายต้องบอกให้เขาโมทนา เพราะถ้าไม่ใช่บุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ แต่บรรดาท่านผู้ที่ตายไปแล้ว ลักษณะของโอปปาติกะ เขามีความเป็นทิพย์ของเขาอยู่ เขาจะรู้ได้

ในช่วงวันที่ ๒๓ - ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ทางวัดจัดปฏิบัติธรรมเนื่องในสัปดาห์วันมาฆบูชา มีบวชพระด้วย มีเวียนเทียน และตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชาด้วย ในช่วงวันที่ ๒๔ - ๒๖ เป็นช่วงที่ภาษาชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเขาใช้คำว่า "ปล่อยผี" ก็คือพระยายมหยุดการตัดสิน ปล่อยให้ผู้ตายไปโมทนาบุญได้

ปรากฏว่าวันที่ ๒๔ พวกเขาแห่กันมา ๘,๐๐๐ กว่าราย ถึงเวลาญาติโยมปฏิบัติธรรมแล้วอุทิศส่วนกุศล พวกเขาก็นั่งยิ้มแป้นสบายไปตาม ๆ กัน ไม่ต้องเสียเวลาผ่านสำนักพระยายม คราวนี้วันที่ ๒๕ พวกเราทำบุญเยอะกว่า ปรากฏว่าพวกที่มาโมทนากลับน้อยกว่า เพราะเขาไปกันเสียเยอะแล้ว ใจร้อนรีบรับเลยได้น้อยไปหน่อย

แต่สำหรับพวกเขาแล้วรับประกันความเสี่ยงก็คือเอารอดก่อน ในเมื่อเอารอดก่อนคุณมีโอกาสก็โมทนาต่อได้ ตอนขึ้นไปใหม่ ๆ มัวแต่เพลิน ตื่นเต้น ตื่นเต้นในความเป็นทิพย์ ตื่นเต้นในความสุขที่ได้รับ ลืมไปว่าคนเขายังคงทำบุญอยู่เรื่อย ๆ

เถรี
28-03-2013, 21:57
ถาม : ถ้าไม่โมทนาก็ไม่ได้ ?
ตอบ : เพราะสภาพจิตไม่ได้เปิดรับ ในเมื่อไม่เกิดความยินดีด้วย ก็เหมือนส่งของให้แล้วเราไม่รับ แล้วจะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของของชิ้นนั้นได้อย่างไร เมื่อเราส่งของไป ถ้าเขายินดีก็เอื้อมมือรับมา เขาก็จะได้ของชิ้นนั้นไป

เพราะฉะนั้น..การโมทนาบุญคือการเปิดใจตัวเองให้รับความดีของคนอื่น ปกติแล้วคนเราจะยินดีในความดีคนอื่นยากนะ อย่างที่หลวงวิจิตรวาทการท่านบอก "อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน"

ในเมื่อเป็นอย่างนั้น สภาพจิตที่จะยินดีกับความดีของคนอื่น เป็นสภาพที่เกิดขึ้นได้ยาก ในเมื่อเขาสามารถยังสภาพจิตตนเองให้ยินดีในผลบุญ คือความดีของคนอื่นได้ ความเพียรพยายามในการยังจิตตนเองให้เข้าถึงและยอมรับความดีของคนอื่นนั่นแหละ เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะได้ ก็เลยทำให้เขามีส่วนได้ความดีที่คนอื่นเขาทำไปด้วย เป็นเรื่องที่ทำยากมาก ไม่ใช่แค่ยกมือสาธุแล้วจะได้

อย่างที่อาตมาเคยสรุปว่า การยินดีในผลบุญคนอื่น กับการสาธุของเราในปัจจุบันนั้นคนละอารมณ์กัน การยินดีในผลบุญของคนอื่น ก็คือเขามีโอกาสทำ ในขณะที่เราไม่ได้ทำ เราดีใจที่เขาได้ทำ แต่ปัจจุบันที่ยกมือสาธุแบบของเราก็คือ กูจะเอาของมึง เป็นคนละอารมณ์กัน แล้วจะไปได้อย่างไร ?

เถรี
29-03-2013, 11:35
ถาม : คำว่า ตกภวังค์ คือ ?
ตอบ : ตกภวังค์เป็นภาษาไทย ความจริงภวังค์คืออารมณ์ปกติ ถ้าตกภวังค์ก็คือสภาพจิตคลายออกมาสู่ภาวะปกติ แต่คำว่าตกภวังค์ในปัจจุบันของเรานี้ ความหมายคืออาการที่พลัดจากฌาน การที่สมาธิจิตเริ่มเข้าสู่อัปปนาสมาธิอย่างหยาบ สติตามไม่ทัน ในเมื่อสติตามไม่ทันก็เลยหลุดออกมาจากสมาธิขั้นนั้น ความรู้สึกเหมือนกับตกวูบลงมาจากที่สูง บางทีก็เสียวสะดุ้งเฮือกเลย แล้วเราก็ไปเรียกว่าตกภวังค์ ความจริงตีความหมายผิด

ภาษาปัจจุบันความหมายผิดไปเยอะ อย่างวิญญาณก็คือความรู้สึกหรือประสาทร่างกายของเรา นี่ตามความหมายของบาลี แต่วิญญาณในปัจจุบันของเราก็คือผีที่จะมาหลอก ความหมายห่างไปหลายโยชน์เลย..!

เถรี
29-03-2013, 11:41
ภาษาพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย การที่เราใช้ภาษาบาลีในการจารึกพระไตรปิฎก ก็เพราะว่าบาลีเป็นภาษาที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เขาใช้คำว่าเป็น "ภาษาที่ตายแล้ว" อย่างเช่น ภุญฺชติ กี่ปี ๆ ก็แปลว่ากิน แปลความหมายอื่นไม่ได้ แต่ภาษาไทยของเรา ถ้าบอกว่ากิน เดี๋ยวก็เป็นรับประทาน ยัดห่า สวาปามอะไรไปเรื่อย ความหมายก็เปลี่ยนไป

ในเมื่อบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว ก็เลยรักษาพระไตรปิฎกได้ดี คำว่าบาลี มาจากปาลธาตุ แปลว่า ในความรักษา ความหมายก็คือรักษาพระไตรปิฎกเอาไว้

เถรี
29-03-2013, 12:14
ถาม : ทำไมปรทัตตูปชีวีเปรตไม่สามารถอนุโมทนาบุญได้ เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วพวกเปรตอยู่ในส่วนของบุคคลที่ยังหนาด้วยบาปกรรมอยู่ ไม่สามารถที่จะโมทนาบุญคนอื่นได้ ต้องรอกรรมเบาบางลงจนถึงระดับที่โมทนาบุญได้ จึงจะเรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต ก็แปลว่าเปรตทุกจำพวกสามารถที่จะเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยต้องรอจนกว่ากรรมของตนจะเบาบางและได้โมทนาบุญ ซึ่งส่วนใหญ่บุญที่โมทนาก็จำกัดว่าจะต้องเป็นบุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมา หรือเป็นญาติเป็นโยมกันมา ถ้าเป็นคนอื่นก็ยังโมทนากับเขาไม่ได้ หรือไม่เขาก็อาจจะไม่นึกถึงเลย เพราะส่วนใหญ่เขาจะให้แต่ญาติของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องรอจนกระทั่ง ๙๑ กัปล่วงไป กรรมของตัวเองเบาบางลง ขณะเดียวกันญาติก็มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ถึงได้ทำบุญอุทิศไปให้โมทนาได้

ดังนั้น..ไม่ว่าจะว่ากล่าวกันตามลักษณะของพระวินัย หรือว่าในเรื่องของคัมภีร์บาลีต่าง ๆ บางทีก็กล่าวถึงเปรต ๑๒ จำพวกบ้าง ๒๑ จำพวกบ้าง จริง ๆ แล้วก็คือแตกรายละเอียดออกไปอีก อย่างเช่นเขากล่าวถึงเปรตที่มีขนเป็นอาวุธ ทางด้านโน้นก็ไปแตกออกว่ามีขนเป็นหอก มีขนเป็นดาบ มีขนเป็นพระขรรค์ ปาเข้าไป ๓ อย่างแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยกลายเป็นว่า จำนวนเปรตมีไม่เท่ากัน แต่ความจริงก็แค่ให้รายละเอียดเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง

แต่ว่าเปรตทุกจำพวกต้องรอจนผลกรรมเบาบางลง จึงสามารถโมทนาบุญได้ เขาเรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต ก็คือเป็นผู้ตายไปแล้วซึ่งยังชีพด้วยการอาศัยผู้อื่น ปร (ปะระ) แปลว่าอื่น ใครเคยท่องบาลีก็จะเจอคำนี้

ถาม : ต้องเนื่องด้วยญาติของตัวเองด้วยจึงจะโมทนาได้ ?
ตอบ : เป็นญาติหรือเป็นบุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมา ไม่อย่างนั้นแล้วต่อไม่ติด เพราะเป็นโทรศัพท์คนละเบอร์

เราอาจจะคิดว่าทำไมโหดร้ายขนาดนั้น ก็ต้องบอกว่า ตนเองทำไม่ดีไว้มาก พอถึงเวลากรรมก็ต้องส่งผลให้เป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีใครไปบังคับเขาหรอก แต่ว่าในส่วนกรรมไม่ดีที่ตนเองได้ทำไว้ ทำให้เป็นเช่นนั้นเอง

เถรี
29-03-2013, 12:40
ถาม : ภพชาติยาวไกลนานขนาดนั้น เขาจะไม่เจอญาติอุทิศให้สักคนเลยหรือครับ ?
ตอบ : ลองไปนึกถึงทุสะนะโส ที่อยู่ในโลหะกุมภีนรกที่เขาว่า สัฏฐีสะตะสหัสสานิ เป็นคำต้นของคำว่า สะ คือ ๖ แสนปีผ่านไปได้เจอหน้าพวกกันในนรกแวบเดียว เราลองคิดว่า ๙๑ กัปไม่ได้เจอหน้าญาติตัวเองเลยนี่ถือเป็นเรื่องปกติ

ถ้าเราเห็นตรงจุดนี้ก็จะเห็นว่า วัฏสงสารเป็นเรื่องที่ยาวไกลและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น..บุคคลที่เห็นภัยในวัฏสงสาร จะพยายามขวนขวายหาทางหลีก หาทางหนีไปให้พ้น ถ้าเห็นเป็นของน่ากลัวเรียกว่า ภยตูปัฏฐานญาณ ถ้ากลัวแล้วเกิดความเบื่อหน่าย เรียกว่า อาทีนวานุปัสสนาญาณ เบื่อหน่ายแล้วแสวงหาทางหลุดพ้น เรียกว่า มุญจิตุกัมยตาญาณ ก็คือจะเป็นความรู้เป็นขั้น ๆ ไป บางทีก็เกิดรวดเดียวเลย แต่ท่านที่เข้าถึงรายละเอียดตรงนี้จะแยกได้ว่าอันนี้เป็นอย่างนี้

เถรี
29-03-2013, 12:50
ถาม : พระมาลัยใช่องค์เดียวกับของมหายานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช่...มหายานเขาเรียกยูไลฮุดโจ้ว ก็คือพระมาลัย

ถาม : ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ?
ตอบ : พระยูไลไม่ใช่พระพุทธเจ้า

ถาม : ตีจั่งอ๊วง ?
ตอบ : ตีจั่งอ๊วงเป็นพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ไม่ใช่พระอรหันต์ พระมาลัยนี่เป็นพระอรหันต์

ภาษาจีนเขาพยายามจะเลียนแบบบาลีแล้ว แต่ออกเสียงตรงไม่ได้ อย่างพระศากยมุนี เขาเรียก เซ็กเกียมอนี้ อย่างพระอานนท์ ก็เป็นอานันท้อ บาลีเรียกอานันทะ พระราหุลก็เป็นเล่าหู่ล้อ พระปิณโฑลภารทวาช ก็เรียกปินโทล่อ เขาก็เรียกของเขารู้เรื่อง

พระตีจั๊งอ๊วงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายก็ไม่ใช่ แต่ท่านตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าตราบใดในวัฏสงสารยังมีสัตว์ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์นั้น ท่านจะยังไม่ไปพระนิพพาน ดังนั้น..ถึงจะไม่ใช่องค์สุดท้ายก็คงใกล้เคียง

เถรี
29-03-2013, 12:57
ถาม : คำสอนในมหายานกับเถรวาทนี่ต่างกันมาก ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าพยายามละเว้นธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อไปรู้เห็นแล้วถูกจริตตัวเอง ก็เลยนำมาสั่งสอนกัน จึงกลายเป็นสายมหายานขึ้นมา

คำว่า "ธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า" ก็คือพระพุทธเจ้าพยายามให้พวกเราไปพระนิพพานให้เร็วที่สุด แต่สายพระโพธิสัตว์ต้องอยู่สร้างบารมีจนกว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมองไม่เห็นต้นเห็นปลายเลย แต่ท่านที่มาสายเดียวกันเห็นเข้าถูกใจ ก็เลยไปเอามาแนะนำสั่งสอนกันต่อ

เริ่มมาตั้งแต่สมัยพระนาคารชุน พระนาคารชุนทำให้มหายานปรากฏชัดเจนมาก เพราะว่าท่านนี้มีลักษณะคล้าย ๆ พระมาลัย ขึ้นฟ้าลงบาดาลเป็นปกติเลย

ถาม : พระนาคารชุนเป็นพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นพระโพธิสัตว์เต็ม ๆ ขนาดเขามาฆ่าตัวเอง ยังช่วยบอกวิธีฆ่าให้เขาเสร็จสรรพ

เถรี
29-03-2013, 13:08
ถาม : การที่เขานิยมปั้นพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม เป็นเพราะว่าเพศหญิง เป็นเพศที่มีความอ่อนโยนมากกว่า ?
ตอบ : จะคิดอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าจริง ๆ แล้วการสร้างบารมี เราต้องเกิดเป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ชาติที่ท่านสร้างบารมีแล้วคนรู้จักมาก อาจจะเป็นเพราะไปเกิดในแผ่นดินใหญ่แล้วประชากรมาก ก็คือชาติที่ท่านเกิดเป็นเจ้าแม่กวนอิม ก็คือองค์หญิงเมี่ยวซ่าน ก็เลยทำให้คนเขาติดว่า รูปแบบของความเป็นท่านก็คือองค์หญิงเท่านั้น แล้วก็ปั้นเป็นผู้หญิงมาตลอด เพราะฉะนั้น..เราจะพิจารณาตามแบบของเขาก็ได้ เพราะถือว่าเป็นพัฒนาการทางศิลปะอย่างหนึ่ง

แต่ถ้าเรามาถือในเรื่องของการสร้างบารมีก็คือ ชาติที่เป็นผู้หญิงเขารู้จักมากกว่า แต่ถ้ามาดูจริง ๆ เจ้าแม่กวนอิมท่านมี ๘๐ กว่าปาง ในเมื่อมี ๘๐ กว่าปาง เขาก็เลยว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย แล้วมีอยู่ปีหนึ่งประมาณปี ๒๕๔๔-๒๕๔๕ มีโยมคนหนึ่งเขาทำรูปเจ้าแม่กวนอิม ๘๐ กว่าปางไปให้วัดท่าขนุน เป็นลักษณะเสี่ยงเซียมซี เขาทำลักษณะเป็นเหมือนอัลบั้มเลย ให้อธิษฐานแล้วเปิด พอเจอรูปไหนก็พลิกดูข้างหลังรูปจะมีคำทำนาย เข้าท่าดีเหมือนกัน ต้องอธิษฐานด้วยใจที่เคารพมั่นคงจริง ๆ แล้วก็เสี่ยงเปิดขึ้นมา เขาก็จะบอกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ปางนี้ เป็นบารมีอะไร แล้วก็ทำนายในลักษณะที่ว่า เราจะต้องเจออะไรในสภาพใกล้เคียงกัน

ถาม : ถ้าเป็นนิตยโพธิสัตว์ต้องเป็นผู้ชายหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก แค่ในอุปบารมีขั้นปลายก็เริ่มเป็นผู้ชายแล้ว

ถาม : แล้วทำไมเจ้าแม่กวนอิมไม่เกิดเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : ในส่วนของอุปบารมีเบื้องต้น เบื้องกลางก็ยังต้องเกิดเป็นผู้หญิง มักจะเป็นส่วนที่ต้องสร้างบารมีหนักหนาสาหัสมาก พวกบรรดาปัญจมหาบริจาคส่วนใหญ่ก็จะเล่นกันในสมัยนี้แหละ พอมาถึงสมัยของปรมัตถบารมี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการใช้ปัญญา หรือการเข้าถึงหลักธรรมไปแล้ว

เถรี
29-03-2013, 13:14
ถาม : ในบารมีทั้ง ๑๐ การให้ทานต้องเริ่มก่อน ?
ตอบ : การบำเพ็ญบารมีจะเริ่มบารมีไหนก็ได้ แต่เมื่อเริ่มในบารมีนั้น บารมีตัวอื่น ๆ จะตามมาเอง

เราจะเห็นว่า ถึงแม้จะเป็นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ก็ตาม บารมีท่านยังต่างกันไป ยิ่งถ้าพระอรหันต์จะเห็นชัดเลยว่า เอตทัคคะทั้ง ๔๑ องค์ ความสามารถจะต่างกับท่านอื่นอย่างชัดเจน เกิดจากการเริ่มต้นสร้างบารมีมา อย่างเช่นถ้าเริ่มต้นด้วยปัญญาบารมีมา ก็จะเด่นในทางปัญญาอย่างพระสารีบุตร ถ้าเริ่มต้นด้วยทานบารมีก็จะเด่นทางลาภอย่างพระสีวลี เป็นต้น

แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระพุทธเจ้ามีนามว่าพระพุทธกัสสปและพระพุทธทีปังกร ๒ พระองค์นี้ท่านเริ่มด้วยทานบารมี เพราะฉะนั้น..ลาภผลของท่านจะมากเป็นพิเศษ เมื่อเป็นอย่างนั้น เรื่องของการสร้างบารมี เราจะเริ่มต้นด้วยบารมีไหนก็ได้ แต่เมื่อเริ่มต้นแล้วบารมีอื่นก็ต้องตามมาเอง

อย่างเช่นเราเริ่มต้นด้วยปัญญาบารมี คนมีปัญญาบารมีก็ต้องเห็นว่าทานบารมีเป็นเรื่องดี เราควรทำไว้ บุคคลที่จะมีทานบารมีได้ ก็ต้องมีเมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นเขาถึงจะให้ได้ บุคคลที่จะมีเมตตาได้ ก็ต้องมีศีลเป็นปกติ ศีลบารมีก็ต้องมี ไล่ไปเรื่อย สรุปก็คือเริ่มต้นด้วยบารมีไหน อีก ๙ อย่างก็จะตามมาเอง เพียงแต่ว่าจังหวะการเริ่ม ทำให้ความเด่นด้านบารมีนั้นติดข้ามชาติข้ามภพไปด้วย ถึงเวลาก็ไปได้ดีปรากฏชัดเอาในช่วงสุดท้าย

อย่างพระสีวลี อ่านในพระธรรมบทแล้วตลก เทวดาเขาแห่มาทำบุญกับพระสีวลี ไม่สนใจพระพุทธเจ้าเลย เขาใช้คำว่า "พระผู้เป็นเจ้าของเรามาแล้ว" เอาของมาถวายพระสีวลี พระสีวลีก็น้อมของนั้นถวายพระพุทธเจ้ากับคณะสงฆ์ ถ้าเป็นเราจะเป็นอย่างไร ? ถ้าใช้กำลังใจปุถุชนก็คงโกรธเทวดาไปเลย..ใช่ไหม ? ทำไมมองไม่เห็นหัวเรา แต่พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้ว ความยินดียินร้ายไม่ได้มีอยู่ในใจพระองค์ท่าน ดังนั้น..การที่จะไปอิจฉาลูกศิษย์ก็ไม่ปรากฏ ไม่ใช่อาจารย์ขององคุลีมาลเถระ นั่นท่านอิจฉาลูกศิษย์ โดนเป่าหูเข้าก็เลยเชื่อเอาง่าย ๆ

เถรี
29-03-2013, 13:17
ถาม : ทำอย่างไรจิตจึงจะละเอียดครับ ?
ตอบ : พยายามทำ...คุณไม่ได้ใช้ความพยายาม วัน ๆ เอาแต่ฟุ้งซ่านอย่างเดียว แล้วเมื่อไรจะดีขึ้น..?!

เถรี
29-03-2013, 13:19
ถาม : พระองค์นี้ควรบูชาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : คำว่าพระแปลว่าผู้ประเสริฐ ควรบูชาหรือไม่ให้ตัดสินใจเอาเอง..!

เถรี
29-03-2013, 13:20
ถาม : เนกขัมมบารมี ต้องบวชเป็นพระเท่านั้นจึงจะสามารถเกิดได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกัน...เนกขัมบารมีคือเว้นจากการมีคู่ ตั้งใจประพฤติในพรหมจรรย์ เราจะเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายทำได้ทั้งนั้น ผู้หญิงรักษาศีล ๘ ก็เป็นเนกขัมบารมีแล้ว ถ้ารักษาศีล ๘ อย่างเดียวเห็นไม่ชัดก็โกนหัวบวชชีไปเลย..!

เถรี
29-03-2013, 21:23
ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้านไปเรื่อย ๆ พอใจสบายเราควรทำอย่างไรต่อ ?
ตอบ : ยกใจไปกราบพระบนนิพพานสิจ๊ะ

ถาม : ถ้าออกกำลังกายไปด้วย ภาวนาไปด้วย ?
ตอบ : ได้...ควรทำให้ได้อย่างนั้น ทำงานทำการทุกอย่างให้อยู่กับการภาวนาให้ได้ เป็นสิ่งที่ต้องทำเลย ไม่ใช่ว่าถ้าทำแล้วกลัวว่าจะปรามาสพระ

เถรี
29-03-2013, 21:26
ถาม : เครียดเรื่องที่วัด ?
ตอบ : ตราบใดยังวิ่งหาอยู่ข้างนอกก็จะเครียดไปเรื่อย เรื่องจะจบต้องดูข้างใน ไม่ใช่ดูข้างนอก

ถาม : เครียดเรื่องชีวิตประจำวัน
ตอบ : ก็บอกแล้วว่ายังวิ่งข้างนอกอยู่ก็เครียดไปเรื่อย ต้องแก้ที่ข้างใน ถ้ารู้จักพออยู่ที่ไหนก็ได้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : โดยหลักแล้วก็คือ เรื่องดีให้เปิดเผย เรื่องไม่ดีก็ปิดไว้ หลักการปกครองเขาเป็นอย่างนั้น เรื่องไม่ดีเรามาตีกันเอง เรื่องดี ๆ ยกประโยชน์ให้กับชาวบ้านเขาไป

เถรี
29-03-2013, 21:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าไปคิดมีตัวเล็ก ๆ นะ ลูกคนอื่นน่ารักทุกคน พอเราเลี้ยงเองอยากจะบีบคอให้ตายวันละ ๓ รอบ ...(หัวเราะ)...

เด็ก ๆ เขามาตามบุญตามกรรมที่เนื่องกันมา คนไหนที่อาละวาดกับพ่อแม่ไว้มากก็จะได้รับคืนไปหลายเท่า เรื่องกรรมที่ทำกับพ่อแม่นี่เห็นทันตาจริง ๆ เห็นมาแทบทุกคน ตอนเด็ก ๆ ตัวเองแสบแค่ไหน ถึงเวลาตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่แล้วโดนแสบกว่านั้นอีก ถ้าใครรู้ตัวว่าสร้างวีรกรรมไว้มาก พยายามเลี่ยงห่าง ๆ อย่าไปมีลูกเชียว ได้คืนแน่นอน..!"

เถรี
29-03-2013, 21:36
ถาม : การทำคาถาให้ขึ้น ขึ้นอยู่กับอะไร ?
ตอบ : สมาธิและการทำอย่างจริงจังสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าภาวนาครั้งหนึ่งแล้วอีกเดือนค่อยมาเริ่มต้นใหม่ อย่างนั้นคงจะทำขึ้นอยู่หรอก

ถาม : ต้องทำจิตให้เข้มแข็งหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าสมาธิทรงตัวก็เข้มแข็งเองแหละ ถ้าทำจิตแข็งได้โดยไม่ต้องใช้สมาธิได้ก็ดีสิ

เถรี
30-03-2013, 19:30
ถาม : พระเครื่องนี้ พี่ที่ทำงานบอกว่าแท้บ้างเก๊บ้าง แต่ในเว็บเขาบอกว่าเก๊หมดเลยครับ ?
ตอบ : พระหลวงปู่ปานอย่างหนึ่ง หลวงพ่อโตวัดระฆังอย่างหนึ่ง สองท่านนี้ให้พรไว้ว่า พระของท่านจะใหม่จะเก่า ทันท่านหรือไม่ทันท่านก็ตาม ถ้านึกถึงท่าน ก็มีอานุภาพเหมือนกัน

เรื่องของวัตถุมงคลอย่าไปสงสัย สรุปง่าย ๆ ว่าถ้าสะสมวัตถุมงคลก็อย่าไปเข้าตลาดพระ อาตมาเองเห็นเขาให้บูชาพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์ใหญ่ ปี ๒๔๙๗ ราคาสองล้านห้าแสนบาท เห็นว่าของอาตมาสวยกว่าตั้งเยอะ ให้ลูกศิษย์เอาไปลองแหย่ดู เขาให้แค่แสนเดียว..!

เล่นพระอย่าเล่นด้วยหู เขาให้เล่นด้วยตา พยายามศึกษาให้รู้จริงเข้าไว้ พอถึงเวลารู้จริงก็เหมือนเรารู้จักต้นไม้ เรารู้จักว่านี่ต้นมะขาม ต่อให้ต้นใหญ่ต้นเล็กต้นแก่ต้นอ่อน เราดูก็รู้ว่านี่คือต้นมะขาม ไม่ต้องไปฟังใคร ถึงเขาจะบอกว่ามะม่วง เราก็มั่นใจว่านี่เป็นมะขามอย่างแน่นอน

ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชปริยัติโมลี (โสภา เขมสรโณ ป.ธ.๙) วัดพระงาม จังหวัดนครปฐม ท่านบอก "ตอนแรกกูก็ไม่ได้คิดจะดูพระกับใครหรอก เห็นเขาส่องพระ กูยังตำหนิเขาเลย ไป ๆ มา ๆ พอเขาเอาพระมาให้ โดนปลอมไปหลาย ๆ องค์ ชักรำคาญ มัวแต่อาศัยตาคนอื่นก็เกรงใจ ดูเองก็ได้วะ" พอตำแหน่งท่านใหญ่ขึ้นก็มีคนเอาพระเครื่องมาถวายอยู่เรื่อย พูดง่าย ๆ ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาหวังประโยชน์ก็เอาพระมาถวาย ปรากฏว่าพอเอาไปให้เซียนดู เป็นของเก๊อยู่เรื่อย ท้ายสุดท่านก็เลยดูเองดีกว่า

เถรี
30-03-2013, 19:31
ถาม : หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามก็เหมือนกันครับ
ตอบ : ตอนสมัยที่ท่านยังอยู่ เวลาไปหาหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม อาตมามักจะเอาพระไปถวายท่านด้วย พอกราบเรียนท่านว่าผมไม่มั่นใจว่าแท้หรือเปล่า เพราะดูไม่เป็น ท่านนั่งสอนให้เป็นชั่วโมง โยมเห็นว่าอาตมาไม่กลับออกมาเสียที คิดว่ากลับออกไปทางอื่นแล้ว

ตอนไปเปิดงานที่วัดไร่ขิง มีคนถวายพระเครื่อง หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านรอจนงานเขาเสร็จ มีเวลาว่างแล้วท่านก็นั่งส่อง พระที่จะทำความสะอาดเก็บกวาดสถานที่ เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านนั่งส่องพระอยู่ก็ "หลวงตา..! เขากลับกันหมดแล้ว ยังจะมานั่งส่องพระอยู่อีก" พอท่านเงยหน้าขึ้นมา พระก็เข่าอ่อนร่วงอยู่ตรงนั้นแหละ หลวงตาที่ว่ากลายเป็นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม..!

เถรี
30-03-2013, 20:28
ถาม : เวลาปฏิฆะเกิด เราเอาวิปัสสนาญาณเข้าไป ตอนแรกมันก็ขาด สักพักก็คิดขึ้นมาอีกแล้วครับ เป็นอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จนกำลังเราเหนือกว่า กดทับเอาไว้ได้ แต่ก็ยังอยู่ เผลอเมื่อไรก็มาอีก แต่ระยะเวลาที่ชนะจะได้นานขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี
30-03-2013, 20:55
ถาม : พระพุทธชินราชกับสมเด็จองค์ปฐมต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : แสดงว่าคุณเล่นพระเครื่องไม่ได้แน่ องค์ใหญ่ขนาดนั้นยังไม่เห็นความต่างอีก สมเด็จองค์ปฐมมุมพระโอษฐ์แทบจะไม่มี ลักษณะเต็มอิ่มเลย แต่พระพุทธชินราชมุมพระโอษฐ์จะเห็นชัดมาก คุณลองไปสังเกตดู พิมพ์พระเครื่องมีมากกว่านั้นอีก นี่องค์ขนาด ๔ ศอกยังไม่เห็นความต่างก็เลิกคุยได้เลย ..(หัวเราะ)..

เถรี
30-03-2013, 21:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "การออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถือว่าเราทำหน้าที่ การที่ทำหน้าที่ของตนให้ดีนั้น ถือว่าปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าอยากรู้ว่าหน้าที่ของตนมีอย่างไร ให้ไปดูในสิงคาลกสูตร พระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสกับสิงคาลมาณพที่ไปไหว้หน้าไหว้หลัง ไหว้บนไหว้ล่างอยู่ตลอดทุกวันว่า

"มาณเว..ดูกร..มาณพ เธอกำลังทำอะไรอยู่ ?" มาณพทูลว่า "ก่อนพ่อจะตายท่านสั่งให้ไหว้ทิศทั้ง ๖ ทุกวัน" พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "สิ่งที่เธอทำเป็นความดี ที่ทำตามที่พ่อสั่ง แต่ถ้าเป็นทิศทั้ง ๖ ในความหมายของตถาคตจะเป็นอย่างนี้..." แล้วพระองค์ก็บอกว่า ทิศเบื้องบนคือสมณชีพราหมณ์ ทิศเบื้องล่างคือข้าทาสบริวาร ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหาย ทรงบอกว่าแต่ละทิศเราต้องทำหน้าที่อย่างไรบ้าง

ฉะนั้น..การทำหน้าที่ของเราให้ดีก็คือการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะถ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ถึงเวลาไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทำตามหน้าที่ของเราเท่ากับเป็นการฝึกในสัจจบารมี คนที่มีสัจจบารมีเป็นคนตรงไปตรงมา ทำหน้าที่ทุกประการอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจะเป็นคนตรงเวลามาก ถ้าใครไม่ตรงเวลาแสดงว่าสัจจบารมียังพร่องอยู่"

เถรี
02-04-2013, 20:10
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลูกศิษย์ท่านพระครูสังฆรักษ์คณิศรนิมนต์ให้ไปนั่งปรกตอนหล่อระฆัง เขาบอกว่างานเริ่มประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมาก็ไปก่อนเวลาหน่อย ไปถึงประมาณบ่ายสองโมง ปรากฏว่าได้ขึ้นธรรมาสน์เกือบสองทุ่ม เพราะว่างานของเขามีการสวดชินบัญชร ๑๐๘ จบก่อน ไม่รู้ว่านานเท่าไร รู้แต่ว่าคนสวดเกือบจะเป็นลม ...(หัวเราะ)... พุทธาภิเษกเสร็จ กลับไปถึงวัดสี่ทุ่มกว่า

โดนไปงานเดียวนี่เข็ดเลย ต่อไปงานไหนที่ควบคุมเวลาไม่ได้จะไม่ไปอีก ลืมตาขึ้นมาบนธรรมาสน์ ตอนแรกนึกว่าจะลงไปกราบหลวงพ่อราชรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ปรากฏว่าท่านอันตรธานไปตอนไหนก็ไม่รู้ สรุปง่าย ๆ ก็คือ ท่านไหนที่เผ่นได้ก็เผ่นกันหมดแล้ว เหลือแต่อาตมากับพรรคพวกไม่กี่คนที่อยู่จนงานเขาเสร็จ

เห็นประโยชน์อยู่อย่างหนึ่งก็คือเรื่องของสมาธิ ในเมื่อตั้งเวลาว่าให้งานเขาเสร็จแล้วค่อยถอนสมาธิ สมาธิจะไม่ยอมถอนออกมาหรอก อยู่อย่างนั้นแหละ พอเลิกเมื่อไรถึงถอนออกมา ให้ลงจากธรรมาสน์ได้ เรียกว่านั่งกันจนลืมโลกไปเลย

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ จิตที่ได้รับการฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ในเมื่อเราซักซ้อมกำลังใจเอาไว้ สามารถเข้าออกสมาธิตามเวลาที่ต้องการได้ อย่างน้อย ๆ กิเลสต่าง ๆ ก็กินเราไม่ได้ชั่วคราว ตราบใดที่ไม่ออกจากสมาธิมาแส่หาเรื่อง เราก็เดือดร้อนน้อยหน่อย"

เถรี
02-04-2013, 20:19
"ดังนั้น..แม้ว่าในขั้นต้น ๆ ของการปฏิบัติ เราทรงสมาธิได้คล่องตัว สามารถหลบหลีกหนีกิเลสได้ แต่ถ้าใครมีปัญญาประกอบมาก พิจารณาเห็นโทษของกิเลส เข้าถึงสาเหตุว่าแต่ละอย่างเกิดจากอะไร แล้วเราไม่ไปแตะต้องสาเหตุของกิเลสนั้น ๆ กิเลสก็ไม่เกิด ถ้าอย่างนั้นกำลังสมาธิก็จะเป็นตัวหนุนเสริมปัญญาในการตัด ละ กิเลสเหล่านั้นลงไปได้

นั่งสบายใจเฉิบอยู่บนธรรมาสน์ รอว่าเมื่อไรจะเสร็จ อาตมาไม่ได้ร้อนไปด้วย เพราะจะขึ้นนั่งปรกแต่ละทีนี่เล็งแล้ว เล็งด้านที่อยู่เหนือลม พอถึงเวลาลมพัดจากข้างหลังไปข้างหน้า ความร้อนก็มาไม่ถึง รูปไหนไปอยู่ทิศที่เป็นใต้ลม กว่าจะเสร็จก็แทบจะกลายเป็นเนื้อย่างรมควัน..!

โบราณเวลาจะแสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงจะแนะนำว่าให้เว้นจาก อุปปริ วาตัง อย่าไปนั่งเหนือลม เพราะถ้าเราลืมอาบน้ำสัก ๓ วัน คนฟังได้กลิ่นคงเป็นลมตายไปเสียก่อน แม้กระทั่งการแสดงธรรมพระพุทธเจ้ายังให้สังเกตทิศทางลม การหล่อพระก็เลยยิ่งจำเป็น ต้องรีบสังเกตทางลมก่อน เพราะว่าปะรำพิธีหล่อพระจะร้อนมากทุกที่ ลมพัดไปทางด้านไหน อาตมาก็ไปนั่งทิศตรงกันข้ามเดี๋ยวนั้นเลย"

เถรี
02-04-2013, 20:28
"พรานล่าสัตว์เวลาจะเข้าไปล่าสัตว์ก็ต้องดูให้ตัวเองอยู่ใต้ลม คือให้ลมพัดจากสัตว์มาหาเรา กลิ่นของเราไปไม่ถึง สัตว์จะได้ไม่หนี อาจจะใช้ฝุ่นโรยเพื่อดูทางลมก็ได้ ถ้าหาฝุ่นไม่ได้ก็ให้อมนิ้วมือตัวเองแล้วยกขึ้น ลมมาด้านไหนด้านนั้นจะเย็นกว่า อมเฉพาะนิ้วนะ ไม่ใช่อมทั้งกำปั้น ...(หัวเราะ)... เป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างหนึ่ง

ส่วนใหญ่แล้วสัตว์กินหญ้าจะจมูกไวมาก พวกนี้เชื่อจมูกมากกว่าตา ถ้าจมูกได้กลิ่นจะหนีทันที แต่ถ้าตาเห็นแล้วเรายืนนิ่ง ๆ บางทีเขาก็มองเฉย ๆ ได้ยินนักสัตวศาสตร์เขาบอกว่า พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกระดูกสันหลังอย่างเก้ง กวาง วัว ควาย จะเห็นภาพเป็นสีขาวดำ ในเมื่อเห็นภาพเป็นขาวดำ ถ้าเรายืนเฉย ๆ เขาก็ไม่มั่นใจว่าตอไม้หรือเปล่า แต่ถ้าได้กลิ่นเขาจะหนีทันที

แต่จะว่าหนีก็ไม่ใช่ อาตมาอยู่ในป่าบางทีเจอวัวแดงเป็นฝูง ประมาณสิบกว่าตัว เขาเห็นตอนแรกก็ชะงัก อาตมาก็ชะงัก เพราะพระกับวัวเขาลือกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า วัวไม่ชอบสีจีวรพระ อาตมาจึงต้องทำใจดีสู้วัว ยื่นมือไปให้ ตัวหน้าก็ยื่นจมูกมาดม ดมเสร็จก็ร้องบอกเพื่อน เพื่อนก็เดินมาดม สรุปว่าวัวทั้งฝูงมาดมมือจนหมดแล้วก็ไป แสดงว่าเขาดมดูแล้วว่าไม่น่าจะมีอันตราย

พวกพรานป่าล่าสัตว์ต้องกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ซึ่งจะมีกลิ่นตัวสัตว์อยู่ ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้พระฉันพวกเนื้อเสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว ราชสีห์ หมี งู ฯลฯ เพราะถ้าฉันเข้าไปแล้วกลิ่นตัวจะเป็นกลิ่นของสัตว์ชนิดนั้น เวลาเข้าไปในเขตของเขา เขาจะเห็นเป็นสัตว์แปลกหน้าไปบุกรุกถิ่นเขา แล้วจะไล่ทำร้ายไปให้พ้นเขต แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราเวลาโดนทำร้ายมักจะตายเสียก่อน ที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามฉันเนื้อ ๑๐ อย่าง สาเหตุหนึ่งเพราะว่าถ้าฉันไปแล้วอาจจะโดนสัตว์ทำร้ายได้ทีหลัง"

เถรี
02-04-2013, 20:43
ถาม : ดิฉันไปถวายของที่วัดสายพระป่า แต่ท่านไม่รับของหลังจากฉันเช้าแล้ว ?
ตอบ : ถูกต้องแล้วจ้ะ

ถาม : เหมือนกับเราทำบาป เพราะเราไม่รู้ว่าท่านไม่รับอาหาร อย่างพวกบะหมี่แห้ง ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก พระธรรมยุตท่านเคร่งครัดต่อพระวินัย หลังมื้ออาหารแล้วท่านจะไม่รับอาหารที่มาทีหลัง เพราะว่าในธุดงควัตรจะมีบอกว่าห้ามภัตร คืออาหารที่ตามมาหลังจากฉันแล้ว ท่านกลัวว่าจะผิดศีลตรงนี้ ท่านก็เลยไม่รับ ถ้าวัดไหนที่ท่านไม่ได้สมาทานธุดงควัตรตรงนี้ท่านก็รับได้ ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นพระป่าสายหลวงปู่มั่น ท่านจะถือธุดงควัตร คราวนี้เราไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ถวายไปท่านไม่รับ เราก็เอาไปถวายวัดที่รับเสียก็หมดเรื่อง

ถาม : ท่านรับแล้วค่ะ แต่ท่านก็ตกใจ
ตอบ : เจออาหารยังตกใจ ถ้าเจอสาว ๆ เข้าคงจะยุ่ง เห็นใจท่านเถอะ แสดงว่ายังบวชไม่นาน ตบะยังสู้อาหารไม่ได้..!

ถาม : เหมือนกับเราทำบาป เพราะเราไม่รู้ว่าท่านไม่รับอาหาร เราบาปไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก เจตนาเราดีตั้งแต่ต้น กลัวพระจะอด อุตส่าห์เอาอาหารไปถวาย

เถรี
02-04-2013, 20:45
ถาม : เอาจีวรผ้าไหมอย่างดีไปถวายท่าน ท่านต่อว่าเลย ว่าเอาผ้าขาวมาถวายก็พอ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่พระป่าท่านเย็บย้อมจีวรด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าเห็นคำว่า "พระป่า" "วัดป่า" หรือวงเล็บท้ายชื่อวัดมี “ธ” แปลว่า ธรรมยุต เอาผ้าขาวไปถวายก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวท่านจัดการเอง แล้วถ้าหลังเก้าโมงเช้าไปแล้ว ก็อย่าเอาอาหารไปถวาย เพราะท่านคงฉันไปแล้ว เราทราบทีหลังก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ

เถรี
02-04-2013, 20:47
ถาม : ช้างป่าที่โดนด่าแล้วรู้ นี่เป็นเพราะว่าเขาฉลาด ?
ตอบ : อันนั้นผีรู้...ส่วนใหญ่ช้างป่าจะมีผีดูแลอยู่ บางทีก็ไม่ใช่ผีแต่เป็นเทวดา ถึงจะเป็นพวกภุมมเทวดาหรือรุกขเทวดาก็ตาม แต่ท่านมีความเป็นทิพย์ ด่าเขาไกลแค่ไหนเขาก็ได้ยิน แล้วก็รู้ด้วยนะว่าใคร ด่าดีนักใช่ไหม ? ว่าแล้วช้างก็ไปกวาดเรียบ

เถรี
02-04-2013, 21:05
ถาม : ผมยังมีความกังวลใจเวลามีผู้โมทนาบุญผม เพราะบางทีผมหล่อพระแล้วผมก็ด่าคน ผมอยากให้คนอื่นโมทนาบุญแบบบริสุทธิ์ไม่มีอกุศลกรรมของผมเจือปน ?
ตอบ : คนอนุโมทนาเขาไม่โง่หรอก เขาเอาแต่ที่ดี ๆ ส่วนที่ไม่ดีของเรา เราก็รับต่อไปเถอะ อย่าลืมว่า คำว่า "บุญ" ก็คือความดี ความงาม ความเป็นกุศล ความสุข ในเมื่อเขาโมทนาบุญ แปลว่าเขาเลือกแต่ความดี ความงาม ความเป็นกุศล ความสุข เขาไม่ได้เลือกที่คุณกำลังด่าคน เพราะฉะนั้น..จงกลุ้มต่อไป เขาเองสบายไปแล้ว

เถรี
02-04-2013, 21:10
ถาม : จะมีวิธีปฏิวัติความเชื่อของคนได้บ้างหรือไม่ครับ ? เพราะว่าพ่อแม่ผมเชื่อและศรัทธาในร่างทรง ตอนแรกผมก็ว่าจะปล่อย พอตอนหลังเขาก็ปรามาสพระ มีครั้งหนึ่งที่ผมก็เอามีดหมอถอนโบสถ์วัดปรังกาสีกับพระขรรค์โสฬสไป เขาไม่กล้ามองหน้าผม แต่พ่อแม่ผมก็ยังศรัทธาเขาอยู่ ?
ตอบ : มีสองอย่าง...อย่างที่หนึ่ง..ทำตัวของเราเอง ก็คือ พยายามสร้างอภิญญาสมาบัติให้เกิดขึ้นให้ได้ ในเมื่อเรายังอภิญญาให้เกิดขึ้นได้ ในความเป็นฆราวาสเราสามารถทำให้พ่อแม่ดูได้ พอพ่อแม่เห็นแล้วก็เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใสขึ้นมา เราค่อยไปเปลี่ยนแนวความเชื่อของเขา ส่วนวิธีที่สอง...อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ทางใครทางมัน

เถรี
02-04-2013, 21:25
ถาม : แม่ย่านางรถ ถ้าเราไม่ได้ทำพิธีบวงสรวง ท่านจะมาไหมคะ ?
ตอบ : ปกติต้องเชิญถึงจะมาได้

ถาม : ปกติแม่ย่านางต้องเป็นผู้หญิงหรือเปล่าหรือเป็นผู้ชายก็ได้ ?
ตอบ : ไม่แน่...เจอนายมาเยอะแล้ว

ถาม : แม่ย่านาง ท่านจะต้องตามติดพาหนะไปหรือคะ ?
ตอบ : เป็นงานของท่าน ในเมื่อเป็นงานของท่าน ถึงเวลาท่านก็ต้องไปด้วย

ถาม : ปกติท่านจะมีขอบเขตของท่าน ถ้าออกไปนอกเขต ก็ถือว่าท่านยังตามไปได้ ?
ตอบ : ไปได้ เพราะรถเป็นเขตของท่าน

ถาม : ถ้าเราเช่ารถ รถมีแม่ย่านางอยู่แล้ว หนูจะเชิญแม่ย่านางของหนูไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : มีอยู่แล้ว ก็เป็นหน้าที่เขา ใครจะไปยุ่งด้วยเล่า ?

เถรี
02-04-2013, 21:42
ถาม : ตอนแรก ๆ ก็เห็นว่าต่อมใต้สมองเป็นตัวสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว แต่พอผ่านไปสักระยะเห็นว่าไม่ใช่สมองสั่ง ?
ตอบ : ใจสั่ง..สมองรับคำสั่งจากใจ แล้วไปบังคับประสาทให้ทำงาน

ถาม : แต่ใจนักวิทยาศาสตร์เขาไม่เชื่อถือ ?
ตอบ : เขาไม่เห็น ไม่เห็นไม่พอ ยังไม่เชื่ออีกด้วย

ถาม : สรุปว่าหนูผิดหรือเปล่า ที่เห็นว่าตัวเริ่มไม่ใช่สมอง ?
ตอบ : อย่าลืมว่าพอฝึกไปตอนท้าย ๆ ใช้คำว่า อยากยืน อยากเดิน อยากนั่ง แล้วพอพิจารณาเข้าจริง ๆ เป็นความอยาก แต่ว่าเป็นความอยากที่ละเอียดมาก เราไม่รู้เพราะสติสมาธิไม่พอ มองไม่เห็น เมื่อละเอียดพอที่จะเห็นเข้าจริง ๆ แล้วที่แท้เราก็อยากทำนั่นเอง

ถาม : ฝึกไปเรื่อย ๆ เราจะสั่งได้ไหม หรืออยู่ที่ตัวเรา ?
ตอบ : ได้..ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ทั้งหมดเริ่มจากใจ

เถรี
02-04-2013, 21:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดีใจที่วันนี้คนมาน้อย แสดงว่าไปเลือกตั้งกัน ประเทศชาติของเราก้าวมาถึงจุดนี้ อยู่ในช่วงที่เริ่มจะไต่ขึ้นแล้ว หลังจากที่ลงก้นเหวมานาน แต่เกรงว่าในหลวงไม่อาจจะฝืนพระวรกายอยู่จนกระทั่งเห็นประเทศชาติเป็นไปตามที่พระองค์ต้องการ

สมมติว่าเราทุ่มเทสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วไม่มีโอกาสได้ดูตอนเสร็จเรียบร้อย ก็คงลักษณะคล้าย ๆ กัน ช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านในบ้านในเมืองก็ต้องทนความลำบากกันหน่อย ช่วงนี้ก็ถือว่ากำลังก้าวล่วง ก็คือพ้นก้นเหว แต่ว่าการไต่ขึ้นนี่เหนื่อยกว่าตอนลงเยอะเลย

พอชราแล้วก็ต้องอาศัยผู้อื่น มีภาษิตจีนอยู่บทหนึ่งว่า “ม้าศึกชราหมอบอยู่ในคอก หัวใจโลดแล่นไปพันลี้” ตอนประเภทวัยรุ่นหรือหนุ่ม ๆ อยู่ก็พาเจ้านายไปได้ทั่วประเทศ ตอนแก่แล้วไปไม่ไหว ได้แต่นอนอยู่คอก แต่ใจก็ยังไปอยู่ อยากจะบอกว่าตอนนี้สภาพของในหลวงก็อย่างนั้นแหละ เหมือนกับม้าศึกชรา ยังคงอยากจะทำประโยชน์ให้กับประชาชนเหมือนอย่างกับสมัยก่อน แต่ตอนนี้กำลังพระวรกายไม่ให้แล้ว"

เถรี
02-04-2013, 21:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยบอกกับญาติโยมหลายท่านว่า อาตมาภูมิใจในความเป็นเด็กบ้านนอก ที่เคยลำบากมาก่อน เพราะฉะนั้น..ทุกอย่างที่เจอในปัจจุบันจะไม่ลำบากเท่าที่เคยเจอมา จึงเลยกลายเป็นงานง่าย งานสบาย จึงภูมิใจในความเป็นเด็กบ้านนอกมาก

พวกเราที่เลี้ยงลูก ถ้าคิดกันอย่างหลักการทั่ว ๆ ไปก็คือเราอายุมากกว่า ต้องตายก่อนแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องให้ลูกเขาทำอะไรด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด ถ้ามัวแต่ไปตามดูแลเขาอยู่จนเขาทำอะไรไม่เป็น ถ้าเราปุบปับเป็นอะไรไป ลูกจะน่าสงสารมาก เพราะทำอะไรไม่เป็นเลย อย่าไปดูแล อย่าไปโอ๋มาก ให้ลูกเขาเข้มแข็งอยู่ได้ด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด"

เถรี
03-04-2013, 21:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ได้ยินว่าอุตรกุรุทวีปจะโดนปลดออกจากระบบสุริยจักรวาลแล้ว อุตรกุรุทวีปคือดาวพลูโต เขาบอกว่าไม่น่าจะเป็นวงโคจรที่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์ ก็เลยจะปลดดาวพลูโตออกจากระบบสุริยจักรวาล

ที่อุตรกุรุทวีปคนเขามีลูกทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ ผู้หญิงก็เลี้ยงได้ผู้ชายก็เลี้ยงได้ พอถึงเวลาเด็กจะกินนมก็เอานิ้วแหย่ใส่ปาก จะมีน้ำนมให้กิน เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงก็เลี้ยงลูกได้ผู้ชายก็เลี้ยงลูกได้ ชาวอุตรกุรุทวีปมีต้นข้าวที่ไม่มีเปลือกหุ้มเมล็ด ถึงเวลาไปรูด ๆ จากรวงใส่หม้อ เอาน้ำใส่ ตั้งบนแก้วมณีพักเดียวก็สุก รู้สึกว่าจะใช้งานได้ดีกว่าไมโครเวฟของเราอีก เพราะสุกพอดีไม่มีการไหม้

ถึงได้บอกว่าชาวอุตรกุรุทวีปมีบุญตรงที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหาร ไม่ขาดแคลนเรื่องอาหาร ชาติก่อนทำทานเรื่องอาหารไว้มาก มีความดีมากไม่พอจะเกิดเป็นเทวดา แต่ความดีก็มากเกินกว่าจะมาเกิดร่วมกับเรา จึงต้องไปอยู่ที่อุตรกุรุทวีป"

เถรี
03-04-2013, 21:26
ถาม : หนูไปฝึกมโนมยิทธิ ถ้าจะเปลี่ยนคำภาวนาจากนะมะพะธะเป็นอย่างอื่นจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : อะไรก็ได้...เวลาที่เราคล่องแล้ว ไม่ทันจะภาวนาก็ไปแล้ว เรานึกถึงพระนิพพานก็ไปแล้ว ไม่ทันจะภาวนาหรอก เพราะฉะนั้น..ใช้อะไรก็ได้ อาตมาเองภาวนาพุทโธก็ไปได้ มาตอนหลังไม่ทันจะภาวนาก็ไปแล้วทุกที

เถรี
04-04-2013, 12:24
ถาม : เจ้ากรรมนายเวร กับผลวิบากกรรม คืออย่างเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เราเข้าใจว่าเจ้ากรรมนายเวร คือ เราทำใครไว้แล้วคนนั้นตามมาจองเวร แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเจ้ากรรมนายเวรตาย ก็ไปตามภพตามภูมิ ผลกรรมที่เราทำไว้ต่างหากที่ตามมา มีไม่กี่รายหรอกที่เจ้ากรรมนายเวรตายก่อนอายุแล้วตามมาจองเวร พอถึงเวลาหมดอายุของเขาก็ต้องไปตามกรรม

ถาม : แล้วการอโหสิกรรมล่ะครับ ?
ตอบ : การอโหสิกรรม คือ การปลดตัวเองออกจากความรู้สึกนั้น การอโหสิกรรมที่แท้จริงต้องอยู่ต่อหน้ากัน แล้วเอ่ยปากยอมกันถึงจะหลุด ปัจจุบันของเราที่ขออโหสิกรรมนั้น เราขออยู่ฝ่ายเดียว เราเป็นฝ่ายปลดตัวเราเองออกมาจากกรรมนั้น

เถรี
04-04-2013, 12:33
ถาม : หมอเวลารักษาผู้ป่วย จะมีผลกระทบต่อตัวเองหรือไม่ ?
ตอบ : ลูกปืนกำลังวิ่งใส่เขา เราไปยืนขวางตัวเองก็โดนด้วย สมัยโบราณเขาเก่ง เขาจะมีการไหว้ครู ขอบารมีครูบาอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ ช่วยปกป้อง ถึงเวลาก็ให้คนไข้อนุญาตก่อน สมัยนี้ไม่ค่อยมีหรอก

ถาม : ถ้าอย่างนั้นการที่หมอรักษาคนเท่ากับฝืนกฎแห่งกรรมหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้าเขาสามารถรักษาได้ คือวาระกรรมนั้นยังไม่หนักเกินไปสำหรับคน ๆ นั้น แต่ถ้าหนักเกินแล้วตัวเองยังไปฝืนอยู่ เดี๋ยวจะโดนเอง ฉะนั้น..รักจะเป็นหมอก็ต้องเสี่ยงหน่อย

เถรี
04-04-2013, 12:39
ถาม : เวลาภาวนาอยู่ เหมือนภาพพระพุทธองค์เคลื่อนไหว กลายเป็นสีเหลืองทั้งองค์ ?
ตอบ : เริ่มดีแล้วจ้ะ...เราก็รักษาไปเรื่อย ๆ แล้วภาพจะค่อย ๆ ขาวขึ้นเอง ตอนแรกจะเป็นสีเหลืองก่อน พยายามให้ภาพนั้นทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ เราจะได้ไม่ต้องบังคับมาก ถ้าทำจนรู้สึกเองเป็นอัตโนมัติ จะภาวนาเอง รู้ลมหายใจของเราเอง เราก็รักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ แล้วภาพพระก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นใสขึ้นเรื่อย

เถรี
04-04-2013, 13:25
ถาม : พระบางรูปบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรมีจริง บางรูปบอกว่าไม่มีจริง รบกวนไขข้อข้องใจด้วยครับ ?
ตอบ : มีจริงและไม่มีจริง เจ้ากรรมนายเวรส่วนใหญ่ของเรา หมายถึงบุคคลที่เราทำร้ายหรือเข่นฆ่าเขา ถ้าเขาถึงความตายแล้วส่วนใหญ่เขาจะไปรับบุญรับบาปของเขา แต่ผลที่เรากระทำนั้นแหละ เป็นตัวที่ส่งผลให้เราเป็น ก็เลยกลายเป็นว่าเราเห็นว่าเจ้ากรรมนายเวรเขาตามจองเวร แต่จริง ๆ แล้ว ผลของกรรมต่างหากที่เป็นคนจอง แบบเดียวกับเราฆ่าคนตาย คนตายแล้วก็ตายไป แต่กฎหมายต่างหากที่มาจัดการกับเรา

ขณะเดียวกันยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ตายโดยยังไม่หมดอายุขัย แล้วเขากำหนดจดจำได้ว่าเราเป็นคนทำร้ายเขา พวกนี้เขาก็ตามอาฆาตอยู่เหมือนกัน ก็เลยเป็นไปได้ว่าทั้งเจ้ากรรมนายเวรที่มีตัวตนไม่มีตัวตน แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๐ จะไม่มีตัวตน

เถรี
04-04-2013, 13:46
ถาม : เด็กหรือผู้ใหญ่ที่อายุเยอะ เวลาเรามาทำบุญจะบอกเขาอย่างไรให้เขารับบุญ ?
ตอบ : ถ้าไม่สามารถที่จะบอกกล่าวแล้วรู้เรื่องกันตามปกติ ก็ให้จับเขามาทำด้วยกันเลย ในลักษณะที่เรียกว่ากตัตตากรรม ถึงไม่เจตนา บุญก็ยังเป็นของเขาอยู่ คือให้เขามีส่วนร่วมด้วย

เถรี
04-04-2013, 13:51
ถาม : ในกรณีเด็กเล็ก ๆ เราควรพามาที่วัดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วอยู่ในท้องแม่ก็ควรพามาแล้ว ที่นี่มีหลายคนที่เขามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เป็นการสร้างปัจจัยนิสัยให้กับเด็ก พอเขาคุ้นชินเขาก็จะมาทางด้านนี้ เป็นเรื่องที่พ่อแม่จะต้องชักนำเขาเอง

ถาม : ผมกลัวว่าเด็กมาแล้วจะร้องโวยวาย วิ่งซน จะรบกวน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเขาเข้าใจว่าเด็กก็คือเด็ก เราจะเห็นว่าเด็กจะดื้อจะซนเราก็อภัยให้เขาได้ แต่คราวนี้ส่วนใหญ่เราไม่สามารถจะเห็นว่าธรรมดาของผู้ใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น พอถึงเวลาเราจะไปโกรธผู้ใหญ่แต่เราให้อภัยเด็ก แต่ถ้าเราเห็นธรรมดาเหมือนกัน แม้กระทั่งผู้ใหญ่เราก็จะให้อภัยแก่เขาได้

เถรี
04-04-2013, 14:03
ถาม : สมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ที่หน้าวัดพระพักตร์สวยมากค่ะ
ตอบ : ต้องไปดูตอนเขาแต่ง พอเขาใส่พระเนตรแล้วออกมาสวยถูกใจมากเลย เดี๋ยวต้องรอดูสมเด็จองค์ปฐมของพระครูหน่อยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร พิมพ์เดียวกันนั่นแหละ คนทำก็ชุดเดียวกัน แต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์เหมือนกัน

คราวนี้เขาทำอยู่กับอาตมาเขาอารมณ์ดี เพราะได้กินเต็มที่ นอนเต็มที่ ขาดอะไรบอกได้เดี๋ยวนั้นเลย เฉพาะค่าบุหรี่ควักให้อาทิตย์ละ ๕,๐๐๐ บาท บอกเขาว่า “บุหรี่แพง ถ้าพวกคุณไปซื้อกันเอง ๒๐ คน คุณจะเอาเงินที่ไหนมา เพราะฉะนั้น..เอาที่ผมนี่แหละ” เขาก็เลยทำกับอาตมาอย่างสบายใจ แล้วเขามาทำหวังกุศลอย่างเดียว ตอนกลับอาตมายังติดปลายนวมให้เขาไปแสนหนึ่ง ๒๐ คนถวายท่านไปแสนหนึ่ง ไปหารกันเอาเอง

ถาม : ก็ได้คนละห้าพันเองนี่คะ
ตอบ : ใช่...แต่ที่อื่นไม่ได้เลย เขาไปทำกำแพงเพชร เขาบอกว่าเป็นวัดธรรมยุติ เขาถวายข้าวมื้อละจานเดียว ฉันไม่อิ่มก็ต้องไปซื้อฉันกันเอง แต่อาตมานี่บอกเต็มที่เลย ต้องการอะไรเรียกร้องได้

เถรี
04-04-2013, 14:10
ถาม : เดี๋ยวนี้เขานำถั่วเขียวมาทำเป็นน้ำปานะ พระฉันได้หรือคะ หนูงงจริง ๆ ค่ะ ?
ตอบ : หลายที่เขาฉันกันเป็นปกติ แต่ว่าผิดพระวินัย เพราะว่าถั่วเขียวจริง ๆ เป็นอาหาร ต่อให้ทำเป็นปานะก็ไม่ควร พวกน้ำฟักทอง น้ำถั่วเขียว น้ำเผือก น้ำมันเทศ ในปัจจุบันเขาฉันกันเป็นปกติ ไปที่ไหนก็มี อาตมารับมาแล้วต้องวาง เพราะรู้ว่าเป็นอาหาร

ถาม : เณรชาวเขาออกจากวัดไปเซเว่นฯ กันเลย
ตอบ : ไม่ต้องห่วง...เณรที่ไหนก็เหมือนกันแหละ เณรที่ด่านช้างพาพระหน้าแตกไปด้วย พระสั่งให้ไปซื้ออาหารตอนเย็น เณรก็เดินท่องไปเลย “ก๋วยเตี๋ยวสี่ บะหมี่สอง กะหล่ำปลีไม่เอา เอาผักบุ้ง” อาจารย์เขาสั่งแล้วเณรเดินท่องไปเลย ชาวบ้านก็รู้กันหมด

นาน ๆ ไปความย่อหย่อนมีมากขึ้น ถึงได้บอกกับญาติโยมหลายคนที่ประท้วงว่า วัดท่าขนุนเข้มงวดไปหรือเปล่า ? ก็บอกกับเขาว่า “ถ้าเข้มเอาไว้ ถึงเวลาเราผ่อนจะพอดี แต่ถ้าไปปล่อยหย่อนตั้งแต่แรก ผ่อนแล้วจะยาน”

ถาม : เห็นกับตาเลย บ่ายสองโมงยังเปิดตู้เย็นฉัน
ตอบ : ก็ไม่เห็นหรือว่าที่เพิ่งผ่านมา พระควงสาวไปนั่งร้านอาหารตอนห้าโมงเย็น เขาถ่ายไปลงเฟซบุ๊กกันครึกครื้น ถึงได้บอกว่าอาตมาพยายามจะยืนหยัดอยู่ เพื่อแนะนำในสิ่งที่ดีที่ควรให้กับพระเณรของเรา แล้วที่เหลือรุ่นต่อไปถึงคิวท่านขึ้นมารับผิดชอบเป็นเจ้าอาวาส เป็นครูบาอาจารย์ ก็ให้เขาดูแลกันไปเอง

เถรี
10-04-2013, 19:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ามีโยมมาถามว่า เพื่อนจะแต่งงานวันเสาร์ ๕ ค่ำ จะช่วยเขาแก้ได้อย่างไร ? อาตมาบอกว่าไม่ต้องช่วย..เขาแก้กันเองได้ ไปช่วยผิดจังหวะเดี๋ยวเขาจะเตะเอาด้วย..!

เรื่องนี้มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือไม่รู้จริง ๆ ว่าวันเสาร์ ๕ ไม่ควรแต่งงาน อย่างที่ ๒ ก็คือ ถึงรู้ก็จะแต่ง ถ้าเป็นแบบถึงรู้ก็จะแต่งนี่น่าจะเป็นบุพเพสันนิวาส ประเภทนั้นถ้าไม่ให้แต่งก็หนีตามกันเลย
บาลีเขาว่า ปุพเพสันนิวาเสนะ ปัจจุปปันนะ หิเตนะ วา เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโถทะเกฯ


มีคนเขาผูกเป็นกลอนแปลไว้ว่า

......................เพราะได้เกื้อกูลกันในกาลก่อน..........เพราะอาทรห่วงใยในชาตินี้
......................จึ่งศรรักปักใจในทันที.....................ดั่งวารีเคียงคู่กับอุบล

ปุพเพสันนิวาเสนะ = เพราะได้เกื้อกูลกันในกาลก่อน ปัจจุปปันนะ หิเตนะ วา = เพราะอาทรห่วงใยในชาตินี้ เอวันตัง ชายะเต เปมัง = จึ่งศรรักปักใจในทันที อุปะลัง วะ ยะโถทะเก = ดั่งวารีเคียงคู่กับอุบล จริง ๆ แล้วแปลว่า เหมือนกับบัวที่ขาดน้ำไม่ได้ ความหมายเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นบทกลอนจะไม่ลงตัว"

เถรี
10-04-2013, 19:59
ถาม : จับภาพพระอย่างหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นภาพพระอีกอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : ถ้าเราทำพุทธานุสสติ ภาพพระที่มาจะเปลี่ยนเป็นลักษณะไหนก็ยังเป็นพุทธานุสสติอยู่ สามารถจับเป็นนิมิตต่อไปได้ แต่ถ้าเราทำกองกรรมฐานอย่างอื่นแล้วอีกอย่างหนึ่งแทรกขึ้นมา ให้ละเว้นไว้ก่อน ยึดของเดิมต่อไป ดังนั้น..ถ้าเราจับภาพพระอยู่แล้วมีภาพพระอื่นเข้ามา จับต่อก็ได้ เพราะอย่างไรก็เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน

ถาม : ถ้าจะจับองค์เก่า ?
ตอบ : ได้...ถ้าท่านมาทั้งคู่ก็แบ่งเวลา หรือไม่ทำอย่างอาตมาหมุนเวียน องค์หนึ่งขึ้นบน องค์หนึ่งลงล่าง สลับกัน ซ้อมกีฬาสมาธิได้เลย

เถรี
10-04-2013, 20:01
ถาม : เห็นภาพพระที่พระนิพพานไม่ชัดเจน ?
ตอบ : ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น การกำหนดนึกถึงภาพพระ แรก ๆ ถ้าสมาธิไม่ดี วิปัสสนาญาณไม่ดี ความชัดเจนจะไม่มี เห็นได้เท่าไรให้เอาเท่านั้นก่อน

สมัยแรก ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นจุฬามณีเป็นเจดีย์ปูนธรรมดา แต่พอพิจารณาวิปัสสนาญาณ ตัดร่างกายจนกระทั่งสมาธิแจ่มใสแล้ว ท่านบอกว่าเห็นเป็นเจดีย์แก้วสว่างไสวเพราะฉะนั้น..กำลังของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน การรู้เห็นจึงไม่เท่ากัน เห็นแค่ไหนให้พอใจแค่นั้นก่อน

เถรี
10-04-2013, 20:16
ถาม : คนที่ตายแล้วฟื้น ทำไมการเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกับกำลังสมาธิและขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่ตัวเองยึดถือด้วย ถ้าเขาเชื่อว่านรกสวรรค์หน้าตาอย่างไร เขาก็จะเห็นอย่างนั้น เพราะถ้าเห็นเป็นอย่างอื่นเขาก็จะไม่เชื่อ

ถาม : พอถึงเวลาที่เขาตายไปจริง ๆ การเห็นของเขา ?
ตอบ : เป็นของจริง

ถาม : การที่หนังสือหลายเล่ม คนเขียนเล่าว่าไปตามแสงที่เห็น ?
ตอบ : ยังไม่แน่ ถ้าตามแสงไปได้ก็แค่ไปเกิดตามกรรมของตัวเองเท่านั้น

ถาม : คนที่ผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา จะมีคนที่กลับมาแล้วจำไม่ได้บ้างไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าฟื้นขึ้นมาใหม่จะจำได้ หรือไปเกิดเป็นคนใหม่ทันทีจะจำได้ แต่ถ้ามีการข้ามชาติเสียก่อนจะจำไม่ได้

เถรี
10-04-2013, 20:53
:4672615: เก็บตกเดือนมีนาคม ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน