View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ถาม : สมัยที่เข้าค่ายเรียนระดับ ปวช. คุณครูได้กำหนดให้มีการไหว้พระสวดมนต์ และนั่งสมาธิกัน มีการสมาทานตามแบบวัดท่าซุงครับ ตอนเริ่มนั่งก็ทำตามหนังสือเรียนวิชาพระพุทธศาสนาที่เคยเรียนมา กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกด้านขวา หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๑ หายใจเข้านับ ๒ หายใจออกนับ ๒ ไปเรื่อย ๆ ครับ แล้วก็ได้ยินเสียงลั่นดัง "เปรี๊ยะ" ในหัว แล้วก็สว่างมาก ด้วยความสงสัย และตกใจ จึงลืมตาขึ้นมาดู แต่ความรู้สึกในช่วงที่สว่างนั้นตัวเบา ไม่อยากพูดคุยกับใคร อิ่มใจ มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก กระผมอยากกราบเรียนถามว่า เป็นอาการของอะไรครับ ?
ตอบ : เริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่
ถาม : ถ้าเราต้องการยันต์หรือตะกรุด เช่น ตะกรุดมหาสะท้อน หรือยันต์ทำน้ำมนต์ ก็เขียนยันต์นั้นลงที่แผ่นเงินตามน้ำหนักและขนาด แล้วเข้าพุทธาภิเษกที่วัด จะใช้ได้เหมือนที่หลวงพ่อทำหรือเปล่าครับ ? และต้องสวดมนต์อะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขียนเสร็จแล้วเสกด้วยอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะธะอีก ๑๐๘ จบ ส่วนจะใช้ได้หรือไม่อยู่ที่สมาธิของตัวคุณเอง ถ้าสมาธิห่วยก็ใช้ได้น้อยหน่อย
ยันต์ทำน้ำมนต์ตอนกำลังเขียนต้องเสก เสร็จแล้วถึงปลุกอีกที ต้องทั้งปลุกทั้งเสก ไม่ใช่เขียนเฉย ๆ แล้วจะใช้งานได้ านั้น เสียดายตอนดังเปรี๊ยะไม่มีใครฟาดหัวสักที จะได้ตรงจังหวะเดียวกัน..!
ถาม : ถ้าเจอแบบนั้นอีกจะต้องทำอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : ภาวนาต่อไป อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้าอยากให้เป็นอย่างนั้นชาตินี้จะไม่เป็นอีก ถ้าสามารถรักษาอารมณ์ภาวนาได้ปกติ จะก้าวข้ามขึ้นไปจะเป็นฌาน
ตอนที่สภาพจิตของเราก้าวล่วงสู่ความละเอียดมากกว่าปกติ บางคนที่มาในทางโลดโผนหน่อยก็จะมีอาการที่ชัดเจนอย่างนี้ ดังนั้น...อาการที่ว่าก็แค่ก้าวจากอารมณ์ปกติขึ้นสู่อุปจารสมาธิเท่านั้นเอง
ถาม : กระผมได้พิจารณาความว่างของสมมติบัญญัติทั้งปวง แล้วเกิดความอิ่มเอิบใจ สบายใจ จนเห็นว่าแม้กระทั่งความจำก็คือความว่างเช่นกัน มีก็เหมือนไม่มี แล้วเราจะไปวุ่นวายอะไรกับสิ่งเหล่านี้ เมื่อเป็นเช่นนี้เเล้วก็ทำให้มีความสุขใจอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก บางวันก็มีอารมณ์อยู่อย่างนี้หลายชั่วโมง และในบางครั้งแค่นึกถึง ใจก็สุขขึ้นมาในทันที เมื่อเห็นว่าทุกอย่างว่างเปล่าหมด ไม่มีอะไรเหลือแม้กระทั่งความจำ จนช่วงหลังมานี้มีคนหลายคนมักบอกกับกระผมว่า ทำไมกระผมขี้ลืมบ่อยมาก เมื่อกระผมมานึกย้อนดูก็ลืมจริง แต่ไม่ได้กังวล เพราะเห็นว่าลืมหรือจำได้ก็มีค่าเท่ากัน จึงขอกราบเรียนถามว่า สิ่งที่กระผมลืมนี้เป็นเพราะเราลืมจากสมองของกระผมลืม หรือลืมเพราะการทำกรรมฐานครับ ?
ตอบ : ลืมเพราะว่าไม่จำ ปล่อยวางในสิ่งนั้นผ่านไปโดยที่สมองไม่ได้จำ แล้วจะไปจำอะไรได้ ลักษณะของคนที่ฝึกในแนวอรูปฌานมักจะออกมาอย่างนี้ ถึงเวลาเราไม่ใส่ใจสิ่งภายนอก ก็เลยไม่มีสิ่งให้จดจำเหลืออยู่ เหมือนกับว่าของมาอยู่ตรงหน้าแล้วเราไม่ได้เก็บเอาไว้ ถึงเวลาของนั้นผ่านไปก็ไม่มีอะไรเหลือเท่านั้นเอง
พยายามเกรงใจโลกหน่อย อะไรที่ยังสำคัญอยู่ก็จำไว้บ้าง ไม่ใช่สมองเสื่อม ไม่ใช่อัลไซเมอร์ เพียงแต่ไม่ได้จำเอาไว้ ก็เลยไม่มีอะไรให้จำ
ถาม : กระผมจะไปทำสวนมะลิเพื่อเก็บดอกขาย จะมีฤกษ์ที่ใช้สำหรับสวนไม้ดอกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ความจริงโบราณเขามี ให้ไปดูในตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์มีอยู่ บอกว่าวันไหนควรปลูกไม้ดอก วันไหนควรปลูกไม้ผล แต่อย่าไปเสียเวลาดูอันนั้นเลย ให้เปลี่ยนเป็นเวลารดน้ำต้นมะลิให้ภาวนาคาถาเงินล้านแทน โดยเฉพาะภาวนาเต็มบทนะ อย่าไปย่อ เนื่องจากคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าจะช่วยในเรื่องความเจริญงอกงามทุกอย่าง เดี๋ยวก็เก็บขายไม่หวาดไม่ไหวเอง
ถาม : การบูชาพระภูมิเจ้าที่จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตั้งเครื่องบวงสรวงตั้งแต่ก่อนเริ่มไถพรวนดิน จะทำเมื่อสร้างสวนเสร็จแล้วได้หรือไม่ ?
ตอบ : ให้ไปอ่านประวัติพระอัญญาโกณฑัญญะ ตั้งแต่เริ่มไถนาพระอัญญาโกณฑัญญะก็ทำบุญ เริ่มหว่านกล้าก็ทำบุญ เริ่มตกกล้าก็ทำบุญ ข้าวออกรวงก็ทำบุญ เกี่ยวข้าวก็ทำบุญ ขนข้าวเข้ายุ้งก็ทำบุญ พระอัญญาโกณฑัญญะก็เลยบรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ส่วนพระสุภัททะไปทำบุญตอนขนข้าวขึ้นยุ้งทีเดียว เกือบไม่ทัน มาบรรลุอรหันต์วันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายที่เขาเรียกว่า สักขีสาวก ก็คือทันพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น..เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาแบบไหน ทำบุญเท่าไรเราก็ได้ มีโอกาสทำก็ทำไปเถอะ
ถาม : กระผมคิดจะตั้งของบวงสรวงด้วยตัวเอง และตามกำลังทรัพย์ที่พึงจะหาได้ แต่จิตคิดจะใช้แรงงานท่าน อย่างนี้ท่านจะเอ็นดูเป็นพิเศษหรือไม่ครับ ? และควรวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : ควรที่จะวางกำลังใจว่า ถึงจะหาตามกำลังก็จริง ก็ควรจะถูกต้องตามที่ท่านระบุไว้ ไม่ใช่ว่าหาตามกำลังของเรา แล้วเครื่องบวงสรวงไม่ครบถ้วน ส่วนเรื่องตั้งใจใช้ท่านส่วนใหญ่เรื่องบวงสรวงทุกคนก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็ต้องแล้วแต่ท่านจะเมตตา
ถาม : กระผมมีความปรารถนาจะใช้ทรายเสกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง อัปเปหิท่านที่ให้โทษกับท่านที่อยู่เฉย ๆ เพื่อทดลองวิชาและความสะใจ จะผิดคำครูหรือไม่ครับ ?
ตอบ : คำครูไม่ผิดหรอก แต่อย่าเผลอ..เผลอเมื่อไรได้คืนหลายเท่า..! รับรองว่าเขาก็เอาจนสะใจเหมือนกัน
มีอยู่รายหนึ่งจนป่านนี้ยังไม่ฟื้นเลย เพราะใช้ธงมหาพิชัยสงครามกับมีดหมอชาตรีวัดท่าซุงไปรังแกท่านที่เฝ้าทรัพย์ มีเจตนาไปเอาสมบัติของเขา จนป่านนี้ก็ยังหาเช้ากินค่ำอยู่นั่นแหละ เขาตามจองล้างเลย เขาอยู่ของเขาดี ๆ ดันไปเล่นเขาก่อน..!
ถาม : ถ้าใช้ทรายเสกอธิษฐานสำหรับท่านที่อยู่แล้วเป็นโทษกับเราละครับ ?
ตอบ :อธิษฐานตามแบบที่หลวงพ่อท่านสอน ไม่ใช่ประเภทใครอยู่เฉย ๆ กูก็ไล่ด้วย..!
ถาม : เมื่อไล่ออกจากเขตที่หว่านทรายแล้ว ท่านเหล่านั้นจะดักรอผมที่นอกเขตหรือไม่ครับ หรือไปแล้วไปเลย ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเขารอเอาคืน เรื่องของทรายเสกวัดท่าซุงเราสามารถที่จะเติมให้มากขึ้นได้ ไปเอาทรายมาสักถังหรือกระป๋องหนึ่งแล้วเอาทรายเสกโรยหน้าแล้วก็คลุกไปเลย ใช้ได้ทั้งกระป๋อง ไม่ต้องไปกลัวว่าใช้ถุงเล็ก ๆ ถุงเดียวแล้วจะหมด
ถาม : การเพ่งกสิณที่ถูกต้อง เราควรใช้ภาพนิมิตที่เราเคยได้มองเห็นจริงมาก่อนแล้ว จดจำได้ขึ้นใจเท่านั้น หรือผมสามารถเรียกภาพจากจินตนาการขึ้นมา เช่น ภาพเปลวไฟหรือภาพน้ำ โดยที่เราไม่ได้เริ่มจากการมองภาพจริงมาก่อน ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถจินตนาการได้ก็ใช้ได้ แสดงว่าของเก่าต้องมีอยู่ ไม่อย่างนั้นจะนึกภาพไม่ออก แต่ขอบอกว่าอย่าแหกคอกมาก เริ่มไปตามกติกาดีกว่า เพื่อความแน่นอน ถ้าของเก่ามีอยู่เราแค่มองไม่กี่ทีก็จำติดตาติดใจแล้ว
ถาม : ที่บ้านมีคุณย่าอายุ ๙๓ ปีแล้ว เห็นท่านทำบุญมาตลอดชีวิต แต่พออายุมากแล้วเริ่มหลง จึงเป็นห่วงจิตสุดท้ายของท่านจะอยู่ในความหลงหรือขาดสติเพราะความชรา พยายามขอให้ท่านกำหนดลมหายใจ ท่านก็ฟังแต่ไม่ได้ทำด้วยความหลงลืม ขอคำแนะนำแก้ไขด้วยครับ ?
ตอบ : แก้ไขอันดับแรก ก็คือ แก้ไขความคิดของโยมก่อน การทำบุญไม่ได้แปลว่าแก่แล้วจะไม่หลง เพราะการทำบุญเป็นแค่ทาน การที่จะรักษากำลังใจให้แก่แล้วไม่หลงนั้น สมาธิภาวนาต้องทรงตัว ถึงแม้สมาธิภาวนาทรงตัว เซลล์สมองก็มีเสื่อมบ้าง แต่สภาพจิตจะมั่นคง ถึงแม้ว่าบางส่วนจะหลงลืม แต่เรื่องของธรรมะไม่ลืมแน่นอน ไม่ใช่ทำบุญแล้วเวลาแก่จะไม่หลง
ฉะนั้น..วิธีแก้ไขคนที่หลงลืม ก็คือ อย่างน้อย ๆ ต้องภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวให้ได้ คงต้องพยายามเคี่ยวเข็ญคุณยายให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นก็มีแต่อาการจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ลักษณะนี้โบราณเขาบอกว่า ขี้แตกแล้วค่อยขุดส้วม ไม่ทันได้ใช้หรอก
ถาม : ผมเคยเจอบางคนเปิดเสียงหลวงพ่อ เปิดเสียงสวดมนต์ให้ฟัง พอได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ตรงอนุสสติ ใจเกาะความดีได้ แต่ถ้าจะไม่ให้หลงเลยก็ยังประกันความเสี่ยงไม่ได้ เนื่องจากบุคคลที่สมาธิทรงตัวระดับทรงฌานได้แล้ว ก่อนตายถ้ามีกรรมมาแทรกยังพลัดจากฌานได้ ตรงนี้ต้องระวังให้ได้ บางคนภาวนาทรงฌานได้แต่โดนแกล้ง เผลอจังหวะนิดเดียว โดนใครทุบข้างฝาดังปัง..! สมาธิเคลื่อน แล้วก็ตายตอนนั้น ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะไปอยู่ชั้นจาตุมหาราช ทั้ง ๆ ที่ควรจะไปอยู่พรหมเพราะกำลังของฌาน ถือว่าเสียประโยชน์ไปมาก
ถาม : เคยได้รับคำแนะนำจากพระรูปหนึ่ง ให้นำเอายันต์มหาพิชัยสงครามพับใส่กรอบแล้วนำไปไว้ที่ศาลพระภูมิ ท่านก็ไม่ได้บอกเหตุผลและผมก็ไม่ได้เจอท่านอีก จึงอยากถามถึงเหตุผลผลของการทำเช่นนั้น ว่าเป็นผลดีอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเผลอก็หาย..! คนรู้จักของเขาก็หยิบไปสิ..! อาตมาก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้พับใส่กรอบ ใช้วิธีอัดแผ่นพลาสติกเลย เท่ากับเป็นแผ่นยันต์นั่นเอง แล้วอาราธนาท่านติดเอาไว้ในศาลพระภูมิ เวลาบูชาพระภูมิเจ้าที่ก็ว่ายาวไปถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ด้วย เท่ากับว่าติดอาวุธมหาประลัยให้กับพระภูมิท่าน ต่อให้ท่านกำลังไม่ดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าพกเครื่องยิงจรวดติดตัว คนจะรุกล้ำก็ต้องคิดหนักหน่อย
อาราธนาท่านให้ดี ก่อนอื่นบอกพระภูมิเจ้าที่ท่านก่อนว่าขออนุญาตทำอย่างนั้น อย่างที่สองก็คืออาราธนาบารมีพระขออานุภาพธงมหาพิชัยสงคราม สามารถที่จะป้องกันอันตรายทุกอย่างได้ และอานุภาพนั้นขออนุญาตให้พระภูมิเจ้าที่สามารถใช้งานได้ด้วย
ถาม : ตามความเข้าใจของผม การสร้างกรรมไม่ดีต่อผู้อื่นจะได้รับผลสนองจากสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือคนที่เราไปกระทำกับเขา เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร ฝ่ายที่สองคือ ผลที่เราจะได้รับจากบัญชีบาปของเราที่ไปปรากฏอยู่ที่ท่านพระยายม
ฝ่ายแรกเจ้ากรรมนายเวรจะตามเราทุกชาติ จะเอาคืน ส่วนฝ่ายที่สองก็จะให้ผลหลังจากเราตายไปแล้ว แล้วก็จะนำไปพิพากษาที่อบายภูมิ เขาบอกว่าพ้นจากเวรกรรมขึ้นมา เกิดมาก็อาจจะโดนเจ้ากรรมนายเวรเอาคืนซ้ำอีกหลายชาติ ถ้ายังไม่หายแค้น แต่บัญชีบาปของเราคงจะถูกลบล้างไปแล้ว ไม่ได้รับโทษ ความเข้าใจของผมเช่นนี้ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ :ผิดไปหลายโยชน์เลย..คำว่าเจ้ากรรมนายเวรจริง ๆ นั้น น้อยรายที่เขาจะอยู่จองเวรจองกรรมเรา สิ่งที่ให้โทษกับเราก็คือพลังงานที่เขาเรียกว่ากรรม เพราะส่วนใหญ่เจ้ากรรมนายเวรเมื่อตายมักจะไปรับบุญรับบาปตามภพภูมิที่ตนเองได้สร้างเอาไว้ ก็เหลือแต่ประเภทที่ตายแล้วยังไม่ถึงวาระไปรับบุญรับบาป ที่เราเรียกว่าสัมภเวสี คือพวกที่มักจะตายโหง
ดังนั้น..ถ้าพวกนี้เขาไม่หายโกรธเขาก็จะตาม แต่ถึงเขาจะตามหรือไม่ตาม ผลกรรมนั้นก็ให้ผลเราแน่ ไม่ต้องเสียเวลาไปลบบัญชีหรอก ถ้าเขาคิดไม่หมด ข้ามชาติไปเขาก็คิดต่อ เหมือนกับว่าเราเป็นหนี้ล้านหนึ่ง เราตกนรกใช้แปดแสน เศษที่เหลืออีกสองแสนก็ต้องไปใช้ในชาติต่อไป ก็แปลว่าต่อให้เขาจะตามหรือไม่ตาม ผลกรรมนั้นส่งผลแน่นอน
ถ้าเปรียบอย่างบนโลกมนุษย์ก็คือ เราไปฆ่าคนตาย คนตายไม่ได้ตามเราเอาไปชดใช้กรรม แต่เป็นกฎหมายที่จะเอาเราไปชดใช้กรรมนั้น ถึงคนตายจะตายไปแล้ว ๑๙ ปี ถ้าหากปีที่ ๒๐ เขาจับได้ ต่อให้เปลี่ยนชื่อเป็น กิม แซ่ตั้งก็โดน..!
ถาม : การรักษาศีล คือ ๑.ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ๒.ไม่จ้างวานให้ผู้อื่นละเมิดศีลนั้น ๓.ไม่ยินดีที่เห็นผู้อื่นละเมิดศีล สงสัยอย่างหลังครับว่า เวลาที่ผมยินดีเวลาได้ข่าวว่าทหารยิงผู้ก่อการร้ายภาคใต้ตายได้ ถือว่าผิดศีลในกรณีอย่างหลังหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ผิด..ขณะเดียวกันเป็นการโมทนาบาปของคนอื่น มีส่วนในกรรมนั้นด้วย ถ้าตายก็เจอสองเด้ง ช่วยยินดีบ่อย ๆ จะได้โดนหนัก ๆ หน่อย..!
ถาม : ทำเฉย ๆ หรือครับ ?
ตอบ : รับอะไรมาก็อย่าปรุงแต่งสิจ๊ะ
ถาม : ถ้าผมมีจิตยินดีที่พระเอกฆ่าผู้ร้ายได้ในการดูภาพยนตร์ ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่ของจริง..โทษในการโมทนาบาปไม่มี แต่โทษในวิหิงสาวิตก ตรึกในการเบียดเบียนพยาบาทคนอื่นมีอยู่ ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม..ในส่วนของเมตตาถือว่าบกพร่อง
ถาม : การที่เรามีจิตคิดจะฆ่าขณะเล่นเกม ต้องยิงคน ยิงสัตว์ในเกมให้ตาย จะเป็นการผิดศีลข้อที่ ๑ ในแง่มโนกรรมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเรื่องของการผิดศีลในปาณาติบาตไม่ผิด แต่เป็นมโนกรรมโดนไปเต็ม ๆ เพราะคิดเบียดเบียนเขา
ถาม : อย่างนี้ถ้าเราเล่นเกมแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายฆ่าเราอย่างเดียวก็ไม่เป็นบาป ?
ตอบ : อย่างนั้นจะเล่นไปทำไมวะ..!?
ถาม : กลับไปนี่ผมยอมตายเลย ไม่สู้
ตอบ : ตายนี่เลเวล (level) ตกนะ
ถาม : รู้อีก..!?
ตอบ : ถ้าเราเล่นในแบบนักปฏิบัติก็ไม่มีรสชาติ และจะไม่อยากเล่นเลย
ถาม : ผมมีความเห็นไม่ตรงกับเจ้านายเรื่องการดื่มสุรา เจ้านายบอกว่าจะผิดศีลข้อ ๕ ต้องดื่มสุราจนเมา แต่ถ้าดื่มแค่สองแก้วแล้วยังครองสติได้ก็ไม่ผิด เจ้านายก็เลยชวนให้ดื่มบ้าง ผมขอเหตุผลดี ๆ ที่จะไปบอกเจ้านายว่าความจริงว่าเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้อง...พระพุทธเจ้ายังโปรดไม่ได้เลยคนประเภทนี้ เขื่อนที่มีรอยรั่วแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เขื่อนนั้นโดนแรงน้ำดันจนพังทลายได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องศีลเราจะไปคิดว่าละเมิดนิดหน่อยไม่เป็นไร ก็จัดเป็นมิจฉาทิฐิแล้ว แถมยังปัญญามาก ลักษณะปทปรมะนี่เสียเวลาไปแนะนำ ในเมื่ออย่างไรก็จะหาทางชั่วให้ได้ ก็ปล่อยไปตามทางของเขา
ถาม : ในชีวิตผมเห็นเพื่อน ๆ หลายคนที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่แบบพอดี ๆ ไม่มากเกินไป มักจะมีร่างกายที่แข็งแรง เที่ยวกลางคืนได้ ตื่นเช้าได้ แต่ผมและเพื่อนอีกหลายคนงดเหล้าและบุหรี่ พยายามกินมังสวิรัติ สภาพร่างกายดูเหมือนจะเปราะบางกว่าและเจ็บป่วยบ่อย ผมคิดว่าคงเป็นกรรมเก่ามากกว่า แต่ก็อยากให้ท่านแนะนำเรื่องนี้ด้วยครับ ?
ตอบ : ลองทำอย่างเขาสิ จะได้ชั่วเหมือนเขาบ้าง..! อย่าลืมว่าในเรื่องของการปฏิบัติมักจะมีสิ่งมาขวางเสมอ เขาจะทำให้เราเข้าใจผิดจะได้เลิกปฏิบัติ ดังนั้นถ้าเราไปเชื่อเขา ก็แปลว่าเราเสียหายอยู่ฝ่ายเดียวและเสียหายหลายล้านด้วย..!
จริง ๆ แล้วอยู่ตรงกำลังใจ กำลังใจเขามุ่งมั่นว่าจะได้ไปเที่ยว ความบากบั่นพากเพียรจะมี แต่เป็นฉันทะในทางที่ผิด ขณะเดียวกันตัวเราเองมุ่งมั่นไม่พอที่จะทำความดี ก็เลยไม่สามารถจะทำได้เต็มที่อย่างที่ต้องการ
ถาม : เคยได้ยินว่า การใส่บาตรจะต้องใส่ให้ได้ ๔ รูปขึ้นไป จึงจะเป็นสังฆทาน แต่ถ้าผมใส่บาตรวันละรูป ระยะเวลาติดต่อกัน ๔ วัน ถือว่าเป็นสังฆทานไหมครับ ?
ตอบ : ต่อให้ใส่บาตรรูปเดียว..ครั้งเดียว..ก็เป็นสังฆทานได้ แต่ให้ใส่ในลักษณะไม่เจาะจง อย่าไปคิดว่าหลวงพ่อรูปนั้น สามเณรรูปนี้มา เราถึงจะใส่ ถ้าอย่างนั้นต้องใส่ครบ ๔ รูปจึงเป็นสังฆทาน แต่ถ้าเราไม่เจาะจง คิดว่าถ้ารูปไหนมาเราก็ใส่ ถ้าอย่างนี้ต่อให้ใส่รูปเดียวก็เป็นสังฆทาน
ถาม : อยู่ที่ความตั้งใจนั่นเอง
ตอบ : เพราะฉะนั้น..โปรดตั้งใจในส่วนที่ได้กำไรมาก ๆ หน่อย
ถาม : ถ้าเราไม่เจาะจงแล้วมีสามเณรมารับ จะได้อานิสงส์สังฆทานไหมครับ ?
ตอบ : ได้...สามเณรก็จัดเป็นตัวแทนของพระเหมือนกัน
ถาม : เมื่อเราเคยขออโหสิกรรมกับผู้อื่น เขาอโหสิกรรมด้วยวาจากับเราแล้ว แต่วันหลังก็เอาเรื่องเดิมมาว่ากล่าวกับเราอีก และบอกว่าจะยังไม่อโหสิให้ อย่างนี้จะถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอีกต่อไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กระแสขาดไปตั้งแต่แรกแล้ว ศาลตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว ต่อให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ก็อุทธรณ์ฎีกาไม่ทันแล้ว
ถาม : อย่างนั้นก็แปลว่าเขามาสร้างเวรกับเรา ?
ตอบ : แปลว่าเขามาก่อกรรมกับเราอยู่ฝ่ายเดียว ถึงเวลากรรมก็ตามสนองเขาเอง
ถาม : ถ้าเราเผชิญหน้ากับ รูป รส กลิ่น เสียง นั้นโดยตรง และตอบรับกับความต้องการนั้นอย่างมีสติ จุดมุ่งหมายเพื่อให้อิ่มกับกิเลสนั้นให้เร็วที่สุด จะได้เบื่อหน่าย วิธีนี้จะมีโอกาสสำเร็จได้ไหมครับ ?
ตอบ : มีโอกาส ๐.๐๐๐๐๐๐๑%
ถาม : เยอะเหลือเกิน..!
ตอบ : ถึงตอนนั้นใครจะมีสติเหลืออยู่ ? หลักการนี้เป็นของสายวัชรยานพวกพุทธตันตระ บุคคลที่ทำได้ต้องคล่องตัวในสมาบัติแปดอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นเจ๊งหมด แต่ขนาดนั้นส่วนมากยังไปไม่รอดเลย..!
ถาม : ของพวกนี้อย่างไรก็ไม่อิ่มใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เผลอเมื่อไรก็ไหลตามไป
ถาม : มีปัญหาว่าเวลาหลับแล้วจิตไหลออกไป แล้วไปเผชิญเรื่องราวต่าง ๆ มากมายตั้งแต่เด็ก แต่พอตอนนี้ได้ฝึกสมาธิก็มีความรู้ว่าเห็นตอนที่จิตแบ่งออกไป แม้กระทั่งตอนนั่งสมาธิจิตก็ออกไป จะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : สรุปสั้น ๆ ว่าพยายามภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว ถ้ากำลังใจเข้มแข็งพอก็จะหยุดอาการนั้นได้ ถ้ายังไม่เข้มแข็งพอก็ยังรั่วอยู่เป็นปกติ
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้รื้อศาลาการเปรียญไปแล้ว ต้องล้วงโครงสร้างขึ้นมาทั้งหมด เพราะว่าตั้งแต่สมัยหลวงปู่พุก เจ้าอาวาสองค์แรก ท่านไปฝังของอาถรรพ์เอาไว้เยอะ สมัยนั้นมีพวกเล่นไสยศาสตร์เข้าวัดกันมาก ท่านก็เลยต้องใช้วิธีทำสะกดล่วงหน้าไว้เลย แต่คราวนี้ของที่ทำไว้ทำให้คนที่อยู่นั้นร้อน เพราะฉะนั้นตอนที่อาตมาไม่อยู่วัด จึงมีปัญหาจุกจิกหยุมหยิมตลอดเวลา พออาตมากลับไปอยู่วัดเมื่อไรก็จะเงียบหมด ทำอย่างกับว่าอาตมาเป็นหมอผี ต้องคอยไปสะกดอยู่ตลอด ที่ต้องใช้รถขุด ขุดกระทั่งฐานรากขึ้นมา เพราะเพื่อจะเอาของพวกนี้ออกมาให้หมด
ท่านก็อุตส่าห์ไปทำของอย่างนั้นเอาไว้ ท่านหวังแค่ความสงบชั่วคราวเท่านั้น แต่สมัยนั้นท่านก็คงอยู่วัดตลอดจึงไม่เป็นไร แต่อาตมาออกมางานนั้นงานนี้ พอไม่อยู่วัดก็วุ่นวายทุกที"
ถาม : ศาลารื้อไปแล้ว พิธีเป่ายันต์จะทำที่ไหน ?
ตอบ : ห้องใต้ฐานสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ใหญ่พอ ๆ กับศาลา ไม่ต้องกลัวหรอก มีที่เหลือเฟือ
ถาม : ป่าช้าไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : เดี๋ยวผีสางเปิดกระเจิงหมด เขาไม่เหมือนกับเรา เวลาบารมีพระครอบคลุมลงมา ถ้าพวกที่กำลังใจรับไม่ได้ เหมือนกับแสงไฟเป็นล้าน ๆ โวลต์ส่องใส่ เขาทนไม่ได้ต้องหนีไปเอง ดังนั้น..พวกที่โดนผีเจ้าเข้าสิงหรือพวกโดนไสยศาสตร์มา ทำไมเวลาเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ แล้วถึงได้หาย เพราะว่าของพวกนั้นเป็นของมืด พอโดนความสว่างเข้าเขาอยู่ไม่ได้ ก็สลายตัวไปเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเอาตามหลักของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านบอกว่าการพนันเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งความเสื่อม มีแต่เสียอย่างเดียว แต่อยากจะบอกกับโยมว่า ที่โบราณว่า "ผีพนัน" นี่มีจริง ๆ นะ โดยเฉพาะบ่อนใหญ่ ๆ ตามต่างประเทศ อย่างพวกฮ่องกง เขมร เขาจะเลี้ยงผีพวกนี้ไว้ ถ้าคนไหนเข้าบ่อนแบบนี้รับรองว่าครั้งต่อไปต้องไปอีก เพราะถูกผีดึงไป เขาจะให้พวกหมอผีเป็นคนทำ อย่าคิดว่าฮ่องกงเจริญจนเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกแล้วจะไม่มีเรื่องพวกนี้ เขาเลี้ยงผีเป็นปกติเลย
ถ้ามีใครเล่นการพนันเสียหมดแล้วฆ่าตัวตาย เขาจะชอบมาก จะรีบไปอาสาจัดงานศพให้ แล้วให้หมอผีไปผูกวิญญาณไว้เรียกไปใช้งาน พวกนี้จะมีหน้าที่พาคนเข้าบ่อน ถ้าไม่ได้เจอด้วยตัวเองนี่ก็ไม่รู้นะ ว่าเขาเล่นกันโหดขนาดนั้น ประเภทเล่นจนหมดตัว ตายแล้วยังต้องไปทำงานต่ออีก..น่ากลัวมาก
อินโดนีเซียก็ทำอย่างนี้ เขมรก็ทำอย่างนี้ พม่ายังไม่ได้เข้าไป ไม่รู้ทำอย่างนี้หรือเปล่า แต่พม่านี่บ่อนใหญ่ก็คือตรงแม่สาย (สามเหลี่ยมทองคำ) ไว้มีโอกาสจะข้ามไปดู"
อาชีพพวกนี้ ถ้าถามว่าเราทำมาหากินสุจริตได้ไหม ? ถ้าเป็นการเปิดอย่างถูกต้อง ขออนุญาตเสียภาษี ก็ถือว่าสุจริต แต่เป็นอาชีพที่ทำให้คนเขาไม่เจริญ เพราะมีแต่จ่ายกับจ่าย เอาแค่หลักการพนันทั่ว ๆ ไปแล้วกัน น่าจะอยู่ระหว่าง ๙๖ ต่อ ๔ เรามีโอกาสแค่ ๔ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะได้ แม้กระทั่งเครื่องสล็อตที่โยกง่าย ๆ ก็ตาม เขาคำนวณมาเรียบร้อยแล้วว่าเขาจะได้กำไรเท่าไร กว่าจะแจ๊กพ็อตให้แต่ละทีก็เสียไปเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น..พูดง่าย ๆ ว่า ให้มีเงินเหลือเฟือก่อนแล้วค่อยไปเล่น
ถาม : การพนันเป็นกีฬาไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : เป็นกีฬา แต่กีฬาที่เขาเอามาเล่นเพื่อพนันกันนั้น เขาแข่งในลักษณะใช้ความคิด ซ้อมหัวคิดของตัวเอง อย่างพวกหมากรุก หรือไพ่บริดจ์ แต่เราไปเอาแพ้เอาชนะ เอาเงินเอาทอง ลักษณะนั้นเป็นการพนันไม่ใช่กีฬา แต่บ้านเรากีฬาทุกอย่างพนันได้หมด ยิ่งฟุตบอลนี่ยิ่งดีเลย เดี๋ยวนี้โต๊ะพนันบอลมีกันทุกหัวระแหง
ถาม : เรื่องการอาบน้ำมนต์ เคยได้ยินว่าเอาคาถาเงินล้านเสกน้ำมนต์..?
ตอบ : อาบด้วยกินด้วย
ถาม : ต้องเสกนานขนาดไหนคะ ?
ตอบ : ถ้าสมาธิทรงตัวก็นิดเดียว ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวก็ว่านานหน่อย
ถาม : คำว่าสมาธินี่ต่ำสุดต้องขั้นไหนคะ ?
ตอบ : ต่ำสุดต้องเป็นอุปจารสมาธิ ชั้นสูงกว่านั้นเรียกว่าอุปจารฌานจ้ะ ถ้าได้ถึงปฐมฌานยิ่งดี ถ้าได้มากกว่านั้นก็วิเศษเลย
ถาม : ลูกผมนั่งสมาธิ มีคนไปว่าเขาเห็นนั่นเห็นนี่จินตนาการแล้วเป็นบ้า เขาก็เลยกลัวจะบ้า จะมีทางไหนให้เขากลับมานั่ง ?
ตอบ : ก็ชี้แจ้งให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ถ้าชี้แจงไม่ได้เขาก็คงไม่เปลี่ยนทัศนคติ และก็คงไม่กลับมานั่งใหม่หรอก
ต้องบอกว่ามารเขาเก่ง เด็กนั่งสมาธิดี ๆ เขาสามารถทำให้เด็กไม่นั่งได้
ถาม : ทำพระแตกค่ะ
ตอบ : ไม่มีอะไรจ้ะ...ดี ยิ่งถ้าแตกเป็นชิ้น ๆ ยิ่งดี คือวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งเทวดาเขารักษาองค์หนึ่ง แตกเป็น ๒ ชิ้นก็ได้ ๒ องค์ ส่วนใหญ่คนไม่รู้ เห็นพระแตกเอาไปวางเก็บไว้ คราวก่อนที่เขาทำพระปิดตาฯ แตก อาตมารีบเอาองค์ดีไปแลกเลย คนเขาไม่รู้ พอแลกมาก็เอากาวทาติดเข้าไป สบายเพราะได้เทวดาช่วยรักษา ๒ องค์
กติกาตอนพุทธาภิเษกพระท่านขอเอาไว้อยู่แล้ว วัตถุมงคล ๑ ชิ้น ให้เทวดารักษา ๑ องค์ แล้วไม่ต้องไปกลัวหรอก ต่อให้สร้างเป็นล้านชิ้น เทวดาท่านมีมากกว่านั้นไม่รู้ตั้งเท่าไร
ถ้าคนอื่นเขาทำวัตถุมงคลแตก รีบเอาไปเข้าพิธีที่วัดท่าขนุน จะได้เป็น ๒ องค์
เรื่องของพระเรื่องของเทวดา ถ้าท่านเคยสงเคราะห์แบบไหน ถึงเวลาท่านก็ให้แบบนั้น ในเมื่อขอท่านเอาไว้แบบไหนท่านก็ให้แบบนั้น กลายเป็นว่าของสายเรายิ่งแตกยิ่งดี
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อย่าตั้งความหวังกับคนอื่น คิดว่าเราตักน้ำรดหัวตอ ไม่งอกก็ช่างมัน ขอให้เปียก ๆ ก็ยังดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า นานไปปัญญาและสัญญาคนจะทรามลงเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปหวังเลย ประเภทดีเท่าเรายังไม่ได้เลย จะให้ดีกว่าเรานี่ยาก แล้วก็อย่างที่ว่า ตักน้ำรดหัวตอ ไม่งอกก็ช่าง ให้เปียกก็ยังดี
ถ้าเราไปตั้งความหวังกับคนอื่น พอถึงเวลาไม่ได้อย่างนั้นเราก็ผิดหวัง พอผิดหวังเราก็จะท้อแท้ ถ้าท้อแท้ต้องไปเมืองจีน ที่อื่นไม่แท้ ที่เมืองจีนท้อของแท้แน่ มีใครบอกก็ไม่รู้ เขาบอกว่าท้อมีไว้ให้ลิงถือ แล้วเราดันไปแบกเอาไว้
ถาม : ตั้งใจจะทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท แต่ไม่ได้กดเงินไป พอดีมี ๑๐๐ บาท ก็เลยทำไปเท่านั้น ไม่ทราบจะได้บุญน้อยหรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วกำลังใจของเราเกินไปแล้ว ไม่ได้กดเงินไป มีเท่าไรเทหมดแค่นั้น อันนั้นเขาเรียกกำลังใจเกิน ๑,๐๐๐ บาทแล้ว นี่ถ้าไม่ได้เอารถมาก็คงเดินกลับบ้านไปแล้ว
ถาม : ถ้าตัวผมเองมีเงินอยู่ ๑๐๐ บาท แล้วขอยืมเพื่อนอีก ?
ตอบ : การทำบุญจะให้ดี อย่าให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน มีเท่าไรทำหมดนี่ก็แย่แล้ว ถ้าต้องยืมเขาอีกนี่หนักไป แต่ก็ดีกว่าอาตมา..บางวันอาตมาไม่เหลือเงินติดตัวเลย
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาทำก็เรื่องของเขา แต่อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ สมาธิจิตจริง ๆ ที่ทรงตัวจะตัดกิเลสอัตโนมัติอยู่แล้ว ให้สังเกตว่าตอนนิ่งเงียบไปเฉย ๆ นี่รัก โลภ โกรธ หลงเกิดไม่ได้ เพียงแต่ว่าไม่ใช่สมาธิที่มั่นคง เพราะว่าพอถึงเวลาคลายออกมาก็กำเริบได้ง่าย
ทำให้เป็นสมาธิไว้ก่อน จะมากจะน้อยก็มีประโยชน์แก่เรา แล้วสภาพจิตของเราที่สงบนิ่ง ต่อให้ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นก็ตาม จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้ในสิ่งที่สูงกว่านั้น มากกว่านั้นในภายหน้า เพราะฉะนั้น..ทำไปเถอะ ส่วนใครเขาจะว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา
พระอาจารย์กล่าวถึงวัวธนูที่ประมูลในเว็บว่า "ปกติเขาจะทำวัวธนูตัวเล็ก ๆ เพราะวัสดุหายาก แต่ถ้าเป็นตัวครูเขาจะทำตัวใหญ่ ๆ คำว่า "ตัวครู" จริง ๆ ก็คือเป็นต้นแบบ
การทำวัวธนู ถ้าว่ากันตามตำราจริง ๆ เขาต้องใช้ครั่ง เด็กรุ่นหลังรู้จักครั่งหรือเปล่า ? ครั่งเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ คอยกินน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ คราวนี้พอถึงเวลาจะทำรัง รังของครั่งบางคนเขาเรียกว่าขี้ครั่ง จะเป็นสีแดง ๆ ก็เก็บมาหลอม พอหลอมเสร็จก็สามารถที่จะเอามาใช้งานได้ อย่างสมัยก่อนเขาใช้อุดใช้ยาของ หรือไม่ก็ใช้ประทับตรา หรือไม่ก็ใช้หยอดด้ามมีดเพื่ออัดให้แน่น พวกมีดที่เขาทำสมัยก่อนส่วนใหญ่เขาใช้ครั่งอัดด้ามกัน
คราวนี้ครั่งตามตำราที่เขาเอามาทำวัวธนู มักจะใช้ครั่งจากกิ่งพุทรา แล้วต้องเป็นกิ่งที่ตายพรายคือตายคาต้นแล้วหันไปทางทิศตะวันออกด้วย จึงหายาก ยังดีว่าสมัยก่อนพุทราตามท้องไร่ท้องนามีมากเป็นเรื่องปกติ เดินไปบางทีเดินหลีกไม่พ้นต้นพุทราเลย
ต้องสานตัววัวหรือควายธนูด้วยไม้ไผ่ ถ้าจะเอาชนิดสุดยอดจริง ๆ ต้องเป็นไม้ไผ่ที่ขวางทางช้างเดินแล้วไม่ถูกเหยียบด้วย เอามาสานเป็นตัวแล้วก็พอกด้วยครั่ง ตอนที่สานหรือพอกครั่งก็เสกคาถากำกับไปด้วย หลังจากนั้นจะมีการลงอักขระอาคมอะไรก็ทำตามตามฤกษ์ยามที่เขากำหนด แต่ถ้าฉุกเฉิน เขาก็ใช้ไม้ไผ่สาน..เล่นกันเสร็จตอนนั้นก็ใช้งานตอนนั้นเลย
วิชาพวกนี้สมัยก่อน ทางด้านเขมรต่ำใช้กันเยอะ ส่วนใหญ่เขาไว้ป้องกันอันตราย ถ้านับไปแล้ววัวธนูจัดอยู่ในประเภทหุ่นพยนต์ แต่เป็นหุ่นพยนต์ที่อยู่ในรูปของสัตว์"
ถาม : เห็นลูกน้องเขาเอาวัวธนูไว้ที่ถนน แล้วรถขับมาทับ ?
ตอบ : ก็เจ๊งสิ..จะเหลือหรือ ? วัวจริง ๆ ยังตายเลย..!
บางทีพวกนั้นอาจจะไม่ใช่วัวธนู อาจจะเป็นพวกตุ๊กตาเสียกบาล ลักษณะประเภททำส่งผี ถ้าทับก็เจ๊งก็เท่านั้นเอง ทางเหนือเขาเรียกว่าควายสะตวง เขาปั้นวัวปั้นควายใส่กระทงเอาไปส่งผี แก้บนบ้างอะไรบ้าง ถ้าเป็นวัวธนูจริง ๆ กลางคืนเขาปรากฏตัวเป็นรูปวัวเลย ถ้าเป็นควายธนูก็เป็นรูปควายไปเลย เดินเทิ่ง ๆ เฝ้าบ้านให้
วัวตัวนี้เขาถวายมาหลายปีแล้ว จริง ๆ แล้วอาตมาไม่ได้ต้องการ เขาไปบูชามา ปีนั้นราคาตั้ง ๓๐,๐๐๐ บาท ไม่รู้ตอนนี้ราคาขึ้นไปถึงไหน แต่คนประมูลเขาประมูลไป ๓๘,๐๐๐ บาท ต้องบอกว่าขายวัวสร้างพระ เอาวัวธนูให้เขาประมูล เพื่อเอาเงินไปสร้างพระทองคำ
ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้านควรใช้เวลานานเท่าไร จึงจะประสบความสำเร็จ ?
ตอบ : ไม่ได้ขึ้นกับเวลา ขึ้นกับสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวมาก ระยะเวลาก็สั้น ถ้าสมาธิทรงตัวน้อย ระยะเวลาก็ยาว
ถาม : ต้องเป็นอุปจารสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เอาให้ได้สักปฐมฌานละเอียดไปเลย ปฐมฌานอย่างละเอียดผลจะแน่นอน อย่าเป็นอย่างหยาบ
ถาม : อาหารที่ใส่คุณไสยจะป้องกันอย่างไร ?
ตอบ : นึกถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แล้วภาวนาคาถานะโมพุทธายะ ใครก็ทำไม่ได้หรอก
ถาม : ภาวนาตอนนั้นหรือคะ ?
ตอบ : ภาวนาไว้ก่อนนั้นก็ได้ ให้กำลังใจทรงตัวแล้วก็กินไป
ถาม : ถ้ามันเข้าไปแล้ว หลังจากนั้นทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : หาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงกรอกตามลงไป
ถาม : คนที่เข้าถึงมรรคแล้ว เสื่อมได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่เป็นผล ยังมีโอกาสถอยหลังได้ แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นมรรคจริง ๆ เขาไม่ถอยกันหรอกจ้ะ เพราะว่าพอก้าวเข้าถึงมรรค เห็นช่องทาง มีแต่จะบุกขึ้นไปข้างหน้า
ถาม : เวลาทำบุญ ก็ยังติดสุขอยู่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ติดดีไว้ก่อน คนที่จะไม่ติดดีจริง ๆ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น เพราะฉะนั้น..ใครที่ว่าเราทำบุญแล้วยังติดดีอยู่ ให้บอกเขาว่า ถ้าเอ็งไม่ติดก็ไปตามทางของเอ็งเถอะ..!
ถาม : ช่วงหลังนี้ความจำหนูแย่มากเลยค่ะ จำอะไรไม่ค่อยได้เลย ?
ตอบ : แก่แล้วก็เป็นเรื่องปกติ
ถาม : พ่อหนูบอกว่าเพราะหนูไม่ได้กินข้าวเย็นเลยทำให้เป็นอย่างนี้
ตอบ : สารอาหารไม่พอใช่ไหม? บอกว่าพ่อกิน ๓ - ๔ มื้อแล้วพ่อจำได้ไหมเล่า ? แก่แล้วเป็นทุกคนแหละ
ถาม : หนูแก่แล้วหรือคะ ?
ตอบ : เออ..! ลูกก็โตเป็นสาวแล้วยังคิดว่าตัวเองสาวอยู่อีก
ลองสังเกตดูว่า จริง ๆ แล้วไม่ใช่เราจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เราเลิกจำ..ที่เราเลิกจำก็คือ พอหลายอย่างเข้ามาในใจแล้ววุ่นวาย ดีไม่ดีทำให้ใจเราฟุ้งซ่าน เราก็ตัดทิ้งไปเลย ในเมื่อเราตัดทิ้งออกจากใจแล้วเราจะจำอะไรไม่ได้หรอก เพราะไม่ได้คิดแล้ว อย่างอาตมาปัจจุบันนี้ คนเขาเอาของไปถวายที่กุฏิ โดยเฉพาะพวกของกิน บางทีก็เน่าคากุฏิ คืออะไรที่อาตมาไม่ได้เป็นคนหามา จะไม่จำเลย ของก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าแม่ชีเขาไม่มาเก็บไป หรืออาตมาไม่เห็นแล้วนึกได้ก็รีบเอาไปไว้กุฏิแม่ชี ของที่หมดอายุก็หมดไป ของที่เน่าได้ก็เน่าไป
ไม่ใช่จำไม่ได้..แต่ไม่จำ อาตมาไม่ได้เรียกร้องเป็นคนหามานี่ อย่างขนมนี่อยู่มาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ก็เกิดมาอาตมาชอบกินเสียที่ไหนเล่า ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องกองอยู่นั่นแหละ ถ้าเริ่มอาการแบบนี้แสดงว่าอาการหนักแล้ว คือไม่ค่อยจำอะไรแล้ว เรื่องอะไรที่วุ่นวายมากจะตัดออกไปหมด
ถาม : ที่บอกว่าภาวนาคาถาเงินล้านแล้วเงินจะขัง หนูภาวนาแล้วเงินไม่ขัง มีแต่หนี้ขังเต็มเลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร...เดี๋ยวเอาไว้กลับข้าง พอหนี้หมดเงินก็เหลือเอง
ถาม : ภรรยาผ่าเนื้องอกในมดลูก คุณหมอบอกว่าเป็นเนื้อร้าย เพิ่งไปผ่าตัดมาได้เดือนหนึ่ง ?
ตอบ : ลองไปหาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุง ขอบารมีพระช่วยรักษาแล้วก็กินเข้าไป
ถาม : กินวันละครั้งหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ครั้งเดียวก็พอ น้ำมันทั้งนั้น กินวันละครั้งก็อ้วนตายพอดี บูชาไว้สักขวด จำไม่ผิดราคาแค่ ๑๐๐ บาทเท่านั้น
ถาม : อย่างอื่นมีอะไรอีกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรจะแนะนำ เพราะถ้าน้ำมันชาตรีเอาไม่อยู่ อย่างอื่นก็เอาไม่อยู่หรอก
ถาม : ถ้ามีคนฝากเงินมาถวายสังฆทาน บอกให้ถวายทุกเดือน แล้วหนูจะถวายเลยทีเดียวได้ไหมคะ ?
ตอบ : ให้ความตั้งใจเขาสำเร็จเถอะ เราจะถวายเมื่อไรก็เรื่องของเรา แล้วอย่าไปบอกเขาแล้วกัน พวกกำลังใจไม่ดีเดี๋ยวจะคิดว่าเราไม่ได้ทำ พวกนี้กลัวถูกรางวัลที่ ๑ จะเอารางวัลเลขท้าย งวดนี้ถูก ๒ ตัว งวดต่อไปก็ถูก ๒ ตัวอีก แล้วก็มาสงสัยว่าทำไมไม่ถูกรางวัลที่ ๑ เสียที ก็เล่นทำทีละนิด เททีเดียวเสียก็หมดเรื่อง
อาตมามาดูตัวเองแล้วก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมเวลาได้อะไรทำไมได้มาทีเดียวเป็นชุด ๆ เพราะชอบทำหนัก ๆ ทีเดียว พอถึงเวลาก็มาเป็นกุรุสทีเดียวเหมือนกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ลักษณะนามของช้างป่าเขาเรียกเป็นตัว ถ้าช้างบ้านเขาเรียกเป็นเชือก แต่ที่เรียกเป็นช้างนี่ต้องช้างหลวง ช้างหลวงหรือม้าหลวง เขาเรียกเป็นช้างเป็นม้าตรง ๆ เลย เช่น ช้าง ๑ ช้าง ม้า ๑ ม้า เป็นต้น ไม่เรียกเป็นเชือกหรือเรียกเป็นตัว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ครูบาเหนือชัยสุขภาพร่างกายดีกว่าปีที่แล้ว ออกกรรมฐานแล้วไม่โทรมมาก แล้วพวกก่อกวนรู้ว่าพระอาจารย์เล็กไปเขาก็เลิกกวน ไม่อย่างนั้นจะมีคนคอยลองของอยู่เรื่อยเลย พวกไสยศาสตร์เขาอยากจะรู้ว่าเก่งจริงแค่ไหน ฝ่ายเราคนกำลังอดข้าวมา ๗ วัน จะมีแรงที่ไหนไปลุ้นกับเขา
เรื่องของนิโรธกรรม พอถึงเวลาเขาก็จะหาพระที่ไว้ใจว่าจะดูแลรักษาเขาได้ ไปรับเข้ารับออก คนอื่นเขามั่นใจอาตมา แต่อาตมาไม่มั่นใจตัวเองเลย เพราะเคยโดนสอยมาเองแล้ว เขาตั้งความหวังไว้สูงทำเอาต้องระวังตัวลีบไปเลย"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาให้ลูกศิษย์เขาไปค้นคว้าว่า “ภิกษุพูดจาเหมือนแกงถั่ว” หมายความว่าอะไร ? พวกศัพท์โบราณ ถ้าเราไม่เข้าใจสภาพสังคมของเขา ก็จะไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร
แกงถั่วก็คือแกงดาลของอินเดีย ที่กินกับแผ่นโรตี เป็นแกงถั่วผสมเครื่องเทศ แกงเป็นน้ำขลุกขลิกเขละ ๆ เหมือนอย่างกับเด็กท้องเสียถ่ายไว้ คราวนี้สมัยก่อนไม่ได้ใช้เตาแก๊ส แม้กระทั่งทุกวันนี้อินเดียก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เป็นเตาฟืนบ้าง ใช้ขี้วัวบ้าง จึงสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ภิกษุพูดจาเหมือนแกงถั่ว ก็คือพูดความจริงระคนด้วยความเท็จ หรือพูดความเท็จระคนด้วยความจริง เหมือนกับแกงถั่วที่สุกบ้างดิบบ้าง
เขากล่าวถึงการที่พระล่วงศีล ในลักษณะพูดเพื่อที่จะแสวงหาลาภใส่ตัว ใช้คำว่าภิกษุพูดจาเหมือนแกงถั่ว ก็คือพูดจริงบ้างโกหกบ้างนั่นแหละ เพียงแต่ว่าทั้งจริงทั้งโกหกนั่นเอาดีเข้าตัวทั้งหมด ของแบบนี้ถ้าไม่ให้เขาค้นคว้าไว้ พอถึงเวลาเขาอ่านเจอเองก็จะไม่เข้าใจ"
ถาม : คนที่ปฏิบัติธรรม เวลาที่เขาเกิดมา เขามีสายอาจารย์ประจำของเขาเลยทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่แน่...บางคนก็มาแสวงหาไปก่อน แรก ๆ ของบุคคลที่มีพื้นฐานความดี ที่บาลีเรียก ปุพฺเพกตปุญฺญตา คือสร้างความดีมาแต่ก่อนแล้ว จะมีสายของตัวเองอยู่ แต่พอมาในชาตินี้ก่อนที่จะเจอสายของตัวเอง ก็เหมือนกับคนหิว ต้องหาร้านอาหาร ต้องกินก่อน ในเมื่อกินเสร็จแล้วรสชาติไม่ใช่อย่างที่ตัวเองต้องการ ก็หาร้านใหม่ไปเรื่อย เดี๋ยวก็ได้ร้านที่ถูกใจเอง แล้วจะผูกเป็นสายประจำของตน
แต่ถ้าคนที่ไม่มีพื้นฐานเก่ามา เพิ่งจะมาเริ่มชาตินี้ เจอใครตรงไหนก็เกาะไปได้เลย อาศัยพ่วงไปก่อน
ถาม : สมัยก่อนตอนผมสนใจปฏิบัติ ผมก็อาศัยอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์หลายท่าน อย่างของหลวงพ่อพุทธทาส หลวงปู่มั่น และหลวงพ่อฤๅษี ทั้งสามองค์ปฏิปทาต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายคือจุดเดียวกัน ก็เลยปฏิบัติ อ่านหัวข้อหลักธรรมนั่งสมาธิและพิจารณาหลักธรรม อยู่กับในอารมณ์นั้นแต่ว่าเหมือนหุ่นยนต์เกินไป ?
ตอบ : คนฝึกปฏิบัติใหม่ ๆ จะเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น พอสมาธิเริ่มทรงตัวจะไม่แยแสคนอื่น สนใจอยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้า แล้วถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ รัก โลภ โกรธ หลงจะไม่เกิด เหมือนกับคนตายด้าน เหมือนกับหุ่นยนต์อย่างที่โยมว่า
การฝึกจะต้องปรับไปจนถึงระดับหนึ่ง ที่สมาธิสามารถใช้ในงานทั่วไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็จะกลับเป็นคนธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าจะธรรมดาลักษณะที่ว่า ทำอะไรผิดพลาดน้อยเพราะว่าสมาธิทรงตัว
ถาม : พอมาถึงเดี๋ยวนี้เป็นเวลา ๑๐ ปีแล้ว เหมือนจะเห็นผล มีความสุข หัวเราะ เป็นความสุขที่เกิดขึ้นมาเอง ?
ตอบ : การปฏิบัตินั้นมีระดับขั้นของเขาอยู่ อย่างอาตมาเอง ตอนที่ฝึกพวกพรหมวิหาร ๔ ทุกคนไม่รู้ก็คิดว่าบ้า เพราะยิ้มให้เขาได้หมด มีความสุข เยือกเย็น เบิกบาน รื่นเริง อยากจะแบ่งปันให้กับคนอื่นเขา ในเมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้น อาการภายนอกก็คือเจอใครก็ยิ้มให้เขาหมด เดินบิณฑบาตไม่รู้จะยิ้มกับใคร ก้มหน้าก้มตาเดิน ยิ้มให้กับดินก็ยังเอา เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติที่คนเราเวลาปฏิบัติจะต้องผ่าน
ถาม : สงสัยว่าถ้าเราปฏิบัติสูงขนาดไหน ก็สู้กรรมไม่ได้อยู่ดีจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีผู้รู้บอกว่า อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้วิบากกรรม พระพุทธเจ้าของเราก่อนจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ต้องทรมานพระวรกายอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ แล้วเมื่อก่อนที่จะปรินิพพาน พระองค์ท่านทรมานกับพระโรคปักขันธิกาพาธ ถ่ายเป็นโลหิต ถ้าสมัยนี้ก็คือกระเพาะทะลุ เพราะฉะนั้น..แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่พ้นกรรมเลย แล้วใครจะพ้นได้ ถ้าเรามัวแต่ประมาทอยู่ กระแสอกุศลกรรมมีความรุนแรงกว่าโดนดึงลงต่ำ คราวนี้ก็เฮง
ถาม : เรายังเป็นปุถุชนอยู่ จะปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ต้องวอกแวก ?
ตอบ : นั่นถือว่าเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในเมื่อเรารู้ตัวก็มุ่งตรงไปเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้นำที่ดีควรมองสถานการณ์โดยภาพรวม เพราะว่ากรุงเทพฯ ก็คือส่วนหนึ่งของประเทศไทย แล้วถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดด้วย คนที่จะมาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ต้องวิสัยทัศน์กว้างไกล วิสัยทัศน์อย่างเดียวไม่พอ กำลังใจต้องกว้างด้วย"
ถาม : ถ้าเราเลือกคนไม่ดีเข้าไป บาปไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลือก เราเลือกเขาเข้าไปทำงาน เจตนาชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนเข้าไปแล้วเขาทำไม่ดี อันนั้นเป็นโทษของเขา เราต้องแยกแยะให้ถูก เรื่องที่ไม่ควรมีโทษ ถ้าคิดไม่เป็นเดี๋ยวก็มีขึ้นมาจนได้
ถาม : ถ้าเราทำกรรมฐานไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะกดกิเลสให้หมดไปเลยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราสามารถกดกิเลสได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กิเลสก็หมดได้ เพียงแต่ว่าโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้นยากอยู่สักหน่อย ดังนั้นสมถะและวิปัสสนาควรจะคู่กัน สมถะเหมือนคนมีกำลัง มีกำลังกดคอเสืออยู่ ต้องกดเป็นอาทิตย์กว่าเสือจะอดตาย ส่วนวิปัสสนาเหมือนคนมีอาวุธ มีทั้งกำลังมีทั้งอาวุธ ก็ฆ่าเสือได้ง่าย เพราะฉะนั้น..ควรใช้สองอย่างร่วมกัน ทำอย่างเดียวก็ได้ ถ้ากำลังดีพอก็บรรลุได้เหมือนกัน
ถาม : ดีพอนี่ต้องขนาดไหนคะ ?
ตอบ : สามารถทรงฌานตั้งแต่เกิดยันตายไม่หลุดเลย (หัวเราะ) ก็ถามว่าดีพอขนาดไหน ในเมื่อถามก็ตอบให้ อุตส่าห์ตอบชัดเจนขนาดนี้แล้ว จะมาโวยอะไร
ถาม : แต่ก่อนผมแขวนพระ พอมาระยะหลังไม่จำเป็นต้องแขวน เพราะเรามีพระอยู่ในใจ ?
ตอบ : ก่อนหน้านี้อาตมาก็ไม่พกวัตถุมงคล แต่มาตอนนี้พกเพียบเลย เพราะโดนมาจนเข็ด มีพระอยู่ในใจก็จริง แต่วันหนึ่งมีอยู่กี่ชั่วโมง ? แล้วตอนที่ไม่มีใครจะช่วยเรา ? เพราะฉะนั้น..ตัดสินใจเอาเองจ้ะ โยมว่าอย่างไรอาตมาเห็นด้วยทั้งนั้นแหละ เพราะไม่ได้เจ็บตัวด้วย ตัวเองเจ็บมาเสียจนเข็ดแล้วก็เลยพอ
ถาม : ถ้าเขาเสกของมาไม่ดี เราเอาไปเข้าพุทธาภิเษก จะแก้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเข้าพุทธาภิเษกวิธีที่พระท่านสงเคราะห์ไม่ใช่แก้ได้อย่างเดียว แต่กลายเป็นของใหม่ไปเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "วิทยาศาสตร์สมัยใหม่สามารถที่จะตามทันสภาพร่างกายในหลายส่วน แต่เราต้องเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ก็คือทุกอย่างต้องพอดีถึงจะดี จะต้องมัชฌิมาปฏิปทา หลายต่อหลายคนในปัจจุบันนี้ใช้วิธีกินอาหารเสริม กินวิตามิน กินฮอร์โมน ปรากฏว่าพวกนี้ล้นเกินก็กลายเป็นโรคต่าง ๆ ขึ้นมาอีก
ต้องบอกว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านรู้เรียกว่าสัจธรรม คือความจริงที่เถียงไม่ได้ เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทาก็เหมือนกัน ต้องพอดีทุกเรื่อง ถ้าพอเหมาะพอดีก็เกิดประโยชน์ เกินหรือขาดก็มีโทษ
ดาราหลายคนในปัจจุบันก็ใช้วิธีนี้ กินพวกฮอร์โมน กินวิตามิน กินอาหารเสริมกันเป็นว่าเล่น กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดโทษขึ้นมาก็แก้ไขไม่ทันแล้ว มีพระที่วัดอยู่รูปหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็กินแบบนี้แหละ ปัจจุบันนี้เป็นฝีฝักบัว ลักษณะคล้ายมะเร็งแต่ไม่ใช่มะเร็ง เพราะแผลรักษาหาย แต่ไปผุดตรงนั้นตรงนี้ทั่วไปหมด ต้องคอยคว้านตัวเองทีละรูสองรู ตอนนี้เลยกลายเป็นผู้พิชิตความเจ็บปวดไป..!
พอฝีขึ้นมา ๒ - ๓ เม็ดพร้อมกัน ต้องคว้านทิ้ง ท่านใช้มีดโกนเลย ท่านบอกว่าเป็นผลจากสมัยก่อนกินของพวกนี้เยอะ หมอฝรั่งมาขอเป็นตัวอย่างในการศึกษา ท่านเองก็รำคาญ ปลงอายุสังขารแล้ว บอกว่าไม่ต้องรักษาหรอกหมอ ปล่อยไปเถอะ"
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องที่ท่านเองมือเท้าเย็นเพราะเลือดลมไม่ดีว่า "สมัยก่อนอาตมาแหย่หลวงตาวัชรชัย หลวงตาถามว่า “วิธีดูพระดีง่าย ๆ นี่มีบ้างไหมวะ ?” เพราะดูจริยาดูศีลนั้นยาก ยิ่งดูใจยิ่งยาก ท่านที่สูงกว่าท่านบังเราได้ อาตมาบอกว่า “ลองจับหน้าแข้งดู..องค์ไหนถ้าหน้าแข้งเย็น ๆ ก็ใช้ได้” หลวงตาบอกว่า "ฉันน้ำในตู้เย็นไปสักลิตรหนึ่งก็เย็นเองแหละวะ..!"
ถาม : จะรู้ได้อย่างไรว่าในอดีตเราเคยทำกรรมฐานกองไหนมา กองที่ถูกจริต ?
ตอบ : เอาหนังสือกรรมฐาน ๔๐ มาอ่าน ชอบกองไหนก็กองนั้นแหละ แล้วถ้าเคยทำ ความคุ้นชินจะทำให้รู้สึกรักชอบกองนั้น
ถาม : นี่ใช่ยันต์เกราะเพชรวัดท่าซุงไหมครับ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรวัดท่าซุง รุ่นนี้ออกวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ถ้ารุ่นสีดำนั่นออก ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ รายละเอียดพวกนี้อยู่ในหัวของอาตมาทั้งหมด เพราะทำหน้าที่จำหน่ายเองกับมือ ตอนนั้นอาตมามีหน้าที่จำหน่ายวัตถุมงคลจ้ะ
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานออกนิโรธกรรมของครูบาเหนือชัย อาตมานั่งรับสังฆทานอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมง ได้ปัจจัยถวายท่านไป ๗ หมื่นกว่าบาท รวมกับที่ถวายท่านเป็นปกติอีก ๑๐,๐๐๐ บาท เป็น ๘๐,๐๐๐ กว่าบาท โมทนากันนะจ๊ะ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้ที่คนป่วยมาก ส่วนหนึ่งเกิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์เกิดจากการกินเกิน ในเมื่อเกินจากสายกลางก็แปลว่าเดือดร้อนแล้ว โดยเฉพาะพวกของหวานต่าง ๆ พวกขนม พวกน้ำหวาน ถึงเวลาพอร่างกายขาด ระบบเมตาบอลิซึมก็กระตุ้นเตือนว่าจะเอาอีก ถ้าเราเชื่อทุกครั้ง ก็แปลว่าจะเกินไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดเราก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยเอง
แต่ถ้าเราไม่เชื่อแล้วฝืน แรก ๆ ระบบจะรวน ก็จะแสดงอาการด้วยการปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง ถ้าเราสามารถอดทนได้ ๒ วันติดกันขึ้นไป ร่างกายรู้ว่าไม่ได้อีกแล้วก็เลิก แต่ส่วนใหญ่แล้วมักทนไม่ไหว พอถึงเวลาร่างกายบอกว่าจะเอากาแฟ จะเอาชาเขียว ก็ต้องวิ่งตะกายไปหา
ปัจจุบันนี้อาตมาฉันเกินอย่างเดียวคือน้ำเปล่า กาน้ำร้อนประมาณ ๒ ลิตร วันหนึ่งต้องเติม ๔ ครั้ง พวกเราถ้าวันหนึ่งได้ ๓ ลิตรก็เก่งตายชักแล้ว โยมที่ดูแลบ้านนี้มีหน้าที่เติมน้ำให้ ถึงเวลาก็เอาน้ำขวดไปใส่ให้ ๑ ลัง ๒๔ ขวด แล้วจะหายเกลี้ยงภายใน ๒ วัน ก็ต้องไปเติมใหม่ ส่วนของอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ให้ฉัน อย่างสมอ มะขามป้อม อยู่ตรงนั้นมาปีกว่าแล้ว น้ำผึ้ง ๑ ขวด ปีหนึ่งแล้วเพิ่งฉันไปได้ ๓ คำ เดี๋ยวพอเก่าหมดอายุแล้วค่อยเอามาประมูล..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันจนติดนิสัยประหยัดจากท่าน เวลาหลวงปู่ใช้สบู่ พอเหลือก้อนเล็ก ๆ ท่านจะเอาก้อนใหม่มา เอาก้อนเล็กแปะใส่แล้วใช้ต่อ แต่เวลาแปะนี่ต้องแปะให้เป็นนะ ต้องถูทั้ง ๒ ฝั่งให้เป็นฟองก่อนแล้วค่อยแปะ ไม่อย่างนั้นจะแปะไม่ติด ความละเอียดของท่านนี่ต้องบอกว่า อาตมาตามเท่าไรก็ตามไม่ทัน เวลาเปิดประตูหน้าต่าง ชักกลอนขึ้นแล้วต้องเกี่ยวใส่ที่ล็อกเลย อย่าปล่อยทิ้งไว้ ไม่อย่างนั้นเวลาเปิดออก กลอนจะลากพื้นจนเป็นร่อง
เวลาทำความสะอาดสถานที่ หลวงปู่ท่านไม่ดูพื้นหรอก ท่านไปดูหลังโต๊ะ หลังตู้ ขอบเก้าอี้ ท่านบอกว่าสมัยเด็ก ๆ พ่อแม่ท่านทำความสะอาดบ้านแล้วตรวจลักษณะนั้น ท่านก็เลยเคยชิน ถึงเวลาทำความสะอาดบ้านต้องเช็ดขอบหน้าต่าง เช็ดหลังตู้ เช็ดพนักเก้าอี้ไปด้วย
ตอนท่านไปสมัครงาน เข้าไปท่านผู้จัดการส่งผ้าขี้ริ้วให้ผืนหนึ่ง บอกว่า “ช่วยทำความสะอาดให้หน่อย” หลวงปู่ท่านรับมาท่านก็ทำ พอทำเสร็จก็ถามว่าจะสัมภาษณ์เมื่อไร ผู้จัดการบอกว่าไม่ต้องหรอก ผมรับคุณเข้าทำงานเลย เห็นความละเอียดในการทำงานของคุณแล้ว
อย่างพวกขวดใส่ของ พอเทเสร็จท่านจะเอากระดาษซับเช็ดก่อนแล้วค่อยปิดฝา โดยเฉพาะพวกซอส น้ำปลา ซีอิ๊ว ฯลฯ ท่านบอกไม่อย่างนั้นเทไปบ่อย ๆ แล้วจะเลอะน่าเกลียด"
พระอาจารย์เล่าว่า "ปริญญาเอกเขามีโครงการให้ไปดูงานยุโรป ๕ ประเทศ คราวนี้พอแจ้งตัวเลขค่าใช้จ่ายมา สำหรับอาตมาไม่ว่าหรอก แต่คนอื่นท่านจะไหวไหม ? ๑๐ วัน ๑๗๐,๐๐๐ บาท อาตมาก็เลยประท้วง จริง ๆ แล้วควรจะปล่อยให้เพื่อนตายเสียบ้าง เพราะพวกนั้นส่วนใหญ่รักษาตัว ไม่อยากจะกระทบกระทั่งกับใคร ลำบากแค่ไหนก็กัดฟันทน พออาตมาประท้วงเข้าจริง ๆ มีคนเห็นด้วยเยอะเลย แต่เขาไม่พูดก่อน
ท้ายสุดสรุปว่า คนที่สถานภาพทางการเงินย่ำแย่ที่สุดสู้ได้เต็มที่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ลองคิดดู..โดนไป ๑๗๐,๐๐๐ บาทยังไม่พูดอะไรเลย..สมควรตายจริง ๆ..! อาตมาก็เลยบอกเขาว่าให้ไปคิดโครงการใหม่ ถ้าไม่รู้จะไปไหน จะไปลาว ไปเขมร ไปพม่าให้บอก เดี๋ยวอาตมาพาไปเอง ไปดูงานที่ยุโรปมีงานอะไรให้เราไปดู งานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามีน้อยมากเลย
ส่วนใหญ่คนไทยเราจะมีนิสัยอย่างนี้ ไม่ค่อยชอบหักล้างกับคนอื่น แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดก็ตาม ก็จะใช้ลักษณะคล้อยตามไป ซึ่งลักษณะอย่างนี้บรรดาฝ่ายปกครองเขาจะชอบ ไม่มีปากไม่มีเสียง ชี้นกก็บอกว่านก ชี้ไม้บอกว่าไม้ ต้องบอกว่าคนไทยเรามีนิสัย "ข้าพึ่งเจ้าบ่าวพึ่งนาย" มาเสียชิน เพราะฉะนั้น..เวลาคนอื่นชี้นิ้วก็จะทำง่าย พอทำง่ายแล้วก็กลายเป็นมักง่าย ฝังอยู่ในดีเอ็นเอไปแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่คูณ สิริจนฺโท ท่านบอกว่า ท่านไม่สามารถจะเทศน์อย่างเป็นทางการได้ เพราะมีเหตุให้ต้องป่วยหนักทุกครั้งหลังการเทศน์ ท่านเคยดูบุพนิมิตแล้วว่า ท่านบำเพ็ญบารมีมาเพื่อที่จะไปเพียงผู้เดียว ถ้าเทศน์สั่งสอนผู้อื่นเท่ากับมีโทษถึงประหาร ท่านเขียนบันทึกไว้ว่า
"เรารู้ว่าตัวเองเป็นผู้ทรงธรรมไว้อย่างมั่นคงสืบต่อ หน้าที่การงานของตัวเองได้แต่เป็นผู้ทรงธรรมเท่านั้น ไม่ต้องแสดงธรรม ให้แต่เก็บรักษามรดกเอาไว้ ขังความบริสุทธิ์ไว้อยู่ตามปกติเท่านั้น เราพิจารณาดูบารมีที่เราทำมาเป็นแบบพระปัจเจกพุทธ ไม่มีบริวาร เอาตัวรอดโดยลำพังแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เราจึงสอนธรรมะให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ ผิดวิสัยของเรา"
หลวงปู่คูณท่านบันทึกไว้อีกว่า "การปฏิบัติธรรม ขอให้ญาติโยมทำไปได้เลย อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีบุญไม่มีวาสนา หรือว่ามีบุญน้อยทำไปก็ไม่เกิดมรรคเกิดผลอะไร อย่าไปคิดเช่นนั้น เพราะเป็นความคิดของคนพาลที่ไม่รู้จักทำ พูดไปตามความคิดเห็นของตนเอง
มรรคผลเป็นของจริงคู่อยู่กับโลก ไม่ได้หนีไปไหน แต่ว่าต้องทำเอาจึงจะได้ การปฏิบัติธรรมไม่เลือกเพศหญิงหรือชาย ไม่เลือกว่าพระหรือโยม ไม่ใช่พระเท่านั้นถึงจะได้มรรคได้ผล แต่ทุกคนทุกเพศทุกวัย สามารถปฏิบัติเอามรรคเอาผลตามเวลาและโอกาส ใครทำมากได้มาก ใครทำน้อยได้น้อย ที่สำคัญต้องทำติดต่อกันไปเรื่อย ๆ อย่าให้ขาด มีโอกาสกลางคืนให้ทำกลางคืน มีโอกาสกลางวันให้ทำกลางวัน ไม่ต้องเลือกกาลเลือกเวลา เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นครูบาอาจารย์ เป็นที่พึ่ง ไม่ต้องไปกลัวว่าใครจะว่าอย่างนั้นอย่างนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ธรรมะก็ยังเหมือนเดิม เราก็เลือกทำดีเว้นชั่วไปเรื่อย ๆ ในเมื่อทำดีเว้นชั่วไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็สามารถที่จะหลุดพ้นไปได้
การจะไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ต้องมีสติมีปัญญาพอ เห็นทุกข์เห็นโทษ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทำให้เราต้องยึด ในเมื่อเรายึดดีหรือยึดชั่วก็ตาม ย่อมหลุดไม่ได้ เราก็ต้องวาง ถ้าวางลงได้เมื่อไรก็ว่าง เบา สบาย ถ้าสภาพจิตเดินสุดทาง จะไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ เกิดขึ้น ในเมื่อไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ เกิดขึ้นก็สบาย ดีก็มาไม่ถึง ชั่วก็มาไม่ถึง ในเมื่อดีชั่วมาไม่ถึง กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมต่าง ๆ ก็มาไม่ได้ มารก็หลอกไม่ได้"
"สติต้องแหลมคม ว่องไว หยุด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ทัน ปัญญาต้องเห็นโทษว่า ถ้าไปปรุงแต่งแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดขึ้นเผาผลาญเราอย่างไร ในเมื่อสติกับปัญญารู้เท่าทัน ไม่ไปปรุงไม่ไปแต่ง สิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบก็สักแต่ว่ามาเท่านั้น เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น ในเมื่อเห็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น เราไม่ไปยินดียินร้ายด้วย สภาพจิตก็เบาสบาย ไม่ต้องไปเกลือกกลั้วกับกิเลสต่าง ๆ
เรื่องพวกนี้จริง ๆ ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ คำพูดของเราหยาบเกินกว่าสภาวธรรม สภาวธรรมต้องบอกว่าเดินไปจนสุดคำพูด ไม่สามารถที่จะอธิบายสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้ ถึงใช้คำว่า "ปัจจัตตัง" คือเป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตน สิ่งที่พูดมาเป็นเพียงสิ่งหยาบ ๆ ส่วนเดียวเท่านั้น
หลวงปู่บุดดาบอกว่า "เมื่อจิตเลิกปรุงแต่ง ทุกอย่างก็หยุดหมด ดับหมด นิโรธก็อยู่ตรงนั้น" ท่านพูดง่าย แต่เราต้องทำกันแทบเป็นแทบตาย ที่เราทำกันแทบตาย อยากจะบอกว่าทำเกินไปเยอะ ตราบใดที่เราทำเพราะอยากดี ก็ถือว่าธรรมฉันทะ คือตัวอยากดีนี้ เป็นเครื่องมือในการนำทางเรา โบราณาจารย์เปรียบเหมือนเวลาเราจะข้ามน้ำ ก็ต้องมีเรือมีแพนำเราข้ามไป แต่พอถึงฝั่งแล้ว ไม่มีใครแบกเรือแบกแพไปด้วย
ตรงจุดนี้แหละที่หลายคนที่ยังทำไม่ถึง มองไม่เห็น เกิดความงงว่าแล้วตกลงจะให้ทำดีหรือเปล่า ? เพราะดีก็ติด ชั่วก็ติด ก็ต้องบอกว่าสิ่งใดก็ตามที่สมมติทางโลกเขาว่าดี ให้เราทำให้มากไว้ สิ่งใดก็ตามที่สมมติทางโลกเขาว่าชั่ว เราก็ละเสียให้หมด ถ้าสภาพจิตไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่วก็จะหลุดไปเอง เพื่อความปลอดภัยต้องเกาะดีไว้ก่อน ขึ้นที่สูงต้องหาที่เกาะให้มั่นคง พอไปถึงที่สุดเราก็ไม่ต้องเกาะอะไรอีกแล้ว"
"ไม่ต้องไปดูไกล ดูในใจของเรานี่แหละ ถ้าดูเกินตัวเราไปเมื่อไรก็เป็นอันไปปรุงแต่งเรื่องของชาวบ้าน ไปปรุงแต่งเรื่องของโลก ต้องดูที่ตัวเรา แก้ที่ตัวเรา
อย่าให้ใจของเรายึดในร่างกายนี้ ถ้าใจไม่ยึดร่างกายของเรา ก็ไม่ไปยึดในร่างกายของคนอื่น ไม่ยึดร่างกายของเรา ไม่ยึดในร่างกายคนอื่น ก็ไม่ยึดในโลก เมื่อไม่ยึดทั้งร่างกายของเราทั้งร่างกายคนอื่น ไม่ยึดในโลก ก็เหลือแต่ธรรมะล้วน ๆ ถ้าใจเข้าถึงธรรมะล้วน ๆ ก็เท่ากับปล่อยทุกอย่างแล้ว ในเมื่อปล่อยทุกอย่างแล้ว พระนิพพานก็อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่ตรงไหนก็คือพระนิพพาน
ฉะนั้น..พระนิพพานไม่ได้อยู่ไกลเลย พระนิพพานอยู่กับเราในทุกที่ บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโก ท่านปฏิบัติมาแบบไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย แล้วทำไมท่านถึงมั่นใจว่ามีพระนิพพาน ก็เพราะว่าถ้าเข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริงแล้ว ก็จะรู้ว่านั่นคือพระนิพพาน อยู่ตรงไหนก็อยู่ที่พระนิพพาน ไม่ต้องไปคว้าไกล เอื้อมมือเลยหัวเมื่อไรก็แปลว่าเลยธรรมะ
เอาแค่ตัวเราก็พอ กว้างศอก ยาววา หนาคืบ แสดงธรรมให้เราเห็นอยู่ทุกวัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์ ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ ตัวเรายังทุกข์ขนาดนี้ คนอื่นจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร ตัวเราทุกข์อย่างนี้และคนอื่นทุกข์อย่างนี้ สัตว์อื่นจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร ตัวเราทุกข์อย่างนี้ คนอื่นทุกข์อย่างนี้ สัตว์อื่นก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วโลกเราจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร
ฉะนั้น..ใครที่บอกว่าสุข จริง ๆ เป็นวิปลาส คือการเห็นผิด สุขจริง ๆ ก็คือทุกข์อย่างละเอียด ที่เราว่าทุกข์คือทุกข์อย่างหยาบ ๆ เห็นชัดแล้ว คราวนี้เราจะทำอย่างไรที่จะข้ามทุกข์อย่างละเอียดได้ ก็ต้องสร้างสมปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสมาธิ สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต้องมีศีลเป็นเครื่องรองรับ วัน ๆ เราก็ทบทวนศีลให้บริสุทธิ์ การที่จิตของเราจดจ่ออยู่กับศีลทุกสิกขาบทก็จะเกิดเป็นสมาธิ เมื่อสมาธิของเรามีขึ้น จิตใจก็จะผ่องใส กำลังของสมาธิกดกิเลสดับลงชั่วคราว ก็จะเริ่มเห็นช่องทางว่าจะไปทางไหน"
"สำหรับพวกเราก็เอาเรื่องสมาธิเป็นใหญ่ เพราะศีลเรารักษาเป็นปกติอยู่แล้ว เน้นสมาธิของเรา ทำให้ยาวนานขึ้น ทำให้มากขึ้น เคยทำเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็รู้ว่าไม่พอกินแล้ว คนจะไปพระนิพพานต้องทำมากกว่านั้น ก็ขยายระยะเวลา อาจเป็นเช้าครึ่งชั่วโมง กลางวันครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง
ถ้ารู้สึกว่าไม่พอขยายเวลาเป็น ๔๐ นาที ๔๕ นาที ๕๐ นาที ๑ ชั่วโมงก็ได้ จะกระทั่งท้ายสุดพอสภาพจิตชิน ก็สามารถที่จะขังธรรมะอยู่ในใจได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง พอมีธรรมะมานั่งอยู่ในใจ กิเลสก็เข้ามาไม่ได้แล้ว เพราะใจมีดวงเดียว เมื่อใจมีความดี ความชั่วก็เข้าไม่ได้ คราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือพิจารณาให้เห็นว่า ดีจริง ๆ ก็ยังไม่หลุดพ้น ความดีก็ยังทำให้เราติดอยู่แค่เทวดาแค่พรหมเท่านั้น คราวนี้ก็ต้องถอนดีออก ถ้าปัญญาถึง ถอนดีเป็นเรื่องเล็กเลย วางกองอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปยุ่งกับดี อย่าไปยึดดี รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ไปได้แล้ว ฟังดูง่ายดีนะ
สภาพจิตถ้าปล่อยวาง ความหนักก็ไม่มี ถ้าไม่หนักใจเสียอย่างเดียว ความหนักทางกายย่อมไม่มี ดังนั้น..อาตมาจึงได้บอกหลายครั้งว่า ถ้าปฏิบัติแล้วยังหนักอยู่ ยังไม่ถูกทางจริง ให้พยายามทำไปเรื่อย ๆ ถ้าเบาเมื่อไรก็เริ่มได้ทางแล้ว ถ้าเข้าถึงจริง ๆ คราวนี้วางหมด ไม่มีอะไรให้แบก..สบาย..ทุกอย่างก็สักแต่ว่าทำไปตามหน้าที่ ทำไปตามเวลา อันไหนที่สมมติทางโลกเขาว่าดี เราก็ทำของเราไปเรื่อย อยู่กับสมมติทางโลก ก็เคารพตามสมมติไป ทำถึงที่สุดก็จบกันแค่นี้"
"ต้องกองลงไปให้หมด ทิ้งลงไปให้หมดเลย ไม่ว่าจะตัวตน ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ ลูกเขาเมียใคร ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยสักอย่างเดียว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่มี แล้วจะวางอะไร ก็วางลงตรงนี้แหละ
ตอนนี้เราอยู่กับการปฏิบัติธรรม ไปรอวางเวลาอื่นไม่ได้หรอก จะวางเมื่อวานก็วางไม่ได้เพราะเลยมาแล้ว จะวางพรุ่งนี้ก็วางไม่ได้เพราะยังมาไม่ถึง ต้องวางตอนนี้ วางเดี๋ยวนี้ ถ้าเราวางลงตอนนี้ก็เป็นอันว่าไม่ได้แบกอะไร..สบาย..ถอนใจจากลม ไม่ต้องติดลมแล้ว มองเห็นโทษแล้วว่าติดลมมีความทุกข์อย่างไร พอถอนใจออกมา คราวนี้ก็เบาสบาย แหม...อยากจะบินได้เหาะได้เดี๋ยวนั้นเลย
เข้าไม่ถึงก็ฟังไว้เป็นแนว แล้วค่อย ๆ ปฏิบัติไป วางมากไม่ได้ก็ค่อย ๆ วางทีละน้อย แต่ขอให้วางไปเรื่อย ๆ ปลดใจของเราออกไปเรื่อย ๆ อันดับแรกก็ปลดจากความชั่ว คือ รัก โลภ โกรธ หลง ก่อน
จากนั้นก็ปลดจากความดี ค่อย ๆ ปลดไปทีละนิดทีละหน่อย ความเบามีมากขึ้นเรื่อย ๆ สภาพจิตเกิดปีติ เกิดผ่องใสมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดพอแกะหมดก็ไปแล้ว ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ
คำว่าตัวใครตัวมันในที่นี้คือ กายส่วนกาย ใจส่วนใจแล้ว ใจมีหน้าที่ดูอย่างเดียวแล้ว ดูเหมือนดูหนังดูละครเลย เป็นการดูหนังดูละครแบบคนมีปัญญาด้วย ดูแล้วไม่ได้ปรุงไม่ได้แต่งตาม ข้าก็ดูมีหน้าที่ดู ไม่ได้มีหน้าที่ไปยินดียินร้ายด้วยแล้ว
เมื่อไม่ได้ยินดียินร้าย รู้ว่าอะไรดีก็ทำ รู้ว่าอะไรชั่วก็ละ ลมหายใจหมดลงเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าจบกันแค่นี้"
"จำไว้ว่าตอนนี้..เดี๋ยวนี้..ปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อดีตเป็นสิ่งที่มีแต่ความทุกข์ อนาคตก็ทุกข์อีก ปัจจุบันนี้ทุกข์น้อยที่สุด วางลงได้ก็จบเลย การอยู่กับปัจจุบันที่ง่ายที่สุดก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับตอนนี้"
มีโยมเอาของมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "โบราณเขาเรียกว่า "เหง้าบัว" ถ้าบัวหิมะจริง ๆ มี ๒ อย่าง อย่างแรกเป็นต้นสมุนไพรที่มีลักษณะเหมือนกับดอกบัวจริง ๆ แต่ขึ้นอยู่ตามหน้าผาและพื้นที่หนาวเย็น อย่างที่ ๒ บางคนเรียกบัวหิมะ บางคนเรียกไข่มุกวิญญาณหิมะ เป็นแก่นน้ำแข็งที่ไม่ยอมละลายตัว มักจะจับตัวเป็นรูปเหมือนกับดอกบัวตูม เราลองนึกถึงน้ำแข็งที่ตากแดดไม่ละลายดู ว่าความเย็นจะเย็นจัดขนาดไหน ?
อาตมาฉันไม่ได้หรอก เพราะเป็นธาตุเย็น ถ้าอาตมาฉันไปก็ไข้จับ คนเขาเรียกว่าบัวหิมะก็โก่งราคาได้อีกหน่อย คนเคยกินเหง้าบัวอย่างอาตมา มุดลงสระไปพักเดียวก็งมขึ้นมาเป็นกุรุสเลย
ในช่วงที่เกิดทุพภิกขภัย พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุฉันของบางอย่างโดยที่ไม่ต้องประเคนได้ พวกเหง้าบัวถือเป็นประเภทหนึ่ง ท่านใช้คำว่าของที่เกิดในสระ ถ้ามัวแต่ไปรอชาวบ้านมาประเคน ชาวบ้านหากินเองยังไม่พอ ประเคนแล้วก็คงจะนั่งมองพระฉันไปกลืนน้ำลายไป พระพุทธเจ้าจึงอนุญาตให้ฉันได้โดยไม่ต้องประเคน"
ถาม : เงินที่หยอดกระปุกทุกวันเหมือนการใส่บาตร เวลาถวายต้องเจาะจงบอกหลวงพ่อหรือไม่ว่าเป็นการใส่บาตร หรือว่าถวายได้เลย ?
ตอบ : ถ้าเป็นที่อื่นให้บอกท่านด้วยจ้ะ ถ้าเป็นของวัดท่าซุง ท่านรู้อยู่แล้วว่าเงินใส่บาตรถือว่าเป็นค่าภัตตาหารพระหรือว่าสังฆทาน ถ้าจะเอาไปทำบุญอะไรต้องทำไม่ต่ำกว่าสังฆทาน อย่างเช่น ทำเป็นวิหารทาน หรือธรรมทาน เป็นต้น ถ้าเป็นวัดของอาตมาหรือสายวัดท่าซุง ไม่ต้องเสียเวลาบอก ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นวัดอื่น เราเอาไปถวายก็ช่วยบอกท่านด้วยว่าเป็นเงินใส่บาตร
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "พอมีตัวเล็ก ๆ เป็นภาระแล้วรู้สึกลำบากขึ้นไหม ? ต้องกัดฟันทนเลี้ยงไป ไหน ๆ ก็เกิดมามีกรรมร่วมกันแล้ว เราก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ท่านว่า เลี้ยงดู ให้การอบรมสั่งสอน ให้การศึกษา หาคู่ครองให้ และมอบทรัพย์สมบัติให้เมื่อระยะเวลาที่สมควร เฮ้อ..ลำบากอีกนานเลยนะ (หัวเราะ)
หน้าที่ของลูก ท่านบอกว่า เมื่อพ่อแม่เลี้ยงเรามา เรามีโอกาสให้เลี้ยงท่านตอบ ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระการงานของท่าน รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทำตัวให้สมกับที่ได้รับมรดก เมื่อท่านตายก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
ไปดูในสิงคาลกสูตร จะมีบอกไว้ชัดเจนว่า ต้องปฏิบัติต่อสมณชีพราหมณ์ ต่อพ่อแม่ ต่อครูบาอาจารย์ ต่อบุตรภรรยา ต่อเพื่อนฝูง ต่อข้าทาสบริวารอย่างไร"
ถาม : ฤกษ์บวชเมื่อไรดี ?
ตอบ : ฤกษ์บวชไม่ต้องดู ดูแต่ฤกษ์สึกก็พอ ฤกษ์บวชคือจากที่ร้อนไปที่เย็น ไปเร็วเท่าไรยิ่งดี ส่วนฤกษ์สึกจากที่เย็นมาที่ร้อนต้องดูให้ดีหน่อย
ถาม : ทำสมาธิแล้วเห็นแสงสว่างเป็นคลื่น ๆ จ้องดูแล้วปวดศีรษะ ?
ตอบ : พอเริ่มเข้าอุปจารสมาธิ พวกแสงพวกสีจะมาเอง เราทำไม่รู้ไม่ชี้ ภาวนาดูลมหายใจเราไปเรื่อย ๆ อย่าไปดูแสง
ถาม : ถ้าปวดศีรษะ ทำอย่างไรจะหายคะ ?
ตอบ : ตั้งใจว่าเราจะทำต่อไป จะตายก็ช่าง พวกที่มากวนเขาเรียกว่าขันธมาร พอเห็นว่าเราไม่ถอยจริง ๆ เขาก็เลิก บอกไปเลยว่าอยากปวดก็ปวดไป ให้หัวระเบิดไปเลย ข้าจะภาวนา..!
ถาม : เจ้าที่ศาลพระภูมิมีผู้หญิงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : น้อยที่จะเป็นผู้หญิง เจ้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นเทวดา นางฟ้าที่เป็นเจ้าที่ไม่ค่อยมี แต่อย่าให้มีนะ...ผู้หญิงที่ทำหน้าที่แทนผู้ชายได้นี่ต้องห้าวสุดชีวิตเลย ถ้ามีต้องระวังให้ดี ถ้าผิดท่าเดี๋ยวจะเจอหนัก
ถาม : ที่บ้านมีต้นตะเคียน โยมขอท่านให้มาบอกว่าจะย้ายต้นอย่างไร สักพักก็เห็นภาพผู้หญิงแต่งเป็นชุดชาวบ้าน ?
ตอบ : บอกท่าน ถ้าท่านไม่คัดค้านก็ใช้ได้แล้ว
ถาม : ไม่แน่ใจว่าที่เห็นของจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : จะเห็นอย่างไรก็ช่างเถอะ ให้เห็นได้ก็แล้วกัน มัวแต่สงสัยก็ไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่นพอดี เรื่องของมโนมยิทธิต้องไม่กลัว ไม่อยาก ไม่ขี้สงสัย และต้องมั่นใจในตนเอง ไม่อย่างนั้นจะไม่ก้าวหน้า คำว่า "กลัว" คือกลัวว่าออกไปแล้วจะเจอในสิ่งที่ไม่ดี ก็เลยไม่กล้าไป ไม่อยากคือถ้าอยากก็ออกไม่ได้ ไม่ขี้สงสัย คือซักถามมาก ๆ เทวดาพรหมบางท่านจะดุเอาตรง ๆ เลย
อาตมาแค่ถามซ้ำ ท่านว่าเลย "ไอ้ที่โกหกก็มีแต่พวกท่านเท่านั้นแหละ" โอ้โห...หงายท้องตึง เพราะฉะนั้นไม่ต้องย้ำ ที่ต้องมั่นใจในตัวเองคือการรู้เห็นเป็นอย่างไร เราต้องมั่นใจในการรู้เห็นของเรา ถ้าไม่มั่นใจให้พิสูจน์ในสิ่งที่รู้ได้ในระยะใกล้ อย่างเช่น ดูว่าเบอร์รถของท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์งวดนี้จะออกไหม..!
ถาม : ถ้าเราบวชพระมีสิทธิ์ตกนรกมากกว่าฆราวาส แล้วถ้าเราเป็นฆราวาสแล้วทำให้ได้พระโสดาบันก่อนค่อยบวชเป็นพระ ปลอดภัยกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมาเคยคิดแบบนี้แหละ จะบวชทั้งทีให้เป็นพระอริยเจ้าก่อนแล้วค่อยบวช ปรากฏว่าทำอยู่ ๑๑ ปี ไม่ได้สักที พระโสดาบันยังไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร พระอนาคามีไปแล้วปลอดภัยแน่ ไม่รักไม่โกรธกับใครแล้ว
ถาม : การที่เราจะรู้ว่าเราได้ขั้นไหนแล้ว เราจะรู้เองหรือมีพระมาบอกครับ ?
ตอบ : ถ้าได้วิชชาสามขึ้นไปพระท่านจะมาบอก
ถาม : ถ้าจะบวช มีจำกัดไหมครับว่าไม่ควรเกินอายุเท่าไร ?
ตอบ :ไม่มี...แต่ว่าระยะหลังมติมหาเถรสมาคมออกมาว่า ไม่ควรให้เกิน ๖๐ ปี ถ้าเกิน ๖๐ ปี จะไม่ออกหนังสือสุทธิให้
ถาม : ตอนนี้ใจหนูไม่รู้สึกเหมือนเมื่อก่อนที่อยากอยู่ใกล้ท่านมาก ๆ หรืออยากเจอหน้าท่านตลอด รู้สึกเฉย ๆ เสียมากกว่า ไม่ทราบว่าจะเป็นการประมาทไปหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นไปได้ ๓ ทาง ทางแรกก็คือวางได้ อีกทางหนึ่งคือถูกเขาหลอก อีกส่วนหนึ่งจะชัดที่สุด คือกรรมที่ผูกกันอยู่นั้นขาดลง ฉะนั้น..เป็นไปได้ทั้ง ๓ ทาง แต่อย่าไปประมาท
ถาม : ในใจไม่อยากเอาอะไรเข้ามา ใจปฏิเสธหมด รู้สึกเฉยมาก ๆ ไม่อยากฝืน หรือไปกำหนดหรือไปเรียกสิ่งใด เพราะว่าหนักและเหนื่อยกับตัวเราเอง ซึ่งหนูไม่รู้ว่าตรงนี้เป็นส่วนของวิปัสสนาหรือสมาธิ ?
ตอบ : เป็นไปได้ทั้ง ๒ อย่าง ถ้าสมาธิทรงตัวก็ไม่อยากยุ่งกับเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง อีกส่วนหนึ่งก็คือถ้ากำลังปัญญาเรามีพอ สติสมาธิเรามีอยู่ รู้ว่าถ้าไปยุ่งกับเรื่องนี้จะมีโทษอย่างไร แม้แต่คิดถึงก็ไม่อยากคิด
ฉะนั้นต้องระมัดระวังด้วยว่าจะไปทางไหน ที่แน่ ๆ ก็คือเป็นส่วนที่เพิ่งจะไปแตะถึง หรือว่าก้าวเข้าไปอยู่ในจุดนั้นแล้ว อารมณ์ใจจะใกล้เคียงกันมาก ถ้าเราแยกไม่ออก ที่เราเพิ่งแตะถึงนั้นก็หลุดได้ แต่ถ้าเราเหยียบมั่นคงแล้ว เราก็สามารถจะรักษาไว้ได้ ฉะนั้น..มีหน้าที่อย่างเดียวก็คือ เคยทำอย่างไรมา ก็ให้ทำอย่างนั้นต่อ
ถาม : ใจอยู่ข้างใน ไม่ส่งส่ายวอกแว่กหรือไปรับรู้ข้างนอก เพราะเรารู้เหตุและผลข้างนอกว่าไม่มีความสำคัญแล้ว ?
ตอบ : ถ้าวางจริง ๆ จะเหลือแค่ผู้รู้ตัวเดียว แต่คราวนี้ผู้รู้ตัวเดียว เขาปล่อยหมดทุกอย่างประเภทที่ว่า โลกส่วนโลก ธรรมส่วนธรรม ตรงจุดนี้ต่อให้งานที่เราทำอยู่หนักแค่ไหน ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ
ฉะนั้น..ต้องระมัดระวังด้วยว่าโลกกับธรรมมีเพียงแค่เส้นผมบาง ๆ กั้นอยู่ ก้าวผิดก็ติดโลก ก้าวถูกก็รอดไป ตอนนี้ให้เดินต่อด้วยความระมัดระวังสุดชีวิต
ถาม : คงต้องระวังสุดชีวิตค่ะ ถ้าอารมณ์ทรงตัวจะเป็นช่วงที่มีอะไรเข้ามาขวางตลอด ?
ตอบ : ฝ่ายที่ถ่วงเขาก็พยายามจะถ่วง แต่เรามีหน้าที่ต้องก้าวข้ามไปให้ได้
พระอาจารย์เล่าว่า " วันก่อนอ่านประวัติหลวงปู่จาม ท่านมรณภาพเมื่อไม่กี่วัน ปรากฏว่าท่านทำนายไว้ว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ของท่านจะไปบรรลุมรรคผลในสมัยไหน บอกเลยว่าน้องคนนี้จะต้องไปเกิดในสมัยพระพุทธเจ้ามีนามว่าพระราม คนนี้ต้องไปเกิดในสมัยพระพุทธเจ้ามีนามว่าพระนรสีหะ มีอยู่ท่านหนึ่งต้องไปเกิดในสมัยของพระพุทธเจ้ามีนามว่าพระติสสะ
แต่ละคนปรารถนาจะเป็นมหาสาวกทั้งนั้น บางคนอยากจะเป็นแบบพระอนุรุทธ บางคนอยากจะเป็นแบบพระอานนท์ บางคนอยากจะเป็นแบบพระทัพพมัลลบุตร หลวงปู่จามท่านเป็นชาวผู้ไทย หรือภูไท"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านวิริยบารมีช่วงที่มีคนน้อย ๆ แล้วสบายสุด ๆ ต้องให้พวกที่ตาในดี ๆ ดูถึงจะรู้ ไหนจะต้องคอยระมัดระวังว่าใครจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า ต้องคอยดูว่าจะประคับประคองอย่างไรถึงจะไปตรงทาง โอ๊ย..เหนื่อยตาย..!
ตอนไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีได้น่าจะเกือบปี เห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา ท่านใส่สบงกับอังสะ ถือไม้เท้าเดินไล่เคาะประตูบ้านเขา บ้านนั้นก๊อก ๆ บ้านนี้ก็ก๊อก ๆ อาตมาเข้าไปกราบท่าน เห็นเหงื่อท่วมก็เลยขำ “หลวงพ่อครับ..ตายแล้วยังเหนื่อยขนาดนี้อีกหรือครับ ?” ท่านบอกว่า “โห..ตายแล้วเหนื่อยกว่าตอนเป็นอีก ตอนเป็นนี่เขาเรียกเรายังทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ ตอนตายเขาเรียกทีไรได้ยินทุกคนเลย..!”
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงอาตมาคิดถึงหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศมาก แต่ว่าไม่กล้าไปรบกวนท่าน ทั้งที่ท่านสั่งว่าให้ไปอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทันทีที่ท่านต้องนั่งรถเข็นอาตมาก็เลิกไปเลย ไปกราบท่านเฉพาะวันเกิด ไปในลักษณะถึงเวลาก็ไหลตามเขาเข้าไปถวายของเสร็จก็ออกมาเลย
เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดพิชัยญาติฯ อายุ ๗๒ ปี แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศอายุ ๘๕ ปีเต็มขึ้น ๘๖ ปีแล้ว หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ๘๗ ปีเต็มขึ้น ๘๘ ปีแล้ว เพราะท่านห่างกัน ๒ ปี ถ้าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามอยู่ ก็จะมีอายุ ๘๙ ปี ปรากฏว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามไปก่อนเพราะเป็นมะเร็ง แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามท่านไปสบาย ไปดีไปชอบแล้ว
พอข่าวว่าท่านมรณภาพ อาตมาก็รีบตีรถมาจากทองผาภูมิ มาถึงก็น้อมใจกราบ เห็นท่านสว่างโร่อย่างกับดวงอาทิตย์เลย ก็เลยฉวยโอกาสว่า “หลวงพ่อครับ ผมจะมาถวายน้ำสรงหลวงพ่อ ขอที่จอดรถที่หนึ่งครับ” ไม่อย่างนั้นพระผู้ใหญ่เขามากันทั่วกรุงเทพฯ อาตมาจะไปจอดรถที่ไหน ปรากฏว่าพอมาถึงตรงข้างกำแพง ตำรวจเขาเอาแผงกั้นกันเอาไว้ที่หนึ่ง อาตมาก็เลยได้ที่จอดพอดี
หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ท่านเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปเดียวที่มีรอยสัก ท่านบอกว่า “ลูกผู้ชายโบราณของเราก็อาศัยของพวกนี้แหละปกบ้านป้องเมืองมา”
"วันนี้งานเผาหลวงปู่ครูบาอ่อน พระสำคัญก็ล่วงลับไปทีละองค์สององค์ หลวงปู่ครูบาผัดเผาเสร็จกระดูกเป็นพระธาตุให้เห็น ๆ เลย ต้องดูว่าหลวงปู่ครูบาอ่อนท่านจะเอาอย่างไร ส่วนของหลวงปู่จามนี่คงต้องรอนาน หลวงปู่จามท่านบอกให้รีบเผาทิ้งเลย ไม่อยากให้มาเมาศพเมาขี้เถ้ากัน ถ้าลักษณะอย่างนั้นดีไม่ดีท่านก็ไม่อธิษฐานให้แบบหลวงปู่มั่น กว่าจะเป็นพระธาตุก็ต้องรอพระท่านสงเคราะห์ เล่นเอาสามสี่สิบปีให้หลังถึงเป็นพระธาตุ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเจ้าสีหนุท่านนับว่าโชคดีที่สวรรคตตามอายุ อย่างของเราในหลวงรัชกาลที่ ๘ จะลงสมัครผู้แทนราษฎร โดนลอบปลงพระชนม์เลย พระองค์ท่านวางแผนว่าจะสละราชสมบัติแล้วลงสมัครผู้แทนราษฎร เป็นนายกรัฐมนตรีจะได้บริหารประเทศได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะว่าอยู่ในฐานะของกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญลักษณะเหมือนอย่างกับเป็นแค่เครื่องหมายที่เขาเคารพเฉย ๆ จะทำงานทำการอะไร ถ้ารัฐบาลไม่เห็นด้วยก็ทำไม่ได้ ถ้าพระองค์ท่านตั้งพรรคคนอื่นก็คงไม่ได้รับเลือกหรอก
ฉะนั้นเรื่องที่สวรรคตก็เพราะเหตุที่เขากลัวว่าอำนาจจะหลุดมือ เรื่องของอำนาจพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าฆ่าคนโง่จริง ๆ บุคคลที่มืดบอด โง่เขลา ก็จะยึดเกาะอำนาจไม่ยอมปล่อย เพราะรู้สึกว่าผู้อื่นจะมาช่วงชิงไป ก็ต้องต่อต้าน ไปนึกถึงพระเจ้าพิมพิสาร วงศ์นั้นลูกฆ่าพ่อมาตลอด ๒๐๐ กว่าปี ไม่มีลูกคนไหนใจเย็นพอที่จะรอให้พ่อเกษียณอายุก่อน ตั้งแต่ต้นยันปลายอายุราชวงศ์ ๒๐๐ กว่าปีลูกฆ่าพ่อมาตลอดทุกรัชกาลเลย"
ถาม : พระพุทธเจ้าในอนาคตองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลที่เป็นองค์พ่อใช่ไหมครับ หรือลาแล้ว ?
ตอบ : กษัตริย์แคว้นโกศลทุกพระองค์ก็ชื่อปเสนทิโกศล ในเมื่อทุกพระองค์ก็ชื่อปเสนทิโกศลก็แปลว่าจะเป็นองค์ไหนก็ได้ แบบเดียวกับกษัตริย์ของแคว้นพาราณสีกี่พระองค์ก็ชื่อพระเจ้าพรหมทัต
ถาม : พระฉัพพรรณรังสี บางครั้งไม่ได้เป็นเหมือนกับในรูป ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ใช่จ้ะ กระเพื่อมเหมือนกับคลื่นแผ่ออกไป พระพุทธเจ้าของเราฉัพพรรณรังสีแคบที่สุด แผ่ออกไปแค่เป็นวาเท่านั้น อย่างสมเด็จพระมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ของพระองค์อื่นอย่างน้อย ๆ ก็เป็นโยชน์
พระอาจารย์กล่าวถามโยมว่า "ทิดตู่ยังได้ติดต่อกับทิดรัตน์บ้างหรือเปล่า ? ไม่รู้ทิดรัตน์เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ตอนนี้การปฏิบัติของภรรยาทิดรัตน์แซงหน้าไปแล้ว เป็นเรื่องแปลก เจอมาหลายต่อหลายคน ตอนแรกสามีนี่ทำท่าประเภท “กูไปแน่เลย” แล้วคงเกิดลักษณะที่ว่าภรรยาก็คงทุกข์ใจ กลุ้มใจ พอท้ายสุดไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรก็เลยปฏิบัติด้วย คราวนี้ภรรยาเจอทุกข์มามากจึงวางได้เร็ว ก็เลยแซงหน้าไปเลย
สมัยก่อนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ก็มีคุณสุวิทย์กับคุณประภา ครอบครัวนี้เข้าวัดทั้งคู่ คราวนี้คุณสุวิทย์เขาเป็นลูกคนจีน แล้วลูกคนจีนสมัยก่อนถือสาที่สุดก็คือไม่มีหลานอุ้ม แต่คุณสุวิทย์จ้องจะไปพระนิพพานอย่างเดียว เขาจับให้แต่งงานแกก็แยกห้องนอนกับเมีย แล้วจะทำอย่างไรคราวนี้ คุณประภาเสกลูกเองไม่ได้นะสิ ก็โดนแม่ผัวด่าอยู่ทุกวัน ท้ายสุดคุณประภาเครียดขึ้นมา แกก็เลยเข้าวัดปฏิบัติธรรมบ้าง
ไป ๆ มา ๆ คุณประภาไปพระนิพพาน คุณสุวิทย์ยังย่ำต๊อกอยู่จนทุกวันนี้ ไม่รู้จะสมน้ำหน้าดีหรือเปล่า ต้องบอกว่าเกิดมาส่งเสริมให้เขาไปพระนิพพาน ถ้าไม่ไปเล่นเขาหนักขนาดนั้น เขาก็คงยังไม่อยากปฏิบัติธรรม สมัยก่อนเวลาตามหลวงพ่อวัดท่าซุงไปทำบุญ ถ้านั่งรถคันเดียวกันคุณประภาจะมานั่งคุยด้วย แกนินทาคุณสุวิทย์ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง อาตมาก็เลยเห็นว่า “เออ..ความทุกข์ต่าง ๆ ที่รับมา พออยู่ในลักษณะว่าถึงขีดสุดแล้ว คนเราจะแสวงหาทางออกเอง”
เพียงแต่ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงโชคดีตรงที่ว่า ทางออกที่หานั้นเป็นทางที่ถูก ถ้าเป็นสายอื่นนี่ยังไม่แน่ ในเมื่อทางออกเป็นทางที่ถูก เมื่อปฏิบัติก็เลยไปพระนิพพานกัน กรณีคุณสุวิทย์นั้นไม่เหมือนตาตั้มของพวกเราหรอก ตาตั้มเป็นประเภทไปต่อต้านทีละเล็กละน้อย คุณสุวิทย์แกไม่สนใจหรอก แต่งได้แต่งไป กูไม่อยู่ห้องเดียวกันเลย แกแยกห้องไปนอนห้องพระ ภาวนาของแกไป แกจะไปพระนิพพานท่าเดียว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้หลวงตาวัชรชัยก็อายุ ๗๐ ปีแล้ว ตอนแรกอาตมาก็เป็นห่วงวัดเขาวง บอกกับหลวงตาว่าให้แต่งตั้งท่านเอ๊ดเป็นรองเจ้าอาวาสไว้ก่อน เพราะตามระเบียบมหาเถรมหาคม ก็คือ ถ้าเจ้าอาวาสสิ้นไป เขาให้พิจารณารองเจ้าอาวาสก่อน ถ้าไม่มีรองเจ้าอาวาสก็พิจารณาจากผู้ช่วยเจ้าอาวาสทั้งหมดที่มีอยู่
ตอนนี้หลวงตาแต่งตั้งท่านเอ๊ดเป็นปลัดของเจ้าคณะอำเภอด้วย และเป็นรองเจ้าอาวาสด้วย เป็นอันว่ามีผู้สานต่องานได้แล้ว ตอนแรกหลวงตาเกรงว่าเขาจะครหาว่าตั้งลูกชายตัวเองเป็น อาตมาบอกหลวงตาว่า “มองสิ..รอบข้างมีใครเขาทำงานหรือเปล่า ไปทางไหนก็มีแต่ท่านเอ๊ด” ปลัดเอ๊ดทำงานตายอยู่คนเดียว ก็สมควรที่จะให้ เจ้าคณะอำเภอสามารถแต่งตั้งพระปลัด พระสมุห์ พระใบฏีกาช่วยงานได้ ๓ รูป ก็เลยแต่งตั้งท่านเอ๊ดเป็นพระปลัด สมุห์กับใบฏีกาไม่ได้ถามว่าให้ใครไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีหนังที่เขากล่าวถึงเสือไท เสือไทขนาดฝึกจนเป็นมหาอุตม์ ใครจะลอบยิงเวลาไหนไม่ได้ทั้งนั้น จะยิงตอนล้างหน้า จะยิงตอนกินข้าว จะยิงตอนเข้าส้วม ยิงไม่ออกทั้งนั้น แต่เสือไทพกมีด พ่อปู่ขุนพันธ์ถามว่า “เก่งขนาดนี้แล้ว ทำไมยังต้องพกมีดอีก ?” เสือไทบอกว่า “คนเราไม่ใช่สัตว์ จะได้มีเขี้ยวมีเล็บเป็นอาวุธ เพราะฉะนั้น..อย่างน้อย ๆ ก็ให้มีมีดติดตัวไว้บ้าง”
เสือไทจริง ๆ เป็นมหาดเล็กในเสด็จในกรมหลวงชุมพร โดนเขากล่าวหาว่าฆ่าคนตายต้องหนีคดี พ่อปู่ขุนพันธ์ไปเจอตอนที่ขึ้นไปเป็นผู้กำกับที่จังหวัดพิจิตร หนีคดีไปไกลเลย จากกรุงเทพฯ หนีไปอยู่ป่าพิจิตร
เรื่องของอาวุธอาตมาชอบจนเป็นนิสัย ตั้งแต่เด็ก ๆ มาก็ใช้เป็น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยเด็ก ๆ ท่านย่าใช้ให้ไปสอยหัวปลี ไม่เคยใช้ไม้ขอกับใครหรอก ถึงเวลาก็เอามีดทำครัวไป ๓ - ๔ เล่ม ใช้ขว้างตัดขั้วเอา ท่านบอกว่าฝึกจนกระทั่งจะเอาแบบไหนก็ได้ จะขว้างให้ปลายแทง คมฟัน สันตี ด้ามตี ได้ทั้งนั้น ส่วนอาตมาสั่งได้แค่ ๓ - ๔ จังหวะ จังหวะที่ขว้างยากที่สุดก็คือลักษณะเหมือนกับทอยขึ้น ฝึกอยู่ตั้งนานกว่าจะชำนาญ ปกติอาตมาถนัดขว้างตรงเลย ขว้างตรงนี่ระยะ ๗ ก้าว ๑๒ ก้าวนี่ตายเด็ดขาดแน่นอน..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยธรรมโอสถ จะว่าเป็นการฝืนกฎแห่งกรรมก็ไม่ได้ เพราะการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นสมมุติ ที่กินร่างกายที่เป็นสมมุติด้วยกันอยู่ ถ้าเราเข้าไปถึงธรรมในส่วนที่เป็นปรมัตถ์ เหมือนกับยืนคนละฝั่งคลองแล้ว ไม่มีสะพานวิ่งไปหากัน ฉะนั้น..อาการโรคที่กินร่างกายก็คือกินฝั่งนั้น ไม่ได้กินฝั่งนี้ เมื่อข้ามฝั่งมาไม่ได้ก็ขาดออกจากกัน
บุคคลที่ข้ามกระแสได้ ความสว่างของธรรมที่เกิดขึ้น จะกลบกลืนในส่วนที่เป็นสมมุติไป กลายเป็นปรมัตถ์ทั้งหมด อาการป่วยก็เลยหาย โรคเหมือนอย่างกับกาฝากที่กินต้นไม้อยู่เท่านั้น ถึงเวลาแล้วกาฝากก็อยู่ส่วนกาฝาก ต้นไม้ก็อยู่ส่วนต้นไม้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ถ้าแยกออกชัดเจนเมื่อไรก็ต่างคนต่างอยู่ ลองทำดู..ถ้าแยกสังขารเห็นชัด ๆ ได้ ดีไม่ดีอาการป่วยจะหายไปเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติสำคัญที่สุดตรงเอาไปใช้ในชีวิตจริง เพราะฉะนั้น..ทำอย่างไรที่เราจะเลื่อนไหลไปตามกิจกรรมต่าง ๆ โดยที่ใจยังนิ่งเป็นปกติได้ ต้องพยายามฝึกฝนตรงนี้ให้ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำบุญ..ถ้าทำด้วยตนเอง ไม่ชักชวนคนอื่นทำ เกิดมาก็รวยคนเดียว ถ้าชักชวนคนอื่นทำบุญ แต่ตัวเองไม่ได้ทำ เกิดมาบริวารมากแต่จน ดังนั้น..การทำบุญต้องทำด้วยตนเองด้วย ชักชวนคนอื่นทำด้วย นอกจากรวยแล้วยังมีบริวารมาก จะทำอะไรก็มีแต่คนช่วยเหลือ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตามตำราพรหมชาติ หลวงปู่จามท่านเกิดปีจอ เดือน ๗ ท่านบอกว่าเปียกฝนอยู่ตลอดเวลา ที่กินที่นอนก็หายาก ลำบากลำบน เป็นคนทุกข์มาแต่เล็กแต่น้อย โบราณเขาดูแม่นนะ...
หลวงปู่จามท่านมีความจำท่านสุดยอดเลย อายุเป็นร้อยปีแล้ว ให้ท่านเล่าความหลังซักประวัติต้นตระกูลผู้ไทท่านบอกได้หมด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนบรมลงมา หลวงปู่จามอายุ ๑๐๓ ปี หลวงปู่จันทร์ศรีเป็นรุ่นน้องท่าน อายุน้อยกว่าปีหนึ่งก็คือ ๑๐๒ ปี หลวงปู่จันทร์ศรีก็เพิ่งเข้าโรงพยาบาล พระระดับนี้เป็นห่วงแต่สังขารท่านเท่านั้น เรื่องของจิตใจไม่ต้องไปห่วงท่านเลย
เขาบอกว่าพระปฏิบัติส่วนใหญ่ที่อายุยืน เกิดจากสาเหตุ ๒ - ๓ ประการด้วยกัน ประการแรกคือจิตใจท่านสงบ ในเมื่อจิตใจสงบ สภาพความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนร่างกายไม่ขึ้นสุดลงสุดเหมือนคนทั่วไป
อีกประการหนึ่งก็คือสวดมนต์ไหว้พระอยู่เป็นประจำ ฝรั่งเขาทำวิจัยว่า การสวดมนต์ไหว้พระเท่ากับได้บริหารอวัยวะภายใน อวัยวะภายในบริหารยาก แต่การสวดมนต์ไหว้พระเราต้องเปล่งเสียง ความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นไปบริหารอวัยวะภายในด้วย อวัยวะภายในจึงแข็งแรง ก็เลยทำให้นักปฏิบัติมักจะอายุยืน
ที่แน่ ๆ ก็คือร่างกายเสื่อมโทรมช้า พอกำลังใจมั่นคง สภาพร่างกายเสื่อมโทรมช้า ก็เลยทำให้อายุยืนไปเลยปริยาย แต่ต้องหมายถึงว่ากรรมเก่าท่านไม่ได้มากมายด้วยนะ ถ้ากรรมเก่าหนัก ๆ ประเภทออกรบมาทุกชาติอายุยืนไม่ไหวหรอก"
ถาม : ลูกสาวเขาถามว่าทำไมคนเราต้องตายครับ ?
ตอบ : ถึงเวลาใช้ร่างกายมากไป ร่างกายอยู่ไม่ไหวก็พัง เคยเห็นของเก่า ๆ ไหมจ๊ะ ? ถึงเวลาก็พัง คนแก่ ๆ ก็พังเหมือนกัน อย่างหลวงตาเดี๋ยวแก่อีกหน่อยก็พังแล้ว ฉะนั้น..เป็นเรื่องปกติลูก ถึงเวลาเราก็เตรียมตัวพัง..เท่านั้นเอง
ถาม : มีอาชีพไหนที่ทำแล้วไม่ก่อกรรมบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เยอะแยะไป อยู่ที่สภาพจิตของเรา ถ้าสภาพจิตไม่มุ่งเบียดเบียนใครก็จบ ส่วนใหญ่แล้วจะอดไม่ได้นะสิ
ถาม : เวลานอนภาวนาไปแล้วตัวแข็ง ผมสติแตกทุกที ?
ตอบ : แสดงว่ากลัวดี เมื่อจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกันจะขยับตัวไม่ได้ แค่คลายสมาธิออกมาหน่อยเดียวเท่านั้น ก็จะเป็นปกติเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณท่านเก่ง ท่านกำหนดเรื่องการบวชพระเพื่อให้เราได้บุญได้กุศลมากที่สุด เริ่มจากการแห่นาค สมัยก่อนเขาไม่ได้แห่นาคแค่รอบโบสถ์ เขาแห่รอบหมู่บ้าน แห่รอบตำบลกันเลย เพื่อให้ญาติโยมคนที่เห็นจะได้โมทนาด้วย นั่นคือเจตนาของการแห่นาคที่แท้จริง
ช่วงที่แห่นาครอบโบสถ์ก็นึกถึงพระพุทธ นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ ถึงได้แห่ ๓ รอบ จัดเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ การวันทาเสมาคือการขอขมาพระรัตนตรัย โทษอะไรที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เป็นอโหสิกรรมด้วย ลักษณะว่าจะเข้าไปบวชแล้ว ก็ให้บริสุทธิ์ที่สุด คราวนี้พอวันทาเสมาเสร็จก็มีการโปรยทาน เป็นการทำทานและเป็นทานไม่เจาะจงด้วย เพราะโปรยไปใครเก็บได้ก็เป็นของคนนั้น ต้องบอกว่าเกือบ ๆ จะเป็นสังฆทานแล้ว
หลังจากนั้นพอเข้าโบสถ์ก็กราบพระ รับศีล ก็ได้ทาน ได้ศีล แล้วไปได้ภาวนาตอนเริ่มบวช พระอุปัชฌาย์ท่านจะบอกกรรมฐานให้ เขาเรียกมูลกรรมฐานหรือตจปัญจกกรรมฐาน แปลว่ากรรมฐาน ๕ ที่มีหนังเป็นที่สุด คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ
เพราะฉะนั้น..โบราณท่านเก่งมาก แทรกความดีไว้ในพิธีกรรมเต็มที่เลย แต่คนรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยรู้กัน เขาแห่เราก็แห่ด้วย บางทีก็เมาหัวทิ่มอยู่ในขบวนแห่นั่นแหละ สมัยก่อนเขาแห่นาคเพราะต้องการให้คนอื่นโมทนาในความดี แต่นี่ไปเมา..แล้วจะเอาความดีที่ไหนมาให้เขาโมทนาได้ บางคนเมาแล้วยิงปืนอีกต่างหาก..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การอุปสมบทหมู่ของวัดท่าขนุน อย่างน้อย ๆ ก็จะเหลือติดวัดไว้รุ่นละรูปหรือสองรูป ปรากฏว่าช่วงลอยกระทงปี ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา บวชไปสิบกว่ารูปแต่ไม่เหลือเลย รายสุดท้ายเพิ่งสึกไปหลังปีใหม่ แม้กระทั่งท่านลุคก็เหมือนกัน
ท่านลุคอยู่ในลักษณะโดนทดสอบกำลังใจแล้วไม่ผ่าน ท่านเองปีนขึ้นไปดูถังใส่น้ำประปา เพราะว่าลูกลอยไม่ตัด น้ำล้นอยู่ตลอด ท่านก็ปีนขึ้นไปซ่อม ตอนลงมามือซ้ายโดนเหล็กโครงสร้างหอประปาบาด
แล้วตอนเดินบิณฑบาต เท้าซ้ายท่านไปโดนเศษแก้วตำ ท่านเป็นคนถนัดซ้าย แล้วโดนข้างซ้ายทั้งหมด ท่านเองก็ไปนั่งเซ็ง เกิดมาจนป่านนี้ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยกับใคร อยู่ ๆ เป็นทีเดียว ๒ อย่างทั้งบนทั้งล่างเลย จึงเสียกำลังใจ
พออธิบายให้ท่านทราบ ท่านก็ค่อยเข้าใจหน่อยว่าเป็นการทดสอบ แต่ท่านก็แปลกใจว่าทำไมต้องทดสอบกันด้วย ท้ายสุดก็สอบไม่ผ่าน..ขอสึก เมื่อวานก็ย่องมาทำบุญ การทดสอบลักษณะนี้ดีกว่าทดสอบลักษณะของทิพยจักขุญาณ เพราะว่าท่านลุคทิพจักขุญาณท่านชัดด้วย ถ้าทดสอบลักษณะนั้นแล้วพลาด จะไปยาวเลย เนื่องจากว่ารู้เห็นด้วยตัวเอง ในเมื่อรู้เห็นด้วยตัวเองทำให้น้อมใจเชื่อ ถ้าคนปัญญาไม่พอก็จะเชื่อยาวไปเลย
ที่เชื่อเพราะว่าตัวเองเห็น โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งตัวเองเห็นนั้น เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นนั้นไม่แน่ว่าจริง เคยยกตัวอย่างให้พระท่านฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าเราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา แล้วเราก็ไปขวางเขา จะถูกเขากระทืบเราตายเพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่ากันมาจริงหรือเปล่า ? ก็จริง..แต่เรื่องที่เราเห็นไม่จริง เพราะเป็นฉากในหนังเท่านั้น
เรื่องของทิพยจักขุญาณเวลาเขาทดสอบเรา จะทดสอบเจ็บอย่างนี้แหละ ถ้าปัญญาไม่ถึง การตรึกตรองใคร่ครวญไม่ดีก็จะหลงทาง โดนเขาหลอกแล้วไปยาวเลย เพราะว่าตัวเองเห็นเลยไปมั่นใจว่าต้องใช่อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีแต่คนนิยมสร้างสมเด็จองค์ปฐมจนอาตมาเองก็หนักใจ ตกลงว่าเขาทำถูกหรือทำผิด ? มีการบวงสรวงขออนุญาตกันหรือเปล่า ? เรื่องของพระพุทธเจ้าบางทีพวกเราก็เผลอ ด้วยความที่สมัยนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ นั้นง่าย สะดวกไปหมด ใครนึกจะสร้างก็สร้าง ต้องบวงสรวงบอกกล่าวกันให้เรียบร้อยก่อน ยิ่งถ้าได้มโนมยิทธิหรือว่าได้อภิญญาก็ไปกราบขอต่อหน้าพระพักตร์เลย"
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมว่า "เอาพระพุทธรูปไว้ข้างบนเลยลูก พระพุทธอย่าวางไว้ต่ำ วางสูงไว้ก่อน พุทธานุภาพของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ สมัยก่อนเขาใช้พุทโธคำเดียวหนังเหนียวฟันแทงไม่เข้าเลย
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า มีนักเลงรุ่นน้าบ้านอยู่ตลิ่งชัน ชื่อปาน เป็นเพื่อนของน้าชายของหลวงพ่อที่เป็นตำรวจ น้าปานเป็นนักเลงใหญ่ประเภทคุ้มครองคนในหมู่บ้าน ถ้าแถวบางระมาดหรือตลิ่งชันมีคนอื่นมารังแก น้าปานจะออกหน้ารับหมด รับได้เพราะแกหนังเหนียว ซัดกันทีไรถ้าคู่ต่อสู้หนังไม่ดีจริงนี่เยินไปทุกราย คนก็เลยกลัวและเกรงน้ำใจ
ปรากฏว่าวันนั้นเดินกลับบ้านผ่านไร่อ้อย น้าปานเกิดหิวน้ำขึ้นมา ไปตัดอ้อยของเจ๊กเขามาลำหนึ่งกินแก้หิวน้ำ ปรากฏว่าพวกเจ๊กเขากรูกันออกมาสิบกว่าคน ช่วยกันจับน้าปานมัดเป็นหมูเลย คนเดียวสู้เขาไม่ได้ พวกเจ๊กก็ทั้งฟันทั้งแทงปรากฏว่าไม่เข้า เจ้าของไร่โมโห ให้เมียมานั่งคร่อมหัวก็ยังแทงไม่เข้า เขาเลยกะว่าเอาไฟเผา ก็เลยจะเอาคบไต้ทิ่มหน้า พอเห็นเป็นน้าปานคบไต้หลุดมือเลย ตกใจ..ไปเล่นนักเลงใหญ่เสียเต็มที่เลย
น้าปานก็เลยบอกว่า “ทำไมอาเจ๊กทำกันอย่างนี้เล่า ? แค่กินอ้อยลำเดียวเท่านั้น ต้องถึงขนาดฆ่าแกงกันด้วยหรือ ? ดึกแล้วฉันเองก็ไม่อยากจะตะโกนเรียก ก็เลยถือวิสาสะตัดเอาเอง” เจ๊กเขาบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น หลายวันก่อนอีมาที อีเล่นตัดแล้วขนไปเป็นหอบ ๆ เลย” เลยขอโทษขอโพย น้าปานก็ไม่โกรธ เพราะรู้เหตุผลอยู่แล้ว"
"สมัยก่อนกว่าจะได้อ้อยมา กว่าจะคั้นน้ำ กว่าจะทำเป็นงบน้ำอ้อยขึ้นมานั้นลำบากลำบนจะตาย กวนกันข้ามวันข้ามคืนกว่าจะได้ เขาทำมาหากินสุจริตพวกนี้ยังไปขโมยเขาอีก แต่ต้องบอกว่าน้าปานแกเฮงเองแหละ ผ่านไปตอนนั้นพอดี ถ้าไม่ใช่หนังเหนียวก็ตายคาที่ไปแล้ว เพราะกลางคืนมืด ๆ โดนรุมตีเอา ตัวเองคนเดียวสู้เขาไม่ได้ พวกเจ๊กมีวิทยายุทธ์ทั้งนั้นเลยจับมัดไว้ ถ้าไม่ได้คิดจะใช้ไฟเผาก็ยังจำไม่ได้ว่าใคร
นั่นแหละคุณพระรัตนตรัย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามว่าน้าปานมีของดีอะไร น้าปานบอกว่าไม่มีหรอก ภาวนาพุทโธเท่านั้น แล้วคิดดูว่าขนาดผู้หญิงนั่งคร่อมหัวกำลังใจแกยังไม่ตก ในเมื่อกำลังใจไม่ตกก็ยังเหนียวเหมือนเดิม แทงเท่าไรก็แทงไม่เข้า ดังนั้น..เรื่องของพระรัตนตรัยอย่าถือเป็นเรื่องเล็กน้อย
ญาติโยมหลายคนมาถวายสังฆทาน พอวางพระลงก็หยิบเงินถวายข้ามเศียรพระเลย อาตมาพยายามเบี่ยงขันหลบซ้ายหลบขวา บางทีโยมไม่ได้สังเกต เห็นอาตมาเบี่ยงขันหลบ โยมเขาก็ยกเงินข้ามเศียรพระแล้วก็เบี่ยงตามมา ต้องระมัดระวังกันนิดหนึ่ง เราเป็นนักปฏิบัติ ทำบุญหวังความดีชั้นสูง จิตใจต้องละเอียด ถ้ากำลังใจไม่ละเอียดมักจะปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาต้องขอขมาไว้ก่อน จะไหว้พระ จะสวดมนต์ จะทำวัตร ตื่นนอน ก่อนนอน กราบขอขมาพระไว้ให้ชิน ถึงเวลาแล้วตั้งใจขอขมาไว้ก่อน จะทำโดยรู้หรือไม่รู้ก็ขอเอาไว้ จะได้ปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องของกรรมล่วงเกินพระรัตนตรัยนี่ ถ้าปฏิบัติธรรมจะไม่ก้าวหน้าเลย"
ถาม : ถ้าพระบรมสารีริกธาตุที่เราบูชาอยู่เกิดเปลี่ยนวรรณะ หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตีเสียว่าดีแล้วกัน แต่พระบรมสารีริกธาตุของอาตมานี่ ถ้าเปลี่ยนเมื่อไรแล้วต้องระวัง ที่ระวังก็คือมักจะเกรงว่าตัวเองความดีจะไม่พอ คนอื่นเขาบูชาแล้วพระธาตุงอกบ้าง เพิ่มบ้าง แต่ของอาตมาบูชาไปแล้วลดลงไปเรื่อย ๆ
ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมไม่เหมือนเขา พอมานึกได้ว่าอาตมาเป็นคนไม่หวงของ ปกติใครขอก็ให้เขาอยู่แล้ว กลายเป็นว่าท่านเลยเสด็จไปอยู่กับคนอื่นเรื่อย ส่วนของอาตมานี่ท่านมาเพิ่มเมื่อไร ก็ระแวงว่าเราทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า กลายเป็นว่าตรงกันข้ามกับคนอื่น ของคนอื่นเขาเพิ่มบ้าง งอกบ้าง เปลี่ยนแปลงบ้าง ถือว่าดี แต่ของอาตมาถ้าเพิ่ม งอกขึ้นมานี่ต้องระแวงว่ามีอะไรไม่ดีหรือเปล่า
ถาม : เวลาแผ่เมตตาออกไป ตอนที่ดึงกลับยังดึงไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : ให้ซ้อมบ่อย ๆ ของอย่างนี้ถ้าขาดความชำนาญก็จะเป็นอย่างที่ว่ามา ถ้าซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวความคล่องตัวก็มีขึ้น โดยเฉพาะถ้าได้ความคล่องตัวในตัวสมาธิ เวลารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาอย่างกะทันหัน เราจะได้ป้องกันทัน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวหรือตั้งรับไม่ทัน ก็เหมือนกับปิดประตูบ้านไม่ทัน ขโมยเข้าบ้านไปแล้ว
ถาม : พระมีผู้หญิงในห้อง มีข้อหาปาราชิก ยังไม่มีการตัดสินจากฝ่ายธรรมยุติ ไปบวชใหม่ทางมหานิกาย อย่างนี้จะขาดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเขาทำจริงหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นการอยู่กับหญิงสองต่อสองนี่เขาปรับแค่อาบัติปาจิตตีย์
ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้าคดีขึ้นสู่ศาล ต้องไปพิสูจน์ว่าปาราชิกจริงไหม จะทำได้ยาก ?
ตอบ : ถ้าทำก็ไม่ต้องพิสูจน์ เพราะขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ในเรื่องของทางธรรมขาดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในเรื่องของทางโลกก็ลำบากหน่อย มัวแต่ไปพิสูจน์กันอยู่
ถาม : ต้องไปรอเจ้าคณะอำเภอตัดสินไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าขาดแล้วก็ไม่ต้องรอใครตัดสินหรอก ตัวเองก็รู้เอง
ถาม : แล้วในเรื่องของสายการปกครองไม่ต้องไปรอใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ให้เขาตัดสินแล้วสึกเสียให้หมดเรื่องหมดราวไป เสียดายว่าไม่มีโทษอื่น แค่สึกก็จบ ถ้าให้ติดคุกติดตะรางเสียบ้าง น่าจะรู้สึกกลัวกันมากขึ้น
ถาม : หนูแต่งงานกับผู้ชายต่างศาสนา บางทีเขาหึงก็ทำร้ายร่างกายหนู ควรทำอย่างไรให้หมดเวรกรรมตรงส่วนนี้ดีคะ ?
ตอบ : ไม่หมดหรอก ระดับนั้นหมดยาก...รู้จักคาถาเมตตาของหลวงปู่แช่ม วัดฉลองไหม ? พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต เช้าขึ้นมาก็นึกถึงหน้าเขา แล้วภาวนาไปสักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเขาก็ดีกับเราเอง ภาวนาให้เป็นกรรมฐานเลย
ตั้งใจนึกถึงหน้าของทุกคนในบ้าน ยิ่งต่างชาติยิ่งดี เขาไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ทำไมรักเรามากขึ้น คาถานี้ช่วยให้เขารักเขาเมตตา เขาก็จะทำดีกับเราเอง ให้ทำเป็นกรรมฐานเลย ถ้าเคยใช้พุทโธก็ใช้คาถานี้แทน ยาวหน่อยก็ไม่เป็นไร ค่อย ๆ ทำไป เท่ากับเราได้ภาวนามากขึ้นด้วย
เวลาภาวนาอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก อานุภาพคาถาจะมีมากมีน้อย ขึ้นอยู่การทรงตัวของลมหายใจของเรา ถ้าลมหายใจทรงตัวเป็นสมาธิสูงมากเท่าไร คาถาก็มีผลมากเท่านั้น ไปลงมือทำได้แล้ว..ห้ามมาคร่ำครวญ..!
ถาม : พระที่อาพาธด้วยโรคริดสีดวงทวาร ไม่สามารถผ่าตัดได้ จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าตามพระวินัยแล้วพระพุทธเจ้าท่านห้าม แต่ถ้าเห็นว่าท่านทรมานมากก็ผ่าตัดให้ แล้วให้ท่านไปปลงอาบัติเอา เพราะว่าเป็นศีลที่เป็นส่วนเกินจากพระปาฏิโมกข์ ที่เราเรียกว่าอภิสมาจาร ในเมื่อเป็นอภิสมาจารก็อยู่ในลักษณะว่าเขาปรับเท่ากับจับเงิน คือปรับอาบัติทุกกฎ ทุกกฎแปลว่าความชั่ว
เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะสมัยก่อน เวลาพระท่านเป็นริดสีดวงทวารแล้วไปให้หมอรักษา ซึ่งหมอที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน เป็นคนศาสนาอื่น อย่างพวกฮินดู เขาก็เอาพระไปวิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยห้าม คราวนี้ว่าของเราผ่าตัดแล้วก็แนะนำท่านให้ไปปลงอาบัติเอาก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ท่านก็ไม่ได้ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บอีก
ถาม : ถ้าเป็นอย่างนั้นจะได้สั่งว่านเพชรสังฆาตไปด้วย
ตอบ : เอาเพชรสังฆาตก่อนดีกว่าจ้ะ เพราะว่าเพชรสังฆาตช่วยได้เยอะมากเลย ถ้ากินต่อเนื่องกันครบแล้วส่วนใหญ่ริดสีดวงทวารจะหาย แต่เพชรสังฆาตถ้ากินไม่เป็นนี่คันตายเลย..!
การผ่าริดสีดวงทวารท่านใช้คำว่า ทำสัตถกรรมในที่แคบ สัตถะแปลว่าอาวุธ ก็คือใช้มีดผ่าตัด ท่านห้ามเอาไว้ สมัยโน้นนั้นเขาจะมีเวชกรรม มีอยู่อันหนึ่งที่ปรับพระแรงมากเลย ก็คือเปลี่ยนเพศให้กับคนอื่น แสดงว่าสมัยก่อนการเปลี่ยนเพศเขาทำเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นผ่าตัดหรือใช้สมุนไพร หรือว่าใช้อภิญญาฤทธิ์อะไร ไปเปลี่ยนเพศให้เขานี่ท่านปรับเลย
มานึกถึงเรื่องการแพทย์โบราณ ประเทศจีนกับอินเดียรู้สึกว่าก้าวหน้าใกล้เคียงกัน ส่วนใหญ่แล้วคนโบราณจิตใจสงบ เกิดทิพจักขุญาณขึ้นมา ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าควรจะทำอย่างไร อย่างที่หมอฮัวโต๋ผ่าตัดกะโหลกศีรษะ หรือไม่ก็แบบเดียวกับที่หมอชีวกฯ ท่านรักษาคนไข้ อยากได้ตำรายาถ่ายของพ่อปู่หมอชีวกฯ สมัยนี้คงทำกันไม่ได้แล้ว ให้ดมแล้วถ่ายได้ ไม่ต้องกินเลย แค่ดมยาแล้วถ่ายนี่ต้องบอกว่าสุดยอดเลย
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ท่านที่ยอมรับกฎของกรรมก็ไม่รู้ว่าจะไปฝืนทำไม ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ตัวท่านเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกไปเดือดเนื้อร้อนใจกับการเสื่อมโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ว่าลูกศิษย์ทนดูไม่ได้ ในเมื่อลูกศิษย์ทนดูไม่ได้ก็ให้การรักษา ท่านก็รับการรักษาสนองน้ำใจ ถ้าไม่ได้รักษาท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก จะตายวันตายพรุ่งก็เป็นเรื่องของร่างกาย
ถาม : ทางตะวันตกเขาก็ยอมรับแล้วว่าการทำสมาธิทำให้อาการโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างดีขึ้นได้ ?
ตอบ : เราต้องยอมรับว่าความเครียดเป็นสาเหตุของโรคภัยสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะ โรคหัวใจ โรคความดัน โรคประสาท เหล่านี้เป็นต้น การทำกรรมฐานทำให้หายเครียด ในเมื่อหายเครียดโรคเหล่านี้ก็พลอยหายไปด้วย ระยะหลัง ๆ อย่าง ไมเกรนยาก็เอาไม่อยู่ ต้องใช้วิธีเจริญกรรมฐานแทน
ถาม : มีครั้งหนึ่งทำกรรมฐานแล้วรู้สึกว่าตัวเองดูตัวเองอยู่ ไม่ทราบว่าเพี้ยนไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เพี้ยนไปแล้วจ้ะ คือจิตแยกจากร่างกายเป็นเรื่องปกติ หลายต่อหลายคนที่มีประสบการณ์นี้ใหม่ ๆ ก็สงสัยว่าตัวเรายืนอยู่นี่ แล้วคนนั้นเป็นใคร เป็นเรื่องปกติจ้ะ ให้ทำต่อไป ถ้ากำลังของเราเพียงพอ เราจะควบคุมได้ เราจะไปที่ไหนก็กำหนดได้ ถ้าปล่อยให้หลุดส่งเดช เดี๋ยวหลุดไปห้องน้ำแล้วคนอื่นกำลังอาบน้ำอยู่จะยุ่ง เขาไม่เห็นเราหรอก แต่เราเห็นเขานะสิ..!
เพราะฉะนั้น..กลับไปฝึกสมาธิเพิ่มขึ้น กำลังเข้มแข็งขึ้นจะได้ควบคุมได้ง่าย ส่วนใหญ่แล้วโยมเขาจะกลัวกัน เพราะว่าไม่เคยชิน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่ากลัวดี จะได้ดีแล้วกลัว ก็เลยไม่ทำต่อ จริง ๆ แล้วถ้ากำลังใจมั่นคง คุ้มครองตนเองได้ คุ้มครองหมู่คณะได้ก็สบายเลย เอาแค่คุ้มครองตัวเองได้ ไม่เป็นภาระคนอื่นก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
ถาม : การใช้คาถาย่นระยะทางให้สั้นลง มีตรรกะทางโลกอธิบายไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ตอนที่ตัวเองย่นระยะทางก็ไม่รู้ตัวนะ รู้แต่ว่าคนอื่นไล่ตามไม่ทัน ถ้าจะอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์ ก็คือการเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่เร็วขึ้นโดยที่ตัวเราไม่รู้ตัว ระยะทางยังเท่าเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ไปถึงเร็วขึ้น
ถาม : การใช้ลูกแก้วพระปัจเจกพุทธเจ้า ขอให้หลวงพ่อสอนเป็นกรรมฐานหน่อยครับ
ตอบ : ก็มองแล้วจำภาพ จะเป็นกสิณ ๒ อย่างด้วยกันคืออาโลกกสิณ กสิณลูกแก้ว และกสิณภาพพระ เป็นพุทธานุสติด้วย ๒ อย่างรวมกัน ตั้งใจนึกถึงท่าน เอาให้ย่อได้ ขยายได้ แล้วคราวนี้จะอธิษฐานอย่างไรก็ตามใจจ้ะ ของพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ควรจะภาวนาคาถาเงินล้านไปเลย
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเข้าถึงไตรสรณคมน์แล้ว ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของเรายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นก็ใช่ กำลังใจขึ้นลงอาจจะมีบ้าง แต่ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย เพราะว่าการขึ้นลงนี่เป็นไปตามกำลังใจช่วงนั้น แต่ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย อย่างไรชีวิตนี้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแน่นอน
ถาม : จะทดสอบได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าจะทดสอบก็ต้องทดสอบแบบสุปปพุทธกุฏฐิ ที่พระอินทร์มาทดสอบกำลังใจ โดยให้พูดว่าพระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นตายแกก็ไม่ยอมพูด เพราะให้พูดอย่างนั้นก็แปลว่าไม่ใช่ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ถาม : เวลากลางวัน ใจสงบมองท้องฟ้าแล้วระยิบระยับเหมือนเคลื่อนไปเคลื่อนมา เป็นเพราะดวงจิตหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นเรื่องของอานุภาพพลังงาน ถ้าชัด ๆ บางทีก็เห็นเป็นบวกเป็นลบเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "แก้ว" โบราณเขาหมายถึงของดีที่สุด เขาถึงเรียกว่าแก้ว อย่างประเภทลูกแก้ว เมียแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ของดีที่สุดของประเภทนั้นทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าแก้วแล้วก็ถือว่าดีที่สุด ขนาดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ยังเรียกแก้ว ๓ ดวง
เราเองพิจารณาถึงลูกแก้ว ให้นึกถึงพระรัตนตรัยไว้ก่อน หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านออกแบบตราประจำองค์ของท่านเป็นเพชร ๓ ดวงก็คือพระรัตนตรัย"
ถาม : อย่างคนขายเนื้อที่ต้องฆ่าสัตว์ คนเหล่านั้นจะไปพระนิพพานไม่ได้จริงหรือเปล่า ?
ตอบ : ตอนที่ไปนิพพานเขาไม่ได้ฆ่านี่ ถ้าสามารถตัดกำลังใจช่วงนั้นได้ก็ไปได้ แบบเดียวกับตัมพทาฐิกโจร ไม่รู้ฟันหัวคนมาตั้งกี่ร้อยกี่พัน เฉพาะครั้งแรกก็จัดการพวกตัวเองไปตั้งหลายร้อยแล้ว
พระสารีบุตรบอกว่า “เป็นการทำด้วยความต้องการของเธอเอง หรือทำตามที่พระราชาสั่ง ?” ตัมพทาฐิกโจรก็บอกว่า ทำตามพระราชาสั่งเพราะว่าตัวเองเป็นเพชฌฆาต รับเงินเดือนหลวง พระสารีบุตรก็เลยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นบาปจะตกอยู่กับใคร ?” ท่านคิดไม่ทัน ก็คิดว่าบาปเป็นของพระราชา เราไม่บาป พอกำลังใจคลายออก ตั้งใจฟังธรรมกลายเป็นพระโสดาบันเลย ตอนที่เขาฆ่าก็คือฆ่า แต่หลังจากนั้นไม่ได้ฆ่าทั้งวัน
ถาม : ต้องเป็นโอกาสที่ได้รับธรรมช่วงนั้น ?
ตอบ : ต้องมีบุญเก่ามาสนับสนุน ถ้าไม่มีบุญเก่ามาสนับสนุนก็ไปไม่รอดหรอก
ถาม : กรณีพวกนักการเมืองในปัจจุบัน เป็นลักษณะที่พูดไม่หมด จะเข้าข่ายการโกหกไหมครับ ?
ตอบ : ได้...ตัวเขารู้อยู่แล้วว่าเขาพูดไม่หมด แล้วเขาหวังประโยชน์กับตัวเอง การโกหกที่ชัดที่สุดก็คือหลอกคนอื่นแล้วเอาประโยชน์เข้าตัว อย่างโฆษณาในปัจจุบันนี้แหละ เขาไม่ได้หลอก แต่เขาบอกเราไม่หมด เขาบอกแค่ในสิ่งที่เขาอยากให้เรารู้ เขาไม่ได้บอกในสิ่งที่เราอยากจะรู้
ถาม : ทำไมสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ถึงสร้างพระไพรีพินาศ ?
ตอบ : ไม่ได้สร้าง แต่พระองค์ท่านได้มา พอได้มาแล้วพวกที่ทำตัวเป็นศัตรู ก็มีอันเป็นไปทีละคนสองคน พระองค์ท่านจึงพระราชทานพระนามว่าพระไพรีพินาศ
วัดท่าขนุนกำลังจะออกพระไพรีพินาศ ปีนี้ครบ ๑๐๐ ปีสมเด็จพระสังฆราช ท่านมีชาติภูมิเป็นคนกาญจนบุรี วัดต่าง ๆ ของกาญจนบุรีจึงมีโครงการเฉลิมพระเกียรติถวายสมเด็จพระสังฆราช วัดท่าขนุนก็ร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ถวายเป็นพระราชกุศลด้วย และได้ขออนุญาตสร้างพระไพรีพินาศ ตอนนี้กำลังให้เขาเอาพระไปถอดแบบอยู่ ทำองค์เล็ก ๆ จะได้แขวนคอได้ ถ้าไพรีไม่พินาศ เราก็พินาศไปเอง หมดเรื่องหมดราว จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับใคร
ถาม : รู้สึกว่าเราไม่ค่อยสบายใจ เราควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าไม่มีใจเราก็จะได้สบาย แต่ถ้ามีใจเราก็ไม่สบาย..! ถ้ากรรมเข้ามา วิธีบรรเทาก็คือสร้าง ทาน ศีล ภาวนาเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องของภาวนา จะตัดกรรมใหญ่ได้ดีมาก ๆ แล้วการภาวนาจะทำให้จิตใจเราผ่องใสขึ้นด้วย นี่แสดงว่าเราทิ้งการภาวนาแล้วไปนั่งฟุ้งซ่านแทน
ถาม : คนที่มีความคิดเป็นมิจฉาทิฐิ ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : มิจฉาทิฐิคือเห็นผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าบอกว่าโลกนี้มีทุกข์ เขาก็บอกว่าสุข ท่านบอกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เขาก็ยึดว่าใช่ เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ พูดง่าย ๆ คือเห็นตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า
ถาม : อย่างนี้ต้องขอขมาพระพุทธเจ้าทุกวันไหมคะ ?
ตอบ : ควรจะขอขมาทุกวัน เพราะว่าถึงเราจะไม่ได้ทำผิดด้านนี้ เราก็อาจจะทำผิดด้านอื่น
ถาม : ตกลงคนที่เป็นมิจฉาทิฐิ เราจะคุยทำอย่างไร ?
ตอบ : ให้เขาไปเริ่มต้นให้ถูกใหม่ ประเภทเริ่มต้นผิด เดินคนละทางแล้วจะไปคุยอะไรกัน หันหลังให้กันแล้วต่างคนต่างไป ก็ไกลออกไปเรื่อย ๆ
ถาม : เมตตาให้ท่านจัดการ ?
ตอบ : ไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา พระไม่ได้มีหน้าที่ไปดึงใครให้พ้นนรก ถ้าเขาอยากลงก็ปล่อยให้เขาลงไป ถ้าอยากขึ้นมาก็ตะกายเอาเอง..!
ถาม : รู้สึกว่าตัวเองมีร่างกายที่หนัก ?
ตอบ : รู้สึกได้ถูกต้องเลย
ถาม : แล้วหนูรู้สึกทุกข์ค่ะ ตื่นเช้าขึ้นมาต้องแปรงฟัน ล้างหน้า ทำความสะอาดร่างกาย เหนื่อยที่ต้องดูแล
ตอบ : บอกไปเลยว่า ฉันจะดูแลแกชาตินี้ชาติเดียว ตายเมื่อไร ลาก่อน ฉันไม่เอาอีกแล้ว
ถาม : หนูก็ออกจากงานมา มานั่งกินนอนกินเฉย ๆ
ตอบ : แล้วหายเหนื่อยไหมเล่า ?
ถาม : อุตส่าห์นั่งกินนอนกิน ก็ยังปวดหัว เวียนหัว
ตอบ : กลับไปทำงานใหม่
ถาม : กลับไปทำงานก็ทุกข์อีกนะคะ
ตอบ : แล้วนอนอยู่เราทุกข์ไหมเล่า ?
ถาม : ทุกข์ค่ะ
ตอบ : โง่ตายชักอีกคนแล้ว ตราบใดที่เรายังมีร่างกายนี้อยู่เราต้องบริหารร่างกาย เราต้องบริหารหมู่คณะ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แต่ให้ตั้งใจไว้ว่าถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไร เราไม่ขอคบมันอีกแล้ว
ไปสมัครงานใหม่...ทุกข์เขามีเอาไว้ให้เห็น ไม่ได้มีไว้ให้แบก เมื่อเห็นทุกข์ก็วางลง แล้วก้าวข้ามไป การที่เราจะก้าวข้ามความทุกข์ไปได้ จะต้องเห็นความเป็นจริง คือเห็นให้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ตราบใดที่อยู่กับร่างกายเราก็แต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้น..เราไม่ปรารถนาในร่างกายนี้อีกแล้ว ตายเมื่อไรก็จบกันแค่นี้..!
ถาม : เงินเดือนล่าสุดประมาณแปดหมื่นบาทค่ะ แต่หนูก็ออกมา
ตอบ : จะเยอะหรือจะน้อยก็ตาม ก็ให้ได้ทำไว้ก่อน เกิดมาชาติหนึ่งต้องทำประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงเวลาก็จากไปอย่างสง่างามที่สุด อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง แต่ตัวเราไม่เอาแล้ว เอาเป็นว่าถ้าได้เกินหมื่นห้า ที่เหลือเอามาแบ่งให้อาตมา..!
ถาม : หนูเกรงว่าถ้าเงินเดือนเยอะ กิเลสจะเยอะตามค่ะ
ตอบ : ก็อย่าให้เยอะสิ แบ่งให้อาตมา ไม่มีเงินแล้วกิเลสจะงอกได้อย่างไร ก็ได้แต่นั่งมอง ตรงนี้พูดเล่นนะ อย่างคุณเขาเรียกว่าเสือกไปคิดให้ทุกข์ เลิกคิดก็เลิกทุกข์
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตราบใดที่คนเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ความเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ยังมีอยู่เสมอ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้แปลกตรงที่ว่า ถ้าเขาคิดเองไม่ได้ คนอื่นบอกเขาก็ไม่ฟัง ก็เลยอยู่ในลักษณะที่ว่า ต้องปล่อยให้เขาคิดได้ไปเอง
แบบเดียวกับคนกินเหล้า ถ้าเราบอกว่าไม่ดี เขาก็จะหาเหตุผลมาเอาให้ดีให้ได้ ฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปบอก เหนื่อยเปล่า ปล่อยให้คิดได้เอง ถึงหลายชาติหน่อยถ้าปัญญามากขึ้นเดี๋ยวก็คิดได้เอง "
ถาม : ต้องทำบุญอะไรคะ ถึงจะได้เจอนักการเมืองที่เราสนิทและพูดคุยกับเขาได้ ?
ตอบ : นักการเมืองคุยกับเราได้ทุกคน แต่ลับหลังเราแล้วเขาจะจำเราได้หรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถาม : ลักษณะแบบสนิท เราช่วยเขาได้ เขาช่วยเราได้ ?
ตอบ : เราก็ต้องทำประโยชน์ให้เขาได้ และประโยชน์ที่จะทำให้เขา เราก็จะเดือดร้อนทุกที คบคนแล้วอย่าไปหวังประโยชน์ ถ้าคบคนแล้วหวังประโยชน์จะลำบาก...เหนื่อย...
พระอาจารย์กล่าวว่า "การดำรงชีวิตอยู่ในโลก ต้องเจอแต่สิ่งที่ไม่ชอบใจทั้งนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าถึงมองเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ เป็นภัย แต่บุคคลทั่วไปที่ปัญญาไม่ถึง จะมองไม่เห็นตรงจุดนี้
อย่างที่พูดไว้เมื่อวานนี้ว่า เขาตั้งทฤษฎีเก่า ๆ ขึ้นมา แล้วก็จำจนฝังหัวไปแล้วว่า บุคคลที่จะหลุดพ้นได้ต้องทรมานตนเท่านั้น หรือไม่ก็จะต้องเสพสุขให้ล้นเกินจนเบื่อไปเลย แล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ถ้าเราไปที่เมืองฤๅษีเกษของอินเดีย จะเห็นว่า บรรดาพวกนักบวชต่าง ๆ ก็ยังทรมานตนเป็นปกติ
บางคนประเภทเหยียดแขนขึ้นฟ้าข้างเดียว จนกระทั่งติดกันเป็นแท่ง ลดไม่ลงเลย เพราะระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ทำอยู่อย่างนั้น ทาตัวด้วยขี้เถ้า ไม่อาบน้ำตลอดระยะเวลาที่บวชมา ยี่สิบ - สามสิบปี หัวเป็นสังกะตัง ใช้หวีไม่ได้เลย แต่เขาเชื่อว่านั่นจะทำให้หลุดพ้น เพราะว่าสภาพจิตจะได้ไม่ยึดหน่วงอยู่กับร่างกาย
แต่กลายเป็นว่ายิ่งยึดหนักขึ้นไปอีก ที่ยิ่งยึดหนักขึ้นเพราะเขาไปเน้นเรื่องร่างกาย เขาไม่ได้เน้นว่าอยู่ที่จิตใจ สภาพโดยแท้จริงแล้วร่างกายของคนและสัตว์อยู่ในลักษณะ 'ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว' พระพุทธเจ้าเห็นความจริงตรงนี้ถึงได้ตรัสว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจสูงสุด สำเร็จได้ด้วยใจ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดก็รื้อศาลาหลังเก่าไปแล้ว ข้าวของเยอะจนไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน บอกกับแม่ชีว่า อะไรที่คนอื่นเขาต้องการ วัดอื่นเขาต้องการก็ให้เขาไป เดี๋ยวของเราค่อยหามาใหม่
วันนี้ญาติโยมส่วนใหญ่ไปงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ครูบาอ่อนที่พะเยา อีกส่วนหนึ่งก็ไปพระธาตุดอยตุง เวลาคนน้อยรู้สึกว่าสบายดี คนมาก ๆ แล้วเหมือนกับรถไฟ หัวรถจักรพอโดนเกี่ยวพ่วงมาก ๆ เข้า ลากไม่ค่อยจะไหว..เหนื่อย คนน้อย ๆ ค่อยรู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจหน่อย ไม่ต้องลากใคร ไม่ต้องแบกใคร ความจริงไม่ได้ลากไม่ได้แบกอะไรหรอก เขากระโดดมาเกาะเอง"
ถาม : ท่านไม่ไปดอยตุงบ้างหรือคะ ?
ตอบ : จะไปทำไม ?
ถาม : ไปเที่ยว
ตอบ : ไม่มีอารมณ์..อาตมาไปจนเบื่อตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาสแล้ว
ถาม : ถ้าหนูอยากไป แต่ไม่มีเวลาไปล่ะคะ ?
ตอบ : เอาใจไป..กายไม่ได้ไปก็ช่างมัน
การระลึกถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะพระบรมธาตุดอยตุง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ถ้าเราไปกราบไปไหว้จนถึงที่ แปลว่าไปลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเฉย ๆ ไม่ได้ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า อย่างนั้นอยู่ที่บ้านนึกถึงยังจะดีกว่า
ความทุกข์เกิดขึ้นตั้งแต่อยาก แม้แต่อยากพ้นทุกข์ก็เป็นความทุกข์ ถ้าเราอยากไปที่ไหนก็แปลว่าเราเริ่มทุกข์แล้ว ดังนั้น..ก็ปล่อยให้เป็นภาวะเฉพาะหน้า ถ้าได้ไปก็ไป ถ้าไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไร ต้องวางกำลังใจให้เป็น
ถาม : ยิ่งทำงานก็ยิ่งทุกข์ค่ะ
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไม่ทำแล้วทุกข์ไหมเล่า? ก็ยังต้องกิน ยังต้องดื่ม ยังต้องป่วย ยังต้องร้อน ยังต้องหนาวอยู่ดี
ถาม : ภาวนาไปด้วย และอ่านหนังสือไปด้วย ?
ตอบ : ค่อย ๆ ซ้อมไป แรก ๆ ยังทำไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้ากำลังใจหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะไม่รับรู้อีกข้างหนึ่ง แต่ถ้าซักซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็สามารถแบ่งความรู้สึกให้เท่ากันได้ สามารถที่จะอ่านหนังสือไปด้วย ภาวนาไปด้วย
ขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ทำได้ทุกคน หาเรื่องที่เราชอบแล้วก็อ่าน เพราะถ้าเราเผลอก็จะไหลตามเนื้อเรื่อง จึงต้องรีบดึงกลับ มีของไว้สำหรับทดสอบแบบนี้เห็นความก้าวหน้าชัดเจน
ภาวนาให้ทรงตัวก่อนแล้วค่อยไปอ่าน ทำไป ๆ พอใจไม่ปรุงไม่แต่งแล้วก็หมดสนุก
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ตอนอ่านเราไปจินตนาการตาม พอเราไปจินตนาการตามตัวความรู้สึกทั้งหมดก็ไปปรุงแต่ง เราก็ไหลตามเนื้อเรื่องไป ไม่มีตัวยั้ง แต่ดูหนังภาพเขากำหนดขึ้นมาแทน เราไม่ต้องจินตนาการมาก สักแต่ว่าเห็น จะทำได้ง่ายกว่า
ถาม : ......เคลื่อนไปและก็แก่ เห็นชัดแบบนั้น ใช่ที่เขาบอกว่า... ?
ตอบ : ใช่..แต่เป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น ถ้าจะเอาให้มั่นคงกว่านั้นก็ทรงสมาธิให้เป็นฌานไปเลย ถ้าทรงฌานได้จะอยู่กับปัจจุบันได้แน่นอน แต่ก็ยังแน่นอนแค่สมาธิที่ทรงตัวเท่านั้น ต้องประเภทปัญญาเห็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับอยู่ทุกขณะ ถ้าแยกอย่างนั้นออกได้ จิตกับกายจะเป็นคนละส่วนกัน ในส่วนของกายก็คือเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา เป็นสมมติไปอย่างนั้น ในส่วนของจิตก็อยู่กับส่วนที่เป็นธรรม เป็นผู้รู้เฉย ๆ มีหน้าที่เสพเสวยสิ่งต่าง ๆ ด้วยสติและปัญญาที่ประกอบด้วยความระมัดระวังอย่างสูง เรื่องพวกนี้ต้องค่อย ๆ ทำไป พอท้ายสุดก็สักแต่ว่าอยู่ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น
ถาม : เอาเรื่องการพิจารณามาประกอบหรือครับ ?
ตอบ : จำเป็นเลย เพราะถ้าปัญญาไม่ถึง ใจจะไม่ยอมรับ
ถาม : สิ่งที่ผ่านไปแม้ไม่นานก็คืออดีต ?
ตอบ : ใช่...ขยับไปเรื่อย วินาทีนี้ผ่านไปก็กลายเป็นอดีตไปอีกแล้ว
ถาม : ปัจจุบันก็ไม่เที่ยงใช่ไหมครับ.......... ?
ตอบ : การที่เราทำนั้นดีอยู่อย่างก็คือ จิตไม่ปรุงแต่งในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง เมื่อจิตปรุงแต่งในรัก โลภ โกรธ หลงไม่ได้ ตัวกรรมก็ไม่เกิด ในเมื่อตัวกรรมใหม่ไม่เกิด กรรมเก่าที่ส่งมา เดี๋ยวก็หมด ในเมื่อกรรมเก่าหมด กรรมใหม่ไม่เกิด แรงที่จะดึงให้เราอยู่กับโลกก็ไม่มี เราก็สามารถหาทางหลุดพ้นไปได้
ถาม : พอเรารู้สึกว่าว่าง...?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่า เรามีหน้าที่ดูไว้เฉย ๆ รู้ไว้เฉย ๆ
ถาม : พอเรารู้สึกว่าว่าง สักพักก็ตามไม่ทัน ?
ตอบ : เริ่มต้นใหม่ ของอย่างนี้ต้องพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แรก ๆ ก็เหมือนกับหัดเด็กตั้งไข่ หกล้มหกลุกไปเรื่อย จึงจะต้องพยายาม เดี๋ยวก็ยืนได้ เดินได้เอง
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าสมาธิไม่มี โอกาสที่สิ่งที่เราทำจะทรงตัวมันยากสุด ๆ ต้องบอกว่าแทบไม่มีโอกาสเลย ไปซ้อมเข้า พอรู้ว่าทางไหนที่ดีกับเราก็รีบทำ
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : พยายามอยู่กับปัจจุบันเรื่อย ๆ เพราะว่าไปอดีตก็ฟุ้งซ่าน ไปอนาคตก็ฟุ้งซ่าน อดีตผ่านมาแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึง หาความจริงไม่ได้เหมือนกัน จะทำให้ได้ต้องตอนนี้..เดี๋ยวนี้..ปัจจุบันนี้
ถาม : ความว่าง ?
ตอบ : สมาธิที่ทรงตัวทำให้รัก โลภ โกรธ หลงถอยไปชั่วคราวก็ว่างได้ อากาสกสิณก็ว่างได้ อรูปฌานก็ว่างได้ ตัวว่างที่ว่างจริง ๆ คือการปล่อยวางจากรัก โลภ โกรธ หลง ทั้งปวง ถ้าหากเข้าถึงตรงนั้นจะเหลือแต่ธรรมะแท้ ๆ ล้วน ๆ บางทีแม้กระทั่งสภาพจิตที่เป็นผู้รู้เรายังไม่เอาเลย สักแต่ว่ารู้อยู่เฉพาะหน้า ก็เลยไม่มีอะไรที่จะปรุงแต่ง ถ้าอย่างนั้นจะว่างจริง ๆ ต้องดูว่าของเรานั้นว่างแบบไหน
ถาม : ความว่าง แม้กระทั่งรูปก็ไม่มี เป็นความว่างแบบใด ?
ตอบ : อรูปฌาน ถ้าซ้อมอย่างนั้นบ่อย ๆ จะกลายเป็นอรูปฌาน เลี้ยวไม่ทันเดี๋ยวก็จะติดอยู่แค่นั้น ไม่ว่าจะซักซ้อมแบบไหนก็ตาม ท้ายสุดเอาใจเกาะพระนิพพานไว้ก่อน เกาะภาพพระไว้จะได้ปลอดภัย ถ้าซ้อมอรูปฌานบ่อย ๆ ถึงเวลาเคยชิน ติดอยู่ตรงนั้นแล้วแกะไม่ทัน ตายไปก็เฮงมากเลย
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าหากว่าว่างจริง ๆ ไม่ต้องเน้น จะเป็นเองโดยธรรมชาติ ถ้ายังต้องใช้ความพยายามอยู่ให้รู้ว่ายังไม่ว่างจริง
ถาม : พระถือตาลปัตรบังหน้าเพื่ออะไรครับ ?
ตอบ : ตอนแรกท่านป้องกันการเก้อเขินระหว่างพระกับโยม ก็เลยเอาตาลปัตรบังหน้าไว้ สมัยแรก ๆ ท่านเน้นในเรื่องของการระมัดระวังไม่ให้เห็นผู้หญิง พอมาสมัยหลังกลายเป็นว่า ทำขึ้นมาในลักษณะเป็นพัดยศก็มี ค่อย ๆ พัฒนาการมาเรื่อยจะกระทั่งถึงปัจจุบัน เจตนาดั้งเดิมจริง ๆ ก็คือเพื่อให้ภิกษุสำรวมสายตา
ถาม : ภาวนาไปเรื่อย ๆ แล้วเห็นภาพพระ จำเป็นต้องจับลมหายใจไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจับลมหายใจได้ ความชัดเจนแจ่มใสจะมีมากกว่า แต่พอจับลมหายใจแล้ว ถ้าแบ่งความรู้สึกไม่เป็นก็จะหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าเราไปหนักตรงภาพพระก็จะลืมลมหายใจ ถ้าหนักที่ลมหายใจก็จะลืมภาพพระ เพราะฉะนั้นต้องซ้อมแยกให้ได้เท่า ๆ กัน ก็แค่แยกความรู้สึกออกไปหลาย ๆ ส่วนเท่านั้นเอง
ถาม : พอจับลมหายใจ ก็ลงมาอีก ?
ตอบ : ขึ้นไปใหม่ ตื๊อเอาไว้บ่อย ๆ ก็ชินไปเอง เขาเรียกว่ากีฬาสมาธิ ทำให้ความมั่นคงของสมาธิมีมากขึ้น เพราะได้ซักซ้อมอยู่บ่อย ๆ
ถาม : แล้วอย่างนี้จะได้สมาธิระดับไหน ?
ตอบ : ท้ายสุดจะระดับไหนก็ช่าง เราเอาผลก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้ใจเราเกาะอยู่กับพระ เกาะอยู่กับความดี แล้วรัก โลภ โกรธ หลง กินเราไม่ได้ ถ้าสามารถยืดระยะเวลาได้ยาวนานเท่าไร ความผ่องใสของใจมีมากเท่านั้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น แล้วก็จะเห็นช่องทางเองว่า การที่เราจะหลีกไปให้พ้นจากวัฏสงสารควรจะทำอย่างไร โดยเฉพาะสภาพการณ์ที่เผชิญอยู่เฉพาะหน้าตอนนั้นควรจะทำอย่างไร
ถาม : สำหรับการใช้พรหมวิหาร ๔ ในการมองผู้หญิง ไม่ให้รู้สึกเชิงชู้สาวต้องใช้กำลังฌานระดับใด ?
ตอบ : ฌาน ๔ ต่ำกว่านั้นก็ไม่ได้รับประทาน เพราะว่าในเรื่องของราคะกับโทสะ ถ้าจะกดให้อยู่แต่แรกต้องใช้กำลังถึงฌาน ๔ ถึงจะเอาไหว ถึงจะฌาน ๔ ถ้าเผลอก็ยังโดนงัดหงายท้องเลย
ถาม : พรหมวิหาร ๔ มีความสามารถเยอะ ...(ฟังไม่ชัด)
ตอบ : ต้องมีฌานเป็นเครื่องสนับสนุน ถ้าจะเอาก็อานิสงส์ ๑๑ ประการ ที่ท่านบอกว่า หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข เทวดารักษา เป็นที่รักของมนุษย์ เป็นที่รักของอมนุษย์ ฯลฯ สรุปง่าย ๆ ว่าพรหมวิหาร ๔ สนับสนุนให้ศีลบารมีเต็ม สร้างความเยือกเย็นให้เกิดขึ้นกับสภาพจิตใจ การปฏิบัติกรรมฐานก็ก้าวหน้า
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่น้ำท่วมใหญ่ คนนั้นก็จะเอากระสอบทรายมา คนนี้ก็จะเอาเรือมาให้ใช้ที่บ้านวิริยบารมี อาตมาบอกว่าไม่ต้อง ตรงนี้ไม่ท่วมแน่นอน..มั่นใจ เขาก็ยังกลัวกันอีก ท้ายสุดน้ำขึ้น ๑ ศอก คนก็วิตกจริตกันยกใหญ่ กทม.ก็เริ่มมาทำสะพานให้เดิน อาตมาก็ยังยืนยันว่าไม่ต้อง
จำได้ว่าสมัยก่อนที่วัดท่าซุง ถ้ากฐินยังไม่เสร็จน้ำจะไม่ท่วมเด็ดขาด ปี ๒๕๒๖ น้ำหลากข้ามถนน แปลว่าสูงกว่าพื้นอีกฝั่งเป็นเมตร ๆ แต่น้ำไม่เข้าวัด เห็นชัด ๆ เลย คราวนี้พอกฐินเสร็จอาตมานอนแผ่หมดสภาพ เพราะทำงานมาสองวันสองคืนแล้ว หลวงพ่อท่านมาเคาะประตู "เฮ้ย ๆ รีบเก็บเสื่อ เดี๋ยวไม่ทัน" ม้วนเสื่อเพิ่งแบกขึ้นบ่า น้ำท่วมตาตุ่มแล้ว เพราะว่าเทวดาท่านรับปากไว้ว่าให้แค่นั้น เกือบไม่ทันอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ
พอมารุ่นหลัง เคยเตือนสองครั้งแล้วท่านคงไม่ได้ฟัง บอกท่านว่าเป็นเจ้าอาวาสใหม่ ต้องบวงสรวงตกลงกันใหม่ ถ้าไม่บวงสรวงตกลงกันใหม่ เขายกเลิกข้อตกลงไป เพราะเขาถือว่าตกลงกับหลวงพ่อองค์เดิม พอเขาไม่สงเคราะห์ก็เฮงเลย ยังดีที่ว่าสมัยนี้เบิกงบหลวงได้ ถ้าเป็นอาตมา..น้ำท่วมจะได้แค่สองปีเท่านั้น ปีที่สามเจอเขื่อนแน่นอน"
ถาม : ถ้าสวดคาถาเมตตาบ่อย ๆ จะไม่ทำให้สาว ๆ มารุมล้อมเราหรือครับ ?
ตอบ : เข้าใจผิด...เรื่องของคาถาอยู่ที่ใจเรามุ่ง ถ้าใจเรามุ่งไปเป็นเมตตามหานิยมก็ตัวใครตัวมัน สมัยก่อนเขาจะหาคาถาที่เป็นบาลีและมีความหมายคล้าย ๆ ของไทยด้วย “รุม” แปลว่า “มารายล้อมเยอะ ๆ” เขาก็เลยเอามาเป็นคาถาแบบนี้ แบบเดียวกับบทขัดในพระสูตรที่ว่า สัพพะสีวิสะชาตีนัง เอามาท่องเป็น สัพพะฝีวิสะชาตินัง แล้วเอาไปสูญฝีได้เพราะใจมุ่งอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอยู่ที่เรา เราก็ท่องแล้วตั้งใจให้สาวออกไปไกล ๆ สิ..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "แม่ชีที่วัดเขากังวลว่าศาลาการเปรียญเก่านั้น หลวงปู่พุกท่านฝังอาถรรพ์ไว้ทุกเสา เพราะสมัยก่อนคนเล่นไสยศาสตร์กันหนักมาก หลวงปู่พุกท่านก็เลยต้องทำสะกดไว้ก่อน แต่คราวนี้สิ่งที่ทำนั้นร้อน ถ้าหลวงปู่สายหรืออาตมาไม่อยู่ ที่นั่นก็จะมีเรื่อง ท่านบอกว่าต้องเอาขึ้นให้หมด ทุกวันนี้อาตมาก็เหมือนกับหมอผีที่คอยไปสะกดผีให้ พอไม่อยู่คนนั้นมีเรื่อง คนนี้มีเรื่อง พอกลับไปก็เงียบ ตูละเบื่อจริง ๆ
เขาก็ไม่รู้..ทั้ง ๆ ที่เตือนให้ระวัง ใครภาวนาดี ๆ ก็ไม่มีผลกระทบ แต่เขามักจะหลุดกัน ถ้าต้องการความปลอดภัย ผลกระทบเล็ก ๆ น้อย ๆ หลวงปู่พุกท่านถือว่ารับได้ แต่คราวนี้พอมาถึงระยะหลัง คนจำนวนมากขึ้น อย่างเวลาเข้าพรรษา พระที่วัดท่าขนุนแค่วัดเดียวมากกว่าเขาทั้งตำบล บางทีตำบลมีไม่ถึงครึ่งของวัดท่าขนุน กลายเป็นว่าคนมากแล้ว ใครกำลังใจไม่ดีแรงกระทบก็มากไปด้วย"
ถาม : ถ้าตัดต้นไม้ใหญ่ที่ติดจอมปลวก ?
ตอบ : สมัยหลวงพ่อสร้างศาลา ๒ ไร่ที่วัดท่าซุง ต้องไถต้นทองกวาวกับจอมปลวกออกไปหลายอัน ถ้าจำไม่ผิดท่านต้องสร้างศาลเพียงตาให้ ๑๑ หลัง หลวงพ่อท่านเอาไปเรียงไว้ด้านข้างชั้นบนของศาลา ๒ ไร่
ถาม : ตัดกิ่งมาตั้งในศาลอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตัดกิ่งที่ใหญ่หน่อยมาประมาณ ๑ ศอก หันปลายขึ้นแล้วก็ตั้งไว้ ถ้าหันปลายขึ้นท่านสามารถเอาวิมานมาแปะต่อได้ ถ้าหันโคนขึ้นก็เรียบร้อย ทำอะไรไม่ได้
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนอุทัยธานีเป็นเมืองหน้าด่านเก่า แต่ไม่ค่อยมีความสำคัญ เพราะเขาไปเน้นตรงเมืองสรรค์และเมืองสิงห์ ถึงเวลาจากอุทัยธานีลงมาต้องผ่านชัยนาท ก็จะติดด่านเมืองสรรค์ก่อนแล้วก็ติดด่านเมืองสิงห์บุรี ลงมาเป็นระยะ ๆ แถวนั้นพวกเราไปละเลงซะเละมาไม่รู้กี่งานต่อกี่งาน เวลาผ่านแถวนั้นต้องระวังให้ดี เขาจะเอาคืนเมื่อไรก็ไม่รู้..!?
ส่วนใหญ่อาตมาจะไม่เดินทางกลางคืนเลย ต้องระวังตัวลีบ ดูอย่างท่านจิตโต พลาดทีเดียวเจอไป ๔ ศพ..! พวกนี้เขาจ้องอยู่ เผลอเมื่อไรเขาได้ช่องก็เอาเลย ช่วงนั้นโดนกันทุกคน หลวงพ่อมนัส ประกันต้องออกรถใหม่ให้ แต่ตัวไม่เป็นอะไร พระครูหน่อยหน้ารถก็เป็นรูปต้นไม้เลย รถอาตมาหน้ารถก็เป็นรูปเสา แหม..เจ็บใจ อุตส่าห์ประกันทั้งอุบัติเหตุ ประกันทั้งสุขภาพ แต่ไม่ได้ใช้เลย
หลวงพี่เอก วัดเขาแร่ ขนาดรถใหม่ ๆ ก็ต้องมาเจ๊ง หลายคนโดนติด ๆ กันเลย แสดงว่าตอนที่ไปเล่นเขาไปพร้อม ๆ กัน ถึงเวลาเขาเอาคืนก็โดนพร้อม ๆ กัน ไปโทษเขาก็ไม่ได้ เขามีสิทธิ์ที่จะทวง"
"ตลอดเส้นทางกรุงเทพฯ ยันเชียงใหม่ เป็นเส้นทางศึกตลอดเลย ยิ่งถ้าออกพิษณุโลก สุโขทัยด้วยยิ่งหนัก เพราะพิษณุโลกแทบจะเป็นเมืองหลวงสำรองในสมัยนั้น จากเชียงใหม่อย่างไรต้องตีพิษณุโลกให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นจะลงมาตีอยุธยาไม่ได้ เพราะจะโดนพิษณุโลกตีกระหนาบหลัง กลายเป็นเดินทางต้องระวังตัวลีบตลอดเวลา
อาตมาเคยยางรถระเบิด ๒ เส้นริมเหวเลย ปกติต้องพลิกลงเหว แต่นี่ระเบิดเสร็จรถก็จอดอยู่กับที่ ตอนนั้นพระครูแสงยังไม่ได้บวช เขาหักหลบรถแร่ โดนเบียดไปกระแทกขอบถนนที่ มีขอบคอนกรีตที่ถูกเบียดหักมานานแล้ว เหล็กเส้นโผล่อยู่พอดี เหล็กแทงใส่ยางทั้งหน้าทั้งหลังระเบิดพร้อมกันเลย ถึงแม้จะอย่างนั้นบุญก็ยังดี มีรถมาจอดถาม พอเขารู้ก็ช่วยถอดล้อเอาขึ้นรถไปปะให้ที่ร้านปะยางในอำเภอเถิน อาตมาก็คิดว่าจบกันแค่นั้น เดี๋ยวขากลับจะเช่ารถกลับมา ปรากฏว่าประมาณ ๒ ชั่วโมงผ่านไป ปะยางเสร็จสรรพเรียบร้อย รถเขาเลี้ยวกลับมาพอดี "อาจารย์จะไปหรือยังครับ ผมจะกลับแล้ว" ตกลงว่าได้นั่งรถฟรีทั้ง ๒ รอบ
แถวนั้นโดนบ่อย..โดนจนเข็ด พวกเราขึ้นไปก็ต้องระวัง ติดสินบนเจ้าที่ไว้ก่อน ตลอดทางเลย ขอความปลอดภัย จะอะไรก็ตามอย่าประมาท ไม่รู้เขาจะเอาคืนตอนไหน
วันก่อนอาตมาบอกกับพระ เพราะพระท่านลาไปทีเดียว ๑๑ รูป บอกเขาว่า "คุณรู้ไหม..? พวกเราสร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันไว้เยอะ เวลาสุมหัวรวมกันเมื่อไร เขาเอาคืนทีนี่สาหัสเลยนะ" เวลาคนตามอาตมา เขารู้หรือเปล่าว่าอาตมาพาเขาไปตายมากี่ชาติแล้ว เวลาขยับไปไหนชอบตามกันนัก เล่นลาที ๑๑ คน คิดดูว่าวาระกรรมของแต่ละคนถ้ามาบรรจบกันจะหนักแค่ไหน..!"
ถาม : ถ้าจะเปลี่ยนศาลพระภูมิใหม่ ?
ตอบ : จุดธูปเทียนบอกท่านขออนุญาตเปลี่ยน ถ้าตั้งไม่ถูกทิศ ก็ขออนุญาตย้ายทิศด้วยเลย หาวันเวลาที่เหมาะสมเพื่อถอน แล้วพอศาลใหม่ขึ้นก็บวงสรวง ถ้าถอนแบบโบราณใช้น้ำมนต์ถอนโบสถ์ ลองไปหาในกูเกิ้ลหาคาถาถอนโบสถ์ ดูซิว่าจะมีไหม ? ชาวบ้านเรียกง่าย ๆ ว่าถอนโบสถ์ จริง ๆ แล้วก็คือถอนเสมา
:4672615: เก็บตกเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.