View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน  วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน  ๒๕๕๕
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดจิตไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป   ไหลตามลมหายใจออกมา   ใช้คำภาวนาตามอัธยาศัยที่พวกเราเคยกระทำมา 
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕   เป็นการปฏิบัติกรรมฐานต้นเดือนวันสุดท้ายของพวกเรา   ระยะนี้เป็นกาลกฐิน กาลกฐินก็คือวาระแห่งการทอดกฐิน วาระแห่งการทอดกฐินจะเริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ จนถึงกลางเดือน ๑๒ เป็นระยะเวลา ๒๙ วันเท่านั้น ญาติโยมหลายท่านได้ไปทอดกฐินตามวัดวาอารามต่าง ๆ แล้วก็กลับมาเจริญกรรมฐานกัน  ถือว่ากระทำได้ถูกต้อง
 เนื่องจากว่าบุญกฐินนั้นแม้ว่าจะเป็นสังฆทานพิเศษ เพราะจำกัดด้วยระยะเวลา ปีหนึ่งแต่ละวัดรับกฐินได้ครั้งเดียว มีระยะเวลาในการทอดกฐินปีละ ๒๙ วันเท่านั้น  แม้อานิสงส์กฐินจะมาก  แต่ก็ยังเป็นอานิสงส์ในส่วนของทานเท่านั้น  อานิสงส์ในส่วนของศีล ในส่วนของภาวนา เราจะขาดเสียไม่ได้ 
อรรถกถาจารย์ท่านบอกว่า การให้ทานนั้นเกิดมาจะร่ำรวย การรักษาศีลเกิดมาจะรูปสวย  จะมีจิตใจดีงาม การภาวนาเกิดมาจะมีปัญญาเฉลียวฉลาด เราจำเป็นต้องทำให้ครบถ้วนทั้ง ๓ ประการ อย่าเน้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะถ้าเราเกิดมารวยแต่ไม่มีปัญญา  ก็อาจจะรักษาทรัพย์สมบัติไม่ได้   เกิดมาสวยแต่ว่าไม่มีเงินทอง ไม่มีปัญญา  ความสวยก็แทบจะช่วยอะไรเราไม่ได้ เกิดมาเป็นคนมีปัญญามาก แต่ต้องลำบากในการหาทรัพย์เพราะไม่ร่ำรวย หรือหน้าตาของเราดูไม่ได้   ต่อให้มีปัญญามากก็ยังคงต้องประสบกับความลำบากอยู่
ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ฉวยโอกาสในวาระกฐิน  ตลอดระยะการปฏิบัติกรรมฐาน ๓ วัน มีการเดินทางไปวัดวาอารามต่าง ๆ เพื่อร่วมในการทอดกฐิน  และไม่หลงลืมที่จะย้อนกลับมาในการบำเพ็ญภาวนา  ซึ่งถือว่ามีอานิสงส์มากกว่ากฐินหลายเท่า
สิ่งที่เราปฏิบัตินั้น ถ้าถามว่าเรายังมุ่งหวังในผลของบุญกุศลอยู่ จะเป็นการโลภหรือไม่  ?  ก็ต้องบอกว่าความมุ่งหวังนั้นต้องมีเป็นปกติ  ถ้าเราไม่หวังเราก็จะไม่คิดที่จะกระทำ เราต้องทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกำลังใจของเราเต็มแล้วก็จะค่อย ๆ ปล่อยวางได้เอง 
คำว่าปล่อยวางนั้น ก็คือ ทำทานโดยไม่ผูกพัน ไม่ไปเสียเวลาคิดว่าสถานที่นั้นเหมาะที่จะเป็นเนื้อนาบุญหรือไม่ ? เขารับปัจจัยไทยธรรมจากเราไปแล้วได้เอาไปใช้จ่ายในเรื่องอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากที่เราตั้งใจไว้หรือไม่ ?  ถ้ากำลังใจเต็มเสียแล้ว  เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราจะวางอุเบกขาได้โดยอัตโนมัติ
 แต่ตราบใดที่ยังไม่เต็ม การทำบุญโดยเลือกเนื้อนาบุญ ต้องถือว่าเป็นบุคคลที่มีความฉลาด รู้ว่าที่ไหนควรจะกระทำกองบุญการกุศล  ที่ไหนควรจะละเว้น  เมื่อเราเพิ่มด้วยศีล ด้วยภาวนาเข้าไป เราก็จะได้รับอานิสงส์ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง ๓ ส่วน 
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ธรรมะของพระองค์ที่พระภิกษุสงฆ์จะนำไปแสดงต่อญาติโยมนั้น  ให้แสดงธรรมที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ก็คือในเรื่องของการแนะนำให้ปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญานั่นเอง การที่เราจะปฏิบัติในศีล ในสมาธิ  ในปัญญานั้น  เราก็ต้องสั่งสมกองบุญการกุศลในอดีตมาเป็นจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน  กว่าที่กำลังใจของเราจะยึดมั่นในหลักความดีทั้งหลายเหล่านี้
กำลังใจของเราแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ ๙ ขั้นด้วยกัน ระดับแรก เรียกว่า สามัญบารมี คือกำลังใจขั้นต้น แบ่งเป็นหยาบ กลาง ละเอียด   สามัญบารมีอย่างหยาบ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไม่เป็นทั้งนั้น เกิดมาทั้งชาติบางทีไม่รู้จักคำทั้งหลายเหล่านี้เลย   สามัญบารมีขั้นกลาง  ตั้งใจจะให้ทานแล้วบางทีก็ยังซุกคืนไปอีก  ก็คือเกิดความตระหนี่ถี่เหนียว  ไม่สามารถที่จะตัดใจให้ได้  สามัญบารมีขั้นละเอียด   สามารถให้ทานได้  แต่พอบอกเรื่องรักษาศีล เรื่องปฏิบัติภาวนาจะไม่มีกำลังใจคิดที่จะทำเลย 
ขั้นที่ ๒ เรียกว่า  อุปบารมี  คือ กำลังใจขั้นกลาง มีหยาบ มีกลาง มีละเอียดเช่นกัน อุปบารมีขั้นหยาบ ให้ทานได้  พอบอกว่าให้รักษาศีล  ให้เจริญภาวนา  รู้สึกเหมือนกับแบกช้างทั้งตัว  ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้เพื่อให้ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้  อุปบารมีขั้นกลาง  สามารถให้ทานได้  รักษาศีลก็ขาดบ้าง พร่องบ้าง ต้องเป็นอุปบารมีขั้นปลาย  ถึงจะสามารถให้ทานได้ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์  แต่บอกว่าให้ภาวนาก็ไม่มีความคิดที่จะกระทำเลย 
ต้องมาถึงระดับปรมัตถบารมี คือกำลังใจขั้นสูงสุด ประกอบไปด้วย ๓ ระดับเหมือนกัน ก็คือ ปรมัตถบารมีขั้นหยาบ  ให้ทานได้ รักษาศีลได้  แต่พอมาถึงการเจริญภาวนาก็ภาวนาบ้าง  นึกด่าชาวบ้านเขาบ้าง ปรมัตถบารมีขั้นกลาง  สามารถให้ทานได้ รักษาศีลได้ ภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวบ้าง หลุดหายไปบ้าง  ต้องปรมัตถบารมีขั้นปลาย ขั้นละเอียดที่สุด  ขั้นสูงสุด จึงสามารถให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้
ในเมื่อเราทราบแล้วว่ากำลังใจของเราอยู่ในระดับไหน ก็พยายามประคับประคอง สร้างเสริมกำลังใจของเราให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป 
เราต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา เหมือนกับเป็นบันไดที่จะพาเราก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน  บันไดทั้งหลายเหล่านี้เป็นบันไดที่ยืดยาวมาก  เราจำเป็นที่จะต้องขยันก้าวเดินอยู่ทุกวัน  เพื่อที่จะให้ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้เร็วที่สุด  ถ้าเราไม่ขยันก้าวเดินทุกวัน ก็จะเริ่มช้าลงไปทุกที 
ดังนั้น..การที่ญาติโยมทั้งหลายอาศัยฤดูของกาลกฐิน ออกไปทำบุญกฐินตามวัดวาอารามต่าง ๆ แล้ว ก็ยังย้อนกลับมาเพื่อที่จะปฏิบัติในเรื่องของสมาธิภาวนา  ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความทุกข์ของร่างกายนี้  จนกระทั่งจิตใจปล่อยวาง ไม่มีความต้องการร่างกายนี้อีก ไม่ต้องการที่จะเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากอย่างนี้อีก มีกำลังใจปักมั่น จดจ่อในพระนิพพานแห่งเดียว  ก็ถือว่าท่านทั้งหลายมาได้ถูกทางแล้ว วางกำลังใจได้ถูกที่แล้ว 
ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่า  ต้องระมัดระวังรักษากำลังใจของเรา ให้เกาะความดีในศีล ในสมาธิ ในปัญญาอย่างนี้ ให้ต่อเนื่องติดตามกันไปเรื่อย  เพื่อที่ผลดีจะได้เกิดขึ้นกับเรา  คือสามารถยกจิตของตนก้าวขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป  จนกระทั่งท้ายสุดหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน ดังที่ทุกคนตั้งความปรารถนาเอาไว้ ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย  จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา    
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงกรรมฐาน  ณ  บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่  ๔  พฤศจิกายน  ๒๕๕๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธและเถรี)
ชินเชาวน์
21-12-2013, 15:16
สามารถรับชมได้ที่ 
http://www.sapanboon.com/vdo/demo.php?filename=2555-11-04
ป.ล. 
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้ 
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.