เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๕


เถรี
12-10-2012, 21:41
ถาม : หนูก็นอนกำหนดลมหายใจแบบปกติค่ะ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าจิตค่อย ๆ ดิ่งลงเรื่อย ๆ รู้ว่าอีกนิดหนึ่งจะหลับแล้วค่ะ แต่อยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรมาเกี่ยวจิตวูบขึ้นมา แล้วก็ตื่นเป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบเลยค่ะ หนูทำอะไรผิดไปหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ผิดหรอก ความรู้สึกตรงจุดนั้น พอหรี่ลง ๆ จะรู้สึกสะดุดนิดหนึ่ง แล้วสว่างโพลง คราวนี้เราจะอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ความจริงร่างกายหลับ แต่จิตตื่นอยู่ เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปสนใจว่าจะหลับหรือไม่หลับ เรามีหน้าที่ภาวนาต่อไปเรื่อย ร่างกายนอนอยู่ก็ได้พักอยู่แล้ว

สภาพจิตของเราจะตื่นเป็นปกติ แต่มักโดนท่วมทับด้วยกิเลส สติขาดก็เลยตัดหลับ โดยปกติจะหลับไม่รู้เรื่อง ถ้าอะไรเข้ามาตอนนั้นจะรับไม่ได้ รับไม่ทัน โดยเฉพาะพวกกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้ารู้ในลักษณะนั้น คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ก็จะสามารถป้องกันกิเลสได้ทั้งหลับและตื่น ทำถึงตรงนั้นยากนะ เพราะส่วนใหญ่พอลง ๆ ๆ ก็จะหลับไปเลย แต่นี่มีจังหวะอยู่หน่อย เหมือนดีดตัวขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วก็จะทรงอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน

ความจริงเราได้นอนแล้ว บางทีถ้าสติดี ๆ ได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย

ถาม : แล้วเวลาไปปฏิบัติธรรมหนูจะชอบตื่นขึ้นมากลางดึกค่ะ ทำอย่างไรถึงจะนอนรวดเดียวไปถึงเช้าไม่ตื่นขึ้นมากลางดึกคะ ?
ตอบ : ก็กลับไปชั่วอย่างเดิม แล้วจะไม่ตื่น..!

ถาม : เวลาตื่นขึ้นมาแล้วหนูกลัวผีค่ะ
ตอบ : ตอนเราภาวนาอยู่มีกำลังเท่ากับพรหม ผีที่ไหนจะกล้าหลอก ไอ้ผีที่กล้าหลอกไม่ใช่ผีหรอก ด่าไปได้เลย ส่วนใหญ่เป็นพรหมเทวดาเขามาลองใจ

ถาม : เวลาหนูแผ่เมตตาแล้วหมดแรงค่ะ
ตอบ : เมื่อเราแผ่เมตตาเป็นวงกว้าง ถ้าสมาธิไม่ดีเราจะหมดแรง เพราะฉะนั้น..ก่อนที่จะแผ่เมตตาให้ทรงสมาธิให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยแผ่ออกไป

ต้องบอกว่ากำลังจะได้ดี แล้วเราก็กลัวจะดี ตื่นอยู่กลัวผีหลอก หารู้ไม่ว่าหลับอยู่นั่นแหละผีหลอกถนัดนัก ตอนตื่นก็เหมือนกับขโมย เจ้าของบ้านตื่นอยู่ขโมยที่ไหนจะกล้าเข้ามา หลับเมื่อไรขโมยเข้าบ้านแน่

เถรี
12-10-2012, 21:49
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงเร็ว ๆ นี้จ่ายเงินเยอะมาก จ่ายจนเงินสำรองไม่เหลือเลยสักบาท มีเทคอนกรีตฐานพระสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกด้านล่าง ซึ่งตั้งใจว่าจะทำเป็นห้องสมุดประชาชน แต่จะไม่มีรายการยืม ให้มาอ่านที่วัดอย่างเดียว ตามที่วางแผนไว้ก็น่าจะมีอินเตอร์เน็ตสำหรับคนที่สนใจจะค้นคว้าความรู้ จะตั้งคอมพิวเตอร์สัก ๖ เครื่อง ต่อไปใครไปวัดก็มี WiFi เล่น

แล้วก็จ่ายค่าปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ไป ๘๐๐,๐๐๐ บาท ค่าวัสดุก่อสร้างร้านค้า ๓๖๖,๒๔๐ กว่าบาท ช่างก็มาเก็บงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก ๓ - ๔ ราย เช่น เทพื้นคอนกรีต รื้อแล้วทำคลังพัสดุใหม่ ซ่อมหลังคากุฏิแดง สร้างห้องน้ำอีก ๓ ห้อง รวมแล้วก็ประมาณ ๑๘๕,๐๐๐ บาท พวกนี้วัสดุเป็นของเรา เขาคิดแต่ค่าแรงเท่านั้น

จนกระทั่งทำวัตรเย็นเสร็จ จะ ๒ ทุ่มมุดเข้ากุฏิไป เตรียมนอนแล้วยังมีพระมาเคาะประตู ขอเบิกอีก ๔๐,๐๐๐ บาท ซื้อสีรองพื้นเพื่อทาสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ท่านกลัวว่าพระอาจารย์ไม่อยู่ เดี๋ยวจะเบิกไม่ได้ บางทีอาตมาก็สับสนในชีวิตเหมือนกัน ว่าเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเยอะแยะขนาดนั้น

เรื่องงานของพระศาสนา ถ้าเรามอบความไว้วางใจให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเป็นงานของท่านจริง ๆ เงินจะมาเอง ก็เป็นเรื่องแปลก..มีอยู่ช่วงหนึ่ง ต้องใช้เงินประมาณหนึ่งล้านบาทเศษ ยังขาดเงินอยู่อีกมาก อยู่ ๆ ก็มีโยมคนหนึ่ง แบกเงินสดมา ๑ ล้านบาทมาถวาย

อาตมาก็ถามเขาว่า มีความจำเป็นต้องใช้อย่างอื่นไหม ? ในระยะใกล้ ๆ มีอะไรต้องใช้เงินจำนวนมากหรือเปล่า ? สอบถามจนกระทั่งมั่นใจแล้ว เขาบอกว่าเขาทำงานมาทั้งชีวิต อยากจะทำบุญให้สะใจเสียทีหนึ่ง แล้วเขาก็ถวายมา อาตมาก็มีเงินไปจ่ายเขาพอดี เพราะฉะนั้น..บางอย่างก็มาโดยที่เราคิดไม่ถึง

ในเมื่อเจอลักษณะนี้เข้าบ่อย ๆ ก็ยอมรับว่าในเรื่องของคุณพระรัตนตรัยนั้น ถ้าเรามีความเชื่อมั่น มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ถึงเวลาแล้วจะเป็นไปได้ทุกอย่าง เพียงแต่หลายท่านก็ค่อนข้างจะเครียด"

เถรี
13-10-2012, 09:57
"ตอนอาตมาออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ ใช้เวลา ๑๓ เดือน สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษีเสร็จสรรพเรียบร้อย มีอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสิบกว่าหลัง อาตมาเลิกคบกับร้านวัสดุที่ทองผาภูมิไปหลายร้าน เพราะสั่งของกว่าจะได้ก็หลายวัน ช่าง ๔๐ กว่าคน ค่าแรงแต่ละวันกินเงินไปตั้งเท่าไร ลองบวกลบคูณหารดู ไม่มีวัสดุให้เขาทำ เขาก็นั่งกินค่าแรงฟรีไปสิ

ในเมื่อออกมาแล้วทำอะไรได้สะดวกทันใจ หลวงตาวัชรชัยก็เอาบ้าง พอท่านออกจากวัดมาได้ไม่นานก็โทรศัพท์มาหา “เล็กโว้ย..มึงทำได้อย่างไรวะ กูจะหัวหงอกหมดแล้ว..!” อาตมากราบเรียนพี่ท่านไปว่า “ผมมอบความไว้วางใจให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลยครับ อะไรที่ทำ ท่านต้องหาเงินมาได้” หลวงตาบอกว่า “มึงพูดง่ายนี่ กูเครียด.!” อาตมาบอกว่า “แล้วจะเครียดไปทำไมครับ ผมวางกำลังใจว่า ถ้ามีเงินผมก็ทำ ถ้าไม่มีเงินผมก็นอน แต่ไม่ได้นอนสักที"

ช่วงแรก ๆ หลวงตายังตั้งตัวไม่ได้ ต้องคอยยืมเงินเรื่อย ๆ เดี๋ยว ๆ ก็โทรศัพท์มาขอยืมก่อน ช่วงแรก ๆ ต้องไปช่วยท่านขุดหลุมปลูกต้นไผ่ แล้วพื้นที่ก็คล้าย ๆ กับโรยกรวดอัดแน่น ขุดยากขุดเย็น มือไม้แตกหมด ที่พวกเราเห็นสวนไผ่ร่มรื่น กินอาหารกันสบาย ไม่รู้หรอกว่ารุ่นแรก ๆ มือแตกไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว

ช่วงนั้นเขายังระเบิดหินอยู่ วันดีคืนดีก็มีหินก้อนใหญ่ ๆ ปลิวโครมลงมา บางทีโดนอาคารบางหลังก็พังไปเลย เพราะหินลงพอดี หลวงตาต้องสู้กับเขามาตลอด จนกระทั่งโดนไล่ยิง โดนอะไรสารพัด พวกเราไปตอนที่สบายแล้ว เป็นวัดเรียบร้อยแล้ว สวยเช้งวับ"

เถรี
13-10-2012, 10:06
"อาตมาเองก็เหมือนกัน ตอนตกระกำลำบากไม่ค่อยมีใครมาช่วย ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ทำวัดอยู่ ๒ ปี คือ ปี ๒๕๓๖ - ๒๕๓๗ พอวัดเริ่มเสร็จ เข้าพรรษาปี ๒๕๓๗ มีพระมาอยู่ด้วย ๕ - ๖ รูป มาตอนนี้ทำไม ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนนั้นอาตมาทำงานตัวดำปี๋อยู่คนเดียว ต้องบอกว่าบุญเขาดี พวกเขามาตอนงานหมดแล้ว

ปีที่ทิดรัตน์บวชที่วัดท่าขนุน งานท่วมวัดเลยปีนั้น เพราะทำลานธรรม ต้องถมดิน ปูทราย ปรับระดับ แล้วค่อยลงแผ่นอิฐ พระรุ่นนั้นทำงานกันหัวทิ่มหัวตำเช้ายันค่ำทุกวัน หลังจากนั้นที่วัดก็ว่างมา เพราะงานส่วนใหญ่เป็นงานช่าง พรรษาปี ๒๕๕๕ นี่แหละ ที่สร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก พระต้องขัดแต่งกันเอง ไม่ต้องจ้างช่าง เพราะพระรับอาสาทำกันเอง วัน ๆ ปีนไปขัดพระกันเต็มไปหมด

ถ้าดูจากข้างล่างแล้วจะเห็นว่าองค์พระไม่ใหญ่เท่าไร แต่พอพระปีนขึ้นไปขัดกันแล้วเห็นตัวนิดหนึ่ง อย่างกับตัวไรไต่ภูเขา ทำให้นึกถึงพระพาหา (ต้นแขน) เขาใส่ถัง ๒๐๐ ลิตรไว้ ๕ ใบอยู่ข้างในแขน เพื่อลดน้ำหนักตอนเทคอนกรีต แล้วองค์พระจะใหญ่แค่ไหน"

เถรี
13-10-2012, 12:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ๕๐ เล่มแรก น่าจะได้วันที่ ๒๐ ตุลาคมนี้ ใครจองไว้ให้ไปเบิกได้ ส่วนที่เหลือยังค่อนข้างนั่งลุ้นกันตัวเกร็ง ว่าจะเสร็จทันหรือเปล่า ?

เป็นวัตถุมงคลชิ้นเดียวที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุด ยากลำบากที่สุด เป็นสิ่งที่ควรจะภาคภูมิใจ เพราะขนาดเท่ากับพระแสงขรรค์ไชยศรีทุกกระเบียดนิ้ว ยกเว้นวัสดุที่ต่างกันนิดหนึ่ง อาตมาใส่บรรดาโลหะอาถรรพ์ต่าง ๆ ที่สะสมมา ๒๕ - ๒๖ ปี ลงไปหมดเลย ตรงจุดนี้ถ้าไม่ได้โรงงานของคุณวิทย์ ปกติแล้วไม่มีใครเขาทำได้

คุณวิทย์เขาเป็นนักหลอมโลหะมือหนึ่งของประเทศไทย เวลามีงานเกี่ยวกับโลหะศาสตร์ต่าง ๆ ของต่างประเทศ เขาจะเชิญคุณวิทย์ไปร่วมงานด้วย อาตมายอมจ่ายค่าแรงแพง ๆ คุณวิทย์ยังแทบจะปล้ำไม่อยู่ เพราะเวลาโลหะหลาย ๆ อย่างรวมกันแล้วเนื้อมักไม่ค่อยจะกลืนกัน

นอกจากนี้อาตมายังสูญเงินไป ๒๐๐,๐๐๐ กว่าบาทฟรี ๆ เนื่องจากจะเอาไม้พะยูงมาทำด้ามและฝักพระขรรค์ ไม้พะยูงทำด้ามได้ เวลากลึง ตัด การหดตัวจะมีน้อย แต่พอมาทำฝัก จะยาว ๆ แบน ๆ

ไม้ที่ได้มาในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นไม้สด ไม่ใช่ไม้ยืนต้นตาย พูดง่าย ๆ ก็คือโดนขโมยตัดนั่นแหละ พอเป็นไม้สด การหดตัวมีมาก เวลาทำให้แบน ยาว จะทั้งบิดทั้งหด ก็เลยต้องเปลี่ยนจากฝักไม้พะยูงมาเป็นฝักไม้สักทอง โยนเงินค่าไม้พยุงทิ้งไป ๒๐๐,๐๐๐ กว่าบาทฟรี ๆ ไม่พอ ยังต้องจ่ายค่าไม้สักทองไปอีก ๓๐๐,๐๐๐ กว่าบาท"

เถรี
13-10-2012, 12:24
"ถึงได้บอกกับพวกเราว่า เล่มละ ๘๔,๐๐๐ บาท โคตรจะคุ้มเลย หักกลบลบล้างแล้วไม่รู้อาตมาจะเหลือบ้างหรือเปล่า ? ตอนนี้ที่ตีคร่าว ๆ ก็คือชุบลวดลายทองคำไมครอน เล่มละประมาณ ๑๕,๐๐๐ บาท แล้วชุบลูธิเนียมที่ตัวใบ เล่มละ ๕,๐๐๐ บาท สรุปว่าชุบอย่างเดียวราคาไป ๒๐,๐๐๐ บาทแล้ว

ลูธิเนียม บางคนก็เรียกว่าทองคำดำ เป็นโลหะธาตุตระกูลเดียวกับทองคำ แต่สีออกน้ำเงิน โบราณเขาเรียกว่าจ้าวน้ำเงิน เป็นหนึ่งในส่วนผสมของนวโลหะ ปัจจุบันนี้คนไม่ค่อยรู้จักกัน นี่ถ้าไม่ใช่อาตมาเปิดเผย เชื่อเถอะ..ป่านนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจ้าวน้ำเงินคืออะไร

พอ ๆ กับสุวรรณขีด สุวรรณขีดของโบราณคือแพลตตินัมหรือทองคำขาว โลหะธาตุนั้นโบราณเขาเรียกอย่างหนึ่ง ปัจจุบันเรียกไปอีกอย่างหนึ่ง

งานนี้ถ้าไม่ได้หลวงพี่นิลของพวกเรา ไปช่วยตามงานชนิดกัดไม่ปล่อย จะไม่มีทางสำเร็จเลย เป็นพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านเมตตาวิ่งงานให้ เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่งท่านจะมาเบิกเงิน งวดนี้ขอเบิก ๔๐๐,๐๐๐ บาท อาตมายังไม่ได้จ่ายค่าชุบเขาเลยสักบาท เพียงแต่ว่าวางมัดจำเขาไป ๕๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น"

เถรี
13-10-2012, 12:26
"งานนี้เขาหล่อใบพระขรรค์มาเผื่อเสีย ที่ต้องพยายามอย่างที่สุดก็คือ โลหะที่เป็นตามดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นปกติของโลหะผสมที่จะเกิด เพราะว่าประสานกันไม่สนิท กำลังเอาไปให้เขายิงเลเซอร์อุดหมด ค่ายิงเลเซอร์ก็อ่วมอรทัยเลย และแต่ละเล่มก็ไม่เท่ากัน อันไหนมีมากก็จ่ายมาก อันไหนมีน้อยก็จ่ายน้อย

พอขัดปัดเงาเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ชุบลูธิเนียม ประกอบด้าม ประกอบฝัก ประกอบลาย ใครอยากดูว่าสวยแค่ไหน ไปเปิดดูในกระทู้จองพระขรรค์ ปกติแล้วอาตมาถือคติอย่างหนึ่งว่า วัตถุมงคลทำออกมาต้องสวยที่สุดเท่าที่ทำได้ ถ้าวัตถุมงคลออกมาสวย คนเห็นเขาก็ศรัทธา

แต่ต้องยอมรับว่าพระขรรค์โสฬสนี้ ศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ ต้องรวยด้วย วัตถุมงคลชิ้นหนึ่งราคาเกือบแสน แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ อาตมากับหลวงพี่นิลถือได้อย่างสบาย ๆ แต่คนอื่นต้องอุ้ม ๒ มือ เฉพาะใบอย่างเดียวตอนหล่อเสร็จใหม่ ๆ หนัก ๓.๕ กิโลกรัม ลองดูซิว่า..ถ้าเข้าด้ามเข้าฝักประกอบลวดลายเข้าไปแล้ว จะหนักแค่ไหน ส่งให้ใครมีแต่ต้องอุ้มทั้งนั้น ดีเหมือนกันนะ อุ้มแล้วดูเท่ดี..!"

เถรี
14-10-2012, 08:57
ถาม : ตะกรุดกำลังแม่พระธรณี ค่าบูชาครูดอกไม้ธูปเทียน ผมควรตั้งใจบูชาพระรัตนตรัยหรือตั้งใจบูชาพระอาจารย์ดีครับ ?
ตอบ : บูชาพระไป ปัจจัยก็ถวายเป็นสังฆทาน

ถาม : ต้องขึ้นครูทุกครั้งหรือเปล่าครับ หรือแค่รอบเดียว ?
ตอบ : รอบเดียว

ค่าบูชาครูวิชานี้แพงโคตร เราลองนึกถึงสมัยที่ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชามราคา ๕ สตางค์สิ แล้วเงิน ๑๐๐ บาทในสมัยตั้งเท่าไร ? ต้องบอกว่าหลวงปู่เนป่อง ท่านอยากได้วิชานี้มาก อุตส่าห์หาเงินได้ตั้งหนึ่งร้อยบาทไปขึ้นครู สมัยนั้นเงิน ๑ ชั่ง เท่ากับ ๘๐ บาท บ้านไหนมีเงิน ๑ ชั่ง เท่ากับเป็นเศรษฐีแล้ว นี่เขาเอาค่าครูตั้ง ๑ ชั่ง ๕ ตำลึง

ที่เขาคิดเป็นชั่งเพราะเงินสมัยก่อนเป็นแท่ง เป็นก้อน ก็เลยต้องคิดเป็นชั่ง ต้องบอกว่าโบราณเขาเก่งกว่าเรา เขารู้ว่าเงินและทองเป็นโลหะมีค่า โดยเฉพาะทองคำเป็นโลหะธาตุที่ไม่เป็นสนิม เป็นโลหะที่อยู่ยั้งยืนยงที่สุด ไม่กินตัวเอง แล้วโบราณเขารู้ได้อย่างไร ?

เถรี
14-10-2012, 09:06
ความรู้ในปัจจุบันไม่ต้องอะไรมากหรอก รู้ให้เท่าคนโบราณก็พอแล้ว สมัยนี้ส่วนใหญ่รู้มากเกินไป นำหลักวิชาตะวันตกมาจับเท่าไรก็สู้ของเราไม่ได้ โดยเฉพาะพวกหลักการทางศาสนาซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจ ถ้าพูดกันแบบไม่เกรงใจเลยก็คือ ศาสดาของทุกศาสนาเป็นชาวตะวันออกทั้งหมด ไม่มีศาสดาท่านไหนเป็นชาวตะวันตกเลย

ลองกล่าวมาสักศาสนาหนึ่งสิ พระเยซูเกิดในอิสราเอลซึ่งอยู่ตะวันออกกลาง พระมูฮัมหมัดอยู่ตะวันออกกลาง พระพุทธเจ้าอยู่ชมพูทวีป ขงจื๊อ เหล่าจื๊อ อยู่ประเทศจีน ศาสนาพราหมณ์ก็อยู่ในอินเดีย โซโรอัสเตอร์ บูชาไฟก็อยู่ในเปอร์เซีย

เพราะฉะนั้น..หลักการต่าง ๆ ตะวันออกของเราเจริญรุ่งเรืองมาก่อน โดยเฉพาะแหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำฮวงโห แหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ เจริญมาก่อนตะวันตกหลายพันปี

ปัจจุบันนี้พวกหลักฐานวิชาการต่าง ๆ เขาก็สรุปออกมาแล้วว่า จีนค้นพบทวีปอเมริกาเป็นประเทศแรก ไม่ใช่โคลัมบัส กลายเป็นเจิ้งเหอ ที่คนไทยเรียกว่าซำปอกง เจิ้งเหอแวะมาอยุธยาด้วยนะ หลวงพ่อโตซำปอกงที่วัดพนัญเชิง เขาสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเจิ้งเหอมีดำริให้สร้างขึ้นมา เจิ้งเหอเอากองเรือมหึมาออกตระเวนไปยังขั้วโลกเหนือ จนกระทั่งทนหนาวไม่ไหวต้องถอยกลับ

เถรี
14-10-2012, 09:15
คนจีนเขาขยันบันทึกเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่บันทึกเอาไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว ถ้าจำไม่ผิดสมัยโจวเจาอ๋อง บอกว่าอยู่ ๆ มีปรากฏการณ์ประหลาด มีรัศมี ๕ สี พุ่งมาจากทางทิศตะวันตก แม่น้ำมีขึ้นในเวลาที่น้ำควรจะลง แหล่งน้ำธรรมชาติทุกแหล่งอยู่ ๆ มีน้ำเปี่ยมถึงขอบทั้งหมด

ปุโรหิตพิจารณาดวงดาวแล้วบอกว่า ขณะนี้บุคคลผู้เป็นศาสดาเอกของโลกเกิดขึ้นแล้ว เขามีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว แล้วก็ยังทำนายต่อไปว่า อีกประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ธรรมะของพระองค์ท่านจะเข้ามาถึงแผ่นดินจีน หลังจากนั้น ๘๐ ปีในสมัยของโจวมู่อ๋องก็มีบันทึกว่า มีแสงสว่างมาจากฝั่งฟากฟ้าตะวันตก ส่องสว่างเหมือนกับกลางวัน ปุโรหิตก็ทำนายว่า กายหยาบของพระอริยเจ้าท่านนั้นแตกดับแล้ว นั่นเขารู้ได้อย่างไร ?

อย่างพวกเราต้องใช้ฌานสมาบัติ หรือทิพจักขุญาณ แต่เขาอาศัยการโคจรของดวงดาวที่เป็นดาราศาสตร์ เป็นโหราศาสตร์คำนวณได้ ความชำนาญของเขาถึงระดับไหน ?

เถรี
14-10-2012, 09:17
พระเจ้าโจวเจาอ๋องสั่งให้จารึกเอาไว้บนแผ่นหิน ก็เลยตกทอดมาถึงยุคเราได้ หลังจากนั้นมาถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นของพระเจ้าฮั่นหมิงตี้ ระยะเวลาห่างกัน ๑,๐๐๐ ปีพอดี อยู่ ๆ พระองค์ท่านก็ทรงพระสุบินว่า มีบุรุษร่างใหญ่กายเป็นทองคำเดินเข้ามาหา

ปุโรหิตก็บอกว่า คำทำนายที่ว่าธรรมะของศาสดาเอกที่อยู่ทางทิศตะวันตกนั้น ควรจะมาถึงแล้ว ลักษณะที่พระองค์ท่านสุบินนิมิตเห็นมนุษย์ทองคำ ก็คือหลักธรรมที่มีคุณค่าขนาดนั้น สมควรที่จะเข้ามาถึงบ้านเราเมืองเราแล้ว จึงส่งราชทูตไป ๑๘ คน ปรากฏว่าไปเจอพระกาศยปะมาตังคะกำลังอัญเชิญพระไตรปิฎกกับพระพุทธรูปเข้าประเทศจีนพอดี เท่ากับว่าทางด้านนี้เตรียมราชทูตไปรับเลย

กาศยปะ เป็นภาษาสันสกฤต ถ้าภาษาบาลีก็คือพระกัสสปะ คราวนี้จีนเป็นทางสายมหายาน ซึ่งทุกอย่างจารึกด้วยภาษาสันสกฤต จึงเป็นกาศยปะ

เถรี
14-10-2012, 09:30
เมื่อเป็นลักษณะนั้นก็เลยทำให้สิ่งที่มีคุณค่านั้นได้รับการบันทึกไว้ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจไปอ่าน บุคคลที่ได้ศึกษา สามารถรู้เท่าคนโบราณได้ก็เก่งมากแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดรู้มากกว่าคนโบราณหรอก

คนจีนสามารถคิดเครื่องวัดแผ่นดินไหวได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีของเราลงทุนขนาดไหนกว่าจะวัดแผ่นดินไหวได้ จีนเขาทำเป็นกระถางทองแดง มีมังกรคาบแก้วอยู่ ๘ ทิศ ข้างล่างเป็นกบที่อ้าปากอยู่ ถ้าแผ่นดินไหวทิศไหน มังกรจะคายแก้วลงไปที่ปากกบในทิศนั้น โบราณเขาทำได้ขนาดนั้น

ประเทศจีนเป็นต้นกำเนิดของสารพัดสิ่ง อย่างเช่น ผ้าไหม ธนบัตร ก็คือเงินที่ใช้ทุกวันนี้ ประเทศจีนใช้มาก่อน เงินทองเป็นพัน ๆ ตำลึง เอาเกวียนขนไปก็ไม่ไหว คนจีนจึงคิดระบบตั๋วแลกเงินขึ้นมาก่อน พวกร้านใหญ่ ๆ รับซื้อเงินเขามา ออกตั๋วประทับตราของตัวเองให้ แล้วก็เอาไปเก็บเงินที่สาขาของปลายทาง เท่ากับเป็นธนาคารแรก ๆ ของโลกเลย

คิดกระดาษขึ้นมา คิดดินปืนขึ้นมา เริ่มมาจากทางฟากตะวันออกแทบทั้งนั้น ระบบการพิมพ์ แบบแท่นพิมพ์ไม้ก็เป็นจีนคิดขึ้นมา แกะตัวหนังสือแล้วก็พิมพ์ทีละหน้า เอาแม่พิมพ์จุ่มหมึกแล้วก็กดพิมพ์เอา ถ้าหนังสือมี ๑๐๐ หน้าก็แกะแม่พิมพ์ ๑๐๐ ตัว พิมพ์ให้ครบแล้วก็เย็บเล่ม เขาทำมาก่อน

แม้กระทั่งการผ่าตัดทางการแพทย์ ปัจจุบันนี้เขาไปเห่อการรักษาแบบทิเบต ซึ่งทิเบตรับอารยธรรมการรักษาโรคไปจากจีน พวกการรมควัน ใช้ความร้อน ฝังเข็ม พวกหมอปัจจุบันที่พยายามวิเคราะห์ตามจุดฝังเข็มต่าง ๆ เขาบอกว่ามีหลายต่อหลายจุดที่เป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติ ถ้าไม่ได้เครื่องมือสมัยใหม่ก็ตรวจไม่ออก แต่คนจีนสามารถฝังเข็มตามจุดเหล่านั้นได้

เถรี
14-10-2012, 09:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอควาญช้างของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ใช้เป็นอาวุธได้ สมัยอาตมายังเด็ก ๆ พวกเสือปล้นส่วนใหญ่จะหนังเหนียว ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ถ้าเจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมก็ไม่เหลือ ถ้าเขารู้ว่าเจ้าทรัพย์มีมีดหมอหลวงพ่อเดิม เขาไม่ไปปล้นให้เสียเวลาหรอก...กลัวตาย เพราะถึงเหนียวขนาดไหนก็โดนแล้วเข้าทุกที"

เถรี
14-10-2012, 10:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เป็นลมพิษวันที่สามแล้ว คันคะเยอไปทั้งตัว ที่เห็นนั่งยิ้มอยู่นี่ ถ้าเป็นคนอื่นก็เกาตายชักไปแล้ว เนื่องจากเป็นวาระที่ต้องรับ อย่างไรเสียพระขรรค์โสฬสต้องเสร็จ ใครขวางได้ขวางไป อาตมาไม่ตื่นเต้นหรอก เพราะรู้ว่าเขาขวางได้ไม่ตลอด การตีหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้นี่อาตมาถนัดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในร่มผ้าไม่ต้องเปิดให้ดูเลย ถ้าเปิดให้ดูเหมือนอย่างกับโรคเรื้อนหรือไม่ก็หนังคางคก

กะว่า ๓ วันก็เลิก นี่วันที่ ๓ แล้ว ถ้าไม่หายจะอยู่ไปตลอดชีวิต อาตมาก็ไม่รังเกียจหรอก จะได้ซักซ้อมสมาธิว่ายังทำไม่รู้ไม่ชี้ได้หรือไม่ ? ตอนตื่นอยู่พยายามไม่เกาอาจจะพอได้ แต่ตอนหลับต้องไม่เกาด้วยนี่สิ.. บางคนตอนตื่นไม่เกา ตอนหลับเกาจนเสียหนังถลอกหมดเลย เป็นเครื่องทดสอบได้ว่าสติสมาธิทรงตัวจริงหรือเปล่า ?"

เถรี
15-10-2012, 13:10
พระอาจารย์แนะนำโยมเรื่องการช่วยงานวัดว่า "ถ้าทีมงานไม่พร้อม อย่าไปรับงานใหญ่อย่างนั้น เราไม่มีทีมงานที่รับผิดชอบหน้าที่ ขนาดเงินเป็นขัน ๆ อาตมาถามว่าใครดูแล ก็ไม่มีใครรู้ อาตมาก็ต้องถือเอาไว้เอง จนกระทั่งส่งให้คนอื่นที่รู้จักเขาไปจัดการแทน ถ้าเราจะรับในลักษณะเป็นแม่งาน ทีมงานต้องพร้อม โดยเฉพาะคนที่เสียสละ

ทุกคนจะไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของงาน แต่การทำงานจะต้องแบ่งมาดูแลรอบนอกด้วย อย่างพวกงานด้านการจราจร เรื่องข้าวปลาอาหาร เรื่องสถานที่ ต้องแบ่งกันออกไปเลย ต้องเป็นคนเสียสละ

อย่างงานของวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงจัดงานเป่ายันต์ ๑๘ ครั้ง อาตมามีโอกาสเข้างานเป่ายันต์ ๒ ครั้ง อีก ๑๖ ครั้งต้องไปดูแลงานข้างนอกหมด ถ้าเราไปประดังอยู่ที่เดียว งานจะไปไม่ได้ และจุดที่เห็นก็คือ ถ้าครูบาวิฑูรย์ท่านออกมาแล้ว เราแห่ท่านมาที่ศาลาทีเดียวจะจบเลย เพราะตรงนั้นที่แคบมาก คนไปประดังกันอยู่ ถ้าอาตมาไม่เจาะทางให้ออกนะ ก็ยังอัดกันอยู่อีกนาน

จุดที่น่าตายที่สุดก็คือ ดันไปนั่งนับเวลาให้ครูบาท่าน คนเราเหมือนกับพวกซาดิสม์ เวลามีเยอะกลับไม่ทำบุญ เวลามีน้อยยิ่งประดังกันเข้าไป คุณไปนับ ๑ - ๒๐ เขาก็ยิ่งวิ่งเข้าใส่ ไม่ต้องลุกกันพอดี ลุกก็คือลุกเลย อย่าไปนับอย่างนั้น

คราวหน้าถ้ามีทีมงานให้กระจายออก ว่าแต่ละคนรับผิดชอบงานส่วนไหน แล้วให้เขาหาทีมงานของเขามาเพิ่มเอง เราต้องมอบความไว้วางใจให้เขาไปเลย ดูแลเรื่องอาหารก็ดูแลไป ส่วนของโรงทานก็ดูแลไป ส่วนของอาหารถวายพระก็ดูแลไป ส่วนของการจราจร ส่วนของขบวนแห่ ให้แต่ละคนรับผิดชอบเป็นส่วน ๆ แล้วให้เขาหาทีมงานมาจะทำให้ง่ายขึ้น เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ทำงานก็จะไม่เห็น ถ้าได้ทำงานแล้วจะเห็นว่ามีข้อบกพร่องอีกมาก"

เถรี
15-10-2012, 13:17
"อาตมาไปนั่งรออยู่ที่ศาลา พอได้ยินเสียงนับครั้งที่ ๒ ก็บอกกับน้องเล็กว่า “ไอ้นี่ถ้าไปนับที่วัดท่าขนุน โดนเตะตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว” เพราะคนเรานี่แปลก ยิ่งไม่มีเวลายิ่งตะบี้ตะบันเข้าไป กลัวว่าพระจะไป ยิ่งไปนับเขาก็ยิ่งแย่งกันทำบุญ ครูบาท่านก็ไม่ต้องลุกสักที คุณต้องตัดไปเลย หมดเวลาต้องลุกเลย ถ้าทำไม่เด็ดขาดก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ตอนเขาจะมาทำบุญกับอาตมาตรงข้างครูบาวิฑูรย์ อาตมาสั่งล้มโต๊ะไปเลย ไม่รับการทำบุญ ไม่อย่างนั้นคนก็จะมาอัดกันตรงนั้น คนอื่น ๆ ก็ไปกันไม่ได้

บางส่วนเราก็ต้องยอมเสียสละ อาตมาถือว่าตอนช่วงเช้าช่วยเขาได้เงินเข้าวัดมากแล้ว ตรงจุดนี้ไม่ต้องก็ได้ โละทิ้งไปเลย ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เร็วด้วย อย่างเรื่องนางรำ เขาจะรำให้เขารำไป ทางด้านนี้ครูบาจะออก ร่างกายท่านโทรมมาก ยิ่งนั่งนานเท่าไรยิ่งแย่เท่านั้น ต้องปล่อยคนทำบุญผ่านให้เร็วที่สุด คุณไปกั้นคน อั้นเอาไว้ให้เขารำก่อน ท่านก็ตายพอดี

ครั้งหน้าต้องรอบคอบกว่านี้ ไม่เป็นไรหรอก..พอมีสักเที่ยวหนึ่งต่อไปจะดีขึ้น วัดท่าขนุนพอเลิกงานแต่ละครั้ง อาตมาจะมีการบอกพระเณรว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน แล้วครั้งหน้าให้เขาแก้ไข งานก็จะคล่องขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลายวัดเขาบอกว่าอยากมีทีมงานอย่างวัดท่าขนุน อาตมาบอกว่าไม่ใช่หรอก ทีมงานวัดท่าขนุนที่มีขึ้นมาได้เพราะว่ามีการวิเคราะห์จุดบกพร่องทุกครั้งหลังทำงาน

ถ้าคุณไปรับจัดงานอย่างนั้น มอบให้ใครไปเสร็จสรรพ ต้องไว้วางใจเขาเลยว่าเขาทำได้แน่ แล้วคุณเองก็อาจจะอยู่ตรงศูนย์กลาง มีวิทยุหรือไมโครโฟนสักอันหนึ่งคอยควบคุม ยกตัวอย่าง “ตอนนี้ครูบาจะเคลื่อนขบวนแล้ว ใครดูแลเรื่องขบวนเสลี่ยงให้จัดเตรียมด่วนจี๋เลย” เขาจะรู้ว่าถึงงานของเขา ถึงเวลางานก็จะไปได้"

เถรี
16-10-2012, 19:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหลายอย่างที่เป็นการตัดเคราะห์กรรมของคนส่วนรวม หัวหน้าชุดมักจะโดนก่อน อย่างงานทำพระขรรค์โสฬสฯ ของอาตมา โดนเล่นจนเดี้ยงทุกราย แม้กระทั่งตัวเอง ยิ่งงานใหญ่เท่าไรเขาก็ยิ่งเอาหนักเท่านั้น

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้เตือนนักเตือนหนาว่า การพุทธาภิเษกวัตถุมงคลแบบพกติดตัวให้ใช้เครื่องบวงสรวงเต็มชุด ถ้าพุทธาภิเษกพระพุทธรูป ให้ใช้ชุดดอกไม้ ไม่ต้องมีหมู ไก่ ปลา ก็ได้ เพราะพระพุทธรูปเราตั้งบูชาอยู่ที่บ้าน คุ้มครองรักษาเฉพาะที่บ้าน แต่วัตถุมงคลที่ติดตัวนั้น เป็นการสะเดาะเคราะห์ไปในตัว ถ้าเคราะห์หนักก็เป็นเบา เคราะห์เบาก็เป็นหาย

ท้าวมหาราชท่านสั่งบังคับไว้เลยว่าเครื่องบวงสรวงต้องเต็มชุด อย่าเผลอเป็นอันขาด ขนาดหลวงพ่อวัดท่าซุงยังโดนไปเต็ม ๆ คลานออกมาเลย

ตอนนั้นพุทธาภิเษกพระแก้วใสอยู่ มีคนทำสมเด็จองค์ปฐมรุ่นสี่เหลี่ยม องค์คล้าย ๆ สมเด็จวัดปากน้ำ เอาไปเข้าพิธี ท่านท้าวมหาชมพูบอกว่า "สั่งแล้วทำไมไม่จำ..!" ความจริงหลวงพ่อท่านจำ แต่ไอ้ลูกระยำไม่ยอมจำนะสิ..เอาไปซุกเข้าพิธีไปด้วย ท่านจึงโดนอ่วมเลย ต้องสั่งเอาไปเข้าพิธีใหม่ สรุปว่ายังไม่ทันจะเข้าพิธีใหม่หลวงพ่อก็มรณภาพเสียก่อน"

เถรี
16-10-2012, 20:00
"จริง ๆ แล้วหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมมีแค่ ๓ รุ่นที่ทันหลวงพ่อวัดท่าซุงเสก ก็คือรุ่นหนึ่งที่มีกริ่ง รุ่นสองที่เจาะรูไม่อุดกริ่ง และรุ่นที่เป็นซุ้มเอาไว้แขวนหน้ารถ รุ่นนั้นมีแค่ ๕๐๐ องค์เท่านั้น นอกนั้นมาพุทธาภิเษกทีหลังทั้งสิ้น รุ่นสามยังไม่ทันเลย

โดยเฉพาะรุ่นที่แขวนหน้ารถ มีแค่ ๕๐๐ องค์ แต่คนอยากได้มีเป็นแสน พอแขวนไว้หน้ารถ ก็โดนทุบกระจกข้าง เขาทิ้งเงินไว้ ๒,๕๐๐ บาทเป็นค่ากระจกแล้วเอาพระไป ถ้าทุบกระจกหน้า ๒,๕๐๐ บาทก็ไม่พอ ต้องบอกว่าลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ขโมยหรอก ขอดื้อ ๆ และทิ้งค่ากระจกไว้ให้ด้วย..!"

เถรี
16-10-2012, 20:32
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนที่หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม จะมรณภาพ ช่วงวันเกิดของท่านอาตมาก็ไปกราบถวายสักการะท่าน ท่านกวักมือเรียกเข้าไปใกล้ ๆ ตอนนั้นท่านเจ้าคุณราชพุทธิวราภรณ์ วัดกวิศรารามที่ลพบุรี ดูแลท่านอยู่ ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า “เอียงหูเข้าไปเลย หลวงพ่อท่านจะได้ไม่ต้องพูดดัง”

หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ท่านพูดขาดเป็นช่วง ๆ แต่ความจำท่านแม่นมาก ท่านบอกว่า “เรื่องพระอุปัชฌาย์ ผมต้องขอโทษคุณด้วย ผมมีโควตาให้ภาค ๑๔ อยู่ ๓๐ รูป สุพรรณบุรีขอมาก็ ๒๑ รูปแล้ว พระอุปัชฌาย์เป็นโควตาของเจ้าคณะตำบล ต้องให้เขาก่อน คุณไปขอสัญญาบัตรมาก็แล้วกัน” อาตมาไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านจึงให้ขอสัญญาบัตรแทน อาตมาก็ตอบ "ครับ ๆ" แต่ก็ไม่ได้ขอไปเหมือนเดิม

หลังจากวันเกิดไม่นาน หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็มรณภาพ ตอนนั้นอาตมาก็ยังเกรงว่าท่านจะห่วงงาน มรณภาพแล้วจะไปดีหรือเปล่า ? ปรากฏว่าไปดี ต้องบอกว่าโรคมะเร็งช่วยพระไปดีหลายรูปแล้ว อย่างหลวงพ่อพระเทพวิสุทธิเวที วัดอนงคาราม หรือหลวงพ่อเจ้าคุณไสว ที่ร่วมวงน้ำปลาพริกป่นกับหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นแหละ ท่านก็เป็นมะเร็ง ท่านบอก.. (บอกหลังจากท่านเสียแล้ว) ว่า

"พอจนแต้มขึ้นมาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็นึกถึงมหาวีระที่เคยสอนกรรมฐาน บอกว่าอานาปานสติระงับกายสังขารได้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เหมือนไม่ป่วย ก็เลยต้องภาวนา" ไปได้ดีตอนนั้น ภาวนาอารมณ์ใจทรงตัว มรณภาพแล้วไปได้ไปเป็นพรหม ไม่อย่างนั้นป่านนี้ไปไหนก็ไม่รู้"

เถรี
16-10-2012, 20:41
"ก่อนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามมรณภาพวันหนึ่ง ท่านบอกกับพระที่ดูแลและญาติโยมที่อยู่ใกล้ว่า “ภาระของเราไม่มีแล้วนะ” ท่านบอกชัดเลย พอเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ต้องวิ่งเข้าไปหาการปฏิบัติของตนเองก่อน

ท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ จังหวัดอยุธยา เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปเดียวที่สักลายพร้อยเลย ท่านไม่เคยตำหนิใครเรื่องลายสัก ท่านบอกว่าลูกผู้ชายต้องมีบ้าง แต่ให้เป็นลายสักที่เป็นไปตามสายครูบาอาจารย์ มีแล้วต้องใช้ให้เกิดผลจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าสักจนลายไปหมด ลายสักของท่านเองก็ดูไม่น่าเกลียด ท่านมีลายสักที่แขนอยู่ ๓ แถว ส่วนอื่นอยู่ในผ้า ถูกปิดอยู่มองไม่เห็น แต่สมัยปัจจุบันที่เขาสักสวย ๆ บางทีแขนลายหมด ห่มจีวรก็ยังแขนลายพร้อยเลย

หลวงปู่พระธรรมเสนานีหรือหลวงปู่ชุณห์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นคนเด็ดขาด จัดการทุกอย่างตามเรื่องตามราวตลอด ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ว่ากันตามกฎระเบียบ มีคนไปถามหลวงปู่ว่า “พระสักได้ไหมครับ ?”

หลวงปู่บอกว่า “นั่นเป็นค่านิยมของลูกผู้ชายไทยมาตั้งแต่โบราณแล้ว รอยสักนี่ปกบ้านป้องเมืองมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว สักได้..แต่อย่าให้มากนัก มากแล้วจะดูเป็นนักเลงมากกว่าพระ” ท่านว่าตามตรงเลยนะ เห็นพระผู้ใหญ่ที่ท่านยึดหลักการแล้วก็ปลื้มใจ บางอย่างอาตมาเองก็ยังนึกไม่ถึง"

เถรี
16-10-2012, 20:56
"อย่างปัจจุบันนี้ พระทั่วประเทศของเราจะห่มจีวรกันหลายสี มีสีกรักทอง สีเหลืองส้ม สีแดงแบบพระพม่าหรือแดงแบบทางเหนือของเรา สีกรักออกเขียว ๆ แบบพระธรรมยุติ และสีกรักออกม่วงน้ำตาล

ตอนนั้นหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางอยู่ ท่านเป็นพระที่เด็ดขาด ตรงไปตรงมาที่สุด มีคนถามท่านว่า “ทำไมหลวงพ่อไม่สั่งให้เขาห่มสีเดียวกัน จะได้เหมือนกันทั้งประเทศ” ท่านบอกว่า “พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม ผมไม่สามารถที่จะไปทำอะไรซึ่งเป็นการล้มล้างพระบัญญัติของพระพุทธเจ้าได้”

พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ใช้สีกรัก สีเหลือง และสีเหลืองเจือแดงเข้ม ท่านอนุญาตให้ทั้ง ๓ สี แต่ทางเหนือของเรานี่เหลืองเจือแดงเข้มเขาไม่ได้ดูที่มา เพราะเหลืองเจือแดงเข้มจริง ๆ เกิดจากพระอัญญาโกณฑัญญะเถระ ท่านอยู่ที่ฉัททันตะสระ ในป่าหิมพานต์ แถวนั้นจะหาต้นไม้ที่นำเปลือกมาทำเป็นน้ำย้อมฝาดไม่ได้ ท่านก็เลยเอาดินลูกรังมาต้มย้อมผ้าแทน ผ้าของท่านก็เลยออกลักษณะนั้น สีเหลืองก็จริง แต่ปนแดง ๆ

พอพระอัญญาโกณฑัญญะเถระไปกราบพระพุทธเจ้า พวกพระเล็กเณรน้อยเห็นก็นินทา “ดูหลวงตารูปนั้นสิ..มาจากไหนก็ไม่รู้ ? ผอมจนเอ็นขึ้นสะพรั่งไปทั้งตัว ห่มจีวรสีอย่างกับเลือด” พระพุทธเจ้าต้องรีบเสด็จเข้าไปในอุปัฏฐานศาลา ตรัสว่า “ภิกขเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังสนทนากันเรื่องอะไรกันอยู่หรือ ?”

พระก็ทูลให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอไม่รู้จักพี่ชายใหญ่ของเธอหรือ ? นั่นแหละพระโกณฑัญญะเถระ พระสงฆ์รูปแรกในพระธรรมวินัยของตถาคต เป็นพี่ชายใหญ่ของพวกเธอ”

เถรี
16-10-2012, 21:03
"ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงก็แปลกใจ เพราะช่วงนั้นพระของวัดท่าซุงก็ห่มผ้าหลายสีเหมือนกัน ใครชอบใจสีไหนก็ห่มสีนั้น อย่างอาตมาห่มสีเหลือง หลวงพี่สามารถห่มสีกรัก หลวงพี่สมานห่มสีกรัก หลวงพี่เกรียงไกรห่มสีกรักเขียวแบบธรรมยุติ ลายไปหมดทั้งโบสถ์เลย ลงโบสถ์ทีหนึ่ง มองไป ๔ - ๕ สี

หลวงพ่อท่านก็ข้องใจ ตอนพักอยู่ท่านเห็นพระรูปหนึ่งเดินเข้ามา ห่มจีวรสีเหลืองแบบย้อมขมิ้น แต่ไม่มีตัว มีแต่จีวรเป็นรูปคนเดินเข้ามา หลวงพ่อท่านก็ถามว่า “ใครน่ะ ?” มีเสียงตอบว่า “ผมโมคคัลลาน์ครับ” หลวงพ่อถามว่า “แล้วมาทำไม ?” พระโมคคัลลาน์บอกว่า “มาให้ดูว่าสมัยนั้นผมห่มจีวรสีนี้ครับ” หลวงพ่อบอกว่า “อ้าว.! สีนี้ก็ใช้ได้ด้วยหรือ ?” ท่านตอบว่า “พระพุทธเจ้าอนุญาตผ้าย้อมน้ำฝาด แล้วขมิ้นหวานไหมเล่า ?” ตกลงว่าใช้ได้

สมัยโบราณเขาห่มผ้าย้อมขมิ้นกัน พอห่มไป ๆ สีจะหลุด จับติดผิว ถ้ายิ่งพระบวชนาน ๆ จะเหลืองเป็นขมิ้นเลย ผิวเหลืองเพราะขมิ้นย้อม สมัยนี้ต้องเข้าสปาขัดผิว เห็นมีบางวัดเข้าสปากันทุกอาทิตย์ เขาบอกว่าออกมาผิวจะได้ผ่อง ๆ ญาติโยมดูแล้วจะได้ศรัทธา อาตมาได้ยินแล้วก็คิดว่า มัวแต่ไปยุ่งเรื่องขันธ์ ๕ อยู่ ก็ไม่ต้องทำมาหากินเรื่องอื่นแล้ว"

เถรี
16-10-2012, 21:07
"วัดใหญ่บางวัดมีลูกศิษย์เป็นคุณหมอมีความสามารถ บรรดาพระก็ไปให้หมอช่วยเจาะเลือดไปทำ Stem cell ให้ พอเวลาฉีดกลับเข้าไป เขาก็มาคุยกัน “คอยดูนะ เดี๋ยวผมจะกลับเป็นหนุ่มใหม่ ผิวพรรณจะผ่องใสกว่านี้อีก” อาตมาได้ยินแล้วก็นั่งเซ็งในอารมณ์ ตกลงว่าบวชมาเอากันแค่นี้เองหรือวะ..!

ยิ่งนานไปสัทธรรมปฏิรูปจะแทรกเข้ามาในพระพุทธศาสนามากขึ้น ๆ ทำให้วัดที่มีวัตรปฏิบัติที่เข้มแข็ง รักษาพระธรรมวินัยเคร่งครัด ต้องคล้อยตามเขาไปหมด กลายจากผิดเป็นถูก"

เถรี
18-10-2012, 05:28
ถาม : ลูกดื้อ บอกแล้วไม่ค่อยฟัง
ตอบ : ตีเสียบ้าง..พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสัตว์ล้วนกลัวอาชญา เขาถึงได้บอกว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ถ้าเขาเจ็บตัวแล้วจะจำ พอจำแล้วครั้งต่อไปก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร เขาจะตั้งสติไว้ก่อนทำ

เถรี
18-10-2012, 05:32
บางทีผู้ใหญ่ก็ทำผิดโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น พอเด็กทำผิดแล้วเราก็ไปเอะอะโวยวายใส่เขา แต่ในสายตาเด็กกลายเป็นว่า ก่อนหน้านั้นพ่อแม่ไม่ได้สนใจเรา พอเราทำผิดแล้วพ่อแม่สนใจ ก็เลยทำผิดอยู่เรื่อย ๆ เพราะอยากให้พ่อแม่สนใจ เป็นจิตวิทยามุมกลับอย่างหนึ่ง

เวลาเด็กทำความดีเราก็เฉย ๆ ไม่ได้ชมเขา ไม่ได้บอกเขาว่าดี ให้ทำอีก แต่พอถึงเวลาทำแก้วแตก วิ่งพรวดมาดูทั้งบ้านเลย เด็กจะรู้สึกว่า "ที่แท้อย่างนี้พ่อแม่ถึงจะสนใจ" ว่าแล้วก็ทำอีก

เถรี
18-10-2012, 05:41
ถาม : ช่วงนี้...(ไม่ได้ยิน)..
ตอบ : เขาเรียกว่า "มารแกล้ง" พอกำลังใจเริ่มจะดี เขาก็มากวนเราให้พัง เป็นเรื่องปกติ ตั้งสติให้ดี ๆ ให้รู้ไว้เลยว่าพอก้าวเข้าเขตความดี เขาจะขวางเราทุกวิถีทาง เราก็ต้องพยายามตั้งสติระงับอารมณ์ ระมัดระวังอย่าให้รัก โลภ โกรธ หลง โผล่ออกมา

ความโกรธมีได้..ไม่เป็นไร แต่ให้อยู่ภายในอกเรา อย่าให้ลามไปหาคนอื่น โกรธก็อย่าให้ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้โกรธอยู่ในใจเฉย ๆ

เถรี
18-10-2012, 06:07
ถาม : มีอยู่วันหนึ่ง ปีนบันไดไปหยิบของ พื้นรกมาก ทำให้บันไดสะดุด ความรู้สึกก็คือขาขวาแตะที่ปลายเท้าอยู่ตรงบันได ขาซ้ายจะค่อย ๆ ลง ข้าวของค่อย ๆ หล่น อันนี้เทวดาช่วยหรือสติคะ ?
ตอบ : ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน สติสมาธิปกติจะมีความเร็วยิ่งกว่าแสงอีก จะทำให้ทุกอย่างเหมือนกับช้า อย่างเวลาเกิดอุบัติเหตุ บางคนถ้าสติดี ๆ จะเห็นเหมือนกับภาพช้าเลย แต่จริง ๆ แล้วเป็นความเร็วปกตินั่นแหละ เพียงแต่ว่าสภาพความไวของจิตมีมากกว่า ทำให้เห็นว่าทุกอย่างช้า ในเมื่อเราเห็นว่าช้า ก็จะหาทางหลบหลีกป้องกันได้ทัน

เมื่อวานซืนนี้อาตมาก็เกิดเหตุแบบนี้ ต้นชัยพฤกษ์ที่ปลูกที่ลานธรรมเริ่มใหญ่ กิ่งยาวไปกดสายไฟที่เข้าหมู่บ้าน การไฟฟ้าขอตัดมาจะครบปีหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้มาตัดสักที วันนั้นอาตมาว่างก็เลยตัดเอง ตัดไปถึงกิ่งหนึ่งใหญ่ประมาณหน้าแข้ง ขึ้นไปยืนอยู่บนบันไดอะลูมิเนียม ๙ ขั้น น่าจะสูงประมาณ ๓ - ๓.๕ เมตร

พอปลายกิ่งขาด โคนกิ่งที่อาตมาเหนี่ยวอยู่ก็ดีดขึ้น คราวนี้สุดช่วงยืนพอดี ก็เท่ากับตีนพ้นบันไดออกมา พระก็เผ่นกันหมด ด้วยความที่สติไม่ขาด รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็มี ๒ ทาง ทางหนึ่งก็คือ พยายามตะเกียกตะกายจะหยั่งบันได อีกทางหนึ่งก็คือ อาจจะปล่อยมือทิ้งตัวลงไปเลย

แต่อาตมามีทางที่สามดีกว่านั้น ก็คือ ทิ้งเลื่อยแล้วก็โหนตามกิ่งที่ดีดขึ้นไป แล้วปีนลงทางต้น พระเพิ่งจะหลบกิ่งไม้ที่ตกลงไปเสร็จ ก็ถามว่า “หลวงพ่อลงมาได้อย่างไรครับ ?” อาตมาบอกว่า “ก็ปีนขึ้นไปทางโน้น” ปีนลงทางด้านต้น ก็กิ่งงัดจนลอย อาตมาก็พลิกตัวปีนขึ้นไปบนกิ่ง ลงทางด้านโน้นเลย

พระเขาเห็นอาตมาปีนลงมาได้ ก็บอกว่า “ขอโทษครับหลวงพ่อ พวกผมลืมช่วยหลวงพ่อเลย มัวแต่หลบกิ่งไม้กันอยู่” อาตมาบอกว่า “ถ้าหากผมต้องรอให้พวกคุณช่วย ก็คงไม่ได้โตมาจนป่านนี้หรอก..!”

เถรี
18-10-2012, 09:19
ถาม : ผมพาลูกไปใส่บาตร พอใส่บาตรเสร็จ หลวงตาก็ให้ขนมลูกกลับมา จะแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ปล่อยให้หลวงตาติดหนี้สงฆ์ไป

ถาม : ไม่เกี่ยวกับลูกผมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยว..หลวงตาท่านให้ ในเมื่อหลวงตาคิดว่าเป็นของหลวงตา หลวงตาก็ติดหนี้สงฆ์ไป

ถาม : ลูกผมมากินไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก..ถ้าข้องใจ ราคาเท่าไร เราก็ซื้อของใส่บาตรไป ถ้าไม่คาใจก็แล้วไป

ถาม : ใส่เงินก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ที่สำคัญก็คือ ส่วนใหญ่แล้วพระท่านไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เลี้ยงพ่อกับแม่เท่านั้น เพราะถ้าเลี้ยงคนทั่วไป คนใส่บาตรจะขาดศรัทธา ต่อไปศาสนาจะอยู่ไม่ได้

ถาม : เราบอกท่านจะน่าเกลียดไหมครับ ?
ตอบ : น่าเกลียด

ถาม : พอใส่เสร็จท่านก็เรียกลูกมาเอาแอปเปิ้ลไปกิน เอาขนมไข่ไปกิน ลูกผมก็วิ่งเลย เพราะได้ขนม
ตอบ : ไม่เป็นไร หลวงตารับผิดชอบเองได้ เป็นความเฮงของหลวงตาที่ไม่คิดว่าจะเจอ ในเมื่อท่านคิดว่าเป็นส่วนตัวของท่านแล้วให้คนอื่น ท่านก็ติดหนี้สงฆ์เอง

ถาม : ถ้าเราซื้อไปเหมือนเดิม ใส่คืนให้ท่านจะหายไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าติดใจเรา คือเรากลัวเป็นหนี้สงฆ์ ก็คืนไป แต่ท่านเป็นแล้วเป็นเลย ท่านต้องแก้ของท่านเอง ไม่ใช่เราไปแก้ให้ท่าน

แม้กระทั่งพ่อแม่ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้สงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ตามสมควร ก็คือพอดำรงชีพอยู่ได้ แต่มีหลายท่าน ประเภทปลูกบ้านให้แม่อยู่ ๒๐ ล้านบาท ซื้อรถเบนซ์ให้พ่อแม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าอนุญาตแล้ว ถ้าเป็นเงินส่วนตัวของท่านก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเงินสงฆ์นี่เฮงไม่รู้จบเลย..!

เถรี
18-10-2012, 09:51
ถาม : ที่บริษัทตั้งศาลพระพรหมและศาลอากาศเทวดาอยู่ข้างกัน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบริษัท ตั้งอยู่บนพื้นระดับเดียวกัน ศาลพระพรหมมีลักษณะเสาเดียวแต่ฐานใหญ่ เป็นซุ้มโค้งคล้ายที่อยู่หน้าโบสถ์วัดท่าซุงและมีพระพรหมสี่หน้าประดิษฐานอยู่ อยากทราบว่าศาลพระพรหมควรตั้งอย่างไร ? และควรบูชาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ศาลพระพรหมไม่ควรตั้ง ทั่วโลกมีไม่กี่แห่งที่พระพรหมท่านดูแลอยู่

สาเหตุที่ตั้งศาลพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณ เพราะชื่อโรงแรมไปคล้องกับเอราวัณเทพบุตร เขาก็เลยตั้งศาลพระพรหมเพื่อให้ท่านเกรงใจ งานทุกอย่างจะได้สะดวก ถ้าไม่ใช่สถานที่ที่เรารู้ชัดว่าพรหมท่านดูแลอยู่จริง ไม่ต้องตั้งศาลพระพรหม เกินความจำเป็นไปมาก และถ้าไปตั้งลักษณะนั้น เจตนาเหมือนจะใช้งานท่าน เดี๋ยวจะเจริญมากอีก..! เพราะฉะนั้น..ในเมื่อไม่ต้องตั้งก็ไม่ต้องบูชา

ถาม : เมื่อเราตั้งศาลอากาศเทวดาผิดทิศทางและเราไม่สามารถบอกคนอื่นให้เห็นตามได้ เราควรปฏิบัติตัวเพื่อความปลอดภัยของเราอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ปิดหู ปิดตา ปิดปาก

เถรี
18-10-2012, 10:10
ถาม : เนื่องจากดิฉันได้ฟังวิทยุ เป็นรายการธรรมะ มีชายคนหนึ่งเคยบวชเป็นพระอยู่ประมาณ ๑ พรรษา เขาสารภาพว่า ระหว่างที่บวชได้ฉันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกเย็น ปัญหาก็คือ อาจารย์ที่ตอบปัญหาบอกว่า ฉันตอนเย็นยังผิดน้อยกว่าพระที่บิณฑบาตแล้วให้พร เนื่องจากเป็นการแสดงธรรมโดยไม่สมควร พระจะต้องอาบัติหนักกว่าการฉันตอนเย็น และพระยืนให้พรแล้วญาติโยมนั่งรับพรยิ่งไม่สมควร เพราะการยืนเป็นการให้เกียรติ การที่โยมนั่งรับพรยิ่งไม่เหมาะสม โยมควรจะยืนรับพรจึงจะถูก ถ้าพระนั่งโยมต้องนั่ง พระยืนโยมต้องยืน ไม่เช่นนั้นพระจะต้องอาบัติ ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านนั้นกล่าวผิดหรือถูกประการใดคะ ?

ตอบ : พระอาจารย์ท่านนั้นอยู่วัดไหน ไปให้ห่าง ๆ อย่าไปใกล้วัดนั้น..!

การฉันอาหารในเวลาวิกาล คือหลังเที่ยงไปแล้ว เขาปรับอาบัติปาจิตตีย์ ส่วนพระที่แสดงธรรมกับผู้ที่นั่งอยู่ เขาปรับอาบัติแค่อาบัติทุกกฎ พูดง่าย ๆ ว่าปรับเท่ากับจับเงินนั่นแหละ แต่นี่ดันบอกว่าฉันอาหารเย็นอาบัติน้อยกว่า ก็เจริญมากแล้ว..!

ความจริงการที่ญาติโยมนั่ง บ้านเราถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความเคารพ และการที่พระให้พร จริง ๆ แล้วไม่ใช่การแสดงธรรม

ถ้าเป็นการแสดงธรรม เขาบอกว่าภิกษุนั่งอยู่ในที่ต่ำกว่า ไม่ให้แสดงธรรมแก่ผู้ที่นั่งสูงกว่า ภิกษุไปในทาง ไม่ให้แสดงธรรมแก่ผู้นอกทาง ภิกษุเดินไปข้างหน้า ไม่ให้แสดงธรรมแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลัง ฯลฯ เหล่านี้ท่านตั้งเจตนาเอาไว้เพื่อให้บุคคลเคารพในธรรม ดังนั้น..ในบ้านเราการนั่งลงไหว้ถือว่าเป็นการเคารพที่สุดแล้ว ดีไม่ดีก็กราบกับพื้นตรงนั้นเลย

ถ้าเป็นการแสดงธรรม ตามการตีความของอาตมาถือว่าแสดงได้ เพราะโยมแสดงออกซึ่งความเคารพ เพราะว่า อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง แปลความว่า ปกติของผู้อ่อนน้อมกราบไหว้ต่อผู้ทรงศีลนั้น วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ ย่อมเป็นผู้เจริญด้วยธรรม ๔ ประการคือ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ถ้าเขาถือว่าเป็นการแสดงธรรม ถ้าเห็นว่าญาติโยมให้ความเคารพก็แสดงไปเถอะ แต่เจตนาที่แท้จริงของเราก็คือให้พร

คำว่าให้พร คือ ตั้งใจว่าสิ่งใดก็ตามที่ญาติโยมตั้งความปรารถนาไว้ ถ้าไม่เกินวิสัยแล้ว ขอบารมีพระช่วยสงเคราะห์ให้ประสบความสำเร็จด้วย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่การแสดงธรรม เมื่อสรุปลงมาแล้ว ถ้ารู้ว่าวัดนั้นอยู่ที่ไหนก็ไปห่าง ๆ ถ้าเห็นท่านมาก็หยิบขันข้าวหนีไปใส่วัดอื่น..!

เถรี
18-10-2012, 10:15
ถาม : เพราะเหตุใดพระจึงต้องถือตาลปัตรเวลาให้ศีลญาติโยมครับ ?
ตอบ : บังหน้ากันสาว ๆ ปิ๊งพระ..! ที่มีตาลปัตรบังหน้า เพื่อไม่ให้เก้อเขิน เพราะถ้าพระเขินขึ้นมา มักนึกไม่ออกว่าจะสวดอะไรต่อไป ตกม้าตายกลางธรรมาสน์มาเยอะแล้ว

ในสมัยแรกตาลปัตรมีไว้เพื่อตั้งใจบังหน้า ป้องกันไม่ให้พระและโยมเก้อเขินต่อกัน สมัยหลังมีการปรับใช้เป็นพัดก็ได้ ใช้บังแดดก็ได้ แล้วกลายเป็นเครื่องหมายประดับยศด้วย จึงมีการทำให้ตาลปัตรวิจิตรพิศดารกันมากขึ้น แต่เจตนาดั้งเดิมจริง ๆ ก็เพื่อป้องกันการเก้อเขินระหว่างพระกับโยม

เถรี
18-10-2012, 11:20
ถาม : เคยนำรูปหล่อทองเหลือง จำพวกสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกเป่ายันต์เกราะเพชร อยากทราบว่าอานุภาพใดจะถูกลงในสิ่งเหล่านี้ครับ ?
ตอบ : ก็พุทธานุภาพสิวะ..!

ถาม : มีผลเหมือนวัตถุมงคลที่เข้ายันต์เกราะเพชรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เรื่องของพุทธานุภาพอยู่ที่เราอธิษฐานเอา

ถาม : หากนำรูปหล่อทองเหลืองที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษกนี้ ไปหล่อพระพุทธรูปจะเป็นการสมควรหรือไม่อย่างไร ?
ตอบ : ไม่สมควร..แต่ถ้าตั้งใจจะหล่อให้เป็นพระพุทธรูปก็ทำได้ เพราะรูปพระพุทธรูปคนเห็นแล้วให้ความเคารพมากกว่า ส่วนบรรดารูปสัตว์ต่าง ๆ ที่เอาพิธีนั้น คนที่ไม่รู้ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นวัตถุมงคลหรือเปล่า ? ส่วนคนที่รู้อย่างเรา รู้ว่าสิ่งนี้ประกอบด้วยพุทธานุภาพแล้วเอาไปหลอม แล้วจะทำใจได้หรือเปล่า ?

เถรี
18-10-2012, 11:23
ถาม : วันงานพุทธาภิเษกพระกริ่งพระเจ้าพรหมมหาราช และดาบพระเจ้าพรหมมหาราช ที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๕ หลวงพ่อกำลังจะพูด แต่มัคคนายกพูดแทรกขึ้นมา หลวงพ่อท่านจึงกลับ โดยที่ญาติโยมรอฟังท่านพูดอยู่ครับ ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อครับว่า ท่านจะกล่าวอะไรที่สำคัญในวันงานวันนั้นครับ ?
ตอบ : จะบอกว่ากลับแล้วจ้ะโยม ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเอาได้ว่าไปไม่ลามาไม่ไหว้ คนที่มีมารยาทต้องลาก่อน พอดีมัคคนายกเขาพูดแทรก อาตมาก็กลับเลย..!

เถรี
18-10-2012, 11:27
ถาม : ถ้าเราเป็นพระภิกษุ เกิดอาพาธแล้วไปรักษาที่โรงพยาบาล ที่โรงพยาบาลนั้นมีกองทุนรักษาพยาบาลภิกษุและสามเณรฟรี แล้วเราไปรักษา อย่างนี้ถือว่าเราติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ?
ตอบ : โดนอาบัติปาราชิกไปก่อนหรือเปล่า ? ถ้าโดนอาบัติปาราชิกไปก่อนก็ติดหนี้สงฆ์เพราะไม่ใช่พระแล้ว ถ้าไม่โดนอาบัติปาราชิกไปก่อนก็รักษาฟรีได้ ก็ไม่ได้ติดหนี้สงฆ์

ถาม : แล้วสังฆาทิเสสไหมครับ ?
ตอบ : นั่นยังถือว่าเป็นพระอยู่ แต่ไม่เต็มองค์

เถรี
18-10-2012, 11:38
ถาม : ใบฎีกาหรือเอกสารเกี่ยวกับงานบุญ อ่านแล้วรวบรวมขายให้กับซาเล้งได้ไหมคะ ? หรือจะต้องทำอย่างอื่นเพื่อไม่ให้เกิดโทษ ?
ตอบ : ได้..แต่ถ้ามีรูปพระอยู่ด้วยก็แยกออกมา แล้วจำเริญด้วยไฟหรือน้ำตามถนัด โบราณเขาใช้คำว่า จำเริญ ก็คือ เผาหรือลอยน้ำไปก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมลอยน้ำ เพราะเห็นว่าน้ำเย็นกว่า

หลายวัดพิมพ์ฎีกาแบบไม่เกรงใจว่าโยมจะตกนรก เล่นพิมพ์สี่สีเต็มที่เลย ข้างบนเป็นรูปสมเด็จองค์ปฐม ซ้ายขวาเป็นรูปหลวงปู่ปานและหลวงพ่อวัดท่าซุง ต่ำลงมาเป็นรูปท่านปู่ท่านย่า พูดง่าย ๆ คือ ไหน ๆ แล้วก็ให้คนรับลงอเวจีไปเลย จะได้ไม่ต้องมาทำบุญกันอีก

ถาม : เกี่ยวกับสีด้วยหรือครับ ขาวดำโทษเบากว่าหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นรูปพระไม่ควรทั้งนั้น แต่หลายวัดทำภาพสี่สีเลย

เถรี
18-10-2012, 11:47
ถาม : มีเคล็ดลับในการลดทิฐิมานะอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ไปเกิดใหม่..!

ถาม : จะลดได้หรือครับ ?
ตอบ : ได้..พอเกิดใหม่เป็นเด็ก ขืนมีทิฐิมากผู้ใหญ่ก็ตบบ้องหูเอา..!

ถาม : เอาชาตินี้ก่อน..ใจร้อนครับ
ตอบ : การจะลดทิฐิมานะนั้น อันดับแรก..เราต้องเห็นโทษก่อน ว่าทิฐิมานะทำให้เราโดนร้อยรัดติดกับวัฏสงสาร ไม่สามารถจะหลุดพ้นไปได้ อันดับที่สอง..ต้องเห็นคุณประโยชน์ว่า ถ้าเราลดทิฐิมานะแล้ว จะเกิดประโยชน์แก่ตัวเราและผู้อื่นอย่างไร โดยเฉพาะในส่วนของอปจายนมัย คือ การอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น เป็นการได้บุญที่แทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

ในเมื่อเราเห็นโทษและเห็นประโยชน์แล้ว ก็จะค่อย ๆ พยายามลด ละและเลิก ไปเอง แต่ถ้าเราไม่เห็นโทษและเห็นประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วก็แบกไปอย่างเต็มที่ จะว่าไปแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ตำหนิใครไม่ได้ เพราะว่าทิฐิมานะเป็นสังโยชน์ใหญ่และละเอียดมากด้วย ต้องมีกำลังความดีสูงมาก จึงจะตัดละได้เด็ดขาด

ถ้าใครตั้งใจลดตรงจุดนี้ สติสมาธิและปัญญาต้องสมบูรณ์พร้อม ถ้าไม่ได้สมบูรณ์พร้อมถึงขนาดนั้น ก็ต้องค่อย ๆ ลด ๆ ค่อย ๆ ละ ไปทีละเล็กละน้อย ถ้าตั้งใจทำ ท้ายสุดก็ทำได้ แต่ถ้าจะเอาทีเดียวเลยต้องดูว่ากำลังเราสู้ไหวไหม ?

เถรี
19-10-2012, 19:10
ถาม : จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไรว่าการมีลูกเป็นทุกข์ ?
ตอบ : อย่าไปเสียเวลาอธิบาย ถ้ามัวเสียเวลาอธิบายอยู่ ก็คงไม่ได้ไปบวชหรอก

ถาม : ถ้าเราทำผิดกับพ่อแม่ ?
ตอบ : ถ้าท่านยังอยู่..ไปขอขมาท่านก็จบแล้ว

ถาม : ทำกับพ่อแม่จะได้รับกรรมทันตาหรือคะ ?
ตอบ : มีลูกเมื่อไรก็เจอเมื่อนั้น..!

เถรี
19-10-2012, 20:02
พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านแม่จามเทวีเป็นราชธิดาของอาณาจักรละโว้ (ลวะปุระในสมัยก่อนคือละโว้ บันทึกของจีนเขียนว่า เสียมหลอฮกก๊ก หลอฮกก็คือละโว้)

สมัยก่อนละโว้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม พระองค์ท่านใช้เวลาเดินทาง ๗ เดือน จากละโว้ไปถึงลำพูน หรือเมืองหริภุญไชยซึ่งฤๅษีวาสุเทพกับเพื่อน ๆ ฤๅษีช่วยกันสร้างเมืองไว้ก่อนแล้ว

ฤๅษีวาสุเทพเองเท่ากับเป็นพ่ออุปถัมภ์ของพระนางเจ้าจามเทวี เพราะว่าเก็บพระองค์ท่านได้จากการที่เหยี่ยวโฉบเอามา จะเอาเด็กไปเป็นอาหาร ฤๅษีวาสุเทพจึงไล่เหยี่ยวไป รับเด็กเอาไว้เลี้ยง จับยามสามตาดูว่าจะต้องส่งเด็กไปเป็นราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้ จึงทำแพลอยน้ำไป อาศัยเทวดาช่วยสงเคราะห์ พาไปขึ้นที่ละโว้

ทางด้านเจ้ากรุงละโว้เห็นว่าเด็กเป็นคนมีบุญญาธิการมาก จึงแต่งตั้งให้เป็นพระราชธิดา ตอนหลังต้องออกรบแทนเจ้ากรุงละโว้ จนได้ชัยชนะศึกกลับมาก็เป็นที่ไว้วางใจ พอเขาขอพระองค์ท่านไปครองเมืองหริภุญไชย จึงเต็มใจยกให้ ขนเอาช้างม้าวัวควาย ข้า ทาส ช่างเงินช่างทองไปเยอะแยะ ที่แน่ ๆ คือ เพิ่งแต่งงานไม่นานกับพระเจ้ารามราช เดินทาง ๗ เดือน ไปถึงไม่กี่วันก็คลอดลูกเลย

ท่านแม่จามเทวีมีกุศโลบายในการดึงชาวบ้านด้วยการสร้างวัดตามสถานที่ต่าง ๆ ตามที่พักเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งไปถึงหริภุญไชยแล้วก็ยังสร้างวัดสี่มุมเมือง ได้เอาพระแก้วเสตังคมณี กับพระรอดหลวงไปจากละโว้ด้วย"

เถรี
19-10-2012, 20:06
"ในส่วนของพระรอด สันนิษฐานว่าท่านสร้างแจกทหารตอนสมัยรบกับขุนหลวงวิรังคะ บาลีเขาเรียกชาวมิลักขะ แปลว่าป่าเถื่อนล้าหลัง แต่ความจริงก็คือราชาของพวกลัวะ

พระรอดทำให้ทหารแคล้วคลาดปลอดภัย นอกจากนี้ยังสร้างพระคงเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ

พระแม่เจ้าอายุยืนมาก นอกจากสร้างหริภุญชัยแล้ว ยังช่วยสร้างเขลางค์นครให้พระโอรสไปปกครอง ซึ่งปัจจุบันก็คือเมืองลำปาง ตอนท้ายสละราชสมบัติออกบวชเป็นแม่ชี สวรรคตเมื่อพระชนมายุ ๙๒ ปี"

เถรี
19-10-2012, 20:14
พระอาจารย์เล่าว่า "ทางสายวัดเขาอ้อจะทำพิธีหุงข้าวเหนียวดำ คือ พิธีกินเหนียวกินมันของเขา จะมีหุงข้าวเหนียวดำกับหุงน้ำมันงา น้ำมันงานี่เสกจนแข็งเป็นก้อน แล้วให้ลูกศิษย์กิน ข้าวเหนียวเขาถือเคล็ดคำว่าเหนียว

ปัจจุบันนี้เหลืออาจารย์ประจวบ คงเหลือ อยู่รายหนึ่ง ส่วนใหญ่ลูกศิษย์วัดเขาอ้อมักจะใช้ชีวิตฆราวาสจนโชกโชนแล้วค่อยมาบวช เขาจะมีสายพระกับสายฆราวาส บางอย่างที่พระทำแล้วอาจจะผิดวินัย เขาก็จะให้ลูกศิษย์สายฆราวาสทำ แต่ลูกศิษย์สายฆราวาสพอท้าย ๆ แล้วก็มักจะมาบวช

อย่างหลวงปู่นำ วัดดอนศาลา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยรับเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ท่านเป็นฆราวาสจนกระทั่งอายุ ๗๐ ปีแล้วกระมัง ถึงได้มาบวช เป็นเจ้าอาวาสอยู่ไม่กี่พรรษาก็มรณภาพ

ทางด้านนั้นเขาไม่ถือพรรษา เขาถือความสามารถว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? ถ้าเก่งจริงก็ให้เป็นเจ้าอาวาสไปเลย"

เถรี
19-10-2012, 20:22
"ตอนนี้ทางวัดเขาอ้อกำลังตามลูกชายของท่านอาจารย์ รศ.ดร.สมพร แสงชัยอยู่ อยากให้ไปเรียนวิชาสายนั้นแล้วเป็นเจ้าอาวาส เพราะเขาไปแล้วใช้ทิพจักขุญานดู เจอพระเครื่ององค์หนึ่งเกิดชอบใจ ไปปลุกหลวงปู่กลั่นตั้งแต่ตอนตี ๕ บอกว่าเห็นภาพพระเครื่ององค์นี้ หน้าตาแบบนี้ ช่วยหาให้หน่อย

หลวงปู่กลั่นบอกว่าหมดไปนานแล้ว เขาบอกว่ายังมี หลวงปู่จึงต้องให้ลูกศิษย์ช่วยค้นทั้งกุฏิ ปรากฏว่าเจอจริง ๆ มีเหลืออยู่องค์เดียว ก็เลยต้องให้เขาไปเพราะเขารู้จริง และยังบอกว่าให้ช่วยมาเรียนวิชาหน่อย จะได้เป็นเจ้าอาวาสต่อ แต่คราวนี้ท่านไม่เอา..หนีเลย สายนั้นเขาชอบคนที่รู้จริงลักษณะนี้ เขาบอกว่าเรียนวิชาแล้วจะทำได้ขึ้นมาก

สมัยก่อนตอนที่หลวงปู่กลั่นอยู่ อาตมาก็จะแวะไปทุกครั้งที่ลงพัทลุง แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้ว ไม่รู้จะคุยกับใคร พระอาวุโสสายใต้ตอนนี้มีหลวงพ่อคง วัดบ้านสวน หลวงพ่อคล้อย วัดภูเขาทอง

แต่คนรุ่นหลัง ๆ สมัยนี้ความอดทนไม่ค่อยมี วิชาไหนยากก็ไม่เอา ไม่มีความพยายามเลย"

เถรี
22-10-2012, 20:54
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานท่านแบงค์ (พระทรงพล กิตฺติปญฺโญ) พระของวัดท่าขนุน พาครอบครัวมาทำบุญ เนื่องในโอกาสที่น้องสาวเอารถไปชนเละมา..! น้อง ๆ ไม่เคยเข้าวัดเข้าวาอะไรเลย มาแล้วทำตัวไม่ถูก เก้ ๆ กัง ๆ เวลาอยู่ต่อหน้าพระ เขาเอารูปถ่ายมาให้ดู เพิ่งออกรถมาได้เดือนกว่า ๆ รถชนจนไม่มีชิ้นดี ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยอีกต่างหาก แต่คนกลับไม่เป็นอะไรเลย

เขาบอกว่าในรถมีพระปิดตาวัดท่าขนุนอยู่องค์เดียว อาตมาเลยบอกว่า "ไม่ต้องบอกว่ารุ่นไหน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวราคาจะแพงกว่านี้..!" ต้องบอกว่าเป็นกุศโลบายในการนำคนเข้าวัดอย่างหนึ่ง พระท่านถึงสงเคราะห์ให้ขนาดนั้น ปกติแล้วเวลารถชน ไม่ต้องหนักขนาดนั้นหรอก ถ้าไม่ได้คาดเข็มขัดก็มักจะบาดเจ็บทุกราย แต่นี่ชนจนรถหมดสภาพ คนกลับไม่เป็นอะไร แล้วท้ายที่สุด คนที่ไม่เคยเข้าวัดเข้าวาก็เข้าวัด อาจจะเป็นเพราะดีใจที่รอดตาย..!

เมื่อเข้าวัดมา..การทำความดีขั้นพื้นฐานคือทาน ซึ่งได้ทำไปแล้ว ต่อไปก็เหลือแต่ศีลกับภาวนา การทำความดีแม้ว่าจะเป็นเพียงขั้นพื้นฐานก็ตาม เท่ากับเป็นการหว่านเพาะเมล็ดความดีขึ้นในชีวิตของเขา ถึงเวลาก็ย่อมออกดอกออกผล ส่งผลดีให้ในภายภาคหน้าเอง เพราะว่าความดีความชั่วจะทำโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เมื่อถึงเวลาก็ย่อมส่งผลให้ทั้งนั้น"

เถรี
22-10-2012, 21:06
ถาม : อย่างไรเรียกว่ามีการประมาณในการกิน ?
ตอบ : กินเพื่ออยู่ ถ้าพิจารณาแบบพระ เขาบอกว่า จะไม่กินเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย ไม่กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่กินเพื่ออวดร่ำอวดรวย ไม่กินเพื่อยังกิเลสให้เกิดขึ้น ภาษาบาลีเขาว่า นะ มัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ กินเพื่อประดับ กินเพื่อตกแต่ง

พวกนี้เป็นประเภทกินเพื่ออวดร่ำอวดรวย ไม่ใช่คาร์เวียร์ไม่กิน ไม่ใช่ไวน์อายุร้อยปีไม่กิน ท้ายที่สุดออกมาก็เป็นสิ่งปฏิกูลเหมือนกัน ลองถามท่านกอล์ฟสิ..รายนั้นมักจะมีแนวคิดแปลก ๆ ตอนที่เขาอวดกันว่ากินไวน์ขวดละแสน ท่านกอล์ฟบอกว่า ถ้ากินเข้าไปแล้วควรจะอั้นไว้สัก ๔ - ๕ ชั่วโมง จะได้คุ้มกับราคาหน่อย..!

ถาม : ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเรากินเพราะต้องกิน หรือกินเพราะติดในรสอาหาร ?
ตอบ : อาตมาเตือนพระเณรไว้ว่า ตักช้อนแรกไปแล้ว ถ้าตักซ้ำช้อนที่สองในอาหารอย่างเดิมนี่ ให้คิดแล้วว่าเรากินเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ หรือว่ากินเพราะอร่อย ? พูดง่าย ๆ ก็คือ กินให้ร่างกายอยู่ได้ หรือกินเพราะตามใจกิเลส

อย่างอาตมาก็จะตักไล่ไปเรื่อย กว่าจะครบอย่างละช้อนก็แทบตายแล้ว ถ้าไปจ้วงซ้ำสองเมื่อไรต้องนึกแล้วว่ากินตามใจกิเลสหรือเปล่า ? เพราะอาหารอาจจะอร่อยจึงทำให้เราตักเพิ่ม

ถาม : ตอนลดความอ้วน ใช้สูตรไม่กินอะไรเลย ๓ วัน หิวก็จิบน้ำอ้อยเอา น้ำอ้อยแค่ครึ่งลิตรก็อยู่ได้ทั้งวัน ไม่หิว แสดงว่าที่เรากินอยู่ทุกวันนี่สนองกิเลสล้วน ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จะไปยากอะไรก็ลองลดเหลือมื้อเดียว ดูซิว่าเราจะอยู่ได้ไหม ? ถ้าอยู่ได้แสดงว่าที่ผ่านมากิเลสหลอกเรามาตลอด

เถรี
22-10-2012, 21:11
สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงสอนว่า ถ้าช่วงเย็นหิวขึ้นมา ให้เอาน้ำร้อนหนึ่งแก้ว ใส่น้ำตาล ๑ ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วฉันลงไป แค่นั้นก็พอแล้ว ท่านบอกว่าน้ำร้อนจะทำให้กระเพาะขยายตัว ไม่บีบรัด ทำให้ไม่หิว น้ำตาลไปเพิ่มสารอาหารให้ ร่างกายจะได้ไม่เรียกร้องอีก

แต่อาตมาเคยชินกับน้ำเปล่า เพราะว่าหลวงพ่อทวน โฆสโฏ วัดตีนตก ท่านพาพระลูกพระหลานไปธุดงค์ ย่ามของท่าน ๒ ใบ ตอนนั่งพักอาตมาลองไปขอยกดู ใบเดียวยังยกไม่ขึ้นเลย..! พอท่านล้วงออกมาให้ดู ปรากฏว่ามีน้ำตาลอยู่ ๑๓ กิโลกรัม..! ท่านแบกไปเผื่อคนอื่นทั้งนั้น ตัวท่านเองไม่ได้ฉันหรอก พระที่ตามไป ๗ - ๘ รูป หลวงพ่อทวนท่านแบกไปเลี้ยงทั้งหมด อาตมาก็เลยเห็นโทษว่า ถ้าต้องแบกเยอะขนาดนี้ ไม่ไปยุ่งกับของกินดีกว่า

เถรี
22-10-2012, 21:37
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานนี้ อาจารย์สมชาย วัดเกาะแก้ว อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี โทรศัพท์มาตอนอาตมาอยู่เขตสุพรรณบุรีพอดี ท่านบอกว่า “ปีนี้โยมอยากจะไปรับยันต์เกราะเพชรกันจำนวนมาก ผมสู้ค่ารถไม่ไหว ขออนุญาตจัดให้โยมรับยันต์กันที่วัดได้ไหมครับ ?”

อาตมาบอกว่า “ได้สิ..ปกติผมก็อยากให้รับอยู่ที่วัดหรือที่บ้าน ไม่อยากให้มาวัดผมหรอก วัดผมเล็กเกินไป คนไปมากก็เกะกะ ไม่มีที่พอจะรองรับ” ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นถึงเวลาแล้วจะเปิดการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ตให้โยมฟัง แล้วก็ปฏิบัติตาม

ท่านถามว่าต้องมีบายศรีไหม ? อาตมาก็เรียนท่านไปว่า ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง เตรียมบายศรีไว้ด้วยก็ดี เพราะเท่ากับว่าเราตั้งใจบูชาพระจริง ๆ เมื่อถึงเวลาก็บูชาพระรวมกันด้วยเครื่องบายศรีนั้น หลังจากนั้นตอนรับ ต่างคนก็ใช้ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม ถ้ามีโยมที่ท้องมาก็เตรียมให้ลูกในท้องอีกชุดหนึ่ง รู้สึกว่าท่านโล่งใจมากที่แก้ปัญหาได้

ส่วนใหญ่แล้วพระจะมีญาติโยมติดตามมาก แต่พอติดตามแล้วท่านไปแบกภาระแทนเขา แทนที่จะจัดรถแล้วให้โยมเขาจ่ายค่ารถกันเอง ท่านก็ไปเหมารถรับโยมไป พอคนมาก ๆ เข้า ไม่มีเงินค่ารถก็เดือดร้อน

ญาติโยมทางทองผาภูมิก็เหมือนกัน มีต่อว่ามาหลายครั้ง ว่าเมื่อไรอาตมาจะพาเขาไปเที่ยววัดนั้นวัดนี้บ้าง อาตมาบอกว่าโยมอยากไปก็ไปเอง ถ้าไม่ใช่งาน อาตมาไม่ไปวัดใครหรอก พวกเขาเคยชินกับระบบที่บรรดาเจ้าอาวาสพาไปทำบุญวัดนั้นทำบุญวัดนี้"

เถรี
22-10-2012, 21:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาตั้งใจจะทำใต้ฐานของสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกเป็นห้องสมุดประชาชน คนไปวัดหรือชาวบ้านทั่วไปสามารถเข้าไปอ่านหนังสือได้ ให้อ่านอย่างเดียว ไม่ให้ยืม

จะตั้งคอมพิวเตอร์ไว้สัก ๖ เครื่อง ต่ออินเตอร์เน็ตให้ ห้ามเล่นเกม ห้ามดูหนัง จะโหลดความรู้อะไรไปทำได้ ลักษณะให้ชาวบ้านใช้ฟรี ทางด้านหน้ากับรอบ ๆ ด้านข้าง จะตั้งเป็นซุ้มสำหรับขายของ เหมือนตลาดชุมชน ทองผาภูมิมีของดีอะไรก็เอาไปตั้งขายรวม ๆ กันที่นั่น

คิดว่าจะให้เขาตั้งฟรีไปเลย แม้กระทั่งซุ้มขายของทางวัดก็จะทำให้ เพื่อจะได้หน้าตาเหมือน ๆ กัน อยู่ในแถวแนวเดียวกัน อย่างไรต้องมีคนไปแวะนมัสการพระอยู่แล้ว ในเมื่อจะไปกราบพระ อย่างน้อย ๆ ของวัดก็ต้องมีดอกไม้ธูปเทียนจำหน่าย คนอื่นอาจจะไปจำหน่ายพวกน้ำดื่ม พวกของที่มีชื่อเสียงของทองผาภูมิ เช่น ผลไม้ตามฤดูกาล ปลาส้ม เห็ดโคน เป็นต้น

ตอนนี้สั่งช่างให้เตรียมเทพื้นคอนกรีตเต็มพื้นที่โดยรอบ จำนวนหลายไร่นะ ความหนาเท่ากับถนนคอนกรีตเข้าหมู่บ้าน เพื่อที่ว่าสิบล้อจะได้เข้าไปขย่มเล่นได้ ถึงเวลาก็อาศัยเป็นลานจอดรถได้ อย่างน้อย ๆ ก็จอดได้อีกหลายคัน

คราวนี้ทางวัดท่าขนุนมีที่อีกผืนหนึ่งอยู่เกือบ ๒ ไร่ ที่ฝั่งตรงข้ามวัด ว่าจะจัดในลักษณะของพื้นที่พักของผู้เดินทาง เดี๋ยวว่าจะไปติดต่อทางอบต.ท่าขนุน เพราะเป็นเขตของอบต. ปัจจุบันยกขึ้นเป็นเทศบาลตำบลท่าขนุนไปแล้ว"

เถรี
22-10-2012, 21:59
"ว่าจะติดต่อขอเจาะทางจากพื้นที่ของวัด ตรงไปที่รอยพระพุทธบาทเลยจะได้ไหม ? อาตมาจะเป็นคนสร้างถนนเอง ๒ ข้างถนนอนุญาตให้ทางเทศบาลตำบลท่าขนุน หาคนมาตั้งซุ้มขายของได้ แต่ให้รักษาความสะอาดให้กับวัดด้วย ส่วนทางด้านนี้เป็นเขตของเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เดี๋ยวให้นายกเทศมนตรีประเทศฯ หาของมาขาย คุณต่างคนต่างเอาฐานเสียงของคุณมาก็แล้วกัน แต่รักษาความสะอาดให้วัดด้วย

คาดว่าเขาน่าจะตกลง เพราะเขาไม่ต้องลงทุนอะไร แต่อาตมาสิ..หมดไปหลายต่อหลายล้านแล้ว แต่ว่าทางฝั่งนั้นค่าน้ำค่าไฟจะให้เทศบาลตำบลท่าขนุนจ่าย ฝั่งนี้ค่าน้ำค่าไฟให้เทศบาลตำบลทองผาภูมิจ่าย ผลงานกลายเป็นของคุณ ให้ไปอ้างได้เลย “นี่ผมทำตลาดชุมชนมา เพื่อพี่น้องจะได้ไปตั้งร้านขายของได้” แต่ความจริงเป็นฝีมือพระเสีย ๙๙ เปอร์เซ็นต์

มุมมองที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนนี่ ถ้าไม่ใช่พระที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อละจริง ๆ ทำไม่ได้ จะต้องมีพวกกู ของกู

ห้องสมุดจะติดเครื่องปรับอากาศให้ คุณจะไปนั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะก็ได้ อาตมาไม่ได้ว่าอะไร หายเหนื่อยแล้วค่อยเดินทางต่อ ตั้งใจว่าจะขนเอาหนังสือที่พอมีเหลืออยู่บ้าง ที่ยังไม่ได้ให้ชาวบ้านเขาไปหมด เอาไปใส่ตู้ หาใครสักคนที่รู้งานจัดระบบสักหน่อย ถ้าไม่มีเดี๋ยวให้แม่ชีจัดกันมั่ว ๆ ไปก่อน แต่กว่าจะมั่วได้ต้องอ่านทุกเล่ม ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะเอาเล่มไหนใส่ตรงไหน"

เถรี
23-10-2012, 20:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่ออาทิตย์ที่แล้วอาตมาลงไปภูเก็ต ญาติโยมที่นั่นไม่ได้เจอหน้าอาตมาปีกว่าแล้ว เขาจึงไม่ยอมให้พัก แต่ละคนขออยู่นาน ๆ อาตมาก็นั่งตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงเช้าจนถึง ๒ ทุ่ม ต้องหลับตาพูดแล้ว..ไม่ไหวแล้ว..แรงจะนั่งก็ยังไม่มี แต่น่าชื่นใจตรงที่ว่า ไม่ค่อยได้ลงไปก็จริง แต่เขาปฏิบัติได้ผลกันดีมาก

อย่างภรรยาของทิดรัตน์ ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยชอบที่สามีเข้าวัด อาจจะเป็นวาระบุญของเขาก็ได้ พอภรรยาทิดรัตน์ไปนั่งปฏิบัติ สภาพจิตเห็นธรรม เขาเห็นว่าชีวิตเราไม่มีแก่นสารขนาดนี้เลยหรือ ? วันหนึ่ง ๆ ตื่นขึ้นมาก็ทำนั่นทำนี่ ทำมาหากินเสร็จ หมดไปอีกวันหนึ่งแล้ว พอพิจารณาลึกไป ๆ ท้ายสุดก็เหลือตัวคนเดียว คนอื่นก็ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอด จึงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เพราะปีติเกิด

ลักษณะแบบนี้ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว อีกหลายคนก็อยู่ในลักษณะที่ปฏิบัติแล้วมีความก้าวหน้ามาก อาตมาไม่ได้ลงไปเป็นปีก็จริง แต่โยมเขาเหมือนกับคนหิว ถึงเวลาจึงกินของเขาเต็มที่ ทำให้ได้ผลในส่วนของเขาไปเอง"

เถรี
23-10-2012, 20:39
"บางทีจึงรู้สึกว่า การที่พวกเรามีครูบาอาจารย์ ได้เจอหน้ากันบ่อย สู้คนที่ไม่ค่อยได้เจอไม่ได้ มีหลายท่านตั้งคำถาม อย่างเช่นว่า “รบกวนท่านแสดงธรรมให้ฟังด้วยเถอะครับ” อาตมาบอกว่า “ไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงว่ะ ที่พวกคุณรู้มาก็มากเกินไปแล้ว เหลือแต่ว่าทำให้เกิดประโยชน์จริง ๆ เท่านั้น แสดงธรรมเพิ่มเข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ตราบใดที่ของเก่าเรายังทำไม่ได้ ของใหม่เราก็ตะกายไม่ถึง"

มีบางท่านก็บอกว่า ให้ช่วยแสดงธรรมที่ทำให้เขาเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงด้วย อาตมาบอกว่านอกจากพระพุทธเจ้าแล้วสงสัยว่าจะยาก การที่เราจะเลื่อมใสพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ต้องเกิดจากการที่เราประพฤติปฏิบัติแล้วเกิดผลแก่ตัวเอง ความเลื่อมใสมั่นคงต่าง ๆ จึงจะเกิดขึ้นได้

ถ้าจะให้อาตมาแสดงธรรมแล้วญาติโยมเกิดความเลื่อมใสอย่างแท้จริง จะต้องบรรลุอย่างน้อยพระโสดาบันขึ้นไป ก็คงจะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่อาตมาหรอกที่ทำอย่างนั้นได้"

เถรี
23-10-2012, 20:42
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : การขอขมาพระรัตนตรัยให้ไปขอต่อหน้าพระประธาน ไม่ใช่ไปขอต่อหน้าตัวตนของเขา ล่วงเกินพระรัตนตรัยต้องไปขอขมาพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาขอขมาอาตมา

ถ้าอาตมาถือสาหาความก็ไล่เตะไปตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ไล่เตะก็แปลว่าไม่ถือโทษหรอก..!

เถรี
23-10-2012, 20:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "คัมภีร์พระเวทของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร จะมีอยู่ ๖ เล่มด้วยกัน เรื่องของเวทมนต์คาถา เลือกบทที่เราชอบใจขึ้นมาบทหนึ่ง แล้วทำให้เกิดผล ถ้าทำแล้วได้ผล บทอื่น ๆ จะใช้กำลังเท่ากัน ก็แค่เปลี่ยนตัวคาถา เปลี่ยนกำลังใจในการมุ่งให้คาถาสำเร็จผลเท่านั้น

แค่ซักซ้อมให้คล่องตัว ก็เอาเสียคาถาหนึ่ง อย่างที่ภาษิตจีนเขาว่า "ไม่กลัวว่ารู้พันกระบวนท่า เกรงว่าชำนาญเพลงเดียว" คนที่รู้จักพันกระบวนท่า ถ้าไม่มีความชำนาญ เราสู้ได้สบาย แต่ถ้าเขาเก่งเพลงเดียวนี่เราแย่ เพราะเขาถนัดที่สุด คล่องตัวที่สุด

คนใช้คาถาก็เหมือนกัน เลือกบทที่เราชอบ จากนั้นก็ว่าให้ช่ำใจไปเลย นึกเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น คิดเมื่อไรก็ทำได้เมื่อนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็จะรู้จริง ในเมื่อรู้จริง ถึงเวลาก็สามารถใช้งานได้ผลจริง"

เถรี
23-10-2012, 21:01
ถาม : พระโสณะเถระที่กลายเป็นผู้หญิง ตอนหลังกลับเป็นผู้ชาย..?
ตอบ : ท่าจะบ้า..! พระโสณะเถระอยู่หลังพุทธกาลมา ๓๐๐ กว่าปี เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะไปเรื่อย อันนี้คุณรู้มากเกินไปจนสับสน

โสเรยยะเศรษฐี..ไม่ใช่พระโสณะ เนื่องจากพระมหากัจจายนะประกอบไปด้วยมหาปุริสลักษณะหลายประการ มีความงามเป็นพิเศษ โสเรยยะเศรษฐีเห็นแล้วจึงเกิดความรู้สึกว่า ถ้าเมียเราสวยอย่างนี้ก็ดี คิดแค่นั้นก็กลายเป็นผู้หญิงไปเลย พอกลายเป็นผู้หญิงก็อาย หนีไปต่างเมือง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็หนีไปต่างประเทศ

พอไปต่างเมืองเจอผู้ชายมาชอบพอ ไม่รู้เกี้ยวพาราสีกันอย่างไร ตกร่องปล่องชิ้นแต่งงานกันไป ทั้ง ๆ ที่ตอนเป็นโสเรยยะเศรษฐีก็มีครอบครัว มีลูกอยู่แล้ว พอไปแต่งงานไป ตัวเองกลายเป็นผู้หญิงก็เลยตั้งท้อง มีลูกด้วยกันอีก ๒ คน

จนกระทั่งเพื่อนเก่าจากเมืองเดิมตามมาเจอเข้า ท่านก็เข้าไปสอบถามถึงครอบครัวของท่าน พอรู้เรื่อง..เพื่อนฝูงก็เลยแนะนำให้ไปขอขมาพระเถระเสีย พอขอขมาเสร็จกลับมาเป็นผู้ชาย คราวนี้แย่ตรงที่ว่า คนหนึ่งสามีหายไปเป็นปี พอกลับมาก็ไม่ว่ากัน แต่อีกคนหนึ่งแต่งเป็นเมียแล้ว และเมียกลายเป็นผู้ชาย..(หัวเราะ)..ถ้าเป็นพวกเราคงทำใจยากน่าดู

ท่านเลยหอบลูกกลับเมืองเดิมของท่าน ไปอยู่กับครอบครัว พอมีคนถามว่า ลูกเดิมที่เกิดจากภรรยาตัวเอง กับลูกใหม่ ๒ คนที่เกิดจากตัวเอง รักคนไหนมากกว่า ? เขาบอกว่ารักลูกที่เกิดจากตัวเองมากกว่า เขาต้องอุ้มท้องทรมานมาตั้ง ๑๐ เดือน อันนี้เป็นกรรมที่ล่วงเกินพระเถระเข้า..(หัวเราะ)..

ถาม : เป็นเพราะเป็นกรรมเนื่องกันมาให้รักมากกว่า หรือเพราะเป็นแม่จึงรักมากกว่า ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติของคนเป็นแม่จ้ะ อุ้มท้องมาลำบากลำบนแทบตาย ก็ต้องรักมากกว่า

เถรี
23-10-2012, 21:12
อีกรายคือพระปิลินทวัจฉเถระ อดีตชาติท่านเกิดเป็นพราหมณ์ต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ จึงทำให้ท่านเห็นคนวรรณะอื่นต่ำกว่าหมด ท่านมีคำติดปากเรียกคนอื่นว่า "ไอ้ถ่อย" บาลีเรียกว่า วสละ คนสมัยก่อนถ้าโกนหัวเขาถือว่าเป็นคนกาลกิณี อยู่ ๆ มีคนกาลกิณีมาเรียกว่าไอ้ถ่อย คนได้ยินก็โกรธ

วันหนึ่ง พ่อค้าดีปลีเข็นดีปลีมาทั้งคันรถ เดินสวนกับพระปิลินทวัจฉเถระ ต้องบอกว่าท่านอัธยาศัยดี เจอหน้าก็ทักก่อน "จะไปไหนล่ะไอ้ถ่อย ? แล้วนั่นเข็นอะไรมา ?" พ่อค้าก็โกรธ ด่าคืนไปว่า "เข็นขี้หนูมาสิวะไอ้ถ่อย" พอไปถึงตลาด เปิดเสื่อหุ้มรถออก ดีปลีทั้งคันรถกลายเป็นขี้หนูหมดเลย..!

เพื่อนพ่อค้าเห็นก็ตกใจ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อค้าก็เล่าให้ฟัง เพื่อนสงสัยว่าพระเถระรูปนั้นจะเป็นพระอรหันต์ เมื่อล่วงเกินเข้าจึงเกิดเหตุอันนี้ ให้รีบตามไปขอขมาพระเถระเสีย พ่อค้าเลยเข็นรถวิ่งไล่หาพระเถระ ไปเจอกลางทาง เข้าไปกราบขอขมาแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง ขอให้พระเถระช่วยแก้ไข ขอให้ขี้หนูกลายเป็นดีปลีตามเดิม

พระเถระท่านบอกว่า "ไม่ต้องแก้หรอกไอ้ถ่อย ดีปลีก็ต้องเป็นดีปลีวันยันค่ำ" พอเปิดเสื่อดู..ขี้หนูกลายเป็นดีปลีทั้งคันรถเหมือนเดิม

เถรี
23-10-2012, 21:19
"ท่านปิลินทวัจฉเถระเห็นว่า โทษของคนล่วงเกินท่านโดยไม่ได้เจตนายังหนักขนาดนี้ ท่านก็เลยตัดสินใจไปอยู่ป่าแทน พอท่านอยู่ป่าก็มีเทวดา มีนางฟ้า มีพรหม มาขอฟังธรรม มาปรนนิบัติรับใช้ มาถวายภัตตาหาร ปัดกวาดเช็ดถู ตั้งน้ำใช้น้ำฉันให้ เลยกลายเป็นที่รักของพวกพรหมเทวดา พระพุทธเจ้าทรงตั้งให้เป็นเอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักของเทวดา เป็นคนเดียวที่ไม่เหมือนใคร

จากที่เล่ามาเราจะเห็นว่า บรรดาเทวดานางฟ้าก็ปรารถนาบุญเป็นปกติ อย่างพระมหากัสสปเถระ มีลาชเทวธิดามาปัดกวาดเช็ดถูที่อยู่ให้ พระมหากัสสปเถระท่านไล่ไปเลย ท่านบอกว่าท่านเป็นพระ ลาชเทวธิดาเป็นผู้หญิง ถ้าคนอื่นมาเห็นจะตำหนิท่านได้ ลาชเทวธิดาจึงนั่งร้องไห้

ตรงจุดนี้จะเห็นได้ว่า พรหมเทวดาที่กำลังใจของท่านยังไม่สูง ก็ยังมีการทุกข์โศกร่ำไรเช่นเดียวกับมนุษย์เหมือนกัน"

เถรี
23-10-2012, 21:25
ถาม : คนที่เป็นกระเทย แต่กลับใจเป็นผู้ชาย จะบวชในพุทธศาสนาได้ไหมครับ ?
ตอบ : กลับใจได้..แต่กลับตัวคงยาก อย่าลืมว่ากระเทยมี ๒ อย่าง อย่างแรกเป็นลักษณะของอุภโตพยัญชนก คือ บุคคลที่เป็นทั้งเพศชายเพศหญิงอยู่ในคน ๆ เดียว อันนี้บวชไม่ได้เลย ถือเป็นวิบัติ ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะบวช

กระเทยอีกประเภทหนึ่งอยู่ในลักษณะว่า กำลังใจของตนเป็นตรงข้ามกับเพศสภาพของตัวเอง ถ้าลักษณะอย่างนั้น บวชเข้าไปแล้วเก็บอาการได้ ไม่ไปวี้ดว้ายกระตู้วู้ก็ถือว่าไม่เป็นไร แต่เขาปรับโทษพระอุปัชฌาย์ คือ ปรับอาจารย์ว่าไม่ดูให้ดี แต่ถ้าเป็นอุภโตพยัญชนก บวชเมื่อไรเขาจะนาสนะ คือ บังคับให้สึก

ถาม : ที่ไม่ให้บวชเป็นเพราะว่าไม่บรรลุธรรมหรือคะ ?
ตอบ : เรื่องที่แย่ที่สุดคือทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย คนเห็นไปกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายก็หมดอารมณ์ที่จะเข้าวัดแล้ว เรื่องบรรลุธรรมไม่ต้องไปพูดถึง

เถรี
23-10-2012, 21:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเกิดเดือนมิถุนายน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านตายแล้วฟื้นในเดือนตุลาคม ท่านก็เลยถือว่าวันนั้นเป็นวันเกิด ฉะนั้น..ถ้าไปดูวันเกิดจริง จะงงว่าทำไมถึงมาจัดวันเกิดเดือนตุลาคม ห่างกันตั้ง ๔ เดือน"

เถรี
23-10-2012, 21:45
ถาม : หนูเป็นคนหูหนวก ขอกราบเรียนถามวิธีรักษาคนขวัญเสียจากอุบัติเหตุ ?
ตอบ : โยมเขาหูหนวก เขียนคำถามมา อาตมาตอบไปเขาจะได้ยินไหมนี่ ? พาไปวัดให้พระท่านรดน้ำมนต์ ๗ วัด (วัฑฒ์) น้ำมนต์ ๗ วัดที่ว่า ไม่ใช่ตะกายไปจนครบ ๗ วัด แต่เป็นน้ำมนต์ที่เสกด้วยคาถามงคลจักรวาฬน้อย ที่มี อายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโกฯ

ถ้าเป็นโบราณก็ต้องไปให้หมอขวัญเรียกขวัญกลับมา เสียเงินให้หมอขวัญอีก "มาเย้อ..ขวัญเอย" ตอนเด็ก ๆ ฟังยังติดหู ต้องเสียหมากพลูบุหรี่ให้กับหมอขวัญ หมอขวัญก็ไปทำพิธีเรียกขวัญ เอาตะแกรงไปตักขวัญกลับมา แล้วมาบอกกล่าวว่าตอนนี้เจ้าของร่างอยู่ที่นี่ ให้ขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวสักที

แต่ก็แปลกนะ ถึงเวลาก็หายเป็นปกติเพราะมีกำลังใจ รู้สึกว่าได้ทำพิธีถูกต้องแล้ว อย่างเราไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก พาไปรดน้ำมนต์ก็พอจ้ะ

เถรี
24-10-2012, 21:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมคนหนึ่งบอกว่า ปัจจุบันนี้รักษาศีล ๘ แต่ศีลขาดบ่อย อาตมาถามว่าขาดอย่างไร ? เขาบอกว่าเผลอไปเคี้ยวลูกอมเข้า

อาตมาก็เลยบอกว่า ในเรื่องของศีล ๘ ศีลตั้งแต่ข้อ ๖ - ๘ ขาดไปไม่ตกนรกหรอก แต่ในส่วนของธรรมะจะบกพร่อง การเข้าถึงธรรมจะช้าลงนิดหนึ่ง ถ้ารักษาศีลละเอียดได้ ส่วนของธรรมะไม่บกพร่อง การเข้าถึงธรรมก็จะง่ายขึ้น

แต่ในส่วนที่คุณบอกว่าศีลบกพร่องเพราะไปเคี้ยวลูกอม อาตมาไม่เห็นว่าจะพร่องตรงไหน บาลีใช้คำว่า ขาทนียะ โภชนียะ แปลเป็นไทยตรง ๆ ว่า ของเคี้ยว ของฉัน ของเคี้ยวท่านตีความว่า เป็นพืชมีหัว พวกเผือก มัน เหง้าบัว เป็นต้น ส่วนของฉันคืออาหารทั่วไป เขาหมายถึงอาหารมื้อหลัก ไม่ใช่ลูกอมที่คุณอม ที่อย่างน้อย ๆ ช่วยให้ร่างกายหายกระวนกระวาย พอได้น้ำตาลไปหน่อยหนึ่งจะได้ไม่มากวนเรา ฉะนั้น..มีปัญญาก็เคี้ยวไปเถอะ เพียงแต่ว่าเคี้ยวมาก ๆ เดี๋ยวฟันผุ..!

ส่วนใหญ่แล้วมักจะเข้าใจผิด ในเมื่อคุณคิดว่าคุณเคี้ยวแล้วถึงผิด ถ้าคุณต้มโจ๊กแล้วเอาหลอดดูดก็สบายสิ..! เพราะฉะนั้น..แยกให้ออกว่าอย่างไหนเป็นอาหารหลัก อย่างไหนเป็นปานะ หรือเป็นของฉันนอกเวลา ไปว่าตามพยัญชนะของบาลีที่เขาแปลมาตรง ๆ เลยก็แย่ เขาบอกของเคี้ยวของฉัน ถ้าไม่เคี้ยวแล้วฉันได้ก็สบาย..!"

เถรี
24-10-2012, 21:40
ถาม : หนูทำงานเกี่ยวกับการตรวจดูอาการป่วยของสัตว์ต่าง ๆ ทั้งที่รู้ว่าถ้าตรวจผ่านเขาก็เอาไปฆ่า ?
ตอบ : เราทำแค่หน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่ตรวจโรคเราก็ตรวจไป ถึงเวลาก็แจ้งผลไปตามความจริงแค่นั้น ส่วนเขาจะเอาผลไปทำอะไร เราไม่ต้องไปใส่ใจ ตัดกำลังใจได้แค่นี้จะไม่มีโทษอะไร เพราะหน้าที่เราไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับส่วนที่เขานำไปฆ่า เราทำแค่หน้าที่เฉพาะหน้าของเราเท่านั้น

ส่วนหน้าที่ของเราทำไปแล้ว คนอื่นเขาเอาผลไปขยายเพื่อทำอะไรอีกไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ถ้าหากว่าตัดกำลังใจไม่เป็น เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราไปส่งเสริมให้เขาตายอีก

ถาม : ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้เขาฆ่าหรือคะ ?
ตอบ : เราไม่ได้บอกให้เขาว่าตัวนี้ปลอดโรคเอาไปฆ่าได้ เราแค่รายงานผลไปเฉย ๆ ว่าผลเป็นอย่างไร ส่วนเขาจะไปทำอะไรเป็นเรื่องของเขา ถ้าตัดกำลังใจไม่เป็นเดี๋ยวก็เป็นเรื่อง..!

เถรี
24-10-2012, 21:43
ถาม : วางกำลังใจไม่ให้หมากัดเข้า ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจของเราเอง ถ้ากำลังใจมั่นคงจะไม่เข้าหรอก อย่างไอ้ดอกรักกัดอาตมาจนเหนื่อย ท้ายสุดมันก็ต้องยอมแพ้ไปเอง แต่ไปกัดอาจารย์สมพงษ์จนแหว่งเลย แม่ชีต๋อยยังไปแหย่อีกว่า “โอ๊ย..หมายังกัดเข้า ออกเหรียญรุ่นแรกไม่ได้หรอก” อาจารย์สมพงษ์โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย..! หมาของตัวเองไปกัดเจ้าอาวาส แม่ชีในวัดยังปากดีอีก สมควรได้รางวัล..!

เถรี
24-10-2012, 22:00
ถาม : หนูจะสร้างตลาดนัดอยู่ที่ลพบุรีค่ะ หนูจะต้องทำบุญอย่างไร ?
ตอบ : บริเวณนั้นมีพวกศาลเจ้าที่หลัก ๆ อะไรอยู่ไหม ?

ถาม : ไม่มีค่ะ
ตอบ : อย่างแรกยึดเอาศาลพระกาฬเป็นหลัก อย่างที่สองก็ศาลที่เราตั้งเอง ตรงนั้นเป็นพื้นที่เปล่าหรือมีตัวอาคารด้วย ?

ถาม : พื้นที่เปล่าค่ะ
ตอบ : ให้เรายึดทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก ตั้งศาลพระภูมิให้เขาสักจุดหนึ่ง และทำพิธีอัญเชิญเจ้าที่ ทำพิธีเสร็จแล้ว จุดธูปบอกกล่าว ขอให้ท่านช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยและให้สถานที่นี้มีความเจริญรุ่งเรืองด้วย แล้วเราจะถวายสังฆทานให้ท่านหรือทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป และอย่าลืมบอกเจ้าพ่อศาลพระกาฬ เพราะว่าท่านเป็นผู้ใหญ่คุมทั้งจังหวัดเลย

เจ้าพ่อศาลพระกาฬที่ลพบุรีเป็นพรหม น้อยที่จะมีพระพรหมลงมาดูแล อย่างเจ้าพ่อหลักเมืองกรุงเทพมหานครเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ถ้าไม่ใช่ที่สำคัญจริง ๆ ไม่มีทางที่พรหมท่านจะลงมาดูแล คราวนี้โยมจะทำงานที่ลพบุรี ก็ต้องอาศัยบอกกล่าวเจ้าพ่อศาลพระกาฬท่านเป็นหลัก เพราะว่าเขตดูแลของท่านกินทั้งจังหวัดเลย ส่วนเฉพาะที่เราทำงานอยู่ ก็บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นอีกทีหนึ่ง

เถรี
24-10-2012, 22:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราไม่ค่อยเข้าใจคำว่า "ใบเถา" มาจากอะไร ? คำนี้มาจากปิ่นโต เถาหนึ่งมีกี่ใบซ้อนกัน ถ้าปิ่นโตซ้อน ๓ ชั้นก็เรียก ๓ ใบเถา ถ้า ๕ ชั้นก็เรียก ๕ ใบเถา เขาไม่เรียกแถว แต่ไปเรียกเถา

เถาก็คือชุด อย่างเช่นเพลงโบราณเขาเรียกว่า เพลงเถา ถ้าเพลงเถาจะมีเนื้อเพลง ๒ - ๓ ชุด เป็นเพลงเดียวกัน แต่เนื้อเพลงจะต่อเนื่องกัน"

เถรี
24-10-2012, 22:20
พระอาจารย์กล่าวถึงอาการคันของท่านว่า "ถ้าเราสามารถอดใจไม่ทำในสิ่งที่ละเมิดศีล สามารถอดใจไม่ทำในสิ่งที่เป็นราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็อดที่จะไม่เกาได้ เพราะใช้กำลังเท่ากัน ถ้าหากว่ากำลังถึง อยากจะคันก็คันไป อยากเป็นอะไรก็เป็นไป เกาแล้วก็ไม่ได้หายสักหน่อย เกาแล้วหนังถลอกปอกเปิกก็ยังคันอยู่ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ การเกานั้นไปแก้ที่ปลายเหตุ

ถ้าไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ทุกข์ก็ไม่หาย"

เถรี
26-10-2012, 21:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่โยมเขาเห็นใจถวายยาคาลาไมล์แก้คันมาให้ รู้อยู่ว่าถ้าทายาก็เป็นเรื่อง เห็นเขาซื้อมาเยอะแยะก็ทา ๆ ให้เขาหน่อย ที่ไหนได้ทาไปแล้วหนาวสั่นแทบตาย นั่ง ๆ อยู่ตาลาย ดูหนังสือไม่รู้เรื่อง กลายเป็นว่ากำลังหมด จากที่พอมีกำลังทรงตัวอยู่ได้ ก็เอาไปสู้ความหนาวจนหมดกำลัง

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลายวาระที่ท่านตาย สายตาจะสั้นเข้ามา ๆ จากที่ไกลก็มองไม่เห็น เห็นแต่ที่ใกล้ จากที่ใกล้ก็มองเห็นราง ๆ ดูอะไรไม่รู้เรื่อง ท้ายสุดก็ประสาทตาไม่ทำงาน ก็แปลว่าถ้ากำลังของเราไม่พอ การควบคุมอวัยวะก็ทำได้ไม่เต็มที่

ทำให้เห็นสัจธรรมหลายอย่าง อย่างแรกก็คือ การมีร่างกาย อย่างไรก็ต้องป่วยแน่ อย่างที่สองก็คือ ถ้าสร้างกรรมเอาไว้ อย่างไรก็ต้องรับ ส่วนอย่างที่สามก็คือ ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ตอนนอนสั่นอยู่ข้างบนยังคิดว่า "ถ้ายังไม่หายสั่น เราจะลงไปรับสังฆทานอย่างไร ?" กว่าจะหายสั่นได้ก็ตั้งนาน

จะเห็นว่าบางทีญาติโยมเขาเมตตามานวดให้ แต่ส่วนใหญ่นวดไม่เป็น กดเสียจนเจ็บมาก ร่างกายก็ต้องใช้กำลังไปต่อต้านความเจ็บ ทำให้หมดกำลังที่จะสู้โรค กลายเป็นโรคกำเริบขึ้นมา แล้ววันนี้ร่างกายเอากำลังไปสู้ความหนาวเสียหมด ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น"

เถรี
26-10-2012, 21:31
"สมัยอาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน มีอยู่ครั้งหนึ่งโยมเขานวดถวายหลวงปู่ แล้วเขาเอาน้ำมันเซียงเพียวอิ๊วละเลงหลังหลวงปู่จนทั่วแล้วค่อยนวด อาการเดียวกันเลย พอหนาวขึ้นมาหลวงปู่ต้องคว้าผ้าห่มมาห่ม สั่นอยู่ตั้งนานถึงจะหาย พอคนแก่เข้ากำลังร่างกายไม่ดี เวลาหนาวนาน ๆ ก็จะแย่ไปเลย

อาการที่อาตมาเป็น จะอยู่ในลักษณะหนาวเข้าไปในอก แล้วก็สั่นแหง็ก ๆ ท้ายสุดก็ยังคงคันเหมือนเดิม สรุปว่าใช้ยาทาไปก็ไร้ประโยชน์

ถ้าใครเคยป่วยหนัก ๆ ลักษณะนี้ การที่เราต้องตั้งสติ เพื่อที่จะควบคุมร่างกายให้ทำงานได้ จะเป็นอะไรที่รู้สึกดีมาก ๆ ดีตรงที่เห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งที่หมดสภาพแล้ว ทำอย่างไรที่จะประคับประคองไปให้ได้ ? ทำอย่างไรที่จะไม่ให้พังลงกลางทาง หรือไม่ให้ตกถนนไปเสียก่อน ?

ฉะนั้น..ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรต่าง ๆ นั้น สำหรับนักปฏิบัติถือว่าเป็นของดี ใช้วัดอารมณ์การปฏิบัติตัวเองได้"

เถรี
26-10-2012, 21:37
"การป่วยไข้หรือความตายไม่ได้เลือกอายุ อยู่ที่วาระว่าจะมาสนองเมื่อไร หรือวาระของอายุขัยมาถึงเมื่อไร หรือวาระกรรมใหญ่เข้ามาช่วงไหน ก็จะป่วยเป็นเรื่องปกติ

ในเรื่องของร่างกายเราเชื่อมากไม่ได้ เราหลอกคนอื่นได้ แต่ใจเรารู้อยู่ บางทีเห็นสาว ๆ ที่อายุมากหน่อย พอเริ่มอายุสัก ๓๐ ปีต้องพยายามทำตัวให้สวยอยู่ตลอดเวลา นับเป็นภาระที่หนักมาก ไม่ใช่แค่หนักเฉย ๆ ค่าใช้จ่ายยังมากอีกด้วย ถ้าหากว่าเราปล่อยไปตามปกติ ยอมรับว่าแก่เสียก็หมดเรื่องหมดราวไป

มีโยมอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ผมแซมขาวเกือบทั้งหัวแล้ว เจ้านายบอกให้ไปย้อมผมหน่อยเพราะเสียบุคลิก แต่เขาไม่ยอมย้อมสักที ความรู้สึกของเขาก็คือ บุคลิกอย่างนี้ดูแก่ดี คนเห็นแล้วน่าเชื่อถือ กลายเป็นมองคนละอย่างกัน

มีข่าวสาวรัสเซียที่แต่งตัวเหมือนกับตัวการ์ตูนของญี่ปุ่น แขนยาว ๆ ขายาว ๆ ตาโต ๆ ตัวเขาเองก็อดข้าวเสียจนกระทั่งผอมโกรก แต่งตาตัวเองจนใหญ่เบ้อเร่อ เขาบอกว่ากว่าจะเขียนตาให้โตได้อย่างใจ ข้างหนึ่งใช้เวลาเกิน ๓๐ นาที

เราลองมานึกดูว่า วันหนึ่งแม่เจ้าประคุณกว่าจะแต่งตัวออกมาให้หน้าตาเหมือนการ์ตูนได้ต้องเสียเวลาไปเท่าไร ? คนที่สูงขนาดนั้น น้ำหนักแค่ ๓๘ กิโลกรัม ต้องอดข้าวให้ผอม เพื่อจะได้แต่งตัวเหมือนการ์ตูน อาตมาเห็นแล้วเหนื่อยแทน..!"

เถรี
26-10-2012, 21:40
"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ญาติโยมหลายคนซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สายแต่งงานไป ก่อนจะแต่งงานก็มาถามว่าจะเลือกคนอย่างไรดี ? อาตมาบอกว่า “อย่างไรก็ได้ แต่ให้เลือกคนที่ไม่แต่งหน้า” เขาถามว่าทำไม ?

อาตมาบอกว่า “คุณลองประมาณเงินเดือนตัวเองดูสิ ว่าพอให้เจ้าหล่อนแต่งหน้าหรือเปล่า ?” ถ้าไม่พอแล้วไปมีแฟนแต่งตัวเก่งก็ชีช้ำละคุณเอ๋ย

มีอยู่ยุคหนึ่ง สมัยสังข์ทอง สีใส ยุคนั้นน้ำปลาขวดละ ๑๐ สลึง เขาบอกว่า "เครื่องสำอางขวดเท่านิ้วก้อย ร้อยสองร้อยเที่ยวหาซื้อมา ห่วงแต่แต่งตัว..แม่ทูนหัวลืมซื้อน้ำปลา.." เข้าครัวจะกินข้าวหาน้ำปลาไม่ได้ เขาจึงร้องเพลงประชดผู้หญิง"

เถรี
26-10-2012, 21:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝนตกที่ผ่านมาไม่ใช่ไต้ฝุ่นเข้าประเทศไทย..เข้าประเทศอื่น แต่มีอิทธิพลให้ฝนตกหนักในประเทศไทย พูดง่าย ๆ ว่าชายขอบมาถึง แต่คุณแกมี่เป็นลูกแรก ๆ ที่มาเยี่ยมเมืองไทยอย่างเป็นทางการ

วันนี้ที่ยังตกไม่ได้เพราะหลวงพี่นิลท่านขอเอาไว้ ๓ วัน เพราะต้องไปเร่งให้เขาทำพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชให้เสร็จ ถ้าไม่มีแดดเดี๋ยวทำไม่ได้ เวลาเอามาประกอบต้องตากแดดให้แห้งแน่ ๆ ก่อน ท่านขอแดด ๓ วัน วันนี้วันสุดท้าย

เรื่องของพระขรรค์ต้องบอกว่าท่านทุ่มสุดชีวิตจริง ๆ ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ใช่พี่เล็กที่ผมรักเหมือนพี่จริง ๆ นี่ไม่ทำให้หรอก เหนื่อยแทบตาย.." เพราะเรื่องของประเทศชาตินี่เป็นเรื่องใหญ่สาหัส เราตั้งใจจะทำให้ดี ฝ่ายขวางเขาก็ต้องขวางเต็มที่ ช่างทุกรายที่ไปหาจะต้องมีปัญหาทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ติดงานใหญ่รับงานของเราไม่ได้ ก็เจ็บไข้ได้ป่วย โดนรถชนบ้าง ล้มป่วยหนักบ้าง..สารพัด

จนกระทั่งตอนนี้เหลือขั้นตอนสุดท้ายอีกขั้นหนึ่ง ก็คือชุดลวดลายรัดปลอก ปรากฏว่าลูกน้องทิดจิตรป่วยทุกคนเลย ไม่มีใครทำงานได้ เดินเป็นผีตายซากไปหมด หลวงพี่นิลบอกว่าขนาดทำบวงสรวง ๒ ครั้งแล้ว ถึงขนาดต้องเอาอาหารทำด้วยเลือดไปเซ่นให้แล้ว เขายังไม่ค่อยจะยอมเลย วันนั้นทำอาหารประเภทเกาเหลาเลือดหมูล้วน ๆ ให้ไปเลย"

เถรี
27-10-2012, 15:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "มาตราโบราณแปลก ๆ บางทีเราไม่เคยได้ยิน เช่น การหล่อพระใช้ทอง ๖ หมื่น ไม่ใช่ทองราคา ๖๐,๐๐๐ บาทนะ หมื่นเป็นหน่วยวัดน้ำหนักของทางเหนือ ๑ หมื่นเท่ากับน้ำหนัก ๑๒ กิโลกรัม

ดอยสามหมื่น เกิดจากว่า ถ้าใครจะข้ามดอยลูกนั้น ต้องแบกข้าวไป ๓ หมื่น คือ ๓๖ กิโลกรัม เท่ากับ ๒ ถังกว่า จึงจะเป็นเสบียงพอกินจนเดินข้ามเขาได้ เพราะฉะนั้น..ดอยสามหมื่นมีชื่อมาทุกวันนี้ ก็เพราะว่าต้องแบกเสบียงไป ๓ หมื่นถึงจะไปรอด

บางทีเราไม่เข้าใจว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นทองคำ ๖ หมื่นที่ว่าก็คือ ทองคำ ๗๒ กิโลกรัม หล่อพระ ๑ องค์ อย่างความยาว ๑ เกียก เกียกหนึ่งยาวแค่ไหน ? ยาวจากปลายนิ้วโป้งถึงปลายนิ้วชี้ ยืดออกมาสุดได้ ๑ เกียก แต่ถ้านิ้วโป้งถึงนิ้วกลางได้ ๑ คืบ ๒ คืบเป็น ๑ ศอก ลองดูได้ โบราณเขาว่าไม่ผิดหรอก

ไม่ใช่เกียกกายนะ.. เกียกกายของโบราณคือกองเสบียง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือพวกกองส่งกำลังบำรุง และมีตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันนี้คงหาคนรู้จักได้ยาก ก็คือตำแหน่งยกกระบัตร ยกกระบัตรสมัยก่อนก็คือตำแหน่งปลัดจังหวัดของสมัยนี้"

เถรี
27-10-2012, 15:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลัง ๆ ญาติโยมทำบุญแล้วไม่ได้คิดถึงพระผู้รับ อย่างงานครูบาวิฑูรย์ที่ผ่านมา ย่ามของท่านเองก็มีของตั้งครึ่งย่ามแล้ว ยังมีคนยัดพวงมาลัยดอกดาวเรืองเบ้อเร่อลงไป ๓ พวง ล้นย่ามแล้ว คนอื่นไม่ต้องใส่อะไรเลย เขาเรียกว่าทำบุญโดยไม่ได้ใช้ปัญญาแม้แต่น้อย

อาตมาไปงานพุทธาภิเษกที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ รู้ไหมว่าเขาถวายอะไรมาบ้าง ? พระเจ้าพรหมทรงช้างพลายประกายแก้ว ๑ องค์ เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมฉัตร สูงประมาณ ๒ ฟุตครึ่ง ๑ องค์ โถบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขนาด ๔ นิ้ว ๔๒ โถ ขนาด ๖ นิ้ว ๑๐ โถ..! อันนี้ยังพอทน

ปรากฏว่ามีปลาอินทรีมาด้วย..! ขึ้นรถนี่ไปไม่เป็นเลย อาตมาสั่งแม่ชีที่วัดไว้ว่า ภายใน ๑๐ ปี อย่าทำอาหารให้มีปลาอินทรีมาเป็นอันขาด แค่ดมกลิ่นอย่างเดียวก็พอแล้ว คนถวายเขาไม่ได้คิด เขาจะถวายอย่างเดียว

ตอนไปที่ภูเก็ต อาตมานั่งเครื่องบินไป เขาถวายพระพุทธรูปแก้วทรงเครื่อง ๙ นิ้วมา ๓ องค์ ถวายรูปท่านแม่ศรีสลักจากหินเขียวมา ๑ องค์ พระพุทธรูปสลักจากหยกขาวพม่า ๑ องค์ บาตร ๙ นิ้ว ๑ ใบ อาตมาจะเอากลับอย่างไร ? สรุปก็คือทำบุญทั้งทีไม่ได้ใช้ปัญญาเลย"

เถรี
27-10-2012, 16:20
ถาม : ทำอย่างไรถึงจะให้บริวารดีภายในชาตินี้คะ ?
ตอบ : การที่บริวารดีขึ้นอยู่กับการปกครองของเราเหมือนกัน ตามที่โบราณเขาบอกว่า ไม้ใหญ่โคนต้องเย็น ในเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ปกครองบริวาร ถ้าหากเราร้อน เขาก็อยู่ด้วยไม่ได้

เพราะฉะนั้น..การปกครองบริวารให้ยึดหลักเหตุผลและความยุติธรรม เขาจะอยู่กับเราได้ ต่อให้โกรธเขาก็ตาม แต่ถ้าผลงานเขาดี เราต้องมีรางวัลให้เขา ต้องเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้เขา ต้องขึ้นเงินเดือนให้เขา แต่ถ้าผลงานไม่ดี ต่อให้เขามาประจบสอพลออยู่ข้าง ๆ ทุกวันก็ไม่ต้องไปเลื่อนตำแหน่งให้เขา

ถ้าในเรื่องของเหตุผลและยุติธรรมของเราสามารถทำได้ดี ใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย เพราะเขารู้สึกว่าอยู่กับเราแล้ว เขาได้รับความยุติธรรม แล้วเราเองก็ไม่ไปเฉ่งลูกน้องอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล อะไรไม่ถูกต้องว่ากันไปตามตรงให้เขาแก้ไข พูดง่าย ๆ ก็คือ ชี้ที่ผิดได้ บอกที่ถูกได้

โดยเฉพาะเจ้านาย ต้องบอกว่าสมัยนี้บางคนความเป็นเจ้านายของเขาก็คือชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว ซึ่งจะว่าไปก็ถูกหลัก แต่ถ้าเกิดลงไปคลุกกับงานเอง ซึ่งบางคนก็ดูถูกในลักษณะว่า “ผู้อำนวยการสันดานเสมียน” หรือ “ผู้จัดการนิสัยภารโรง” ปล่อยให้เขาดูถูกไป เพราะถ้าเราสามารถลงไปคลุกอยู่กับงาน รู้งานทุกเรื่อง ลูกน้องเขาจะเกรงใจ ถึงเวลาเขาติดขัดตรงไหนเราก็แนะนำเขาได้

ถ้าเขาทำไม่ได้จริง ๆ เราต้องทำเป็นตัวอย่างให้เขาดูได้ แล้วต้องทำใจว่า คนเราสมรรถภาพไม่เท่ากัน ถ้าเท่ากันเกิดมาต้องได้เหมือนกันหมด แต่เนื่องจากคนเราสร้างบุญบารมีมาไม่เท่ากัน สมรรถนะในการทำงานจึงไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเราต้องมีปุคคลปโรปรัญญุตา ก็คือ การรู้จักเฉพาะตัวบุคคล ว่าคนประเภทไหนเหมาะสมกับงานอย่างไร ?"

เถรี
27-10-2012, 16:29
"อย่างของอาตมาที่วัดท่าขนุน แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสแท้ ๆ แต่ของพระครูน้อย ถ้าให้ทำงานกรรมกรจะถนัด ให้ไปชี้นิ้วสั่งการท่านจะประสาทกิน พออาตมาไม่อยู่บอกว่า “ฝากวัดด้วยนะ” ท่านทำหน้าอย่างกับแบกโลกเอาไว้ แต่ถ้าบอกให้ไปแบกอิฐแบกปูนสัก ๓ - ๕ คันรถ ท่านเฉยมาก แต่ก็จำเป็นเพราะท่านอาวุโส เราแต่งตั้งให้ท่านมีตำแหน่ง อย่างน้อย ๆ ได้ดูแลรุ่นหลัง ๆ เขาบ้าง แต่นิสัยของท่านก็คือ ถ้าท่านทำงานหนักท่านจะถนัด

เพราะฉะนั้นในเรื่องหลักธรรมของพระพุทธเจ้า อัตตัญญุตา รู้ตัวเราเอง ตัวเราเป็นใคร ? มีความถนัดอย่างไรชำนาญอย่างไร ? ความสามารถมีเท่าไร ? ปริสัญญุตา รู้บริษัท ก็คือลูกน้องของเรา รู้ว่าเป็นอย่างไร ? ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้ว่าเฉพาะว่าแต่ละคนมีความสามารถอย่างไร ? แล้วก็ทำอย่างฝรั่งเขาว่า Put the right man on the right job แล้วเขาจะทำงานได้ดี ไม่ใช่พวกถนัดงานกรรมกรแล้วเอาไปนั่งโต๊ะ อย่างพระครูน้อยปั้นเป็นวันกว่าจะเขียนหนังสือได้หน้าหนึ่ง แต่ให้ไปทุบอิฐแบกเหล็กพักเดียวก็เสร็จเรียบร้อย

อยากมีลูกน้องดี ๆ นอกจากจะใช้หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้แล้ว เรายังต้องยึดหลักเหตุผลและความยุติธรรมด้วย ใช้คนอย่าใช้เปล่า ด่าคนอย่าด่าต่อหน้าคนอื่น แต่ชมคนให้ชมต่อหน้าคนอื่น จะตำหนิเขาให้เรียกมาคนเดียวแล้วค่อยตำหนิ รักษาหน้าเขาหน่อย คนอื่นตัวกูของกูยังเยอะอยู่ ไปด่าต่อหน้าคนอื่นเดี๋ยวเขาอาย ต่อไปจะไม่กล้าทำอะไรเลย

เขาถึงได้บอกว่า บุคคลที่ไม่เคยทำผิดเลย คือบุคคลที่ไม่เคยทำอะไรเลย เพราะคนที่เคยทำจะต้องมีทำผิดบ้าง"

เถรี
27-10-2012, 16:40
"มีบริษัทใหญ่อยู่บริษัทหนึ่ง รับสมัครผู้อำนวยการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ลงมาสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง คนหนึ่งเก่งมาก ทำงานมาไม่เคยผิดพลาดอะไรเลย ชื่อเสียงในวงการนักบริหารสุดยอด ในฐานะผู้บริหารมืออาชีพ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ

ส่วนอีกรายหนึ่งความสามารถไม่ถึง เคยพลาดมาหลายครั้ง แต่ปรากฏว่าสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อย ท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ชี้บอกว่าเอาคนหลัง คนที่เคยผิดมาหลายครั้ง อีกฝ่ายหนึ่งก็งงไปเลย เขาคิดว่าเขาได้แน่ แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้

อุตส่าห์ไปสอบถามว่าเหตุที่เขาไม่ได้คืออะไร คำตอบก็คือ “คุณไม่เคยทำผิดเลย คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดจะไม่มีประสบการณ์ในการแก้ไขงาน แต่คนที่เคยพลาดมาแล้ว มีประสบการณ์ในการแก้ไขงาน ต่อไปเจอเรื่องแบบนี้เขาแก้ไขได้ การงานของบริษัทถึงพลาดไปก็ไม่สะดุด”

จะเห็นว่าคนที่เขามองการณ์ไกล เป็นผู้บริหารจริง ๆ เขาไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ แต่เขาต้องการปุถุชนธรรมดาที่มีผิดมีพลาด แต่พลาดแล้วให้รู้วิธีแก้ไขด้วย"

เถรี
27-10-2012, 16:44
"สมัยก่อนดูข่าวกีฬา จะมีนักเทนนิสหญิงคนหนึ่งก็คือ มาร์ตินา ฮินกิส บางทีก็ได้แชมป์ บางทีก็ตกรอบแรก อาตมาบอกกับพระกับเณรว่า “สังเกตยายคนนี้ไหม ? ต่อไปรุ่งแน่” พระเณรถามว่าทำไม ? อาตมาบอกว่า “เขาแพ้เป็น” คนที่เคยแพ้มาแล้วจะไม่เสียกำลังใจ เพราะเขารู้ว่าแพ้ต้องเป็นอย่างนี้ ชนะต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็เริ่มต้นใหม่ ท้ายสุดเขาก็กลายเป็นมือหนึ่งของโลก

เสียดายเขาหลุดตำแหน่งไปแล้ว เพราะรุ่นนั้นมีสาว ๆ หุ่นดี ๆ เป็นนักเทนนิสหญิงหลายคน จนกระทั่งนักเทนนิสชายปัจจุบันวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ถ้ามีแต่เซเรนา วิลเลียม มีแต่วีนัส วิลเลียม มีแต่อเมลี โมเรสโม ผมเลิกเล่นเทนนิสดีกว่า หาความเจริญหูเจริญตาไม่ได้เลย” อเมลี โมเรสโม หุ่นเหมือนผู้ชายดี ๆ นี่เอง แล้วแถมยังล่ำสันสูงใหญ่กว่าผู้ชายอีก หรือไม่ก็หุ่นอย่างน้องแทมมี่ของเรา

จริง ๆ แล้วนักเทนนิสเขาต้องการความแข็งแกร่งมาก ถ้ารูปร่างได้เปรียบ โอกาสชนะก็มาก แต่ก็อย่างว่าแหละ คนดูก็อยากจะมีอะไรที่เจริญหูเจริญตาบ้าง"

เถรี
27-10-2012, 19:56
ถาม : เวลาจะหลับ แล้วไม่ค่อยหลับค่ะ ?
ตอบ : ภาวนาให้หลับ ถ้าภาวนาแล้วอารมณ์ใจทรงตัว หลับไปแล้วส่วนใหญ่จะไม่ฝัน ยกเว้นถ้ามีเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จะเป็นลักษณะของเทพสังหรณ์ คือเทวดานิมิตให้เห็น หรือบางทีเป็นนิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติของเราจริง ๆ ส่วนใหญ่พวกนี้กว่าจะรู้เรื่องก็เกิดเรื่องไปแล้วทุกที

นิมิตกับฝันไม่เหมือนกัน ฝันจะเป็นเรื่องเป็นราว แต่นิมิตมาไม่มีหัวไม่มีท้าย อยู่ ๆ ก็โผล่มาแล้วก็หายไปเฉย ๆ มารู้อีกทีก็ตอนเกิดเรื่องแล้ว

แบบเดียวกับประวัติของโป๊ยเซียนที่โดนเนรเทศ หลานชายเป็นหนึ่งในแปดเซียน ทำภาพนิมิตแล้วเขียนโคลงไว้ให้ "เมฆบังพนัสเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น ด่านรำเมืองลำเค็ญ หิมะติดอกอาชาฯ" ตีความไม่ได้ ด้วยความที่ตัวเองเป็นขุนนางตงฉิน ทำเรื่องกราบทูลฮ่องเต้เกี่ยวกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงราชการ ปรากฏว่าโดนเนรเทศไปสุดหล้าฟ้าเขียวเลย

ตัวเองเดินทางไปแล้วหิมะตกจนกระทั่งท่วมอกม้า ม้าแทบจะก้าวเดินไม่ได้ แล้วตรงนั้นเป็นด่านเก็บภาษีรำข้าว พอเขาเห็นก็นึกได้เลย เพราะหลานชายบอกไปแล้วว่า "เมฆบังพนัสเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น" พายุหิมะมาก็บังคลุมไปหมดทั้งท้องฟ้า แทบจะมองทางไม่เห็น "ด่านรำเมืองลำเค็ญ หิมะติดอกอาชาฯ" หิมะตกจนท่วมอกม้าเลย คงสูงไม่หนี ๓ - ๔ ศอก

เถรี
27-10-2012, 20:06
กำลังจะหนาวตายอยู่แล้ว หลานชายที่เป็นเซียนก็เหยียบเมฆมาฉุดขึ้นไป แล้วให้ดูภาพนิมิตทั้งหมด เป็นข้อความที่ว่า

ปุพพัณหเฝ้าทูลสาส์น..........นฤบาลสิโกรธา
ตกบ่ายประทานตรา...........เนรเทศ ณ เชียวเอี๋ยง
มรรคจรัลแปดร้อยโยชน์.......ธ ทรงโปรดให้จากเวียง
เพราะบาปขนาบเคียง...........จึ่งวิโยคระกำเป็น ฯ

แล้วก็มาถึงประโยค

เมฆบังพนัสเถื่อน..............ทิศก็เลือนมิแลเห็น
ด่านรำเมืองลำเค็ญ................หิมะติดอกอาชาฯ

นิมิตตัดท้ายมาให้หน่อยเดียว "ปุพพัณหเฝ้าทูลสาส์น นฤบาลสิโกรธา" ตอนเช้าเข้าไปยื่นเรื่อง ฮ่องเต้โกรธมาก คนชั่วนี่ไม่อยากให้ใครเปิดโปงเขาหรอก แล้วบางทีถึงคนชั่วเราก็ต้องอาศัยเขา ตัวเองเป็นคนดีให้ระวังไว้ เป็นแกะขาวในหมู่แกะดำมักจะตายเร็ว ถ้าคุณเป็นแกะดำในหมู่แกะขาวไม่เป็นไรหรอก เพราะคนดีเขาไม่ทำอะไรคุณอยู่แล้ว

ด้วยความไม่ดูตาม้าตาเรือ ขุนนางกังฉินทั้งท้องพระโรง ตัวเองเป็นตงฉินอยู่คนเดียว แล้วก็ไปถวายเรื่องร้องเรียนแก่ฮ่องเต้ เท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ถ้าฮ่องเต้จัดการพวกกังฉินไปสักคน ที่เหลือเป็นพวกเขาทั้งหมด แล้วฮ่องเต้จะอยู่ได้ไหม ? มีทางเดียว..คนกราบทูลซวยไปก็แล้วกัน สั่งเนรเทศไป ๘๐๐ โยชน์เลย..!

"ตกบ่ายประทานตรา เนรเทศ ณ เชียวเอี๋ยง" ตอนเช้าเข้ากราบทูล มีคำสั่งเนรเทศตอนบ่าย "มรรคจรัลแปดร้อยโยชน์ ธ ทรงโปรดให้จากเวียง เพราะบาปขนาบเคียง จึ่งวิโยคระกำเป็นฯ" เป็นความซวยของตัวเอง ทำกรรมเอาไว้ก็รับไปเถอะ

เถรี
29-10-2012, 19:14
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้นโยบายลูกคนเดียวของจีนกำลังสร้างความเดือดร้อนสาหัส คนจีนนิยมลูกชาย ก็เลยกลายเป็นหาเมียไม่ได้ เพราะลูกผู้หญิงมีน้อย จึงมีการสั่งนำเข้าผู้หญิงไปเป็นลูกสะใภ้

แต่อาตมาอยากจะบอกว่า ถ้าโอกาสตกมาถึงใคร ให้รีบปฏิเสธไว้ก่อน เพราะลูกคนเดียวจะโดนดูแลมาอย่างพระราชา พ่อแม่คอยเอาใจไม่พอ ยังมีปู่ ย่า ตา ยาย รวมแล้ว ๖ คนคอยเอาใจคนเดียว ถ้าแต่งเข้าไปก็เป็นทาสดี ๆ นี่เอง เพราะทั้ง ๖ คนจะมารุมจี้ลูกสะใภ้ ให้คอยดูแลลูกหลานตัวเองซึ่งถูกตามใจจนเสียคน"

เถรี
29-10-2012, 19:20
ถาม : ปีนี้น้ำจะท่วมไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวน้ำท่วมนะจ๊ะ น้ำยังไม่มากพอที่จะท่วม โลกของเราเขาบอกว่าจะเสื่อมสูญไปด้วยอำนาจของน้ำ ลม ไฟ ๓ อย่าง แต่ละกัปป์จะโดนทำลายไปด้วยอำนาจของน้ำ ของลม ของไฟ ขึ้นอยู่กับว่าในยุคนั้นธาตุอย่างไหนจะกำเริบมากกว่า

จะว่าไปแล้วเรื่องของน้ำท่วมเป็นเรื่องปกติ เพราะในอดีตของเราก็มีน้ำท่วมเป็นปกติอยู่ อย่างปี ๒๔๘๕ หลังจากสงครามโลกไม่นาน ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่

เถรี
29-10-2012, 19:30
พระอาจารย์เล่าว่า "ประมาณช่วงวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน อาตมาลงไปภูเก็ต มีโยมอยู่คนหนึ่งเจอหน้าอาตมาเมื่อไรต้องร้องไห้เมื่อนั้น เขาบอกว่าปกติเขาไม่ใช่คนขี้แยนะ แต่ทำไมตอนนี้เจอหน้าใครเป็นต้องร้องไห้ทุกครั้ง

เขาไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของปีติซึ่งเขาพยายามไปกลั้นไว้ ในเรื่องของปีติ พอไปกลั้นเอาไว้ เวลาอารมณ์ใจถึงช่วงนั้นก็จะน้ำตาไหลไปเรื่อย อาตมาจึงบอกเขาว่าปล่อยให้เต็มที่เสียที แต่โยมยังทำใจไม่ได้ ยังอายเขาอยู่

อย่างอาตมาไปน้ำตาไหลตอนอยู่บ้านสายลม คนเป็นพัน นั่นก็อายเหมือนกัน แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเมตตาบอกว่า "ปล่อยให้เต็มที่ไปเลยลูก ไม่อย่างนั้นถ้าข้ามไม่ได้ก็จะเป็นอยู่เรื่อย" อาตมาจึงปล่อยให้น้ำตาไหล เช็ดหน้าจนแสบไปหมด ท้ายสุดไหลจนเย็นก็เลิกไปเอง

แต่โยมยังอายอยู่เพราะตัวเองเป็นผู้หญิง และเป็นวัยรุ่นด้วย พยายามไปกลั้นเอาไว้ ก็จะแปลว่าน้ำตาจะไหลไปเรื่อย ๆ จนรำคาญไปเอง พอเบื่อพอรำคาญก็จะหาทางก้าวพ้น ก็ต้องปล่อยให้ไหลอย่างจริง ๆ จัง ๆ"

เถรี
29-10-2012, 19:36
"ในเรื่องของปีติทั้งหมด รู้สึกว่าอุเพ็งคาปีติน่าสนุกกว่าเพื่อน เพราะลอยไปที่อื่นได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าให้ฟังว่า มีอยู่พรรษาหนึ่งเจริญกรรมฐานกันอยู่ในโบสถ์ ท่านเองก็ไม่ได้คิดอะไร ภาวนาของตัวเองไปเรื่อย ปรากฏว่าอยู่ ๆ ได้ยินเสียงดังปัง..! จึงหันไปดูพบว่าเพื่อนพระรูปหนึ่งเปิดประตูโบสถ์ แล้ววิ่งกลับกุฏิ

ท่านสงสัยว่าเพื่อนพระเป็นอะไร พอเลิกกรรมฐานก็ไปถาม เขาบอกว่าเขาภาวนาแล้วลอย ก็เลยกลัว..เลิกภาวนา ผลักประตูโบสถ์เปิดได้ก็เผ่นกลับกุฏิ

จึงทำให้นึกถึงครูบาอาจารย์เก่า ๆ หรือแม้กระทั่งหลวงปู่ปาน ก่อนลูกศิษย์จะภาวนา ท่านให้เอาหนังสือวิสุทธิมรรคไปท่องก่อน จะได้รู้ว่าอารมณ์กรรมฐานแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร เวลาเกิดขึ้นจะได้ไม่กลัว

อุเพ็งคาปีติ ถ้าเป็นแล้วซักซ้อมให้คล่องตัว รักษากำลังใจให้ไม่เกินนั้น จะใช้วิชาตัวเบาได้ นึกถึงเมื่อไรก็จะลอยเมื่อนั้น แต่จะลอยไม่สูงมาก อย่างเก่งก็ ๒ วา ๓ วา อาตมาก็แค่ลอยติดเพดานเท่านั้นเอง เพราะลอยสูงกว่านี้ไม่ได้ ติดเพดานแล้ว บางทีอยู่ในท่านอนก็ดันลอยขึ้นไป อัดติดกับเพดานจนจมูกบี้หายใจไม่ออก สรุปว่าปีติเกิดได้ทุกอิริยาบถ จะยืน เดิน นั่ง นอนไปได้ทั้งนั้น

ถ้าประเภทโอกกันติกาปีติ ก็สั่นพับ ๆ เป็นเจ้าเข้า บางคนก็หกคะเมนตีลังกาไปเลย"

เถรี
29-10-2012, 19:41
"ในเรื่องของการปฏิบัติระยะแรก ๆ พอเริ่มเข้าปีติก็เท่ากับเริ่มเห็นผล เพราะเป็นไปตามที่ครูบาอาจารย์บอก หรือที่ตำราบอกไว้ ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว

แต่ปีติเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะคนที่เข้าถึงตรงจุดนี้ จะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ บางทีไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ภาวนาไปเรื่อย โยมที่ภูเก็ต นั่งตั้งแต่ ๗ โมงเช้าจนถึง ๑๐ โมงครึ่ง..ไม่เลิก อาตมาต้องเคาะกบาลให้เลิก บอกว่าพอได้แล้ว การนั่งสมาธิก็เหมือนกับการทำงาน ถ้าโหมงานหนักในวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำงานไม่ไหว

เขาเองพอนั่งแล้วกำลังใจเขาสบาย ก็ภาวนายาวไปเลย จะว่าไปแล้วเป็นการฉวยโอกาสที่ถูก แต่ระยะเวลานานเกินไป สภาพจิตที่ไม่เคยถูกควบคุมนาน ๆ พอถึงเวลาดิ้นจะดิ้นแรงมาก แล้วจะพังไปนาน ดังนั้น..จึงต้องค่อย ๆ ผ่อนสั้นผ่อนยาว เอาแค่พอเหมาะพอดี

ไม่ใช่วันนี้ทำเต็มที่เลย ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง พอพรุ่งนี้หรือมะรืนก็พังกระจาย ทำอะไรไม่ได้ สภาพจิตไม่ยอมให้ควบคุม เพราะเข็ดแล้ว เข็ดที่โดนจับให้นิ่ง ๆ ก็ดิ้นเต็มที่..!"

เถรี
31-10-2012, 07:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า..อานันทะ ดูกร..อานนท์ เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับพระสารีบุตรบ้างหรือไม่ ? อานันทะ..ดูกร อานนท์ เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับพระปุณณมันตานีบุตรหรือไม่ ? ฯลฯ พระอานนท์กราบทูลว่า เห็นพระพุทธเจ้าข้า

นั่นแหละ..อานนท์..หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระสารีบุตรเป็นผู้ประกอบไปด้วยปัญญามาก หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระโมคคัลลานะเป็นบุคคลที่ปรารถนาในฤทธิ์อภิญญา หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ยินดีในธรรมกถึก

เช่นเดียวกัน ลักษณะที่พวกเราจับกันเป็นกลุ่ม ๆ ก็คือชอบใจแบบไหนก็ไปแบบนั้น"

เถรี
31-10-2012, 07:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการเมือง ฟังมากไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการฟังความข้างเดียว พอฟังความข้างเดียว ถึงเวลาก็ตัดสินความข้างเดียว แล้วจะลำบาก

ตอนเขาทะเลาะกันเหมือนกับเขาตีกันจนฝุ่นตลบ ให้เราถอยไปให้ห่าง ๆ วงเลย รอให้ฝุ่นจางก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะโดนม้วนเข้าไปด้วย"

เถรี
31-10-2012, 08:06
"ถ้าเป็นนักการเมืองไม่ควรไปต่อความยาวสาวความยืดกับใคร ทำงานไปก่อน เขาอยากทะเลาะปล่อยให้เขาทะเลาะไป ถึงเวลาชาวบ้านเขาตัดสินด้วยผลงานที่เขาเห็น

ภาษาบาลีเขาเรียกว่า มุโขโลกนะ ถ้ามีความลำเอียง อคติก็ย่อมมี พระพุทธเจ้ากล่าวถึงคติว่ามี โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงผิด บางคนรักฝังใจ อย่างไรก็ต้องเชียร์พรรคการเมืองนี้ ไม่เปลี่ยนใจ จึงกลายเป็นฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักไป"

เถรี
31-10-2012, 08:38
ถาม : ผมมีความคิดว่า .....(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : มีจริง แต่เขาไม่ได้เอามาใช้ มีแต่คนที่ศึกษาไม่ครบก็เลยไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นอัตตาธิปไตย โลกาธิปไตยหรือธรรมาธิปไตย จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับคนใช้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักการ หรือหลักธรรมนั้น ๆ

อย่างอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเผด็จการ คุณดูสิว่าเผด็จการอย่างรัชกาลที่ ๕ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช สั่งให้ใครตายก็ได้ แต่ทำไมบ้านเมืองเจริญมาก ? ช่วงนั้นเราเจริญกว่าญี่ปุ่นอีก

ปัจจุบันโลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ เรามาเรียกอีกอย่างว่า ประชาธิปไตย ดูสิว่าเละขนาดไหน ? ฉะนั้นไม่ใช่หลักการไม่ดี แต่อยู่ที่คน

อย่างในหลวงของเราปัจจุบัน ต้องบอกว่าพระองค์ท่านถือธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ อาศัยหลักธรรมในการปกครองประเทศ อย่างเศรษฐกิจพอเพียงก็ถือหลักสันโดษ แล้วยังมีหลักทศพิธราชธรรม หลักจักรวรรดิวัตร หลักพรหมวิหาร

เพียงแต่ว่าพระองค์ท่านทำอยู่คนเดียว คนอื่นไม่ให้การสนับสนุน พระองค์ท่านก็ทำได้เต็มที่แค่กำลังของพระองค์เอง ถ้าไม่ได้อยู่ในฐานะอย่างพระองค์ท่านก็ทำไม่ได้เท่านี้ ฉะนั้น..หลักการต่าง ๆ จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่คนใช้

อัตตาธิปไตยกับโลกาธิปไตยขึ้นกับคนใช้เต็ม ๆ ธรรมาธิปไตยนี่หลักการดีแน่ ถ้าคนใช้อยู่ในศีลในธรรมก็ยิ่งเสริมความดีเข้าไปใหญ่

เถรี
31-10-2012, 08:42
พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสนับสนุนการปกครองแบบไหนเลย แต่พระองค์ท่านตรัสในส่วนของธรรมาธิปไตย ก็คือ ไม่ว่าจะมีการปกครองแบบไหน จะต้องประกอบไปด้วยหลักธรรม อย่างเช่น อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คุณก็ต้องปราศจากอคติ ๔ ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ เป็นต้น

ถ้าโลกาธิปไตย คุณจะถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ คุณก็ต้องประกอบด้วยความยุติธรรม ถ้าเป็นอัตตาธิปไตยแบบพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ต้องมีทศพิธราชธรรม

พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ตรัสสรรเสริญหลักการปกครอง แต่พระองค์ท่านตรัสถึงธรรมะที่จะไปประกอบกับหลักการนั้น ๆ เพราะพระองค์ท่านทราบดียิ่งกว่าเราหลายเท่านักว่า หลักการดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคนเอาไปใช้ด้วย ถ้าคนเอาไปใช้เป็นคนไม่ดี เขาก็พยายามดัดแปลงหลักการให้เกิดประโยชน์แก่พวกพ้องและตัวเองจนได้

เถรี
31-10-2012, 08:50
ถาม : คนในครอบครัวเดียวกัน ใช้หลักการเดียวกันตัดสินหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจไม่เท่ากัน จะตัดสินต่างกัน ฉะนั้น..กำลังใจต้องเท่ากัน

ถาม : ถ้าเกิดเราใช้ธรรมาธิปไตย อะไรถูกอะไรผิดว่ากันตามหลักการ
ตอบ : จริง ๆ จะว่าไปแล้ว กฎพื้นฐาน คือ ศีล ๕ ถ้าละเมิดศีล ๕ นี่ผิดทั้งนั้น คุณลองดูว่าโลกปัจจุบันของเรา ข่าวคราวที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร ?

ละเมิดข้อที่ ๑ ก็ฆ่ากัน ฝังอยู่เต็มไร่ ขุดหายังไม่เจอ ศีลของที่ ๒ ลักขโมย ช่วงชิง ปล้นฆ่ากัน ละเมิดศีลข้อที่ ๓ เสี่ยง้อภรรยาไม่ได้ ๘ ปีผ่านไปตามไปยิงตายเลย ละเมิดศีลข้อที่ ๔ โกหกหลอกลวง ฉ้อโกงกัน ละเมิดศีลข้อที่ ๕ เมาสุราก็ละเมิดศีลข้ออื่นไปด้วย

เราจะเห็นว่าถ้ามีศีล ๕ กำกับอยู่ บรรดากฎหมายไม่ต้องมีหรอก ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็คือหลักมนุษยธรรมคือการมีศีล ถัดไปคือหลักเทวธรรม ก็คือ มีหิริโอตัปปะ ละอายชั่วกลัวบาป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเรายึดถือเป็นปกติ ไม่ต้องไปสนใจกฎหมายอื่น ๆ เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมายนักหรอก

เถรี
31-10-2012, 09:01
ถาม : ถ้าจะมีพวก....
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องปกติของคน คนเราเกิดมาสร้างเวรสร้างกรรมไม่เท่ากัน มีอยู่สมัยหนึ่งในยุคคอมมิวนิสต์ ที่เขาจะทำให้ทุกคนเท่ากันหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเขาเองสร้างความดีความชั่วมาไม่เท่ากัน ถึงเวลาจะให้รับผลดีผลชั่วเท่า ๆ กันนั้นเป็นไปไม่ได้ หลักการผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นสังคมในอุดมคติ เขาคิดว่าถ้าทุกคนเสมอภาคกัน มีส่วนในทรัพยากรเท่าๆ กัน โลกนี้จะสงบสุข เขาคิดผิดตั้งแต่แรกแล้ว

เราลองดูว่า ถ้าหากว่าโลกปัจจุบันมีคนรวยคนจน คนจนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี คนรวยมีทรัพยากรมากเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันให้มา ทุกคนก็จะอยู่อย่างมีความสุข เพราะทุกอย่างต้องประกอบด้วยหลักธรรม ถ้าไม่มีหลักธรรมโลกก็วุ่นวาย..อยู่ไม่ได้หรอก

ที่ในหลวงตรัสเอาไว้ เป็นเรื่องที่ชัดเจนที่สุดเลย คือ พยายามส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจ และอย่าให้คนชั่วมีอำนาจขึ้นมา เมื่อคนดีมีอำนาจในการปกครอง คนชั่วก็ไม่เดือดร้อน เพราะคนดีที่มีอำนาจไม่ไปเบียดเบียนคนชั่วอยู่แล้ว แต่ถ้าคนชั่วมีอำนาจในการปกครองแม้แต่คนเดียว คนดีจะเดือดร้อนเป็นร้อยเป็นพัน พระองค์ท่านตรัสมาตั้งกี่สิบปีแล้วก็ไม่รู้ ?

เถรี
31-10-2012, 09:13
ถ้าคนเราไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนและมีความยุติธรรม รู้จริง ๆ ว่าธรรมะคืออะไร ไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่นหรอก มโนธรรมของตัวเองจะบอกเอง ต่อให้เด็กที่เกิดขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าความดีความชั่วเป็นอย่างไร ถ้าเขาฆ่าสัตว์สักตัวหนึ่ง เขาจะรู้สึกไม่สบายใจทันที นั่นแหละคือมโนธรรม เป็นหลักการที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สามารถรู้ได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นเขาบอก

แต่สมัยนี้มโนธรรมโดนรัก โลภ โกรธ หลง กลบกลืนไปหมด ถึงเวลาแล้วตัวกูต้องถูกไว้ก่อน ถึงเวลาต้องไปฟ้องศาลปกครอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ให้ศาลฎีกาตัดสิน บ้าชัด ๆ อย่างพระในปัจจุบันหลงประเด็นกันเยอะมาก เวลาละเมิดศีลต้องอาบัติปาราชิก ต้องรอให้ศาลสั่งก่อน กูถึงจะยอม ความจริงเจ๊งตั้งแต่ตอนทำแล้ว จะไปรอให้ศาลสั่งได้อย่างไร

ถึงได้บอกว่ามโนธรรมโดนรัก โลภ โกรธ หลง กลบกลืนไปหมด มีอยู่ทางเดียวคือเราต้องเข้าถึงธรรมให้มากที่สุด เวลามีอำนาจหน้าที่บริหารหมู่คณะ จะเล็กจะใหญ่ก็ตาม ต้องใช้หลักธรรมในการบริหาร ให้เกิดความยุติธรรมให้มากที่สุด

เถรี
31-10-2012, 09:18
มีอยู่สมัยหนึ่งเพื่อนชวนไปสมัครส.ส. อาตมาก็บวชมาตั้งหลายพรรษาแล้ว แต่ก็ยังมาชวน เขาใช้คำพูดว่า ถ้าคนดีเข้าวัดบวชกันหมด แล้วประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร ? อาตมาก็ว่าถ้าคนดีบวชกันหมด ประเทศชาติน่าจะดีขึ้น เพราะอย่างน้อย ๆ มีโอกาสสั่งสอนคนอื่นได้อีกมาก

เราต้องเข้าใจศิลปะในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะถือเป็นอุดมมงคล ศิลปะอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ศิลปะการในดำรงชีวิต ก็คือ ต้องรู้กาลเทศะ กาละคือเวลาที่เหมาะสม เทศะคือสถานที่ที่เหมาะสม

ถ้ามีแต่พวกโกงกินกันทั้งหมด แล้วเราไปพูดเรื่องปราบคอร์รัปชั่น คงจะมีคนสนับสนุนเราหรอก เรื่องพวกนี้เราต้องค่อย ๆ ศึกษาไป แล้วท้ายสุดก็จะปรับตัวเองให้อยู่ในลักษณะไม่โดนเบียดเบียนมากนัก สามารถที่พอจะอยู่ได้ในโลกที่สับสนวุ่นวายขนาดนี้

เถรี
31-10-2012, 09:29
ถาม : ผมไม่เข้าใจว่า การพยากรณ์มรรคผลเป็นอย่างไร ?
ตอบ : การพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น คนทั่ว ๆ ไปอย่าไปยุ่ง เรารู้ไม่จริงหรอก

การฝึกมโนมยิทธิทั่ว ๆ ไป เวลาเราดูให้คนอื่นจะแม่น แต่ดูให้ตัวเองจะไม่แม่น เพราะการดูให้คนอื่นส่วนได้เสียไม่มี แต่พอดูให้ตัวเองเวลาเห็นว่าไม่ดี เราก็จะคิดว่าน่าจะดีนะ ทีนี้จะเริ่มผิด และพอเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ก็จะทำให้ใจก้าวเข้าไปสู่รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็จะผิดยาวเลย

อย่างเช่น แทนที่จะไปดูว่าตัวเองเกิดมากี่ชาติกี่ภพแล้ว มาชาตินี้ควรจะเข็ดหรือยัง ? ก็ไปดูว่าหวยจะออกอะไร ? ถ้าอย่างนั้นจะโดนกิเลสอุปาทานหลอกเอา

ถาม : ถ้าบอกว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว คนนี้เป็นพระสกิทาคามี ?
ตอบ : จะเรียกว่าการพยากรณ์มรรคผลก็ได้ บุคคลที่อยู่ระดับเดียวกันจะรู้บุคคลในระดับเดียวกันและต่ำกว่า แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่พูดถึง การพูดถึงจะพูดในลักษณะของการยกย่อง พูดถึงในส่วนความดีงามของเขา จะไม่มีการพูดในลักษณะไปกดข่มคนอื่น ฉะนั้น..ต้องดูกำลังใจของคนพูดด้วยว่าอยู่ในระดับไหน

เหมือนคนเรียนจบปริญญาตรีย่อมรู้ว่าคนจบปริญญาตรีเขาเรียนอะไรมา ขณะเดียวกันก็รู้ว่าคนที่ความรู้ต่ำกว่าว่าเรียนอะไรมา แต่ไม่รู้ว่าคนจบโทหรือเอกเขาเรียนอะไรกัน เพราะตัวเองยังเรียนไม่ถึง ฉะนั้น..เรื่องพยากรณ์มรรคผลหรือดูกำลังใจคนอื่น ดูได้ในระดับที่เท่ากันและต่ำกว่าเท่านั้น สูงกว่าดูเขาไม่ได้

ถาม : คนใดเรามองว่าเป็นอริยบุคคล แต่ในบางกิริยาที่ท่านทำ เราอาจจะมองว่าไม่น่าใช่
ตอบ : แปลว่าคุณยังขาดความมั่นใจในตัวท่าน ถ้ามีความมั่นใจในตัวท่านจริง จะไม่สงสัยเลย

เถรี
31-10-2012, 09:32
พระอาจารย์กล่าวกับลูกศิษย์ว่า "เรามีหน้าที่อะไรก็ไปทำ ในเรื่องของการรับงานเพื่อส่วนรวม ต้องประกอบไปด้วยเสียสละ ไม่ใช่ถึงเวลากูจะอยู่ใกล้ ๆ ครูบาอาจารย์ แล้วงานส่วนอื่นก็เสียหมดเพราะไม่มีใครไปดูไปแล"

เถรี
31-10-2012, 09:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากที่เคยเห็นมา ใครเคยทำไม่ดีกับพ่อกับแม่อย่างไร เวลามีลูกแล้วได้คืนหลายเท่า เป็นกรรมอย่างเดียวที่ทันตาเห็นจริง ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเราไม่แสบจริงก็ไม่มาเกิดกับพ่อแม่เราหรอก ฉะนั้น..ถ้าอยากจะมีลูกดี ตัวเราเองต้องดีก่อน"

เถรี
01-11-2012, 20:19
ถาม : ผมควรจะไปฝึกเรื่องทิพจักขุญาณที่ไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าของเก่ามีแล้ว เราภาวนาไปจนกำลังใจเริ่มนิ่ง ของเก่าก็จะกลับมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่ไหนหรอก เพียงแต่ระวังไว้อย่างหนึ่งว่า ถึงเวลาเขาทดสอบจะเล่นแรง

ให้จำไว้ให้แม่นว่าสิ่งที่เราเห็น เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นไม่แน่ว่าจะจริง ส่วนใหญ่ที่เสียไป เนื่องจาก “เชื่อเพราะเราเห็น” เพราะฉะนั้นต่อให้เห็นเองก็ยังเชื่อไม่ได้ ต้องรอเวลาพิสูจน์ก่อน

เถรี
01-11-2012, 20:20
ถาม : ถ้าต้นไม้ที่มีรุกขเทวดาอยู่ เราจำเป็นต้องโค่นทิ้งต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตั้งศาลให้เขาในที่ที่เหมาะสม แล้วตัดกิ่งไม้นั้นมากิ่งหนึ่ง ประมาณ ๑ ศอก ตั้งไว้ในศาล หันทางด้านปลายขึ้น เขาจะได้อาศัยต่อได้

ถาม : ต้นไม้ใหญ่ ๆ จะมีเทวดาอาศัยอยู่ทุกต้นไหมครับ ?
ตอบ : เฉพาะต้นไม้ที่มีแก่น ถ้าไม่มีแก่นท่านก็ไม่ได้อาศัย พวกไม้ไม่มีแก่นอย่างพวกนุ่น สำโรง เป็นต้น

ถาม : ผมไม่ได้ตัดทั้งต้น ตัดแค่กิ่งก้านออก
ตอบ : ถ้าไม่ได้ตัดทั้งต้นไม่เป็นไร แต่ถึงไม่ตัดทั้งต้นก็ควรจะบอกเล่าเก้าสิบกันก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ไปตัดเลย

เถรี
01-11-2012, 20:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเครื่องของหลวงปู่โหน่งเป็นของดีราคาถูก เพราะท่านทำเอาไว้มาก วัดไหนขอ ท่านให้เขาเป็นลำเรือเลย ก็เลยกลายเป็นว่าของดี แต่ราคาถูกเพราะของมีมาก

อาตมามีขุนแผนหน้าค่ายอยู่องค์ครึ่ง เพราะองค์หนึ่งแหว่งไป แล้วก็มียอดขุนพล ส่วนองค์ที่เป็นพิมพ์สมเด็จนั้น ตอนแรกใคร ๆ เขาก็ตีว่าเป็นวัดระฆัง อาตมาบอกว่าไม่ใช่ แต่ว่าสมเด็จรุ่นแรก ๆ ของท่านเนื้อแกร่งมาก พอมารุ่นหลัง ๆ แล้วเน้นเอาดินมาทำ ความต่างจึงเห็นชัด เพราะเป็นเนื้อดินเผา

วิธีเสกพระของหลวงปู่โหน่งไม่เหมือนใครหรอก ตั้งบายศรีคู่ ปูผ้าขาว มีดอกไม้ธูปเทียนไหว้พระเสร็จสรรพ ท่านเดินจงกรมรอบเตาเผา ภาวนาเสกพระไปเลย"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่รู้ยังเหลือหรือเปล่า ? สมัยหลวงพ่อแดง แค่วัดพวกเรายังไม่กล้าเดินผ่านเลย ท่านดุมาก พอมานึกถึงสมัยนี้ที่พวกชาวบ้านบอกว่าอาจารย์เล็กดุ ลองเจอหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ไอ้เด็กเซียน ๆ อย่างเราไม่กล้าเดินผ่านวัด นึกเอาก็แล้วกันว่าท่านดุขนาดไหน ?

เถรี
01-11-2012, 20:57
หนังสือประวัติหลวงพ่อปานของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ปานกับหลวงปู่โหน่งดังขึ้นมาอีกมาก ลำพังท่านดังอยู่แล้ว แต่คราวนี้พอลูกศิษย์เก่งแล้วยกย่องครูบาอาจารย์ด้วยก็เลยดังกันไปใหญ่ แต่วัดเก่า ๆ สายครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่จะโทรม มีหลวงปู่สุ่น วัดบางปลาหมอที่ทางวัดปากน้ำฯ ไปสนับสนุนทำให้ ก็ดูว่าเจริญขึ้นมา วัดอื่น ๆ ค่อนข้างจะทรุดโทรม

แม้กระทั่งวัดบางนมโค สมัยพระครูวิหารกิจจานุยุต ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นพระอาจารย์คู่สวด คราวนี้หลวงพ่อท่านก็ตั้งใจจะสนับสนุนวัดบางนมโค ถ้าจำไม่ผิดเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ หลวงพ่อท่านไปวัดบางนมโค ญาติโยมตามไปทำบุญวันนั้นได้สี่แสนบาท ท่านบอกพระครูอุไรว่า ให้เอาเข้าเป็นกองทุนหลวงปู่ปาน แต่ปรากฏว่าถึงเวลาแล้วท่านเอาไปใช้อย่างอื่น หลวงพ่อท่านก็เลยตัดขาด ไม่ไปวัดบางนมโคอีกเลย ท่านบอกว่า “ในเมื่อไม่ฟังกันแล้วจะไปทำไม ?”

ถาม : รูปหล่อหลวงปู่ปานที่วัดใหญ่มาก ?
ตอบ : จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพียงแต่ให้ทำในลักษณะส่งเสริมครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ทำเพราะอาศัยชื่อเสียงครูบาอาจารย์ไว้หากิน เจตนาต่างกันนิดเดียว ผลจะออกไปคนละโลกเลย

เถรี
02-11-2012, 08:33
ถาม : วัดบางปลาหมออยู่ใกล้นิดเดียว ?
ตอบ : วัดบางปลาหมอ วัดน้ำเต้า วัดเจ้าเจ็ด วัดหน้าต่างนอก ก็อยู่ละแวกนั้นแหละ ถ้าวัดหน้าต่างนอกไม่ได้หลวงพ่อนิลสืบต่อมาก็คงโทรมเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่พอสิ้นครูบาอาจารย์แล้ว ที่เหลือก็มักจะอาศัยวัดเฉย ๆ ไม่ได้อยู่ให้วัดได้อาศัยบ้าง

เรื่องของเจ้าอาวาสเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เจ้าอาวาสใหม่ต่อให้เก่งเท่าเจ้าอาวาสเก่า ญาติโยมก็ยังนึกถึงแต่เจ้าอาวาสเก่า ถ้าเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ก็จมหายไปเลย วัดวาโทรมทันตา ยังดีว่าหลวงปู่จ้อย วัดบ้านแพน ยังมีสืบสายมาจนปัจจุบัน อย่างหลวงปู่พูนก็ทำให้วัดวาอารามเจริญรุ่งเรืองได้ ถ้าไม่มีสืบสายต่อกันมาก็หมด

เจ้าอาวาสวัดบางนมโคจากหลวงปู่คล้ายมาหลวงพ่อปาน มาหลวงพ่อเล็ก มาหลวงตาเจิม แล้วก็มาหลวงพ่อฉัตร แล้วมาหลวงพ่อวัดท่าซุง พอสิ้นรุ่นหลวงพ่อมาแล้วที่เหลือก็ไปไม่รอด พอหลวงพ่อท่านออกมาอยู่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท วัดบางนมโคก็โทรมไปเลย

เถรี
02-11-2012, 08:38
ส่วนใหญ่มีปัญหาตรงพวกบรรดามัคคนายก ที่มีอำนาจมักจะเป็นญาติเจ้าอาวาส คนอื่นไม่กล้าว่ากล่าว อาตมาไปอยู่ที่ไหนถึงได้ออกระเบียบวัดว่า ถ้าใครอ้างว่าเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องของเจ้าอาวาสแล้วมาทำผิดระเบียบ ให้ไล่ออกจากวัดแล้วห้ามเข้าตลอดชีวิตเลย ไม่อย่างนั้นถ้าเอาญาติตัวเองไม่อยู่ก็ปกครองคนอื่นไม่ได้

ไม่ได้แวะเข้าไปดูวัดพิกุล พอสิ้นหลวงปู่ปั้นแล้วไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง ยังมีหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบ ครูบาอาจารย์สมัยนั้นสุดยอดทั้งนั้นเลย ไปตกอยู่ยุคสมัยไล่ ๆ กันหมด มีหลวงปู่จงที่อายุยืนกว่าเพื่อน ต้องบอกว่าหลวงปู่จงท่านทำปาณาติบาตน้อย แล้วก็เมตตาเหลือล้นจริง ๆ

ญาติโยมมาถึงเสือกหัวเรือพรวด ล่ามเรือเสร็จสรรพเรียบร้อย ตะโกนว่า “หลวงตา..เฝ้าเรือให้หน่อยนะ จะไปกราบหลวงพ่อหน่อย” แล้วก็วิ่งขึ้นกุฏิท่าน สักพักวิ่งหน้ากระเรี่ยกระราดกลับมา พระท่านบอกว่าหลวงพ่ออยู่ที่ท่าน้ำนั่นแหละ ใช้ท่านให้เฝ้าเรือไปเรียบร้อยแล้ว ท่านก็นั่งอยู่นั่นแหละ

เขาถามว่าทำไมท่านไม่ไปกุฏิ ? ท่านบอกว่า “ก็โยมใช้ให้ฉันเฝ้าเรือ ก็เฝ้าให้โยมก่อน” หลวงปู่จงท่านอายุ ๙๐ กว่าเกือบร้อยปี

เถรี
02-11-2012, 08:40
ถาม : ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิรู้สึกกำลังใจรวมตัวได้ง่ายมากเลย เป็นเพราะว่าเราเริ่มขยันหรือเป็นเพราะว่าช่วงระยะเวลานี้ทำได้ดี ?
ตอบ : หลายอย่างรวมกัน สำคัญที่สุดก็คือต้องทำให้ต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็พังอีก..!

เถรี
12-11-2012, 08:31
ถาม : ตอนท่านแม่จามเทวีรบกับเจ้าชายโกสัมภี ท่านแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ ?
ตอบ : ผู้หญิง

ถาม : แล้วใครชนะครับ ?
ตอบ : เจ้าชายตายฟรี..!

ถาม : แล้วท่านแม่ได้แต่งงานไหมครับ ?
ตอบ : แต่งกับเจ้าชายรามราช ช่วงที่ท่านแม่ท้องอยู่ต้องยกครัวขึ้นไปครองหริภุญไชย ไปถึงได้ไม่นานก็คลอด ลูกแฝดด้วย ท่านแม่เดินทางไปหริภุญไชยใช้ระยะเวลา ๗ เดือน เจ้าชายรามราชเดือนหนึ่งก็แวะไปหาท่านแม่ครั้งหนึ่ง

ถาม : ท่านแม่ใช้ระยะเวลาเดินทางตั้ง ๗ เดือน แล้วเจ้าชายรามราชไปอย่างไรครับ ?
ตอบ : ขี่ม้าไป ตอนนั้นท่านแม่ท่านยกขบวนไป ๗,๕๐๐ คน จึงต้องค่อย ๆ ไป ส่วนเจ้าชายรามราชขี่ม้า การเดินทางจึงเร็วกว่า แต่น่าคิดนะ..ขี่ม้าไปกลับระหว่างลพบุรีกับลำพูน ถ้าไม่รักจริงไม่ไปหรอก ไกลฉิบ..!

ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงซื้อเรือเพื่อช่วยพวกน้ำท่วม เรือเร็วที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ ชื่อรามราชนาวี ส่วนเรือใหญ่ที่เป็นเรือรักษาพยาบาล ชื่อจามเทวีนาวา เรือสองชื่อนี้หายไปแล้ว คนเขาไม่จำกัน เขาไปจำชื่อที่ท่านแม่ตั้งใหม่ มีคะนึงหา พาถวิล สินสวาท สมัยนี้ถ้าไปถามว่ารามราชนาวีลำไหน เขาหากันไม่เจอหรอก จำกันไม่ได้แล้ว

เถรี
12-11-2012, 08:40
ถาม : เจ้าชายรามราชใช่ที่เขาเก็บศพไว้ใต้โบสถ์วัดโขงขาวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ เจ้าชายรามราชเป็นพ่อ ท่านมีลูก ๒ คน คือ เจ้าชายอนันตยศกับเจ้าชายมหันตยศ ศพที่อยู่ใต้โบสถ์วัดโขงขาวเป็นลูก สมัยโบราณเขาทำเป็นห้องใต้ดิน แล้วไปสร้างโบสถ์คร่อมไว้

ถาม : ท่านเคยลงไปดูไหมครับ ?
ตอบ : ไปอย่างไรเล่า ? เขาเอาโบสถ์วางไว้ทั้งหลัง

ถาม : แล้วตอนนั้นท่านเกิดเป็นลูกคนโตหรือคนน้องครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นหรอก อาตมาได้เป็นลิงในกองทัพก็บุญโขแล้ว สมัยนั้นส่วนใหญ่ที่รบชนะได้ก็เพราะลิง พระยากากวานรเป็นพระยาลิงที่ฤๅษีวาสุเทพมอบให้มาดูแล เอาบริวารมาด้วยอีก ๓๐ กว่าตัว พอถึงเวลาออกรบ พรวดเดียวลิงก็ขึ้นถึงหลังช้างเลย

ถาม : คุยกับคนรู้เรื่องหรือครับ ?
ตอบ : โตมากับคนด้วยกัน สื่อสารกันรู้เรื่อง

เถรี
17-11-2012, 10:05
ถาม : เราคิดว่าจะไม่ใส่ใจ เขามาทางธรรมแล้วคงจะไม่อะไรนัก คนเราน่าจะว่ากันผิดถูกตามหลักธรรม เอาเข้าจริงก็ยัง..?
ตอบ : อาตมาเคยเตือนไปหลายคนแล้วว่า วัดดี ผู้นำวัดดี แต่คนที่อยู่ในวัดไม่แน่ว่าจะดี ใช้คำว่า “กิเลสของนักปฏิบัติ” เวลาอยู่ในวัดต่างคนต่างเก็บกด ใครมาใหม่ก็งับเลย..!

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เรื่องที่ไปอ้างว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อสมัยนั้น แล้วทำอะไรสู้คนใหม่ไม่ได้ก็น่าขายหน้า พวกมาทีหลังเขาคว้าเอาของดีไปหมด ต้องบอกว่า “เสียแรงที่คุย” ถ้าจะอวดกันก็อวดสิว่าเราทำความดีอะไรได้ ไม่ใช่ไปอวดกิเลสว่าเราอยู่มานาน

วันก่อนจำไม่ได้ว่าคุยกับใคร ที่คนจีนเขาเกทับกันว่า “ข้าพเจ้ารับประทานเกลือมา มากกว่าท่านรับประทานข้าวอีก” อะไรอายุจะมากกว่ากันขนาดนั้น..!

เถรี
17-11-2012, 10:13
ถาม : วันก่อนเห็นคนที่บ้านเขาตบยุง แต่เราก็พูดเตือนไม่ได้ เลยเฉย ๆ ?
ตอบ : ต้องอย่างนั้นแหละ เพราะถ้าพูดโทษเขาอาจจะหนักกว่านั้นเยอะ อาจจะมีการปรามาสพระรัตนตรัยไปเลย เพราะฉะนั้น..ปล่อยเขาไป ใครทำใครได้

ไม่ใช่แต่โยมนะ ปัจจุบันแม้กระทั่งพระเณรบางวัดก็ตบยุงตบแมลงวันกันเป็นเรื่องปกติ พออาตมานั่งเฉย ๆ ยังมีหน้ามาถามอีกว่า “อาจารย์ไม่โดนกัดบ้างหรือ ?” อาตมาเลยบอกว่า “อ๋อ..ผมแก่แล้ว..เลือดเย็น ยุงเลยไปกินแต่พวกคุณ”

เถรี
17-11-2012, 10:35
ถาม : คาถามหาประสาน ถ้าคนที่เก่งจริง แผลติดเลยหรือคะ ?
ตอบ : แผลติดเลยจ้ะ ไม่ต้องเย็บ แผลเป็นก็ไม่มี

ถาม : ต้องใช้กำลังฌานสี่หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก โบราณเขาให้กลั้นใจว่าคาถา อยู่ที่ความมั่นใจ บางคนว่าคาถามหาประสานต้องให้ดำน้ำ เพราะดำน้ำก็เท่ากับบังคับให้กลั้นใจ เวลาคนกลั้นใจจิตจะนิ่ง จะเป็นสมาธิ ที่นิ่งไม่ใช่เพราะอะไรหรอก พอไม่ได้หายใจแล้วจะตาย จิตไม่รู้จะดิ้นไปไหนต้องรีบกลับมาอยู่กับตัว พอจิตกลับมาอยู่กับตัวกำลังก็มี ไปลองซ้อมดูก็ได้

ถาม : หนูใช้เท่าไรก็ไม่ติดเสียที
ตอบ : ไม่รู้ว่าที่อาตมาทำได้ไม่เต็มที่ เพราะถ้าทำได้เดี๋ยวจะซนหรือเปล่า ท่านก็เลยให้แค่หยุดเลือดได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเที่ยวไปไล่กรีดแล้วก็ประสานให้เขาดู ก็เลยเป็นคาถาบทหนึ่งที่อาตมาทำได้ไม่ถึงที่สุด

เถรี
17-11-2012, 10:45
ถาม : คาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุง กับคาถามหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ มีอานุภาพต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ความมั่นใจ ถ้าเรามั่นใจว่าคาถาอะไรก็ได้ ตั้งใจจะให้รวยก็รวยเอง เพราะสำเร็จด้วยใจ เพียงแต่ว่าถ้าเราได้คาถาที่ตรง เป็นคาถาที่พระหรือว่าพรหมเทวดาท่านให้ เวลาเราภาวนาคาถานั้นท่านก็ส่งกำลังมาช่วย ก็ได้ง่ายขึ้น ได้มากขึ้น

ฉะนั้น..จะกี่หลวงพ่อก็ว่าไปเลย ทำให้ขึ้นสักบท ที่เหลือก็เหมือนกัน กำลังใจเท่ากัน เขาบอกว่า “ศิษย์มีครูเปรียบเหมือนงูมีพิษ" เพราะฉะนั้น..ศิษย์สารพัดครูก็จะกลายเป็นงูสารพัดพิษ..!

เถรี
17-11-2012, 10:56
ถาม : คาถาสะเดาะกลอนประตู ?
ตอบ : บางทีอยู่ในลักษณะว่าไม่ทันได้ใช้อะไร แค่กำลังใจไม่ได้นึกว่าประตูล็อก ก็บิดเปิดไปเลย วันนั้นอาตมาวิ่งหนีฝน พอไปถึงประตูสำนักงานหน่วยจัดการต้นน้ำ อาตมาก็บิดพรวดเข้าไปเลย แต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขาถามว่า “อาจารย์เปิดได้อย่างไร ? ผมเองล็อกไปแล้ว” เขาดันจำได้อีก..!

เถรี
17-11-2012, 11:02
ถาม : มีคาถาที่ใครเข้าบ้าน แล้วทำให้เขาใจเย็น ใจสบาย บ้างไหมคะ ?
ตอบ : ต้องภาวนาคาถาเมตตาให้เป็นปกติเลย ถ้าเราภาวนาแผ่เมตตาเป็นปกติ กระแสเย็นจะคงอยู่ พอทำบ่อย ๆ เข้า เราเคยชินก็ไม่รู้สึก แต่คนเข้ามาใหม่จะรู้สึก เหมือนอย่างกับเขาอยู่ที่ร้อนแล้วเข้ามาในห้องปรับอากาศ จะรู้สึกเย็นวูบเลย

เถรี
21-11-2012, 15:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีญาติโยมหลายคนที่กลัว ๒๐๑๒ วันสิ้นโลก ถึงขนาดทิ้งการทิ้งงานไปซื้อที่อยู่แถวเชียงใหม่เชียงรายเพื่อที่จะหนีภัยพิบัติ ต้องบอกว่าความกลัวเป็นเรื่องดี ทำให้เรารู้จักระมัดระวังแล้วก็ป้องกันไว้ก่อน แต่ถ้ากลัวจนขาดสติ บางทีก็สร้างความเสียหายได้เหมือนกัน

ขนาดทิ้งที่ ทิ้งบ้าน ทิ้งการทิ้งงานเพื่อไปอยู่อีกทีหนึ่งเพราะกลัวตาย รู้สึกว่าเหลวไหลอย่างไรไม่รู้ ช่วงที่เขาแห่กันไปซื้อที่แถวเขาใหญ่ วังน้ำเขียว จนราคาที่ขึ้นไปไร่จะเป็นล้านบาท เพราะคนไปแย่งกันซื้อ

จริง ๆ แล้วถ้าเกิดแผ่นไหวขนาดใหญ่ขึ้นมา อีสานเราแย่ที่สุด เพราะแม่น้ำโขงไหลผ่าน ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่แล้วเขื่อนที่ประเทศจีนพัง น้ำจะทะลักลงมาทางแม่น้ำโขงก่อน พอตูมลงมา ระบายไม่ทันน้ำก็เข้าอีสาน ไม่ใช่ย้ายไปอีสานแล้วจะปลอดภัยเสียเมื่อไร

ต้องเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ถ้าไม่ได้สร้างกรรมร่วมกับเขาอย่างไรก็รอด ถ้าสร้างกรรมร่วมกับเขาไว้ก็ยึดให้มั่นคงในพระรัตนตรัย อย่างไรก็เอาปลอดภัยเฉพาะหน้า ยกเว้นอายุขัยมาถึงจริง ๆ เราเกาะพระอยู่ก็ไปดี ดูอย่างปีที่อุทกภัยถล่มที่กะทูน นครศรีธรรมราช น้ำกวาดหมดหมู่บ้านเลย แต่ก็มีคนรอดเพราะขี่ท่อนซุงไป ปกติซุงเวลาลอยน้ำจะไปไม่เป็นทิศเป็นทาง แต่เขาก็ยังอุตส่าห์รอดมาได้"

เถรี
21-11-2012, 15:41
ถาม : เวลาผมแผ่เมตตา จังหวะที่เราดึงกลับเข้ามา ทำไมบางครั้งผมรู้สึกว่ามีไอร้อนติดมาด้วย ?
ตอบ : เริ่มต้นใหม่ เหมือนกับว่าที่อื่นร้อนหมด เราเอาเย็นให้เขาไป เขาก็กลืนไปเสียเยอะ แล้วตอนกลับมาก็เลยเย็นไม่เท่าเดิม

เถรี
21-11-2012, 20:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "ซุ้มเรือนแก้วของพระพุทธชินราช ก็คือฉัพพรรณรังสี ช่วงที่พระองค์ท่านเสวยวิมุติสุข ๔๙ วัน มีอยู่ ๗ วันที่ท่านเสด็จเดินจงกรมอยู่ในรัตนฆรเจดีย์ ก็คือซุ้มฉัพพรรณรังสี รัตนะ แปลว่า แก้ว ฆระ แปลว่า เรือนหรือบ้าน"

เถรี
21-11-2012, 21:14
ถาม : ช่วงที่ผ่านมาฝันร้ายค่ะ ฝันว่าไปหาหมอ..?
ตอบ : เขาเรียกว่ากรรมนิมิต ในช่วงวาระที่กรรมแสดงเหตุให้รู้ เราต้องอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น เพราะเป็นช่วงที่สภาพจิตรับอะไรได้ชัดเจนที่สุด ถ้ากำลังนั้นยังกดอยู่ เราขยับไม่ได้หรอก ต้องเลยไปก่อนถึงจะขยับได้

ถาม : เป็นเรื่องของกรรม ?
ตอบ : เรื่องของบุญของกรรมที่เราทำมาแสดงเหตุให้รู้ แก้ไขโดยรีบไปปล่อยชีวิตสัตว์ไว ๆ ถ้าเข้าไปเจออะไรที่เขาตั้งใจจะฆ่าในตลาด รีบซื้อปล่อยไปเลย สัก ๓ - ๔ ตัวก็ได้

เถรี
21-11-2012, 21:29
ถาม : คนในครอบครัวไปนับถือศรัทธาร่างทรงองค์เทพต่าง ๆ ?
ตอบ : ถ้าเขาจะไปก็ปล่อยเขาไป วาระของใครของมัน อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องเทวตานุสติ คือ การระลึกถึงความดีของเทวดา แต่พระองค์ท่านไม่ได้สอนให้ไปวิงวอนร้องขอ ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ พระองค์ท่านสอนในลักษณะที่ว่า เราเองก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงความเป็นเทวดา เป็นพรหมอย่างเขาได้เหมือนกัน

ฉะนั้น..การที่เราไปบูชาเทวดา ไปขอความช่วยเหลือ ก็ถือว่าทำได้ แต่เราต้องยกเอาไว้ในใจของเราว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งสูงสุดของเรา ไม่ใช่ว่าเราพึ่งในหลวง แต่กำนันผู้ใหญ่บ้านเราไม่แลเลย เดี๋ยวอาจจะเดือดร้อน เพราะฉะนั้น..เราก็พึ่งท่านบ้าง แต่ถ้าถึงขนาดจะต้องไปครอบครู ต้องไปรับขัน ถ้าขนาดนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็ให้เลี่ยงไป

ถาม : เราบอกเขาไปว่า ถ้าเป็นเทพก็ต้องมีความเมตตา ก็ไม่ต้องไปครอบครู ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ที่เจอมาก็คือ พอไปรับการครอบครู รับขันอะไรก็ตาม เขาจะดึงไปให้เป็นตัวทำเงินให้เขา ถึงเวลาก็ต้องไป เพราะว่าไปอยู่ใต้อำนาจเขาแล้ว เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าเลี่ยงได้ให้เลี่ยงไป

ถาม : เขาถึงขนาดโทรเรียก ?
ตอบ : เปลี่ยนเบอร์โทรไปเลยก็ได้

ถาม : แล้วขันที่รับมาทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : จะไปยากอะไร ก็ลอยน้ำไปสิ..!

เถรี
21-11-2012, 21:41
ถาม : ที่เกิดเหตุดีหรือไม่ดี เพราะเขาพึ่งพาเราจริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าเรามั่นคงในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา อย่างอื่นทำอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าจะแก้ก็คือภาวนา ถ้าเราภาวนาจับลมหายใจจนกำลังของเราทรงตัว กำลังของเราจะเท่ากับพรหม ก็แปลว่าเหนือกว่าเขาเยอะ เขาจะทำอะไรเราไม่ได้ ฉะนั้น..ถ้าต้องการจะแก้ตรง ๆ ก็ภาวนาไปเลย

ส่วนใหญ่แล้วพวกตำหนักทรง แรก ๆ เทวดาท่านมา หรือพรหมบางท่านมาเพื่อสงเคราะห์จริง ๆ แต่พอเกิดผล คนไปกันมาก ความโลภเกิดขึ้นในใจของคนทรง บางทีไม่ใช่วาระที่ท่านมาก็ทรงปลอม ๆ ไปเรื่อย ท้ายสุดเมื่อความโลภเกิดขึ้นมาก ท่านก็ไม่สงเคราะห์ให้อีก ไม่มาอีก บางทีพวกเปรตพวกอสุรกายเขาก็มาแทรกแทน

ฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปยุ่งกับเขา ถ้าใครคิดว่าไม่ไปแล้วเขาจะขัดขวาง ทำให้เราหากินไม่เจริญ ทำให้เราประสบสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ก็ให้ภาวนาจนกำลังใจทรงตัว ถ้าเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวอย่างต่ำสักปฐมฌาน กำลังของเราจะเท่ากับพรหม ซึ่งมักจะสูงกว่าเขาทั้งหมด เขาจะทำอะไรเราไม่ได้

วิธีง่าย ๆ เลยก็คือไปภาวนาไว้ ถ้าภาวนาจนกำลังใจทรงตัวนี่ไม่ใช่แต่พวกตำหนักทรงอย่างเดียว ไสยศาสตร์ต่าง ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย เพียงแต่ว่าเพื่อความแน่นอน ก็อาราธนาวัตถุมงคลติดตัวไว้ด้วย เพราะว่าตัวเรามีโอกาสเผลอได้ แต่เทวดาที่ท่านรักษาวัตถุมงคลท่านไม่เผลอ ถึงเวลาเราเผลอท่านก็ป้องกันให้ แต่ถ้าเราไม่เผลอ เราภาวนาเองกำลังใจทรงตัวได้ ก็เท่ากับเราป้องกันตัวเองได้

เถรี
21-11-2012, 21:47
ส่วนใหญ่ที่เจอมาร้อยละ ๙๙.๙๙ จะมาดีในตอนแรก พอความโลภเกิดขึ้น เทวดาหรือพรหมท่านไม่สงเคราะห์อีก ก็ทรงปลอมกัน ปลอมไปปลอมมามีตัวปลอมแทรกเข้ามาจริง ๆ คราวนี้ก็ไปกันใหญ่เลย

เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิ เพราะหลายอย่างเขาทำแล้วเกิดผล แล้วเป็นผลทันตา เป็นผลในลักษณะของการฝืนดวงฝืนกรรม จึงทำให้บางคนเลื่อมใสหัวทิ่มตัวตำ แต่พอเราไปรับขันหรือครอบครูของเขาเข้า บางแห่งเขาก็ใช้ผีคุม บางแห่งก็ใช้ไสยศาสตร์คุม พอถึงเวลาเขาก็ดึงเราไป ก็ต้องตะเกียกตะกายไปหาเขา เอาเงินเอาทองไปประเคนให้เขา กลายเป็นสร้างความร่ำรวยให้กับเขามากขึ้น ๆ

แม้กระทั่งปัจจุบันนี้สำนักอาจารย์บางแห่ง ที่เป็นอาจารย์สักชื่อดัง ก็กลายเป็นของปลอมไปแล้ว เพราะเมื่อเกิดความโลภขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านไม่สงเคราะห์ สักไปแล้วก็ได้แค่รอยสักไปเฉย ๆ อานุภาพอะไรต่าง ๆ ที่จะพึงมีก็ไม่มี เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

ในชีวิตเจอพวกถือของ โดยเฉพาะรอยสัก ถือแล้วขึ้น ๓ - ๔ ราย แต่พวกนี้ของขึ้นไม่เป็นเวลา คือตอนจะเอาจริงใช้จริงกลับไม่ขึ้น ไปขึ้นในเวลาที่ไม่สมควร มีอยู่รายหนึ่งไปทัวร์ธรรมะทำบุญกันที่เพชรบุรี ขากลับเขาตั้งวงดื่มเหล้ากันท้ายรถ คาดว่าไปผิดครูตรงที่ไปดื่มเหล้าเหลือเดนเขา เลยของขึ้น รายนี้สักเสือสมิง มือเปล่า ๆ ตะกุยกระจกรถทัวร์แตกกระจาย..! แต่พอเสือออกแล้วต้องควักกระเป๋าจ่ายเขาอานไปเลย เพราะรถทัวร์เขาไม่ยอม โดยเฉพาะกระจกหลังแผ่นละเป็นหมื่น..!

เถรี
21-11-2012, 21:53
อีกรายหนึ่งก็ลักษณะเดียวกัน คนนี้ลิงลมเข้า ตอนนั้นยังเป็นทหารอยู่ อาตมาไปตามจับตามฟัดเอง เพิ่งจะรู้ว่าเวลาของของขึ้นแล้วพวกนี้แรงเหลือเฟือ ขนาดจับยกลอยทั้งตัวเขายังดิ้นหลุดได้

ปกติคนเราพอขาลอยพ้นพื้นจะดิ้นไม่ได้แล้ว จับเขากดไว้กับเตียง เอาผ้าขาวม้ามัดติดเตียงไว้ เขายกเตียงไปทั้งหลังเลย..! ความจริงเพื่อนบอกว่าให้ตบบ้องหูเดี๋ยวก็ออก แต่อาตมาไม่ทำ จะลองดูว่าเขาจะแน่สักแค่ไหน ไล่ฟัดกับเขาอยู่หลายยกจนกระทั่งเพื่อนอีกคนทนไม่ไหว เอาน้ำเย็นทั้งถังสาดโครมเข้าให้ หายเดี๋ยวนั้นเลย

เวลาต้องการใช้งานจริง ๆ อย่างเช่นจะโดนเขารุมกระทืบดันปลุกของไม่ขึ้น เพราะกำลังใจไม่มั่นคง ถ้าใครอยากดูพวกของขึ้นให้ไปที่งานไหว้ครูประจำปีของหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ สมัยหลวงพ่อเปิ่นยังอยู่ต้องขอทหารมาเป็นกองร้อยเลย ถึงเวลาของขึ้นพร้อม ๆ กันต้องให้ทหารช่วยกันล็อก สมัยนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร เพราะไม่ได้ไปดูนานแล้ว

เถรี
21-11-2012, 22:46
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าจะนับอานิสงส์จริง ๆ แล้วเท่ากัน ก็คือเป็นสังฆทานเหมือนกัน แต่ถ้าเราได้สละทรัพย์ออกมากกว่า สมมติเกิดใหม่เป็นมหาเศรษฐีเขาจะมีเงิน ๘๐ โกฏิ สิ่งที่เรามีจะมีเกินนั้น ดังนั้น..ต่างกันแค่นี้นิดเดียวเอง

จริง ๆ แล้วจะมีมากมีน้อยไม่เป็นไรหรอก ให้เป็นมหาเศรษฐีก็แล้วกัน เขามี ๑๒๐ โกฏิ เรามี ๘๐ โกฏิก็ใช้ไม่ไหวแล้ว

เถรี
21-11-2012, 22:49
:54bd3bbb:เก็บตกเดือนตุลาคมจบแล้วค่ะ:54bd3bbb:
ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ